แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Thierry Mugler แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Thierry Mugler แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: Mugler - A*Men Ultimate

Mugler - A*Men Ultimate

หลังจากที่ Mugler ได้ปล่อย A*Men Kryptomint ออกมาในปี 2017 พอเข้าสู่ปีถัดไปในฐานะคนรักดาวก็ลุ้นกันน่าดูว่าจะออก Flanker ตัวไหนมาอีก แต่แล้วก็หายต๋อม เพราะว่าแบรนด์ไปดันเอาความเป็น Alien ที่เปิดตัวน้ำหอมผู้ชายกลิ่นแรกใน Collection ออกมาแทน ซึ่งก็แอบเห็นสัญญาณว่าความเป็น A*Men อาจจะไม่ได้ไปต่อแล้ว อารมณ์เหมือนเริ่มหมดมุก เพราะยังไงตัวหลักต้นตระกูลก็ยังเป็นที่นิยมในฐานะการเป็นน้ำหอมผู้ชายยั่วขั้นสุดตลอดกาล ก็แอบทำใจไว้รอ ซึ่งก็ลุ้นว่าถ้าทำต่อก็ขอให้ออกมาซักหน่อยเถอะ เราอยากเห็นความเป็น Mugler ที่มีเสน่ห์ในสายดาวฝ่ายชายต่ออยู่นะ

และในปี 2019 สัญญาณชีพของ A*Men ก็ได้พุ่งขึ้นมาอีกครั้งกับการที่ Mugler ได้เปิดตัวน้ำหอมรุ่นใหม่อย่าง A*Men Ultimate ประเดิมการย้ายบ้านจากเดิมอยู่กับ Clarins มาอยู่กับ L’Oreal ซึ่งในท่ามกลางกระแสของน้ำหอมสมัยใหม่ที่จะเน้นโทนไม้อวลๆ สไตล์ Ambroxan จาก Dior Sauvage เข้าครอบครองพื้นที่ขนาดนี้ ความเป็น A*Men จะเป็นใบเบิกทางในการเป็นทิศทางใหม่ๆ ของ A*Men ที่คงความ Unique ที่ไม่ธรรมดาเช่นเดิมหรือว่าจะเริ่มเข้าสู่ตลาดที่จับผู้ใช้งานมากขึ้น เช่นนั้น รักดาวก็เอาดาวฟ้าขวดนี้มาครอบครอง จนตกผลึกในเนื้อกลิ่นได้ที่ ก็เล่าต่อออกมาได้แบบนี้เลย

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายโทนผสมผสานระหว่างความเป็นโทนอวลไม้หอมที่ติดกลิ่นเปรี้ยวแกมขมสดชื่นของ Citrus โดยมีกลิ่นออกทางกึ่งผลไม้กึ่งแยม Fruity เคล้าความเขียวเล็กๆ ที่เป็นสไตล์ของกลิ่นแนวสน Fir แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะเนื้อกลิ่นมีความอวลไม้หอมที่มีโทนอบอุ่นเข้ามาให้รับรู้ได้ และมีพิมเสนอ่อนๆ มันเลยได้อารมณ์เนื้อกลิ่นที่มีความ Mass Market สูงมากกับโทนกลิ่นยอดฮิตที่จะต้องสดชื่นก็ได้ อวลอุ่นเย้าก็ได้ร่วมด้วยในสไตล์น้ำหอมชายยอดฮิตในช่วงตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา เพียงแต่เนื้อกลิ่นไม่ได้มีความสากเย้าปล่อยของแบบสไตล์ต้นตระกูล เรียกว่าพิมเสนเป็นแค่ Background เบาๆ อารมณ์ดึงลายเซ็นมาสแตมป์หน่อย แต่เปลี่ยนทิศทางของน้ำหอมเป็นโทนทันสมัยเข้าใจตลาดกันตั้งแต่ปฐมทัศน์เปิดตัวทางกลิ่นให้รับรู้ แต่ก็ปรามาสไม่ได้ เพราะว่าเนื้อกลิ่นสไตล์อวลเย้าไม้กึ่งอบอุ่นที่มีโทนผลไม้ติดเปรี้ยวแกมขมกึ่งเขียวแบบนี้ที่ค่อนข้างจะเจอในน้ำหอม Designer หลายๆ แบรนด์ กับ Ultimate ถือว่ามีคุณภาพกลิ่นที่ลงตัว และไม่ได้มีความจงใจที่จะอัดแหลกในการปล่อยเสน่ห์จัดจ้าน แต่ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์แทน นี่แหละที่เปลี่ยนไปจาก A*Men ของเดิมชัดเจน

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง โทนอบอุ่นอวลๆ ที่จริงๆ แทรกซึมมาตั้งแต่ช่วงแรก ก็เริ่มจะเปิดตัวมากขึ้น สิ่งที่จับได้ก่อนเลยคือวานิลลา ที่จะมีความอบอุ่นกำลังดี มีความค่อนไปทางขนมหน่อยๆ เพราะเริ่มจับต้องกลิ่นออกทางกาแฟติดครีมมี่กึ่งชอคโกแลตเข้ามาร่วมด้วย เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หนักอารมณ์ให้ความอบอุ่นอวลๆ มีความหวานอวลแบบกำลังดี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะยังมีโทนไม้หอมที่ติดสุขุมแกมโปร่งของไม้ซีดาร์ที่เข้ามาเสริมและมีโทนกลิ่นที่ตามมาจากช่วงต้นของสน Fir ที่ยังเสริมกลิ่นโทนติดเขียวกึ่งผลไม้อ่อนๆ แอบมีลูกผสมของโทนแนว Coumarin ที่ให้อารมณ์หญ้าแห้งเขียวแกมอวลหน่อยๆ คล้ายกับจะมีถั่วตองก้าเนียนๆ มารวมอยู่ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคือการชูโรงโทนกลิ่นอบอุ่นของวานิลลาที่หอมอวลๆ แกมไม้หอมที่มีความอุ่นๆ ออกทางติดกาแฟครีมมี่ที่เข้าทางโทนกลิ่นสไตล์ผู้ชายอบอุ่นนุ่มลึกมากขึ้น

และเมื่อเริ่มสัมผัสได้ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับว่าวานิลลาเริ่มกลายเป็นหนึ่งในลูกผสมแล้วเปลี่ยนตัวเอกหลักของกลิ่นมาเป็นกาแฟที่ให้อารมณ์แนวมอคค่าเข้ามา สถานะของช่วงกลิ่นจึงเดินทางมาสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นโทนอบอุ่นแกมดึงดูดแบบที่ให้ความระเรื่ออวลรุมๆ ของความเป็นกาแฟมอคค่าเด่น ซึ่งแน่นอนมีความครีมมี่ของวานิลลา มีความเป็นโทนออกทางกึ่งครีมมี่กึ่งหญ้าแห้งที่เป็นโทนแนวถั่วตองก้าให้ความแมนๆ ในเนื้อกลิ่น มีความหวานเนียนๆ ที่ไม่จงใจ โดยมีสายสนับสนุนของโทนไม้หอมรองพื้น ภาพรวมของกลิ่นเลยได้ความมีเสน่ห์ดึงดูดที่กำลังดี มีความอบอุ่นก็ได้ ความสุขุมก็สามารถ อารมณ์แบบผู้ชายที่มีความอบอุ่นและพึ่งพาได้ โดยที่ไม่ทิ้งความเย้าชวนคลุกวงในเนียนๆ อารมณ์แบบผู้ชายสมาร์ทน่าสัมผัสความอบอุ่นแนวๆ นั้นเลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หวือหวาเท่ากับรุ่นอื่นๆ ใน Collection นี้เท่าไหร่ เน้นให้ความหอมอวลที่ดึงดูดก็ได้ อบอุ่นแกมสุขุมมีเสน่ห์ก็ดีแทน เลยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่อาจจะไม่ได้ Match กับการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่ แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงาน โรแมนติค น่าจะเข้าทีกว่า แต่ก็ใส่ออกท่องราตรีได้อยู่ เพียงแต่จะไม่ได้โดดเด่นนักก็เท่านั้นเอง

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างก็ว่ากันไปตามจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. สบายๆ กับ 6 สเปรย์ในการใช้งาน  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แต่เพียงไม่นานก็จะลดลงมากระจายดีไปซักราวๆ 1 - 2 ชม. ก่อนจะค่อยๆ ลดเลงมาตามลำดับ จนเมื่อผ่านไปราว 5 - 6 ชม. ก็เริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกึ่งติดผิวแล้ว

สรุป - จากเดิมความเป็น A*Men มักเน้นการนำเสนอโทนฮีโร่แนวหวือหวา ผสมผสานกับความ Unique ในความเฉพาะที่เน้นการขับเสน่ห์ แต่พอมา A*Men Ultimate ต้องบอกว่าเป็นการนำเสนอสไตล์ A*Men ฮีโร่ยุคใหม่ที่เน้นสุขุม อบอุ่นแบบพึ่งพาได้และจับต้องได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้แตะคำว่า Wow Factor ในการเป็นน้ำหอมที่มาสายล้ำสมัยหรือฉีกอย่างมีสไตล์ แต่ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์ความมีเสน่ห์ที่ไม่ต้องหวือหวาเยอะสิ่งที่เอาอยู่ในความดึงดูดแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ให้เสน่ห์ทางกลิ่นที่ลงตัว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Mugler-A-Men-Ultimate-12682.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Mugler - Aura Sensuelle


Mugler - Aura Sensuelle

ขวดรูปผลึกหัวใจสีเขียวมรกตที่ออกมาเขย่าตลาดวงการน้ำหอมเมื่อปี 2017 ทำให้ทุกคนที่อยู่ในแวดวงต่างก็สนใจในสิ่งที่แบรนด์ Mugler (Thierry Mugler) ได้สร้างสรรค์ Collection น้ำหอมไลน์ใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือ Aura ซึ่งก็แน่นอนว่ามาหมดทั้งรักและเมินในเรื่องของกลิ่น แต่ขวดยังไงส่วนใหญ่ก็ยอมใจในเรื่องความสวย โดยเฉพาะขนาด 50 และ 30 ml แต่

