แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Christian Dior แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Christian Dior แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Dior Homme Intense (2011)

Dior Homme Intense (2011)

เมื่อ Dior ประกาศเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายสาย Dior Homme ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพื่อเข้าสู่การเป็น Generation ใหม่ ในปี 2020 (หลังจากปรับตัว Sport ไปก่อนหน้านี้ในปี 2017) อย่างแรกก็เรียกว่า อึ้งไปพอสมควร เพราะของเดิมก็ยังมีดีอยู่ในการเป็นกลิ่นอายคล้ายโทนเมโทรแบบมีรอยลิปสติกติดที่แผงอกหรือต้นคอ แล้วกลิ่นตีขึ้นชวนให้รู้สึกเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก และจงใจแบบคูลๆ และอย่างที่ 2 ไม่เพียงแต่ปรับรุ่นปกติ ยังลามมารุ่น Intense ที่เป็นขั้นกว่าของโทนกลิ่นสายนี้อีกด้วย เอาล่ะสิ ยังไม่ได้ใช้รุ่น Intense ในการเล่ากลิ่นมาก่อนเลยไม่ว่าจะเป็นทั้งรุ่น 2007 และรุ่นปี 2011

เช่นนั้น เพื่อให้มีความชัดเจนและไล่เรียงกลิ่นสายนี้ให้ครบถ้วน จึงต้องใช้งานให้ชัด จัดให้รู้ แล้วมาบอกต่อกันก่อนที่จะไปเรียนรู้ Generation ใหม่ รวมถึงจะดูสิว่าจะเสียดายหรือไม่ที่มีการปรับสูตรไป มาเจอกันหน่อยแล้วกันกับ Dior Homme Intense ของปี 2011 (ที่ต้องขอข้ามปี 2007 เพราะว่าหาไม่ได้แล้ว) 

เปิดตัวมาเรียกว่าลาเวนเดอร์ยังคงอยู่ แต่ความเข้มข้นของกลิ่นไอริสที่ให้ลักษณะแบบแป้งเครื่องสำอางค์กึ่ง Buttery แนวกลิ่นลิปสติกจะชัดกว่าเดิมมาก ความเข้มข้นของโทนแป้งมาเต็มโดยมีความหนักประมาณหนึ่ง แบบที่ถ้าคนไม่ชอบโทนแป้ง ก็อาจจะมีความอึนๆ กันอยู่บ้าง แต่ถ้าปรับตัวได้ มันคือกลิ่นอายโทนแป้งออกทางคล้ายกระเป๋าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงแกมกลิ่นลิสติกที่มีลาเวนเดอร์มาเสริมให้เกิดความแมนเข้มกำลังดีตัดทอนกันสร้างกลิ่นอายลักษณะแบบ Metrosexual ที่ชัดเจน มีความกรุ้งกริ่มที่มีความ Cool เต็มๆ ถ่ายทอดความดีงามของกลิ่นสไตล์ Dior Homme ได้ครบถ้วน โดยเพิ่มเติมความเข้มข้นเข้ามา ซึ่งก็ตรงกับคำว่า Intense ชัดเจนกันตั้งแต่แรกเลย

การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลาง ถือว่ายังคุมโทนได้ดีโดยยังมีกลิ่นแป้งของไอริสติดเนื้อ Buttery ที่น่าจะมาจากหัวเหง้าออริส (หัวเหง้าของต้นไอริส) เลยทำให้ได้อารมณ์กลิ่นแนวลิปติกยังคงอยู่ แต่พระเอกอีกหนึ่งอย่างโกโก้จะปรากฎออกมาในช่วงนี้พร้อมกับกลิ่นออกทางหวานเบาๆ ติดกลิ่นเขียงใบผักอ่อนๆ เจือความเป็น Musky ซึ่งน่าจะมาจาก Ambrette ที่เป็นตัวที่ให้โทน Musky หน่อยๆ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้คือเป็นกลิ่นโทนแป้งกึ่งโกโก้บัตเตอร์ที่อบอวลและมีเสน่ห์มาก ซึ่งจะมีโทนนวลลาเวนเดอร์กึ่งไวโอเล็ตเนียนๆ อยู่ด้วย มันเลยจะได้โทนแป้งที่มีหลายมิติให้จับต้อง ทั้งหวานติดโปร่งหน่อยๆ ทั้งนวลละมุนสะอาด ทั้งแป้งติดอับทึบแต่เย้าจมูก และแป้งกึ่งเนื้อเนยมันๆ แนวลิปสติกที่มีโกโก้เป็นตัวเสริมพร้อมกับกลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ หน่อยๆ สร้างลักษณะแบบสีน้ำตาลเย้าน่าค้นหา ทำให้ได้อารมณ์เมโทรแนวๆ เจ้าเสน่ห์สายนิ่ง ที่มีความเย้ายวนและรัญจวนใจแบบที่เข้มข้นที่ลงตัวมาก ยิ่งถ้ากลิ่นแบบนี้อยู่กับอากาศเย็นๆ ถือว่าจะสร้างเสน่ห์ชวนคลุกวงในได้มากจริงๆ

จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมความเป็นไม้หอมจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับควบคู่ไปกับกลิ่นโทนอบอุ่นค่อนไปทางวานิลลาที่จะเปิดตัวออกมาแบบเนียนๆ เสริมขึ้นมาเรื่อยๆ กับโทนแป้งที่ยังคงตัวอยู่ แต่เพราะการเข้ามาเสริม ทำให้กลิ่นออกทางลิปสติกจะเบาลงไป เหลือเป็นแป้งไม้หอมเจือโกโก้วานิลลา ที่จะเบลนด์กลิ่นออกมาได้เนียนและมีลูกเล่นโทนกลิ่นที่ส่งเสริมไล่เลเยอร์ที่สมูธมากเลยทีเดียว เนื้อกลิ่นจะมีมีลูกเย้าของกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝกแกมติดโปร่งหน่อยของไม้ซีดาร์ที่ให้ความแมนเท่ห์ คลุกเคล้ากับโทนแป้งที่ยังให้ความเย้ายวน และมีกลิ่นออกทางอบอุ่นวานิลลาเจือโกโก้แกมกลิ่นออกทางแอมเบอร์หน่อยๆ เป็นตัวคุมเกมในภาพรวมที่ให้ความอบอุ่นและมีเสน่ห์แบบนิ่งอวล ซึ่งดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกินเอาได้เลย แบบที่ทุกอย่างคุมโทนความ Cool มีระดับแบบหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาดนิ่ง ที่มี Sex Appeal สูงมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถจัดตัวนี้ได้แล้ว เพราะเป็นกลิ่นมาสายหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาดนิ่งที่ไม่ธรรมดา และมีความเจ้าชู้เงียบเนียนๆ ชัดเจน เพียงแต่ว่ารุ่น Intense กลิ่นจะค่อนข้างเข้ม ข้น และหนัก ขึ้นมาอีกสเต็ป ทำให้การใช้ควรจะเบามือลงมาหน่อยเพราะถ้ามาดไปอึดอัดและตีขึ้นจนมึนเสียก่อนจะเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาดนิ่งได้ ซึ่งเข้าได้กับหลายสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ยางทางการก็พอได้ แต่ต้องเลือกหน่อย แต่ถ้าใส่ทั่วไป ไม่ว่าจะทำงาน Office หรือว่าทั่วไปแบบเน้นสายเท่ห์ขรึมดูแลตัวเอง บอกเลยว่าเข้ากันมาก ไม่ใช่สไตล์สบายๆ ชิลล์ๆ หรือสาย Activities ลุยๆ ออกกำลังทั้งหลายที่เห็นควรตัดออกจากการใช้งานแบบนี้ไปดีกว่าเดี๋ยวจะชัดกับลุค ที่สำคัญยามค่ำคืนที่ไม่ว่าจะใส่ออกงาน ท่องราตรี หรือว่าโรแมนติค มันเข้าได้หมด มีเสน่ห์และมีความเร้าใจแบบหน้านิ่งๆ สูงมาก

ความทน - ดีงาม 8 ชม. ถือเป็นพื้นฐาน และไปต่อได้ถึง 15 ชม. ก็เป็นเรื่องปกติได้ไม่ยากถ้าผิวกายเอื้อมากพอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าอาจจะตึ้บไปเลยถ้าอัดสเปรย์เยอะ แล้วจะผ่อนลงมากระจายดียาวไปราวๆ 2 ชม. ก่อนจะลงมาปานกลาง ตามด้วยออร่ารอบๆ ตัวที่ให้ความรุมๆ อวลๆ ไปตลอดยาวไปถึงราวๆ 12 ชม. ถึงจะค่อยๆ ผ่อนลงเป็นติดผิว

สรุป - ถ้าเรียกง่ายๆ Dior Homme รุ่น 2005 เดิม เป็นสไตล์ Daily Scent ที่ครอบจักรวาลโดยการเอากลิ่นสไตล์เมโทรแนวกลิ่นกระเป๋าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงและลิปสติกมาเรียกแขก โดยเอาไปใช้กับยามกลางคืนได้ แต่สำหรับ Intense จะเป็นการอัพเกรดจากของเดิม เพิ่มความดีงามในความเข้มข้นที่ชัดเจน จัดเต็ม และใส่ Sex Appeal ที่มีความแน่ในเนื้อกลิ่นสูงมาก ซึ่งจะตีเป็น Night Scent เองก็ยังได้ แต่ก็มาใช้เป็น Daily Scent ได้อยู่ โดยที่ความดีงามในการปล่อยเสน่ห์หน้านิ่งแต่กรุ้มกริ่นเนียนๆ ยังครบถ้วน ซึ่งบอกตรงๆ ว่า เสียดายมากที่มีการปรับสูตรและเปลี่ยน Generation เพราะของเดิมดีงามอยู่มากจริงๆ แต่ก็ยังปรามาสไม่ได้ว่ารุ่น 2020 จะออกมาในรูปแบบไหน ไว้ถ้าได้ลองก็จะว่ามากันอีกที 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.brandfield.com/christian-dior-homme-intense-eau-de-parfum-spray-150-ml-p-3g-303-b6

 

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Christian Dior - La Collection Privee: Feve Delicieuse

Christian Dior - La Collection Privee: Feve Delicieuse

โดยส่วนใหญ่ Note กลิ่นอย่างถั่วตองก้า มักจะเป็นตัวเสริมชั้นดีให้กับโทนวานิลลาหรือบางคราวก็แทนที่กันได้โดยให้ความครีมมี่นุ่มนมเย้าๆ แกมกลิ่นไส้ในชอคโกแลต Praline หรือบางครั้งก็เสริมให้กลิ่นมีความเป็นโทนติดเขียวกึ่งหญ้าแห้งกึ่งคาราเมลที่ไม่ได้หวานจัดจ้านที่ให้ความเย้าและดึงดูด ซึ่งเรามักจะเจอเป็นสาย Support มาเสมอ จนเมื่อสาย Designer Brand เองก็รับการถ่ายทอดการสร้างสรรค์น้ำหอมสไตล์ชูโรง Note กลิ่นมาจาก Niche Brand โดยมายกระดับกับการเป็น Exclusive Collection ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความ High-End ในการใช้น้ำหอมเข้าไปอีก แน่นอนว่าถั่วตองก้า ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้มาสู่การชูโรงเสน่ห์เฉพาะตัวตามที่ควรจะเป็นด้วยเช่นกัน

