วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Sous Le Manteau - Fontaine Royale

Sous Le Manteau - Fontaine Royale

สิ่งแรก คือ ไม่รู้จักแบรนด์นี้มาก่อนเลย

แต่เมื่อได้รู้ว่าผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้คือคนเดียวกับแบรนด์ ICONOfly (ที่เคยผ่านการใช้งานบางกลิ่นมาบ้างแล้ว) แล้วแยกแบรนด์ออกมานำเสนอกลิ่นอายที่สร้างความรู้สึกปรารถนาเย้ายวนและความน่าค้นหาต่างๆ ก็เลยเห็นถึงความน่าสนใจขึ้นมาว่าจะนำเสนออย่างไร ผลจึงไม่ต้องเดาให้มากความว่า ก็ลองสิจ้ะ นะจ้ะ มันจะไปยากอะไร เช่นนั้นเลยได้เวลามาทำความรู้จักกับการเป็น Sous Le Manteau กันหน่อย

และกลิ่นแรกที่ได้มาเจอนั่นก็คือ Fontaine Royale ซึ่งที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้จะเน้นที่ความแฟนตาซี ปล่อยใจล่องลอย ที่ยังคงคอนเซปท์ต้องหรูหรา โดยเอาพื้นฐานความหวานเป็นแกนหลักในการเดินกลิ่น กับการเปิดตัวด้วยกลิ่นอายที่มีความเป็น Citrus ออกทางขมปร่าแกมเปรี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของ Bergamot หรือมะกรูดฝรั่งที่ให้ความเป็นธรรมชาติแบบสร้างบรรยากาศได้กำลังดี มีความเขียวหน่อยๆ ที่คาบเกี่ยวกลิ่นกุหลาบบางๆ ซึ่งน่าจะมาจากเจอราเนียม แต่พื้นหลังของกลิ่นจะจับต้องได้ถึงการเป็นลูกผสมระหว่างโทนดอกไม้และโทนแป้งที่ติดทึบกึ่งเนื้อ Butter ที่ให้อารมณ์โทนแป้งแบบไอริสและหัวเหง้าออริสที่ค่อนข้างมาแบบค่อยเป็นค่อยไป และชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ

เมื่อกลิ่นเริ่มเปลี่ยนโทนเด่นมาเป็นโทนแป้งที่มีทั้งอารมณ์แบบแป้งฝุ่นของไอริสและกลิ่นแป้งติดทึบเนื้อ Butter กึ่ง Earthy หน่อยๆ ของหัวเหง้าออริสที่กลายเป็นตัวหลักในการนำทางกลิ่นหลังจากนี้ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว ซึ่งกลิ่นโทน Citrus จากช่วงต้นยังตามมาในช่วงนี้แบบกำลังดีให้ความเป็นบรรยากาศสดชื่นล้อมอ่อนๆ แต่จะดันให้กลิ่นโทนดอกไม้ที่เป็นกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ โรแมนติค เสริมด้วยความนวลเรื่อๆ ของมะลิที่ให้ความหวานหอมเข้ามาพอเหมาะ แต่เนื้อกลิ่นจะมีความติดเขียวแบบน้ำในแจกันกุหลาบหน่อยๆ ของเจอราเนียม ทำให้ได้กลิ่นแนวแป้งหอมดอกไม้ที่มีมิติความสดชื่นประปราย แต่มีความดึงดูดแบบกำลังดีมีเสน่ห์แบบกำลังพอเหมาะ ซึ่งเนื้อกลิ่นค่อนข้างแตะความเป็นโทน Feminine พอสมควร

ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนสถานะทางกลิ่นเป็นช่วงท้าย จะเริ่มสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เข้ามามีอิทธิพลเรื่อยๆ จากยางไม้ที่ให้อารมณ์กลิ่นแนวแอมเบอร์ และโทนแป้งเริ่มจะมีความข้นนวลมากขึ้นจากวานิลลาที่เสริมเข้ามาพร้อมกับ Musk นุ่มๆ และเมื่อเข้าช่วงท้ายเต็มตัวก็จะชัดเจนในการเป็นโทนแป้งแกมอบอุ่นเย้ายวนมากขึ้น ซึ่งกลิ่นจะให้เสน่ห์ตามที่ควรจะเป็นแบบไม่ต้องพยายามจากลูกเล่นโทนแป้งที่น่าสนใจมาก เพราะมีทั้งความเป็นแป้งอบอุ่น แป้งฝุ่นระเรื่อ แป้งทึบแกม Earthy แป้งหอมดอกไม้อ่อนๆ และแป้งนุ่มนวลที่มีโทนไม้หอมแฝง ซึ่งทำให้ได้มิติของการเป็นโทนแป้งที่มีเสน่ห์ดึงดูดได้ลงตัวเป็นการปิดท้ายกลิ่นที่เหลือกันยาวๆ ไป

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้ไม่ยาก เนื้อกลิ่นไม่ได้มีความหวือหวานจัดจ้านจนใช้ยาก ออกแนวให้ความหอมแป้งที่มีจริตและเย้ายวนแบบไม่ต้องเยอะสิ่งแต่มีเสน่ห์แบบไม่ต้องเสาะหามาเพิ่มเติมจากที่ไหน ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ไม่ค่อนเข้ากับการออกกำลังกาย เพราะความเป็นแป้งลักษณะนี้ไม่ได้ Match กับกิจกรรมแนวนี้เท่าไหร่ ยกเว้นกิจกรรมเข้าจังหวะอื่นๆ ในร่ม ส่วนยามค่ำคืนเหมาะมากกับการใส่ออกงาน โรแมนติค หรือทั่วๆ ไปเป็นสำคัญ ซึ่งถ้าจะใส่ไปท่องราตรีต้องอัดสเปรย์มากหน่อย ซึ่งอจจะสู่ความหวานแน่นทั้งหลายจากคนอื่นได้ยากหน่อย ยกเว้นดึงมาคลุกวงในอะไรประมาณนั้น ส่วนผู้ชายถ้าสนใจกลิ่นโทนแป้ง เอาจริงๆ ก็ใส่่ได้ไม่น่าขัดเขินอะไรเพราะว่าเนื้อกลิ่นแม้จะค่อนไปทางผู้หญิง แต่ก็มีความ Unisex อยู่พอสมควร

ความทน - อยู่ที่ 8 - 10 ชม. เป็นสำคัญ ถือเป็นกลิ่นโทนแป้งที่มีความทนได้ดีและลงตัวมากๆ แบบที่ไม่หนักหน่วงแน่นตึ้บแต่อย่างใด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงราวๆ 5 นาทีแรกก่อน แล้วจะดรอปลงมาที่ กระจายดีไปซักราวๆ 1 ชม. แล้วจะลดลงมาคงที่แบบปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 5 ก็จะปรับลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว และเป็น Skin Scent ชัดเจนเมื่อแตะราวๆ 8 ชม. เป็นต้นไป

สรุป - เป็นกลิ่นโทนแป้งที่ให้เสน่ห์เย้ายวนแบบไม่ต้องพยายามยัดเยียดอะไรมาก เน้นความเป็นธรรมชาติของกลิ่นโทนนั้นๆ ที่มีเสน่ห์ตรงตัว เสริมด้วยความอบอุ่นของกลิ่นได้เหมาะสม ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ให้ความเย้ายวนได้ดีแบบไม่ต้องจัดเต็มอะไรมากก็เอาอยู่ได้ไม่ยาก หรือถ้าจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องความเย้ายวนก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นในสายแป้งหอมดอกไม้ที่กำลังดีมีเสน่ห์สวยๆ กำลังงามได้ด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://souslemanteauparis.com/boutique-en/fontaine-royale

 

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Dapper - 79° After Dark

Dapper - 79° After Dark

เอ่ยถึง Dapper เรียกว่าคนไทยที่เดินห้างกันบ่อยๆ หรือสายการแต่งตัวหรือเครื่องหนังทั้งหลายมีหรือที่จะไม่รู้จัก เพราะถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ไทยที่ผลิตเสื้อผ้านแนว Ready to Wear และได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานจนถึงทุกวันนี้ แถมยังเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่จับต้องได้ไม่ยากในการสวมใส่หรือใช้งาน สู้กับแบรนด์เสื้อผ้านแนว Ready to Wear ที่มาจากเมืองนอกต่างๆ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

สิ่งหนึ่งที่เป็นแกนหลักสำคัญของ Dapper นั่นคือ เครื่องแต่งกายของผู้ชายที่เป็นหลักของแบรนด์มาตั้งแต่ก่อตั้งยันปัจจุบัน แต่ไม่เคยมีน้ำหอมของแบรนด์ที่สอดรับเรื่องของเครื่องแต่งกายมาก่อนเลย แต่ก็เริ่มคิดไม่น้อยว่าน่าจะมีออกมาบ้าง เพราะตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาแบรนด์ไทยหลายๆ แบรนด์ก็เริ่มเปิดตัวน้ำหอมสัญชาติไทยกันพอสมควรมาเรื่อยๆ จนเมื่อต้นปี 2022 ได้เห็นว่า Dapper ได้วางจำหน่ายน้ำหอมแล้วโดยเจาะตลาดน้ำหอมชายกันเต็มๆ ในการเป็น Collection - 79° ที่ออกมาวางจำหน่ายแล้วถึง 3 กลิ่นในปัจจุบัน เช่นนั้น กลิ่นจากน้ำหอมของ Dapper จะออกมาเป็นลักษณะไหน ขอมาเจอกับกลิ่นแรกที่มีโอกาสได้ใช้งานเต็มๆ กันหน่อยอย่าง 79° After Dark

เพียงแค่ช่วงเปิดก็บอกได้เลยว่า “มีเอกลักษณ์ไม่น้อย” เพราะจะสัมผัสกลิ่นที่เป็นเมนหลักและจะอยู่ในทุกๆ ช่วงให้รู้ได้ไม่ยากเลย นั่นก็คือ ยาสูบ ไม้หอม และ Malt ซึ่ง 3 กลิ่นนี้ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีในการสร้างออร่าผู้ชายมีเสน่ห์และดึงดูดสมกับคำว่า After Dark ของชื่อน้ำหอมชัดเจน ซึ่งกลิ่น Malt จะให้อารมณ์แบบกลิ่นเบียร์แกมวิสกี้ติดเปรี้ยวนิดๆ ผสานกับความหอมยาสูบติดแห้งแกมหวานติดขมอ่อนๆ และมีกลิ่นไม้โปร่งๆ ติดดาร์กแฝงอยู่ด้วย เพียงแต่ทั้งหมดนี้จะมีกลิ่นโทนกึ่งเขียวกึ่งผลไม้ติดหวานอวลแกมสดชื่นปร่านิดๆ ที่น่าจะมาจากดอกฟรีเซีย เคล้ากับกลิ่นที่ติดเปรี้ยวชื้นค่อนไปทางติดจืดขมอ่อนๆ อารมณ์แบบกลิ่นเลมอนที่ไม่ได้มาสายสแปลชน้ำฉ่ำๆ เปรี้ยวหอมแบบสาย Cologne นัก มาเป็นตัว On Top ทำให้เมื่อผสมผสานกันจะได้อารมณ์กลิ่นแบบแมนๆ ที่มีความสดชื่นซ้อนกับกลิ่นแนวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แนวเบียร์ที่มีกลิ่นไม้หอมกับยาสูบ เรียกว่าเปิดมาก็สร้างความแตกต่าง และมีความเป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเองได้ชัดเจน

ในการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลางจะจับต้องได้ถึงกลิ่นแนวแอปเปิ้ลเขียว ที่ให้ความเปรี้ยวแกมเขียวหน่อยๆ เข้ามาผสมผสานกับกลิ่นที่เรียกว่าเป็นแกนหลักชัดเจนมากๆ กับการเป็นโทนเบียร์กึ่งวิสกี้ที่เริ่มจะมีไม้หอมซึ่งน่าจะเป็นไม้ซีดาร์และกลิ่นยาสูบที่ติด Smoky หน่อยๆ ซึ่งตัวแอปเปิ้ลเขียวจะมาให้อารมณ์แบบสดชื่นขี้เล่นแบบเบาๆ เสียมากกว่า อารมณ์กลิ่นไม่ได้จะมาแบบตะบี้ตะบันเจ้าสำราญ แต่จะให้อารมณ์เท่ห์ขรึมๆ ที่ดึงดูดเสียมากกว่า ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะพอจับได้ถึงกลิ่นนวลๆ ดอกไม้หน่อยๆ แต่อารมณ์ออกแนวมากล่อมเกลากลิ่นให้มีมิติที่ละมุนให้พอรู้สึกได้มากกว่าจะมาเป็นตัวเด่น แต่สิ่งหนึ่งที่เริ่มรู้สึกได้มากขึ้นๆ เมื่อเวลาผ่านไปแม้ยังอยู่ในช่วงนี้ คือโทนแอมเบอร์ลึกๆ ที่กึ่งหนังอวลหน่อยๆ ที่น่าจะเป็นยางไม้อย่าง Labdanum ที่เริ่มจะมาเป็นส่วนหนึ่งของกลิ่นและสร้างความอวลแกมอุ่นเย้าๆ ให้จับต้องได้มากขึ้นตามลำดับและเป็นตัวปูทางในการเข้าสู่ช่วงถัดไป