จะไม่ได้มากล่าวถึงความเป็น Aura ในรุ่นตั้งต้น เพราะยังไม่มีโอกาสได้ลองแบบเต็มๆ แต่ขอข้ามมารุ่นล่าสุดของไลน์นี้ที่พึ่งวางจำหน่ายเมื่อปี 2019 อย่าง Aura Sensuelle ที่ปรับเปลี่ยนสีขวดหัวใจจากเขียวมรกตมาเป็นขาวเหลือบม่วงที่งามไปอีกแบบ เช่นนั้นกลิ่นจะมาในรูปแบบไหนก็เล่าออกมาได้แบบนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นเรียกว่าทำเอาทึ่งพอสมควรกับการเป็นกลิ่นใบอบเชยที่ชัดเจนไม่น้อย เพราะกลิ่นจะไม่เหมือนกับเปลือกอบเชยที่จะให้ความเผ็ดหวานอุ่นร้อนลึก แต่จะให้ความเขียวเจือหวานหอมปนปร่าซ่าจมูกหน่อยๆ ซึ่งจะมาชัดเจนมากเลยทีเดียว และก็มีโทนสร้างบรรยากาศที่ให้ความเปรี้ยวขมเจือปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เข้ามาคลุกเคล้าเข้ากันกับความเขียวหอมของใบอบเชยด้วย ทำให้ช่วงต้นมีลูกเล่นของความเขียวหอมเจือสดชื่นเนียนๆ ได้ดีมาก แต่เพียงชั่วขณะ กลิ่นที่เริ่มแทรกขึ้นมาค่อนข้างไวพอสมควรเลยอย่างดอกพุด (Gardenia) จะเริ่มปรับโทนกลิ่นให้มีความนวลเจือดอกไม้ขาวรองพื้นด้วย ทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะมีมิติกลิ่นที่ชัดเจนพอสมควรเลย คือ เขียวสดชื่นอมหวานนวลรองพื้น แต่ให้ความซ่าปรายกลิ่นประปรายที่บอกอารมณ์ชัดเจนว่าเป็นโทนกลิ่นที่จะเข้ากับผู้หญิงเต็มๆ แถมยังไม่เหมือนใครตรงกลิ่นซ่าๆ เจือเมทัลลิคเนียนๆ นี่แหละ

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นดอกพุดเริ่มเขยิบให้จับต้องได้ชัดมากขึ้น รวมถึงโทนเขียวสดชื่นที่เริ่มมีมิติมากกว่าความเป็นโทนใบอบเชยแล้ว ช่วงน้ำหอมก็เปลี่ยนตามเป็นเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัวที่กลิ่นของดอกพุด จะให้ความนวลรองพื้นแบบที่ไม่ได้ครีมมี่จ๋าๆ แต่อย่างใด เพราะมีกลิ่นดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) เข้ามาแจม ทำให้มีโทนออกทางสะอาดติดเปรี้ยวเจือหวานปลายกลิ่น ซึ่งกลิ่นจะมาเลเยอร์กับโทนเขียวที่ยังคงมีโทนใบอบเชยอยู่ทำให้กลิ่นยังคุมโทนความสดชื่นเจือหวานก็ได้ ความนวลดอกไม้ขาวกึ่งสบู่หน่อยๆ ก็สามารถ ซึ่งช่วงนี้แหละที่อารมณ์กลิ่นจะมีความเย้ายวนเข้ามาชัดเจนมากขึ้นเข้าทางตามชื่อรุ่นว่า Sensuelle ได้ค่อนข้างชัดเจนอยู่ เพียงแต่จะไม่ได้พีคหรือจัดหนักนัก ออกทางวางตัวดีและมีลูกเล่นเก๋ๆ เสียมากกว่า และเมื่อกลิ่นโทน Musky ค่อนๆ เสริมเข้ามามากขึ้นตามลำดับ กลิ่นก็เริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายที่แน่นอนว่าความเขียวหอมหวานสดชื่นยังมีอยู่ประปราย แต่สิ่งที่คลอผิวหลักเลยคือกลิ่นโทนติดแป้งเจือ Musk เคล้ากลิ่นดอกไม้ขาว โดยมีตัวสร้างมิติกลิ่นไม้หอมโทนสว่างปนครีมมี่อ่อนๆ ติดจืดหอมของไม้จันทน์หอมเข้ามาสมทบด้วย ซึ่งทำให้ช่วงนี้นอกจากความเย้ายวนแบบเก๋ปนวางตัวดีที่ยังตามมาจากช่วงกลางแล้ว ยังมีความเรียบหรูปนหวานมีระดับเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถือว่าคุมโทนการเป็นน้ำหอมโทนสายเย้ายวนที่มีลูกเล่นที่น่าสนใจคุมโทนการเป็นกลิ่นอายความเขียวตามด้วยสายนวลแบบที่ไม่เหมือนใครได้อย่างลงตัวมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นไม่ได้สร้างอารมณ์ถ้ารักก็ฟิน ถ้าเกลียดก็ยี้ แบบรุ่นต้นตระกูลแต่อย่างใด ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งได้บ้างนิดหน่อย และออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ ไปเลยจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนจัดไป เพิ่มสเปรย์หน่อยท่องราตรีได้ โรแมนติคก็ได้ ชิลล์ๆ แต่มีเสน่ห์ก็สามารถ

ความทน - ดีงามเลยทีเดียวกับ 8 ชม. ขึ้นไป จนถึง 12 ชม. เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเชื่อถือได้ไม่ยากว่าความทนมาชัดจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีซัก 1 - 2 ชม. ถึงค่อนเป็นปานกลางตามด้วยออร่ารอบๆ ตัวที่มาในช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม. ก็เป็น Skin Scent เรียบร้อย

สรุป - หนึ่งในตัวใช้ง่ายของโซน Aura เลย เพราะกลิ่นไม่ได้แปลกจ๋าเกินไป แต่ให้ความเรียบหรูปนเก๋ๆ มีเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาได้อย่างดีมาก ที่สำคัญขวดสวยจริงจัง ถือเป็นของสะสมได้เลย

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://inter.mugler.com/fragrance/women-s-perfumes/aura-mugler/perfumes/aura-mugler-eau-de-parfum-sensuelle-80053733.html


วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Mugler - A*Men Sunessence Edition Orage d’Ete

Mugler - A*Men Sunessence Edition Orage d’Ete 

น้ำหอมรุ่นดังๆ หลายๆ รุ่น หลายๆ แบรนด์ ที่เรียกว่าเป็น Top Best Seller ของแบรนด์หลายๆ แบรนด์ มักจะต้องมีการต่อยอดในการสร้างรุ่น Summer ออกมาเป็นลูกเป็นหลานในการต่อยอดในเรื่องของแบรนด์ดิ้งกันยาวๆ ซึ่งถ้ารุ่นปกตินั้นเป็นสายสดชื่นอยู่แล้ว ก็อาจจะสร้างความสดชื่นที่แตกต่างอย่างมี DNA ของเดิม หรือถ้ารุ่นปกติมีความหนักแน่นอวลเกินไป ก็ลดทอนด้วยการเสร
ิมความสดชื่นเข้าไปเพื่อให้ใช้ง่ายขึ้น และแน่นอน Thierry Mugler เองก็มีกับเขาด้วยเหมือนกันในการทำรุ่น Summer ออกมาให้ตัว Top ของแบรนด์อย่างๆ อย่าง Alien และ Angle ในสายน้ำหอมผู้หญิง รวมถึงมาเจาะที่น้ำหอมชายตัว Top อย่าง A*Men ในการสร้าง Collection - Sunessence ขึ้นมาแบบ Limited Edition 

เช่นนั้นของผู้หญิงขอข้ามไปก่อน (เพราะหายากเต็มทนแล้ว) มาที่ของผู้ชายที่เป็นหนึ่งเดียวในไลน์นี้ดีกว่าว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไรกันบ้างกับความเป็น Summer Scent ในรุ่นนี้เลย A*Men Sunessence Edition Orage d’Ete

เปิดต้นกลิ่นใช่เลย DNA ของความเป็น A*Men ที่เด่นกับโทนพิมเสนและกาแฟมาชัดเลย เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้พุ่งพรวดปล่อยพลังหนักมากเท่ากับรุ่นปกติ โดยจะมีกลิ่นโทนพิมเสนที่รื่นจมูกมากขึ้นไม่ได้ดิบห่ามบาดจมูกเกินไป แต่ยังมีความ Dirty Sexy แบบที่ควรจะเป็น เคล้ากับกลิ่นกาแฟที่ติดออกทางเขียวค่อนไปทางกาแฟดิบ และมีตัวสร้างความสดชื่นให้กลิ่นในสายเครื่องเทศอย่างเม็ดผักชีที่ให้ความปร่าซ่าฟุ้ง พริกไทยที่ให้ความนวลสะอาดล้อไปกับกลิ่นกระวานติดเขียวเจือหวานเผ็ดเย้าๆ เนียนๆ ในเนื้อกลิ่น แต่จะเสริมโทนสดชื่นเข้ามามากขึ้นจากโทนกลิ่นส้มที่สร้างโทนสว่างในเนื้อกลิ่นโดยจะเน้นที่กลิ่นออกทางส้มค่อนไปทางโทนแห้งปนกลิ่นเปลือกส้มที่เป็นลักษณะปลายกลิ่นเข้าไปด้วย เลยทำให้กลิ่นมีความเป็นโทน A*Men ที่มีความสดชื่นและสว่างมากขึ้น แบบที่ไม่เหมือนใครตรงที่เอาความเป็นโทนเครื่องเทศสาย Fresh Spicy เป็นตัวสร้างความเป็นโทนสดชื่นติดปร่าเป็นหลัก

เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะกลิ่นโทนส้มเริ่มหายไป แล้วกลิ่นโทนเครื่องเทศเริ่มที่จะลดทอนลงไปเป็นตัวสนับสนุนแทน กลิ่นโทนกาแฟติดเขียวๆ จะกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นแทน และมีกลิ่นไม้หอมติดปร่าๆ หน่อยๆ แนวๆ ไม้ซีดาร์เคล้ากลิ่นไม้แห้งๆ แนวๆ แบบหญ้าแฝกเสริมทัพเข้ามาแทน ทำให้ช่วงนี้จะชัดเจนพอสมควรกับการเป้นโทน Woody Spicy ที่ให้ความเป็นกาแฟเคล้ากลิ่นไม้หอมแห้งๆ สว่างๆ มีความเป็นเครื่องเทศนวลรองพื้น และมีพิมเสนประปรายในเนื้อกลิ่น และสิ่งที่จับต้องได้คือกลิ่นมีโทนอบอุ่นเสริมเข้ามาด้วยแบบเนียนๆ แต่ไม่ได้อุ่นอวลหนักเท่าไหร่ ออกแนวกลิ่นแบบบรรยากาศอบอุ่นเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปเรื่อยๆ และมีการเปลี่ยนแปลงแบบเนียนๆ ค่อยไปค่อยไปในการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม ซึ่งโทนกาแฟจะเบาลง เปิดทางให้กลิ่นไม้หอมจะชัดขึ้นมาอีกระดับ จับต้องได้ชัดมากขึ้นว่ามีกลิ่นไม้จันทน์หอมผสมผสานรวมอยู่ด้วย พร้อมกับพิมเสนที่จะกลายเป็นตัวเด่นสุดในการเดินกลิ่นช่วงท้ายแบบตีคู่กันไป ซึ่งกลิ่นจะมีโทนอวลๆ ติดหวานบางๆ ปนครีมมี่เบาๆ ปนอบอุ่นที่เป็นตัวรองพื้นที่ทำให้อารมณ์กลิ่นจะเหมือนช่วงแดดออกและมีอากาศอบอุ่นอวลๆ รอบตัวพอสมควร เลยผสมผสานกันในลักษณะกลิ่นอายแบบ A*Men ดั้งเดิมที่เด่นด้วยพิมเสนเจือกาแฟเบาๆ เคล้าไม้หอมที่มีบรรยากาศอบอุ่นแดดจ้า ซึ่งตอบโจทย์กลิ่นกันอย่างชัดเจนว่าอารมณ์มัน Summer กันอย่างเต็มๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงเท่าต้นตระกูลเลยเป็นตัวหนึ่งในสายของว A*Men ที่ใช้ง่ายมากขึ้น โดยไม่ทิ้งลายเซ็นเดิม เพิ่มเติมคือให้ความเป็นโทนแดดจ้าๆ Summer Scent เลยใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป ส่วนยามทางการอาจจะต้องเลือกสถานการณ์หน่อย เพราะถ้าทางการจัดๆ อาจจะไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ถ้าใส่ทำงาน Office อะไรแบบนี้ถือว่าใส่ได้สบายมาก รวมถึงการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งอันนี้ก็เข้าทาง แต่ออกกำลังกายในที่ปิด แนะนำให้ข้ามจะดีดกว่า เพราะโทนกลิ่นแบบนี้กระจายดีเข้าให้อาจจะจุกคอหอยกันได้ ส่วนยามค่ำคืนกับอากาศบ้านเรา ถืิอว่าลงตัว ใช้ได้สบายมาก ได้ทั้งความสดชื่น อบอุ่น เย้ายวนแบบไม่หนักหน่วงดูสบายๆ ไม่จงใจได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อิงตามจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวใช้ไป 6 สเปรย์ ลากไปที่ 12 ชม. ก็ยังได้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเป็น Sillage Scent ตามต้นตระกูลกันอย่างชัดเจน เพียงแต่กลิ่นจะไม่แน่นไม่หนักเท่า แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมากระจายปานกลาง ก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปยาวๆ พอพ้นซัก 8 ชม. ถึงค่อยๆ เป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - กลิ่นนี้ คือ การเอา Ice*Men มาตัดโทน Cooling ออกไป ใส่โทนอบอุ่นแบบแดดจ้าลงมาแทน และเอาความเป็น Woody Spicy เด่นๆ ของ B*Men มาใส่เพิ่ม โดยลดทอนความหนักของ A*Men ปกติลงมา จนได้เป็น Summer Scent ที่ลงตัวมากๆ เลยทีเดียว เพียงแต่กลิ่นนี้เลิกผลิตไปนานมากแล้ว มันเจ็บตรงนี้แหละ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/perfume/Mugler/A-Men-Sunessence-Edition-Orage-d-Ete-8192.html

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Mugler - Alien Man

Mugler - Alien Man 

จากตำนานความหอม Sex in the Bottle ตัวพ่ออย่าง A*Men ที่คงกะพันชาตรี ฟัดกับพี่ได้เสมอ ที่มีลูกหลานออกมากันให้ตรึมๆ จนเความนิยมเริ่มเบาไปตามลำดับ แบรนด์ Mugler (มีการปรับเปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก Thierry Mugler มาเป็น Mugler เฉยๆ แล้วในปัจจุบัน) จึงได้กำหนดทิศทางใหม่ของน้ำหอมชายขึ้นมา ด้วยการเอาหนึ่งในสายตัว Top ของแบรนด์อย่าง Alien ที่ได้รับความนิยมในฝั่งน้ำหอมผู้หญิงตีคู่ม
ากับ Angel มาต่อยอดเพิ่มเติมน้ำหอมผู้ชายเข้าไปจนกลายเป็น Alien Man ขึ้นมา 

และก็ได้เวลามาดมผ่านตัวอักษรกันว่าความเป็น Alien ฝ่ายชายจะมาในรูปแบบใด และมีความเก๋ล้ำเวิ้งว้างแต่เก๋ลากนางพญาแบบ Alien ฝ่ายหญิงหรือไม่ ว่ากันได้แบบนี้เลย 

Top Notes ก็มากันแบบมาดแมนเหลือทนกันตั้งแต่เริ่มต้นเลย บอกกันอย่างชัดเจนว่าน้ำหอมตัวนี้ไม่มีที่ยืนให้สาวๆ มาลองใช้แน่ๆ ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวด้วยโทนสมุนไพรติดนัวปนหวานหน่อยๆ แต่ก็มีความอวลอุ่นประปรายในเนื้อกลิ่น ซึ่งกลิ่นที่มาเต็มๆ เลยคือ Anise หรือเมล็ดเทียนสัตตบุษย์ ที่จะให้ความหอมเจือหวานกึ่งชะเอมกึ่งโป๊ยกั๊ก ที่จะเสริมโทนด้วยลักษณะสมุนไพรติดปร่าเขียวอย่างผักชีฝรั่งเข้ามาร่วมด้วยช่วยประสาน โดยมีโทนนวลลาเวนเดอร์และ Smoky ติดไม้อุ่นๆ อวลๆ แบบโทนสังเคราะห์ของไม้ Cashmere ที่ให้ความนัวๆ กึ่งไม้หอมอุ่นๆ กึ่ง Musky สร้างความอวลลึกเย้าเสริมให้กลิ่นมีความหวานอวลปร่าแบบที่ไม่เหมือนน้ำหอมตัวไหนในท้องตลาดเลยแม้แต่น้อย มีความแปลกแบบปร่าหวานอวลลึกๆ ติดวิ้งๆ กันตั้งแต่ต้น และมีความแตกต่างด้วยบางวูบก็ได้ความปร่าเย็น บางวูบก็ได้ความอุ่นนวล แต่ยังไงก็ตามความแมนในเนื้อกลิ่นมาชัดมากจริงๆ 

Middle Notes เป็นการปรับโทนความอวลให้ชัดมากขึ้น ซึ่งยังขนมากันอย่างชัดเจนจากช่วงต้นในลักษณะปร่าหวานอวลแปลกๆ เก๋ๆ แต่จะเพิ่มกลิ่นอายของโทนหนังอ่อนๆ เข้ามาสร้างกลิ่นโทนออกทางเย้าๆ เคล้ากับกลิ่นออกทางติดผลไม้หวานอมเปรี้ยวหอมของแอปริคอต ที่ทำให้กลิ่นหวานสมุนไพรวิ้งๆ ในตอนต้นมีมิติที่ดึงดูดเข้ามาร่วมด้วย เนื้อกลิ่นยังคุมโทนความปร่าอวลเด่นเป็นสง่ามาดแมนเช่นเดิม แต่เพิ่มเติมความเย้ายวนเข้ามา แบบที่ให้ความ Unique ติดเก๋ๆ อารมณ์ยังแตะระหว่างความอวลวิ้งๆ เวิ้งๆ ล้ำๆ กับความอบอุ่นเย้าจมูกแมนๆ อยู่ตลอด

Base Notes จะเป็นการปรับโทนให้มาสายอบอุ่นแมนๆ ที่ชัดเจนมากขึ้น แน่นอนว่าไม่เหมือนใครอยู่เช่นเดิม ซึ่งกลิ่นโทน Amber จะกลายมาเป็นตัวเดิมกลิ่นหลักที่ไม่ได้ออกทางข้นนัวอุ่นสไตล์แบบติดวานิลลาปนไม้หอมอุ่นๆ เข้มๆ แต่จะมาแบบกลิ่นออกทางอุ่นไม้หอมนวลๆ มีวานิลลาแบบ Lite Version มาทำให้กลิ่นมีความนุ่มขึ้น แต่สิ่งที่ยังคงชัดเจนอยู่คือความอวลนวลกึ่ง Musk กึ่งไม้หอม แอบมีกลิ่นออกทางคอนกรีตนิดๆ ซึ่งเมื่อผสมผสานกันแล้ว ช่วงท้ายคือ กลิ่นอายของความอบอุ่นมาดแมนติดล้ำและเท่ห์ดึงดูดที่จะเป็นตัวหลักยาวไป โดยที่ยังคุมโทนความ Unique ไม่เหมือนใครได้ดีเสมอต้นเสมอปลายเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้ เพียงแต่ว่ากลิ่นมันมีความไม่เหมือนใครและไม่อิงตามขนบเท่าไหร่นัก จะว่าแปลกล้ำโชว์ความเก๋ก็ว่าได้ เพียงแต่ยังมีพื้นความเป็นโทนกลิ่นแมนๆ อวลอุ่นเท่ห์อยู่เลยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพียงแต่จำนวนสเปรย์เหมาะสมจะลงตัวมาก (เพราะหนักมือไปอาจจะอึนๆ เอาได้เพราะกลิ่นมันอวลๆ วิ้งๆ) แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ และออกกำลังกายไปเลยจะดีที่สุด ไม่เข้าทางสุดๆ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป สร้างความเก๋แปลกล้ำแมนๆ ให้ตัวเองไม่พอ ยังปล่อยเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครได้ดีมากในการเรียกร้องความสนใจอีกด้วย 