และหนึ่งในนั้นก็มี Christian Dior กับการนำเสนอความเป็นถัวตองก้าในรุ่น Feve Delicieuse ในช่วงที่เปิดตัวเป็น La Collection Privee เมื่อปี 2015 และถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงมาตลอด (จนเมื่อมีการเปลี่ยนมาเป็น Collection - Maison Christian Dior ในอีก 3 ปีต่อมารุ่นนี้ก็ตามมาประจำการอยู่เช่นเดิม โดยไม่ได้โดนปิดจ็อบแต่อย่างใด ซึ่งถ้ามีโอกาสจะมาเล่ากลิ่นอีกครั้ง) เช่นนั้น กลิ่นนี้มีดีอย่างไร เราก็ต้องมาพิสูจน์กันหน่อยแล้วกับจุดเริ่มต้นใน Version ของ La Collection Privee

Feve Delicieuse เปิดต้นกลิ่นคือการผสมผสานระหว่างโทนกลิ่นที่มีทั้งความนวลอวลของลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาสายสมุนไพร แต่มาสายนวลแกมหวานคล้ายชะเอมแกล้มไปกับกลิ่นปร่าเพพเพอร์มินต์ ที่แอมมีความติดเปรี้ยวขมอ่อนๆ แนวมะกรูดฝรั่งเจืออยู่ แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนเสริมอย่างวานิลลาติดควัน Smoky หน่อยๆ แกมกลิ่นแนวคล้ายคาราเมลเจือกลิ่นหญ้าแห้งนิดๆ ที่เป็นลักษณะของถั่วตองก้าชัดเจนและเดาไม่ยากว่าถั่วตองก้าจะเป็นแกนนำหบักกันยาวๆ ไป เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาหอมนวลแกมหวานมีเสน่ห์แบบโทนเย้ายวนตั้งแต่ต้นเลย แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะซักครู่เล็กๆ จะมีกลิ่นออกทางคล้ายเหล้ากึ่งเชอร์รี่เสริมเข้ามาด้วย เลยสร้างโทนกลิ่นออกทางดึงดูดเสริมเข้ามาเนียนๆ ซึ่งแน่นอนช่วงเปิดถือเป็นช่วงเรียกแขกอย่างแท้จริงมากๆ เพราะไม่ว่าจะคนที่ชอบกลิ่นแนวขนมแต่ไม่ได้ยัดเยียดความเป็นขนมเดินได้ เน้นความเป็นกลิ่นแกมขนมที่มีมิติดึงดูดน่ากินและหรูหรามีระดับ หรือคนที่ชอบโทนกลิ่นแนว Oriental Vanilla ที่ให้ความเป็นโทนหวานหอมแกม Smoky มีมิติของกลิ่นนวลๆ เย้าอบอุ่น เรียกว่าโดนตกกันได้ไม่ยากและสามารถทำให้ตัดสินใจซื้อได้เลยเพียงแต่ดมช่วงนี้

การเปลี่ยนเข้าช่วงกลางอารมณ์จะเป็นแนวคล้ายเหล้ารัมเชอร์รี่ที่จะเป็นตัวที่ฟุ้งออกมาให้รับรู้ซ้อนไปด้วยกลิ่นโทนถั่วตองก้าที่มีโทนแนวๆ คาราเมลแกมหญ้าแห้งเจือหวานและวานิลลาติดดาร์กที่ติดควัน เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หนามาก เพราะมีโทนออกทางดอกไม้แกมเขียว Spicy หน่อยๆ ที่อาจจะมาจากมินต์แกมลาเวนเดอร์ในช่วงต้น กลิ่นเลยจะให้ความพอดีๆ อวลๆ แบบเย้าๆ ที่แน่ๆ ช่วงนี้ได้อารมณ์เซ็กซี่มีระดับซะด้วย เพราะโทนเหล้ารัมเชอร์รี่นี่แหละที่สร้างสีสันในการดมได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะให้เสน่ห์สไตล์กึ่งนวลกึ่งเย้าแบบนี้ไปซักพัก จนเริ่มจับต้องได้ว่ามีกลิ่นแนวชอคโกแลตพราลีนเข้ามาสร้างความเป็นโทนขนมเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นทีละหน่อยๆ และมีโทนไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ มาเสริมด้วย มิติกลิ่นเลยมีความหลลากหลายเนียนๆ พอสมควร ซึ่งจะได้หมดทั้งโทนดึงดูดจากเหล้าแกมเชอร์รี่ ได้ความอบอุ่นของวานิลลา ได้ความเย้ายวนของถั่วตองก้าที่มี Effect ทั้งโทนออกทางคาราเมลแกมหญ้าแห้งหวาน ทั้งโทนออกทางถั่วนิดๆ โทนออกทางนุ่มครีมสอดรับกับวานิลลาและพราลีน ซึ่งถั่วตองก้านี่แหละที่จะเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะมีกลิ่นออกทางแกมหนังหน่อยๆ สร้างลูกเล่นเซ็กซี่ Animalic และกลิ่นนมที่เข้ามาทำให้มีความน่ากินแกมน่าซุก ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะมีความเป็นโทนครีมนมแกมกลิ่นถั่วตองก้าที่เสริมโทนแนววานิลลาแกมโทนดาร์กควันติดหวานอบอุ่นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกำยาน Benzoin ที่เสริมกลิ่นลักษณะนี้ ทำให้ช่วงท้ายนี่เข้าทางกลิ่นอายชวนกินชวนดมมาก กลิ่นมีความเย้ายวนอวลรุมๆ รอบกายตลอดแบบที่บางวูบจะได้เป็นกลิ่นออกทางนมวานิลลาเจือคาราเมลอ่อนๆ แอบมีโทนแอมเบอร์เนียนๆ บางวูบจะได้กลิ่นแนวชอคโกแลตพราลีนแกล้มนมอุ่นนุ่มๆ บางวูบได้กลิ่นออกทางครีมนมหอมหวานแกมกลิ่นหนังและไม้หอมโปร่งอ่อนๆ เรียกว่าเป็นช่วงที่สร้างโทนกลิ่นชวนอร่อยและน่าซุกไล่สเต็ปได้ดีมากตั้งแต่ช่วงต้นที่เริ่มที่ความอวลดึงดูด ตามด้วยความเซ็กซี่มีระดับในช่วงกลาง และปิดท้ายความหอมน่าซุกชวนอร่อยแบบไม่ต้องยัดเยียดความหวานเชื่อมจัดๆ สไตล์ขนมแต่ก็เอาอยู่และไม่ธรรมดา

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย เพราะโทนกลิ่นมีความ Unisex สูงมาก ซึ่งเสริมบุคลิกเย้ายวนดึงดูดและน่าคลุกวงในแบบมีระดับได้หมด ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไปเดี๋ยวกลิ่นอบอวลจัดจนอึดอัด แต่ถ้าพอดีๆ บอกเลยว่ากลิ่นสร้างความเซ็กซี่น่าเข้าใกล้ส่วนบุคคลได้ดีมากจริงๆ แต่ถ้าจะเอาไปใส่ยามทางการอาจจะต้องเลือกสถานการณ์หน่อย รวมถึงยามกลางคืนที่ใส่ออกงานก็ได้ ใส่โรแมนติคก็ดี หรือใส่ท่องราตรีแบบหรูหราหน่อยก็ย่อมได้ แต่สิ่งที่ควรตัดออกในการใช้งานเลยนั่นคือ การใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกาย เพราะว่าไม่เข้าทุกประการแถมจะตีขึ้นจนอึนเอาได้

ความทน - พื้นฐานคือ 8 ชม. สบายๆ แต่อาจจะมีลบ 2 ชม. แต่บวกได้ถึง 4 ชม. ก็อิงตามสภาพผิวกายผู้ใช้และจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอที่ 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ไม่ได้ถึงกับโฉ่งฉ่างปล่อยพลังพร่ำเพรื่อ ซึ่งต้องยอมรับว่าการกระจายดีของกลิ่นตั้งแต่ช่วงต้นยันปลายช่วงกลางนี่มีความเสถียรมาก คงตัวกันยาวๆ ถึงราวๆ 4 - 5 ชม. กันเลย ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางซักราวๆ 1-2 ชม. แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวราวๆ ชม. ที่ 7 - 8 เป็นต้นไป 

สรุป - ต้องยอมเขาเลยว่าทำกลิ่นและชูโรงความเป็นถั่วตองก้าได้อย่างมีเสน่ห์ มีลูกเล่นที่แตะความเย้ายวน ความดึงดูด ความน่าค้นหา ความเซ็กซี่ และกระตุ้นอารมณ์คลุกวงในแบบที่ไม่ได้จงใจแต่สร้างสเต็ปให้รู้สึกทีละหน่อยๆ จนตกได้เต็มที่ในที่สุด ที่สำคัญคุมโทนความหรูหรามีเสน่ห์ และไม่ธรรมดาในสไตล์ Dior ได้อย่างลงตัวมากๆ เสียด้วย เลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมได้รับความนิยมมากจนมาที่ในการเป็น Maison Christian Dior ก็ยังได้รับความนิยมอยู่เสมอ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sandrascloset.com/tag/feve-delicieuse/

 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Christian Dior - La Collection Privee: Mitzah

Christian Dior - La Collection Privee: Mitzah

ใน Collection - La Collection Privee ของ Dior ส่วนใหญ่จะได้รับการเปลี่ยนสถานะเป็น Collection - Maison Christian Dior กันก็พอสมควร แต่ก็มีหลายๆ รุ่นที่แบบว่าไม่ได้ไปต่อทั้งๆ ที่กลิ่นมีความงดงามและเทียบชั้นการเป็น Niche Perfume ที่ยอดเยี่ยมก็มาก แต่ก็นะ เมื่อแบรนด์ตัดสินใจแล้ว และขยับเป็นอีกหนึ่งสเต็ปในการนำเสนอกลิ่นอายสาย Exclusive ที่ตอบโจทย์ตลาดมากขึ้น รุ่นที่เลิกผลิตก็กลายเป็น Rare Items ไปในที่สุด และหนึ่งในนั้นก็มีรุ่นนี้ด้วย Mitzah

ซึ่งที่มาที่ไปของการเป็น Mitzah นั่นก็คือหนึ่งในสุภาพสตรีที่เป็นเพื่อนของ Christian Dior อย่าง Mitzah Bricard ที่เป็นสาวสังคมชั้นสูงที่มีสไตล์และมีความลึกลับกับการสวมใส่แฟชั่นลายเสือดาวที่มีเสน่ห์มาก และเธอก็เป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์แฟชั่นให้ Dior ในตำแหน่ง Chief Stylist & Advisor เสียด้วย และกลิ่นนี้คืการ Tribute ต่อคนสำคัญอีกคนหนึ่งของเจ้าของแบรนด์นั่นเอง  

Mitzah เปิดตัวออกมาพร้อมกับการเป็นกลิ่นอายโทนอบอุ่นที่ชัดเจนมาก และเด่นนำมาเลยกับการเป็นโทน Warm Spicy ที่เด่นกับการเป็นโทนเครื่องเทศเผ็ดอุ่นหวานเย้ายวนรองพื้นให้จับต้องได้อย่างชัดเจนมาก ซึ่งจะจับต้องได้เต็มก่อนเลยว่าโทนเครื่องเทศติดปร่าเผ็ดคมวูบขึ้นมาของเม็ดผักชีที่อาจจะทำให้สตันกันนิดนึง แล้วจะจับต้องได้ถึงกลิ่นหวานอายเย้าเผ็ดแบบกลางๆ ไม่โปร่งไปและอวลทึบไปของเม็ดกระวานที่มาเสริมสร้างอารมณ์แบบเรียกร้องความสนใจเนียนๆ ที่ชัดเจนไม่น้อย แต่วูบถัดไปจะมีแอมเบอร์เป็นฉากหลังที่ชัดเจนและมีกลิ่นโทนหวานเผ็ดเย้าของอบเชยที่วูบขึ้นมาแบบสวยๆ และดึงดูดชัดเจนมาก เพียงแต่จะยังเป็นเหมือนพื้นกลิ่นหรือตัวสนับสนุนที่ออกแนวท่ามกลางผู้คนแล้วจะเห็น 2 โทนนี้เด่นประมาณนั้น

