วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Aesop - Tacit

Aesop - Tacit 

จากการเอาไลน์น้ำหอมนำมาปรับใหม่ของ Aesop โดยการนำเอาของเดิมที่เคยมี มามาทำใหม่อย่างรุ่น Marrakech มาเป็นเวอร์ชั่น Intense ในช่วงปี 2014 ก็ได้มีการเปิดตัวน้ำหอมตัวใหม่ของแบรนด์ในปีถัดมาอย่างรุ่น Tacit โดยเป็นการนำเอาความเป็นโทนสดชื่นเด่นที่ความเป็น Citrus สไตล์ Cologne มาเจอกับกลิ่นอายแบบแถวชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นหนึ่งในโทนที่ดูสบายสดชื่น แต่ปราบเซียนไม่ใช่น้อยเพราะว่าในความง่ายมันสามารถซ้ำกับแบรนด์อื่นได้ไม่ยาก เพราะมันเป็นโทนยอดฮิตจริงๆ ซึ่งแบรนด์จะสื่อสารกลิ่นออกมาอย่างไรนั้น ก็เล่าออกมาได้ตามนี้เลย 

Tacit เปิดตัวด้วยความเป็นโทนสว่างและสดชื่นด้วยความเป็นโทน Citrus ที่ชัดเจนมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติกำลังดี ไม่ได้จงใจใส่ความสดชื่นแบบพุ่งๆ เข้าไป เนื้อกลิ่นจะให้ความเปรี้ยวปนขมแต่ติดหวานปลายกลิ่น ที่ไม่ได้ถึงกับฉ่ำมากมีความกลางๆ กำลังดีของส้มยูซุ โดยมีฉากหลังเป็นกลิ่นโทนเปรี้ยวแปร่งบางๆ ของเกรปฟรุตและมีกลิ่นส้มหน่อยๆ ที่ให้ความหวานเจือฉ่ำเป็นตัวเสริมให้เข้าทางสไตล์แบบกลิ่น Cologne สดชื่นสไตล์ Citrus เด่นที่ชัดเจนเลยทีเดียว แต่เนื้อกลิ่นเหมือนจะไม่ได้มีแค่นี้ เพราะสิ่งที่จับต้องได้คือ ความเป็นโทนออกทางสมุนไพรนวลติดปร่าหน่อยๆ ที่มีเนียนๆ อยู่ มันเลยทำให้ช่วงต้นในความเป็นโทนสดชื่น จะมีความนวลที่ทำให้กลิ่นไม่ได้คมเกินไป เข้าทางกลิ่นอายตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นได้ดีเลยทีเดีย 

เมื่อโทนกลิ่นสไตล์ Citrus Cologne เริ่มลดทอนลงและมีความแห้งในเนื้อกลิ่นมากขึ้น ก็เป็นการเปิดตัวกลิ่นโทนสมุนไพรที่เนียนในช่วงต้นออกมาชัดเจนมากขึ้น โดยกลิ่นที่เด่นออกมาคือ โหระพา ที่ทำให้กลิ่นมีลักษณะปร่าติดนวลอะโรม่ากำลังดปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นจะสายเป็นโทนสดชื่นอะโรม่าที่เป็นโทนสมุนไพรกลั้ว Citrus สบายๆ ในเนื้อกลิ่นจะมีความซ่าหน่อยๆ ที่จับต้องได้จากกานพลู แต่ไม่ได้เด่นทะลุออกมานักที่ทำให้กลิ่นมีลายเซ็นแบบ Aesop คือโทน Spicy สบายๆ ให้จับต้องได้ รวมถึงจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ติดกลิ่นอายแบบอากาศริมทะเลที่ไม่มีความคาวน้ำทะเลเค็มๆ ที่เป็นเหมือน Background แบบโทนบรรยากาศเสริมเข้ามาด้วย และเพียงแต่ไม่นานจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายแบบหญ้าแฝกที่มีความเป็นไม้แห้งๆ ติดขมนิดๆ เข้าทางโทนสะอาดติดแห้งๆ จะเนียนเข้ามาเรื่อยๆ มาผสมผสาน ทำให้ช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะชัดเจนมากตามที่มาของน้ำหอม คือ กลิ่นอายแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่จะเป็นกลิ่นโทนสมุนไพรเคล้า Citrus ติดทะเลสบายๆ มีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ อะโรม่าผ่อนคลายเจือความสะอาดเรียบหรูที่เป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นยาวไปจนถึงช่วงท้าย ที่คราวนี้ความเป็นสไตล์ Cologne ในช่วงต้นจะจางไปเกือบหมด แต่จะเหลือกลิ่นอายโทน Citrus ออกทางกึ่งยูซุกึ่งเกรปฟรุตสว่างๆ แห้งๆ แอบติดปร่า Spicy อ่อนๆ ของกานพลูเนียนไปกับกลิ่นอายของหญ้าแฝกที่มาสายสะอาดๆ ติด Earthy หน่อยๆ ที่มีเสน่ห์น่าค้นหากำลังดี ซึ่งแน่นอนว่าเนื้อกลิ่นยังมีบรรยากาศของโทนกลิ่นอายริมทะเลสบายๆ อยู่ประปรายให้รู้สึกได้แบบฉากหลังเช่นเคย ซึ่งจะให้ความสะอาด สดชื่นกำลังดี สบายๆ เรียบหรู อะโรม่า แบบที่ไม่เยอะสิ่ง โดยที่มีความธรรมชาติกำลังดีไปตลอดแบบที่คุม Concept กลิ่นได้ดีตั้งแต่ต้นยันท้ายได้ลงตัว 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน กลิ่นอายมาสายบรรยากาศที่เข้ากับทุกเพศเลย ใช้ง่าย เข้าถึงได้ง่าย แบบที่ให้ความเป็นธรรมชาติและเรียบหรู ที่มีความน้อยแต่มากไปตลอด โดยสามารถใส่ได้แบบกวาดหมดในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไป ให้ความอะโรม่าสดชื่นจะดีกว่าการใส่ไปท่องราตรีเพราะโดนกลบมิดแน่นอน 

ความทน - แม้กลิ่นจะดูเหมือนเบาๆ แต่ความทนดีเลยทีเดียวที่ราวๆ 8 ชม. มีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. ซึ่งก็ว่ากันไปที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. สบายๆ เลยทีเดียว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจึงผ่อนลงมากลางๆ ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัว ซึ่งพอพ้นซัก 6-8 ชม. ไปแล้วก็จะกลายเป็น Skin Scent 

สรุป – อีกหนึ่งน้ำหอมที่สามารถเข้าก๊วน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้สบายมากไม่พอ ยังให้ความเรียบหรู มีระดับ อะโรม่า และมีคลาสในเนื้อกลิ่นได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งถ้าใครไม่เคยลองแบรนด์นี้ สามารถมาเจอที่ตัวนี้เป็นตัวแรกให้จับต้องลายเซ็นของกลิ่นสไตล์ Aesop ก่อน แล้วที่เหลือจะฟินยาวๆ ไปได้ไม่ยาก 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.myer.com.au/p/357581080-357581440

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Aesop - Marrakech Intense

Aesop - Marrakech Intense (Eau de Toilette) 

พูดถึงสาย Skincare จากประเทศออสเตรเลียที่เป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก เน้นการดึงเอาประโยชน์สูงสุดจากธรรมชาติมาเป็นจุดขาย คงต้องพุ่งไปที่ Aesop ได้เลย ที่สำคัญมาเปิดเคาน์เตอร์ในประเทศไทยและมีหลายสาขาไม่น้อยให้ไปทดลองและอุดหนุนได้ตามสะดวก (ชาที่ให้จิบตอนไปที่เคาน์เตอร์หอมมากนะ ขอบอก!) แต่ Aesop ก็ไม่ได้มีแค่สาย Skincare เท่านั้น แต่มีสายอะโรม่าอย่า
งน้ำหอมด้วย ซึ่งได้มีการสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมมาตั้งแต่ปี 2005 แล้ว เพียงแต่ออกมาเพียง 2 กลิ่นแล้วขายยาวๆ จนเมื่อปี 2014 จึงได้มีการปรับใหม่ในส่วนของน้ำหอมและทยอยๆ ออกมาวางจำหน่ายเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ รวมๆ เฉพาะที่ปรับใหม่ก็ 3 รุ่นแล้ว 

ในการปรับปรุงใหม่ได้มีการนำเอาน้ำหอมรุ่นแรกสุดของแบรนด์อย่าง Marrakech (ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน และได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์น้ำหอมชื่อก้องที่เป็นสายของแรงอย่าง Luca Turin ในเชิงบวก) ซึ่งกลิ่นได้แรงบันดาลใจจากเมืองกลางทะเลทราย ที่มีกลิ่นอายอากาศร้อน และกลิ่นของตลาดเครื่องเทศ มาสร้างใหม่เป็นเวอร์ชั่นที่เข้มข้นมากขึ้น เพราะของเดิมมีประเด็นพอสมควรในเรื่องความทน เช่นนั้นก็มาว่ากันที่กลิ่นอายรุ่นแรกสุดของการนำมาทำใหม่อย่าง Marrakech Intense กันดีกว่า 
บอกก่อน - เนื่องจากไม่เคยลองรุ่นดั้งเดิม เลยจะไม่พูดกันในเรื่องของการเปรียบเทียบกลิ่นหรือท้าวความเรื่องความเชื่อมโยงใดๆ จะเน้นที่รุ่น Marrakech Intense ซึ่งเล่าเฉพาะตัวที่เป็น EDT อย่างเดียวเพียวๆ เป็นสำคัญ 

