วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Zara - Vibrant Leather (2018)

Zara - Vibrant Leather (2018)

หลายๆ คนมักพูดถึงน้ำหอมอยู่รุ่นหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน Aventus Killer อย่าง Vibrant Leather ของ Zara ที่เคยออกมาวางจำหน่ายอยู่พักหนึ่งในรูปแบบ Eau de Toilette แล้วก็หายไปจากตลาด ปล่อยเป็น Rich Leather ออกมาแทนในเวลาต่อมา แต่เพราะความดีงามของ Vibrant Leather ที่มีการเรียกร้องมาพอสมควรว่าควรเอากลับมาวางจำหน่ายใหม่ ทำให้เกิดรุ่น EDP ขึ้นมาในปี 2018 ซึ่งก็ได้เวลาพิสูจน์ว่าความเข้มข้นที่มากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ผลที่ออกมาก็คือ 

การเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีมากนัก เพราะเนื้อกลิ่นเทียบจากที่ได้มีโอกาสลองรุ่น EDT ผ่านๆ ถือว่ากลิ่นยังทำออกมาได้คุมโทนการเปิดตัวด้วยกลิ่นที่คล้าย Creed Aventus ใน Batch ที่กลิ่น Smoky ไม่ได้เด่นนัก ซึ่งกลิ่นเด่นออกมาก่อนเพื่อนเลยคือโทน Citrus ในช่วงเปิดที่จะได้ความเป็นCitrus สดชื่นออกทางแห้งๆ ไม่ได้ไปสายฉ่ำโบ๊ะอะไรนัก ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมี ความเป็นโทนผลไม้แบบกำลังดี เด่นที่กลิ่นอายคล้ายแบล็คเคอแรนท์ที่จะมีความเขียวติดเปรี้ยวหน่อยๆ บางวูบจะจับได้ถึงกลิ่นอายคล้ายสับปะรดบางๆ แต่สิ่งที่เสริมขึ้นมาไวพอสมควรเลยคือกลิ่นออกทางไม้หอมแห้งๆ สะอาดๆ ของไผ่ และกลิ่นออกทางไม้หอมโปร่งๆสไตล์ไม้ซีดาร์ที่เริ่มชัดเจนทีละหน่อยจนเข้าสู่ช่วงกลางที่จะกลายเป็นโทน Woody หรือไม้หอมกันอย่างชัดเจนมากขึ้น และรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของพิมเสนจางๆ กำลังดีไปเรื่อยๆ โดยยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นโทนสดชื่นของ Citrus เจือความเป็นผลไม้อยู่ตลอด ซึ่งเนื้อกลิ่นในช่วงนี้จะมีโทนกลิ่นออกทางดอกไม้ขาวใสๆ คล้ายมะลิอ่อนๆ ปนความสดชื่นสไตล์คล้ายสารหอมประเภทหนึ่งที่มาแบบบางเบาอย่าง Hedione ที่ทำให้กลิ่นช่วงนี้เชื่อมโทนกันเป็นอย่างดีระหว่างความเป็น Citrus ไม้หอม ผลไม้สดชื่นติดเปรี้ยวปนเขียวเบาๆ ปนความรื่นรมย์กำลังดีได้อย่างลงตัว ไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าความเป็นลักษณะคล้าย Aventus ยังมีอยู่ให้สัมผัสได้ จนเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโทนหนังรวมถึงมีความแตกต่างนิดหน่อยกับ EDT ตรงที่กลิ่นโทนไม้หอมค่อนข้างชัดกว่า และทำหน้าที่ตีคู่กับโทนสดชื่นได้ดีจริงๆ 

และเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหนัง ที่ไม่ได้เป็นหนังจ๋าๆ ออกทางหนังติดจืดๆ ไม่ได้นุ่มอะไรนัก มีความเป็นสาปบางๆ Animalic เบามากๆ เสริมเข้ามา ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นอายของโทนหนังจะเป็นตัวรองพื้นอยู่ให้ความกลางๆ ค่อนไปทางเบา โดยให้ไม้หอมของซีดาร์เคล้ากลิ่นติดผลไม้อ่อนๆ พอรู้สึกเป็นตัวเดินกลิ่นก็จริง แต่สิ่งที่ชัดเจนและเป็นเสมือนตัวหลักในช่วงท้ายมากกว่าใคร คือ พิมเสนที่ให้ความโปร่งระเรื่อ มีความหวานกำลังดี ทำให้กลิ่นในช่วงท้ายมีความสมดุลย์ให้ความเท่ห์ Cool และแมนกำลังดีไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เพราะอารมณ์กลิ่นไม่ได้ดูเป็นคุณชายหรูหรามาก เข้าถึงได้ง่ายและมีความเป็นวัยรุ่นมากกว่า โดยสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลยกวาดหมด แม้กระทั่งออกกำลังกายก็ใส่ได้ เพียงแต่รอช่วงกลางๆ ไปหน่อยจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนก็จัดไปได้สบายมาก อัดสเปรย์หน่อยก็ออกท่องราตรีได้อยู่ 

ความทน - ตรงนี้ถือเป็นข้อด้อยมากเลยทีเดียวของน้ำหอมรุ่นนี้ เพราะอยู่ที่ 4 - 6 ชม. จะมีมากกว่านี้ก็พอได้ ต้องอิงตามสภาพอากาศและจำนวนสเปรย์ด้วย ซึ่งกึ่งด้อยกึ่งสูสีกับ EDT ที่ความทนค่อนข้างทำได้ดีเสถียรที่ 6 ชม. จากที่เคยเทสผ่านๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงเปิด แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัว แต่พอเข้าช่วงท้าย Skin Scent ชัดเจนมาก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งข้อด้อย แต่ถ้าคนที่ชอบกลิ่นที่ไม่กระจายมากนัก เน้นมุ้งมิ้งกับตัวเอง อันนี้เป็นข้อดี 

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีความใกล้เคียง Aventus ก็จริง แต่มีความใสกว่า และมีความโปร่งกว่ามาก ถ้าจะเอามาเทียบกลิ่นนี้ไพล่ไปทาง Mancera - Cedrat Boise มากกว่าเสียอีก เพราะเน้นที่ความเป็นโทนไม้หอมปน Citrus ที่เข้าถึงง่าย และสามารถได้คำชมจากผู้อื่นได้ไม่ยาก แต่โดนส่วนตัวชอบความเป็น EDT ที่เลิกผลิตไปแล้วมากกว่า เพราะการกระจายของกลิ่นทำได้ดีกว่า ในความทนที่ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก แต่ยังไงก็ตาม กลิ่นนี้กลับมาวางจำหน่ายถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีมากเลยทีเดียว เพราะราคาในไทยสมเหตุสมผลมากจริงๆ กับ 120 ml ในราคาราวๆ 1,300 บาท ใช้แล้วสามารถทำให้คนทักว่าใช้ Aventus ได้เลยล่ะ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragrantica - https://fimgs.net/mdimg/secundar/o.54722.jpg

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Alexandre.J - Oscent Rouge

Alexandre.J - Oscent Rouge 

ขวดสีแดง+ฝาและตรา Logo สีทองที่มีความ More Is More (แต่ไม่ได้ออกทางเยอะจัดแบบ Collection - The Collector ของแบรนด์) ที่ Alexandre.J ได้ปล่อยออกมาเมื่อปี 2017 โดยได้แรงบันดาลใจในเรื่องของขวดมาจากการเล่นแร่แปรธาตุตั้งแต่สมัยกรีกโบราณและยุคกลางกับเรื่องราวศิลานักปราชญ์สีแดงที่สามารถเปลี่ยนเป็นทองคำได้ รวมถึงนำเสนอกลิ่นที่สื่อสารถึงความรื่นรมย์ของชีวิต ที่เปรียบเสมือนเป็นเฉลิมฉลองในแต่ละช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิตที่ผ่านแสงแดดที่สาดส่องมาในแต่ละวัน เช่นนั้นเมื่อที่มาที่ไปมีความน่าสนใจมากเช่นนี้ ก็ต้องมาลองกลิ่นกันหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะไหนกับรุ่นนี้เลย Oscent Rouge 