ความทน - ดีงามเลยจ้า เพราะพื้นฐาน 8 ชม เป็นเรื่องปกติ และลากยาวไปได้มากกว่านั้นอีกตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกาย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. ทุกครั้งที่ใช้กับจำนวนสเปรย์ 5 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีซักพัก ก่อนจะผ่อนลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อ 6 ชม. ผ่านไป จะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึง 12 - 15 ชม. ได้เลย 

สรุป - มันไม่ใช่น้ำหอมที่เอาใจทุกคน แบบเดียวกับ A*Men ที่ถ้าชอบก็จะรักไปเลย แต่ถ้าไม่โอเคสามารถเกลียดไปได้เลยเช่นกัน แต่น้ำหอมนี้มีคาแรคเตอร์ มันมีความวิ้งๆ อวลๆ Unique ไม่เหมือนใคร เข้าทางไซไฟอวกาศติดปร่าอุ่นก็ได้เลย ซึ่งเอาตรงๆ จะไม่แปลกใจถ้าน้ำหอมตัวนี้จะไม่ได้พีคนัก แต่สิ่งที่แน่นอนและมั่นใจได้เลยคือ Mugler ได้สร้างความล้ำทางกลิ่นให้กับอุตสาหกรรมน้ำหอมอีกแล้ว และเป็นกลิ่นที่ถ้าเวลาผ่านไป มันจะกลายเป็นกลิ่นที่น่าจดจำและเป็นตำนานได้ไม่ยาก ถ้าไม่ล้มหายตายเลิกผลิตไปก่อนนะ ^^ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://inter.mugler.com/fragrance/men-s-fragrances/alien-man/


วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Thierry Mugler - Angel Muse

Thierry Mugler - Angel Muse 

ขวดแก้วทรงวงรีมีดาวอยู่ตรงกลางล้อมด้วยโลหะออกแนวใกล้เคียงตลับแปลงร่างแบบเก๋ๆ ล้ำๆ เห็นครั้งแรกรูปลักษณ์ภายนอกก็ทำเอาประทับใจและอยากครอบครองได้เลยกับหนึ่งในลูกหลานไลน์ Angel ของ Thierry Mugler อย่าง Angle Muse ที่วางตลาดในปี 2016 ที่ผ่านมา และแน่นอนว่ากลิ่นนี้ได้รับความนิยมมากจนทำให้ต้องข้ามจากสายดาวฝ่ายชาย A*Men มาพิสูจน์ความดีงามของกลิ่นนี้ว่าจะเป็
นอย่างไร 

ก็ไม่ได้มีอะไรมากแค่จะบอกว่า ดีงามที่สุดของแจ้จริงๆ นะเพราะโทนกลิ่นมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองค่อนข้างชัด โดยยังยืนพื้นอยู่ที่ลักษณะของการเป็นสาย Angle ได้อย่างงดงาม ซึ่งกลิ่นเปิดก็ทำเอาฟินในฐานะคนรักดาวได้เลยกับ Signature ของไลน์อย่างพิมเสนที่ติดสากๆ เร้าใจ เล่นใหญ่แบบกำลังดีไม่ดูรัชดาลัยเธียร์เตอร์มากนักแบบต้นตระกูล แต่ที่เก๋คือมีความเท่ห์ปนหวานเจือ Smoky ไหม้หน่อยๆ ในกลิ่นแฝงอยู่คนแปลกใจเล็กๆ ว่านี้น้ำหอมผู้หญิงจริงๆ เหรอ แต่แล้วก็โดนดึงดูดความสนใจไปที่กลิ่นอาย Citrus ที่แทรกตัวขึ้นมาตีคู่กับพิมเสนได้อย่างน่าดูชม เนื้อกลิ่นมีลักษณะของความเป็นกลิ่นเปรี้ยวสดชื่นเจือหวานปลายมีความปลอดโปร่งเปรี้ยวของเกรปฟรุตและสว่างหวานปลายของเลมอนได้น่าสนใจมาก และแอบมีโทนส้มหน่อยๆ ด้วย แต่ไม่ได้มาแบบสายธรรมชาติแน่นอน มีความสังเคราะห์ก็จริงแต่หอมมีเสน่ห์แบบติดหวานล้ำเคล้าโทนอะโรม่าเครื่องเทศพลิ้วๆ เจือไปตลอด เรียกว่าเพียงแค่ช่วยเปิดก็ทำเอารู้สึกตื่นจมูกตื่นใจได้เลย เพราะมีลูกเล่น ลูกล่อ และลูกชนที่มีหลายมิติกลิ่นในพื้นฐานความหวานสไตล์ Angel ได้ลงตัวมาก

เมื่อกลิ่นเปิดดำเนินไปในระยะพอสมควร กลิ่นจะเริ่มมีความนัวขึ้นมาทีละหน่อยๆ จนเต็มตัวลดทอนกลิ่นโทน Citrus ตอนต้นให้เริ่มจางลงไปตามลำดับ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มๆ โดยกลิ่นที่เด่นสุดในช่วงนี้คือกลิ่นสไตล์นูเทลล่าที่มีลักษณะของชอคโกแลตที่ได้ทั้งกลิ่นข้นๆ ยามที่ดมใกล้ๆ กับกลิ่นหวานขมแนวผงโกโก้ที่เวลาดมห่างๆ และมีโทนถั่วให้จับต้องได้กลิ่นจะมีความหวานหอมน่ากินเด่นออกมาเลยและเจือความ Smoky ที่ให้ความรู้สึกติดไหม้จางๆ โดยจับได้ว่าเป็นหญ้าแฝกซึ่งทำให้กลิ่นมีความเท่ห์ปนหวานน่ากินได้ลงตัวและแน่นอนพิมเสนยังไม่ไปไหน ยังคงเรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่ลดความเล่นใหญ่ลงมาเป็นกลางๆ ให้ความเย้ายวนแบบมีจริตกำลังดีในความหวานไล่เรียงไปเรื่อยๆ จนเปิดทางเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความเป็นนูเทลล่าจะนุ่มติดครีมเพราะจะมีโทนวานิลลาเข้ามาเจือและมีความหวานหอมติดคาราเมลอ่อนๆ แต่สิ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ได้ไปสายกลิ่นขนมแบบน้ำหอมสไตล์เซเลปก็คือ กลิ่นไม้แห้งๆ ติด Smoky หน่อยๆ เคล้าพิมเสนนี่แหละ ที่ทำให้กลิ่นมีความเป็น Rich Tone และมีความน่าค้นหาท่ามกลางความเป็นกลิ่นอายขนมที่มีชั้นเชิงและแน่นอนยังมีลักษณะของการเป็นนางพญาสไตล์ Angel ผู้นำตระกูลอยู่ เพียงแต่ลดความหนักหน่วงมาเป็นนางพญามาดนิ่งยิ้มมุมปากส่งออร่าความเย้ายวนแบบ Cool เสียมากนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - แน่นอนสาวๆ ทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปจัดได้หมด เพราะกลิ่นให้ความเย้ายวนแบบยิ้มมุมปากก็กินขาดได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นนี้ก็ได้อยู่กับยามกลางวันในหลายๆ สถานการณ์แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่งั้นปล่อยพลังฆ่าเรียบได้เลยถ้าจัดหนัก เพราะมันมีความเป็น Angel แบบต้นตระกูลอยู่ โดยตัดการใส่ออกงานทางการ กิจกรรมกลางแจ้งอากาศร้อนๆ และออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางอย่างแรงมาก นอกนั้นจัดไป ยิ่งอากาศเย็นๆ กลิ่นยิ่งหอมมาก ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าเป็นกลิ่นเซ็กซี่มีระดับและไม่ไก่กา ใส่ออกงาน ท่องราตรี หรือโรแมนติคก็ได้ ส่วนคุณผู้ชายบอกเลยว่ากลิ่นนี้ผู้ชายใช้ได้ มีความเป็น Unisex สูงมากกกกก เผลอๆ ใส่แล้วนี่คือ A*Men ที่เด่นทางหญ้าแฝกกับนูเทลล่ายังได้เลย 

ความทน - กราบบบบบบบ เอาความเป็นตัวแม่มาหมด กับ 8 ชม. ขึ้นไปสบายมาก และลากยาวได้ถึง 15 ชม. ก็ยังได้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ พ้นเข้าช่วงท้ายถึงเป็นออร่ารอบตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - ถ้า Angel คือผู้หญิงสาวสวยมากใส่ชุด Dress สีน้ำเงินมีกลิตเตอร์วิบวับตลอดทั้งชุดที่เปิดตัวและชิงสายตาทุกคนให้หันมามอง Angel Muse ก็คือ ผู้หญิงสาวสวยใน Dress สีเบจหรือนู้ด ที่ดูค่อนไปทางอ่อนโยนก็ได้ดูมั่นใจก็ดี และ Sexy เย้ายวนก็สามารถ แบบที่ไม่ต้องชิงซีนกับตัวแม่ แต่ก็เก็บกินเรียบได้ไม่ยากเหมือนกัน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Cosmeto Factory --> https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRZ47kbG4K3wUv5QfOX5iOQaWD4qr0RxuIkEqEmmv31eB7WR6kiK8BWmqWC8PbqEKrfRSOjP4iEfZTUHlzlAf3CVNOw8rOBJ47RonM4vNOJjV7uBbNpdyUR8Ig4bRQ1XUr_eYVHdB_nv7b/s1600/THIERRY-MUGLER-Muse-COSMETOFACTORY-2016.jpg