สิ่งแรกที่ได้รับกลิ่นของ Marrakech Intense ในหัวจะปิ๊งแว้บออกมาเลยว่า กลิ่นช่าง Aesop สุดๆ เพราะพื้นฐานกลิ่นของแบรนด์มักจะมาที่โทน Fresh Spicy และ Woody เป็นสำคัญ โดยกลิ่นจะมีความอะโรม่ากำลังดีและมีความสุภาพที่ไม่ได้ไก่กาไม่ดูเพลนๆ แต่มีอะไรน่าค้นหาในทีเสมอ ซึ่งเปิดต้นกลิ่นมาก็ Spice up Your Life กันได้เลยกับกลิ่นโทนกานพลูและเม็ดกระวานที่จะเด่นเป็นสง่าออกมา แต่ไม่ได้คม ไม่ได้ฟุ้ง ไม่ได้โชว์ออฟ มาเหนือแต่อย่างใด แต่จะคุมโทนได้ดีเพราะในเนื้อกลิ่นจะมีโทนดอกไม้ติดออกทางนวลปนเขียวและกลิ่นไม้หอมติดนวลมาตัดทอนให้กลิ่นไม่คมจัดจ้านนัก แต่จะทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลกลมกล่อมโดยที่ไม่สูญเสียอัตลักษณะของกลิ่นอายโทนเครื่องเทศสายเผ็ดปร่าซ่าแต่อย่างใด ซึ่งเนื้อกลิ่นนอกจากจะได้ความ Spicy แบบติดนวลอะโรม่าแล้ว ยังได้กลิ่นอายติด Citrus ปนขมหน่อยๆ อารมณ์แบบบรรยากาศที่กึ่งสดชื่นจางๆ สร้างมิติให้กับกลิ่นในช่วงต้น แต่ยังคุมโทนกลิ่นที่ออกทางแห้งๆ ได้ดีเลยทีเดียว 

เมื่อกลิ่นอายของโทนดอกไม้เริ่มที่จะขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นโทนเครื่องเทศสาย Fresh Spicy ก็จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนกุหลาบนวลและมีกลิ่นดอกไม้ขาวสไตล์มะลิหน่อยๆ ที่มาแบบอ่อนๆ รวมถึงมีกลิ่นออกทางติดเขียวเปรี้ยวอ่อนๆ สร้างอารมณ์ผ่อนคลายในเนื้อกลิ่น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะเป็นโทน Mild Fresh Spicy ที่ให้ความปร่านวลอะโรม่าที่ผสมผสานกันเป็นอย่างดีและเสริมโทนกันให้ได้ความรู้สึกแบบบรรยากาศกลิ่นอายเครื่องเทศแห้งๆ และหอมรวยรินดอกไม้อ่อนๆ รองพื้น อารมณ์แบบบกลิ่นลอยมาแบบสบายจมูก ให้อารมณ์สุภาพ ผ่อนคลาย และรื่นรมย์ ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปในระดับหนึ่งก็จะเริ่มสัมผัสกลิ่นอายไม้หอมที่เคยจับต้องได้ในช่วงต้นเบาๆ ได้อีกครั้ง ซึ่งกลิ่นจะมีความนวลติดครีมอ่อนผ่อนคลายกำลังดีลักษณะแบบกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ค่อยๆ เนียนเข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักในช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะให้ความนวลสว่างติดโปร่งๆ เป็นสำคัญ ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ไปสายนวลเกินไป เพราะมีกลิ่นติดโทนปร่าขรึมของไม้ซีดาร์เข้ามาเสริมด้วย โดยที่กลิ่นโทนเครื่องเทศกับดอกไม้จะเบาลงไปเป็นสายสนับสนุนสร้างบรรยากาศกำลังดีมีความผ่อนคลายและอะโรม่าคลอผิวไปเรื่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นอายมาสายบรรยากาศ จึงมีความเป็นโทน Unisex ที่ชัดเจนมาก แตะได้หมดทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นจะมาสายอะโรม่า ผ่อนคลาย และเรียบหรูมีคลาส โดยสื่อสารถึงความเป็นโทนเครื่องเทศและไม้หอมได้อย่างนุ่มนวล จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ อันนี้พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความอะโรม่าสบายๆ หอมรื่นรมย์กับความสมดุลย์ของกลิ่น หรือใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด (ข้ามการใส่ไปท่องราตรีได้เลยไม่เข้าทางทุกประการ) 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างราวๆ 1-2 ชม. ก็ว่ากันไปตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ไม่บาดและคมไม่พุ่ง มีแต่ความอะโรม่าปร่าสบายจมูกไปตลอด แล้วจะผ่อนลงมากระจายปานกลางเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป จนเมื่อพ้นซัก 6 ชม. ก็เป็น Skin Scent ในที่สุด 

สรุป - ซึ่งทั้งหมดตั้งแต่ต้นยันจบของ Marrakech Intense EDT ถือว่าเป็นการถ่ายทอดกลิ่นได้ดีมากเลยทีเดียวถึงกลิ่นอายเชิงบรรยากาศตามแรงบันดาลใจตั้งต้นที่สื่อสารถึงเมืองกลางทะเลทราย อากาศร้อนแห้งๆ และตลาดเครื่องเทศ โดยที่คุมโทนกลิ่นตามสไตล์อะโรม่า นุ่มนวล และสุภาพเรียบหรูได้ลงตัว โดยไม่ทิ้งแก่นหลักสำคัญของการเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติของ Notes กลิ่นหลักที่ควรจะเป็น ซึ่งขอชื่นชมสุคนธกรเลยทีเดียวว่ากลิ่นนี้มีความดีงามและยอดเยี่ยมจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttp://www.basenotes.net/ID26143224.html


วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Jo Malone - Tropical Cherimoya

Jo Malone - Tropical Cherimoya

Cherimoya เป็นหนึ่งในพันธุ์ของน้อยหน่าที่ลูกจะไม่ได้เหมือนน้อยหน่าตะปุ่มตะป่ำนูนสม่ำเสมอทั้งลูกตามที่เราเห็นวางขายในไทย แต่จะเป็นผิวเนียนมีรอยบุ่มลักษณะคล้ายมะม่วงที่มีรอยบุ่มสม่ำเสมอแบบน้อยหน่าแทน แน่นอนหั่นกิน ไม่ได้ฉีกกินได้ง่ายๆ แบบน้อยหน่าบ้านเรา แต่แน่นอนว่าเนื้อข้างในมีความเป็น Custard นุ่มละมุนกันเลยทีเดียวเชียว ต่างกับน้อยหน่าบ้านเราที่เป็นเนื้อหุ้ม
เมล็ดเสียส่วนใหญ่ กินทีคายเม็ดกันอย่างรัว เพราะเม็ดจะเยอะไปไหน ซึ่งกลิ่นอายของน้อยหน่าจะมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวมากกับความครีมมี่นุ่มนวลปนผลไม้หวานหอม และถ้าดูจากข้อมูลน้ำหอมที่มีกลิ่นของน้อยหน่าเอง ก็เรียกว่าแทบจะไม่มีเลยมาก่อนด้วยซ้ำ 

จนเมื่อปี 2018 กับการเปิด Collection - Hot Blossom ของ Jo Malone ที่เป็น Limited Edition กับการนำเสนอกลิ่นอายน้ำหอมโทนเขตร้อน ที่มีรุ่น Tropical Cherimoya กับการเอากลิ่นน้อยหน่ามาชูโรงในโลกน้ำหอม เช่นนั้นมีหรือที่จะยอมพลาด ต้องได้ลองและต้องเล่าสิว่าน้อยหน่าขวดนี้จะให้กลิ่นอายอย่างไรบ้าง 

เปิดตัวมาก็จับต้องได้เลยถึงกลิ่นอายสายผลไม้ใสเจือเขียวที่จะมีกลิ่นหอมนวลหวานครีมติดทางดอกไม้เป็นลูกคู่รองรับกลิ่น โดยจะจัยต้องได้ถึงกลิ่นอายกึ่งหวานกึ่งจืดหอมของลูกแพร์ที่จะมีความใสและเขียวกำลังดี เคล้ากับกลิ่นติดครีมมี่อ่อนๆ หอมหวานนุ่มเจือเปรี้ยวเขียวอ่อนๆ บางๆ และมีโทน Citrus เบาๆ ติดแห้งๆ ของมะกรูดฝรั่ง ที่จะเป็นการผสมผสานกันได้อัตลักษณ์ของกลิ่นที่ได้ความเป็นกลิ่นอายผลไม้เขตร้อนติดครีมมี่ และมีลักษณะกลิ่นที่ให้อารมณ์น้อยหน้าแบบครีมนวลชัดเจนมาก ซึ่งเปิดตัวมาก็บอกกันตรงๆ ไม่ซับซ้อนว่า ฉันนี่แหละ น้อยหน่า ในขวดของ Jo Malone” 

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเร็วพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลังเพราะจะนำเอาความเป็นโทนผลไม้เมืองร้อนเด่นกับการเป็นโทนน้อยหน่าเจือกลิ่นลูกแพร์หอมมาผสมผสานกับความครีมมี่ที่ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงมีลักษณะคล้ายกลิ่นอายของดอกไม้ขาวพอสมควรกับการให้โทนครีมมี่นวลๆ เย้ายวน แต่ไม่ได้หนักหน่วงจนแย่งซีนทุกสิ่งอย่าง กลิ่นมีความสมดุลย์กับการเป็นโทนผลไม้ที่มีความหวานหอมนวลติดครีมกำลังดี มีโทนออกทางดอกไม้หวานอ่อนๆเจือเขียวบางๆ กำลังงามเป็นตัวสนับสนุนอยู่ เลยทำให้ได้ความรู้สึกแบบกลิ่นอายดอกไม้เมืองร้อนติดครีมมี่ค่อนไปทางกึ่ง Suntan Lotion นิดๆ ที่คลอไปกับกลิ่นอายของน้อยหน่าหวานหอมได้อย่างน่าสนใจและยังไม่ข้นเกินไปคุมโทนความเป็นสไตล์ Cologne ได้อย่างดีอีกด้วย 