Fig หรือมะเดื่อฝรั่ง มีความหมายที่เป็นสัญลักษณ์ของต้นไม้แห่งชีวิต รวมถึงสื่อสารถึงความอุดมสมบูรณ์และความสงบ เป็นกลิ่นหลักของน้ำหอมตัวนี้เพื่อสื่อสารถึงความรื่นรมย์ทางกลิ่นตอบโจทย์แรงบันดาลใจของแบรนด์ๆ ในการทำรุ่นนี้ออกมา ซึ่งจะเปิดตัวกลิ่นด้วยความเป็น Citrus แบบติดเขียวปนขมที่กลิ่นไม่ได้ถึงกับคมบาดหรือพุ่งเน้นเปรี้ยวเข้าไว้แต่ประการใด เพราะกลิ่นโทนหวานปนขมแบบติดใสๆ หน่อยของ Fig จะเด่นชัดเจนตั้งแต่ต้น โดยโทน Citrus เลยจะเน้นเป็นลูกคู่ที่ให้ความสดชื่นปนซ่าบางๆ แบบแห้งๆ ที่จากมาจาก Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) แต่ก็ได้ความสว่างๆ ติดปลายหวานให้พอจับต้องได้ของเลมอนอยู่ด้วย ช่วงต้นเลยเป็นกลิ่นอายผลไม้ติดเขียวปนสดชื่นปนแห้งๆ กันก่อน แต่เพียงไม่นานจะเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่น Fig จะมาให้ความเขียวติดขมปนหวานใสเคล้าความนวลของกลิ่นไม้หอมแทน ซึ่งเนื้อกลิ่นในช่วงนี้จะม2 เลเยอร์ชั้นของกลิ่นคือ ความหวานเขียวปนขมใสที่มาจาFig และครีมนวลไม้หอมปนสมุนไพรเรื่อจมูกอย่างไม้จันทน์หอมและพิมเสน กลิ่นจะมีมิติให้จับต้องได้ไล่เรียงลงไปเป็นลำดับ จนได้ความรู้สึกที่เป็นกลิ่นครีมมี่ Fig แบบกำลังดีมีระดับ ที่สำคัญช่วงนี้จะมีกลิ่นอายโทนดอกไม้หอมอ่อนๆ แนวๆ ติดกุหลาบเบาๆ ที่ให้ความรื่นรมย์กำลังดี โดยภาพรวมของกลิ่นจะเป็น Fig ติดไม้หอมที่ไม่หนักไป มีความพอดีลงตัว ได้ความรู้สึกอบอุ่นเจืออยู่และจะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเพราะกลิ่นโทนติดแป้งนวลครีมหน่อยๆ จะค่อยๆ เผยตัวออกมา จนนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่Fig จะเริ่มเบาลงไปเหลือเพียงบางๆ อ้อยอิ่งอยู่ในเนื้อกลิ่น แต่จะเริ่มเป็นกลิ่นอายโทนนุ่มนวลกึ่งไม้หอมเคล้าโทนแป้งอบอุ่นหน่อยๆ ที่มาจาก Musk และวานิลลาที่เป็นตัวรองพื้นผสมผสานกับกลิ่นโทนครีมมี่นวลๆ ด้วยถั่วตองก้าที่ให้ความนุ่มกับโทนไม้หอม ที่นำทีมด้วยไม้จันทน์หอม พิมเสน กับกลิ่นอายไม้หอมแห้งๆ เจืออยู่ ซึ่งจะกลายเป็นโทนกลิ่นหลักแบบยาวไปเลยในช่วงท้ายให้ความเป็นไม้หอมสบายๆ ครีมนวลบางๆ รื่นรมย์ ได้ความรู้สึกแบบกลิ่นไม้หอมโทนสว่างติดเขียวบางๆ จาก Fig ยามต้องแดดเคล้ากับกลิ่นอบอุ่นของบรรยากาศได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงเอาไว้ว่า Unisex ใช้ได้ทุกเพศ ซึ่งแม้เนื้อกลิ่นอาจจะมีความรู้สึกออกทางน้ำหอมผู้หญิงบ้าง แต่ก็มาเป็นวูบหน่อยๆ ซึ่งไม่ได้สาวจ๋าจนเป็นตัวเปลี่ยนเกมกลิ่นแต่อย่างใด ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ได้หมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่อาจจะไม่ได้เข้ากับการใส่ไปออกกำลังกายเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นช่วงท้ายๆ ของกลิ่นก็พอได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบผ่อนคลายเรื่อยๆ จะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะกลิ่นให้ความอะโรม่าไม้หอมที่ทำให้รู้สึกสบายและมีระดับได้ไม่ยาก 

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามสภาพอากาศและจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวใช้ที่ 6 สเปรย์ แตะที่ 8 ชม.ได้อยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงไปที่ออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป และค่อนข้างเสถียรไปจนถึงช่วงท้ายเลย 

ทิ้งท้าย - ถ้าเทียบกับชื่อรุ่น กลิ่นอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึก Rouge หรือสีโทนแดงมากนัก แต่ถ้าเทียบกับแรงบันดาลใจของกลิ่น ถือว่าตอบโจทย์เรื่องได้ดี โดยที่ชูโรงความเป็น Fig กับไม้หอม ได้ความรู้สึกแบบกลิ่นอายสบายๆ อบอุ่นเรื่อยๆ มาเรียงๆ มีระดับและผ่อนคลายได้ลงตัว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.notino.hu/alexandrej/oscent-rouge-eau-de-parfum-unisex/

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Mancera - Aoud Cafe

Mancera - Aoud Cafe 

ว่ากันด้วยเรื่องของกลิ่นกาแฟในน้ำหอม หลายๆ คนน่าจะฟินและชอบกันไม่มากก็น้อย เพราะเป็นกลิ่นที่ดึงดูดใจ สร้างอะโรม่าและความรื่นรมย์ได้ดีมาก ซึ่งหลายๆ ครั้งที่ได้ลองน้ำหอมกลิ่นกาแฟเด่น ก็มักจะเจอความแตกต่างกันไปตามการบิดโทนของผู้ปรุงและ Concept ที่แบรนด์วางไว้ ซึ่งเมื่อได้หันมาเจอแบรนด์ Niche Perfume ที่มาสายเน้นปล่อยพลังอย่าง Mancera ก็มีน้ำหอมที่ชูโรงกลิ่นกาแฟกับเขาด้วย ซึ่งจะมาสายปล่อยพลังขนาดไหน ก็มาว่ากันซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย Aoud Cafe 

เปิดตัวกลิ่นขึ้นมาหลังสเปรย์เสร็จเรียกว่าในแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไปพอสมควร เพราะบางครั้งจะได้กลิ่นออกทางผลไม้รองพื้นปนกลิ่นผักคื่นไช่หรือ Celery เด่นวูบขึ้นมา แต่พอเปลี่ยนวันใช้จะได้ความเป็นผลไม้แบบกำลังดี ปนความซ่าติด Spicy อ่อนๆ และความเข้มหน่อยๆ ก็ได้ ซึ่งช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ต้องอาศัยเวลาในการรวมทุกโทนเข้าด้วยกัน ทำให้สรุปออกมาได้ว่าเป็นโทนกลิ่นของโทนผลไม้ออกทางติดแห้งๆ ที่เด่นด้วยกลิ่นของแบล็คเคอแรนท์ที่ให้ความเปรี้ยวปนซ่า Spicy หน่อยๆ มีความเขียวเจือๆ แอบมีกลิ่น Urine หน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นของมะกรูดฝรั่งที่ให้ความเขียวเปรี้ยวปนขมแห้งๆ กำลังดี ตามด้วยกลิ่นพีชที่ให้ความหวานแบบบางๆ เจืออยู่ ซึ่งจะเป็นเลเยอร์แรกที่ให้ความรู้สึกได้ทั้งผลไม้และผักก็ย่อมได้ แต่จะมีกลิ่นอายเข้มๆ ของไม้หอมเจือกาแฟดันเข้ามาติดๆ ทำให้ได้ 2 โทนในเวลาเดียวกันคือ กลิ่นผลไม้หรือผักเคล้ากับกลิ่นออกทางกาแฟไม้หอมเข้มๆ เข้าทางกาแฟดำหน่อยๆ ที่จะคลอคู่ไปด้วยกันจนมีการเปลี่ยนแปลง คือ 

กลิ่นโทนผลไม้จะเบาลงไป เหลือบางๆ สร้างมิติความหอมหวานปนซ่าเล็กๆ เท่านั้น โดยกลิ่นกาแฟจะเด่นขึ้นมาเจือความหวานกำลังดี และมีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นค่อนข้างชัดเจน กลิ่นกาแฟจะมีความเข้มในระดับหนึ่ง เพราะกลิ่นโทนไม้หอมเข้มๆ จะเสริมให้กลิ่นกาแฟมีความเข้มเข้าโทนกาแฟดำมากขึ้น เนื้อกลิ่นมีกลิ่นอายดอกไม้ออกทางแป้งหอมบางๆ ทำให้กลิ่นมีความนวลปนหวานให้กลิ่นกาแฟมีมิติมากขึ้น จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายออกทางไม้เข้มๆ เจือ Smoky และ Spicy แบบกำลังดีเสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นโทนไม้หอมปนอบอุ่นซึ่งกลิ่นกลิ่นโทนคล้าย Oud ให้พอรับรู้ได้ โดยเนื้อกลิ่นยังมีความเป็นกาแฟเคล้าความความหวานที่ออกทางติดไซรัปอยู่ จนได้เป็นกลิ่นไม้หอมเจือกาแฟที่มีความหวานเด่นเป็นกลิ่นหลักที่ฟุ้งกระจายออกมา ซึ่งถ้าดมใกล้ๆ ผิวจะรู้สึกได้ถึงโทนนุ่มของกลิ่นสไตล์ Musk ที่เป็นตัวรองพื้นเสริมให้กลิ่นมีความนวลอวลๆ ปนเย้ายวน ซึ่งจะได้ความรู้สึกชัดเจนของการเป็นกลิ่นอายไม้หอมเข้มๆ ติดกาแฟมีความดาร์กให้สัมผัสได้เจือด้วยความหวานและอวลนุ่มรองพื้น กลิ่นจะผสมผสานกันจนได้ความรู้สึกที่ดาร์กหน่อยๆ ดึงดูดแบบมีลูกเล่นความเย้ายวนแบบมีชั้นเชิงที่น่าสนใจมากแบบยาวไปเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความ Unisex กำลังดี ใช้ได้ทุกเพศ แต่เพราะกลิ่นมาสายอบอุ่นกรุ่นหอมเข้มปนหวานก็เลยไพล่มาทางผู้ชายมากกว่าอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งกลิ่นนี้และความเป็นแบรนด์นี้ พลังมันต้องมีจึงต้องจำนวนสเปรย์เหมาะสมก่อน ไม่เช่นนั้นจะตีขึ้นจนจุกแน่นไปเสียก่อนเอาได้ ซึ่งกลิ่นจะเข้าทางกับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็จัดได้ แต่ต้องผ่านกลิ่นโทนขนมและอบอุ่น รวมถึงพื้นฐานชอบกลิ่นกาแฟอยู่ด้วย ก็จะอินได้ง่ายขึ้น ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ให้พอดี กลิ่นจะได้มีเสน่ห์ ไม่ได้ดูจงใจปล่อยพลังกระจายรอบทิศ ซึ่งอาจจะไม่ได้เข้าทางการใส่ในช่วงยามทางการมากนัก เน้นใส่แบบเท่ห์ๆ เย้ายวนมีเสน่ห์แบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า ตัดการใส่ออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งไปได้เลย เดี๋ยวขาดออกซิเจนเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยว่าจัดไป กลิ่นปล่อยพลังได้ลึกลับน่าค้นหาในความหวานหอม และสู้กับชาวบ้านที่จัดกลิ่นอื่นๆ มาเพื่อแย่งซีนได้อย่างสบายๆ เลย 