ในช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะผ่อนลงมาในระดับที่อวลๆ เสียมากซึ่งช่วงนี้จะได้กลิ่นไม้หอมที่มีความอบอุ่นแกมหนังเล็กๆ ซ้อนอยู่กับกลิ่นยาสูบที่ให้ความหวานแห้งๆ แกมกลิ่นคล้ายเบียร์กับวิสกี้ประปราย ทำให้ได้เลเยอร์ออกมาเป็น 2 สเต็ปหลักๆ คือกลิ่นหวานโปร่งแกมวิสกี้บางๆ เป็นเลเยอร์บนสุด ตามด้วยกลิ่นไม้หอมติดอวลๆ มีความอบอุ่นแบบผิวกายหน่อยๆ เป็นตัวรองพื้น ซึ่งช่วงนี้จะไม่ได้ถึงกับมาสายทรงพลังแต่ให้ความหอมเท่ห์ๆ น่าค้นหาเสียมาก ซึ่งถือว่าเป็นการปิดท้ายที่คุมโทนการเป็นน้ำหอมผู้ชายที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองและมีเสน่ห์ในการใช้งานกับอากาศในเมืองไทยได้น่าสนใจมาก

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานได้สบายมาก แม้ว่าเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นออกแนวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ก็ไม่ได้หนักมากเกินไปจนใช้งานยากหรือทำให้คนใช้กลายเป็นขี้เมามาจากไหน ออกแนวให้ความดึงดูดแบบกำลังดีเสียมาก จึงทำให้สามารถใช้ได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืนแบบทั่วไป ใส่ลั่นล้าเท่ห์ๆ ชิลล์ๆ รวมถึงใส่ทำงาน Office หรือออกกิจกรรมกลางแจ้งก็ยังได้ แต่ถ้าออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนออกงานราตรี หรือเที่ยวกลางคืนก็ใส่ได้อยู่แต่ต้องอัดสเปรย์นิดนึง เพราะกลิ่นไม่ได้จัดจ้านในเรื่องความทรงพลังเท่าไหร่ถ้าเทียบกับกลิ่นสายแน่นทั้งหลาย

ความทน - 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวที่เจอสูงสุดคือ ราวๆ 10 ชม. กับการใช้งานที่ 8 สเปรย์

การกระจาย - อันนี้ค่อนข้างจะเข้าทาง Concept แบบเน้นคูลๆ เท่ห์ๆ ดึงดูด เลยไม่ได้เน้นการเรียกร้องความสนใจมากเท่าไหร่นัก ซึ่งกลิ่นจะกระจายดีในช่วงต้น ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปประมาณ 2 - 3 ชม. หลังจากนั้นก็จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ แล้วแตะการเป็น Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปแล้วราวๆ 5 - 6 ชม. 

สรุป - เนื้อกลิ่นมีเอกลักษณ์ดีเลย และคุมโทนความแมนแบบไม่ได้ตะบี้ตะบันอัดให้กลิ่นมีความแมนจ๋าๆ จัดๆ แต่ให้ความเรื่อยๆ ที่เน้นแนวเท่ห์ขรึมแฝงความกรุ้มกริ่มเสียมากกว่า เรียกว่า “มีสไตล์” นั่นเอง 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/DapperInCambodia/?ref=page_internal

 

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Xerjoff - Uden Overdose

Xerjoff - Uden Overdose

1. เพราะ Uden ของ Xerjoff เป็นตัว Top ของ Collection - Shooting Stars แต่ไม่มีโอกาสได้เจอกันซะที

2. รู้เห็นว่ามีการต่อยอดความเป็น Uden มาสู้ Unden Overdose เลยเบนเข็มมาที่รุ่นที่เข้มข้นกว่าซะเลย

3. ทั้งขวดและฝาต่างก็ชิงพื้นที่สายตาอย่างแรงมาก แม้จะเป็นทรงปกติของแบรนด์ แต่เพิ่มเติมลายและสีขวดที่ยกระดับขึ้นไปอีก

ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เลยเป็นที่มาในการขอซักหน่อย จัดไปอย่าได้เสีย ไว้มีโอกาสค่อยไปว่ากันที่ Uden ปกติทีหลัง

Uden Overdose มีที่มาในการสร้างสรรค์กลิ่นทะเลท่ามกลางพายุหรืออารมณ์ทะเลคลั่งตามคำเล่าของแบรนด์ แต่เนื้อกลิ่นกลับมาในสาย Woody Spicy ที่มีระดับแกมกลิ่นอายทะเลแฝงในเนื้อกลิ่นได้อย่างทันสมัยและมีระดับด้วยการเบลนด์กลิ่นได้อย่างสมดุลย์ในทุกสัดส่วนมาก ซึ่งจะเปิดตัวด้วยการเป็นโทน Citrus ที่แฝงความปร่าอวลแบบที่รู้สึกได้เลยว่าจะต้องมีโทนคล้ายแอมเบอร์เป็นฐานกลิ่นแน่นอน แต่ตัวแปรสำคัญในช่วงต้นที่นอกจาก Citrus ที่ติดเปรี้ยวเจือขมหอมซึ่งน่าจะมาจากการผสมผสานความหอมติดฉ่ำของเลมอนและความปร่าขมหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง ยงมีความเป็นขิงที่มาทำให้เนื้อกลิ่นมีความเผ็ดแกมหวานสดชื่นแบบกึ่งกลางกำลังดีเชื่อมโทนกับความเป็นแอมเบอร์ที่เป็นโทนอมอุ่นแฝงเนียนอยู่ ทำให้มิติกลิ่นช่วงแรกมีโทนแบบที่ให้ความรู้สึกแบบน้ำหอมผู้ชายที่ทันสมัยแตะความเป็นแบดบอยก็ได้ และแตะความมีระดับแบบเข้าถึงง่ายก็ด้วยเช่นกัน เพราะเนื้อกลิ่นเบลนด์ออกมาได้สมดุลย์มากตั้งแต่ช่วงเปิดเลย

ช่วงกลางยิ่งชัดเลยว่าเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนทันสมัยสูงมาก เล่นโทนระหว่างความเป็นโทนเครื่องเทศสายปร่าสดชื่นอย่างขิงที่ยังมีโทน Citrus ตามมาแบบสานสนับสนุนรอง ก็น่าจะมีเครื่องเทศอื่นๆ มาเสริมเพราะมีความรู้สึกคล้ายกระวานหน่อยๆ ให้จับต้อง ตามด้วยกลิ่นออกทางกาแฟที่มีแอมเบอร์เป็นตัวเสริมด้านหลังให้ความอบอุ่นแกมขมหอมแบบเบาๆ ไม่ได้แย่งซีนแต่เสริมให้กลิ่นมีมิติอะโรม่าที่ดึงดูด และไม่พอกลิ่นที่คาบเกี่ยวระหว่างยาสูบกับหญ้าแห้งที่มีลูกเอื้อนแบบโทนหนังของดอกยาสูบที่เข้ามาเป็นตัวแปรเชื่อมโทนกลิ่นทั้งหมด ผสมผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นโทนกลิ่นที่ให้ความอวลๆ ทันสมัยแบบผู้ชายกึ่งเจ้าเสน่ห์ที่แม้ว่ากลิ่นจะมีลักษณะแบบน้ำหอมสมัยนิยม แต่ก็มีระดับและมีคลาสแถม Sexy เนียนๆ ในการวางสมดุลย์ทางกลิ่นได้ดีมาก

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้ายสิ่งที่เริ่มเปิดตัวขึ้นมาจนชัดมากขึ้นมากกว่าการเป็นโทนแอมเบอร์อบอุ่น ก็จะมีกลิ่นติดอวลกึ่งเค็มๆ ที่มีความสะอาดๆ อารมณ์กลิ่นมาในแนวแบบอำพันปลาวาฬหรือ Ambergris แต่เพราะว่ามีฑโทนไม้หอมอวลๆ เข้ามาร่วมด้วยหน่อยๆ เลยน่าจะไปทาง Ambroxan หรือ Cetalox เสียมาก ซึ่งกลิ่นจะค่อนข้างชัด แต่จะผ่านการเกลามาอย่างดีอารมณ์ให้ของดีที่ไม่ได้มีกลิ่นเค็มหนักไปหรือไม้หอมแน่นๆ เกินไป ทำให้เมื่อเป็นช่วงท้ายเต็มตัวก็จะเป็นโทนอบอุ่นแกมสะอาดที่มีความอวลติดอุ่นแกมสะอาดนวลเข้าถึงได้ง่าย เพราะว่ามี Musk มาเสริมอยู่ด้วย ทุกสิ่งจะรวมกันสร้างโทนสไตล์มินิมัลแฝง Sexy ที่มีความชัดเจนในการเป็นโทนทันสมัยแบบตรงตัวโดยยังคงสมดุลย์ทางกลิ่นที่เบลนด์ได้ดีเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่ตรงๆ คือ กลิ่นมาในโทนน้ำหอมผู้ชายราว 80 - 90% ได้เลย เช่นนั้นสาวๆ อาจจะหลีกดีกว่า ยกเว้นว่าชอบกลิ่นออกทาง Business Women ที่เอาสไตล์แมนๆ มา Match อันนี้ก็เหมาะอยู่ ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบที่ไม่ได้เน้นเมาแหลก เน้นจิบคูลๆ เท่ห์ๆ จะเข้าทางมากที่สุด

ความทน - 8 ชม. เป็นพื้นฐานของกลิ่นนี้และไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้งาน ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นประจำ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นราวๆ 10 นาที ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีต่อเนื่องไปแตะราวๆ 30 นาที ก่อนที่จะคงที่กับปานกลางแบบเหมาะสม อวลแบบกำลังดีไม่ทำให้อึดอัด และพอเข้าชั่วโมงที่ 6 ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ก่อนเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปราว 10 ชม. แล้ว

สรุป - ขอจับน้ำหอมกลิ่นนี้มารวมกับ Parfums de Marly - Layton และ Chanel Allure Homme Edition Blanche เลย ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่ากลิ่นเหมือนกันนะ แต่ให้อารมณ์ผู้ชายเท่ห์ สมาร์ท และมีเสน่ห์แฝงความเซ็กซี่แบบซึมลึกให้รู้สึกน่าเข้าหาแบบไม่รีบ แต่เอาอยู่ และแม้ว่ากลิ่นจะมีลักษณะแบบสไตล์ Niche Perfume ที่ใช้งานง่ายและไม่ได้ Unique เกินไป แถมแตะอารมณ์แบบ High-End Designer Perfume หน่อยๆ ด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยกให้เขาเลยการวางสมดุลย์ทางกลิ่นที่ดี คุณภาพทางกลิ่นที่ไม่ได้ไก่กา นี่แหละที่ทำให้กลิ่นนี้ยกระดับเป็นน้ำหอมมีคลาสและหรูหราได้ชัดเจนมาก อ้อ แต่มีข้อติอย่างนึง คือ ไม่ได้รู้สึกถึงคำว่าทะเลคลั่งหรือทะเลที่มีพายุโหมกระหน่ำเท่าไหร่ ซึ่งก็ช่างมันเถอะ กลิ่นดีมากอยู่แล้ว แทบไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ก็ยังได้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://xerjoff.com/USA/shooting-stars/428-uden-overdoseparfum-50ml.html

 

Review: Goldfield & Banks - Pacific Rock Moss

 

Goldfield & Banks - Pacific Rock Moss

จุดเริ่มต้นจากการไปท่องเที่ยวและตกหลุมรักในความเป็นออสเตรเลียไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาย ธรรมชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งพืชพันธุ์ต่างๆ ชายหาด ทะเล และอีกมากมายของ Dimitri Weber จึงทำให้เกิดไอเดียขึ้นมาในการที่จะต่อยอดกลิ่นอายต่างๆ ในความเป็นออสเตรเลียออกมามากขึ้น และพ่วงในเรื่องการ Tribute ให้กับนักพฤกษศาสตร์ทางธรรมชาติคนแรกของออสเตรเลียอย่าง Joseph Banks ร่วมด้วย และนั่นจึงกลายเป็นแบรนด์ Goldfield & Banks ในที่สุด