และเมื่อกลิ่นเข้าสู่ช่วงกลางความชัดเจนของอบเชยจะกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักเลย กลิ่นจะให้ความเป็นโทนสีน้ำหอมหวานเผ็ดปนเย้ายวนที่ชัดเจนมาก ซึ่งโืนกลิ่นแอมเบอร์ที่จับต้องได้ในช่วงต้นกลิ่นจะเบลนด์เป็นเนื้อเดียวกับอบเชยไปด้วย ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นเย้ายววนและมีความร้อนแรงเนียนๆ แฝงอยู่ตลอด โดยจะมีกลิ่นปร่าเผ็ดในช่วงต้นของเม็ดผักชีที่ตามมาเป็นตัวสร้างความปร่าฟุ้งออกมาแบบพอเหมาะ กลิ่นเลยจะมาแนวแบบอารมณ์เห็นสาวงามที่มีความร้อนแรงเย้ายวนอวลๆ โดดเด่นแบบละสายตาไม่ได้แนวๆ นั้น ซึ่งเนื้อกลิ่นจะไม่ได้มีเท่านี้เพราะมีโทนออกทางกุหลาบที่มีสร้างลักษณะกลิ่นอายแบบผู้หญิงเข้ามาในเนื้อกลิ่นด้วย เลยมีเสน่ห์เข้าไปอีกสเต็ป ซ่งไม่นานจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายติด Smoky ควันๆ ออกทางธูป Incense ที่เริ่มเข้ามากล่อมให้กลิ่นไม่ได้มีแต่ความหวานเย้ายวนแล้ว แต่จะมีความน่าค้นหาและความลึกลับที่เข้ามาร่วมด้วย และจะเริ่มปูทางไปสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่แน่นอนอบเชยยังคงอยู่ให้ความหวานเย้าเผ็ดอวลอุ่น แต่โทนแอมเบอร์จะมีความชัดเจนมากขึ้นแบบอวลลึก และที่สำคัญจะจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางน้ำผึ้งที่ไม่ได้ถึงกับหวานเอียน แต่จะได้โทนหวานที่ติด Animalic ที่เป็นสาบเร้าร่วมด้วย รวมถึงจะมีกลิ่นโทนควัน Smoky คลออย่างมีชั้นเชิงโดยมีกลิ่นพิมเสนติด Earthy ปนกรุยกรายเนียนๆ สร้างออร่าความน่าค้นหาและลึกลับอยู่ตลอด เนื้อกลิ่นจะสื่อสารถึงโทนสีออกทางส้มปนน้ำตาลสลับดำลึกลับได้อย่างลงตัวมีความโดดเด่นและอบอวลเย้าดึงดูด แกมมีความกรุยกรายได้ชัดเจนและยังคงตัวกันยาวๆ แบบที่ไม่ลดราวาศอกในการสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นอบอุ่นร้อนแรงแบบมีระดับแต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมาสายร้อนแรงแบบมีชั้นเชิงและไม่ได้ดูพยายาม สร้าง Sex Appeal ออกมาแบบที่น่าค้นหาก็ได้ด้วย ซึ่งเข้ากับบางสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไปอาจจะทำให้อึดอัดเอาได้ เพราะกลิ่นมีความแผ่รังสีนางพญากันพอตัวเลย แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย จุกและขาดอากาศหายใจแน่ถ้าใส่ไปวิ่งสี่คูณร้อย แต่ยามค่ำคืนบอกเลยสร้างออร่านางพญาที่มีจริตและมีความเย้ายวนได้ดีมาก อารมณ์แบบมีเสน่ห์สะดุดตามาเต็มกันเลยทีเดียว จึงเข้าทางกับการใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบมีระดับเลยล่ะ

ความทน - มากกกกก 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ กับการใช้ที่ 4 สเปรย์ ความทนก็ยังลากยาวไปที่ 15 ชม. ทุกครั้งได้เลย เช่นนั้นยังไงก็ 8 ชม. สบายๆ ถ้าอิงกับสภาพผิวอื่นๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น และจะลดลงมากระจายดีกันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้ายเลย ก่อนที่จะผ่อนลงมาปานกลาง แล้วพอพ้นซัก 8 ชม. ไปแล้วถึงเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป

สรุป - กลิ่นให้ความรู้สึกเหมือนเห็นผู้หญิงที่มีมาดนางพญาคนหนึ่งที่ใส่สุดลายเสื้อดาวแบบมีระดับ มีจริต และมีความกรุยกรายแบบมีชั้นเชิงที่ไม่ธรรมดาและมีพลังดึงดูดเสียมากกว่า ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าสามารถสร้างสรรค์และดึงเอาความเป็น Mitzah Bricard ออกมาผ่านกลิ่นได้อย่างหมดจดไม่พอ ยังสามารถสร้างออร่าที่มีพลังได้ชัดเจนมากอีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://joeychong.com/2012/12/28/introducing-dior-la-collection-privee/

 

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Christian Dior - Sauvage Eau de Parfum

Christian Dior - Sauvage Eau de Parfum

เมื่อ Dior Sauvage รุ่น EDT ออกมาตีตลาดในปี 2015 และก็กวาดเอาความชอบและคำชมไปมากมาย รวมถึงคำค่อนขอดเปรียบเทียบต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถทลายความฮิตติดลมบนกันสุดๆ ของรุ่นนี้ไปได้ จนเมื่อผ่านไป 3 ปี แน่นอนว่าพอฮิตแล้วการต่อยอดก็ต้องมีตามเทรนด์ของการสร้างสรรค์น้ำหอมของแบรนด์ Christian Dior ที่จะมีแตกแขนงเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นตามขนบ และเมื่อรุ่นตั้งต้นเป็น EDT งานนี้รุ่นต่อมาที่เก็งกันไม่น่ายากอย่าง Eau de Parfum: EDP จึงออกมาต่อเนื่องเพื่อตอกย้ำความสำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าติดตลาดกันอย่างสนุกสนานและได้รับความนิยมสูงมากจนถึงทุกวันนี้กันเลยทีเดียว

และรุ่นนี้มีดีหรือไม่อย่างไง ก็ต้องมาจาระไนกันหน่อย

Dior - Sauvage EDP เปิดตัวมาในลักษณะเดียวกันกับต้น EDT ที่จะมาด้วยกลิ่นโทน Citrus ติดเครื่องเทศแนวพริกไทยที่จะมีกลิ่นโทนผลไม้แนวๆ คล้ายสับปะรดเข้ามาร่วมด้วยและค่อนข้างเด่น และที่สำคัญกลิ่นโทนลาเวนเดอร์จะค่อนข้างมีอิทธิพลพอสมควรกับช่วงนี้กับความนวลกึ่งอวลเท่ห์ เลยทำให้กลิ่นไม่ได้พุ่งคมแบบ EDT นัก แต่กลับให้ความ Smooth มากขึ้นแบบไม่หนักหน่วงเกินไป โดยที่จะมีลักษณะของโทนสารหอมที่เป็นตัวเอกหลักของการเป็น Sauvage อย่าง Ambroxan ที่ให้กลิ่นอายแบบผิวกายติดเค็มอบอุ่นคล้ายอำพันปลาวาฬ แต่จะออกมาทางไม้หอมอวลๆ ที่จะผลุบๆ โผล่ๆ ให้รู้ว่า Signature ไม่ได้หายไปไหนนะ ยังมีอยู่ และ Ambroxan นี่แหละที่จะเป็นเหมือนแกนกลางของน้ำหอมที่จะอยู่ในทุกๆ ช่วงให้จับต้องได้แบบเป็นพระเอกเลยล่ะ

ในช่วงกลางความเป็น Ambroxanจะเริ่มชัดมากขึ้น แต่ยังคงหลีกทางให้กับสายเครื่องเทศที่ชัดพอสมควรกับกลิ่นปร่าเผ็ดเจือนวลนิดๆ แต่มีความซ่าออกมาให้รู้สึกได้อย่างพริกไทยเสฉวน หรือที่เรารู้จักกันดีว่าพริกหมาล่า และมีโทนติดฝาดเผ็ดนวลกึ่งกุหลาบเล็กๆ ของพริกไทยสีชมพูประปราย ทำให้กอารมณ์กลิ่นจะเป็นการเอาโทน Fresh Spicy เป็นตัวเด่นตีคู่กับ Citrus และวูบกลิ่นผลไม้ แต่กลิ่นจะไม่ได้แหลมหรือคม ทุกอย่างมีความสมดุลย์มากเลยทีเดียว และแอบมีโทนหวานอวลกำลังดีในสไตล์เครื่องเทศของโป๊ยกั๊กหน่อยๆ รวมถึงจับได้ว่ามีตัวเกลากลิ่นสายเครื่องเทศติดปร่าและเชื่อมโทนกับไม้หอมได้ดีอย่างเม็ดจันทน์เทศที่ทำให้กลิ่นมีความกลมมากขึ้น เลยทำให้เรียกว่าเป็นช่วงที่สร้างลักษณะทางกลิ่นได้ดีต่อยอดจากต้นฉบับมาเป็นกลิ่นมีความอวลและนวลกลมกล่อมมากขึ้น และเมื่อดมใกล้ผิวเข้าไปจะจับได้ถึงกลิ่นไม้หอมแห้งๆ อย่างหญ้าแฝกและมีกลิ่นอ้อยอิ่งติดปร่าหวานหน่อยๆ ของพิมเสนให้จับต้องได้ด้วย แต่ก็ไม่ได้โดดแต่อย่างใด ให้มิติกลิ่นไม้หอมระเรื่อได้น่าสนใจมาก

จนเมื่อ Ambroxan เริ่มกลายเป็นตัวเอกหลักในการเดินกลิ่นที่จะให้อารมณ์ติดเค็มบางๆ กึ่งอบอุ่นผิวกายที่มีไม้หอมอวลๆ ชัดเจนมากขึ้น แล้วโทนเครื่องเทศค่อยๆ ลงมาเป็นสายสนับสนุน พร้อมกับกลิ่นออกทางติดผลไม้เปรี้ยวอมหวานกึ่งครีมมี่อ่อนๆ ที่ยังมีอยู่ให้รู้สึกได้เป็นตัวสร้างอารมณ์เย้าๆ เนียนๆ ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายที่กลิ่นอวลๆ จะปล่อยของ ในลักษณะที่เป็นไม้หอมแห้งอวลติดอบอุ่นเจือผลไม้เนียนๆ แกมปร่าหวานพิมเสนปลายกลิ่น ที่ให้ความมีเสน่ห์เย้าๆ ติดเซ็กซี่เนียนๆ ไม่โจ่งแจ้ง แต่มีออร่าที่ออกทางหล่อมีระดับ ซึ่งก็ยอมจริงๆ เพราะกลิ่นมีความสมดุลย์มากในการวางตำแหน่งและการให้อารมณ์กลิ่นแบบอวลไม้กึ่งเปรี้ยวอมหวานหอมที่มีระดับเลยทีเดียว คุมโทนความ Smooth ของกลิ่นที่ให้ความ Cool ความเท่ห์เป็นที่ตั้ง แต่เสริมด้วยความอวลเย้ายวนและอบอุ่นน่าเข้าใกล้มากขึ้นนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็ใส่ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นจะให้ความอวลมีระดับที่สร้างเสน่ห์ได้ดี เพียงแต่ว่าอย่าหนักมือเกินไป เดี๋ยวจะตึ้บซะก่อน ซึ่งเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบใส่ทางการหรือทั่วๆ ไปได้หมด จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่ช่วงแรกๆ ไม่เข้าทางนัก รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน จัดไป ได้หมด เผลอๆ รับคำชมได้ไม่ยากอีกด้วย