ความทน - อันนี้ต้องยกให้เขา เพราะทำได้ดีมากจริงๆ กับ 8 ชม. ขึ้นไป และที่เจอสูงสุดในการใช้งานคือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่แบบน่าประทับใจมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลางเป็นต้นไป และยาวไปจนถึงช่วงท้ายในลักษณะเป็นสาย Powerhouse ที่กระจายดีคงเส้นคงวาไปตลอด พอผ่านไปซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มดรอปลงมาเป็นปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปประมาณ 12 ชม. จะดรอปลงมาเป็นออร่ารอบๆ ไปเรื่อยๆ ยาวไป 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้ใช้งานจริงก่อนจะมาเขียน Review ถึง 8 ครั้ง เพราะช่วงต้นบางครั้งให้อารมณ์ที่แตกต่าง คือ ผักคื่นไช่บ้าง ผลไม้บ้าง ไม้เข้มๆ บ้าง มันเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศและจมูกของเราพอสมควร ซึ่งเมื่อกลิ่นเซทตัวแล้ว ความดีงามจะบังเกิดเอง แต่โดยรวม หนึ่งในกลิ่นกาแฟที่น่าสนใจได้อารมณ์กาแฟดำปนน่าค้นหาแกล้มความหวานที่ปล่อยพลังได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragrantica - https://fimgs.net/mdimg/secundar/o.45585.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Jo Malone - Oud & Bergamot

Jo Malone - Oud & Bergamot 

มาสู่ขวดดำในรูปแบบ Cologne Intense ของ Jo Malone อีกครั้งซึ่งต้องบอกกันตรงๆ
 ว่า มองข้ามรุ่นนี้มาตลอดเพราะเริ่มมีความขยาดความเป็น Oud มาบ้างหลังจากช่วงที่กระแส Oud มาแรงแล้วกลิ่นทะลักมาเต็มไปหมด ครั้นที่กระแสแผ่ว ก็ได้หันกลับมาพินิจพิเคราะห์อีกครั้งว่าได้เวลาลองเสียทีว่ารุ่นนี้จะมาสายไหน และแบรนด์จะคง Concept เดิมที่ไม่หนักหน่วงหรือไม่ และผลที่ได้คือ 

Oud & Bergamot เรียกว่าเป็น Oud ที่ Jo Malone สุดๆ มาสไตล์ Cologne ที่ไม่หนักหน่วงแต่ประการใด เปิดตัวมาก็มากับการเป็นโทนไม้หอมติดสดชื่น Citrus แต่ไม่ใช่ Citrus ที่คมๆ สดชื่นเว่อร์ๆ อะไรแบบนั้น ซึ่งความสดชื่นตรงนี้จะเป็นลักษณะไม้หอมที่ติดสดชื่นไม่คมเสียมาก เรียกว่าเป็นการถอดความเป็น Bergamot หรือมะกรูดฝรั่ง ออกทางกลิ่นติดเปลือกตรงเนื้อขาวๆ ที่ติดขมปนเขียวน้ำมันหอมระเหย และมีกลิ่นโทนส้มผสมอยู่ในบางวูบที่ไม่ได้เด่นนัก และเนื้อกลิ่นมีความเป็น Fresh Spicy ปร่าเผ็ดเบาๆ เจืออยู่ข้างในด้วย แต่กลิ่นออกทางนวลเพราะกลิ่นอายไม้หอมเข้ามาตัดทอนเยอะเลยนั่นคือคู่บุญของรุ่นนี้อย่าง Oud และไม้ซีดาร์ที่ชัดเจนพอสมควรนั่นเอง และกลิ่นไม้หอมของจะดึงเข้าสู่ช่วงกลางที่ความเป็นกลิ่นอายของ Oud ที่ไม่ได้อวล ไม่ได้พุ่ง เพราะกลิ่นของไม้ซีดาร์ที่ให้ความโปร่งขรึมแต่สว่างเรียกว่าแทบจะเทคโอเวอร์ทั้งโทนเลยก็ว่าได้ แต่ยังจับกลิ่น Oud แบบออกทางเนื้อไม้ติด Smoky แบบบางๆ เลยทำให้กลิ่นยังคุมโทนการเป็น Oud ได้อยู่แต่มาแบบโปร่งดาร์กก็จริง แต่มาแบบซีทรูเห็นได้หมดทะลุปรุโปร่ง ซึ่งกลิ่นของความเป็น Citrus จะผันตัวเป็นสายสนับสนุนไปแล้ว แต่ยังจับได้ถึงความสดชื่นติดขมมีความปร่าจางๆ ได้อยู่ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ จะกลายเป็นตัวหลักไปแล้ว และจะมีความนุ่มมาเสริมมากขึ้นจากกลิ่นอายโทนออกทาง Musky ที่ไพล่ไปทางกลิ่นหนังกลับกับ Musk เป็นตัวรองพื้นให้กลิ่นที่นุ่มสะอาดคล้ายผิวกายมนุษย์นุ่มๆ ติดอบอุ่นนวลๆ แต่จะยังมีกลิ่นอายของไม้ซีดาร์คงอยู่กับความ Smoky เบาๆ จาก Oud เลยทำให้กลิ่นมีความเย้ายวนเบาๆ กำลังดี ให้มิติที่มีอะไรน่าค้นหาในความเรียบง่ายได้ลงตัว 

เหมาะสำหรับ - มาสาย Unisex กันอย่างชัดเจน ช่วงเปิดอาจจะแมนๆ นิดนึงแต่เดี๋ยวมันจะกลางๆ ที่ใช้งานได้ทุกเพศแน่นอน ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ กวาดหมดเลยก็ย่อมได้แต่อาจจะไม่ได้เป๊ะมากพอกับการใส่ออกกำลังกายนักแม้จะพอใส่ได้ก็ตาม ส่วนยามค่ำคืนใส่แบบอากาศบ้านเราแบบทั่วๆ ไป หรือออกงานก็ยังได้ แม้จะไม่ได้เน้นมาสายปล่อยพลังแต่มาแบบนิ่งๆ เรียบหรูแทนก็เข้าทีไม่หยอกแต่ถ้าใส่ไปเพื่อหาเหยื่อบอกเลยชาวบ้านกลบหมดแน่นอน 

ความทน - กลิ่นทนได้ลงตัวกับราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด รวมถึงสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. ได้สบายๆ กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลางแบบยาวไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจึงค่อยๆ เป็น Skin Scent ที่นุ่มเชียว 

ทิ้งท้าย - เป็น Oud ที่ใช้ง่ายมากกกกกกและเบามากกกกกก แต่ยังชูโรงกลิ่นให้จับต้องได้ดีอยู่ คงความเป็น Cologne Style แบบ Whispering ที่ไม่ได้เน้นความหนักตาม Concept ของแบรนด์ได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย และใครอยากจะเข้าสู่โลกของกลิ่นอายสไตล์ Oud เบาๆ ตัวนี้เป็นอีกตัวที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Pinterest --> https://i.pinimg.com/originals/4e/2d/ac/4e2dac9f5dd77e0e37e7c8256e13bca5.jpg



วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Escada - Magnetism for Men

Escada - Magnetism for Men 

เรื่องน้ำหอมโทนเจ้าเสน่ห์ ก็ต้องไม่พลาดมาเจอกับ Escada เป็นแบรนด์ต้นๆ ในการเลือกได้เลย เพราะเขาทำโทนนี้ได้ดีจริงๆ
 ไม่ว่าจะทั้งของสาวๆ และหนุ่มๆ และก็ทำออกมาได้แตกต่างแต่ไม่แตกแยกใน Concept ที่พึงเป็นเสียด้วย ซึ่งในฝั่งน้ำหอมชายนอกจากโทนค็อกเทลก็แล้ว โทน Citrus ก็แล้ว ก็หันมาที่โทน Balsamic หรือสายยางไม้ที่ให้ความมีเสน่ห์เฉพาะกันบ้าง ซึ่งก็มีกลิ่นอายที่ดึงดูดชัดเจนและน่าสนใจมากเลยทีเดียว นั่นคือ Magnetism for Men 

เปิดต้นกลิ่นได้อย่างมีความว้าวกันได้เลย เพราะกลิ่นอายจะมีความอวลเย้าและฮอตฉ่ากันอย่างชัดเจน โดยเด่นที่กลิ่นอายแบบพริกไทยในสาย Fresh Spicy เน้นความเผ็ดฮอตแบบนุ่มปนปร่าติดคมพุ่งเด่นออกมา คลุกเคล้าเข้ากับหญ้าฝรั่นที่ให้ความอวลปนหวานขมนัวกึ่งโทนหนังในสายติดอบอุ่น ทำให้มีเลเยอร์ความฮอตเผ็ดร้อน 2 สเต็ปให้จับต้องชัดเจน ซึ่งในช่วงนี้จะรู้สึกได้อย่างหนึ่งคือ เหมือนจะมีกลิ่นอายแนวๆ อบเชยหน่อยๆ เบาๆ เสริมพร้อมกับโทน Citrus กึ่งผลไม้ออกทางเหมือนไวน์บางๆ ที่ซ้อนอยู่ข้างใน ทำให้มีวูบกลิ่นที่คล้ายน้ำอัดลมประเภทโคล่าให้จับต้องได้ด้วย เรียกว่าแค่ช่วงต้นก็เป็นการเปิดตัวที่ชัดเจน มาเต็ม และปล่อยของแบบตรงไปตรงมาเลยทีเดียว 