เมื่อความครีมมี่นวลๆ เริ่มมีลักษณะกลิ่นอายอบอุ่นติด Spicy หน่อยๆ เสริมเข้ามา และมีลักษณะโทนกลิ่นนวลหอมอัลมอนด์ติดขมปนนวลปนอบอุ่นติดไปทางยางไม้เจือไม้หอมที่เริ่มเปิดตัวออกมา ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่โทนน้อยหน่าจะจางไปแล้ว เหลือเพียงกลิ่นครีมมี่ดอกไม้จะเริ่มเบาลงไปกลายเป็นสายสนับสนุนที่ให้ความนวลครีมในกลิ่นแทน โดยที่จะให้กลิ่นโทนยางไม้ติดขมเจือเนื้อไม้ปนโทนวานิลลาหน่อยๆ และมีความอวลกึ่งแป้งของถั่วตองก้าที่สร้างความอบอุ่นอวลๆ กำลังดีกลายเป็นตัวหลัก ทำให้ภาพรวมของกลิ่นจะมีลักษณะเป็นโทนอบอุ่นติดลึกๆ ยางไม้เคล้ากลิ่นหวานครีมบางๆ อวลคลอผิวไปเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงเอาไว้ว่า Unisex แต่เอาจริงๆ กลิ่นค่อนไปทางผู้หญิงเกือบ 80% ได้เลยเพราะกลิ่นอายมาสาย Fruity Floral ชัดเจนมาก แม้ว่าช่วงท้ายๆ จะ Unisex ก็ตาม ซึ่งสามารถใช้ได้ตั้งแต่วัยเรียน ม.ปลายขึ้นไป กลิ่นแม้จะครีมมี่แต่ก็เข้ากับอากาศบ้านเราเลยเพราะไม่ได้หนักหน่วง เข้าได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ยกเว้นการใส่เพื่อออกกำลังกายเพราะมันไม่ใช่ทางเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปเรียกว่ายังไงก็รอด แต่ถ้าจะเอาไปสู้กับสายหวานยั่วทั้งหลายยาามท่องราตรี บอกเลยว่าอย่าเลย 

ความทน - เกินคาดไม่ใช่น้อย เพราะพื้นฐานเป็น Cologne ก็น่าจะราวๆ 4 ชม. แต่เอาจริงๆ ยาวไปที่ 6 - 8 ชม. ได้ไม่ยาก อิงตามจำนวนสเปรย์ สภาพอากาศ และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง เพราะส่วนตัวหลังจากใช้งานจริงลากยาวไป 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่าครีมมี่รอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ เบาๆ สไตล์ Whispering Scent ที่แบรนด์นี้ถนัด จนกลายเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

สรุป - เป็นกลิ่นครีมมี่ที่เหมาะกับหน้าร้อนมากเลยทีเดียว แถมใช้ง่ายมาก ที่สำคัญเป็นการผสมผสานกลิ่นออกมาจนได้กลิ่นโทนน้อยหน่าได้น่าสนใจจริงๆ เช่นนั้น ใครเก็บทันก็รักษายาวไปได้เลยเพราะ Limited เน้นๆ ส่วนอนาคตจะกลับมาอีกหรือไม่ก็ว่ากันอีกทีตามการตัดสินใจของแบรนด์ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.selfridges.com/MO/zh/cat/jo-malone-london-tropical-cherimoya-cologne-100ml_701-10020-690251058341/


วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Jo Malone - Jasmine Sambac & Marigold

Jo Malone - Jasmine Sambac & Marigold

ถ้าจับดอกไม้อย่างมะลิลาและดาวเรืองมาคู่กัน คิดว่ากิจกรรมต่อไปกับดอกไม้เหล่านี้คืออะไร ง่ายๆ ก็ร้อยมาลัยนั่นไง ซึ่งดอกไม้ 2 ประเภทนี้อยู่คู่บ้านคู่เมืองไทยมาอย่างช้านานแล้ว เรียกว่าคนไทยทุกคนคุ้นชินเป็นแน่แท้ รวมถึงชาวเอเซียโดยส่วนใหญ่ที่อยู่กับประเพณีที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธที่ต้องมีมาลัยมะลิกับดาวเรืองมาเกี่ยวด้วยเสมอ แต่ทางตะวันตกเขาไม่ได้รู้สึกอย่างเราๆ เพราะไม่ได้มีประเพณีอะไรแบบนั้น ซึ่งพอเขาได้มาเจอกลิ่นมาลัยก็อาจจะมีร้องอู้หูว อ้าหากันไปพอสมควร 

และสำหรับแบรนด์ Jo Malone เองเมื่อสุคนธกรหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการมาสร้างสรรค์กลิ่นอายสาย Cologne Intense หรือขวดดำ เมื่อได้มาเจอแหล่งผลิตมะลิลา (Jasmine Sambac) ที่อินเดีย และเจอประเพณีที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่ต้องใช้มาลัยมะลิและดาวเรือง ก็เลยเป็นที่มาของการสร้างสรรค์เพื่อความแปลกใหม่กับแบรนด์ซะเลย เช่นนั้น ความเป็นพวงมาลัยในแบบที่แบรนด์ Jo Malone ตีความออกมาสู่กลิ่นจะเป็นอย่างไรว่ากันที่รุ่นนี้เลย Jasmine Sambac & Marigold 

เปิดต้นกลิ่นมาก็เต็มๆ กับการเป็นกลิ่นโทนมะลิลาที่จะให้ความสดชื่นติดเขียวใส ติดหวานคมแต่ก็มีความนวลแบบดอกไม้ขาวรองพื้นกลิ่นอยู่ และมีกลิ่นออกทางติดยางๆ หน่อยที่ไม่ได้เด่นนัก ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นของดอกดาวเรืองมาตีคู่กันเลย ซึ่งดาวเรืองเวลาเราดมเราจะรู้สึกว่ากลิ่นมันเขียวๆ จืดๆ ยางๆ บอกไม่ถูก นั่นแหละกลิ่นของมันล่ะ ทำให้กลิ่นที่ได้ในภาพรวมสามารถทำให้เราร้องเพลง ค่าน้ำนมหรือว่า บุษบา - Modern Dog” กันได้เลย มันคือ พวงมาลัยที่ให้ความสดชื่นติดเขียวกำลังดี มีกลิ่นนวลๆ รองพื้นได้ชัดเจนมาก

เมื่อความสดชื่นเริ่มจะผ่อนตัวลงกลายเป็นสายสนับสนุน ความเป้นโทนดอกไม้เจือหวานนวลและมีความข้นในกลิ่นจะเริ่มเด่นขึ้นมา แต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้หนักหน่วงข้นคลั่ก เพราะยังคุมโทนสไตล์ Cologne แบบ Jo Malone อยู่ กลิ่นจะมีความหอมหวานนวลติดครีมอ่อนๆ ที่มีทั้งโทนมะลิ กลิ่นหอมเย้าอวลดึงดูดของกระดังงา และมีกลิ่นหวานใสติดน้ำผึ้งหน่อยๆ ที่ผสมผสานกัน แต่ในกลิ่นอายสายดอกไม้ขาวปนเหลืองที่มีความหวานที่มีกลิ่นดาวเรืองที่มีความเขียวเบาๆ เจือนั้น จะจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางตุ่ยๆ ที่เป็นโทน Indolic ตามธรรมชาติของมะลิที่มันจะมีกลิ่นติด Dirty แบบกลิ่นยางพาราให้รู้สึกได้ด้วย ซึ่งยังคุมโทนธรรมชาติของการเป็นดอกไม้ได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อพอผ่านไปซักระยะ กลิ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยเสริมเข้ามา คือมีโทนติดวานิลลาเจือแอมเบอร์ยางไม้หน่อยๆ ที่ทำให้กลิ่นหวานดอกไม้ขาว เริ่มจะมีอารมณ์ลักษณะแบบกลิ่นเทียนติดหวานเนียนๆ เจืออยู่ ทำให้รู้สึกได้แบบกลิ่นขนมที่มีดอกไม้เป็นส่วนประกอบและผ่านการอบเทียนมาแบบเบาๆ ก็ได้ หรือออกแนวอยู่ในสถานที่ทางศาสนาที่มีกลิ่นเทียนเสริมกลิ่นดอกไม้ก็สามารถ ซึ่งกลิ่นจะเริ่มอุ่นขึ้นตามลำดับ เพียงแต่ไม่ได้ออกแนวฮอตฉ่าแต่อย่างใด ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ กำลังดี จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจึงได้รู้ว่าตัวที่สร้าง Effect กลิ่นอบอุ่นติดกลิ่นคล้ายเทียนปนหวานนวลก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นนั่นคือ กลิ่นโทนแอมเบอร์และกำยาน Benzoin ที่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วง ให้ความสบายๆ เรื่อยๆ อบอุ่นผ่อนคลายกำลังดีมาเคล้ากับกลิ่นดอกไม้หวานนวลอ่อนๆ ที่ตามมาจากช่วงกลางซึ่งจะเป็นตัวรองพื้นที่มีอิทธิพลต่อกลิ่นภาพรวมพอสมควร แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนตัวหลักอย่างโทนกลิ่นมะลิติดเขียวดาวเรืองที่มีความตุ่ยอ่อนๆ ที่ยังคงอยู่แบบบางๆ On Top เป็นเลเยอร์บนสุดซึ่งจะได้ความอ่อนโยน ละเมียด สุภาพ และเรียบหรูกรุ่นออกมาไปเรื่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ลงไว้ว่า Unisex แต่เนื้อกลิ่นค่อนไปทางผู้หญิงราวๆ 75% ได้เลย เพราะมันมีความกุลสตรีไทยมากจริงๆ แต่จะว่าไป ไม่ใช่ว่าผู้ชายใส่น้ำหอมตัวนี้ไม่ได้ เพราะดอกไม้ประเภทนี้อยู่กับวัฒนธรรมของไทยเรามานาน เช่นนั้นยังไงผู้ชายก็ใส่ได้ ดูเป็นผู้ชายอ่อนโยนได้ดีเลยทีเดียว (ให้นึกถึงโป๊ป ในบุพเพสันนิวาสเข้าไว้ นั่นแหละอ่อนโยนแบบนั้นเลย) ยิ่งถ้าใส่กับเสื้อผ้าโทนสว่างขาวยิ่งเข้ากันมากๆ จริงๆ ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังอยู่แล้ว จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ควรข้ามไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ รวมถึงการใส่ยามค่ำคืน ถ้าแบบทั่วๆ ไปหรือออกงานก็ได้อยู่ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี เกรงว่าเดี๋ยวจะทำให้คนอื่นมีความตะขิดตะขวงใจจนแอบหลอนเอาได้ ข้ามไปจะดีที่สุด 