ซึ่งในบรรดากลิ่นต่างๆ ที่ออกมาวางจำหน่าย ก็มีอยู่หนึ่งกลิ่นที่ได้รับความนิยมสูงมากตั้งแต่วางจำหน่ายในปี 2016 เลยกับการเป็นหนึ่งในกลิ่นแนะนำและ Best Seller จากหลายๆ เว็บไซต์น้ำหอมสาย Niche Perfume เลย นั่นก็คือ Pacific Rock Moss ก็ทำให้ความาอยากรู้อยากเห็นมาเต็มกันเลยทีเดียวว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาแบบไหน เช่นนั้นสบโอกาสก็ได้เวลาพิสูจน์เสียที และผลที่ได้ก็คือ

คำจำกัดความ - Sea Breeze

ซึ่งทุกอย่างและทุกช่วงในน้ำหอมกลิ่นนี้จะมีองค์ประกอบในความเป็น Sea Breeze หมดเลยตั้งแต่ชัดยันเบา โดยจะเปิดตัวด้วยกลิ่นอายสดชื่นแบบอากาศริมทะเลที่ให้ความ Sea Breeze ชัดๆ กันก่อน แบบที่ให้อารมณ์อากาศริมทะเล โดยจะมีกลิ่นโทน Citrus ที่ให้ความฉ่ำกำลังดีและไม่ได้เปรี้ยวเกินไปให้อารมณ์แบบฟ้าใสสว่างสดชื่นเสียมากกว่า และมีกลิ่นโทนทะเลที่ให้ความติดเค็มกำลังดีมีโทนปร่าอ่อนๆ ที่ค่อนไปทางพริกไทยแกมสมุนไพรที่คาดว่าน่าจะเป็นเซจ มาเคล้ากับโทนเขียวที่ออกมากึ่งน้ำในแจกันกุหลาบของเจอราเนียม เลยทำให้มิติกลิ่นเปิดจะเป็นโทนสดชื่นรับลมทะเลแบบสบายๆ ที่มีปลายกลิ่นเป็นโทนสมุนไพรปร่าแกมเขียวหน่อยๆ ซึ่งถือว่าเปิดมาก็ให้กลิ่นที่มีความเป็นธรรมชาติได้ดี โดยไม่ได้หวือหวา มีความกึ่งกลางระหว่างแผ่นดินสีเขียวและทะเลสีฟ้าได้พอดี และมีความเข้าถึงได้ง่ายมาก

การส่งต่อสู่ช่วงกลางแทบจะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงต้นมากนัก เพราะกลิ่นโทนทะเลสดชื่นยังคงป็นแกนหลักอยู่ เพียงแต่กลิ่นที่เสริมเข้ามานั่นคือกลิ่นโทนแร่ธาตุแบบอารมณ์กลิ่นหินและทรายอ่อนๆ ที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความครบถ้วนมากขึ้นในการเป็นกลิ่นอายแบบเราเดินริมทะลผ่อนคลายสบายๆ และจะมีกลิ่นติดเขียวเนื้อกลิ่นเขียวแกมสมุนไพรเริ่มจะเบาลงจนเหลือปลายกลิ่นอ่อนๆ แทน เลยยิ่งทำให้เนื้อกลิ่นเป็นกลิ่นริมทะเลที่ลงตัวมากๆ อีกหนึ่งกลิ่นได้เลย และเป็นการส่งต่อเข้าช่วงท้ายที่ครบถ้วนด้วยเช่นกัน เพราะจะมีโทนสะอาดๆ แกมไม้หอมโปร่งสว่างอ่อนๆ เข้ามาเสริมเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว โดยที่จะมีกลิ่นที่อบอุ่นขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ปจากความสดชื่น ซึ่งโทนทะเลจะเบาลงมาเป็นกลิ่นรุมๆ ติดผิว อารมณ์แบบกลิ่นทะเลติดผิวกายเค็มบางๆ เคล้ากับความอบอุ่นแสงแดด โดยยืนพื้นที่กลิ่นโทนสะอาดที่เป็นสายไม้หอมแนวไม้ซีดาร์และมีกลิ่นโทนอบอุ่นกลางค่อนอ่อนคลออยู่ ถือเป็นการปิดท้ายที่ครบถ้วนในการสร้างโทนกลิ่นชิลล์ๆ ริมทะเลที่ให้ความเป็นโทน Sea Breeze ที่เรียบง่าย แต่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติแบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ไม่ว่าเพศไหนก็จัดกลิ่นนี้ได้ในการสร้างความรู้สึกสดชื่นแกมผ่อนคลายในเวลาเดียวกันแบบอารมณ์เดินเล่นทะเลแบบสบายๆ ช่วงเช้าค่อนสายแบบหาดไม่ไม่ได้พลุกพล่าน หรือจะเกาะกลางทะเลที่ยังมีสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติอยู่เยอะๆ ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะเป็นกลิ่นผ่อนคลายสบายๆ ที่ไม่หนักหน่วงหรือรบกวนใคร รวมถึงใส่ยามค่ำคืนแบบสบายๆ ชิลล์ๆ ก็ยังได้ แต่ถ้าจะใส่ไปยั่วเพศปล่อยฟลังรอบทิศ อันนี้แนะนำข้ามไปจะดีกว่า กลิ่นมาสายคลุกวงในไว้เถิดจะเกิดผลน่ะ 

ความทน - อันนี้เป็นข้อด้อยนิดนึงเพราะกลิ่นค่อนข้างจะจมพอสมควร แต่ยังไงความทนก็แตะที่ค่าเฉลี่ย 6 - 8 ชม. ได้ เพียงแต่มีฝั่งลบและลดลงมาได้อีก 2 ชม. ซึ่งส่วนตัวเจอที่ราวๆ ไม่เกิน 8 ชม. และต่ำสุดที่เจอคือ 5 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นราวๆ 5 นาที แล้วจะลดลงมาปานกลางไปซักประมาณ 15 นาที ก่นจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวไป จนเมื่อแตะประมาณชั่วโมงที่ 4 ก็จะเป็นติดผิวแล้ว ซึ่งถือว่าธรรมชาติแหละ และที่สำคัญเข้าทางคนชอบกลิ่นแนว Safe Scent แต่มีเสน่ห์ในความเรียบง่ายเสียด้วย

สรุป - ต้องบอกเลยว่าเนื้อกลิ่นถือว่าไม่มีความซับซ้อนอะไรในแง่ของการเป็นกลิ่นอายที่จะมีความ Unique และแตกต่างจ๋าๆ แต่อย่างใด แต่สิ่งที่ได้มันคือการสื่อถึงกลิ่นอายริมทะเลสดชื่นสบายๆ ที่ไม่ต้องมีกลิ่นคาวทะเลหรือคาวสาหร่ายมาแฝงให้ดูเป็นทะเลดำผุดดำว่าย แต่ให้ความรู้สึกวันฟ้าใสริมทะลอากาศดีๆ ที่มีความเป็นโทน Herbal หรือสมุนไพรเป็นลูกคู่เอื้อนปลายกลิ่น และจะเป็นกลิ่นที่เป็นไอทะเลสบายๆ ติดตัวเราไปเรื่อยๆ เอาจริงๆ แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้วที่จะเป็นกลิ่นหอมที่มีเสน่ห์และเป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องเยอะสิ่ง ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้รับความนิยม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.goldfieldandbanks.com/products/pacific-rock-moss?variant=33051750203532

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Mazzolari - Patchouli

Mazzolari - Patchouli

จากจุดเริ่มต้นของความชอบในเรื่องน้ำหอมกับการเปิดเป็นร้านตัดผมชายเล็กๆ ของ Augusto Mazzolari ในปี 1888 จนได้เริ่มสานต่อความชอบของตนเองด้วยการทำ Cologne กับ Aftershave แบบ Exclusive ขึ้นมาให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านของตน ก่อนที่จะส่งต่อมาเรื่อยๆ แบบรุ่นสู่รุ่นจนมาถึงรุ่นหลานที่ได้ต่อยอดในการสร้างแบรนด์น้ำหอมควบคู่ไปกับ Skincare จนกลายเป็นแบรนด์ Mazzolari ขึ้นมาในที่สุด และที่สำคัญไม่ได้จบแค่นี้ เพราะต่อยอดในการเป็นบูติคน้ำหอมและ Skincare ที่รวมแบรนด์อื่นเข้ามาจำหน่ายด้วยจนมีสาขาต่างๆ รวมถึงขายผ่านช่องทาง Online ด้วยจนถึงปัจจุบันนี้ 

แน่นอนว่าความเป็นเนื้อกลิ่นอายสไตล์ Niche & Luxury Perfume ของแบรนด์นี้ไม่ธรรมดา เพราะถือว่าอยู่ในกลุ่มสายหรูหราและมีระดับเป็นหน้าเป็นตาในความเป็นน้ำหอมสไตล์อิตาลี High-Class เช่นนั้นเมื่อสบโอกาสจึงได้ขอมาเจอกับแบรนด์นี้ซักหน่อยกับกลิ่นที่อย่างจะลองอย่างพิมเสนว่าจะมีความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ หรือมีการยกระดับเนื้อกลิ่นแบบนี้ออกมาอย่างไรบ้าง เช่นนั้น ใช้แล้วบอกต่อได้แบบนี้เลย

Patchouli เปิดตัวมาด้วยเนื้อกลิ่นที่เป็นพิมเสนในสไตล์ที่กึ่งแห้งกึ่งชื้นที่ให้ความหวานแกมสมุนไพรแห้งความปร่าแกมค่อนไปทางยาจีนก็จริง แต่ไม่ได้จ๋ามากขนาดนั้น กับให้อารมณ์แนวกรุยกรายกึ่งฮิปปี้ที่มีลูกเอื้อนความ Dirty Earthy มาผสมผสาน แกมกลิ่นลูกเอื้อนคล้ายชอคโกแลตให้มีเสน่ห์แบบพิมเสนที่แตะได้ทุกโทนที่ควรจะเป็น โดยที่มีความเป็น Citrus ติดชื้นเนียนๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) คลออยู่แบบสร้างบรรยากาศกำลังดี ซึ่งพอผ่านไปไม่นานก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงโทนอบอุ่นที่มีความหวานแกมวานิลลากึ่งยางไม้ของแอมเบอร์ที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมา และก็นำเข้าสู่ช่วงถัดไปในที่สุด

ช่วงกลางบอกกันตรงๆ เลยว่า เป็นช่วงที่สมูธที่สุดในการผสมผสานกลิ่นระหว่างพิมเสน แอมเบอร์ และเครื่องเทศโทนอบอุ่นแกมเย้ายวนเลย ซึ่งเนื้อกลิ่นอาจจะไม่ได้ดูแตกต่างจากพิมเสนแอมเบอร์ที่เป็นสไตล์ Exotic แบบที่เจอมาในหลายๆ แบรนด์ที่ให้อารมณ์น้ำหอมพิมเสนรุ่มรวยกึ่งฮิปปี้บุปผาชนนัก แต่สิ่งที่เรียกว่าจับต้องได้และชัดเจนเลยคือคุณภาพของกลิ่นที่มีระดับและสมดุลย์มากในทุกๆ โทน ซึ่งแน่นอนว่าพิมเสนแอมเบอร์เด่นขึ้นมาแต่จะมีความหวานกึ่งอบเชยแกมวานิลลาหน่อยๆ มาเกลาให้กลิ่นมีความอบอุ่นแกมเซ็กซี่เย้ายวนแบบไม่ต้องพยายามตะบี้ตะบันอัดหนักเรื่องความปล่อยพลัง แต่มันมีเสน่ห์ที่ดึงดูดสูงมากและมีคลาสมากในเวลาเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่เป็นจุดสุดยอดของกลิ่นในการสร้างออร่าสีส้มอมทองเคล้าปร่าแห้งหวานแกมสมุนไพรของพิมเสนได้ลงตัวมากจริงๆ 