ความทน - อันนี้แหละความดีงาม 8 ชม. คือพื้นฐาน และยาวนานไปมากกว่านั้นได้อีก อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปเลยเต็มๆ ที่ 15 ชม. เหนาะๆ อาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดอ่อนๆ ที่ผิวอยู่เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ไม่ได้คมเกินไป แล้วค่อนข้างเสถียรมากในการกระจายที่จะยาวไปจนถึงราวๆ 4 ชม. เลย ก่อนที่จะผ่อนลงมาที่ปานกลางกันต่ออีกยาวๆ เช่นกัน พอพ้นไปซัก 10 ชม. จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วผ่อนลงไปติดผิวเอาตอนราวๆ 12 - 13 ชม. ไปแล้ว

สรุป - EDT จะให้ความรู้สึกใส มี Energy และคมกว่า อารมณ์ได้ทั้ง Cool และได้ทั้งเรียกร้องความสนใจ แบบผู้ชายเจ้าเสน่ห์ ส่วน EDP จะได้ความอวลติดลุ่มลึกที่ Cool ก็ได้ อบอุ่นก็สามารถ โดยมีความเย้ายวนนวลเนียนอย่างมีชั้นเชิงอยู่ตลอด ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 ยังคุมโทนการสื่อสารทางกลิ่นอายผู้ชายสาย Metro หล่อๆ ได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งอันนี้ไม่ว่าใครใคร่ EDT หรือ EDP ต่างก็สามารถใช้เพื่อสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นออกมาได้อย่างดีทั้งคู่เลย อยู่ที่ความชอบเน้นๆ

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.myer.com.au/p/sauvage-sauvage-edp

 

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

Review: Christian Dior - La Collection Privee: Ambre Nuit


Christian Dior - La Collection Privee: Ambre Nuit

จากที่ได้ผ่านกลิ่นอายต่างๆ สาย La Collection Privee มาก็พอสมควร (ที่ปัจจุบันนี้เปลี่ยนเป็น Maison Christian Dior ไปหมดแล้ว และหลายๆ รุ่นก็ปรับสูตรกันไปเรียบร้อย) แต่มีอยู่ 1 โทนที่ไม่เคยได้ลองกับเขาเลยนั่นคือ กลิ่นอายสาย Amber และ Ambergris ของโซนนี้ แต่เพราะได้ยินทั้งเสียงเล่าอ้างและความชื่นชมกับกลิ่นที่ให้ความพลิ้วไหวทางกลิ่นที่งดงามมากๆ ของรุ่นหนึ่งที่ชูโรงกลิ่นอายสายนี้ โดยมีที่มาจากงานเต็นรำบอลลูมสมัยศตวรรษที่ 18 แนวสไตล์บารอค เช่นนั้น ก็ต้องลองกันหน่อยว่าจะเด็ดดวงแค่ไหนอย่างไรบ้างกับรุ่นนี้เลย Ambre Nuit

บอกก่อน - การเล่ากลิ่นจะเน้นที่ความเป็น Ambre Nuit ในช่วงที่เป็น La Collection Privee เท่านั้น เพราะผู้เขียนยังไม่เคยได้ลองการเป็น Ambre Nuit ในโซน Maison Christian Dior แบบเต็มๆ เท่าไหร่ จึงไม่สามารถบอกได้ถึงกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงหรือเปรียบเทียบกันได้

การเปิดตัวของกลิ่นเรียกว่าสร้างความประทับใจเลยก็ว่าได้กับการเป็นออกทางพิมเสนที่มีความ Smoky กำลังดีปนโทนสมุนไพรแห้งๆ ที่ให้ความหวานกำลังงามเด่นออกมาแบบสมดุลย์และพอเหมาพอเจาะมาก แต่กลิ่นจะมีตัวเสริมชั้นดีอย่างโทน Citrus ติดขมมีความปร่าซ่าอ่อนๆ อย่างมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เสริมให้กลิ่นพิมเสนมีความ Sparkling วิบวับกำลังดี และยังมีกลิ่นติดฝาดกึ่งกุหลาบปนปร่านวลอ่อนๆ ของพริกไทยสีชมพู และมีความปร่าซ่าเผ็ดแบบเบาๆ กำลังดี ของเครื่องเทศแนวๆ คล้ายกานพลูนิดๆ อยู่เป็นฉากหลัง ทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะได้ความรู้สึกเป็นพิมเสนในโทนสีน้ำตาลอ่อนที่มีความปร่าหอมหวานกำลังดี มีความอะโรม่าในเนื้อกลิ่นสูงมากจนทำให้รู้สึกเพลินในการดมกลิ่นที่สร้างอารมณ์น่าค้นหาได้อย่างลงตัวมากตั้งแต่เริ่มต้นเลย

เมื่อความเป็นโทนกุหลาบเคล้ากลิ่นอายไม้หอมติดปร่าปน Smoky เย้าๆ เริ่มเปิดตัวออกมา ก็ปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่คราวนี้กุหลาบจะเป็นตัวเดินกลิ่นตีคู่กับพิมเสนที่จะเริ่มมีกลิ่นโทนคล้ายๆ Incense เนียนๆ เข้ามาร่วมด้วย ทำให้กลิ่นเริ่มจะมีลูกเล่นมิติที่ซ้อนกันอย่างมีชั้นเชิงและตอกย้ำความน่าค้นหาเข้าไปมากขึ้น และเพียงไม่นานก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงโทนกลิ่นที่มีความอบอุ่นเจือหวานที่มีลักษณะแบบ Amber ที่มาแบบลุ่มลึกละเมียดละไม ทำให้ช่วงกลางจะได้อารมณ์กลิ่นยืนพื้นที่ความน่าค้นหาปนอบอุ่นกำลังดีเป็นหลัก โดยจะมีความปร่าที่ตามมาจากกลิ่นโทนเครื่องเทศปน Citrus ช่วงต้นที่ทำให้กลิ่นมีความวิบวับกำลังดี มีความโรแมนติคปนเย้าของกุหลาบ มีความหรูหราของพิมเสน และมีความอบอุ่นของ Amber ปนสมดุลย์ติดกลิ่นไม้หอมกึ่ง Smoky กึ่งปร่าซึ่งเรียกว่าเป็นช่วงที่สร้างกลิ่นอายน่าค้นหาที่มีเสน่ห์มากและเป็นไฮไลท์ของกลิ่นอย่างแท้จริง จนกระทั่งกลิ่นโทนออกทางติดเค็มหน่อยๆ เคล้าความหวานปนนวลเริ่มจะเทคโอเวอร์กลิ่นมากขึ้นตามลำดับ จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความเป็น Ambergris จะเป็นตัวเดินเกมหลัก ที่จะมีพื้นฐานความเป็น Amber อบอุ่นติดกลิ่นไม้หน่อยๆ มีความเป็นโทน Musky นวลละมุนเคล้ากลิ่นกุหลาบหวานอ่อนๆ กำลังดี โดยมีพิมเสนหวานระเรื่อประปรายอ้อยอิ่งรอบๆ เนียนๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความเย้ายวนเฉพาะตัวแบบไม่ได้โจ่งแจ้งแต่มีเสน่ห์ที่น่าค้นหาแบบค่อยเป็นค่อยไปจนซึมลึก ซึ่งทำให้รู้สึก Sexy ก็ได้วาบหวามอย่างมีชั้นเชิงชวนคลุกวงในก็สามารถ ซึ่งเรียกว่าเป็นช่วงปิดที่คุมโทนกลิ่นได้น่าค้นหาและมีเสน่ห์แบบเก็บกินช่วงท้ายได้อย่างดีงามจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นมีความกลางๆ แตะได้หมดทั้งหยิงและชาย โดยที่จะให้ความน่าค้นหาเป็นที่ตั้ง และไม่ว่าอยู่ในผิวชายเพศไหน ก็สามารถสร้างความดึงดูดได้ทั้งคู่ ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นก็มีมุมที่สร้างความภูมิฐานแกมอบอุ่นก็ได้ หรือจะน่าค้นหาเย้ายวนมีระดับก็ดี แต่กลิ่นจะไม่ค่อยเหมาะกับการใส่กิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายนัก ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยเหมาะกับการใส่ออกงานหรือยามโรแมนติคมากที่สุด เพราะกลิ่นเสริมลักษณะน่าค้นหาอย่างมีระดับ มีรสนิยม และมีเสน่ห์ออกมาได้อย่างชัดเจนมาก แต่ถ้าจะใส่ท่องราตรีเอาจริงๆ ก็ทำได้ถ้าเพิ่มสเปรย์หน่อย แต่ถ้าเจือกลิ่นอวลมากๆ ก็โดนกลบได้อยู่

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีลบบ้างนิดหน่อย แต่บวกเพิ่มได้ถึง 4 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ และมีความเสถียรในการกระจายพอสมควร จนเมื่อผ่านไป 6 ชม. ถึงจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วเป็น Skin Scent เมื่อผ่าน 8 ชม. ในที่สุด

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นที่มีความยอดเยี่ยมมากในการสร้างสมดุลย์ทางกลิ่นของโทน Amber และ Ambergris ได้อย่างงดงามในความน่าค้นหาที่มีความหวานปนอบอุ่นนวลๆ และมีความสว่างปร่าวิบวับสวยๆ ได้ดีมาก อีกหนึ่งผลงานชั้นยอดของแบรนด์นี้ในสาย La Collection Privee ได้เลยล่ะ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.designerperfumes4u.co.uk/perfume/christian-dior-ambre-nuit/

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Christian Dior - Eau Sauvage Cologne

Christian Dior - Eau Sauvage Cologne 

ว่ากันด้วยความคลาสสิคของกลิ่นหอมฝั่งน้ำหอมผู้ชายของแบรนด์ Dior ที่หลายคนจะนึกถึงสาย Fahrenheit ที่เอาอยู่แบบมาดแมนเหลือทนในช่วงปลายยุค 80 และยาวนานจนถึงปัจจุบันแล้ว
 ยังมีคลาสสิคย้อนกลับไปมากกว่านั้นที่ยังอยู่ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ตั้งแต่ช่วงยุค 60 จนถึงทุกวันนี้ด้วยเช่นกันกับกลิ่นอายสายสดชิ่นคลาสสิคมีระดับแบบสุภาพบุรุษนั่นก็คือสาย Eau Sauvage ซึ่งได้มีการแตกไลน์มีลูกหลานออกมาครั้งแรกก็ช่วงยุค 80 และข้ามมาอีกทีก็ช่วงปี 2000 ที่มีการต่อยอดออกมาอีกหลายรุ่นเลยทีเดียวจนถึงปัจจุบัน 

และเมื่อได้มีโอกาสได้มาเจอสายนี้ ก็ยังไม่ใช่ตัวต้นตระกูล แต่จะมาเจอกับรุ่นหลานแทนที่จะมาในลักษณะกลิ่นอายสไตล์ Cologne ของความเป็น Eau Sauvage ในการตีความความคลาสสิคที่มีความร่วมสมัยมากขึ้น โดยการวางจำหน่ายในปี 2015 เป็นต้นมา เช่นนั้นได้เวลาพิสูจน์ว่ากลิ่นอายจะมาในลักษณะใด 