ความทน - ดีงามสมฐานะการเป็น Cologne Intense กับราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีผ่อนไปที่ 6 ชม.บ้าง ก็ตามแต่สภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้ความประทับใจได้เลย แล้วจะผ่อนลงมาเป็นปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว ที่ไม่หนักหน่วง ให้ความละเมียดกำลังดี แล้วเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย เป็น Jo Malone’s Style ชัดเจน 

สรุป - ใช่เลย มันคือ กลิ่นพวงมาลัยมะลิและดาวเรืองที่มีความสบายๆ กำลังดี ไม่หนักตามสไตล์ Whispering Scent ของ Jo Malone แต่ก็ทนมากขึ้นตามลักษณะของCologne Intense แน่นอนว่าฝั่งตะวันตกจะว้าวกับกลิ่นนี้มาก เพราะเขาไม่ได้มีประเพณีและวัฒนาธรรมที่เกี่ยวข้องกับดอกมะลิและดาวเรืองแบบสายเอเซียบ้านเรา แต่กับพวกเราอาจจะคุ้นไปหมดทุกสิ่งอย่างกับกลิ่นแบบนี้ ง่ายๆ ถ้าชอบกลิ่นพวงมาลัยที่เป็นธรรมชาติ ไม่หนักเกินไป และไม่ได้ดูยัดเยียดความเป็ยไทย ไท๊ย ไทยมากเกินกว่าเหตุ ตัวนี้เหมาะจริงจังกับการใช้งานแถมให้ความเรียบหรูอ่อนโยนมีระดับเกินคาดเสียด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - http://www.mimifroufrou.com/scentedsalamander/2019/01/jo-malone-jasmine-sambac-marigold-review.html

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: O Boticario - Malbec Noir

O Boticario - Malbec Noir 

O Boticario เป็นหนึ่งในแบรนด์สัญชาติบราซิลทางด้านเครื่องสำอางค์ ที่นอกจากจะได้รับความนิยมและแพร่หลายอย่างมากในประเทศของตัวเองแล้ว ยังแพร่หลายในทวีปอเมริกาทั้งเหนือ กลาง และใต้ ต่อที่ยุโรปบางประเทศ คือ ฝรั่งเศสและโปรตุเกส รวมถึงฝรั่งตะวันออกลางอย่าง UAE ตลอดจนข้ามมายังญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทเครื่องสำอางค์เป็นระดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ ลักษณะของธุรกิจก็จะประมาณเดียวกันกับ Yves Rocher หรือ The Body Shop ในบ้านเราที่มี Shop ให้ซื้อหาสินค้านั่นเอง 

นอกจากแบรนด์จะเด่นเรื่องของเครื่องสำอางค์ Skin Care และ Body Care ทั้งหลายแล้ว ผลิตภัณฑ์เด็ดของแบรนด์ก็มีน้ำหอมด้วยเช่นกัน ซึ่งมีเยอะมากที่สุดของแจ้เลย ต่าง Collection กันไปทั้งน้ำหอมผู้หญิงและน้ำหอมผู้ชาย ซึ่งเมื่อได้โอกาสมาเจอกับแบรนด์นี้ครั้งแรก ก็ต้องเอาน้ำหอมกลิ่นอายสายผู้ชายเจ้าเสน่ห์มาลองกันหน่อยกับการชูโรงกลิ่นอายของไวน์ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Malbec ว่าจะมาในลักษณะใดกับรุ่นนี้เลย Malbec Noir 

ไวน์แดงและองุ่น จะเป็น 2 โทนหลักที่เป็นหัวใจของน้ำหอมรุ่นนี้เลย เพราะจะเป็น Center Notes ที่อยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอม โดยคุมโทนความมีเสน่ห์ตามลักษณะกลิ่นอายแบบไวน์องุ่นเป็นพื้นฐาน โดยจะมีกลิ่นอายแบบผู้ชายสาBad Boy ติดค็อกเทลปนดาร์กหน่อยๆ เป็นตัวสนับสนุนในแต่ละช่วงให้กลิ่นมีมิติที่แตกต่างกันไป โดยในช่วงต้นความเป็นไวน์แดงและกลิ่นโทนองุ่นจะยังเป็นสายสนับสนุนคุมพื้นหลังอยู่ แต่กลิ่นจะยังมีความใสๆ ออกทางโทนน้ำผสมผสานกับกลิ่นของ Citrus กลั้วผลไม้ที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่พอสมควร โดยจะจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนCitrus ที่ค่อนไปทางเปรี้ยวติดขม ผสมผสานกับกลิ่นโทนสับปะรดและแอปเปิ้ลเขียว ที่กลิ่นจะไม่ได้เด่นและใสแจ๋วอะไรนัก เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนออกทาง Spicy ติดนวลๆ กึ่งกุหลาบ เย้ายวนโปร่งๆ ของพริกไทยสีชมพูที่เป็นตัวดึงโทนกลิ่นให้ไม่เป็น Citrus Fruity แบบโดดเด่นเกินไปนัก กลิ่นเลยจะไม่แย่งซีนโทนไวน์แดงที่เป็นฉากหลังเท่าไหร่ซึ่งจะผสมผสานกันได้ลักษณะแบบกลิ่นอายคล้ายน้ำพันช์ผลไม้รวมปนกลิ่นปร่านวลเจือกลิ่นไวน์เบา และเพียงไม่นานจะเริ่มจับต้องได้ถึงชั้นของกลิ่นที่เริ่มหนามากขึ้นและมีความ Spicy มากขึ้นที่ทยอยออกมาเสริมทัพตามลำดับ ทำให้ได้ความอวลๆ แมนๆ เข้ามามากขึ้นตามลำดับในการเข้าสู่ช่วงถัดไปที่จะเริ่มชัดเจนมากขึ้น และมีความอวลแน่นมากขึ้นอีกสเต็ป 

ในช่วงกลางกลิ่นลักษณะที่ค่อนไปทางแมนๆ ติด Bad Boy จะเริ่มชัดขึ้น เพราะเมื่อโทน Citrus ติดผลไม้ในตอนต้นมาเจอกับกลิ่นโทนลาเวนเดอร์ และมีโทน Fresh Spicy ที่ให้ความปร่าติดนุ่มปนซ่าของพริกไทยและเม็ดผักชี กลิ่นจะให้โทนแมนๆ ติด Bad Boy แต่ไม่หนักหน่วงมาก ยังคุมโทนความมีคลาสของเนื้อกลิ่นได้อย่างดีอยู่ ไม่ได้แน่นนัวแบบน้ำหอมชายสาย Bad Boy เสียส่วนใหญ่นัก ซึ่งกลิ่นสายแมนๆ นี้จะตีคู่กับโทนไวน์แดงและองุ่นที่ตอนนี้ก็เริ่มที่จะชัดเจนมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้ได้อารมณ์แบบผู้ชายแมนๆ จิบไวน์แดงได้อยู่ ซึ่งถ้าพินิจพิเคราะห์กลิ่นต่อจะเริ่มจับต้องได้ว่ามีโทนกลิ่นออกทาง Rooty ติดไม้หอมที่เป็นลักษณะของหญ้าแฝกผสมผสานกับกลิ่นที่ออกทางกึ่งแป้งอัลมอนด์ขมๆ กลั้วกลิ่นเขียวหญ้าแห้งค่อนไปทางนวลๆ ของถั่วตองก้า และกลิ่นโทนอบอุ่นแนวๆ แอมเบอร์อวลอุ่นนัวๆ ที่ค่อยเนียนแทรกเข้ามาตามลำดับด้วย จนเมื่อ 3 โทนสายเนียนนี้สามารถเทคโอเวอร์กลิ่นได้ทั้งหมด ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้าย ที่แน่นอนว่ากลิ่นขอวไวน์แดงและองุ่นยังคงสตรองอยู่ แต่จะเพิ่มความนวสปนอวลเย้าอบอุ่นมีเสน่ห์น่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งกลิ่นในช่วงกลางแม้โดยเทคโอเวอร์ก็จริง แต่ก็ลดทอนตัวเองมาเป็นสายสนับสนุนให้ความแมนในเนื้อกลิ่นต่อ รวมถึงจะมีกลิ่นอายแบบดาร์กหน่อยๆ น่าค้นหาจากพิมเสนที่เริ่มเปิดตัวมาให้รู้สึกได้ในช่วงนี้พร้อมกับกลิ่นโทนไม้หอมติดครีมมี่ของจันทน์หอม ปนกลิ่นอวลลึกสไตล์แอมเบอร์ปนโทน Musky ที่พอรวมกันทำให้ช่วงท้ายจะค่อนข้างครอบคลุมพอสมควรกับการเป็นกลิ่นอายผู้ชายเจ้าเท่ห์น่าค้นหาและเย้ายวนอวลอุ่นที่สตรองกำลังดี มีทั้งอารมณ์ดึงดูด อารมณ์เท่ห์ อารมณ์เจ้าเสน่ห์ อารมณ์แมนนิ่ง และอารมณ์ดาร์กนัวแต่ไม่ได้ข้นหนัก ออกแนวติดซีทรูมองทะลุได้เสียมาก ซึ่งจะไม่ได้มาสายตะบี้ตะบันพรีเซนต์ตัวเองว่ามีเสน่ห์ แต่มันคูลออกมาเองจากเนื้อกลิ่นที่มีอะไรมากกว่าน้ำหอมผู้ชายสายแมนเย้าทั่วไปนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้แล้ว เพราะมันกลิ่นแมนๆ จิบไวน์กันอย่างมีระดับ แบบที่ใส่ยามกลางวันได้อยู่ในบางสถานการณ์ที่ไม่ควรเป็นสายทางการจัดๆ นัก เพราะกลิ่นมันมีไวน์คนจะมองหน้าเอาได้ว่ากรึ่มก่อนมาพบปะทางธุรกิจหรืออย่างไร รวมถึงใส่ออกกำลังกายก็ไม่เข้าทางนัก แต่ถ้าใส่แบบอยู่ Office หรือทั่วๆ ไป ยิ่งกับชุดสีเข้มด้วยแล้ว เออ เท่ห์ Cool ไม่หยอกเลย ส่วนยามค่ำคืน ไม่ว่าจะออกงานหรือท่องราตรีบอกเลยจัดไป กลิ่นมีดีพอ และเรียกร้องความสนใจแบบมีชั้นเชิงได้ไม่ยาก 