เพียงไม่นานกลิ่นจะเริ่มลดความเผ็ดพุ่งลงมาในระดับหนึ่งในการเข้าสู่ช่วงกลาง โดยกลิ่นจะมีความนุ่มมากขึ้น แต่ยังมีความฮอตฉ่าอบอวลเข้าทางการเป็นโทน Warm Spicy มากขึ้น โดยหญ้าฝรั่นจะยังเป็นตัวที่คุมโทนนี้อยู่ แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกทึ่งคือ กลิ่นโทนออกทางแป้งเจือไม้หอมนวลๆ ที่พอจับได้ว่าเป็นไม้จันทน์หอมที่มีความขรึมโปร่งๆ ของไม้ซีดาร์เจือๆ เป็นตัวเข้ามาผสมผสานกับความอบอุ่นกรุ่นฮอตฉ่าทำให้มีลักษณะคล้ายแป้งไม้เจือกลิ่นออกทางโคล่าปนปร่านุ่มของเครื่องเทศอบอุ่นที่เย้ายวนและดึงดูดมาก ซึ่งช่วงนี้แหละที่ทำให้รู้ว่ากลิ่นออกทางคล้ายอบเชยนั้นมาจากยางไม้ประเภทหนึ่งที่มีกลิ่นคาบเกี่ยวกึ่งๆ ระหว่างอบเชยกับวานิลลาอย่าง Tolu Balsam เลยทำให้ได้ลักษณะกลิ่นที่ทำให้นึกถึงโคล่าได้ไม่ยาก และยางไม้ประเภทนี้แหละที่จะเป็นหัวใจสำคัญของกลิ่นยาวไปจนถึงช่วงท้าย ซึ่งจะเปิดทางให้กลิ่นอายโทนหนังค่อยๆ แทรกเข้ามา ให้ความอวลติดเท่ห์ๆ มีเสน่ห์ทีละหน่อยๆ จนเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่เป็นโทนหนังเคล้ายางไม้อบอุ่นที่มีลักษณะของความเป็น Amber เจือแป้งวานิลลานวลๆ ที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกลิ่นอายจะให้ความรู้สึกแบบผิวกายอบอุ่นอวลติดหวานกำลังดี ให้ความเซ็กซี่และเย้ายวนปนความดึงดูดของกลิ่นหนังเคล้าความกรุ่มกริ่มติดโทนโคล่าอ่อนๆ ที่ยังมีให้พอจับต้องได้เบาๆ 

ภาพรวมของกลิ่น - ทำให้เห็นผู้ชายในชุดสีดำเท่ห์ๆ แต่มีความฮอตและ Sex Appeal ที่แผ่ออกมาอย่างตรงไปตรงมาหน้านิ่งแต่ตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มที่ดึงดูดให้คนอยากเล่นกับไฟ นี่แหละ Magnetism for Men ของ Escada เขาล่ะ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมีสไตล์มาสายเมโทรที่มีระดับที่ทำให้ผู้สวมใส่มีเสน่ห์ที่มีชั้นเชิงและแพรวพราวแบบเนียนๆ ได้อย่างดีงาม ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะแน่นจนจุกเอาได้ แต่ให้ตัดการใส่ในยามทางการและออกกำลังกาย รวมถึงกิจกรรมกลางแจ้งออกไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางนัก เน้นใส่ทั่วๆ ไป ใส่ทำงานแบบอยู่ Office หรือว่าใส่แบบสร้างออร่ามีเสน่ห์เนียนๆ ก็ทำได้ ส่วนยามค่ำคืน บอกเลยจัดไป กลิ่นไม่เหมือนใคร มีเสน่ห์เฉพาะตัว และเรียกร้องความสนใจได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - ลงตัวที่ราว 8 ชม. และมากกว่านั้นได้ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม ซึ่งส่วนตัวลากยาวไปถึง 10 ชม. ได้สบายมากกับการใช้ที่ 5 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางแบบยาวไป ให้ความเป็นแป้งหอมติดโคล่ากรุ้มกริ่มเจ้าเสน่ห์แบบนิ่งๆ แต่เอาอยู่ได้ดี แล้วจะมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม. จะผ่อนลงไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - เป็นเรื่องที่เสียใจมาก เพราะกลิ่นนี้เลิกผลิตไปแล้ว และตอนนี้ในอินเตอร์เน็ตปั่นราคาได้โหดมากที่สุด เช่นนั้น Escada เอากลิ่นนี้กลับมาทำใหม่เถอะ ขอร้องล่ะ Please~ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.scentsworld.com/fragrance/men/escada-magnestism-34-edt-sp-men/pid/7006/84



วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: 100 Bon - Neroli & Petit Grain Printanier

100 Bon - Neroli & Petit Grain Printanier 

100 Bon เป็นแบรนด์ฝรั่งเศสใหม่ใสกิ๊งที่เปิดตัวเมื่อปี 2017 โดยชูโรงแบรนด์ว่าส่วนผสมมาจากธรรมชาติ 100% ซึ่งก็ว่ากันไปตามแนวทางและคอนเซปท์ของแบรนด์ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งคือ ลักษณะของน้ำหอมจะมีความใกล้เคียงกับสไตล์ของ Jo Malone พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อรุ่นและโทนกลิ่นที่เป็นทั้งสไตล์ Cologne และ Concentre ในพื้นฐานความเข้มข้นที่เป็น
 Eau de Parfum ทั้งคู่ ซึ่งแน่นอนว่าราคาไม่ได้รุนแรงมาก แถมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากเสียด้วย 

เช่นนั้นได้มีโอกาสมาเจอะเจอและได้จัดหามาใช้งาน ก็ต้องเล่ากลิ่นกันหน่อยกับรุ่นแรกที่ได้ลองในสไตล์ของCologne อย่าง Neroli & Petit Grain Printanier 

แน่นอนอยู่แล้วว่ากลิ่นนำเสนอความเป็นดอกส้มและกิ่งก้านส้ม Top Notes ก็เลยมากันแบบชัดเจนของการเป็นโทน Citrus ติดซ่าหน่อยๆ ซึ่งจะเด่นที่ความเป็นส้มสีเลือดกับเปลือกส้มและให้ความสว่างติดปลายหวานของเลมอนที่กำลังดีให้ความสดชื่นปนรื่นรมย์กันเต็มๆ กลิ่นจะไม่ได้ดาวรุ่งพุ่งแรงแบบบาดคมอะไรนัก มีความเป็น Citrus กึ่ง Spicy อ่อนๆ ที่เบาๆ ติดฉ่ำหน่อยๆ สไตล์ Cologne เสริมด้วยกลิ่นเขียวสดชื่นของกิ่งก้านส้ม (Petit Grain) กำลังดี แต่สิ่งที่แทรกตัวมาไวมากเลยคือโทนกลิ่นดอกไม้ขาวที่เด่นด้วยโทนกลิ่นของดอกส้มที่มาแบบเบาๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่มีมิติให้จับต้องได้ทั้งกลิ่นอายติดโทนเขียวปนสดชื่นกึ่งนวลบางๆ ของดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำ (Neroli) ที่มาแบบเบาๆ เคล้ากลิ่นอายอีกเลเยอร์ที่ซ้อนและตัดทอนกันอยู่ของดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) ที่ให้ความนวลสะอาดติดหวานหน่อยๆ ที่เสริมกลิ่นโทน Citrus และนำเข้าสู่ Middle Notes ที่กลายเป็นโทน Soft White Flower เต็มตัว โดยที่จะมีกลิ่นอายจากพรรคพวกที่มาร่วมด้วยช่วยกันอย่างมะลิมาสร้างกลิ่นอายโทนดอกไม้ขาวเบาๆ หอมนวลๆ สะอาดๆ ปนหวานติดตุ่ยๆ Indolic ตามธรรมชาติเจือๆ อยู่ในนั้น ซึ่งมะลินี่แหละจะกลายเป็นตัวแย่งซีนชั้นดีที่ทำให้กลิ่นเข้าโทนการเป็นดอกไม้ขาวเต็มๆ ลดทอนการเป็นโทน Citrus ที่เด่นในช่วงต้นกลายเป็นสายสนับสนุนรองใจดี ให้มีความสดชื่นประปรายแทรกความหวานนวลสว่างอ่อนๆ ไปเรื่อยๆ จนโทน Citrus โบกมือลา ก็จะเป็นการผันตัวเข้าสู่ Base Notes ที่จะเป็นกลิ่นอายดอกส้มนวลปนหวานสะอาด เจือเขียวที่ไม่ได้ค่อนไปทางสดชื่นแล้ว ออกทางติดขมอ่อนๆ เสียมา ซึ่งกลิ่นจะรองพื้นด้วยวานิลลาอ่อนๆ Lite Version เจือด้วย Musk เบาๆ สนับสนุนแบบสายเบื้องหลังที่พอจับต้องได้บ้าง ทำให้กลิ่นจะมีความนวลหอมปนหวานแบบเบาๆ แทรกด้วยเขียวขมอ่อนๆ ให้ความรื่นรมย์สบายๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย มีค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมากยิ่งถ้าชอบกลิ่นอายสบายๆ สว่างๆ ไม่ได้เน้นปล่อยพลังสไตล์แบบ Jo Malone น่าจะเข้าถึงได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนจัดไป ไม่รบกวนใคร ได้กลิ่นติดหวานหน่อยๆ เขียวเบาๆ สะอาดๆ กำลังดี มาสายปลอดภัยชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความรื่นรมย์สบายๆ จะดีกว่า และให้ตัดการใส่เพื่อท่องราตรีไปได้เลย กลิ่นเบาเกินไป ไม่เกิดทางด้านนี้ยามราตรีใน Party แน่นอน 