บอกก่อน - เนื่องจากเคยผ่านการใช้ Eau Sauvage ตัวต้นตระกูลเพียงผิวเผิน เลยจะไม่ได้เล่าความเชื่อมโยงอะไรที่อาจจะชัดเจนนัก แต่จะเล่ากลิ่นที่การเป็น Eau Sauvage Cologne เป็นสำคัญ 

เพียงแค่เปิดตัวขึ้นมาความเป็นโทนกลิ่นแนว Citrus Aromatic จะชัดเจนมากเลยทีเดียวกับกลิ่นอายโทนเปรี้ยวสดชื่นเจอความเขียวคมๆ รองพื้นที่ให้อารมณ์ติด Classic Traditional Cologne หรือลักษณะ Barber Shop Scent แบบเป็นวูบๆ ที่ไม่ได้หนักหน่วงคมปรี๊ดมากนัก แต่ให้ความเป็นตัวรองพื้นที่ดีที่เหมือนเป็นการส่งต่อจากกาลเวลาของกลิ่นหอมแนวสดชื่นคลาสสิคให้มาเจอกับความสดชื่นสว่างๆ ของสาย Citrus ที่มีความเป็นธรรมชาติดีเลยทีเดียว ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเป็นการไล่เลเยอร์กลิ่น Citrus ได้ดีมาก เพราะจะได้อารมณ์เปรี้ยวติดแปร่งสว่างๆ ของเกรปฟรุตเด่นออกมาตามด้วยความเป็นกลิ่นโทนส้มที่ติดหวานหน่อยๆ ของส้มจีน แต่จะมีกลิ่นอายเปรี้ยวติดขมปนเขียวปร่า Spicy หน่อยๆ ที่ล้อมๆ กลิ่นสร้างบรรยากาศอยู่ตลอดของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ร่วมอยู่ด้วย โดยที่กลิ่นอายติดเขียวเปรี้ยวสดชื่นแบบคมหน่อยๆ จะรองพื้นอยู่ด้านหลังให้ความรู้สึกสดชื่นเต็มที่เลยทีเดียว 

เมื่อกลิ่นเริ่มลดทอนความเป็น Citrus ในช่วงแรกลงมาบ้าง แต่ก็ยังคงชัดเจนอยู่ คราวนี้กลิ่นโทนเขียวติด Citrus จะกลายเป็นผู้เล่นที่ตีคู่ขึ้นมาเคล้ากับ Citrus อย่างเต็มตัว ซึ่งความเด่นจะมาจากกลิ่นเขียวคมๆ ของยางไม้อย่าง Galbanum ที่ให้ความเขียวพุ่งๆ เพียงแต่พุ่งคมแบบกำลังดีเสียมากเพราะมีกลิ่นของกิ่งก้านส้ม (Petitgrain) มาช่วยทำให้กลิ่นเขียวมีค่อนไปทางกึ่งดอกส้มติดเขียวเปรี้ยวอ่อนๆ หน่อยๆ รวมถึงมีกลิ่นของโทนออกทางมะลิติดหวานใสสบายๆ เคล้ากับโทนกุหลาบติดปร่านวลฝาดอ่อนๆ ที่น่าจะมีจากพริกไทยสีชมพู ทำให้กลิ่นให้ช่วงกลางจะเริ่มจากคมนิดนึงเคล้า Citrus แล้วค่อยๆ ปรับเป็นเขียวเจือ Citrus ที่ให้ความรื่นรมย์ปนสดชื่น โดยยังคุมโทนความเป็น Cologne สไตล์ติดคลาสสิคได้ดีไม่พอ กลิ่นยังมีความสะอาดและสบายๆ ติดเขียวเจือดอกไม้อ่อนๆ ที่มาเจอกันอย่างลงตัวทำให้คุมโทนความร่วมสมัยได้ดีและให้ความเป็นกลิ่นอายสไตล์สุภาพบุรุษที่มีความ Cool เคล้าคลาสสิคได้ดี จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีโทนออกทางหญ้าแฝกที่ให้กลิ่นไม้แห้งๆ ติดขมเสริมขึ้นมาทีละหน่อยและมีโทน Earthy ติดหวานเย้าอ่อนๆ เนียนๆ อ้อยอิ่งที่เนียนเข้ามาด้วย ก็เริ่มปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เป็นกลิ่นอายหญ้าแฝกเด่นนำทางเพียงแต่จะไม่ได้เป็นสายดาร์กเลย กลิ่นมาแบบ Lite Version สว่างๆ ให้ความรู้สึกกึ่ง Earthy ติดดินเคล้าไม้แห้งๆ และมีกลิ่นโทน Musky อ่อนๆ สะอาดๆ ที่ซ่อนอยู่เนียนๆ เป็นโทนหลักของช่วงนี้ โดยที่กลิ่นในช่วงกลางอย่างโทนดอกไม้อ่อนๆ เคล้า Citrus ติดเขียวยังตามมาในช่วงนี้แบบเบาๆ สบายๆ ทำให้กลิ่นจะมีความรื่นรมย์ปนสะอาดเจือเขียวที่สมดุลย์กำลังดีเข้าทางสไตล์ Cologne กลิ่นอายสุภาพบุรุษที่มีระดับและกึ่งคลาสสิคกึ่งร่วมสมัย ได้อารมณ์แบบผู้ชายแต่งตัวแบบสะอาดสะอ้านติด Cool เรียบหรูได้ชัดเจนมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก ได้หมดถ้าสดชื่นและติดคลาสสิคหน่อยๆ ได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะให้ความเป็นสุภาพบุรุษสดชื่นแบบที่ไม่ได้ถึงกับต้องเนี้ยบเรียบแปล้อะไรมากก็เอาอยู่และ Cool ได้อย่างสบายๆ โดยสามารถจัดได้หมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ยังไงก็รอดและเรียบหรูได้สบายมาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปให้ความสดชื่นในวันอากาศร้อนๆ หรืออากาศสบายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่เข้าทางกับการใส่ไปเที่ยวผับบาร์เท่าไหร่ แต่ถ้าใส่ไปจิบๆ อะไรนิดหน่อยอันนี้ได้อยู 

ความทน - เกินคาดมาก เพราะโดยทั่วไปการเป็น Citrus Aromatic มักจะไม่ได้ถึงกับทนจัดนัก แต่ตัวนี้บอกเลยว่าสูงสุดที่เจอคือ 12 ชม. แบบชิลล์ๆ เลย ซึ่งค่าเฉลี่ยรวมๆ ทุกสภาพผิวน่าจะอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมากระจายดีซักระยะ ก่อนเป็นปานกลางยาวๆ ไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะเป็นออร่าสดชื่นไปเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้ยอมเขาเลย ทำได้ดีจริงๆ 

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นอายสดชื่นสไตล์สุภาพบุรุษที่ร่วมสมัยแตะได้ทั้งความคลาสสิคและทันสมัยได้หมด และยังมีความเรียบหรูกึ่งสบายๆ ให้ความ Cool กำลังดีไปตลอด ยอมมม กลิ่นเข้าดีจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.myer.com.au/p/dior-eau-sauvage-cologne-50ml-288111070-288122950


วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562

Review: Christian Dior - Midnight Poison (2011)

Christian Dior - Midnight Poison (2011) 

Midnight Poison เป็นหนึ่งใน Masterpiece สาย Poison ของ Christian Dior ที่อยู่ดีๆ ให้ความหอมตั้งแต่ปี 2007 มาปรับสูตรกันซักหน่อยในปี 2011 พอปี 2013 ก็หายแซ่บหายสอยเลิกผลิตไปซะงั้น เรียกว่าทำเอาคนรักกลิ่นนี้ต่างก็งงและเรียกร้องให้ Dior เอากลับมาผลิตใหม่เสียที ของดีๆ ทำไมเลิกผลิตกันจัง เช่นนัั้นกลิ่นนี้มีดีจริงแบบไหน ก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อย

บอกก่อน - ก่อนหน้าที่บอกว่ารุ่นนี้มี 2 ช่วง คือ Original ตอนปี 2007 และปรับสูตรตอนปี 2011 ที่ขวดเองก็มีการปรับสีตัวอักษรและโลหะรอบคอขวดให้จากเดิมเป็นสีเงินให้เป็นสีทอง ซึ่งส่วนตัวไม่เคยได้ลองรุ่น Original มาก่อน เช่นนั้นในการเล่ากลิ่นครั้งนี้จะเน้นที่รุ่นปรับสูตรปี 2011 เป็นสำคัญ 

เริ่ม Start กันด้วยความเป็นโทนกลิ่นอาย Citrus เคล้าไปกับความโดดเด่นของพิมเสนที่มีความ Smooth as Silk กันตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งกลิ่นของ Citrus จะมีความแห้งเจือความเป็นโทน Spicy ติดขมบางๆ มีความซ่าเบาๆ ซึ่งจับได้ไม่ยากว่าเป็นลักษณะของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เปิดตัวตีคู่กับกลิ่นพิมเสนที่ให้ความสะอาดๆ มีความหวานเจือดาร์กน่าค้นหาและอวลกำลังดี เปิดทางการเป็นโทนดึงดูดตั้งแต่แรกเริ่มกันเลย

เพียงไม่นานกลิ่นโทนกุหลาบจะแทรกเข้ามาไวพอสมควร พร้อมกับความอบอุ่นนวลนัวกำลังดีที่เป็นสายสนับสนุนอยู่ฉากหลัง ก็ปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่โทนกลิ่นจะเป็นการตีคู่เคล้าคลอกลั้วไปมากันอย่างน่าดูชมและดมกลิ่นของกุหลาบและพิมเสนที่มีความเย้ายวน ดึงดูด มั่นใจ กรุยกรายมีจริตนางพญากำลังดี Modern หวานลึก และดาร์กแบบลึกลับน่าค้นหา โดยกุหลาบแม้จะมาแบบติดโทนแห้ง แต่ไม่ได้ไพล่ไปทางสายคลาสสิคนัก ทำให้กลิ่นมีความอวลเย้ากึ่งโรแมนติคก็ได้ ลึกลับก็ลงตัว ซึ่งโทน Citrus ในตอนต้นจะเบาลงไปแต่ยังพอมีให้รู้สึกได้ถึงความขมปน Spicy แห้งๆ ซ่าบางๆ อ้อยอิ่งอยู่ ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไประยะหนึ่ง ก็จะมีความอุ่นเข้ามาให้สัมผัสมากขึ้นจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนแอมเบอร์เคล้าไปกับกลิ่นโทนวานิลลาที่ค่อยๆ เปิดตัวมาทีละหน่อยจนเต็มที่ในช่วงท้าย ซึ่งจะกลายเป็น 3 โทนกลิ่นผสมผสานกันได้อย่างลงตัวมากระหว่างพิมเสนที่ให้ความดาร์กดึงดูด กุหลาบที่ให้ความหวานเย้ายวน และแอมเบอร์เคล้าวานิลลาที่ให้ความอบอุ่นอวลกรุ่นไปตลอด โดยจะมีลักษณะของโทนไม้หอมเคล้ากับกลิ่นโทน Musk ให้จับต้องได้อยู่ในลักษณะรองพื้นกลิ่นไว้ไม่ได้ออกเป็นตัวเอกที่ทำให้กลิ่นมีความนวลพลิ้วเจือเซ็กซี่ระเรื่อๆ เสริมให้กลิ่นกลายเป็นกุหลาบพิมเสนเคล้าความอบอุ่นนวลเนียนไปกับผิวกายที่มีเสน่ห์ดึงดูดที่ลงตัวและดีงามมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมีมุมของน้ำหอมผู้หญิงที่ทั้งมั่นใจ ลึกลับ น่าค้นหา มีจริตนางพญา และมีความเซ็กซี่เย้ายวนแบบที่ไม่ดูพยายาม รวมถึงมีคลาสมีระดับครบเลยในขวดเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ได้ทั้งทางการ (แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม) และทั่วๆ ไปที่เน้นสร้างลุคมั่นใจและมีเสน่ห์เป็นหลัก ยิ่งถ้าใส่กับชุดสีโทนเข้มๆ กลิ่นจะเข้ากันได้อย่างดีมาก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งต่างๆ รวมถึงออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวกลิ่นตีขึ้นจนจุกเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืน ไม่ว่าจะออกงาน ปาร์ตี้ หรือท่องราตรี จัดไปได้เลย นางพญาชัดๆ บอกเลย 