ในการเข้าสู่ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงกลางมากนัก แต่จะมีมิติกลิ่นหวานติดน้ำผึ้งอ่อนๆ ที่ไม่ได้มีลูกโทนแบบ Animalic หรือยูรีนมาเกี่ยวข้อง รวมถึงมีโทนออกทางติดไม้หอมหน่อยๆ มาสร้างมิติให้โทนแอมเบอร์มีลูกผสมที่ครบเครื่องมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าพิมเสนยังคงให้ความหอมแกมสมุนไพรที่มีความกรุยกรายอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ว่ากลิ่นจะเบาลงมากลายเป็นนวลเนียนไปกับแอมเบอร์ได้อย่างงดงามแทน ทำให้เนื้อกลิ่นมีทั้งความปร่าระเรื่อดึงดูดที่มีลูกโทนสมุนไพรหวานแห้งแกมกลิ่นยางไม้ที่มีความเป็นวานิลลาแกมไม้หอมแห้งๆ ที่มีเสน่ห์และมีคลาสได้อย่างพอเหมาะ ปิดท้ายกลิ่นได้งดงามไปเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex เนื้อกลิ่นมีความกลางๆ ที่สามารถใช้งานได้ทั้งหญิงและชาย โดยเน้นเสริมความเย้ายวนและดึงดูดแบบที่ไม่ธรรมดาและมีระดับ อารมณ์ยั่วยวนสไตล์กรุยกรายที่หรูหรามีระดับแกมนิ่งๆ แต่เอาจริงไม่หยอกเลยก็ย่อมได้ แต่อย่างน้อยต้องผ่านกลิ่นพิมเสนที่ออกทางสมุนไพรแกมยาแห้งมาบ้างจะฟินมาก ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการที่ใส่ได้ไม่ขัดแย้ง หรือทั่วๆ ไปที่เน้นมีเสน่ห์และมีระดับ รวมถึงการใส่ยามกลางคืนไม่ว่าจะออกงานหรือว่าใส่ไปโรแมนติคก็ได้หมด แต่ให้ตัดการใส่ไปออกกำลังกายหรือออกกิจกรรมกลางแจ้งแดเปรี้ยงได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ

ความทน - 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานกลิ่นนี้ ซึ่งยังไงถ้าเป็นสภาพผิวอื่นๆ ก็แตะ 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมาที่ปานกลางกันยาวๆ ซัก 5 ชม. ก่อนที่จะคงที่เป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 10 ถึงลดลงมาเป็น Skin Scent

สรุป - เนื้อกลิ่นอาจจะไม่ได้แตกต่างจากน้ำหอมสายพิมเสนแบบกรุยกรายมีเสน่ห์แบบฮิปปี้แนวยุค 70 ที่จะมีพิมเสนกับแอมเบอร์เป็นแกนหลักในการสร้างเสน่ห์เย้ายวนเฉพาะตัว แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นเลยก็คือ ความร่วมสมัย ความสมดุลย์ และคุณภาพของส่วนผสมและกลิ่นที่ผสานออกมามันยอดเยี่ยมมากจนแตะคำว่า High-Class ได้เลยนี่แหละที่สุดยอดจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://mazzolari.com/eu/patchouli-0634438745747.html

 

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: by Kilian - Voulez-Vous Coucher Avec Moi

by Kilian - Voulez-Vous Coucher Avec Moi

เพียงแค่เจอประโยคนี้เข้าไป Voulez-Vous Coucher Avec Moi “คืนนี้ป๊าบๆ กันไหมค้า” ก็เรียกว่า ความน่าสนใจมาเต็มแบบที่แทบไม่ต้องสนกลิ่นเลยก็ได้มั้ง เพราะแค่ชื่อถ้าใส่ก็อาจจะนำไปสู่กิจกรรมเข้าจังหวะก็เป็นได้ (เต้นเพลง Lady Marmalade นั่นไง) ซึ่งการที่แบรนด์ by Kilian สื่อสารถึงความวี้ดวิ้วแบบนี้ ถือว่าเข้าทางการนำเสนอความ Sexy ที่แฝงความมีระดับของกลิ่นที่แบรนด์นี้ทำได้แพรวพราวมาอยู่เสมอด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้เมื่อคราวที่เปิดตัวกลิ่นนี้ออกมาสิ่งที่ยอดเยี่ยมพอๆ กับชื่อกลิ่นก็คือ Packaging ที่เป็นกล่องที่เป็นทรง Clutch Bag สีดำ โดยมีโลหะหล่อรูปงูสีทอง 2 ตัวเลื้อยเข้าหากัน ซึ่งเรียกว่าเอื้อประโยชน์ในการใช้งานของสาวๆ ที่จัดหากลิ่นนี้ไปประดับกายอีกด้วย และแน่นอนว่ายังมีอยู่ แต่ปัจจุบันได้มีการลดเรื่อง Packaging ลงไปเป็นกล่องปกติ ซึ่งราคาก็ลงตามมาด้วย ทำให้กลายเป็นตัวเลือกที่ดีว่าจะซื้อแค่น้ำหอมหรือซื้อน้ำหอมพร้อม Clutch เช่นนั้นสิ่งสวยงามฉากหน้าแรกเห็นทั้งหมดผ่านการกล่าวถึงแล้ว ก็ได้เวลาของกลิ่นซะทีว่าจะออกมาเป็นแบบไหน

Voulez-Vous Coucher Avec Moi เปิดต้นกลิ่นด้วยโทนดอกไม้ขาวก่อนเลย ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลายหรือ Orange Blossom ที่จะให้ความรู้สึกหวานอมเปรี้ยวหอมแกมสะอาดและจะมีลูกเอื้อนสดชื่นแกมเขียวหน่อยๆ ที่เป็นดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำหรือ Neroli แฝง แต่จะมีกลิ่นโทน Citrus ที่ติดเปรี้ยวอมหวานแกมน้ำผึ้งของส้มจีนเสริมอยู่ทำให้กลิ่นมีความใสหอมหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ กำลังดี แต่นี่แค่วูบแรกเท่านั้น เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางดอกไม้ขาวที่มีกลิ่นตุ่นอ่อนๆ มีความครีมมี่กึ่งมะลิบางๆ ที่น่าจะเป็นดอกพุด เคล้ากับกลิ่นเย้ากลิ่นดอกไม้กึ่งเปลือกกล้วยที่ใสหน่อยๆ ของกระดังงาที่ค่อนข้างชัดเจนเข้ามาเสริมด้วย เลยทำให้ช่วงต้นเป็นการเปิดกลิ่นที่เป็นโทนดอกไม้สายเย้าที่มีเสน่ห์ชัดเจน รวมถึงมีความ Feminine สูงจนจับต้องได้ไม่ยากเลย

สิ่งที่ต้องชมอย่างมากเลยขอยกให้ช่วงกลางที่เนื้อกลิ่นจะเป็นกระดังงาแกมกุหลาบที่มีลูกเอื้อนผสมผสานความเป็นดอกไม้รวมต่างๆ ทั้งสายดอกไม้ขาวและดอกไม้หอมหวานระเรื่อหลากมิติ แต่มีความเย้ายวนเซ็กซี่แบบมีคลาสในเนื้อกลิ่นเป็นพื้นฐานที่ชัดเจนมา โดยที่คงมิติกลิ่นจากใสสู่นวลเย้าที่สมดุลย์และกำลังดี ซึ่งกลิ่นที่ฟุ้งกระจายมาให้รับรู้จะจับต้องได้เต็มๆ ถึงกุหลาบกระดังงาที่มีความกึ่งใสกึ่งนวลทั้งเย้าและโรแมนติคในเวลาเดียวกัน ล้อมด้วยกลิ่นคล้ายโบตั๋นเล็กๆ ที่ให้ความสดชื่น และรองซ้อนด้วยความครีมมี่เย้ารัญจวนแบบไม่ได้ข้นเกินไป เพราะมีกลิ่นดอกส้ม Neroli มาตัดทอน โดยที่พื้นกลิ่นจะเป็นวานิลลาที่หวานเรื่อๆ เย้าๆ อบอุ่นแกมนวลที่ทำให้กลิ่นมีมิติที่มาสายดึงดูดและมีเสน่ห์รัญจวนออกมาได้ชัดเจน แบบที่ไม่ต้องตะบี้ตะบันอัดแหลกบอกโลกว่า “ฉันเซ็กซี่” แต่มีดีด้วยการเข้ามารับความรัญจวนหวานหอมแบบมีระดับเสียมากกว่า

ช่วงท้ายความเป็นกุหลาบจะเบาลงไป แต่กระดังงายังคงอยู่ แบบที่ลดความเป็นโทนคล้ายเปลือกกล้วยลงไป แต่ยังมีความเปรี้ยวอ่อนๆ เนียนๆ เคล้าความเย้ายวนหวานๆ ที่มีซ่อนกลิ่นเสริมเบาๆ สร้างโทนกลิ่นแบบแป้งหอมดอกไม้อย่างพอเหมาะ ซึ่งคราวนี้วานิลลาจะกลายเป็นตัวหลักที่มีกลิ่นของไม้จันทน์หอมกับ Musk นวลๆ มาเสริมแบบเหมาะสม และมีการตัดทอนกลิ่นให้ไม่ได้เอะอะก็ครีมมี่เกินไป ด้วยไม้ซีดาร์ที่ทำให้กลิ่นมีความโปร่งแกมไม้หอมเรื่อๆ กำลังดี โดยที่ยังคุมโทนความเย้าแบบมีระดับอยู่เช่นเดิม ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายที่ให้เนื้อกลิ่นแบบแป้งหอมแกมนวลระเรื่อปร่าเย้าที่มีเสน่ห์แบบที่ไม่หนักไปและไม่เบาไปอย่างลงตัวมาก

เหมาะสำหรับ - กลิ่นแม้จะลงไว้ว่า Unisex แต่ค่อนไปทางผู้หญิงราว 80% ได้เลย เพราะภาพรวมกลิ่นคือดอกไม้สายเย้าหวานชัดเจน เพียงแต่ถ้าผู้ชายไม่มายด์ก็ใส่ได้ เพราะเนื้อกลิ่นช่วงท้าย Unisex เต็มตัวแบบที่มีลูกเอื้อนดอกไม้อยู่ให้ดูเย้าไปหวานหอมไปได้อยู่ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งใส่ทำงานหรือทั่วๆ ไป ซึ่งใส่ทางการก็ยังได้ เพราะความเย้ายวนมันออกแนวแฝงแต่ให้ความซึมลึกมากกว่าจะโจ่งแจ้ง ซึ่งถ้าไม่คิดถึงมันก็ไม่ได้จำเป็นต้องตีความไปในสายยั่วสวาทขนาดนั้น รวมถึงยามค่ำคืนที่ใส่ออกงานหรือท่องราตรีแบบมีระดับก็เหมาะ จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายกับกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้ง ที่เห็นควรว่า “ข้ามไปเถอะ”

ความทน - พื้นฐานคือ 8 ชม. สบายมาก และไปต่อได้อีกตามแต่ละสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ที่ใช้ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานกับจำนวนสเปรย์ที่ 6 สเปรย์ เรียกว่าสร้างความพึงใจได้ยาวๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปราวๆ 1 ชม. แล้วถึงแตะการกระจายแบบปานกลางยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 4 - 5 ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนไปหยุดที่ Skin Scent เอาชั่วโมงที่ 7 - 8 

สรุป - นี่คือความเซ็กซี่เย้ายวนแบบมีระดับและมีเสน่ห์ High Class เสียมากกว่าที่จะตะบี้ตะบันอัดความแน่นอวลดอกไม้ข้นๆ หรือขนมจัดจ้าน แต่ให้ความเย้ายวนสว่างๆ อารมณ์ใส่ชุดซีทรูสีขาววับๆ แวมๆ ที่มีจริตดูแพงประมาณนั้น ซึ่งถือว่าเป็น Concept กลิ่นที่พอเหมาะ หรูหรา และไม่ได้จำเป็นต้องชวนอึ้บกันโต้งๆ เพราะดมแล้วถ้าชอบก็ว่ากันทีหลังก็ได้ นี่แหละการวาง Position กลิ่นที่ทำออกมาได้ดีจริงๆ ต้องยอมเขาเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.bykilian.com/product/19797/50765/perfume/voulez-vous-coucher-avec-moi/the-narcotics#/sku/115140

 

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Gai Mattiolo UOMO

Gai Mattiolo UOMO

จุดเริ่มต้นจากความชอบแฟชั่น สู่การตัดสินใจทำแบรนด์แฟชั่นขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ผ่านการเรียนรู้หรือเทรนนิ่งใดๆ ทางด้านแฟชั่น แต่ใช้การใส่ใจและลงรายละเอียดในการสร้างสรรค์ ซึ่งอันนี้คือพรสวรรค์เน้นๆ เลยที่ทำให้แฟชั่นในการเป็นแบรนด์ Gai Mattiolo เกิดขึ้นมา และต่อยอดมาเรื่อยๆ ในการสร้างสรรค์ผลงานที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกจนถึงทุกวันนี้

แต่ไม่ได้มาเล่าในเรื่องราวของแฟชั่น เพราะเรามาเจาะจงกันที่เรื่องน้ำหอมของแบรนด์นี้ต่างหาก ซึ่งแบรนดืได้มีการเปิดตัวน้ำหอมออกมาครั้งแรกในปี 1997 และล่าสุดในปี 2009 ที่แม้ว่าตอนนี้เรื่องน้ำหอมของแบรนด์อาจจะไม่ได้เป็นจุดที่พีคมาก แต่ไม่ใช่ว่าการสร้างสรรค์ทางกลิ่นต่างๆ จะไม่มีเพชรเม็ดงาม ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในกลิ่นที่ไม่ธรรมดากับน้ำหอมชายกลิ่นแรกของแบรนด์อย่าง Gai Mattiolo UOMO ซึ่งมีเนื้อกลิ่นอย่างไรว่ากันตามนี้

เปิดต้นกลิ่นมาจะมีความเป็นโทนออกทางสดชื่นติด Splash หน่อยๆ ของเลมอนที่มีความปร่าขมเล็กๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เป็นตัวเสริมอยู่ในนั้น แต่สิ่งที่จับต้องได้มันมีมากกว่านั้นเพราะจะมีกลิ่นติดหวานกึ่งสมุนไพรเจือแป้งนิดๆ ที่เป็นลักษณะของโป๊ยกั๊ก แฝงด้วยกลิ่นติดเขียวบางๆ แกมนวลสะอาดของดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ซึ่งทำให้ช่วงเปิดเป็นลูกครึ่งระหว่างโทน Citrus กับกึ่งแป้งกึ่งเครื่องเทศที่มีความสะอาดคลอ แกมมีลูกเสี้ยวจากดอกไม้ติดหวานนวลเนียนๆ รวมอยู่ด้วย ถือว่าเปิดมาเหมือนจะธรรมดาในความสดชื่น แต่บอกเลยว่าไม่ธรรมดาในมิติกลิ่นที่สมดุลย์และไม่ได้ตะบี้ตะบันอัดแต่ความสดชื่นเพียงอย่างเดียว

เมื่อโทน Citrus เริ่มลดทอนลงมากลายเป็นตัวเสริมบรรยากาศที่มีความสดชื่นประปราย สิ่งที่เด่นขึ้นมาเลยต้องยกให้โทนดอกไม้ซึ่งจะมีกุหลาบเป็นตัวหลัก กลิ่นจะให้ความเป็นกุหลาบสบายๆ กำลังดีมีความหวานนวลอ่อนๆ ไม่ได้เข้มไปหรือเบาโหวงไป เสริมด้วยกลิ่นสดชื่นของดอกส้มนิดๆ มีความปร่านวลเผ็ดกำลังดีของพริกไทยเสริมแบบสมดุลย์ โดยที่ยังมีโทนลูกผสมติดแป้งแกมสบู่ติดปร่าหน่อยๆ อารมณ์แบบเอาโป๊ยกั๊กกับเม็ดผักชีที่ตัดทอนโทนคมพุ่งๆ ออกไปจนได้ความปร่าสว่าง เลยทำให้มิติกลิ่นในช่วงนี้ถือว่าเป็นไฮไลต์เลยก็ย่อมได้ เพราะจะเป็นกลิ่นกุหลาบสบายๆ ที่มีความสุขุมสะอาดและมีความ Aromatic ที่กำลังดีพอเหมาะพอเจาะไปหมด สร้างออร่าสุภาพบุรุษที่มีกลิ่นอายโรแมนติคแกมสดชื่นได้เป๊ะเลยทีเดียว

ช่วงรอยต่อจะรู้สึกได้ว่ามีมิติของโทนสะอาดๆ นวลๆ ของ Musk ที่เสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นแกนหลักเต็มตัวในช่วงท้าย แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะว่าจะมีกลิ่นอายไม้หอมที่มีมิตินวลๆ ของไม้จันทน์หอมผสมผสานอยู่ และมีกลิ่นติดไม้แกม Smoky บางๆ ให้จับต้องได้ ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทน Musky Woody ที่มีความสะอาดและมีมิติน่าค้นหาเนียนๆ ได้เหมาะเจาะ ซึ่งกลิ่นกุหลาบกับพริกไทยยังตามมาในช่วงนี้อยู่แต่ก็เนียนไปกับ Musk เรียบร้อยแล้ว ทำให้ยังคุมโทนความนวล สะอาด โรแมนติค และมีความเป็นสุภาพบุรุษได้ครบถ้วนมากเช่นเดิม

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศ วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก กลิ่นไม่ได้ตะบี้ตะบันให้ความสดชื่นเปรี้ยวจ๋าๆ หรือให้ความเป็นทะเล๊ทะเลอะไร แต่ให้ความสดชื่นแกมโรแมนติคที่ลงตัวมากพอในการใช้งานยามกลางวันแบบแทบจะครอบจักรวาล จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่อาจจะรอช่วงท้ายๆ น่าจะเหมาะสมกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานหรือโรแมนติคจะดีที่สุด

ความทน - กลิ่นทนดีงามเกินคาดเสียด้วย เพราะสิ่งที่เจอคือ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน แต่ถ้าเอาค่าเฉลี่ยสภาพผิวที่อาจจะไม่ได้เก็บกักน้ำหอมไว้ได้มาก ก็ 6 - 8 ชม. ได้อยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะคงตัวไปซักราว 15 นาที ถึงลงมากระจายปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงราวชั่วโมงที่ 4 ถึงผ่อนตัวลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว ก่อนที่จะติดผิวเมื่อผ่านไปแล้วราวๆ ชั่วโมงที่ 6 - 8   

สรุป - เป็นกลิ่นที่ให้เสน่ห์ในความเป็นน้ำหอมชายที่มีกลิ่นกุหลาบเสริมได้อย่างลงตัวมากที่สุดอีกหนึ่งกลิ่น โดยไม่มีความสาวใดๆ มารบกวนจิตใจและรูจมูก โดยไล่เรียงจากความสดชื่นสู่ความนุ่มนวลและสะอาดสะอ้านอย่างมีระดับ ที่สร้างออร่าสุภาพบุรุษก็ได้ ชิลล์ๆ ติดโรแมนติคก็สามารถ หรือจะเป็น Daily Scent ที่ให้เสน่ห์เรียบง่ายแต่ไม่เหมือนใครก็ลงตัว เสียดายที่ตอนนี้แทบจะหาไม่ได้แล้วนี่แหละ เพราะเลิกผลิต!

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Gai_Mattiolo/Gai_Mattiolo_Uomo_Eau_de_Toilette

 

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: L’Orchestre Parfum - Thé Darbouka

L’Orchestre Parfum - Thé Darbouka

เมื่อเป็นทั้งนักดนตรีและสุคนธกร การต่อยอดทางความคิดในการสร้างแบรนด์ที่จับเอาแรงบันดาลใจในดนตรีต่างๆ มาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นอายน้ำหอมที่นอกจากจะใช้จมูกในการรับกลิ่นแล้ว ลองเป็นการฟังผ่านกลิ่นดูบ้างมันคงน่าสนใจมาก Pierre Guguen จึงได้สร้างแบรนด์ขึ้นมาโดยมี Concept หลักในการนำเสนอกลิ่นอายที่สามารถตีความออกมาเป็นท่วงทำนองดนตรีได้ และก็ออกมาเป็นแบรนด์ L’Orchestre Parfum ในที่สุด

ซึ่งในแต่ละกลิ่นต่างก็มีที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์จากดนตรีและท่วงทำนองต่างๆ ของนักดนตรีที่เอามา Collaborate กับสุคนธกรมือฉมังต่างๆ ถือว่ามีความหลากหลายไม่น้อยในการจับคู่กัน เช่นนั้น เมื่อได้มาเจอแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก ก็ขอมาจับความน่าสนใจในการเอาท่วงทำนองของเพลง Thé Darbouka ที่มาจากผลงานของ Nicolas Leroy กับการสร้างสรรค์ดนตรีที่เน้นกลอง Darbouka หรือ Goblet Drum ที่เป็นกลองทรงคล้ายถ้วยรางวัลที่เสียงทำนองเฉพาะตัว กับการสร้างดนตรีที่มีความลุ่มลึก น่าค้นหา และมีเสน่ห์เฉพาะอย่างหาตัวจับได้ยาก ผลที่ออกมาเลยเป็น Concept ที่สร้างท่วงทำนองของกลิ่นออกมาให้สื่อสารถึงทะเลทรายซาฮาร่าจับคู่กับความลุ่มลึกด้วยกลิ่นชา เมื่อน่าสนใจในที่มาที่ไปเช่นนี้ ก็ขอมาสัมผัสความเป็นดนตรีผ่านกลิ่นซักหน่อยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

Thé Darbouka เปิดตัวด้วยความเป็นลูกผสมระหว่างโทน Citrus ที่ค่อนไปทางขมแกมเปรี้ยวอ่อนๆ ที่มีความปร่ากำลังดีเคล้ากับกลิ่นที่ออกทางเข้มแกมอบอุ่นของโกโก้แฝงด้วยกลิ่นออกทางคล้ายหญ้าแห้งหน่อยๆ อารมณ์กลิ่นมีความกึ่งกลางระหว่างความเย็นๆ กับความอบอุ่นแบบแห้งๆ ที่มีความหวานหญ้าแห้งแกมค่อนไปทางสมุนไพรแห้งติดหวานนิดๆ ซึ่งบางวูบจะได้กลิ่นคล้ายลักษณะแบบโกโก้เย็นก็ได้ หรือบางวูบจะได้กลิ่นลุ่มลึกแกมอบอุ่นที่มีความแห้งแบบสมดุลย์กำลังดีก็ได้ด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นช่วงต้นที่ให้ความมีมิติที่น่าสนใจมากในการสร้างความสดชื่นก็ได้แตะความอบอุ่นน่าค้นหาก็ดี

เนื้อกลิ่นจะค่อนข้างมีความค่อยเป็นค่อยไปแบบเนียนๆ พอสมควรในการเข้าสู่ช่วงกลางที่จะมีโทนกลิ่นเครื่องเทศแห้งๆ ต่างๆ แฝงเข้ามาในช่วงต้นแล้วเริ่มพลิกโทนให้สัมผัสได้แบบมารู้ตัวอีกทีก็อ้าวเป็นเครื่องเทศแห้งๆ แกมหวานติดเผ็ดโปร่งกำลังดีซะแล้ว ซึ่งจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นของกระวานที่มาแบบไม่ได้ออกทางหวานเย้ากึ่งยางๆ แต่มาแบบแห้งๆ กลิ่นของเมล็ดเทียนตากบหรือยี่หร่าประเภทนึงที่เรียกว่า Caraway มาให้ความรู้สึกหวานติดฝาดนิดๆ สอดรับกับกระวาน ตามด้วยกลิ่นปร่านวลของพริกไทยที่ให้ความเผ็ดนวลสะอาด ซึ่งไม่ได้จบลงแค่นี้เพราะในความเป็นเครื่องเทศจะมีกลิ่นออกทางหวานติดผลไม้เล็กๆ แกมกลิ่นไซรัปหวานแห้งๆ แบบกึ่งน้ำผึ้งกึ่งสมุนไพรแกมยาสูบกวานโปร่งหน่อยๆ ที่น่าจะมาจากดอก Immotelle ทำให้ช่วงกลางเรียกว่าเป็นการผสมผสานที่เบลนด์กันได้อย่างน่าดมกลิ่นแบบเป็นเนื้อเดียวที่มีมิติมากเพราะจะได้ความเป็นเครื่องเทศแห้งๆ ที่มีบรรยากาศหวานเรื่อๆ ลุ่มลึกแบบกลิ่นชาอุ่นที่มีความหวานรายล้อม อารมณ์กลิ่นให้ความรู้สึกอบอุ่นเพราะพื้นกลิ่นจะเริ่มสัมผัสได้ได้ถึงกลิ่นกึ่งอบเชยกึ่งไม้หอมแแห้งๆ ร่วมด้วย