ความทน - อยู่ราวๆ 4 - 6 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งกลิ่นมีความแกว่งด้านนี้พอสมควร ถ้าอากาศร้อนๆ มักจะไปไวหน่อย แต่ถ้าอากาศกำลังดีสบายๆ ไม่ร้อนไม่หนาว ไปที่ 6 ชม. ได้สบายๆ วัดจากการใช้ที่ 7 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะลดลงไปที่ออร่ารอบๆ ตัวไวหน่อย ก่อนจะเป็น Skin Scent ยาวไป 

ทิ้งท้าย - ใครชอบน้ำหอมที่ไม่ได้เน้นปล่อยพลัง ไม่รบกวนใคร แต่ก็มีลูกเล่นอะไรให้จับต้องได้อยู่บ้าง และเป็นสายมินิมัลในสไตล์ดอกส้มและกิ่งก้านส้มที่ให้ความสดชื่นแนรื่นรมย์แบบกำลังดี ตัวนี้ถือว่าน่าสนใจเลยล่ะ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragrantica - https://fimgs.net/mdimg/secundar/o.47705.jpg



วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Cafe de Parfum - Rustic Dawn

Cafe de Parfum - Rustic Dawn 

ให้ลองจินตนาการดูว่าเวลาที่เราตื่นมาตอนเช้าเพราะเราได้กลิ่นขนมอบแนวๆ พวกพายแอปเปิ้ล หรือว่าชินนามอนโรล มาให้รับรู้แบบลอยมาอ่อนๆ กำลังดี เราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง? 

แน่นอนว่า หิว และอยากเดินไปกินมันเดี๋ยวนั้น มักจะเป็นคำตอบส่วนใหญ่ ซึ่งกลิ่นอายแบบนี้มันมีทั้งความชวนเชิญและความรื่นรมย์ให้รู้สึกอบอุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อได้เลย เช่นนั้นจุดเด่นของความรู้สึกนี้ก็ได้มีการถ่ายทอดออกมาเป็นกลิ่นอายน้ำหอมเรียบร้อยจากการสร้างสรรค์ของแบรนด์ Cafe de Parfum หนึ่งในแบรนด์สัญชาติไทยที่มีแรงบันดาลใจกลิ่นจากขนมต่างๆ เช่นนั้น โทนกลิ่นจะมาลักษณะไหน และจะให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับยามได้กลิ่นขนมลอยมาเย้าจมูกยามตื่นนอนหรือไม่ ว่ากันที่รุ่นนี้เลย Rustic Dawn 

อบเชยจะเป็นศูนย์กลางหลักของน้ำหอมรุ่นนี้เลย เพราะจะมีให้จับต้องได้ตั้งแต่ต้นยันจบ ลดหลั่นกันไปตามกลิ่นที่รายล้อมและสนับสนุน ซึ่งช่วงต้นกลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็นอบเชยแบบที่ทำให้เรายิ้มได้ไม่ยาก เพราะกลิ่นอบเชยที่ฟุ้งกระจายออกมาจะไม่ได้ม่สายแบบแน่นหนักหน่วงแบบตะบี้ตะบันปล่อยความอุ่นเผ็ดร้อนเลยแม้แต่น้อย แต่จะม่แบบกลิ่นอบเชยโปร่งๆ พลิ้วๆ หวานติดอุ่นเบาๆ ซึ่งสนับสนุนโดยกลิ่นแอปเปิ้ลที่ไม่ได้ออกทางฉ่ำหรือสดชื่นนัก มาแบบแอปเปิ้ลติดสุกฝนน้ำไซรัปหวานเล็กๆ ซึ่งแน่นอนลักษณะแบบนี้กลิ่นจะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นไส้พายแอปเปิ้ล (ที่เอาแอปเปิ้ลเขียวสดมาคลุกกับผงอบเชย ผงจันทน์เทศ น้ำตาล น้ำเลมอน และแป้ง) ที่อบเสร็จหอมกรุ่นออกมาลอยตามลมแบบหวานโปร่งเย้าจมูกแบบลงตัวกำลังดี ซึ่งแน่นอนชัดเจนถึงลักษณะที่เป็นพายแอปเปิ้ลกันอย่างชัดเจน 

แล้วกลิ่นจะค่อยๆ ไปสู่ช่วงกลางที่ความเป็นโทนแอปเปิ้ลจะเริ่มเบาลง โดยที่ยังมีความหวานอบเชยที่กลิ่นเริ่มจะอุ่นมากขึ้นมาหน่อย แต่จะไม่ได้เด่นมาก โดยจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายวานิลลาที่เสริมเข้ามาในช่วงนี้ ให้อารมณ์แบบกลิ่นติดขนมอบหอมบางๆ เพราะมีกลิ่นอายออกทางสมุนไพรติดเขียวปนกลิ่นกุหลาบบางๆ ซึ่งน่าจะมาจากเจอราเนียมมาตัดทอนให้กลิ่นไม่ได้เป็นขนมแบบจัดจ้านจงใจเกินไป ให้อารมณ์กลิ่นแบบพายแอปเปิ้ลอุ่นๆ ที่ไม่ได้กรุ่นกริ่นออกมาชัดเจนแบบช่วงแรก แต่จะมีความหอมนวลมากขึ้น ที่สำคัญกลิ่นช่วงนี้ไพล่ไปทางคล้ายกลิ่นขนมอย่าง Apple Cinnamon Roll ก็ได้ด้วย ให้มิติที่มากกว่าความเป็นพายหอมๆ ก็ได้ด้วยก็ได้ด้วย อารมณ์กลิ่นยังคงเป็นลักษณะอบอุ่นติดขนมโปร่งๆ สบายๆ กำลังดี แถมรองพื้นด้วยกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ด้วยให้ได้ความรู้สึกสีครีมนวลสบายๆ ที่จะเริ่มชัดเจนขึ้นจนนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นอายอบอุ่นแบบกำลังดีของวานิลลาที่เจือลักษณะยางไม้ให้ความอวลบางๆ จะเด่นขึ้นมาผสมผสานกับอบเชยที่ยังมีอยู่ เคล้ากับกลิ่นไม้หอมที่คลอไปตลอดแบบติดอบอุ่นนวลบางๆ ปนกลิ่นขมยางไม้อ่อนๆ ที่มาตัดทอนให้กลิ่นแม้จะมีความอวลแต่ก็ไม่หนักหน่วงเกินไป ให้อารมณ์แบบกินขนมหมดแล้วมีกลิ่นค้างอยู่เบาๆ นั่งชิลล์บนโต๊ะไม้กับสภาพแวดล้อมที่แสงแดดส่องเข้ามาแบบนวลอบอุ่นและรื่นรมย์ได้ดีจนเป็นภาพในหัวออกมาตามกลิ่นได้เลย

ภาพที่เห็นเชื่อมโยงกับน้ำหอม - ถ้ามองในแง่ของคาแรคเตอร์ของผู้คนใน Cafe จะได้ความรู้สึกแบบฝรั่งมาดสุขุมใส่สูท มีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าและมีความอบอุ่นแบบ Family Man ในตัวสูงมาก กับพายแอปเปิ้ลหรือว่าแอปเปิ้ลชินนามอนโรลที่วางตรงหน้า สามารถทำให้หลายคนจินตนาการไปได้ว่า ผู้ชายที่เหมาะกับการเป็นพ่อของลูกฉันได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้มีความเป็นโทน Unisex ที่สามารถใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพราะกลิ่นค่อนไปทางสภาพแวดล้อม แต่จะแอบอิงไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นให้ความเป็นคนอบอุ่นแบบไม่หนัก โปร่งๆ สบายๆ มากกว่าที่คิด เพียงแต่ถ้าอากาศร้อนจัดๆ แนะนำว่าเบามือเรื่องสเปรย์หน่อยจะดีมาก ไม่งั้นเดี๋ยวอึนเอาได้ แต่ถ้าอากาศเย็นๆ ตัวนี้เรียกว่าตัดกับสภาพอากาศได้อย่างดีมากจนทำให้ฟินได้เลย ที่สำคัญตัดเรื่องการใส่ตัวนี้เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้สบายมากทุกสถานการณ์ จะใส่เที่ยวกลางคืนก็ได้ อัดสเปรย์หน่อยให้เป็นกลิ่นอบอุ่นน่าเข้าใกล้ก็ถือว่าดีไม่น้อยเลยทีเดียว 

ความทน - อันนี้ดีจริง เพราะกลิ่นทนยามนานมาก 12 ชม. ที่สัมผัสได้ และผ่านไป 15 ชม. แล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่ กับการใช้ 6 สเปรย์ ซึ่งถ้ามองแบบค่าเฉลี่ยก็น่าจะ 8 ชม. ได้สบายๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ แบบไม่หนักหน่วง ให้ความหวานปนรื่นรมย์อบอุ่นกำลังดีไปตลอด พอเข้าช่วงท้ายถึงกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็น Skin Scent เมื่อพ้นซัก 6 ชม. ไปแล้ว 

ทิ้งท้าย - แม้จะโทนกลิ่นออกทางขนม แต่เพราะกลิ่นที่ไม่หนักเกินไป เลยทำให้กลิ่นนี้มีความรื่นรมย์และได้ความรู้สึกแบบกลิ่นพายอบในบ้านไม้ยามเช้าได้อย่างน่าสนใจมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.cafedeparfumth.com/product/rustic-dawn/



วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Dior Homme Eau for Men

Dior Homme Eau for Men 

ถ้ามองในแง่ของ DNA ของสาย Dior Homme มักจะสื่อสารถึงผู้ชายที่ดูแลตัวเองและมีความเมโทรที่มีความหรูหราและมีระดับ ซึ่งในยุคหลังๆ โทนกลิ่นของ Dior Homme เริ่มที่จะมีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อที่จะตอบโจทย์ความต้องการด้านกลิ่นที่แตกต่างไปตามแต่ละช่วงเทรนด์
 