ความทน - มีความจัดจ้านในย่านนี้ เพราะทนลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง คงความเสถียรไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่จะกระจายปานกลางซักระยะ ถึงปรับเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 6 - 8 ชม. ยาวไป 

ทิ้งท้าย - ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนเขาถึงเสียดายรุ่นนี้กัน เพราะกลิ่นลงตัวและดีงามในการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่สร้างออร่านางพญาที่มีเสน่ห์มาก เช่นนั้นก็ขอเป็นหนึ่งที่อยากให้รุ่นนี้กลับมาทำใหม่โดยไม่ได้ปรับสูตรจนเพี้ยนไปจากเดิมด้วยอีกคนนึง เพราะของดีแบบนี้ไม่ควรหายไปเลยจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://christiandiorperfumebottles.blogspot.com/2015/04/midnight-poison-by-christian-dior-c2007.html

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Dior Homme Eau for Men

Dior Homme Eau for Men 

ถ้ามองในแง่ของ DNA ของสาย Dior Homme มักจะสื่อสารถึงผู้ชายที่ดูแลตัวเองและมีความเมโทรที่มีความหรูหราและมีระดับ ซึ่งในยุคหลังๆ โทนกลิ่นของ Dior Homme เริ่มที่จะมีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อที่จะตอบโจทย์ความต้องการด้านกลิ่นที่แตกต่างไปตามแต่ละช่วงเทรนด์
 

แต่ถ้ามองในแง่ของกลิ่นที่เป็นตัวหลักของไลน์นี้คงจะหนีไม่พ้นสไตล์กลิ่นของดอกไอริสที่ให้ความเป็นแป้งแนวๆ เครื่องสำอางผสมผสานกับกลิ่นออกทางลิปสติก แต่อย่าพึ่งเอ๊ะไป ว่ามันใช่น้ำหอมผู้ชายเหรอ ซึ่งใช่ เนื้อกลิ่นมีความแมนเมโทรแบบผู้ชายที่ปกเสื้อมีรอยลิปติก ติดอยู่ แล้วกลิ่นกายมีแป้งเครื่องสำอางของผู้หญิงติดกาย ซึ่งแน่นอน Dior เองแม้จะแตกไปเริ่มแตะโทนอื่นๆ มากขึ้นในการปรับสูตรรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมา แต่ความเป็นโทนไอริสของต้นฉบับ Dior Homme เองก็มีเสน่ห์ที่ไม่จางหายไปไหน แต่มันอาจจะหนักไป บางคนก็กลัวที่จะใช้แล้วดูออกสายเพราะกลิ่นหลักมาแบบนี้ Dior เลยเปิดตัวรุ่น Dior Homme Eau for Men ที่ยังคงกลิ่นอายสไตล์เจ้าเสน่ห์มีระดับแบบแป้งเครื่องสำอางเป็นลายเซ็นแบบเดิม แต่มีความสว่างและใสในเนื้อกลิ่นมากขึ้นในปี 2014 ที่ผ่านมา 

ในเมื่อใส่คำว่า Eau ซึ่งแปลว่า น้ำกลิ่นเลยเปิดตัวค่อนข้างชัดเจนกับการเป็นโทนสว่างและมีความรู้สึกแบบโทนน้ำผสมผสานในเนื้อกลิ่นชัดเจน โดยที่หัวใจหลักของกลิ่นของโทนแป้งจากดอกไอริสที่ให้ความเซ็กซี่เจือกลิ่นแบบแป้งเครื่องสำอางตามสไตล์ DNA ของแบรนด์ยังคงมีอยู่ แต่จะมีความสดชื่นแบบกลิ่นแป้งเจือโทนชื้นๆ น้ำๆ หน่อย เคล้ากับสายสนับสนุนอย่างโทนกลิ่นปร่าซ่าๆ ของเม็ดผักชีและกลิ่นอายโทน Citrus ติดออกทางสว่างๆ ของเกรปฟรุตที่ไม่ได้มาสายเปรี้ยวพุ่งคมทะลุเลย มาแบบสายสนับสนุนที่มีความเปรี้ยวปนขมอ่อนๆ ให้กลิ่นดูสดชื่น ทำให้ช่วงต้นจะได้อารมณ์แบบกลิ่นแป้งติดชื้นๆ ไม่หนักหน่วงปูทางกันก่อน แล้วเมื่อกลิ่นออกทางโทนน้ำชื้นๆ เริ่มที่จะลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเป็นสายสนับสนุนเบาๆ ที่ทำให้กลิ่นไม่หลุด Concept ความ Eau ของชื่อรุ่น แต่จะให้ความเป็นโทนแป้งที่มีความเป็นลักษณะสไตล์แป้งเครื่องสำอางที่ชัดเจนขึ้นก็จริง แต่ไม่ได้ไปสายนัวอวลแบบรุ่นต้นตระกูล เพราะกลิ่นจะให้ความเป็นแป้งที่มีความนวล โปร่งๆ แต่ติดอับเซ็กซี่ตามสไตล์ของไอริสอยู่แบบเนียนๆ แอบหวานบางๆ มีความปร่ากำลังดีที่ตามมาจากช่วงต้นทำให้ช่วงนี้จะได้ความรู้สึกแบบโทนสีสว่างออกทางสีขาวนวลปนสีออกทางน้ำเงินอ่อนๆ ที่ให้ความน่าค้นหา ความขรึม ความ Cool และความสบายๆ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ สะอาดๆ ของไม้ซีดาร์ที่ค่อยๆ เสริมทัพเข้ามาเรื่อยๆ และมีความชัดเจนมากขึ้นตีคู่กับความเป็นโทนแป้งในช่วงท้าย ที่กลิ่นซีดาร์จะให้ความสะอาด สว่าง โปร่งก็จริง แต่กลิ่นจะมีความอบอุ่นหน่อยๆ เสริมอยู่ ทำให้ได้ความรู้สึกแบบแป้งปนไม้หอมอบอุ่นมีความหวานเบาๆ อวลกำลังดีไปเรื่อยๆ ได้อารมณ์ผู้ชายสบายๆ แต่แอบเซ็กซี่เนียนๆ เบาๆ กำลังงามเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้ แต่อย่างน้อยพื้นฐานต้องผ่านกลิ่นอายแบบโทนแป้งติดอับสไตล์แบบแป้งเครื่องสำอางหรือจะโทนแป้งทั่วๆ ไปมาบ้าง จะเข้าถึงตัวนี้ได้ง่ายขึ้น รวมถึงคนอยากลองโทนแป้งที่ไม่ได้ดูมาเต็มเกินไปก็ย่อมได้ โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันเรียกว่าเป็น Office Scent หรือ Daily Scent ที่มีระดับยังได้เลย เพียงแต่จะไม่เหมาะกับการใส่ไปกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย เพราะโทนแป้งไม่เข้ากับเหงื่อเท่าไหร่อยู่แล้ว ง่ายๆ เน้นเท่ห์ๆ Cool สบายๆ มีเสน่ห์อะไรประมาณนี้ ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นเบาไปถ้าจะใส่ไปท่องราตรี 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวฉีดไป 6 สเปรย์ รวมเสื้อที่สวมด้วย ไปที่ 8 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป พอเป็นช่วงท้ายจะผ่อนลงเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ตอนพ้นซัก 4 ชม. ไปแล้ว 

ทิ้งท้าย - เป็นตัวเชื่อมที่ดีมากเลยทีเดียวระหว่างความเป็น Dior Homme ปกติ กับ Dior Homme Sport รุ่นปี 2012 ที่ยังมีความเป็นโทนแป้งของไอริสเป็นตัวชูโรงอยู่บ้าง (ไม่ใช่แบบปี 2017 ที่หายแซ่บหายสอยไปหมดแล้ว) เพราะไม่ถึงกับสดชื่นเกินไป มีความ Cool สบายๆ นิ่งๆ มีระดับติดเซ็กซี่ลงตัว และที่สำคัญ รุ่นนี้ไม่ได้ขายในไทย เสียดายก็ตรงนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.dior.com/en_gb/products/beauty-Y0600940-dior-homme-eau-for-men-eau-de-toilette



วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Review: Christian Dior - La Collection Privee: Cuir Cannage



Christian Dior - La Collection Privee: Cuir Cannage

เมื่อ Dior ประกาศคว่ำขัน La Collection Privee เข้าสู่การเป็น Maison Christian Dior Collection ก็ทำให้คนตามหาของเก่ามาเก็บกันให้ควั่ก เพราะมีเพียงแค่บางรุ่นที่ได้ไปต่อแบบที่อาจจะปรับสูตรหรือเปลี่ยนสูตรไปเลยแต่ชื่อเดิม นอกนั้นจะเป็น Rare Items ไปในทันที และหนึ่งในนั้นที่แม้ได้ไปต่อ แต่ก็อาจจะไม่เหมือนเดิมก็คือรุ่น Cuir Cannage ที่เป็นหนึ่นกลิ่นอายสายหนังที่ดีงามมากๆ ด้วย เช่นนั้นต้องเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าในการเป็น Collection Privee เดิมจะออกมาในลักษณะไหน 

