แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Houbigant แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Houbigant แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Houbigant - Cologne Intense

Houbigant - Cologne Intense

จาก Fougere Royale ที่สร้างความเป็นตำนานมาอย่างยาวนานแบบที่ไม่มีใครโค่นลงได้ในการเป็นหนึ่งในน้ำหอมชายที่เหนือกาลเวลามาเสมอ และอยู่ต่อไปแน่ๆ ไม่ต้องห่วง เพราะกลิ่นมีความร่วมสมัยตลอดเว และถึงแม้จะมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมาบ้างอย่าง Duc de Vervins เป็นต้น แต่ความเป็น Fougere Royale ยังเป็นตัว Top มาอยู่เสมอ

เช่นนั้น การสร้างความหลากหลายให้น้ำหอมชายหลังจากที่มีการปรับปรุงตัว Fougere Royale ใหม่เป็นรุ่น 2010 ที่ก็ยังคงความดีงามอยู่เช่นเดิม (อาจจะไม่ได้เป๊ะ! เท่ารุ่น Vintage ต่างๆ) Houbigant จึงได้มีการต่อยอดในการสร้างกลิ่นอายผู้ชายสไตล์ Cologne ในปี 2015 แบบเอาความ Vintage มาต่อยอดให้มีความร่วมสมัยตีคู่ไปกับรุ่น Top ของแบรนด์ไปด้วย และผลที่ออกมาก็คือกลิ่น Cologne Intense ที่เป็น EDP ซึ่งกลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหนนั้น บอกเลยว่า

ไม่ใช่สไตล์ Cologne สดชื่นสบายๆ สุภาพบุรุษแบบที่คิดๆ กันแน่นอน” เพราะ  

ช่วงเปิด - โทนกลิ่นแม้จะเป็นโทน Citrus วูบมาแบบเปรี้ยวติดขมนิดๆ มีความเป็นสไตล์ Cologne แต่จะมีพื้นฐานความเป็นโทนเครื่องเทศกลั้วสมุนไพรที่ให้อารมณ์ติด Dirty โดยกลิ่นยี่หร่าที่ให้ความรู้สึกแบบกลิ่นตุ่ยๆ ติดเหงื่อโดยมีความเขียวของกิ่งก้านส้มที่จะมี Effect ให้โทนคล้ายกลิ่นยางนิดๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความมาดแมนมาตั้งแต่เริ่มแบบกึ่ง Dirty กึ่งสดชื่น ซึ่งจะมีลูกเสริมต่างๆ เข้ามาประปรายไม่ว่าจะเป็นโทนสมุนไพรของแทรากอนที่ให้โทนกลิ่นปร่าติดหวานปลายเล็กๆ มีความเป็นลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาสายแป้ง แต่มาสายสมุนไพรติดตุ่นเขียวหน่อยๆ และมีความเขียวติดเปรี้ยวซ่าแกมนวลประปรายของดอกส้ม แต่ทั้งหมดก็ยังต้องยกให้โทนกลิ่นติดตุ่ยเขียวแกม Dirty และที่สำคัญช่วงเปิดมาแนวเดียวกับ Eau d’Hermes เลย เพียงแต่ไม่ได้มีกลิ่นหนัง Animalic ก็เท่านั้นเอง ซึ่งแน่นอนนี่มันโทน Classic ชัดเจนมาก เพียงแต่กลิ่นมีความเนี้ยบในความ Dirty ได้ดีมากๆ ด้วยเช่นกัน

ช่วงกลาง - กลิ่นจะไม่ได้ลดทอนความเป็นโทน Dirty ลงมามากนักเพราะว่ากลิ่นของมะลิที่ให้ความเป็นโทนตุ่ยๆ Indolic นี่แหละที่ยังเสริมให้ความเป็นโทนห่ามๆ ยังคงอยู่ เพียงแต่จะมีความนุ่มนวลลงมาหน่อย เพราะมีกลิ่นชามาเตที่ให้ความเป็นสมุนไพรเขียวอวลเล็กๆ และที่สำคัญมีโทนออกทางยางไม้ติดปร่าหน่อยๆ ของ Frankincense เข้ามาทำให้กลิ่นมีความหนาอยู่ในระดับที่กำลังดี สร้างความน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วย โดยที่ยังยืนพื้นอยู่เช่นเดิมกับความเป็นโทน Citrus Herbal ที่ขนมาหมดทั้งความมีความ Dirty แบบสไตล์ค่อนไปทาง Classic เป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น