แต่ถ้ามองในแง่ของกลิ่นที่เป็นตัวหลักของไลน์นี้คงจะหนีไม่พ้นสไตล์กลิ่นของดอกไอริสที่ให้ความเป็นแป้งแนวๆ เครื่องสำอางผสมผสานกับกลิ่นออกทางลิปสติก แต่อย่าพึ่งเอ๊ะไป ว่ามันใช่น้ำหอมผู้ชายเหรอ ซึ่งใช่ เนื้อกลิ่นมีความแมนเมโทรแบบผู้ชายที่ปกเสื้อมีรอยลิปติก ติดอยู่ แล้วกลิ่นกายมีแป้งเครื่องสำอางของผู้หญิงติดกาย ซึ่งแน่นอน Dior เองแม้จะแตกไปเริ่มแตะโทนอื่นๆ มากขึ้นในการปรับสูตรรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมา แต่ความเป็นโทนไอริสของต้นฉบับ Dior Homme เองก็มีเสน่ห์ที่ไม่จางหายไปไหน แต่มันอาจจะหนักไป บางคนก็กลัวที่จะใช้แล้วดูออกสายเพราะกลิ่นหลักมาแบบนี้ Dior เลยเปิดตัวรุ่น Dior Homme Eau for Men ที่ยังคงกลิ่นอายสไตล์เจ้าเสน่ห์มีระดับแบบแป้งเครื่องสำอางเป็นลายเซ็นแบบเดิม แต่มีความสว่างและใสในเนื้อกลิ่นมากขึ้นในปี 2014 ที่ผ่านมา 

ในเมื่อใส่คำว่า Eau ซึ่งแปลว่า น้ำกลิ่นเลยเปิดตัวค่อนข้างชัดเจนกับการเป็นโทนสว่างและมีความรู้สึกแบบโทนน้ำผสมผสานในเนื้อกลิ่นชัดเจน โดยที่หัวใจหลักของกลิ่นของโทนแป้งจากดอกไอริสที่ให้ความเซ็กซี่เจือกลิ่นแบบแป้งเครื่องสำอางตามสไตล์ DNA ของแบรนด์ยังคงมีอยู่ แต่จะมีความสดชื่นแบบกลิ่นแป้งเจือโทนชื้นๆ น้ำๆ หน่อย เคล้ากับสายสนับสนุนอย่างโทนกลิ่นปร่าซ่าๆ ของเม็ดผักชีและกลิ่นอายโทน Citrus ติดออกทางสว่างๆ ของเกรปฟรุตที่ไม่ได้มาสายเปรี้ยวพุ่งคมทะลุเลย มาแบบสายสนับสนุนที่มีความเปรี้ยวปนขมอ่อนๆ ให้กลิ่นดูสดชื่น ทำให้ช่วงต้นจะได้อารมณ์แบบกลิ่นแป้งติดชื้นๆ ไม่หนักหน่วงปูทางกันก่อน แล้วเมื่อกลิ่นออกทางโทนน้ำชื้นๆ เริ่มที่จะลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเป็นสายสนับสนุนเบาๆ ที่ทำให้กลิ่นไม่หลุด Concept ความ Eau ของชื่อรุ่น แต่จะให้ความเป็นโทนแป้งที่มีความเป็นลักษณะสไตล์แป้งเครื่องสำอางที่ชัดเจนขึ้นก็จริง แต่ไม่ได้ไปสายนัวอวลแบบรุ่นต้นตระกูล เพราะกลิ่นจะให้ความเป็นแป้งที่มีความนวล โปร่งๆ แต่ติดอับเซ็กซี่ตามสไตล์ของไอริสอยู่แบบเนียนๆ แอบหวานบางๆ มีความปร่ากำลังดีที่ตามมาจากช่วงต้นทำให้ช่วงนี้จะได้ความรู้สึกแบบโทนสีสว่างออกทางสีขาวนวลปนสีออกทางน้ำเงินอ่อนๆ ที่ให้ความน่าค้นหา ความขรึม ความ Cool และความสบายๆ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ สะอาดๆ ของไม้ซีดาร์ที่ค่อยๆ เสริมทัพเข้ามาเรื่อยๆ และมีความชัดเจนมากขึ้นตีคู่กับความเป็นโทนแป้งในช่วงท้าย ที่กลิ่นซีดาร์จะให้ความสะอาด สว่าง โปร่งก็จริง แต่กลิ่นจะมีความอบอุ่นหน่อยๆ เสริมอยู่ ทำให้ได้ความรู้สึกแบบแป้งปนไม้หอมอบอุ่นมีความหวานเบาๆ อวลกำลังดีไปเรื่อยๆ ได้อารมณ์ผู้ชายสบายๆ แต่แอบเซ็กซี่เนียนๆ เบาๆ กำลังงามเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้ แต่อย่างน้อยพื้นฐานต้องผ่านกลิ่นอายแบบโทนแป้งติดอับสไตล์แบบแป้งเครื่องสำอางหรือจะโทนแป้งทั่วๆ ไปมาบ้าง จะเข้าถึงตัวนี้ได้ง่ายขึ้น รวมถึงคนอยากลองโทนแป้งที่ไม่ได้ดูมาเต็มเกินไปก็ย่อมได้ โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันเรียกว่าเป็น Office Scent หรือ Daily Scent ที่มีระดับยังได้เลย เพียงแต่จะไม่เหมาะกับการใส่ไปกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย เพราะโทนแป้งไม่เข้ากับเหงื่อเท่าไหร่อยู่แล้ว ง่ายๆ เน้นเท่ห์ๆ Cool สบายๆ มีเสน่ห์อะไรประมาณนี้ ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นเบาไปถ้าจะใส่ไปท่องราตรี 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวฉีดไป 6 สเปรย์ รวมเสื้อที่สวมด้วย ไปที่ 8 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป พอเป็นช่วงท้ายจะผ่อนลงเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ตอนพ้นซัก 4 ชม. ไปแล้ว 

ทิ้งท้าย - เป็นตัวเชื่อมที่ดีมากเลยทีเดียวระหว่างความเป็น Dior Homme ปกติ กับ Dior Homme Sport รุ่นปี 2012 ที่ยังมีความเป็นโทนแป้งของไอริสเป็นตัวชูโรงอยู่บ้าง (ไม่ใช่แบบปี 2017 ที่หายแซ่บหายสอยไปหมดแล้ว) เพราะไม่ถึงกับสดชื่นเกินไป มีความ Cool สบายๆ นิ่งๆ มีระดับติดเซ็กซี่ลงตัว และที่สำคัญ รุ่นนี้ไม่ได้ขายในไทย เสียดายก็ตรงนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.dior.com/en_gb/products/beauty-Y0600940-dior-homme-eau-for-men-eau-de-toilette



วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Penhaligon’s - Empressa

Penhaligon’s - Empressa 

กับการนำเสนอเมื่อปี 2014 ของ Penhaligon’s กับการเปิดตัว Trade Routes Collection ที่ถ่ายทอดกลิ่นในช่วงยุคสมัยศตวรรษที่ 19 ที่เป็นยุครุ่งเรืองทางการค้าของจักรภพอังกฤษ ซึ่งในแต่ละรุ่นจะเน้นที่กลิ่นอายความหรูหราที่มาจากองค์ประกอบของสินค้าประเภทต่างๆ ที่เดินทางมาจากแดนไกลและแตกต่างกันไป เช่นนั้นเมื่อได้มีโอกาส จึงขอมาสัมผัสกันเสียหน่อย กับหนึ่งใน Collection นี้ที่เจาะจงไปทางสายน้ำหอมผู้หญิงโดยตรง เน้นกลิ่นอายความหรูหราของสินค้าประเภทผ้าไหมและเครื่องประดับไข่มุกที่ยกระดับผู้สวมใส่อย่างรุ่น Empressa ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง 

เสียงลือเลียงเล่าอ้าง เหมือน Coco Mademoiselle อันใดเพื่อนเอย

เมื่อมาเจอกับตัวจริงๆ ก็มีความพยักหน้ายอมรับกันในระดับหนึ่งเลยที่เดียวว่า เออ มันเหมือน Chanel Coco Masemoiselle ไม่น้อยเลย เพียงแต่มีอะไรที่แตกต่างอยู่ให้พอจับต้องได้ โดยกลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็น Citrus เด่นมาก่อนเลย โดยจะได้ความหอมติดฉ่ำแบบกำลังดีปนซ่าหน่อยๆ ของส้มสีเลือดและมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) วูบขึ้นมาให้ความสดชื่นกันเลย แต่ในเนื้อกลิ่นจะจับได้ถึงความหวานจากกลิ่นผลไม้อย่างพีชที่ให้ความหอมหวานแบบใสๆเจือไปด้วยกลิ่นติดโทนเผ็ดนุ่มเคล้ากุหลาบอ่อนๆ ของพริกไทยสีชมพู ทำให้กลิ่นช่วงนี้จะได้ความเป็น Citru Fruity และ Aromatic ที่ค่อนข้างชัดเจน มีความหรูหราในโทน Citrus ที่ชี้ไปทางฝั่งสาวๆ ชัดเจน ที่สำคัญกลิ่นเปิดทำให้นึกถึง Coco Mademoiselle เต็มๆ และมีลักษณะแบบน้ำหอม Designer ไม่น้อย เพียงแต่กลิ่นมีความสดชื่นกว่าและเบากว่าแบบที่ให้ความรู้สึกเรียบหรูและมีระดับในเวลาเดียวกันในรูปแบบสไตล์อังกฤษชัดเจน