Cuir Cannage ถือเป็นการผสมผสานที่ลงตัวมากระหว่างความเป็นโทนหนัง โทนแป้ง โทนดอกไม้ และโทนไม้หอม Smoky ได้อย่างสมดุลย์และมีระดับมากเลยทีเดียว ซึ่งเปิดต้นทางความเป้นกลิ่นอายโทนหนังตีคู่กับกลิ่นโทนแป้งติดจืดปนอับกำลังดีของดอกไอริสที่ค่อนข้างชัดเจนมาก เพียงแต่กลิ่นที่วูบขึ้นมาแบบแย่งซีนเบาๆ กำลังดีคือ ดอกส้ม ที่มีวูบของโทนสะอาดติดเปรี้ยวบางๆ เคล้ากับกลิ่นออกทางหวานรัญจวนเย้าๆ หอมดอกไม้ของกระดังงาที่รวยรินเย้าไปมาอยู่ในช่วงต้น แต่ในวูบถัดมาสายแย่งซีนก็จะเปลี่ยนกลายเป็นสายสร้างมิติกลิ่นให้โทนหนังมีกลิ่นระเรื่อของความสะอาดปนเย้ายวนกำลังดี ปูทางเข้าช่วงกลางกับการเป็นกลิ่นอายที่เด่นกับการเป็นโทนหนังติดจืดแป้งอวลเคล้ากับกลิ่นอายของโทนดอกไม้ขาวแนวๆ มะลิกับกระดังงาที่นวลๆ ปนหวานกับดอกส้มที่สะอาดเจือเปรี้ยวหอม มิติของโทนดอกไม้จะชัดเจนพอสมควรท่ามกลางความเป็นโทนหนังที่ไม่ได้หนักหน่วงมาก เนื่อกลิ่นให้โทนหนังกลับหน่อยๆ เลยไม่ได้ไปสายสาปปลุกเร้าจัดเต็มแบบหนังเข้มๆ จนน่าตกใจนัก แม้ว่าจะมีกลิ่นออกทาง Smoky ที่เริ่มเสริมขึ้นมาให้รับรู้ได้ก็ตาม ซึ่งกลิ่นจะออกทางรัญจวนปนสะอาดเซ็กซี่อบอวลของดอกไม้ปนแป้งเคล้าโทนหนังที่ติดไม้หอมปนควันถ่านบางๆ ให้ความน่าค้นหาไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้าย กลิ่นอายของโทนดอกไม้อวลๆ ปนหวานจะเริ่มค่อยๆ จางลงไป แล้วกลิ่นโทนหนังจะเริ่มมีความละมุนติดครีมมี่หน่อยๆ ปนโทนไม้หอมที่เด่นขึ้นมาให้ความรู้สึกกลมกล่อมหอมเนื้อไหม้ปนความ Smoky ในช่วงนี้ โดยอารมณ์ของกลิ่นจะมีความ Dirty ติดสาปปลุกเร้า Animalic แบบไม่ได้โจ่งแจ้งแต่จับต้องได้ ซึ่งความเป็นโทนแป้งจะยังคงอยู่เจือแบบเบาๆ ให้ความรู้สึกน่าค้นหาและเย้ายวนผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ซึ่งกลิ่นจะยังคงมีความอวลแบบเรื่อยๆ กำลังดีไม่ได้หนักหน่วงมากแต่มีความเท่ห์ผสมความเซ็กซี่แบบมีชั้นเชิงไม่น้อยเลย 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ตราเอาไว้ว่า Unisex ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามนั้น เพราะสมดุลย์มากเลยทีเดียวระหว่างโทนกลิ่นแมนๆ ของหนังและโทน Smoky กับกลิ่นออกทางดอกไม้ของผู้หญิง ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดสเปรย์ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะจุกเอาได้เพราะกลิ่นมีความอบอวลและไม่ได้เป็นสายเนื้อเดียวพิมพ์นิยมนัก คนจะมองหน้าด่าในใจเอาได้ถ้าอัดหนัก ซึ่งสามารถใส่ได้ทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดเรื่องการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืน กลิ่นนี้บอกเลยว่าเย้ายวนและเท่ห์เชียว ที่สำคัญเรียกร้องความสนใจได้เข้าทีเชียวเพราะรับรองว่าไม่เหมือนใครไม่พอ ยังมีคลาสมากเสียด้วย 

ความทน - เรียกว่าดีงาม เพราะ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ ถ้าเอาค่าเฉลี่ยยังไงก็แตะที่ 8 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลาง แบบที่สร้างความน่าสนใจในกลิ่นได้ไม่ยาก ก่อนจะปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวที่สร้างเสน่ห์เร้าใจแบบเท่ห์และมีระดับไม่เหมือนใค 

ทิ้งท้าย - ต้องบอกว่ากลิ่นนี้เป็นหนึ่งในกลิ่นทีี่เปิดโลกทัศน์ในการเข้าหาและอินกับกลิ่นหนังได้มากจริง เพราะจากเดิมที่ OK ได้อยู่ แต่ไม่อิน กลายเป็น เฮ้ย! มันมีเสน่ห์และดูชิคปนเรียบหรูได้น่าสนใจจัง เท่านั้นแหละ หามาครอบครองทันที

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit -
http://www.beautyscene.net/wp-content/uploads/2014/06/La-Collection-Priv%C3%A9e-Christian-Dior-Cuir-Cannage.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Christian Dior - Tendre Poison

Christian Dior - Tendre Poison 

เพราะไม่ได้เป็นสายน้ำหอมผู้หญิงมาตั้งแต่ต้น เลยกะว่าจะข้ามไลน์น้ำหอมผู้หญิงหลายๆ ตัวมาโดยตลอด ยิ่งเฉพาะสาย Chirstian Dior ในไลน์ Poison เรียกว่ามองข้าม เพราะไม่ได้เชี่ยวชาญกลิ่นโทนน้ำหอมผู้หญิงเท่าไหร่ จนมาได้มีโอกาสจากการแบ่งปันมา จึงขอมาเรียนรู้ซะหน่อยว่ากลิ่นของหนึ่งในไลน์นี้อย่าง
 Tendre Poison หรือหลายๆ คนจะเขียวว่า มะยมเขียวจะมาในลักษณะไหน 

บอกก่อน: เพราะว่าไม่เคยลองตัวใดๆ เลยในไลน์นี้มาก่อน จึงจะไม่มีเรื่องการเชื่อมโยงความเป็น Poison การเล่ากลิ่นจะเน้นที่ความเป็น Tendre Poison เป็นสำคัญ

เปิดต้นกลิ่นมาใน Top Notes ความพุ่งของกลิ่นชัดเจนกันตั้งแต่แรกเริ่มเลยเพราะความเป็นโทนดอกไม้ขาวสไตล์ดอกซ่อนกลิ่นที่ถูกดันดาราด้วยกลิ่นของยางไม้ Galbanum ที่เป็นยางไม้ชนิดหนึ่งที่กลิ่นจะมาสายเขียวติดขมพุ่งๆ มีความเป็น Musk นิดๆ ในเนื้อกลิ่น และจะมีโทน Citrus ให้พอรู้สึกได้กลั้วไปกลับกลิ่นไม้หอมติดกุหลาบมีความซ่าหน่อยๆ จากกลิ่นของไม้ประเภท Rosewood กลิ่นในช่วงนี้เลยจะมาเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่เต็มที่ไปเลยเธอมาก ซึ่งกลิ่นอายของดอกไม้ขาวจะเริ่มเทคโอเวอร์มากขึ้นเมื่อเข้าสู่ Middle Notes เพราะจะเริ่มมีความข้นครีมมี่นวลอวลปนหวานมากขึ้น จะจับได้ว่ามีกลิ่นคล้ายน้ำผึ้งเสริมเข้ามาด้วยและจะมีความอบอุ่นนวลๆ มีความสดใสจางๆ จากดอกส้มที่เป็นสไตล์การสกัดแบบ Orange Blossom (ไม่ใช่แบบ Neroli) เพียงแต่จะไม่ได้แบบว่ามาสายอวลจัดหนักมาก และไม่ได้ดาร์กจนเกินไป เพราะกลิ่นอายจะให้ความรู้สึกขาวนวลปนเขียวเพราะ Galbanum ยังตามมาเด่นอยู่ รวมถึงกลิ่นอายที่เป็นโทนดอกไม้ติดเขียวมีความ Spicy อ่อนๆ นวลๆ ของฟรีเซียก็เป็นตัวลดความข้นอวลไปได้มาก ทำให้เป็นกลิ่นดอกไม้ขาวครีมๆ นวลๆ หวานหอมกลางๆ กำลังดีมีความนุ่มนวลสมกับคำว่า Tendre หรืออ่อนโยนไม่น้อยเลยทีเดียว

และดอกไม้ขาวนวลครีมมี่นี้ก็ยังไม่ไปไหน มาผสมผสานกับกลิ่นในช่วง Base Notes ที่จะป็นโทนอบอุ่นมากขึ้น เพราะมีกลิ่นอาย Musk นุ่มๆ เคล้ากับวานิลลาอ่อนๆ ที่ให้ความอบอุ่นมีความเซ็กซี่แบบเนียนๆ โดยจะมีมิติของกลิ่นไม้หอมติดครีมมี่หน่อยๆ จากไม้จันทน์หอมที่เป็นเหมือนฐานรองพื้นให้กลิ่นดอกไม้ขาวยังคงมีความนวลหอมหวานลอยรวยรินออกมา แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีโทนแป้งดอกไม้ติดอัลมอนด์ให้สัมผัสได้กลิ่นเลยจะติดเย้ายวนแบบไม่โจ่งแจ้ง กลิ่นในช่วงนี้เลยจะเป็นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่ติดอบอุ่นหอมหวานแบบไม่หนักข้นและยังคงอยู่กึ่งกลางระหว่างความโปร่งกับความข้นได้เป็นอย่างดี คุมโทนได้ดีตั้งแต่ต้นยันจบในความเป็น Tendre ที่อ่อนโยนแต่แอบเซ็กซี่กึ่งแซ่บเนียนๆ ได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบาย กลิ่นถือว่ามีระดับและหรูมากพอ แต่แอบแฝงด้วยความเซ็กซี่ติดหวานครีมแบบไม่ได้โจ่งแจ้งมาก แต่ก็เอาอยู่ไม่น้อย ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม กลิ่นจะลงตัวหอมหวานครีมมี่ดูขาวนวลมาเชียว (ล่อลวงได้ว่างั้น) แต่ให้งดใส่ในกรณีกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายเดี๋ยวเป็นลมเพราะขาดอากาศหายใจทั้งคนใส่และคนรอบตัวที่ได้กลิ่นกันพอดี ส่วนยามค่ำคืนจัดไป เพราะดูเป็นสาวอ่อนโยนและหวานนุ่มนวล แต่ข้างในมีความแซ่บรอได้เลยล่ะ 

ความทน - เรียกว่าดีงามกับ 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับ 5 สเปรย์ ก็เรียกว่ามาเต็มอย่างยาวนานได้เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าสาวกันมาเห็นๆ แล้วจะลดลงมากระจายดีกึ่งปานกลาง พอเข้าช่วงท้ายจึงเป็นออร่ารอบๆ ตัว พ้นไปซัก 8 ชม. จะค่อยๆ ลดระดับลงไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - ถ้ามองในแง่ของน้ำหอมรุ่นนี้เพียวๆ เพราะไม่เคยไปเอี่ยวตัวอื่นในไลน์นี้เลย ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในกลิ่นดอกไม้ขาวที่ดีงามและลงตัวมาก ได้ทั้งความหวานหอมครีมมี่ ความนุ่มนวล และความอ่อนโยน แต่ที่เป็นกิมมิคหลักคือ ความแซ่บแบบติดเซ็กซี่น่าซบที่แฝงอยู่ในน้ำหอมตัวนี้นี่แหละที่แอบเด็ด 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://azperfumes.vteximg.com.br/arquivos/ids/157545-1000-1000/3981323-tendrepoisonfemedt.jpg



วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560

Review: Christian Dior - Dior Homme Cologne 2013

Christian Dior - Dior Homme Cologne 2013

ในตระกูล Dior Homme นอกจากโทนกลิ่นแนวกระเป๋าเครื่องสำอางผู้หญิงที่ทำให้คนใช้ดูเป็นผู้ชายเมโทรเต็มขั้นแล้ว ก็ยังมีตัวสดชื่นที่น่าสนใจอยู่แม้จะปรับสูตรบ๊อยบ่อยก็ตามอย่างโซน Dior Homme Sport และ Dior Homme Cologne ซึ่งในเมื่อเล่ากลิิ่นตัว Sport ไปครบแล้วทั้ง 3 เวอร์ชั่น ก็ได้เวลามาแตะความสดชืิ่นของฝั่ง Cologne กันบ้างว่าจะออกมาเป็นอย่างไง 

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ไม่ทันรุ่นปี 2007 เพราะตอนนั้นยังไม่ได้อินเนอร์แรงเรื่องน้ำหอม เลยจำเป็นต้องข้ามตัวนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ขอมาแตะเน้นๆ ที่รุ่นปี 2013 เป็นจุดตั้งต้นแทน 