ความทน - มากกกกกก เพราะใช้กี่ครั้งกลิ่นก็ลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้สบายๆ และสูงสุดที่เจอคือ 15 ชม. เลยด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเทียบกับสภาพผิวอื่นๆ ค่าเฉลี่ยก็น่าจะอยู่ที่ราว8 ชม. ได้ไม่ยาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ก็พลิกเกมมากระจายดีมากในช่วงกลางยาวนานพอสมควร ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ เข้าเข้าช่วงท้ายถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวเท่ห์ๆ ยาวไป 

สรุป - ไม่ได้ไก่กา แม้ว่าจะเป็นกลิ่นแมนๆ สายเจ้าเสน่ห์แต่ก็มีดีในตัวสูงที่สร้างออร่าแมนๆ จิบไวน์มีระดับได้อย่างลงตัว แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้มาสายนัวข้นมาก แต่แค่นี้ก็ถือว่าสร้างอัตลักษณ์โทนค็อกเทลไวน์ที่เข้ากับผู้ชายได้อย่างน่าสนใจมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.perfumemaster.com/o-boticario/malbec-noir-mens-cologne

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Serge Lutens - Jeux de Peau

Serge Lutens - Jeux de Peau

ถ้านึกถึง ขนมปังแล้วต้องมา Link กับน้ำหอมที่ให้กลิ่นนี้ มักนึกถึงน้ำหอมกลิ่นไหน?
 

เอาตรงๆ ก็ตอบได้ไม่ยากเลย เพราะจะนึกถึง Serge Lutens รุ่น Jeux de Peau ขึ้นมาทันที เพราะเป็นครั้งแรกจากการใช้น้ำหอมมาแล้วได้ดมกลิ่นนี้จินตนาการพร้อมมากกับการนึกถึงขนมปังฝรั่งเศสทาเนย และมีเมเปิ้ลไซรัปหวานๆ ใกล้ๆ ในห้องสีเอิร์ธโทนสว่างและอบอุ่น แต่กลิ่นไม่ได้แน่นจนเกินไป ให้ความรู้สึกเป็นกลิ่นอายแบบบรรยากาศเสียมาก นี่เป็นเพียงแค่ครั้งแรกที่ได้แค่เทส แล้วพอมาใช้จริงๆ นอกจากที่เห็นภาพตามที่กล่าวไว้ข้างต้น มันมีอะไรในเนื้อกลิ่นที่สัมผัสแล้วให้อารมณ์ที่หลากหลายอีกไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นนั้นก็ต้องเล่ากันหน่อยว่าจะเป็นในลักษณะไหน 

ก่อนที่จะเข้าเรื่องกลิ่น ก็ต้องว่ากันที่แรงบันดาลใจของน้ำหอมซักหน่อย ซึ่งที่มาที่ไป มาจากช่วงเวลาในวัยเด็กของ Serge Lutens เองที่จะมีช่วงที่แวะร้านขนมปังตอนกลับจากโรงเรียน แล้วหนีบขนมปังฝรั่งเศสท่อนยาวๆ วิ่งกลับมาให้คนที่บ้าน ซึ่งเป็นช่วงเวลาในความทรงจำที่สวยงามในวัยเด็กเลยทีเดียว จึงได้ถ่ายทอดออกมาเพียงแต่แฝงความเป็น Serge Lutens ที่ลุ่มลึกบางอย่างลงไปด้วย เพราะมันจะโต้งๆ เป็นเด็กถือขนมปังอย่างเดียวมันก็กระไรอยู่ เช่นนั้น ชื่อ Jeux de Peau เลยมีความหมายที่ค่อนไปทางเย้ายวนยามเมื่อแปลออกมาด้วยเช่นกัน 

กลิ่นเปิดจะเริ่มต้นที่กลิ่นของขนมปังที่ทำจากแป้งข้าวสาลีผสมผสานกับกลิ่นออกทางครีมมี่ติดนม โดยจะมีกลิ่นหวานไซรัปกับหวานเย้าติดหอมเครื่องเทศเจือเนื้อไม้ที่เด่นออกมาก่อน ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ออกทางอุ่นจ๋าจัดจ้านแบบขนมปังอบใหม่ขนาดนั้น แต่จะเป็นกลิ่นอายหอมแบบขนมปังฝรั่งเศสที่อบเสร็จแล้ววางไว้พอสมควรเสียมากกว่า ซึ่งจะไม่ได้ออกทาง Smoky อะไรนัก แต่เป็นความหอมแบบได้กลิ่นขนมปังโปร่งๆ กำลังดี อุ่นหน่อยๆ แบบบรรยากาศ เคล้าความหวานกลิ่นออกทางคาราเมลหรือไซรัปเมเปิ้ลติดสมุนไพรแห้งๆ แอบมีกลิ่นออกทางผลไม้ค่อนไปทางหวานบางๆ ประปราย ซึ่งกลิ่นเปิดเป็นอีกหนึ่งในรักแรกพบสำหรับคนที่ชอบกลิ่นอายโทนขนมแต่ไม่ได้เน้นหนักไปทางสายวานิลลา ชอคโกแลต หรือพวกวีปครีมมันๆ ได้เลย เพราะเป็นการสร้างอัตลักษณ์ของกลิ่นโทนขนมปังติดนมกำลังดี มีความหวานรายล้อมกำลังงามแต่โปร่งจมูกสร้างความรื่นรมย์ได้อย่างลงตัวจริงๆ 

และความเป็นขนมปังฝรั่งเศสก็ยังคงอยู่จนเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นเริ่มมีลักษณะที่ติดออกทางเนยๆ เข้ามาผสมผสาน ทำให้อารมณ์ขนมปังทาเนยเข้ามาร่วมด้วย แต่กลิ่นก็ยังไม่ได้ออกทางหนักหน่วงนัก ยังคงมีความโปร่งปนอวลหวานกำลังดี ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นโทนออกทางไซรัปคาราเมลหวานก็ชัดขึ้นมาในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน อารมณ์คือกลิ่นขนมปังฝรั่งเศสที่ยังอุ่นๆ หน่อยๆ ทาเนยแล้วกลิ่นฟุ้งออกมา เคล้ากับกลิ่นน้ำเชื่อมไซรัปที่มีโทนติดสมุนไพรปนกลิ่นผลไม้ติด Spicy บางๆ ซึ่งตอนนี้จะจับได้ชัดเลยว่าเป็นกลิ่นของชะเอมและดอก Immortelle รวมถึงกลิ่นผลไม้ที่ติดทางแอปริคอตที่ผสมผสานกันเป็นลักษณะของน้ำเชื่อมไซรัปที่มีความหอมหวานโปร่งดึงดูดและน่ากินไม่น้อยเลย ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้อีกหนึ่งโทนที่สร้างมิติให้บรรยากาศมันเป็นลักษณะของการกินขนมปังทาเนยราดไซรัปเข้ามาคือกลิ่นออกทางแป้งๆ ทำขนมปังหน่อยๆ ที่ทำให้ทุกอย่างประกอบกันอย่างดีและคุมโทนความรื่นรมย์ได้ชัดเจนรับช่วงต่อจากตอนต้นได้อย่างงดงาม 

เมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรจนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง คือ กลิ่นโทนไม้หอมครีมมี่นวลๆ ของไม้จันทน์หอมเริ่มแทรกตัวเข้ามาทีละหน่อย และกลิ่นโทนขนมปังทาเนยกับไซรัปเริ่มเบาลงกลายเป็นกลิ่นสนับสนุนสร้างอะโรม่าความหวานปนขนมปังอ่อนๆ แต่กลิ่นออกทาง Herbal หวานๆ ของ Immortelle ที่ให้ความหวานแห้งปนเมเปิ้ลไซรัปจะยังคงชัดเจนอยู่ กลิ่นจะเริ่มมีลักษณะแบบนวลละมุนปนอบอุ่นกำลังดี มีความค่อนไปทางกลิ่นอายแบบผิวกายที่มีกลิ่นขนมปังเจือไซรัปติดสมุนไพรหวานเย้าดึงดูด ซึ่งช่วงนี้นอกจากความรื่นรมย์ของกลิ่นโปร่งหอมหวานปนนวลแล้ว สิ่งที่ได้เต็มๆ คือ ความเย้ายวนปนเซ็กซี่ดึงดูดแบบเนียนๆ จะเรียบง่ายแต่ก็มีความลุ่มลึกซ่อนเร้นอยู่ด้วย เพราะกลิ่นมันให้ความรู้สึกแบบผิวกายนวลๆ ที่หอมหวานโปร่งควรค่าแก่การดมใกล้ๆ และไม่ไปไหนอยู่ดมกลิ่นต่อไปเรื่อยๆ มาก ง่ายๆ ก็ลองนึกภาพตามดูว่า ถ้าคุณกำลังกอดคนที่เรารักหรือชอบแล้วเขามีกลิ่นผิวกายที่ออกทางขนมปังอ่อนๆ หวานหอมโปร่งปนนวลสว่างๆ เย้าๆ ระเรื่อเบาๆ ให้รับรู้เป็นระยะ คุณจะเอาจมูกดมใกล้ๆ ผิวหรือถือโอกาสซุกดมเลยไหม? ถ้าใช่ นี่แหละ Jeux de Peau ให้โทนท้ายๆ เป็นลักษณะนี้เลย 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน แม้ว่าจะออกทางหวานแต่ไม่ได้ข้นไป มีความเรื่อยๆ มาเรียงๆ ดูเหมือนเรียบๆ แต่เอาอยู่ทุกสโตรกกลิ่นเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกเพศเลย อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย แต่ผู้ชายอย่าได้ใส่ใจ จัดไปเถอะ คนที่ได้รับกลิ่นจากเราจะได้ทั้งความรื่นรมย์และเย้าให้อยากอยู่ใกล้ได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันในแบบทั่วๆ ไป ที่เน้นสร้างความรื่นรมย์ปนเย้ายวนเนียนๆ ทางกลิ่น จะมีก็แต่การใส่ยามทางการที่อาจจะไม่เข้าทาง แต่ก็พอได้แบบจำนวนสเปรย์ไม่หนักมือนัก แต่ตัดการใช้เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย เพราะอาจจะทำให้จากที่จะไปฟิต กลายเป็นเดินไปจัดชิบูย่าฮันนี่โทสต์ 1 ก้อนคนเดียวให้รู้สึกว่าวันนี้ เราทำอะไรลงไปเสียเปล่าๆ ส่วนยามค่ำคืนใส่แบบโรแมนติค ออกงาน หรือทั่วๆ ไปได้หมด และสามารถใส่ไปท่องราตรีได้ด้วย ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่ได้ปล่อยพลังเย้ายวนเรียกแขกอะไรนัก แต่ก็สร้างเสน่ห์แบบเดินเข้ามาใกล้ๆ จะได้ความรื่นรมย์หอมหวานโปร่งที่ดึงดูดใจแบบเนียนๆ ก็เป็นได้ 

ความทน - กลิ่นทนดีงามเลยทีเดียว กับราวๆ 8 - 10 ชม. ซึ่งก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไป 12 ชม. สบายมาก กับการใช้งานที่ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าเปิดมากก็หวานโปร่งปนหอมน่ากินแบบที่ไม่ต้องข้นหนักและจงใจแต่อย่างใด แล้วจะลดลงมาที่ปานกลางมีความเรื่อยๆ ก่อนจะปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวเบาๆ ที่ให้ความดึงดูดแนรื่นรมย์เวลาอยู่ใกล้ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งพอผ่านซัก 8 ชม. กลิ่นถึงเป็น Skin Scent 

สรุป - ส่วนตัวนี่คือกลิ่นของ Serge Lutens ที่รักมากที่สุดของแบรนด์นี้เลย เพราะเป็นกลิ่นขนมก็จริง แต่ไม่ใช่ตะบี้ตะบันอัดแต่ขนมเข้าไป กลิ่นจะมีความเป็นบรรยากาศที่อบอุ่น สว่างนวล และหอมหวาน ที่ต่างเป็นจิ๊กซอว์ในการประกอบเข้าด้วยกันจนสร้างความประทับใจแบบองค์รวมได้ดีมาก ที่สำคัญมันยวนใจก็เพราะว่า Jeux de Peau แปลว่า “Play on (my) Skin” นั่นไง ถึงทำให้รู้สึกน่าดมไปตลอดจริงๆ ที่สำคัญบอกเลยว่าตอนนี้รุ่นนี้โดนเปลี่ยนสายไปเป็น Exclusive ที่เป็นขวด Bell Jar ไปเรียบร้อยแล้ว ง่ายๆ ก็เป็น Rare Item ไปแล้วล่ะ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttp://media.static-allbeauty.com/image/product/1/1600/1173321-serge-lutens-jeux-de-peau-eau-de-parfum-spray-50ml.jpg และ https://www.sergelutens.com/fr/jeux-de-peau-flacons-de-table-serge-lutens.html


วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Police - Icon Intense

Police - Icon Intense

จากการเล่ากลิ่นข้ามช็อตไม่ได้เรียงตามปีที่ปล่อยน้ำหอมของแบรนด์ Police ในสาย Icon ขวดนกอินทรีย์ออกมา เพราะมันดูหักมุมไปนิดในการเชื่อมโยงทางกลิ่น แต่มาเน้นที่ความน่าจะเป็นของกลิ่นที่ควรจะเรียงต่อกันมากกว่าโดยเริ่มจาก Police Icon ปกติในรุ่นแรกกับความเป็นผู้ชายลั่นล้า ข้ามไปที่ Icon Gold ที่ออกมาเป็นรุ่นสุดท้ายกับการเป็น Bad Boy ก่อน ตอนนี้ก็ได้เวลาของการมาเจอรุ่น Icon Intense ที่ควรจะเป็นตัวปิดท้ายความทรงพลังของสายนี้กันบ้าง ว่ากลิ่นจะสื่อสารออกมาอย่างไร แล้วทำไมถึงควรเป็นตัวขั้นสุดปิดท้าย 

Icon Intense เปิดตัวด้วยความเป็นโทน Herbal ปร่า Spicy ติดนวลที่จะเด่นที่กลิ่นอายของโทน Clary Sage ที่จะให้ความเป็นสมุนไพรที่อารมณ์คล้ายลาเวนเดอร์ที่ปร่าสดชื่น รวมถึงมีกลิ่นออกทางคล้ายหนังหน่อยๆ เจืออยู่ ที่เรียกว่ามากันแบบชัดเจนจัดเต็มปล่อย Bomb กันตั้งแต่แรก สร้างออร่าออกทางน้ำหอมชายกันอย่างชัดเจน เพียงแต่จะไม่ได้ยืนหนึ่งเด่นอยู่คนเดียวเพราะเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนหวานปนเผ็ดโปร่งๆ ของเม็ดกระวานที่เข้ามาเสริม แถมมีกลิ่นออกทางขมติดเปรี้ยวอ่อนๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่มาสายสนับสนุน เลยทำให้กลิ่นจะมีความเย้ามาดร้ายกันตั้งแต่ต้น กึ่งจะ Bad Boy เพราะกลิ่นโทนลักษณะที่มีสาHerbal เจอกับ Spicy เสริมด้วย Citrus ติดขม มักจะให้อัตลักษณ์ความแมนแบBad Boy แต่กลิ่นก็ไม่ได้ไปสายนั้นเต็มๆ ซึ่งต้องให้เครดิตกลิ่นโทน Aromatic ที่มีความติดกุหลาบเจือปร่าอ่อนๆ ของพริกไทยสีชมพู และกลิ่นโทนอุ่นๆ ติดคล้ายโทนวานิลลาเจือโทนไม้หอมที่เนียนเป็นฉากหลังอยู่ ทำให้กลิ่นที่ได้จะให้อารมณ์กึ่ง Bad Boy กึ่งเท่ห์ดึงดูดปนอบอุ่นมีเสน่ห์เสียมากกว่า ซึ่งไม่ได้ดูตะบี้ตะบันใส่ความหล่อร้ายหรือเจ้าชู้ลั่นล้าเข้าไปรัวๆ นัก 