ช่วงท้าย - กลิ่นโทน Incense ยังคงอยู่ แต่จะมีโทนออกทาง Oak Moss เข้ามาแบบอ่อนๆ ให้ความเขียวเข้มติดดาร์ก Earthy หน่อยๆ เคล้ากับ Musk ที่เริ่มจะเป็นตัวหลักในการทำให้กลิ่นมีความสะอาดนวล ความ Dirty ต่างๆ จะเริ่มลดน้อยถอยลงไป เหลือแต่เพียงปลายกลิ่นหน่อยๆ ที่ให้โทน Sexy เนียนๆ นอกจากนี้เนื้อกลิ่นยังมีความอบอุ่นเข้ามาร่วมด้วยซึ่งน่าจะมาจากโทนแนวๆ แอมเบอร์เลยทำให้ช่วงท้ายเป็นกลิ่นแนวผู้ชายแลลสุภาพบุรุษสไตล์ร่วมสมัยที่มีความ Classic เด่นมาก่อนและตามด้วยการแตะความเป็น Modern หน่อยๆ ในพื้นฐานกลิ่นที่มีความนวลสะอาดแบบสุภาพบุรุษยุคปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างสรรค์กลิ่นแบบที่ยังมีขนบเดิมเพิ่มเติมหรือลดทอนให้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นโดยไม่ดูย้อนยุคนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนแนว Contemporary Classic ที่เน้นความเป็น Cologne ที่มีความห่ามเนียนๆ แกมน่าค้นหาในความเป็นสุภาพบุรุษ เลยจะเข้ากับผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป หรือมีอายุ 28 ขึ้นไป ที่อย่างน้อยผ่านทั้งกลิ่นแนวปัจจุบันมาแล้ว และก็เข้าถึงโทน Classic มาบ้างแล้ว ซึ่งเข้ากับได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้ง แต่เพราะกลิ่นเปิดมันค่อนข้าง Dirty ในระดับหนึ่ง รอผ่านช่วงนี้ไปก่อนที่จะเจอผู้คนอาจจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าชิลล์ๆ ทั่วไปจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังเรียกแขกแบบสายอวลแน่นจัดจ้าน 

ความทน - กลิ่นทนกำลังดีที่พื้นฐานราวๆ 8 ชม. เป็นหลัก แต่สามารถไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเรื่อยๆ ตามลำดับ จนเมื่อผ่านไปแล้วประมาณ 4 ชม. ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วติดผิวเต็มตัวเมื่อครบ 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - เนื้อกลิ่นไม่ใช่เทรนด์พิมพ์นิยมแน่นอน และอาจจะไม่ได้เปิดมาแล้วสว่างสไว Citrus เพื่อโลกใบนี้ แต่มาแบบสไตล์ Dirty Classic ที่เนื้อกลิ่นวางสมดุลย์มาแล้วว่าจะให้กลิ่นแนวนี้เป็นแกนนำที่ทำให้แตกต่างจากน้ำหอมในยุค 2010 - 2020 ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ยังคงขนบได้ดี มีเสน่ห์ในสไตล์ของตัวเอง โดยอยู่กับความร่วมสมัยได้แบบไม่เคอะเขิน ที่สำคัญใครชอบ Eau d’Hermes แต่กลัวกลิ่นหนัง หันมามองที่กลิ่นนี้ได้เลยตอบโจทย์ได้ไม่ยาก 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.houbigant-parfum.com/products/cologne-intense-eau-de-parfum

 

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Houbigant - Fougere Royale (2010)

Houbigant - Fougere Royale (2010) 

มันคือความดีงามในการบอกเล่ากลิ่นอย่างหนึ่งเลย เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสได้มาเจอกับแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1775 จนถึงปัจจุบันที่ส่งต่อความ Classic สู่ Modern ได้อย่างดีงามมาเสมอต้นเสมอปลายอย่าง Houbigant ซึ่งยังไม่พอกลิ่นอายที่จะมาบอกเล่าก็เป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของโทน Aromatic Fougere ที่สร้างกลิ่นอายสไตล์เฟิร์นและความเขียวสดชื่นผ่อนคลายจมูก เช่นนั้น ได้เวลาบอกเล่ากันแล้วว่าคึวามเหนือกาลเวลาของรุ่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง 

บอกก่อน - กลิ่นอายที่จะบอกเล่าจะเน้นที่ Fougere Royale รุ่นปรับสูตรและวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ซึ่งส่วนตัวไม่เคยได้ลองรุ่Original จึงจะไม่ได้มีการเปรียบเทียบหรือบอกความเชื่อมโยงใดๆ 

เปิดตัวกลิ่นอายด้วยความสดชื่นระหว่างความเขียวสมุนไพรกับโทน Citrus ที่มีความซ่าๆ ติด Spicy หน่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะแบบน้ำหอมผู้ชายสไตล์ฝรั่งเศสที่จะมีลักษณะแบบนี้ให้รู้สึกได้ไม่ยาก ที่สำคัญจะมีกลิ่นนวลๆ ของดอกคาโมมายด์ผสมผสานกับความนุ่มของลาเวนเดอร์ที่ติดเขียวสมุนไพรหน่อยๆ ออกทางสบู่กลายๆ แต่ไม่ข้นหนัก และยังมีกลิ่นอายเขียวๆ ปนดาร์กแมนๆ เจือให้พอรู้สึกได้เสียด้วยจาก Oak Moss ทำให้กลิ่นช่วงต้นได้ความรู้สึกสดชื่นแบบแมนๆ ไม่ได้ออกทางกลิ่นคมๆ มาเต็มแบบน้ำหอมผู้ชายยุค 80 นัก เน้นมาสายความสดชื่นติดหรูนิ่งๆ กึ่งๆ สายกลิ่นสะอาดแนวๆ Aftershave หรูๆ ของผู้ชายหน่อยๆ เป็นตัวเดินเกมแทน และเดินตั้งแต่ต้นยันจบของน้ำหอมเสียด้วยซ้ำ 