การเข้าสู่ช่วงท้ายเรียกว่าความดีงามในช่วงกลางในการเป็นโทนหวานแห้งๆ แต่มีความลุ่มลึกที่มาจาก Immortelle ยังคงอยู่ชัดเจน แต่สิ่งที่มาเสริมให้มีความหวานอุ่นมากขึ้นคืออบเชย ที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหวานแกมอุ่น และไม่พอมีโทนไม้กฤษณาที่แฝงเข้ามาทำให้กลิ่นทีความดาร์กเย้าลุ่มลึกซ้อนลงไปในโทนหวานได้อย่างพอเหมาะและไม่ได้ Oud จ๋าเกินไปออกแนวสายสนับสนุน รวมถึงมีกลิ่นยางไม้กำยาน Styrax ที่จะแตกต่างจาก Benzoin ในการให้โทนออกทางแอมเบอร์เคล้าหนังมากกว่า ทำให้ช่วงท้ายที่นอกจากความเป็นบรรยากาศเครื่องเทศแห้งๆ จากช่วงกลางที่ให้ความรู้สึกแบบบรรยากาศทะเลทรายเดิม เพิ่มเติมความหวานเย้าเข้าไปอีกสร้างโทนสีที่ไล่โทนจากสีทราย สู่สีชา ก่อนผิดท้ายด้วยสียางไม้หอมหวาน ทิ้งค้างในความรู้สึกทางกลิ่นที่มีเสน่ห์น่าค้นหากันยาวๆ ไป

เหมาะสำหรับ - มีความ Unisex ชัดเจน แต่จะเป็นการไล่โทนที่แตะความเป็นผู้ชายก่อนไปสู่โทนกลิ่นที่มีความเป็นผู้หญิง เลยจะมีบางวูบช่วงต้นที่ออกแมนนิดนึง และพอเข้าช่วงท้ายก็หวานแตะโทนผู้หญิงนิดหน่อย แต่ภาพรวมในเมื่อดนตรีไม่เลือกเพศในการฟัง กลิ่นก็ไม่เลือกเพศในการใช้งานเช่นกัน ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางนัก เพราะกลิ่นช่วงท้ายเป็นโทนหวาน ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานหรือว่าโรแมนติคจะลงตัวที่สุด

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบแน่ๆ ตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวถือว่าค่อนข้างทนเพราะเจอไปที่ 12 ชม. ในการใช้งาน ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางยาวๆ ไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปยาวๆ หลังจากนั้นจนถึงชั่วโมงที่ 8 ก่อนที่จะค่อยๆ ผันตัวเป็น Skin Scent

สรุป - ส่วนตัวจับต้องจุดร่วมระหว่างดนตรีประกอบกลิ่นนี้คือความน่าค้นหา ความดึงดูด และความลุ่มลึกที่มาบรรจบกันได้อย่างลงตัวมาก ซึ่งถือว่าเป็นการจับคู่ทางกลิ่นกับดนตรีในการสร้างบรรยากาศท่ามกลางทะเลทรายที่มีสถานที่ลับดึงดูดให้ไปพักผ่อนหย่อนใจ + ความลุ่มลึกทางกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ได้น่าสนใจจริงๆ

ปล. ฟังเพลงประกอบกลิ่นนี้ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=pl6JgwuKO7c

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://giaperfumerie.vn/products/l-orchestre-the-darbouka


 

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Jo Malone - Fig & Lotus Flower

Jo Malone - Fig & Lotus Flower

จากแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นที่มาจากสวนลอยบาบิโลน สู่การออก Collection ใหม่ในปี 2020 อย่าง Lost in Wonder สู่การนำเอากลิ่นอายที่น่าสนใจต่างๆ ในสวนนั้นมาต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นดอกบัว สนไซเปรส และมะเดื่อ (Fig) มาแยกออกเป็น 2 กลิ่นจับคู่กัน คือ Cologne Intense ขวดดำ ที่เอาสนไซเปรสไปจับคู่กับองุ่นแทน และจับคู่การเป็นมะเดื่อกับดอกบัวในการเป็น Cologne ปกติ ขวดใส

เช่นนั้นจึงเป็นเวลาในการตามเก็บในครบทั้ง Collection ซะทีหลังจากสัมผัสความทันสมัยและ Trendy ในการเป็น Cypress & Grapvine ที่อบอวลและผ่านการเล่ากลิ่นไปแล้ว ก็มาถึง Fig & Lotus Flower ซึ่งจะสื่อสารกลิ่นอายโทนสว่างออกมาในลักษณะไหน สิ่งที่ได้ก็ออกมาเป็นแบบนี้เลย

สิ่งแรกที่มาทักทายเลยคือการเป็นโทน Citrus Green ที่จะเป็นลูกผสมระหว่างการเป็นโทนเปรี้ยวสดชื่นที่น่าจะมีทั้งเกรปฟรุตเพราะมีความเปรี้ยวแปร่งสว่างๆ เลมอนที่ให้ความเป็นโทนฉ่ำๆ ในสไตล์ Cologne และมีกลิ่นติดขมเปรี้ยวหน่อยๆ สร้างบรรยากาศของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) รวมเข้ามาอยู่ด้วย + กลิ่นออกทางเขียวต้นไม้ใบหญ้าวูบมาก่อนเพื่อนเลย แต่เพียงไม่ถึง 30 วินาทีก็จะจับต้องได้ถึงกลิ่นเขียวขมกึ่งมิลค์กี้ที่ติดทึบในลักษณะของใบ Fig ที่มาเสริมให้จับต้องได้ว่านอกจากโทน Citrus และโทนเขียวที่สร้างบรรยากาศแล้ว ต้องไม่ลืม Fig ผู้นี้ด้วย ซึ่งทำให้ภาพรวมช่วงเปิดคือการเป็นโทนบรรยากาศสดชื่นที่มีความเป็นธรรมชาติของโทน Citrus ที่เสริมด้วยความเขียวได้ลงตัวมาก

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มเข้ามาเสริมให้การเป็น Fig & Lotus Flower มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะกลิ่นโทนดอกบัวที่ให้ความหวานแกมฉ่ำ Aquatic เบาๆ จะเข้ามาสร้างให้กลิ่นมีความฉ่ำประปรายให้รู้สึกได้ และมีลูกเอื้อนความหวานมากขึ้น ซึ่งทำให้ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีโทน Citrus Green อยู่เช่นเดิม แต่กลิ่นใบ Fig จะเด่นขึ้นมามากขึ้น โดยที่มีกลิ่นดอกบัวเอื้อนปลายฉ่ำแกมหวานสร้างความชุ่มชื้นในเนื้อกลิ่น โดยที่โทน Citrus ทั้งหลายจะลดทอนลงเป็นเป็นตัวเสริมความสดชื่น แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะในความเป็น Citrus จะมีโทนดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) เป็นตัวให้ความเขียวติดเปรี้ยวหอมที่นุ่มนวลให้โทน Citrus มากขึ้น และเชื่อมความเป็นดอกไม้กับดอกบัวร่วมด้วย สร้างความสะอาดแกมสดชื่นในเนื้อกลิ่นได้พอดีและลงตัว ทำให้ช่วงกลางจะมีความชัดเจนมากใน 4 + 1 โทนผสมผสานกันเป็นเนื้อเดียวเลยนั่นคือ ความเขียวของใบ Fig ที่ให้ความเขียวติดทึบมีความมิลค์กี้อ่อนๆ แกมกลิ่นเขียวใบไม้ใบหญ้า ความสดชื่นของโทน Citrus ที่ให้ความสว่าง ความฉ่ำ Aquatic อ่อนๆ ติดหวานปลายกลิ่นของดอกบัว และสุดท้ายความนวลเบาๆ ของดอกส้มที่คลอกลิ่นอยู่ ส่วนอีก +1 คือโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่สัมผัสได้ว่าค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาเป็นตัวเชื่อมต่อไปยังช่วงท้าย

ช่วงท้าย จะโดนปูทางก่อนเลยโดยกลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ แกมแห้งๆ ซึ่งชัดเจนว่ามี ISO E Super อยู่ด้วยในการสร้างโทนไม้หอมโปร่งๆ สว่างๆ ในสไตล์ของไม้ซีดาร์ โดยจะมีกลิ่นหญ้าแฝกที่ให้ความ Earthy แกมไม้หอมแห้งๆ เสริมแต่ไม่หนักหน่วงเกินไป โดยที่มีความอบอุ่นของกลิ่นแบบกำลังดีแบบหยอดเอาแอมเบอร์เข้ามาผสมผสานด้วย และแน่นอนว่าพลาดไม่ได้ต้องมีกลิ่น Musk มาให้ความนุ่มสะอาดเนียนๆ เป็นพื้นกลิ่น เพียงแต่ว่ากลิ่นจากช่วงกลางจะตามมาพอสมควรด้วยเพราะจะได้กลิ่นใบ Fig อ่อนๆ แกมกลิ่นนุ่มนวลติดหวานปลายกลิ่นของดอกบัวผสมดอกส้มอยู่ด้วยที่ให้ความรื่นรมย์แกมสดชื่นปลายๆ กลิ่น และแอบได้กลิ่นแบบองุ่นเขียวหน่อยๆ มาสร้างกิมมิคที่ให้โทนติดผลไม้นิดๆ เลยทำให้เลเยอร์ของกลิ่นมีความน่าสนใจมาก เพราะจะมีความหอมเขียวติดหวานเบาๆ ตามด้วยกลิ่นติดผลไม้บางๆ และตามด้วยไม้หอมที่สะอาดและสว่างๆ มีระดับ ซึ่งทั้งหมดคุมโทนได้ดีในลักษณะกลิ่นแบบ Cologne ที่ให้ความสดชื่น และความมินิมัลแกมเรียบหรูในการเป็นสไตล์ของ Jo Malone ได้ครบถ้วน

เหมาะสำหรับ - Unisex เลยเข้าได้หมด ถ้าต้องการความสดชื่นและมีเสน่ห์ของกลิ่นใบ Fig หน่อยๆ เรียกว่าตอบโจทย์ เพราะกลิ่นไม่ได้ Fig จ๋าจนเกินไปออกมาทางผ่อนคลายสดชื่นจากบรรยากาศเสียมาก จึงแตะการใช้งานแบบครบวงจรในยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืนเน้นวันอากาศร้อนๆ ใส่ออกงาน หรือว่าใส่แบบชิลล์ๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายจอมพลังอยู่แล้ว  

ความทน - อันนี้คือเกินคาด เพราะตอนแรกคิดว่าน่าจะเทไว แต่เอาจริงๆ แตะ 8 ชม. ได้สบายมาก ถือว่าเกินค่าเฉลี่ยของ Jo Malone ในสาย Cologne ปกติได้ดีเลย ซึ่งถ้าเทียบค่าเฉลี่ยตามสภาพผิวก็อยู่ที่ 6 ชม. ได้อยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางไปราวๆ 2 ชม. ก่อนที่จะคงที่กับการเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนแตะชั่วโมงที่ 5 - 6 ก็จะเริ่มติดผิว

สรุป - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นใบ Fig ที่ไม่ได้มาหนักหน่วงหรือเขียวปั๊ดทึบๆ แบบน้ำหอม Fig ที่เป็นตัว Top จากหลากหลายแบรนด์ แต่ให้ความผ่อนคลาย สดชื่น และรื่นรมย์ ได้ดีในการใช้งานแบบไม่ต้องเยอะสิ่งได้สบายมาก ที่สำคัญคุมโทนการเป็นกลิ่นสไตล์ Cologne ได้ดีมาเสมอ และถ้าใครต้องการที่จะเริ่มเรียนรู้กลิ่น Fig กลิ่นนี้ก็ตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.jomalone.co.th/product/25946/79589/colognes/fig-lotus-flower-cologne

 

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Tauer Perfumes - 09 Orange Star

Tauer Perfumes - 09 Orange Star

เสียงลือเสียงเล่าอ้างที่เห็นในหลายๆ สำนักบอกว่าน้ำหอมกลิ่นส้มที่มาจากฝีมือของ Andy Tauer กลิ่นนี้ มีความไม่เหมือนใครสูงมาก และค่อนข้างจะไม่ใช่ส้มแบบที่เราๆ ได้เคยสัมผัสกัน แต่มันจะให้ความรู้สึกแบบส้มที่เป็นสไตล์อื่นไปเลย เอาล่ะสิ อยากลอง