เมื่อกลิ่นเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงให้รู้สึกได้ว่ามีโทนแป้งเริ่มเสริมขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นโทนอุ่นนวลเจือหวานกึ่งวานิลลาปนไม้หอมโปร่งๆ ที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่เริ่มจะให้ความเย้ายวนเป็นที่ตั้ง ซึ่งแน่นอนว่า Clary Sage ยังคงอยู่ไม่หนีไปไหน ยังคงให้ความเป็นโทนสมุนไพรเจือปร่านวลอยู่ แต่กลิ่นจะเริ่ม Soft ลงมาในระดับหนึ่ง ทำให้จะได้เลเยอร์กลิ่นที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวมาก เพราะจะได้ความปร่าปนนวลสมุนไพรตามติดด้วยกลิ่นหวานเย้าโปร่งๆ แล้วตามด้วยกลิ่นออกทางแป้งเจือกลิ่นโทนวานิลลาเคล้าไม้หอมที่อบอุ่น ซึ่งทำให้ช่วงนี้ได้ความรู้สึกแบบสมาร์ทปนเย้าอบอุ่นแบบผู้ชายที่มีลักษณะแบบหล่อเนี้ยบนิ่งดึงดูด และมีเสน่ห์แบบที่รู้ตัวเองทั่วพร้อมถึงชั้นเชิงและประสบการณ์ที่ตัวเองมีแบบไม่โจ่งแจ้ง เน้นค่อยๆ เย้าเนียนอุ่นไปเรื่อยๆ และเริ่มมีลักษณะกลิ่นอายเย้าเนียนอย่างพิมเสนเข้ามาทีละหน่อย จนเรช่วงท้ายที่เรียกว่าก็ต้องยอมเขาล่ะ เพราะกลิ่นจะให้ความนุ่มนวลชวนนัวและน่ากอด น่าเข้าใกล้เข้ามาได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นโทนกึ่งวานิลลาติดอุ่นมีความหวานจะเริ่มชัดเจนขึ้นมาว่าเป็นลักษณะของกำยาน Benzoin เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ออกทางหวานแหลม เพราะกลิ่นโทนต่างๆ ในช่วงกลางจะยังตามมาทำให้กลิ่นจะไม่ได้ไปสายข้นเกินไปรวมถึงพิมเสนให้กลิ่นที่เป็นโทนหวานโปร่งติด Earthy ดินๆ ปนไม้หอมเลยเพิ่มอารมณ์กลิ่นที่ดึงดูดแบบระเรื่อๆ เข้ามาด้วย ซึ่งทำให้ภาพรวมของกลิ่นเป็นโทนหวานที่เย้าและปลอดโปร่งมีเสน่ห์ในพื้นฐานกลิ่นที่เป็นโทนอบอุ่นน่ากอดน่าซุก ซึ่งแต่ละช่วงของน้ำหอมถือว่าทำกลิ่นออกมาได้มีคุณภาพ สร้างบุคลิกทางกลิ่นแบบผู้ชาย 1 คนที่มีลุคหล่อนิ่งแกมร้ายเรียกแขกให้สนใจ ก่อนจะมาหล่อสมาร์ทเย้ายวน แล้วหล่ออบอุ่นชวนกอดต่อเนื่องกันไปได้อย่างลงตัวและมีเสน่ห์จริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เอาจริงๆ น้องมหาลัยก็ใช้ได้ เพียงแต่กลิ่นจะออกแนวโทนอุ่นเย้าและเนี้ยบมากกว่าจะลั่นล้า ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ข้ามการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ซึ่งแนะนำให้ใช้จำนวนสเปรย์ที่เหมาะสมเพราะกลิ่นมาแรงพอสมควร เดี๋ยวจะจุกคอหอยไปเสียก่อนถ้ารัวมากไป และเผลอๆ ชาวบ้านจะด่าพ่อล่อแม่ในใจเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ได้หมดทั้งออกงานหรือท่องราตรี บอกเลยมันสร้างออร่าผู้ชายอบอุ่นมีเสน่ห์และสมาร์ทที่มีลูกล่อลูกชนและชั้นเชิงในการปล่อยเสน่ห์ของตัวเองได้ดีมาก 

ความทน - ดีงามมมมม เพราะยังไงก็ 8 ชม. ได้สบายมาก และมากกว่านั้นอีกยาวๆ อีกด้วย ส่วนตัวใช้ไป 4 สเปรย์ ยาวไปเลยจ้า 15 ชม. 

การกระจาย - กลิ่นมาเป็น Bomb กันเลยทีเดียว แบบมาถึงก็เรียกร้องความสนใจสุดๆ ก่อนที่จะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้าย แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเรื่อยๆ เมื่อผ่านไป 10 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

สรุป - ตัวนี้เป็นอีกสเต็ปของตัวปกติที่ลั่นล้าเรียกแขกรัวๆ และเป็นอีกขั้นของรุ่น Gold ที่เน้นหล่อร้าย Bad Boy มาสู่การเป็นหนุ่มสมาร์ทและมีประสบการณ์ในการบริหารเสน่ห์และความอบอุ่นของตัวเอง ซึ่งส่วนตัวยกให้รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ดีที่สุดในสาย Icon ขวดนกอินทรีย์เลย เพราะผสมผสานกลิ่นจนสร้างบุคลิกผู้ชายที่อบอุ่นมีเสน่ห์ดึงดูดและนวลนัวได้ดีแบบที่ไม่ต้องพยายามแต่อย่างใดจริงๆ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.perfumenz.co.nz/products/icon-intense-by-police-125ml-edp-for-men

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Al-Rehab - Choco Musk (Oil Perfume)

Al-Rehab - Choco Musk (Oil Perfume) 

กลิ่นโทนขนมหรือสาย Oriental ที่มักจะมีโทนกลางๆ แตะได้ทั้งความชอบหลังจากได้ดมไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย ง่ายๆ คือมีความ Unisex สูงมาก หนึ่งในนั้นที่เรียกว่ายืนหยึ่งมาเลยก็ว่าได้นั่นก็คือกลิ่นโทน Chocolate (ไม่รวมโกโก้หรือ Praline ที่บางครั้งจะชี้เฉพาะพอสมควรในการรับกลิ่น) ซึ่งกลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นโทนดึงดูดตั้งแต่แรกเริ่มได้ในทันทีเวลาที่ใครก็ตามได้กลิ่น เพราะความหอมมีเอกลักษณ์ของมันทำให้อยากของหวานก็มาก ซึ่งหลายๆ แบรนด์ที่ทำน้ำหอมโทนนี้ต่างก็สามารถเรียกแขกให้สนใจได้ไม่ยากเสียด้วย

ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะเห็นแบรนด์ทางตะวันตกปรุงกลิ่นโทนChocolate ออกมาเยอะพอสมควรเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่ว่าจะน้ำหอมแบรนด์ตะวันออกกลางจะทำไม่ได้ แถมทำออกมาแบบ 1 กลิ่นสามารถเลือกได้ทั้งแบบแอลกอฮอล์และ Oil Perfume ตามความต้องการอีกด้วย นั่นก็คือ Al-Rehab ซึ่งได้สร้างสรรค์กลิ่นอายชอคโกแลตออกมาได้อย่างน่าสนใจมาก และกลิ่นจะเป็นอย่างไรนั้นว่ากันเลยที่รุ่นนี้กับตัว Oil Perfume มาเล่ากลิ่นซะหน่อยอย่าง Choco Musk 

ชอคโกแลตกับวานิลลาจะเป็นตัวเอกหลักของน้ำหอมที่เป็น Center Notes อยู่ยงคงกระพันไปยันช่วงท้ายของน้ำหอมแบบไม่ลดราวาศอกเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นอายอื่นๆ ที่เข้ามาผสมผสานจะเป็นแค่ตัวประกอบสนับสนุนสายดันให้ตัวเอกทั้ง 2 มีความแน่นและชัดเจนมากขึ้นไปอีกเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นเปิดจะเริ่มจากลักษณะของกลิ่นแบบชอคโกแลตแท่งหรือแบบบาร์ที่กลิ่นจะไม่ได้หนักหน่วง ให้ความเป็น ชอคโกแลตนมปนวานิลลาแบบแห้งๆ มีกลิ่นกุหลาบบางๆ ที่โชยออกมาก่อน แต่หลังจากนั้น 

คุณหลอกดาวเพราะกลิ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาก เพราะกลิ่นจะเริ่มทวีความแน่นขึ้นตามลำดับและมีโทนที่อุ่นมากขึ้นด้วย ซึ่งจะสัมผัสได้จากโทนแอมเบอร์ที่กลืนเนียนไปกับวานิลลาทำให้ได้อารมณ์แบบชอคโกแลตนมที่ละลายลงในครีมวานิลลาอุ่นๆ จนได้วานิลลาชอคโกแลตร้อนกลิ่นหอมหวานอุ่นกรุ่นน่ากินชัดเจน แต่จะติดหวานแหลมหน่อยๆ ซึ่งตอนนี้เรียกว่าเป็นสวรรค์ของคนรักชอคโกแลตและวานิลลาแบบขนมและของหวานกันเต็มๆ กลิ่นจะดำเนินไประยะหนึ่งจะเริ่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นมีความหวานแหลมออกทางอบเชยที่เริ่มแย่งซีนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความเป็นชอคโกแลตจะมีเครื่องเทศผสมผสานเข้ามา ได้กลิ่นอายที่เป็นเลเยอร์กันคือจะได้กลิ่นหอมชอคโกแลตที่ติดหวานแหลมอบเชยก่อน แล้วตามด้วยกลิ่นชอคโกแลตหวานนุ่มวานิลลา ซึ่งทั้งหมดจะคุมโทนอุ่นไปเรื่อยๆ แบบยาวไปครอบคลุมช่วงท้ายของกลิ่นด้วย เพียงแต่ในช่วงท้ายกลิ่นจะมีความหวานติดยางไม้อุ่นๆ กึ่งถั่วบางๆ เคล้ากับกลิ่นโทน Musky ที่มาตัดทอนโทนหวานแหลมๆ ลงไปบางส่วน ซึ่งทำให้ความเป็นชอคโกแลตวานิลลาอุ่นในช่วงนี้จะมีความหวานกำลังดี สร้างความหอมหวานปนรื่นรมย์ไปเรื่อยๆ แบบสไตล์กลิ่นอายสายขนมไอ้อย่างลงตัวมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศที่ชอบชอคโกแลตและวานิลลา กลิ่นมันเป็นโทนขนมน่ากินที่มีความกลางๆ Unisex แตะได้ทุกเพศตั้งแต่วัย ม.ต้นขึ้นไปได้สบายมาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป ไม่เน้นอะไรที่ทางการจัดๆ แบบที่อากาศไม่ควรร้อนจัดเกินไป เดี๋ยวจุกชอคโกแลตวานิลลาเอาได้ และนอกจากไม่ค่อยเข้าทางยามทางการแล้ว ใส่ออกกำลังกายก็ไม่ควร อันนี้จะตีขึ้นเอาจุกคอหอยไม่พอเดี๋ยวได้ไปสั่งชอคโกแลตแมกม่าลาวาแบบเย็นเพิ่มหวานกินเสียก่อน ไม่ต้องออกกำลังกายกันพอดี ส่วนยามค่ำคืน บอกเลยจัดไป กลิ่นน่ากินน่าดมใกล้ๆ และน่าพึงใจที่จะดมต่อได้ไม่ยากเลยล่ะ 

ความทน - ดีมากกกกกก เพราะเป็น Oil Perfume ความทนเลยดีงามเกิน 8 ชม. ขึ้นไปได้สบายๆ ซึ่งส่วนตัวใช้หัว Roll On แต้มวนๆ ให้มีน้ำหอมออกมาติดผิว 4 จุด ล่อติดทั้งวันตั้งแต่ 6 โมงเช้ายัน 5 ทุ่มได้เลย ของเขาแรงจริงๆ 