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Thierry Mugler - A*Men Urban

Thierry Mugler - A*Men Urban 

เพียงแค่เห็นชื่อรุ่น อย่างแรกคือแปลกใจว่า A*Men ของ Thierry Mugler มีรุ่นนี้ด้วยหรือนั่น ซึ่งหลังจากหาข้อมูลไปมาถึงได้รู้ว่า นี่เป็นรุ่น Limited Edition ที่มีการวางจำหน่ายแถวยุโรปชั่วคราว แล้วระงับไปในเวลาต่อมา ทำให้รุ่นนี้มีขายกระจายตามเว็บไซต์ขายน้ำหอมเชื่อถือได้มาอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็หมดไปในที่สุดในความ Rare Item ของรุ่นนี้ แต่การค้นฟ้าคว้าดาวด้วยความพยายาม ก็สามารถเอาตัวนี้มาครอบครองได้ เช่นนั้นได้เวลาจัดเต็มกันแล้วกับรุ่นนี้เลย A*Men Urban 

สปอยกันตั้งแต่ต้นเรื่องมันเลยแล้วกันว่า กลิ่นไม่ต่างอะไรกับการเป็A*Men ตัวต้นตระกูลเลย เปลี่ยนแค่เกราะที่ใส่ประมาณนั้นแต่บางวูบมันมีบางโทนที่เด่นขึ้นมาจากตัวต้นตระกูลบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นนัยยะสำคัญอะไรนัก เพราะลักษณะนี้มันเป็นได้จากการผลิตต่างล็อตที่คุณภาพส่วนผสมอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง การเปิดตัวมาลักษณะที่ชัดเจนกับ Signature หลักของกลิ่นอย่างพิมเสนที่จะเป็นตัวเดินเรื่องแบบยาวไป กลิ่นจะมีความสากๆ จมูก Earhty แบบดิบๆ ติด Spicy ชัดเจนเพราะกลิ่นของเม็ดผักชีกับมินต์จะเป็น 2 ประสานดันความพุ่งฟุ้งกระจายออกมาแบบเผ็ดปร่าปนสดชื่น สนับสนุนด้วยกลิ่นอายโทนผลไม้เจือๆ เคล้ากลิ่นลาเวนเดอร์ที่มาแบบนวลๆ รองพื้นอยู่ และมีความแน่นสไตล์กลิ่นโทนหอมหวานอบอุ่นแนวๆ นม คาราเมล และกาแฟที่ค่อยๆ ปลดปล่อยสวัสดิกะออกมาให้อารมณ์เรียกร้องความสนใจแบบที่อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า อะไรของมันกันเนี่ยนัวมะรุมมะตุ้มไปทุกสิ่งอย่างตามสไตล์น้ำหอมที่ Hate it or Love it แต่จะสัมผัสได้เลยว่า กลิ่นมันมีโทนหวานรองพื้นชัดเจนมากท่ามกลางความบาด ความสาก และความพุ่งกระจายแบบไม่แคร์สื่อใดๆ ของกลิ่น

และก็ได้เวลาของการเปลี่ยนความรู้สึกที่มะรุมมะตุ้มในช่วงแรกไปได้ เพราะกลิ่นของคาราเมลจะเด่นขึ้นมาแบบหวานติดคมนิดๆ แต่ไม่ใช่หวานเลี่ยน เพราะกลิ่นอายโทนสากดิบแต่เร้าใจของพิมเสนจะตีคู่มาอย่างชัดเจน โดยยังติดกลิ่นอายโทน Fresh Spicy จากตอนแรกอยู่ให้รู้สึกปร่าๆ เคล้ากับลาเวนเดอร์ที่มานุ่มๆ เนียนๆ มีความครีมมี่นุ่มนมหน่อยๆ Animalic จางๆ ของน้ำผึ้ง แต่สิ่งที่จับได้ชัดเจนคือกลิ่นไม้หอมเจือกาแฟที่เข้ามาค่อนข้างชัด แต่ความซับซ้อนไม่ได้มีแค่นั้น เพราะสิ่งที่จับได้ออกแนวอ้อยอิ่งแต่ชัดเจนอยู่คือ กลิ่นอายมะลิที่ชัดพอสมควร ซึ่งกลิ่นตอนนี้ที่แม้มันจะเป็นลักษณะเดียวกันกับต้นตระกูล แต่มันก็แอบมีความชัดที่มากกว่าต้นตระกูลนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นนัยยะสำคัญนักตามที่บอกข้างต้น ซึ่งช่วงนี้กลิ่นจะมีหลายโทนให้จับต้องทั้งโดยมีพื้นฐานในความหวานแบบดึงดูด ไม่เหมือนใคร มาสายเซ็กซี่เย้ายวนปล่อยพลังปล่อยของไม่ยั้งแบบจัดเต็มเข้าไปอี๊กกกกก 

จนเมื่อกลิ่นกาแฟเริ่มจะกลายเป็นตัวเด่นตีคู่กับคาราเมล กลิ่นเลยจะมีอารมณ์ติดดาร์กน่าค้นหาเข้ามาเสริม เคล้ากับความอบอุ่นติดหวานปนนุ่มนมน่าซุกก็เริ่มมาชัดเจนมากขึ้นจากโทนวานิลลา ถั่วตองก้า และแอมเบอร์ เคล้ากับกำยานเนียนๆ หอมหวาน มีกลิ่นไม้หอมครีมจางๆ นวลๆ เคล้า Musk หน่อยๆ กลิ่นแบ่งเค้กกันได้ลงตัวและผสมผสานกันอย่างดีทั้งโทนหวานและโทนอบอุ่น แต่สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย คือ พิมเสน ไม่ได้หนีไปไหน มาสายอ้อยอิ่งยั่วเย้าติดสากบางๆ ที่เซ็กซี่ปนขี้เล่นหน่อยๆ แบบปล่อยของทุกเม็ดไม่มีลดราวาศอก ทุกอย่างเรียกว่ามาเต็ม คุมความเป็นโทนเซ็กซี่ หวานยั่ว ฟุ้งกระจาย ปล่อยพลังแบบโทนน่ากินได้ครบถ้วนและโจ่งแจ้งแบบไม่มีปิดบัง สมกับคำว่า “Sex in the Bottle” ไม่มีผิดเพี้ยนแต่ประการใด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ได้สบายมาก เพียงแต่กลิ่นนี้มาสายถ้ารักก็ฟิน ไม่รักก็เกลียดวายป่วงเอาได้ เช่นนั้น การใส่จึงต้องอยู่ที่ความมั่นใจส่วนตัว และดูสถานการณ์บ้างอะไรบ้าง ให้ตัดการใส่เพื่องานทางการทุกกรณีไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้สื่อให้เห็นความภูมิฐานแน่ๆ นอกจากจะยั่วเย้าเอาเข้าไป รวมถึงตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย จุกคอหอยตายหมู่เอานะ บอกเลย แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปที่ชัดเจนในการเรียกร้องความสนใจจะใช่มาก ทางที่ดีจำกัดสเปรย์หน่อยในยามกลางวันแบบอากาศบ้านเรา เดี๋ยวจากยั่วยวนจะเป็นยั่วโมโหเอาได้ ส่วนยามค่ำคืน จัดไป เรียกว่ามาเพื่อฆ่า มาเพื่อเด่น จะหวานให้ตายแค่ไหน A*Men มา ก็ต้องสยบในเรื่องการปล่อยของแบบให้รู้ว่า ผมมาเพื่อเซ็กซี่” (แต่อาจจะสูสีกับ Joop Homme นิดนึงในเรื่องการปล่อยพลังก็เท่านั้นเอง) 

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และสามารถลามไปทั้งวันถึงค่อนคืนเลยด้วยซ้ำ ความทนเป็นเลิศมาก กลิ่นติดเสื้อเอาไปซักจนแห้งสะอาดแล้วยังมีกลิ่นหอมหวานจางๆ ลอยออกมาเลย 

การกระจาย - Sillage Monster ตามสไตล์แหละ กระจายดีมาก (อันนี้อิงที่จำนวนสเปรย์ด้วย เพราะถ้าใส่ไม่เยอะ จะไม่ได้ปล่อยพลังเยอะอะไรมา มาแนวพอดีๆ แทน) แล้วจะลดลงมาที่กระจายดี ก่อนเรียกร้องความสนใจยาวไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 12 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวเซ็กซี่ชวนซุกแทน 

ทิ้งท้าย - มันคือการ Review แบบ Rewrite ใหม่ ถึงตัว A*Men ที่เปลี่ยนเกราะใหม่ที่ดูเท่ห์ขึ้นในสไตล์สีเขียวแบบทหารหล่อกล้ามใหญ่เรียกร้องความสนใจ ใครสนก็ให้มากินหัวกินหางกินกลางลำตัวแบบชัดเจนไม่มีปิดบัง ประมาณนั้นเลย 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – FragranceX
--> https://img.fragrancex.com/.../parent/medium/71020m.jpg

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Thierry Mugler - A*Men Kryptomint


Thierry Mugler - A*Men Kryptomint 

ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องของไลน์ A*Men ตั้งแต่ต้นตระกูลที่เป็น Sex in the Bottle และเป็น Masterpiece ของแบรนด์ Thierry Mugler ตามด้วยรุ่น A*Men Pure ต่างๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากบ้าง คงตัวบ้าง และดรอปบ้าง จนมาในปี 2017 ที่ผ่านมา ลูกชายรุ่นน่าสุดของไลน์นี้จึงได้ออกมาพร้อมกับการอินเทรนด์ Greenery โดยเอาความเป็นมินต์หนึ่งในกลิ่นหลักของ A*Me
n รุ่นปกติมาชูโรง ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะไหน ได้เวลามาเล่ากลิ่นกันหน่อยกับรุ่นนี้ A*Men Kryptomint 