และเมื่อได้หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะจัดให้รู้ ก็พอทราบได้ว่ากลิ่น Orange Star ของ Tuaer Perfumes นี้เป็นหนึ่งใน Classic Collection ของแบรนด์ที่เปิดตัวมาเป็นกลิ่นที่ 9 กับการนำเสนอที่ถ้าดู Notes เพียงผิวเผินอาจจะทำให้นึกไปได้ว่าน่าจะเป็นกลิ่นส้มใสๆ เพราะมีทั้งส้มแมนดาริน ส้มคลีเมนไทน์ ที่มักให้ความหอมส้มฉ่ำๆ แบบน้ำส้มติดเปรี้ยวอมหวาน แต่เอาเข้าจริงแล้วก็เป็นไปตามย่อหน้าแรกเลยว่า

กลิ่นเปิดไม่ได้มาในความเป็นส้มใสๆ ฉ่ำๆ แต่อย่างใด ออกทางค่อนไปทางกลิ่นส้มแห้งๆ ที่ยังคุมโทนความสดชื่นอยู่ให้รู้สึกได้ แต่เนื้อกลิ่นจะมีความติดเค็มอวลแปร่ง Animalic กึ่งแอมเบอร์ที่เดาไม่ยากว่าน่าจะมาจากอำพันปลาวาฬ (Ambergris) และมีความเป็นโทน Spicy แกมสบู่ฟุ้งๆ อวลๆ ที่รองเป็นพื้นหลัง ซึ่งทำให้กลิ่นนี้ฉีกออกไปในความรู้สึกของการได้กลิ่นโทนส้มมาก่อนหน้านี้แทบทั้งหมดไปได้เลย เพราะกลายเป็นกลิ่นแนวสบู่กึ่งแอมเบอร์อวลๆ ที่มีความปร่าๆ แกมกลิ่นส้มแห้งๆ ซึ่งในบางวูบทำให้นึกถึงกลิ่นพวกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดกลิ่นส้มอยู่บ้าง แต่เพียงช่วงเปิดก็ยังตัดสินอะไรไม่ได้ว่าช่วงต่อๆ ไปจะวางเนื้อกลิ่นออกมาในลักษณะไหน ต้องติดตามต่อ

การปรับเนื้อกลิ่นเข้าช่วงกลางความอวลเค็มแปร่งเริ่มที่จะลดทอนลงไป แต่คราวนี้จะให้ความเป็นโทนสบู่ที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ไม่ใส่สบู่แบบนุ่มๆ เพราะจะเป็นการผสานกันระหว่างดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom)  กับตะไคร้จะกลายเป็นแกนหลักในช่วงกลางที่ให้ความเป็นโทน Spicy ปร่าๆ แกมกลิ่นออกทางกึ่งไม้หอมหน่อยๆ อารมณ์แบบตะไคร้แห้ง ทำให้จะได้อารมณ์กลิ่นแบบสบู่ดอกส้มที่มีความหวานอมเปรี้ยวแบบดอกไม้ขาวระเรื่อที่มีความปร่าตะไคร้แทรกอยู่ในทุกอณู โดยมีอารมณ์กลิ่นส้มผสมความหวานอมเปรี้ยวเรื่อๆ ของดอกส้มรายล้อมหน่อยๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์กลิ่นอวลๆ หนืดๆ ติดเค็มเป็นพื้นกลิ่นอยู่บ้างจาก Ambergris แต่ยังไงก็ให้ภาพรวมเป็นโทนกลิ่นแนวสบู่ปร่าฟุ้งๆ อวลๆ แน่นๆ ฟุ้งคลอผิวแบบเหมาะสม ไม่ได้ปล่อยพลังรอบทิศหนักหน่วง

โทนกลิ่นในช่วงท้ายจะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจคือ ตะไคร้แห้งจะลดบทบาทลงแต่ดอกส้มยังคงอยู่ ซึ่งจะจับได้แบบวนเนียนไปกับเนื้อกลิ่น แต่จะมีโทนเด่นขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างเลยนั่นคือธูปแนวยางไม้ Incense ที่ให้ความปร่าอวลๆ ชัดเจนรับช่วงต่อ ซึ่งยังคงคุมโทนปร่าแกมนวลกึ่งสบู่ฟุ้งๆ อยู่เช่นเดิม เพียงแต่กลิ่นจะมีความแห้งมากขึ้น และเริ่มมีกลิ่นอบอุ่นของวานิลลาเข้ามาเสริม แกมกลิ่นติดอัลมอนด์กึ่งหญ้าแห้งที่เป็นโทนของถั่วตองก้าเข้ามาร่วมด้วย โดยแน่นอนว่ายังมี Ambergris เป็นพื้นกลิ่นอยู่เช่นเดิม ทำให้กลิ่นจจะมีเลเยอร์ให้จับต้องเริ่มจากความปร่าอวลแห้งๆ ของ Incense ที่มีกลิ่นดอกส้มประปรายอ่อนๆ ตามด้วยบรรยากาศติดอบอุ่นที่มีความความอวลๆ ซึ่งเมื่อดมใกล้ผิวก็จะจับต้องความเค็มแกม Animalic ที่เป็นลักษณะฐานกลิ่นได้ชัดเจนมากขึ้นเป็นการปิดท้ายกันแบบยาวๆ ไป

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะเนื้อกลิ่นมีความกลางๆ ที่แตะได้ทุกเพศ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาในแนวขนบแบบที่เจอๆ กันนัก แต่ถ้าพื้นฐานชอบโทนกลิ่นแบบสบู่ดอกส้มปร่าๆ Spicy และมีความอวลๆ แห้งๆ เนื้อกลิ่นมีความแน่นแต่ไม่ได้ทรงพลังจัดจ้าน อันนี้จะเข้าทางแถมไม่ค่อยเหมือนใคร ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งได้ ส่วนออกกำลังกายขึ้นอยู่กับการพิจารณา เพราะกลิ่นมันแน่นพอสมควรรอช่วงท้ายๆ อาจจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ชิลล์ๆ จะลงตัวมาก แต่ถ้าใส่ออกงานก็พอได้ จะมีแต่ท่องราตรีที่จะต้องบอกว่าถ้าจะเอาแตกต่างก็จัดไป เพราะกลิ่นพอสู้กับสายหวานขนมต่างๆ ได้อยู่ แต่าอาจจะไม่ได้จัดจ้านมากเท่า  

ความทน - 15 ชม. นี่คือสิ่งที่เจอทุกครั้งในการใช้งาน เรื่องนี้ต้องยกให้เขาเลยจัดจ้านในย่านนี้จริงๆ 

การกระจาย - กระจายดีมากและยาวไปราวๆ 30 นาที แรกในการสเปรย์เลย แถมกลิ่นฟุ้งทั้งห้องอีกด้วย ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายดีไปราวๆ 1 - 2 ชม. ถึงลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 5 ก็จะลงมาคงที่กับการเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป จนถึงชั่วโมงที่ 15 เลย ไม่ธรรมดาเช่นกัน  

สรุป - กลิ่นไม่เหมือนโทน Citrus ที่เด่นด้วยส้มใสๆ ทั้งหลายแน่นอน แต่จะให้อารมณ์ส้มแบบติดสบู่กึ่งดอกส้มปร่าอวลแน่นเสียมากกว่า ซึ่งอันนี้ต้องยกให้ในการสร้างสรรค์ที่แตกต่างออกไปสร้างมิติในการใช้งานกลิ่นโทน Citrus ของส้มได้ฉีกอัตลักษณ์ได้อย่างน่าสนใจ และที่สำคัญถ้าพื้นฐานของความสบู่ปร่าๆ แน่นๆ แต่ไม่กระจายหนักหนากลิ่นนี้เป็นตัวเลือกที่น่าลองไม่น้อย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Tauer/No_09_Orange_Star

 

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Laboratorio Olfattivo - Vanhera

Laboratorio Olfattivo - Vanhera

การที่จะจับเอากลิ่นอายวานิลลามาเจอกับโทนดาร์กต่างๆ พื้นฐานของกลิ่นที่ส่วนตัวเจอมามักจะมีโทนหวานของวานิลลาเป็นตัวรองพื้นเสมอ เลยทำให้เป็นลักษณะโทนกลิ่นแนว Sweet ที่มีความดาร์ก Cover เสียมากในหลายๆ แบรนด์ เพราะพื้นฐานกลิ่นมันขัดแย้งกัน ก็วานิลลามาสายอบอุ่นโทนสว่าง ส่วนโทนดาร์กก็จะเป็นพวกเครื่องเทศ ไม้หอมหรือหนังจัดๆ จนกลายเป็นลักษณะแบบ Animalic ไปเลยที่มักจะสู้โทนวานิลลาหนักๆ ไม่ได้ แต่น้อยครั้งจริงๆ ที่จะสัมผัสได้ได้ถึงความเป็นวานิลลาที่มีความดาร์กที่ไม่ได้หวานจ๋า

และเมื่อเสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกว่า มีกลิ่นวานิลลาจากแบรนด์ Niche อิตาลีอย่าง Laboratorio Olfattivo ได้นำเสนอกลิ่นอายวานิลลาสายดาร์กที่ไม่จัดจ้านในความหวาน แถมได้สุคนธกรสุดหล่อฝีมือเยี่ยมสายรางวัลอย่าง Luca Maffei มารังสรรค์กลิ่นเสียด้วย เช่นนั้น ประจวบเหมาะก็จัดมา จะได้เรียนรู้ด้วยว่ากลิ่นจะตีความออกมาอย่างไรในความเป็นวานิลลาสายดาร์ก เช่นนั้นลองแล้วบอกต่อได้แบบนี้

Vanhera เปิดตัวมาก็จะจับได้ถึงความเป็นวานิลลาเลย เพียงแต่จะเป็นกลิ่นอายแบบฉากหลังเท่านั้น เพราะความ Spicy ของเครื่องเทศจะเด่นมากทั้งกระวานที่ให้ความหวานเผ็ดเย้าๆ กับความเผ็ดปร่าซ่าแกมเฝื่อนหน่อยๆ ของพริกหมาล่า ที่จะมีความเป็น Citrus ติดขมหน่อยๆ ให้บรรยากาศของมะกรูดฝรั่ง และมีความปร่านวลแกมฝาดเล็กๆ แฝงอยู่ ซึ่งทำให้อารมณ์เนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นวานิลลาที่มีความเผ็ดฟุ้งออกมาเลย และไม่ได้ออกทางอุ่นด้วย มาแบบสไตล์วานิลลาที่มีความเย็นๆ ของบรรยากาศหน่อยๆ อยู่ตลอด เรียกว่าเป็นการเปิดตัวด้วยวานิลลาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเลยทีเดียว

สิ่งที่มีความน่าสนใจแม้ว่าจะเข้าช่วงกลางที่เริ่มจะมีกลิ่นโทนไม้หอมติดครีมมี่หน่อยๆ ของไม้จันทน์หอมกึ่งไม้กึ่งไม้อวลหน่อยๆ ที่มีความเป็นโทน Musk ร่วมด้วยเข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นวานิลลาแกมไม้หอมที่ชัดขึ้น แต่ความรู้สึกที่กลิ่นไม่ได้ไปสายอุ่นก็ยังคงอยู่ อารมณ์วานิลลาในอากาศที่เย็นๆ สบายๆ จะค่อนข้างเป็นแกนหลักเสียมาก ซึ่งแน่นอนว่ายังมีความเป็นโทนเครื่องเทศแบบเผ็ดๆ อยู่ เพียงแต่ลดทอนลงมาและมีความหวานแบบเปลือกอบเชยเข้ามาเสริมด้วย เลยทำให้ช่วงกลางกลิ่นจะเป็น Woody & Spicy Vanilla ที่มีความพอดี กลิ่นแม้จะชัดเจนมีความอวลรอบกาย แต่ก็ไม่ถึงกับหนักหน่วงจัดจ้านเกินไป เรียกว่าคุมโทนความสมดุลยได้อย่างลงตัวและมีเสน่ห์มาก