เมื่อกลิ่นโทน Citrus เจือพีชปนปร่าๆ ซ่าๆ ดำเนินไปจนถึงช่วงกลาง กลิ่นโทนดอกไม้จะเริ่มชัดเจนมากขึ้นกับความเป็นกลิ่นอายกุหลาบที่มีความเขียวคมๆ ของใบแบล็คเคอแรนท์ที่เป็นเสมือสายสนับสนุนที่ชัดเจนและจับต้องได้ ทำให้กลิ่นโทน Citrus มีความสว่างเปรี้ยวอะโรม่าปนเขียวเคล้าความนวลระเรื่อของกุหลาบที่สมดุลย์พอดี และที่สำคัญมีการตัดทอนกลิ่นไม่ให้ไปสายพุ่งคมนักและมีความสดใสแบบกำลังดี มีมาดของโทนผลไม้ที่โดดเด่นไม้น้อยจากกลิ่นของพีชที่มีลูกคู่อย่างกโทนเบอร์รี่ที่เปรี้ยวอมหวานเจือฝาดบางๆ เสริมขึ้นมา ทำให้ช่วงกลางนี้จะเป็นการล้อและผสมผสานคลอไปด้วยกันของความเป็น Citrus และ Fruity รองพื้นด้วยกลิ่นอายของดอกไม้นวลๆ ได้สวยพลิ้วเลยทีเดียว 

ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปในระดับหนึ่งจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นพิมเสนที่ค่อยๆ แทรกตัวขึ้นมาอย่างเนียนๆ พร้อมกับโทนไม้หอมอ่อนๆ ปน Smoky บางๆ จนกลิ่นโทน Citrus เริ่มจางลงไป และกลิ่นผลไม้เริ่มมีความนวลมากขึ้น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่คราวนี้ต้องยอมรับกันเลยว่า มีความเป็น Niche Perfume มากขึ้นและเริ่มต่างจากรุ่นกลิ่นคล้ายที่กล่าวถึงข้างต้นพอสมควรแล้ว เพราะกลิ่นจะมีความกรุยกรายแบบพอดีๆ มีความละเมียดในโทนกลิ่นพิมเสนที่ให้ความพลิ้วไหวแบบสะอาดๆ ปนหวานระเรื่อจมูกสอดรับกับกลิ่นผลไม้ที่ลดลงมาให้ความหวานอ่อนๆ นวลกุหลาบแบบเบาๆ กำลังดีเป็นเลเยอร์บนสุด ให้ความสดใสเย้ายวนมีระดับก็จริงแต่ไม่ลั่นล้า เพราะจะซ้อนด้วยกลิ่นอายติดโทนแป้งอบอุ่นเบาๆ ของวานิลลาที่มาแบบ Lite Version และมีกลิ่นโกโก้อ่อนๆ ทำให้กลิ่นมีมิติกรุยกรายออกทางคุณนายแบบกำลังดีเป็นเลเยอร์ช่วงกลาง แล้วรองพื้นเลเยอร์ท้ายสุดด้วยกลิ่นอายอบอุ่นของแอมเบอร์กับไม้หอมนวลๆ ติด Smoky เบาๆ ให้ความน่าค้นหาแบบเรียบหรู ซึ่งทั้ง 3 ชั้นกลิ่นจะสอดรับกันเป็นอย่างดี ให้ความนวลเนียนจมูกแบบรื่นรมย์ รวมถึงสร้างอารมณ์ละเมียดและหรูหราที่ซ้อนความเย้ายวนไว้แบบเนียนๆ ได้อย่างลงตัว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก ให้ทั้งความสดชื่น สดใส มีระดับ สว่าง ไม่หนักหน่วงเกินไป และวางตัวดีเรียบหรู แต่ซ้อนด้วยความเป็นอัตลักษณ์ทางกลิ่นแบบผู้หญิงที่ลงตัว โดยสามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป มีเพียงการใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ถ้ารอจนช่วงท้ายๆ แล้วออกกำลังกายอันนี้ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป จะดีกว่าใส่ไปท่องราตรีที่อาจจะโดนชาวบ้านกลบเอาได้ 

ความทน - อันนี้เรียกว่าดีงามเกินคาดกับราวๆ 8 ชม. ที่กลิ่นยังคงอยู่ และมากกว่านั้นได้สบายมาก โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงตีขึ้นให้รับรู้แบบระเรื่อๆ นวลๆ ให้รื่นรมย์ กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัว แล้วพอเข้าช่วงท้าย ออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - เหมือน Coco Mademoiselle ไหม? ตอบเลยว่าเหมือน แต่ไม่หนักเท่า และมีความเป็นโทนสว่างพลิ้วสดชื่น สะอาด และเรียบหรูแบบสไตล์อังกฤษเสียมากกว่า เรียกว่า ถ้าใครใช้ Chanel แล้วรู้สึกมันมาเต็มไป มาที่ Empressa นั่นไง ตอบโจทย์อย่างแน่นอน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://essenza-nobile.de/fragrances/penhaligons/empressa.html

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Officine del Profumo - Mojito

Officine del Profumo - Mojito

สารภาพกันตามตรงว่าไม่รู้จักแบรนด์นี้มาก่อนเลย จนได้มีโอกาสรับการแบ่งปันมาให้ลอง เลยทำให้ได้รู้ว่ามีน้ำหอมแบรนด์อิตาลีที่ทำกลิ่นได้ดีและมีความประทับใจได้อย่างลงตัวมากอีกแบรนด์ที่อยู่แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ อย่าง Officine del Profumo ซึ่งเป็นแบรนด์อิตาลีแท้ๆ เน้นแรงบันดาลใจจากบ้านเมืองของตัวเองมาถ่ายทอดผ่านกลิ่นในแง่มุมต่างๆ เช่นนั้นเมื่อได้ลองก็ต้องเล่ากับการสื่อสารกลิ่นอายที่สร้างความสดชื่นเคล้าความชิลล์อย่างเครื่องดื่มค็อกเทล Mojito ของแบรนด์นี้กันเสียหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะไหน

Happy~ 

ถึงกับตะโกนออกมาแบบนี้เลย เพราะพื้นเพส่วนตัวเป็นคนชอบค็อกเทลชนิดนี้มากอยู่แล้ว เพราะจะได้ความรู้สึกทั้งความเป็นมินต์สดชื่น ความเป็นมะนาวหอมสดใสและกลิ่นเหล้ารัมที่หอมรื่นจมูก ซึ่งพอมาเจอตัวนี้ อารมณ์แรกดมมันบอกชัดเจนเลยถึงแรกความรู้สึกที่มี Mojito มาวางตรงหน้า (Mojito ที่เป็นแบบแท้ทรูนะ ไม่ใช่ Mojito ที่ขายตาม Fast Food แบบไม่ใส่แอลกอฮอล์ที่กินไปนึกว่าสไปร์ทใส่กลิ่นมินต์) เพราะกลิ่นที่ได้จะไม่ได้ไปสายซ่าๆ Sparkling นัก แต่จะได้ความสดชื่นติดเขียวของมินต์ที่ปร่าปนเมทัลลิคออกมาบางๆ เคล้ากับกลิ่นเปรี้ยวสดชื่นในวูบแรกแล้วเปลี่ยนเป็นสดชื่นแบบเปรี้ยวโปร่งอากาศ Airy ของมะนาว ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับได้ถึงความหวานอ่อนๆ คล้ายกลิ่นรัมแบบใสๆ และมีความรู้สึกแบบเย็นๆ Icy ประปรายได้อารมณ์รื่นรมย์เป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มต้น แล้วกลิ่นจะเริ่มพัฒนาไปสู่ช่วงกลางที่มีกลิ่นเขียวมินต์ที่ลดความปร่าลงมาเป็นเขียวสดชื่นนวลๆ ปนกลิ่นอายขมปนกลิ่น Citrus ที่มีความเปรี้ยวก็จริง แต่ไม่ได้พุ่งออกมานัก โดยมีเลเยอร์ซ้อนกันพอให้จับได้คือ มะนาว ที่ยังอยู่แบบโปร่งสดชื่น และมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ให้ความติดเขียวปนขมตีคู่กับมินต์ได้อย่างลงตัวได้ความรู้สึกกึ่ง Spicy กึ่งสดชื่นยืนพื้นที่ความเขียวได้ดีมาก ซึ่งกลิ่นจะโดนเกลาจากโทนไม้หอมติดขรึมและอวลกำลังดี เคล้ากลิ่นรัมที่มีความฉ่ำปนหวานน้ำตาลละมุนทำให้ช่วงนี้เรียกว่าเป็นช่วงที่จะได้ความหอมนวลนุ่มชุ่มหวานที่มีความเขียวอะโรม่ารื่นรมย์แบบไม่บาดจมูกแบบรื่นไหลลงตัวมากจริงๆ เหมือนกลิ่นค็อกเทล Mojito ชั้นดีที่ทุกอย่างพอเหมาะพอเจาะในการผสม แล้วเวลาที่เราดื่มเข้าไปในปากแล้วฟุ้งออกมาแบบลงตัวกำลังดีทั้งความหอมเขียวนวลละเมียดและสดชื่นฉ่ำชุ่มหวานปลายในเวลาเดียวกัน ซึ่งกลิ่นจะคงตัวไปแบบที่ทำให้เราซึบซับความรื่นรมย์พอสมควร ก็จะเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นจะมีความเปลี่ยนแปลงให้รู้สึก เพราะความเป็นโทนไม้หอมติดแห้งๆ ปนกลิ่นดินหน่อยๆ ของหญ้าแฝกจะเริ่มเป็นตัวเด่นขึ้นมาแบบค่อยเป็นค่อยไป อารมณ์แบบกลิ่นเก้าอี้หรือโต๊ะไม้แห้งๆ ที่มีกลิ่นดินๆ เจืออ่อนๆ แบบธรรมชาติ เคล้าไปกับกลิ่นค็อกเทลที่กลายเป็นโทนแห้งๆ เหลือแต่กลิ่นหวานโปร่งน้ำตาลปนเขียวนวลอ่อนๆ ให้จับต้องได้ที่คงค้างอยู่ในแก้วหรือบรรยากาศสดชื่นที่ยังมีความหวานปลายโปร่งหอมให้จับต้องไปแบบเบาบางในอากาศแบบสบายๆ แบบยาวไปเรื่อยๆ อย่างพึงใจมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นมีความกลางๆ แบบอารมณ์สดชื่นสบายๆ และมีระดับกับเครื่องดื่มแก้วโปรดโดยไม่ได้ไปสายพีคหรือพุ่งเกินไป จนกลายเป็นเหมือนค็อกเทลเดินได้ ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป ใส่ทำงานได้ ใส่ชิลล์ๆ ได้ งานทางการก็ได้ แต่ถ้าเป็นลักษณะแบบงานทางการจัดๆ รับแขกบ้านแขกเมืองอันนี้อาจจะต้องพิจารณากันนิดนึงว่าเสริมบุคลิกมากน้อยแค่ไหน รวมถึงแม้ออกกำลังกายก็ยังใส่ได้ เรียกว่าครอบจักรวาลการใช้งานช้วงกลางวันพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปสบายๆ หรือว่าท่องราตรีแบบจิบๆ จะดีกว่าใส่ไปเพื่อปล่อยพลังเรียกเรตติ้ง เพราะกลิ่นไม่ได้ถึงกับมาสายปล่อยของหรือเย้ายวนสุดฤทธิ์อะไรเท่าไหร่ 