เปิดต้นกลิ่นมาความเป็นเปปเปอร์มินต์เด่นวูบขึ้นมาเลย กลิ่นจะมีความเป็นมินต์ที่ไม่ได้มาสายแบบกลิ่นอายที่เคยได้กลิ่นในยาสีฟันหนือพวกหมากฝรั่งนัก และจะรู้สึกได้เลยว่ากลิ่นไม่ได้มาสายใสๆ ธรรมชาติ เพราะมาแบบติดวูบคมๆ และมีความเป็นโทนปร่าสมุนไพรได้ความเขียวปน Fresh Spicy ไพล่ไปทางกลิ่นอายเย็นๆ ยังไม่พอจะรู้สึกได้ถึงความเป็นลายเซ็นของไลน์นี้เลยเพราะกลิ่นพิมเสนที่ให้ความสากดิบเนียนๆ จะปรากฎตัวพร้อมกับกลิ่นอายแนวครีมมี่ติดนัวที่รองพื้นแทรกซึมอยู่ ซึ่งช่วงแรกนี้จะมีความมะรุมมะตุ้มกันนิดนึงแบบสไตล์ A*Men เพียงแต่จะชูโรงความเป็นมินต์ได้ชัดตาม Concept โดยไม่มีใครแย่งซีนเด่นแทนนัก โดยเป็นลักษณะแบบโทนสดชื่นติดแน่นกำลังดีเป็นสำคัญ จนเมื่อเริ่มเปลี่ยนช่วงเข้าสู่ช่วงกลางเริ่มตามตัวเจอว่าสิ่งที่ทำให้กลิ่นมินต์มาสายสมุนไพรชัดเจนมากนั่นคือกลิ่นของเจอราเนียมที่จะให้ความเขียวแบบสมุนไพรที่มีพื้นฐานของความเป็นกลิ่นคล้ายมินต์ติดผลไม้นิดๆ และมีกลิ่นกุหลาบบางๆ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะลอย On Top ออกมาด้วยความเป็นมินต์สายสมุนไพร เจือด้วยพิมเสนที่นวลจมูกมากขึ้นเริ่มมาสายสว่างๆ แต่คงความสากบางๆ ดึงดูดเซ็กซี่แบบกำลังดี ไม่ได้โจ่งแจ้งชวนกินเรียบตั้งแต่บนลงล่าง แต่มีความเย้ายวนกำลังดีเซ็กซี่ขี้เล่นเบาๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะรองพื้นด้วยกลิ่นอายนุ่มๆ ติดครีมมี่ที่มาจากกลิ่นอายของถั่วตองก้า มีความหวานหน่อยๆ แบบติดโทนช็อคโกแลตที่ไม่ขมทำให้ช่วงนี้เป็นลักษณะคล้ายลูกอมหรือชอคโกแลตขาวรสมินต์สมุนไพรแบบครีมมี่นุ่มนมที่หอมนวลกึ่งสดชื่นกึ่งนุ่มนวลไปตลอด เรียกว่าเป็นไฮไลท์กันได้เลยและเป็นช่วงรอยต่อที่สำคัญของน้ำหอมตัวนี้เสียด้วย เพราะเป็นการส่งต่อความเป็นโทน Minty ไปสู่ความเป็น A*Men ตามแบบต้นตระกูลในช่วงท้ายในรูปแบบที่กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงมาก เป็น A*Men ที่มีความเบาลงมากว่าปกติ มาแบบเดียวกับลักษณะของ A*Men Ultra Zest โดยที่จะมีกลิ่นอายของพิมเสนที่นุ่มขึ้น ไม่สาก ไม่ดิบ นวลๆ ครีมมี่ติดวานิลลาบางๆ ปนหวานกำลังดี มีกลิ่น Spicy ติดขมบางเบาคล้ายโทนกาแฟนิดๆ คลอเนียนๆ อยู่ในนั้น ที่สำคัญทิ้งไปไม่ได้เลย เพราะตัวเอกของกลิ่นมินต์ยังตามมาถึงช่วงนี้ แต่จะมาแบบเบาๆ ปลอดโปร่งเจือในเนื้อกลิ่น ให้ความชิลล์สบายๆ ไปเรื่อยๆ ได้อารมณ์แบบผู้ชายสบายๆ ยิ้มง่าย มีเสน่ห์ และขี้เล่นกำลังดีแบบรู้กาลเทศะ ซึ่งมี Sex Appeal แผ่ออกมาอย่างชัดเจนประมาณนั้นเลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เป็นหนึ่งในไลน์ A*Men ที่ใช้ง่ายในระดับหนึ่งเลย (แบบผ่านช่วงต้นไปก่อน) กลิ่นจะมีความลั่นล้ากำลังดี สบายๆ ช่วงท้ายกำลังงาม สามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบไม่ได้ทางการจ๋ามาก ใส่ทำงานก็ได้ หรือว่าจะใส่แบบทั่วๆ ไป อันนี้เข้าทางมากมาย ยกเว้นที่ใส่เพื่อออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายสำหรับอากาศแบบเมืองไทย ให้รอช่วงกลางหรือช่วงท้ายเป็นต้นไปน่าจะดีกว่า เพราะช่วงต้นกลิ่นมาเต็มพอสมควร ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์หน่อยเรียกว่ารอดได้อยู่ อาจจะไม่ได้เรียกแขกจัดจ้านแบบรุ่นต้นตระกูล แต่อย่างน้อยให้ความชิลล์ๆ เซ็กซี่แบบไม่โจ่งแจ้งให้รู้สึกน่าเข้าใกล้แทนก็น่าสนใจไม่น้อย ประมาณนั้น 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 - 8 ชม. ซึ่งอาจจะมากกว่านั้นได้ง่ายๆ ถ้าจำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีดเหมาะสม โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 9 ชม. กำลังดีเลยทีเดียว กับการใช้ 5 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนแรก เรียกว่าอาจจะตกใจกันหน่อย สำหรับคนที่ไม่คุ้นชิน แล้วจะลดลงมากระจายดีในต้นช่วงกลาง แล้วค่อยๆ ลดลงมาเป็นสเต็ปเป็นกระจายปานกลาง จนเข้าสู่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายผ่อนลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิว 

ทิ้งท้าย - เอาจริงๆ ลักษณะกลิ่นมาในสเต็ปเดียวกันกับ A*Men Ultra Zest เปลี่ยนโทนส้มออกเป็นมินต์แทน แต่การเปลี่ยนโทนลักษณะนี้มีความลงตัวในความเป็นมินต์และลูกอม/ชอคโกแลตขาวครีมมี่รสมินต์ได้ดีมาก แบบที่ยังมีลายเซ็นของความเป็น A*Men อยู่อย่างครบถ้วนโดยไม่หนักหน่วงเกินไปนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://fimgs.net/images/secundar/o.45707.jpg

วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561

Review: Thierry Mugler - A*Men Pure Malt Creation

Thierry Mugler - A*Men Pure Malt Creation

Rare กันอย่างแท้ทรู เพราะว่ารุ่นนี้ปล่อยออกมาสมกับชื่อว่า Limited Edition กับการเอาหนึ่งใน A*Men อย่าง Pure Malt ไปอยู่ในไลน์ Les Liqueurs de Parfums แล้วสร้างสรรค์กลิ่นขึ้นมาให้ผสมผสานกัน เพราะของเดิมตัว A*Men กับ Pure Malt มีความเชื่อมโยงกันระดับหนึ่งจากโทน Fruity และโทน Oriental ที่มาแบบบางๆ ไม่ได้โจ่งแจ้ง พอมาผสมผสานกันแล้วกลิ่นจะเป็นยังไง จะแย่งซีนกันระหว่างเจ้าชู้โจ่งแจ้งกับเจ้าชู้มีระดับขนาดไหน ผลออกมาคือ 

A*Men Pure Malt Creation เปิดตัวด้วยกลิ่นอายโทนผลไม้รวมกันก่อนเลย โดยที่จะมีกลิ่นอายของวิสกี้คลอไปตลอด ซึ่งวิสกี้นี่แหละ จะเป็นกลิ่นหลักยาวไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลย สไตล์ลักษณะแบบ Pure Malt ที่เคยเป็นแต่สิ่งที่จับได้ต่อเนื่องคือกลิ่นมินต์ที่ให้ความเขียวสดชื่นติดสมุนไพร ปนกับความปร่าซ่าของเม็ดผักชี โดยมีลาเวนเดอร์ที่รองพื้นอยู่ มีความ Spicy ติดนัวสากกำลังดีเคล้ากลิ่นอายแบบกลิ่นเปิดแบบ A*Men ตัวพ่อเสริมเข้ามาด้วย เรียกว่าช่วงนี้คือการมาเจอกันตั้งแต่เริ่มเลยของตัวพ่อและตัวลูก แต่กลิ่นกลับไม่ตีกัน เพราะกลิ่นของวิสกี้กลั้วผลไม้จะเด่นกว่า ให้โทนสากเย้าจัดเต็มกลายเป็นตัวรองพื้นไป จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง ความเป็นวิสกี้เริ่มชัดเจนมากขึ้น พร้อมกับกลิ่นพิมเสนที่เป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักของ A*Men เด่นมาด้วย ซึ่งในเนืิ้อกลิ่นจะเริ่มสัมผัสความหวานแบบคาราเมลเคล้าน้ำผึ้งและมีไม้หอมเจืออยู่ กลิ่นจะผสมผสานกันเป็นอย่างดีจนน่าแปลกใจที่ไม่ได้มีอะไรมาแย่งซีนกัน ความเป็นพ่อของ A*Men จะเป็นเหมือนสายสนับสนุนที่ดันดาราให้ความเป็นโทนหวานเซ็กซี่ติดนวลอวลกำลังดีเสียมาก ส่งให้กลิ่นวิสกี้มอลต์เคล้าผลไม้เด่นลอยฟุ้งหอมออกมาเคล้าความเป็นพิมเสนที่ชวนกัดปากเจือความหวานเย้ายวนคาราเมลมีระดับ เซ็กซี่แบบโจ่งแจ้งแต่ก็มีชั้นเชิง กลิ่นช่วงนี้บอกชัดเจนว่าลูกเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับพ่ออย่างมาก ทำหน้าที่เด่นและสนับสนุนกันได้อย่างลงตัว จนถึงช่วงเวลาเปลี่ยนถ่ายเป็นช่วงท้ายสุดของน้ำหอม ความเป็นกลิ่นวิสกี้มอลต์ติดผลไม้จางๆ มีความ Smoky กำลังดีจะยังอยู่แต่จะเบาลงไป ให้ความเป็นตัวพ่อเริ่มมาปล่อยของในช่วงนี้กับกลิ่นอายกาแฟผสมผสานกับพิมเสน และมีคาราเมลติดวานิลลาอบอุ่นกำลังดีเป็นตัวคุม กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึกหวานเซ็กซี่กันแบบเต็มๆ ในสไตล์ A*Men เลย แต่เพราะความเป็น Pure Malt ไม่ได้หายไป กลิ่นเลยยังความมีชั้นเชิงและมีระดับแบบที่ยังรู้ตัวว่าเล่นใหญ่กำลังดี หวานเซ็กซี่กำลังเหมาะ และดูมีลูกเล่นที่ติดกรุ้มกริ่มเบาๆ มันง่ายกว่าที่จะได้อะไรดีๆ กลับไป 