ในช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความอบอุ่นขึ้นมาหน่อยแต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงจนทำให้อารมณ์กลิ่นของวานิลลาเข้าโทนขนมจ๋าๆ แต่อย่างใด แต่ให้ความเป็นวานิลลา + กลิ่นไม้หอมที่ให้ความนุ่มนวลทางกลิ่นที่กำลังดี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นวานิลลาที่ Cover กลิ่นหลักโดยมีกลิ่นโปร่งๆ ของไม้หอมสว่างๆ ที่มาในแนวแบบ ISO E Super หรืออีกชื่อจะเรียกว่า Timbersilk เคล้ากับกลิ่นอวลๆ แบบแนว Amberwood หรือ Ambroxan ต่างๆ ที่ให้ความอบอุ่นแกมอวลๆ ไม้แห้งรวมอยู่ในนั้นแบบไม่แย่งซีน ทุกอย่างจะให้ความสมดุลย์ในการผสมผสานกันที่ลงตัวพอเหมาะพอเจาะในการสร้างกลิ่นแบบวานิลลาที่เข้มขึ้นอุ่นขึ้น แต่มีความโปร่งไม้หอมที่ให้เสน่ห์แบบสบายๆ อารมณ์ผิวกายที่มีกลิ่นวานิลลาแกมไม้หอมอวลๆ นั่นเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมาก ได้หมดไม่ว่าจะเพศไหน ถือเป็นกลิ่นอายวานิลลาที่สร้างความแตกต่างในการใช้งานโดยที่ไม่ทิ้งเสน่ห์ที่ควรจะเป็นของวานิลลาไป ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะต้องออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานหรือว่าโรแมนติคได้หมดเลย ลงตัว แต่ถ้าใส่ไปปล่อยเสน่ห์ต้องเพิ่มเสปรย์ซักหน่อย แต่กลิ่นอาจจะไม่ได้ปล่อยพลังซูเปอร์ไซย่ารอบทิศนัก เน้นออกแนวมีเสน่ห์และชวนคลุกวงในมาดมเสียมากกว่า

ความทน - 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติที่เจอกับน้ำหอมกลิ่นนี้ ซึ่งอาจจะมีบวกลบบ้างอิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและคงตัวไปราวๆ 1 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 3 - 4 แล้วถึงค่อยๆ ลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะราว 6 - 8 ชม. ก็เริ่มผันตัวเป็น Skin Scent 

สรุป - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นวานิลลาที่ทำออกมาได้น่าสนใจมากในการนำเสนอโทนกลิ่นอายวานิลลาที่ไม่ได้อบอุ่น มาแบบเย็นๆ เคล้าความเผ็ดปร่าที่มีเสน่ห์ของเครื่องเทศได้มีเสน่ห์มาก และคุมโทนสว่างและสมดุลย์ในการผสมผสานกลิ่นยืนพื้นที่วานิลลาแกมไม้หอมได้ดีมากอีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.laboratorioolfattivo.com/en/product/vanhera-2/

 

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Floraïku - This July Evening

Floraïku - This July Evening

จากความสำเร็จของ Memo Paris ที่ปล่อยน้ำหอมมาอย่างยาวนาน เจ้าของแบรนด์อย่าง Clara และ John Molloy จึงได้ต่อยอดสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เพียงแต่ไม่ได้อยู่กับแบรนด์เดิม แต่เพิ่มเป็น Project ใหม่กับการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเลยกับการหลงใหลในเสน่ห์ของญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ประเพณี งานเฉลิมฉลองต่างๆ รวมถึงการแต่งกลอน Haiku จึงได้สร้างสรรค์กลิ่นออกมาและสร้างเป็นแบรนด์ใหม่ที่เรียกว่าไม่ธรรมดา ซึ่งนั่นก็คือ Floraïku

ในการสื่อความต่างๆ กับการสร้างสรรค์น้ำหอม สิ่งที่สำคัญมากของแบรนด์นี้คือ กลอน Haiku และการตั้งชื่อกลอนนั้นๆ หลังจากแต่งออกมาเสร็จ แน่นอนว่ากลอน Haiku เองขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องของความ “น้อยแต่มาก” เพราะกลอน 3 วรรคกับจำนวนคำที่ไม่เกิน 17 คำในการสื่อความ สามารถต่อยอดทางความลึกซึ้งในจินตนาการและเห็นภาพแจ่มชัดได้อย่างมากมาย ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์กลิ่น และต่อเนื่องมาถึงการตั้งชื่อกลิ่นที่ถอดเอาการตั้งชื่อกลอน Haiku นั้นๆ ภายหลังจากแต่งเสร็จมาทำให้จบครบถ้วนกระบวนความ พร้อมกับขวดที่มีลายภาพที่สื่อสารตรงไปตรงมากับกลอน Haiku และชื่อรุ่นนั้นๆ สถิตย์อยู่บนฝาขวด (ที่เป็นที่ใส่ขวด Travel พกพาได้อีกด้วย) และเมื่อได้มาเจอกับแบรนด์นี้ การเลือกกลิ่นแรกที่มาเล่าจึงตัดสินใจจากสิ่งที่คิดว่าน่าจะชอบไม่ว่าจะทั้ง Notes กลิ่นที่สร้างสรรค์ กลอน Haiku ที่เป็นองค์ประกอบ และชื่อกลิ่น เช่นนั้นจึงลงเอยที่กลิ่นนี้เลยที่ขอเลือกเป็นจุดตั้งต้นของการเล่ากลิ่นแบรนด์นี้ This July Evening

REMEMBERING (ในห้วงความทรงจำ)
THIS JULY EVENING (ย่ำค่ำเดือนกรกฎา)
BY THE SEA (ณ ริมฝั่งทะเล)
(หมายเหตุ: Haiku ภาษาไทยแปลและเกลาเอง By เข็มขัดสั้น)

Haiku ข้างต้นคือสิ่งที่เป็นพื้นฐานของการต่อยอดทางกลิ่นที่ต้องบอกเลยว่า ไม่ได้มีกลิ่นทะเลใดๆ มาเกี่ยวข้อง แต่เป็นความรู้สึกของการมองท้องฟ้ายามเย็นริมทะเลเสียมาก ซึ่งลายภาพบนฝาขวดที่วาดออกมาเป็นท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดงที่ไล่เฉดสีและมีเหล่าก้อนเมฆประปรายนั่นแหละ ที่บอกถึงการไล่เรียงโทนกลิ่นได้ชัดเจนมากที่สุดเลย เพราะจุดเริ่มต้นของกลิ่น จะเริ่มที่กลิ่นโทน Citrus ที่ออกทางติดขมปร่าแกมเปรี้ยวอ่อนๆ ที่น่าจะมาจากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แกมกลิ่นหวานคล้ายชะเอมกึ่งโป๊ยกั๊กจากเทียนสัตตบุตย์หรือ Anise ที่มาแบบตัวเสริมที่ดี สอดรับกับกลิ่นติดสมุนไพรติดเขียวปร่าอ่อนๆ ของคาโมมายล์ที่ค่อยเปิดตัวออกมาทีละนิดๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นมีความซับซ้อนอยู่พอสมควรเพราะมีโทนติดกึ่งผลไม้เบอร์กึ่งแอมโมเนียหน่อยๆ แลมีความชื้นๆ ติดเขียวฉ่ำอ่อนๆ แฝงอยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นมีความพุ่งในระดับหนึ่งแต่ไม่คมจัดเกินไป แต่สิ่งที่สำคัญมากคือ เนื้อกลิ่นมีวานิลลาเป็นพื้นกลิ่นชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นให้สัมผัาได้ด้วย โดยสามารถไล่เรียงกลิ่นจากปร่าขมแกมหวานไล่สีจากสีสว่างสู่สีเข้ม โดยมีความอบอุ่นจากแดดบ่ายที่ยังคงอบอวลเป็นกลิ่นหอมหวานนุ่มๆ ให้สัมผัสได้ตลอด ซึ่งช่วงนี้แหละบอกชัดเจนเลยถึงความเป็น This July Evening ตามลายภาพและ Haiku ได้ครบถ้วนตั้งแต่แรกสุดเลย

เมื่อความปร่าติดขมสดชื่นของ Citrus เริ่มเบาลงไปตามลำดับ และเปิดทางให้กลิ่นโทนดอกไม้ค่อยๆ เสริมเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าคาโมมายล์ยืนหนึ่ง ซึ่งจะให้กลิ่นที่มีความเป็นสมุนไพรแกมเขียวรื่นรมย์ผ่อนคลายได้ชัดเจน โดยจะมีกลิ่นของดอกไม้ต่างๆ เข้ามาผสมผสาน เริ่มที่มะลิที่จะให้ความหอมหวานนวลกึ่งตุ่ยๆ Indolic หน่อยๆ ความหวานกึ่งใสกึ่งแห้งแกมน้ำผึ้งติดเขียวที่มีลักษณะค่อนไปทางโทนแป้งของกระถินเทศ (Mimosa) และมีกลิ่นกุหลาบนวลๆ เนียนรวมอยู่ในเนื้อกลิ่น ซึ่งทั้งหมดจะมีตัวคุมโทนเป็นฉากหลังคือวานิลลาที่ให้ความอวลนวลอบอุ่นแกมโทนแป้งกำลังดีสร้างมิติกลิ่นที่ให้ลูกผสม 3 โทนแบบแป้งหอมอบอุ่นที่มีทั้งสายดอกไม้เด่นที่มะลิ สมุนไพรเด่นที่คาโมมายล์ เป็นตัวผสมผสานในเนื้อกลิ่น ซึ่งต้องบอกว่าช่วงนี้มีความ Feminine ในเนื้อกลิ่นพอสมควรเลยทีเดียว รวมถึงความรู้สึกของกลิ่นจะเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมเข้ามาสู่ตัวบุคคลที่นั่งมองท้องฟ้ามากขึ้นจากโทนแป้งดอกไม้

เมื่อโทนดอกไม้เริ่มจางและวานิลลาเริ่มกลายเป็นตัวหลัก แต่มีความหวานกึ่งไซรัปสมุนไพรแห้งๆ ออกทาง Smoky นิดๆ และมีโทนหญ้าแห้งหน่อยในการเป็นลักษณะเด่นของดอก Immortelle เข้ามาเสริมทัพกับคาโมมายล์ที่ยังมีอยู่จนถึงช่วงนี้ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเป็น Herbal Vanilla ชัดเจน ซึ่งจะมีกลิ่นออกทางน้ำผึ้งเบาๆ กึ่งเกสรดอกไม้แห้งหน่อยๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหอมอวลนวลหวานแบบกำลังดี มีความกลางๆ ไม่แน่นไม่หนาจนเกินไป แบ่งเลเยอร์กลิ่นเป็นวานิลลาแกมแป้งที่มีความเป็นสมุนไพรผ่อนคลายจมูกคลอไปอยู่ตลอดเวลา เป็นการปิดท้ายกลิ่นที่ให้เสน่ห์ที่เรียบง่ายและจับต้องได้อีกด้วยว่าตั้งแต่ต้นยันปลายกลิ่นมีความดีงามในการเป็นโทนที่มีเสน่ห์แบบมินิมอลสไตล์ญี่ปุ่นแบบพอเหมาะในการเป็นยามเย็นริมทะลในเดือนกรกฎาคมอันสวยงามในช่วงท้ายที่ท้องฟ้ามืดแล้วกลิ่นบรรยากาศกับตัวบุคคลรวมเข้าด้วยกันเป็นกรุ่นจางๆ เคล้าสมุนไพรที่ลอยมายามค่ำ ตราไว้ในความทรงจำตามที่สื่อสารออกมาใน Haiku นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อยเพราะเนื้อกลิ่นช่วงกลางมีความเป็นโทนแป้งดอกไม้ แต่ถ้าผู้ชายไม่มายด์ ยังไงก็รอดและมีเสน่ห์ได้ไม่ยากอีกด้วย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ หรือโรแมนติคจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้ทรงพลังพอที่จะเอาไปแข่งกับความแน่นอวลหวานของสายยั่วทั้งหลายแน่นอน

ความทน - อยู่ที่ 6 ชม. เป็นหลัก แต่ไปต่อได้อีกจนแตะ 8 - 10 ชม. ก็ยังได้ ซึ่งก็ว่ากันที่เคมีกับผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. ราวๆ นี้ในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปราวๆ 2 - 3 ชม. ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนที่จะค่อยๆ จางไปเรื่อยๆ เมื่อผ่าน 6 ชม. ตามสภาพผิวของแต่ละคน

สรุป - กลิ่นเอื้อกับลายภาพบนฝาขวดมาก และถอดเอาความเป็น Haiku ที่แต่งรอไว้ได้น่าสนใจในการให้อารมณ์ท้องฟ้าสีวานิลลาไล่เฉดไปยังสีม่วงแกมน้ำเงิน + ใส่เอาบรรยากาศอบอวลแกมสมุนไพรอ่อนๆ ที่มีความมินิมอลแกมแป้งหอมดอกไม้เข้าไป เลยทำให้ได้ความรื่นรมย์ที่น่าสนใจแบบไม่ฉูดฉาดก็จริง แต่แน่นอนว่าได้ความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นในมุมมองของฝั่งตะวันตกได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.floraiku.com/products/this-july-evening-eau-de-parfum