ความทน - อันนี้ถือว่าเกินคาด เพราะกลิ่นลักษณะนี้มักจะไม่ได้ถึงกับทนจัดนัก แต่กลายเป็น 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้จับต้องได้ ถือว่าดีงามและลงตัวจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายแบบปานกลางในช่วงแรก ออกทางอาจจะทำให้แปลกใจว่าทำไมกลิ่นมันไม่พุ่งเสียด้วยซ้ำ แต่พอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะชัดขึ้นตามลำดับจนถือว่ากระจายดีได้เลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆ ดรอปลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไปในช่วงท้าย ผ่านไปซัก 6 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็น Skin Scent จามลำดับ 

ทิ้งท้าย - ยอมรับจากใจว่าตกหลุมรักกลิ่นนี้มาก ให้สเต็ปเหมือนจิบ Mojito ตั้งแต่แรกเริ่มถึงหมดแก้วได้ชัดเจนมาก จะหาขวดเต็มได้จากที่ไหน ก็คิดอยู่เลยเนี่ย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragrantica - https://fimgs.net/mdimg/secundar/o.36450.jpg

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Alaïa - Eau de Parfum Blanche

Alaïa - Eau de Parfum Blanche

ถ้าพูดถึง Azzedine Alaïa ผู้คนต่างๆ ในโลกแฟชั่นต่างยกย่องให้เป็นปรมาจารย์กันเลย รวมถึงเป็นที่รักของเหล่านางแบบแถวหน้ามากมาย รวมถึง Naomi Cambell ที่เรียกศิลปินทางแฟชั่นท่านนี้ว่า “พ่อซึ่งแม้ว่ากูตูริเยร์ผู้ยิ่งใหญคนนี้จะจากลาโลกนี้ไปไม่นาน แต่ก็ได้จารึกผลงานที่รุ่งเรืองขีดสุดทางด้านแฟชั่นเอาไว้อย่างมากมาย และยังคงโดดเด่นจนถึงปัจจุบัน 

ซึ่งก็ขอจบเรื่องแฟชั่นแต่เพียงเท่านี้ เรามาว่ากันนอกเหนือจากแฟชั่น Couture, Ready to Wear, รองเท้า, กระเป๋า, เครื่องประดับต่างๆ ที่แบรนด์นี้มีชูโรงมาสู่น้ำหอมกันดีกว่ากับการอยู่ภายใต้การดูแลของเครือ Shiseido ที่ปล่อยน้ำหอมของ Alaïa ออกมาเมื่อปี 2015 จนถึงปัจจุบัน โดยสื่อสารถึงผู้หญิงในแง่มุมต่างๆ ที่ลุ่มลึก ซึ่งกลิ่นแรกของแบรนด์นี้ที่ได้ลองอย่าง Alaïa Eau de Parfum Blanche ก็เป็นอีกหนึ่งเฉดโทนกลิ่นที่สื่อสารถึงความเป็นผู้หญิงที่มีความนุ่มนวล อ่อนโยน แต่ไม่ได้อ่อนแอ มีพลังทางเพศท่ามกลางความเป็นโทนสีขาวที่นวลละมุนจมูกได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว 

โดยกลิ่นเปิดจะเริ่มที่ความครีมมี่มิลค์กี้กันก่อนเลย กลิ่นจะมีความคาบเกี่ยวกลิ่นอายคล้ายนมผสมผสานกับกลิ่นอายหวานหอมของอัลมอนด์ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ข้นคลั่กจัดๆ นักคือกลิ่นอายเย็นๆ ปนดอกไม้ขาวหอมบางๆ อ้อยอิ่งอยู่ในนั้น เนื้อกลิ่นแอบจับได้ถึงโทนที่ออกทางกึ่งไม้หอมปนแป้งอ่อนๆ ในช่วงนี้เสียด้วย ทำให้ช่วงต้นออกแนวลักษณะครีมมี่แบบนมหวานอัลมอนด์ปนดอกไม้ขาวคล้ายๆ มะลิเบาๆ ที่ออกทางเย็นๆ หน่อย แต่เพียงไม่นานการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นเพราะความเย็นๆ ของกลิ่นจะเริ่มหายไป กลายเป็นกลิ่นอายโทนแป้งปนอบอุ่นกำลังดีมาแทนที่ กลิ่นจะมีความหวานหอมนวลๆ ของแป้งที่มีความนวลละมุนปนหวานหอมดอกไม้ บางวูบมีลักษณะคล้ายแป้งเครื่องสำอางค์หน่อยๆ ที่มาผสมผสานกันจนได้โทนออกทางสีครีมนวลค่อนไปทางสีขาวที่มีความครีมมี่มิลค์กี้ปนหอมหวานดอกไม้ขาวนวลๆ แบบกำลังดีให้ความรู้สึกละมุนอ่อนโยนนวลเผยความเป็น Feminine ในเนื้อกลิ่นที่สูงมาก แล้วเนื้อกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้ถึงโทนกลิ่นวานิลลาที่แน่นอน ต้องมาแบบโทนแป้งหอมอบอุ่นมาเสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นแป้งหอมวานิลลานุ่มนวลจะเป็นตัวเด่น เคล้ากับกลิ่นโทน Musk ที่ยังทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลอยู่ เสริมกลิ่นโทนแป้งให้มีความนวลจมูกไม่ไปทางโทนครีมจ๋าอุ่นมากนัห แต่สิ่งหนึ่งที่จับต้องได้ คือ โทนกลิ่นติด Animalic สาปปลุกเร้าบางๆ ที่แทรกซึมอยู่ ให้ความรู้สึกเซ็กซี่เย้ายวนมีพลังแบบไม่โจ่งแจ้งแฝงท่ามกลางโทนแป้งหอมละมุนมีระดับ ทำให้สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล อ่อนโยน มีระดับ แต่เซ็กซี่และมีจริตแฝงอยู่ เข้าทางลักษณะของผู้หญิงแบบที่โปรยเอาไว้ก่อนหน้าได้อย่างชัดเจน

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปใช้ตัวนี้ได้สบาย สร้างออร่ากลิ่นขาวปนครีมนวลได้อย่างมีชั้นเชิงมากเลยทีเดียว เอาจริงๆ น้องๆ มหาลัยก็ใช้งานตัวนี้ได้ถ้าชอบโทนแป้ง แต่กลิ่นจะออกแนวทำให้เราต้องวางตัวดีมีระดับไปด้วย เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายลั่นล้าจี๊ดจ๊าดเลยแม้แต่น้อย โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ยิ่งถ้าใส่กับชุดโทนสีนู้ด ครีม หรือขาว ยิ่งขับออร่าออกมาผ่านกลิ่นได้ดีมากเลยทีเดียว แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือการออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่ได้ไปสายนั้น ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่เพื่ีอช่วงเวลาออกงาน ทั่วๆ ไป หรือไปสายโรแมนติคน่าจะดีกว่า 

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. กำลังดี กับการใช้งาน 4-5 สเปรย์ อาจจะมากกว่านี้ถ้าเพิ่มสเปรย์ซักนิด แต่อย่าเยอะจนเป็น 10 สเปรย์ เดี๋ยวแป้งท่วมหัวเอาตัวไม่รอดหายใจไม่ออกเอาได้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีแบบยาวไป พอเข้าช่วงท้าย กลิ่นจะเริ่มดรอปลงมาเป็นปานกลางระยะหนึ่ง แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. ก็เป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - กลิ่นให้โทนที่ใส่แล้วยังไงก็ต้องวางตัวดี เพราะกลิ่นมีระดับในตัวสูง แบบโทนสีขาวที่เห็นสว่างนวลตาแต่มีพลังออกมาให้สัมผัสได้ และมีชั้นเชิงแบบที่จะใช้คำว่า ยังไงก็ได้ยากเลยล่ะ ที่แน่ๆ กลิ่นนี้ได้อารมณ์ Working Woman ในชุดขาวกึ่ง Casual กึ่งทางการได้ดีมากจริงๆ ไม่เชื่อลองจัดหามาแล้วทดลองดูสิ อาจจะได้น้ำหอมประจำตัวอีกกลิ่นก็ได้นะนั่น 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragrantica - https://fimgs.net/mdimg/secundar/o.43488.jpg