เมื่อมีกลิ่นอายของโทนเผ็ดปร่าๆ Spicy แบบกึ่งโปร่งๆ ผสมกลิ่นอายกุหลาบบางๆ ดันเข้ามาเรื่อยๆ ก็เป็นการเดินเข้าสูช่วงกลางของน้ำหอมชัดเจน เด่นที่กลิ่นอายของดอกเจอราเนียมที่ให้ความเป็นกุหลาบบางๆ ติดเปรี้ยวสดชื่น และยนังมีความปร่าๆ ติดเขียวหน่อยๆ เสียด้วยจากคาร์เนชั่นที่ให้ความรู้สึกติด Spicy แมนๆ สะอาดๆ โดยกลิ่นอายในช่วงต้นจะยังตามมาผสมผสานอยู่ให้ความรู้สึกแบบแนวๆ สบู่อยู่เช่นเคย เนื้อกลิ่นมีความอุ่นกำลังดีเจือเครื่องเทศเผ็ดร้อนบางๆ คลอไปตลอด แต่ที่จะรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้นคือกลิ่นของ Oak Moss ที่เริ่มปล่อยของเรื่อยๆ จากที่เป็นฉากหลังมาตั้งแต่ช่วงต้น และจะกลายเป็นตัวหลักขึ้นมาในไม่นานกับการนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่ Oak Moss จะไม่ได้มาแบบเข้มจัด มีความเรียบๆ ติดดาร์กเขียวแมนๆ กำลังดี อ้อยอิ่งรอบๆ ด้วยพิมเสนเบาๆ โดยกลิ่นจะมีความเป็นสมุนไพรปร่าๆ เจือลาเวนเดอร์ผสมผสานให้จับต้องได้เป็นเลเยอร์ที่รองลงมา รวมถึงมีความครีมมี่กึ่งหญ้าแห้งนิดๆ จากสาร Coumarin ที่ได้จาก Tonka Bean รองพื้นอยู่ กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึกสุภาพบุรุษที่กึ่งคลาสสิคกึ่งร่วมสมัยเรียบหรูกึ่งสบายๆ เข้าถึงได้ง่ายกลิ่นไม่หนักเกินไป มีความกลางๆ ดีๆ ไปตลอด ซึ่งทุกสเต็ปของน้ำหอมกลิ่นนี้ แม้ว่าจะเป็นตัวปรับสูตร ทำขึ้นมาใหม่แนวๆ Tribute ต้นตระกูลที่อยู่ยืนยาวมาเป็น 100 ปี ก็จริง แต่คุณภาพส่วนผสมถือว่าจัดเต็มชัดเจน ทำให้ได้กลิ่นที่ดีคลาสและมีระดับ โดยที่ให้ความเป็นน้ำหอมของสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์ในความเรียบหรูได้ดีงามจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบาย แม้ว่ากลิ่นจะมีความคลาสสิคเจือปนอยู่ในนั้น แต่มันก็มีความร่วมสมัยมากพอที่บ่งบอกถึงความเรียบหรูมีระดับของผู้ที่ใช้งานกลิ่นนี้ได้ชัดเจนมาก จึงสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย เพราะพื้นฐานกลิ่นมีความเขียวติดสมุนไพรจึงเข้ากับกลิ่นเหงื่อได้ในระดับหนึ่งเสียด้วย ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปหรือว่าออกงานได้หมด แต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีที่มีแต่คนพยายามจะปล่อยของกันนัก เพราะโดนกลบแน่นอน 

ความทน - ดีงาม เพราะอยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งจะมากหรือน้อยกว่านั้นก็อิงตามจำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และสภาพผิวกายของบุคคลนั้นๆ ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางในช่วงกลาง แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่าเบาๆ รอบตัวในช่วงท้าย พ้นไปซัก 6 ชม. ถึงกลายเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีความร่วมสมัยได้ดีงามมาก แตะได้ทุกความเป็นผู้ชายที่มีความเรียบหรู สะอาดสะอ้าน และมีระดับจริงๆ รวมถึงคาบเกี่ยวทั้งความ Classic กับ Modern ได้อย่างลงตัวมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Basenotes
--> http://www.osmoz.com/Public/Files/perfume/houbigant_fougere_royal_edp_100ml_7cd35cc4a5.jpg