เรียกว่าภาพรวมของตัวนี้ มาแบบลงตัวมาก แบ่งซีนและสนับสนุนกันเป็นอย่างดีระหว่างความเป็นลูกอย่าง Pure Malt และตัวพ่อออริจิอย่าง A*Men และเข้ากันได้ดีสร้างออร่ามีเสน่ห์เซ็กซี่พร้อมรบแต่มีชั้นเชิงได้ดีมาก ยอมมมมม

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้แล้ว ยิ่งถ้าใครจะเน้นปลดปล่อยความเซ็กซี่ทางด้านกลิ่นและชอบกลิ่นอายแบบ A*Men ตัวออริจิกับ Pure Malt อยู่ทุนเดิม จะฟินได้เลยทีเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ตัดการใส่เพื่องานทางการและรับแขกบ้านแขกเมือง กับการใส่ออกกลางแจ้งและการออกกำลังกายไปได้เลยเพราะไม่เข้าทาง นอกนั้นจัดไปแบบจำกัดจำนวนสเปรย์จะลงตัวมาก ส่วนยามค่ำคืนท่องราตรีหรืออกงานแบบไม่ใช่ทางการจ๋าๆ จัดไปกลิ่นมีเสน่ห์และยั่วยวนชัดเจนจริงๆ 

ความทน - ไม่ต้องพูดถึง 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นอยู่ ยกนิ้วให้เลย 

การกระจาย - มาเต็มมากในช่วงแรกแล้วจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ พอเข้าช่วงท้ายถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเมื่อผ่านไปซักประมาณ
12 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็น Skin Scent


ทิ้งท้าย - เสียดายมากกกก ที่รุ่นนี้มาแพร๊พเดียวก็จบปิ้ง ไม่ได้ผลิตต่อ ทั้งๆ ที่ทำกลิ่นได้ดีมีมิติมาแบบแพ็คคู่ยั่วยวนแบบเซ็กซี่ตัวพ่อแต่มีชั้นเชิงมากขึ้นเยอะเลย โอยยยย เสียดายจริงจัง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://i.pinimg.com/originals/c8/1c/61/c81c6170b323d13a6c269496a9870470.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

Review: Thierry Mugler – A*Men Pure Tonka

Thierry Mugler – A*Men Pure Tonka

เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาเรียกว่าลุ้นกันน่าดูว่าไลน์ A*Men จะปล่อยตัวไหนออกมาในการเป็น Pure ตัวต่อไป ซึ่งเมื่อเปิดเผยออกมาเท่านั้นแหละ หลายๆ คนที่ชอบความครีมมี่นุ่มนมของ “ถั่วตองก้าถึงกับฟิน เพราะกลิ่นนี้ในน้ำหอมส่วนใหญ่มักเป็นตัวสนับสนุนชั้นดีเสียมาก การได้มาเป็นตัวเด่นและตัวเอกหลักคือสิ่งที่รอคอยกันน่าดูเลยทีเดียว ที่สำคัญกลิ่นนี้ได้เป็นหนึ่งในน้ำหอมชายยอดเยี่ยมของเวบชื่อดังอย่าง Fragranticaประจำปี 2016 ด้วย เช่นนั้นมาพิสูจน์ถึงความดีงามกันดีกว่าว่า Pure Tonka จะให้กลิ่นอายในลักษณะใด 

Top Notes เปิดตัวด้วยความเป็นสมุนไพรเครื่องเทศติดเขียวเผ็ดโปร่งอย่างโรสแมรี่กลั้วกับความเป็นมินท์กันเต็มๆ มาในวูบแรก แล้วกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ขึ้นมาเสริมไวมาก จนกลายเป็นกลิ่นอายแบบลาเวนเดอร์ธรรมชาติที่นุ่มนวลและติดเขียวราวกับไปวิ่งไปทุ่งลาเวนเดอร์โลกสวยกันเลย โดยในช่วงนี้จะแอบสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายครีมมี่นุ่มนมนวลๆ ที่จะหลบอยู่ด้านหลังให้สัมผัสจางๆ กันก่อน ซึ่งลาเวนเดอร์จะเริ่มปล่อยของมากขึ้นในช่วง Middle Notes ที่กลิ่นจะเริ่มเป็นลาเวนเดอร์นุ่มติดกลิ่นกาแฟอมความหวานนวล และถั่วตองก้าจะเริ่มเปิดตัวออกมาชัดมากขึ้นจากเดิมที่หลบซ่อนสนับสนุนแบบผู้อยู่เบื้องหลังมาให้ความนุ่มนมได้อารมณ์แบบขนมอบอุ่น เสริมความหวานด้วยชะเอมที่มาแบบนวลๆ ติดไม้หอม แอบมีกลิ่นอายคล้ายคาราเมลรสเค็มจางๆเลยทำให้ได้อารมณ์แบบขนมหอมหวานอบอวลแบบที่ไม่ขนมจัดจ้านจ๋าๆ จนเลี่ยนเพราะกลิ่นอายกาแฟกับลาเวนเดอร์ยังคงเป็นตัวตัดทอนให้กลิ่นกลมกล่อมหอมนุ่มเคล้าความอบอุ่นรุมๆ ไปตลอด กลิ่นมีความเย้ายวนน่ากอดซุกสูงมา และเมื่อเข้าช่วง Base Notes กลิ่นอายนุ่มนมของถั่วตองก้าจะเริ่มนวลจมูกมากขึ้นเพราะจะมีกลิ่นวานิลลากับโกโก้มาเสริมแบบที่ยังรู้สึกได้ถึงความหวานแบบครีมคาราเมลอยู่ โดยที่กลิ่นกาแฟจะยังแทรกซึมอยู่ไปตลอด ได้อารมณ์คล้ายลูกอมคูก้ารสกาแฟนมหอมนวลดูอร่อยน่ากิน โดยจะจับได้ถึงพิมเสนที่เป็Signature หลักของไลน์ A*Men แบบจางๆ มาเบาบางแบบไม่ให้ดูฉีกเกินไปโดยไม่เชื่อมโยงกับต้นตระกูล แต่ก็สร้างความเย้ายวนเซ็กซี่ท่ามกลางความอบอุ่นนุ่มน่าซุกเอาหน้าคลุกเคล้าจุดที่ฉีด ซึ่งแม้ว่าพิมเสนจะเบาแต่กลิ่นกาแฟยังคงทำหน้าที่แทนเปรียบเสมือนเป็น Signature รองลงมาได้สมศักด์ศรีมาก ภาพรวมจึงเป็นน้ำหอมที่ให้โทนนวลอบอุ่นสีชมพูออกส้มน้ำตาลพาสเทลครีมๆ ที่มีความแมนน่ากอด อบอุ่นเซ็กซี่ นุ่มเย้ายวนชวนคนได้กลิ่นออเซาะฉอเลาะ สมกับการเป็นไลน์น้ำหอมที่มี่ความเซ็กซี่เป็นที่ตั้งอย่างชัดเจน 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้สบายๆ กลิ่นออกแนวนุ่มนวลข้นครีมนมอบอุ่นกันเต็มๆ กลิ่นอาจจะแน่นไปบ้าง จึงควรจำกัดสเปรย์ แต่ถ้าอากาศเย็นๆ กลิ่นน่าซุกมากจริงๆ นะ ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบงานทางการพอได้ ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม ส่วนทั่วๆ ไปอันนี้จัดไปใส่ได้สบายๆ ยกเว้นใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งร้อนจัดๆ หรือออกกำลังกาย เดี๋ยวจุกคอหอยกันพอดี ส่วนยามค่ำคืน ใส่ไปท่องราตรี หรือใส่อยู่กับแฟน ใส่ไปโรแมนติค หรืออ่อยเหยื่อที่ไหน ถือว่าสู้เขาได้แบบไม่ลดราวาศอกเลยทีเดียว แถมนุ่มกว่าอีกด้วยนะ บอกเลย!