คนที่ชอบกลิ่นอายสดชื่นเปรี้ยวติดขมของมะกรูดหรือ Bergamot ไม่ควรจะได้พลาดตัวนี้เลย เพราะมาเต็มกันเลยทีเดียวกับการเป็นกลิ่นอายที่เด่นกับความเป็น Citrus ตั้งแต่ต้นยันจบ ที่สำคัญกลิ่นออกแนวฉีกจากตัวอื่นๆ ในไลน์ Dior Homme ค่อนข้างมาก ความเชื่อมโยงเดียวที่พอมีคือ ความเป็นผู้ชายเมโทร ที่ได้ความสว่างเหมือนใส่เชิ้ตสีขาวท่ามกลางความสดชื่นหลังจากอาบน้ำเสร็จตามที่คำโปรยของแบรนด์ในการปรับสูตรใหม่บอกเอาไว้ กลิ่นที่เป็นศูนย์กลางหลักอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบเลยจะนั่นก็คือมะกรูด ซึ่งจะเปิดตัวกันในช่วงต้น ให้กลิ่นเปรี้ยวติดขมฟุ้งกระจายออกมาทำให้สดชื่น จากที่ง่วงๆ อยู่สามารถทำให้ตื่นได้เลย เพราะกลิ่นเแนวนี้กระตุ้นได้ดีจริงๆ ซึ่งจะสัมผัสได้ว่าในเนื้อกลิ่นมีกลิ่นติดโทนเปรี้ยวมีเจือผ่อนคลายของเกรฟฟรุตอยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นไม่ได้ออกทางเปรี้ยวติดขมจ๋าทางเดียวของมะกรูดเกินไป เนื้อกลิ่นจะชัดเจนแบบกลิ่นอายเย็นๆ ลงตัวมากในการกระตุ้นความรู้สึกให้กระปรี้กระเปร่า ซึ่งกลิ่นจะเริ่มมีความเป็นโทนดอกไม้ขาวบางๆ ที่มาทางสดชื่นสไตล์เดียวกับโซนดอกส้มหรือดอกพืชตระกูลส้มรวมถึงเกรฟฟรุตเองด้วยกลิ่นจะมาแบบบางๆ มีเครื่องเทศโทนโปร่งเบาๆ เป็่นสายสนับสนุน ให้ความเป็น Citrus ของมะกรูดยังคงเด่นเป็นสง่าอยู่ไม่เปลี่ยน เพียงแต่จะเป็นการลดทอนลงมาไม่ได้คมแบบช่วงแรก และในเนื้อกลิ่นจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นสะอาดๆ ของ White Musk ที่จะมาแบบไม่ได้หนักหน่วงเป็นตัวรองพื้นเอาไว้ และเป็นตัวนำเข้าสู่ Base Notes ที่กลิ่น Citrus จะเริ่มลดลงมาอีกระดับ เพียงแต่ยังคงชัดเจนอยู่ถึงความเปรี้ยวติดขมสดชื่นที่เคล้ากับกลิ่นนุ่มของ White Musk และสัมผัสได้ถึงโทนไม้หอมบางๆ เป็นตัวสนับสนุนอยู่ เลยทำให้กลิ่นได้ความรู้สึกสะอาดและสดชื่นแบบวันฟ้าใส โปร่งสบายไปตลอด ซึ่งภาพรวมของน้ำหอมตัวนี้เรียกว่ากลิ่นอายมาในสไตล์ Cologne ชัดเจน เน้นความสดชื่นและโปร่งสว่างตั้งแต่ต้นยันจบจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้นก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นไม่ได้ซับซ้อนสดชืิ่นแบบยาวไป เข้าถึงได้ง่ายมากเสียด้วย มาในโทนที่มหาชนชอบกันเต็มๆ ซึ่งจะสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดหมดทุกเม็ดไม่ว่าจะเป็นยามทางการหรืิอทั่วๆ ไป ใส่ออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งก็ได้สบายๆ ส่วนยามค่ำคืนจะค่อนข้างเหมาะกับการใส่แบบอากาศร้อนๆ ให้ความสดชื่นผ่อนคลายเสียมากกว่า หรือไม่ก็ออกแนวเดินช้อปปิ้งอะไรประมาณนี้ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีหาเหยื่อแน่นอนกลิ่นสู้เขาไม่ได้ ควรจะเอาตัว Dior Homme ปกติหรืิอ Intense มาเรียกแขกมากกว่า ที่สำคัญกลิ่นนี้คุณผู้หญิงใช้ได้สบายมากเสียอีกด้วยนะนั่น เพราะกลิ่นมันอยู่กลางๆ เป็น Unisex ได้สบายๆ 

ความทน - เนื้อกลิ่นแม้จะเป็นสไตล์ Cologne แต่มาในความเข้มข้นระดับ EDT แถมยังเป็นกลิ่นสดชื่นสาย Citrus Aromatic ที่ทนมากเลยทีเดียว ซึ่งอยู่ระหว่าง 6 - 8 ชั่วโมงได้สบายๆ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด เผลอๆ ทนมากกว่านั้นด้วย เพราะส่วนตัวจัดไป 7 สเปรย์ กลิ่นลากไปที่ 12 ชั่วโมงได้สบายๆ อันนี้ยกนิ้วให้จริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเรียกว่าสดชื่นกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วจะลดลงมากระจายแบบปานกลาง ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย ซึ่งพอผ่านซัก 6 ชม. ไปแล้วจะเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - เป็น #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ที่เรียกว่าได้ทั้งความสดชื่น สบาย และหรูหราได้ในตัวโดยที่ไม่ต้องซับซ้อนอะไรให้มากความ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://www.dior.com/beauty/version-5.1432748111912/resize-image/ep/0/0/90/0/covers%252FY9190300_F091955009.jpg

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Christian Dior – Dior Homme Sport 2017

Christian Dior – Dior Homme Sport 2017 

เมื่อมีข่าวประกาศออกมาว่า Dior Homme Sport จะปรับสูตรเป็น Generation ที่ 3 ก็เรียกว่าได้ลุ้นกันเลยทีเดียว ว่าจะเสียดายหรือว่าปรบมือให้กับ Gen ใหม่ ที่จะออกมาเพราะว่ารุ่นปี 2008 มันดีงามสดชื่นสุดๆ และรุ่นปี 2012 เป็นรุ่นที่มีความเชื่อมโยงกับความเป็นไลน์ Dior Homme ที่จะออกแนวสำอางเมโทรได้ดีเลยทีเดียว เมื่อมีโอกาสได้มาจัดไปสิ อยากรู้มากมายเล
ยทีเดียวว่าจะออกมาเป็นลักษณะไหน 

เปิดตัว Top Notes ชัดเจนมากกับการเป็นโทน Citrus ที่มาสายสดชื่นกันก่อนเลย เพียงแต่ว่าเนื้อกลิ่นจะมีความกึ่งแห้งกึ่งฉ่ำ เพราะจับได้ถึงโทน Fruity บางอมหวานเจือเป็นตัวเสริม ซึ่งกลิ่นจะไม่คมนัก มีลักษณะแบบเป็นโทน Sport ที่มีความลักษณะแบบ Watery ที่แบบคล้ายโทนน้ำเจือกลิ่นหวานรองอยู่ และที่แน่ๆ คือ กลิ่นโทน Fresh Spicy ของโทนเครื่องเทศแบบโทนโปร่งติดเผ็ดปร่าอวลนวล ที่จะแทรกขึ้นมาตีคู่กับโทนสดชื่นได้ไวมาก โดยจะดึงเข้าช่วง Middle Notes ที่จะเป็นการผสมผสานความเป็นโทนเครื่องเทศแบบโปร่งผสมอวลหน่อยๆ กลิ่นเลยจะเป็น Citrus ที่มีความหนาขึ้น แต่ไม่ได้แน่นมากกับความเป็นกลิ่นติดโทนเบอร์รี่จางๆ ปนเครื่องเทศอย่างพริกไทยสีชมพูที่มีกลิ่นของเม็ดจันทน์เทศมาตัดทอนให้มีความเป็นไม้หอมติดเผ็ดนุ่มเจือ เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้แบ่งภาคผสมผสานกันได้อย่างลงตัว โดยที่จะจับได้ทั้งความสดชื่นแบบ Citrus ความเย้ายวนโปร่งติดหวานของเครื่องเทศ และความนุ่มของไม้หอมที่จะเริ่มเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ ส่งต่อให้ Base Notes ที่กลิ่นจะเริ่มเป็นกลิ่นอายนุ่มเท่ห์ๆ ด้วยการเป็นไม้จันทน์หอมที่นุ่มนวลแกมอบอุ่น มีกลิ่นไม้แห้งๆ ที่ติดหวานเจือจางๆ ของหญ้าแฝกแบบไม่มีความเป็น Smoky มาทำให้กลิ่นหอมแห้งๆ สะอาด โดยที่จะยังสัมผัสได้อยู่ว่ากลิ่นโทนสดชื่นจะยังคงอยู่กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึก Sport ติดหรูหรากำลังดีและมีความลงตัว

เปรียบเทียบ จาก 3 Generations ต้องบอกว่า กลิ่นเปลี่ยนโทนกันอย่างชัดเจน โดยอิงที่ความเป็นน้ำหอมโทนSport ซึ่งรุ่น 2017 จะเอาลายเซ็นของความเป็น Dior Homme ที่จะมีโทนเครื่องสำอางแบบติดแป้งของไอริสมาน้อยลง ตัดออกให้มีความเป็น Sport แบบเย้ายวนมากขึ้น โดยอิงที่ความเป็นเมโทรของเนื้อกลิ่นที่เป็นไปตามยุคสมัยที่เน้นความหวานมาเจือ โดยที่ความสดชื่นยังเป็นตัวตั้งต้น ให้ความเย้ายวนแบบมีระดับติด Sport แถมด้วยความเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น มาแทนที่ความเรียบหรูดูหล่อจัดติดหวานท่ามกลางความ Sport ที่เคยมีในรุ่นก่อนหน้านี้

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายกว่าแต่ก่อน มีความสดชื่นกลั้วความฉ่ำกำลังดี ไม่ได้ถึงกับติดหรูหราเกินไปจนเข้าถึงได้ยาก แต่มีความคูลเท่ห์เมโทรแบบติดลุยมากขึ้น โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยแบบว่ากวาดหมดทั้งทางการและไม่ทางการ เรียกว่ายังไงก็รอด ส่วนยามค่ำคืนถ้าเป็นใส่แบบโรแมนติค หรือเที่ยวสบายๆ ก็จัดได้ แต่ถ้าจะเอาไปเน้นปล่อยของยามค่ำคืนอาจจะต้องอัดสเปรย์น่าดูชมกันพอสมควร 

ความทน เรียกว่ามีดีตรงนี้ ยอมให้เขาจริงๆ กับความทนที่ประมาณ 8 ชม. ขึ้นไป อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดมที่ฉีด ส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์แบบกดเต็มรวมฉีดเสื้อด้านหน้า 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากึ่งปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัว ในช่วงท้าย แล้วลดลงเรื่อยๆ เมื่อผ่านราวๆ 8 ชม. ไปแล้วจะเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - สิ่งแรกที่เกิดจากการใช้งาน ต้องลบภาพสิ่งที่เคยได้ลองเพื่อไม่ให้เกิดการเปรียบเทียบก่อน ซึ่งกลิ่นนี้ถ้าไม่ได้มองความดีงามของรุ่นก่อนหน้านี้ ถือว่าทำออกมาได้ดีสมกับการแปะแบรนด์ Dior เข้าไป เพราะมีความสมดุลทั้งสดชื่น Sport เย้ายวน เท่ห์ และนุ่มจมูก แต่ถ้าเทียบกับของเก่า มันลดระดับความเชื่อมโยงไปบ้างก็เท่านั้นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Credit ภาพ - https://www.punmiris.com/himg/o.51475.jpg