ความทน มากกกกกกกกก 12 ชม. กลิ่นยังคงตีขึ้นอยู่ เช่นนั้นเชื่อขนมกินได้เลยว่าความทนเป็นเลิศพอๆ กับรุ่นต้นตระกูลเลย ซึ่งส่วนตัวจัดไปที่ 5 สเปรย์วันอากาศเย็นๆ กลิ่นอยู่ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 4 ทุ่มกันเลยทีเดียว ของเขาดีจริง 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากกกกกกก มาเต็มฟุ้งไปหมด ออกจากห้องที่ฉีดไปพักนึง เดินกลับเข้ามากลิ่นก็ยังคงอยู่ค้างในห้อง แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลางแบบยาวไป ก่อนจะเป็นกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย ไม่เสียทีที่เป็น A*Men และคนชอบกลิ่นถั่วตองก้านุ่มนมอย่างผมฟินมาก #ดาวชมพูแชมเปญของข้าาาาาา 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนที่ผ่านการอนุญาตให้นำไปใช้ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://www.mimifroufrou.com/scentedsalamander/images/Mugler_A_Men_Pure_Tonka.jpg

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Thierry Mugler - Alien


Thierry Mugler - Alien 

Angel ถือว่าเป็นรุ่นเทพของฝ่ายหญิงของ Thierry Mugler อันนี้แน่นอน แต่มีอีกรุ่นหนึ่งที่กลายเป็นอีกหนึ่งไลน์ที่ทั้งดังและปังเว่อร์ขึ้นมาทันที กับขวดที่ล้ำมากไม่พอ กลิ่นยังเรียกว่าขนความเย้ายวนแบบเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่เต็มที่ไปเลยเธอมาก เช่นนั้นมารู้จักกันกับรุ่นนี้เลย Alien 

เปิดต้นกลิ่นมาอาจจะทำให้รู้สึกถึงความเป็นมะลิเคล้ากับโทนดอกไม้สีขาวแนวๆ ดอกส้ม กลิ่นจะมีความนวลออกโทนขาวสว่างกำลังดี ความสดชื่นมีบางๆ ซึ่งกลิ่นมะลิในช่วงนี้จะไม่ได้ออกทางใสๆ ดูฉ่ำแต่ประการใด ซึ่งจะทำให้กลิ่นในช่วงนี้เย้ายวนแบบน่าค้นหาในความเป็นดอกไม้ขาวที่ไม่ออกฉ่ำติดแป้งทันทีไม่ต้องรอช่วงอื่น แถมแอบมีกลิ่นอายอบอุ่นของโทนไม้หอมที่ค่อยๆ แทรกขึ้นมา จนเต็มที่ในช่วงกลางทำให้เป็นกลิ่นอายที่แตกต่างในจากช่วงแรกอย่างเห็นได้ชัด เพราะดอกไม้ขาวที่ตามมาจะผันไปรองพื้นให้รู้สึกได้จางๆ แบบลอยๆ แต่กลิ่นของไม้เนื้อหา ติดโทนธูปหน่อยๆ จะดันขึ้นมาให้เกิดความอบอุ่นนุ่มนวลจมูก โดยที่จะมีความเย้ายวนในลักษณะดึงดูดแบบมีคลาสไม่ออกแนวเรียกร้องความสนใจแบบที่ชวนกันโต้งๆ แต่พอได้กลิ่นต้องหันมองตามคนใส่เลย เพราะกลิ่นมีลักษณะล่องๆ ลอยๆ เวิ้งๆ แอบลึกลับ แบบดอกไม้อุ่นๆ ที่มีเสน่ห์ขาดใจจริงๆ กลิ่นจะมีความเป็น Unisex สูงมากเลยในช่วงนี้ แถมส่งต่อไปยังช่วงท้ายที่กลิ่นโทนอบอุ่นจะเด่นขึ้นมามาก และมีโทนหวานนวลให้สัมผัสได้ ซึ่งกลิ่นจะเนียนจมูกน่าเข้าใกล้ มีความเย้ายวนแบบมีระดับมากพอแบบมีออร่าความสง่างามปะปนให้รู้สึกไปตลอด ซึ่งไม่แปลกใจจริงๆ ที่น้ำหอมรุ่นนี้ได้รับความนิยมไม่ต่างจากไลน์ Angel และมีลูกมีหลานออกมาอย่างมากมาย กับความล้ำอย่างมีระดับที่น่าค้นหา ในรูปแบบต่างๆ จนทำให้เสียเงินสอยมาครอบครองเอาได้เลยล่ะ 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ตราเอาไว้ว่าเป็นของผู้หญิง แต่เอาจริงๆ พื้นฐานกลิ่นมีความเป็น Unisex สูงไม่น้อย ตั้งแต่ต้นยันจบ ยกเว้นช่วงแรกๆ ที่คนไทยที่ได้กลิ่นมักจะมองว่ามันน้ำหอมผู้หญิงเพราะกลิ่นมะลิที่เด่นนั่นเอง ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและไม่ทางการ โดยจำกัดจำนวนสเปรย์ ยิ่งใส่ในห้องแอร์ยิ่งเป็นเรื่องดีกว่าใส่ออกกลางแจ้งและออกกำลังกายไม่งั้นกลิ่นกระจายฆ่าเอาได้เลย ส่วนยามค่ำคืนจัดไปได้หมด กลิ่นเรียกร้องความสนใจแบบนิ่งๆ ประมาณว่าไม่คิดอะไร แต่จะดึงความน่าค้นหาเข้าตัวตลอดเลย ^^

ความทน - มากกกกก เรียกว่า 12 ชม. กลิ่นยังอยู่สบายๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกกกในช่วงต้น และจะลดระดับการกระจายลงมาเป็นดีงามไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่จะเป็นการกระจายแบบกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ ก่อนจะลดลงไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกกลิ่นที่ขอยกนิ้วให้ Thierry Mugler เลยว่าทำออกมาได้น่าสนใจมาก และมีความเป็นเอกเทศแตกต่างจากน้ำหอมในท้องตลาดในเรื่องความล้ำได้เก๋และน่าค้นกาได้ลงตัวจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.aromarius.com/wp-content/uploads/2013/02/thierry-mugler-alien.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Review: Thierry Mugler – A*Men Pure Energy

Thierry Mugler – A*Men Pure Energy

ทำไม
 A*Men Pure Shot และ A*Men Pure Energy ถึงมันคล้ายกันมากมายก่ายกอง เช่นนั้นจึงขอสปอยมันตั้งแต่ต้นนี่ซะเลยว่าจริงๆ มัน คือ "ตัวเดียวกันล่ะจ้า" (เหตุที่จำเป็นต้องเปลี่ยนจาก Pure Shot มาเป็น Pure Energy เพราะพรีเซนเตอร์รุ่นนี้ดันไป Shot หรือยิงเมียตัวเองตาย กระทบกับแบรนด์ไม่พอ แถมด้วยยอดขายที่ไม่ค่อยดี จึงจับใส่ตระกร้าล้างน้ำใหม่) แต่เพื่อเป็นการยืนยันว่าโทนกลิ่นมันคล้ายกันจริงหรือไม่ จึงได้จัดเต็มจนหนำใจ แล้วมา Rewrite อีกครั้ง เพื่อมาในรูปแบบของ A*Men Pure Energy นั่นเอง

เปิดต้น Top Notes กันอย่างจัดเต็มกับกลิ่นอายเย็นๆ แน่นๆ แบบแป้งเย็นซ่าๆ ของจูนิเปอร์เบอร์รี่ที่จะมาคลอกับมินท์แบบเย็นวาบ และมีความเขียวติดสมุนไพรให้รู้สึกได้ ซึ่งกลิ่นมีลายเซ็นหลักของไลน์อยู่ให้รับรู้เบาๆ ก่อน นั่นคือ พิมเสน ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นนี่จะตามไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลยทีเดียว โดยจะไปผสานกับกลิ่นโทนเครื่องเทศในช่วง Middle Notes ที่ไม่ได้มาหวาน เน้นความ Fresh Spicy เสียมากอย่างพริกไทย และมีเม็ดกระวานมาเป็นตัวเบรก ซึ่งพอกลิ่นแนวแป้งเย็นแน่นจัดๆ ในช่วงแรกมาเจอกับช่วงนี้ กลิ่นจะเบาลงไปเป็นแป้งเย็นนุ่มๆ หอมแบบสดชื่นกำลังดี สะอาดๆ โดยพิมเสนจะเริ่มเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ช่วง Base Notes ซึ่งกลิ่นจะมาแนวไม้หอมเท่ห์ๆ สะอาดๆ มีกลิ่นอายแบบไม้หอมที่ล้อมไปด้วยพิมเสนอย่างชัดเจน กลั้วแป้งเย็นเบาๆ ซึ่งภาพรวมมันก็คือ Pure Shot ที่สืบทอดเจตนารมณ์ต่อจากรุ่น Ice*Men ที่เลิกผลิตไป แต่มีความแตกต่างตรงที่เป็นแป้งเย็นวาบๆ กลั้วไม้หอมและพิมเสน แทนที่จะเป็นกาแฟคั่วบดกลั้วพิมเสนแช่เย็นวาบแน่นหนาท่ามกลางน้ำแข็งมากมายแบบที่ Ice*Men เป็นนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็ใช้ได้สบายๆ เพียงแต่กลิ่นจะมาในโทนแน่นตามแบบฉบับในไลน์ของ A*Men นั่นเอง เรียกว่ามาในโทนสดชื่นไม่เหมือนใครเลยล่ะ ซึ่งสามารถใช้ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและไม่ทางการ ซึ่งถ้าจะใส่ไปออกกำลังกายเอาจริงๆ อยากให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า จะได้ไม่แน่นจนจุกคอหอยขาดออกซิเจนไปเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนจัดไป เพราะกลิ่นแน่นพอจะไปสู่คนอื่นได้ เพียงแต่จะไม่ได้เย้ายวนอะไรเพราะมันสดชื่นนั่นเอง 

ความทน – 8 ชม. ได้แบบลงตัว เพียงแต่ว่าอาจจะต้องอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย กลิ่นต้นกระจายเต็มเหนี่ยวมาแน่นเต็มที่มากมายก่ายกอง แล้วจะลดมากระจายกึ่งดีกึ่งกลางๆ ก่อนจะปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย ลดลงไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป 

ทิ้งท้าย – Pure Shot = Pure Energy ไม่มีผิดเพี้ยนครับ และเป็นอีกตัวในไลน์นี้ที่อยู่ในกลุ่มใช้ง่ายและเข้าถึงง่ายเลยทีเดียว 

Credit ภาพ - http://www.parfemy-levne.cz/media/image/thumb/73728_new.jpg/p_max_size.jpg