การกระจาย - โดยทั่วไป Oil Perfume กลิ่นมักจะจม ตัวนี้ก็จมอยู่ แต่จมแค่ช่วงแรกที่ให้กลิ่นเหมือนจะเบาๆ แต่ที่เหลือ ปล่อยพลังความหวานเป็นบาเรียรอบตัวเลยจ้า ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 12 ชม. แล้ว 

สรุป - ถ้าชอบโทน Chocolate และวานิลลาอยู่เป็นทุนเดิม และชอบกลิ่นอายของ Montale - Chocolate Greedy หรือ Comptoir sud Pacifique - Amour de Cacao (ที่ตอนนี้หาย๊ากยาก) ตัวนี้โทนเดียวกันเลย ใช้ได้รับรองฟิน แต้มไม่ถึง 4 ที กระจายห่อหุ้มตัวเลยก็ว่าได้ ราคาไม่แพงมากอีกด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - 
https://www.scallopmode.net/al-rehab/3-alrehab-choco-musk.html

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: Parfum Satori - Iris Homme

Parfum Satori - Iris Homme 

กลิ่นของโทนดอก Iris ที่ให้ความเป็นโทนแป้งติดทึบแต่มีความ Airy เบาๆ ถ้ามาจากดอก และมีความเป็นลักษณะแบบแป้งอับทึบมีความติดเนยๆ มันๆ หรือชื้นๆ แล้วแต่การนำมาใช้ ถ้ามาจากหัวเหง้าของไอริสเองที่เรียกว่าเหง้าออริส ซึ่งทั้ง 2 โทนมักจะอยู่ในน้ำหอมผู้หญิงมาเสมอ จนเมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างสรรค์น้ำหอมที่แตกต่างมากขึ้น ทำให้ Iris เริ่มเข้าสู่การเป็นโทน Unisex และ
มาเป็นหนึ่งใน Note ที่สร้างความแตกต่างให้กับน้ำหอมชายมานักต่อนัก ซึ่งในความเป็นโทนดอกไม้เจือแป้งปนทึบอับเฉพาะตัวมันมีเสน่ห์ที่จะทำให้เป็นโทนที่เรียบง่ายมีระดับก็ได้ และเป็นโทนออกทางเมโทรก็สามารถในลักษณะของน้ำหอมโทนตะวันตก

และถ้าเป็นกลิ่นอายน้ำหอมตะวันออกสไตล์ญี่ปุ่นเน้นกลิ่นอายของผู้ชายที่เด่นในโทนดอก Iris ล่ะ จะเป็นยังไง เช่นนั้นแบรนด์ Parfum Satori ก็จะบอกให้รู้และให้ลองใช้ผ่านกลิ่นอายหนึ่งในน้ำหอมชายของแบรนด์ที่มีระดับและไม่ธรรมดาในรุ่นที่กำลังจะเล่ากลิ่นแบบนี้เลย 

Iris Homme เป็นการเล่าความเป็น Iris ที่สอดรับอย่างสมดุลย์มากกับการเป็นน้ำหอมชายที่มีความเรียบหรูมีระดับ นิ่งอย่างมีสไตล์ที่ทำให้เราเห็นภาพผู้ชายนิ่งๆ มีความสุขุมและสุภาพเป็นพื้นฐาน แต่ก็จะรู้สึกสดชื่นเวลาที่ได้เห็นและได้อยู่ใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้ได้อย่างน่าสนใจมาก ที่สำคัญมีลักษณะที่เป็นกลิ่นอายที่บอกถึงความเป็นญี่ปุ่นได้ชัดเลยทีเดียว โดยกลิ่นเปิดจะชัดเจนเลยทีเดียวกับการจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนดอก Iris ที่ให้ความเป็นแป้งติดอับอ่อนๆ ติดจืดเย็นที่เปิดตัวตั้งแต่ช่วงนี้ เพียงแต่จะมาในลักษณะรองพื้นเสียมาก ให้กลิ่นอายของโทน Citrus ของเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวติดแปร่งขมอ่อนๆ มีความหวานปลายกลิ่นตามธรรมชาติ สร้างอะโรม่าความสว่างแบบกำลังดีในกลิ่น โดยไม่ได้ไปสายเปรี้ยวคม หรือสดชื่นแบบติด Herbal ตามสไตล์ของน้ำหอมสายฝรั่งเศสแต่อย่างใด แต่ให้ความสดชื่นแบบนิ่งๆ ที่กลิ่นเลมอนชัดเจนในตัวแบบไม่โฉ่งฉ่าง แต่สิ่งที่จะจับต้องได้นอกเหนือจากเลมอน คือ กลิ่นโทนสะอาดนวลปนเปรี้ยวอ่อนๆ ของดอกส้มที่ทำให้กลิ่นช่วงต้นมีลักษณะที่เป็นโทนสว่างนวลปนสดชื่นนิ่งๆ ติดโทนแป้งดอก Iris ที่ออกทางชื้นหน่อยๆ ได้อย่างลงตัว 

แต่ไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะชั่วขณะจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายของเครื่องเทศโทนหวานเย้าที่มาแบบเบาๆ ของเม็ดกระวานที่จะเสริมขึ้นมาแบบเนียนๆ ในเนื้อกลิ่น แน่นอนว่าไม่หนักและไม่แย่งซีน แต่จะให้ความลุ่มลึกที่นอกเหนือจากกลิ่นสดชื่นนิ่งๆ และกลิ่นสะอาดนวลๆ ซึ่งทำให้กลิ่นจะเริ่มเข้าสู่โทนแห้งขึ้นตามลำดับจนเปลี่ยนเป็นช่วงกลางอย่างชัดเจนมากขึ้นเพราะความเป็น Iris จะกลายเป็นผู้นำทีมที่สร้างออร่าโทนแป้งนิ่งๆ สะอาดๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับอับหรือทึบมากเพราะจะมีโทนออกทางหวานโปร่งหน่อยๆ เข้ามาสมทบด้วย ซึ่งหนีไม่พ้นโทนของดอกไวโอเล็ตที่ให้โทนแป้งที่ออกทางหวานโปร่ง ซึ่งจะเป็นสายแป้งจากดอกไม้ที่ชัดเจน เพียงแต่ว่าทุกอย่างจะคุมโทนเป็นอย่างดีไม่ได้โดดหรือเด่นออกมา รวมถึงไม่ได้ไปทางสายกลิ่นออกทางผู้หญิงแต่อย่างใด เพราะต้องให้เครดิตโทนกลิ่นออกทางไม้หอมนวลๆ สุภาพและกลิ่นออกทาง Earthy ติดดินๆ บางๆ เคล้ากับความสดชื่นของเลมอนติดเครื่องเทศของกระวานในตอนต้นที่ยังตามมาในช่วงนี้ ที่ทุกโทนจะสอดรับกันอย่างสมดุลย์คุมโทนการเป็นน้ำหอมชายที่ให้ความรู้สึกเป็นโทน Iris สะอาด มีความเป็นโทนแป้งที่สุภาพกึ่งสดชื่นอ่อนๆ ค่อนไปทางแห้งๆ และมีความสุขุมในกลิ่นที่ออกทางไม้หอมอ่อนๆ เรียบแต่มีระดับ ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ไปสายสว่างมากไป และไม่ได้ดาร์กไปกลางๆ กำลังดีเป็นหลัก

และกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ นี่แหละ จะเริ่มชัดขึ้นตามลำดับจนนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่โทนกลิ่นดอกไม้เจือแป้งในช่วงกลางจะผันตัวลงมาเป็นกลิ่นสนับสนุนแทน ทำให้จับต้องได้ถึงกลิ่นอายไม้จันทน์หอมอ่อนๆ ให้ความนวลกำลังดี ซึ่งกลิ่นจะมีความอบอุ่นเข้ามาเสริม ซึ่งสัมผัสได้จากกลิ่นของโทนแอมเบอร์ที่มาแบบเบาๆ ทำให้กลิ่นมีโทนอบอุ่นประปรายในความนวล และคุมโทนสะอาดออกทางผิวกายหอมอ่อนๆ จากโทน Musk เจือแป้ง Iris ที่ติดกลิ่นเปลือกเลมอนบางๆติดเครื่องเทศปลายกลิ่นที่จะคลอผิวยาวไป ทุกอย่างยังคงสมดุลย์ เรียบง่าย ไม่โฉ่งฉ่าง ให้ความเรื่อยๆ มินิมัล สร้างออร่าสุภาพบุรุษที่ให้ความนิ่ง สุขุม สุภาพ เยือกเย็นแต่ไม่ได้เย็นชา เพราะมีความอบอุ่นแบบที่ให้อารมณ์แบบที่ผู้ชายควรจะต้องมีกำลังดีไปตลอด

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็ใช้งานตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นมีความสุภาพเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยที่มีความสดชื่นแบบนิ่งๆ เป็นธรรมชาติเป็นตัวปูทาง ซึ่งกลิ่นไม่ได้ดูตื้นๆ แต่อย่างใดในความเรียบง่ายที่ปล่อยออร่าออกมา เพราะมันซ้อนเลเยอร์อารมณ์กลิ่นแบบที่สุภาพบุรุษที่นิ่งดูเรียบๆ แต่มีเสน่ห์แบบที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จึงเหมาะกับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะออกงาน ทำงาน Office หรือทั่วๆ ไปแบบสบายๆ แต่อาจจะไม่ได้เป๊ะนักกับการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกาย เพราะกลิ่นมันไม่ได้ลั่นล้าและสาย Activities เท่าไหร่ ยกเว้นรอท้ายๆ แล้วไปลั่นล้าก็ว่ากันอีกเรื่อง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะดีกว่า เพราะยังไงก็สร้างออร่าสุภาพบุรุษที่นิ่งและมีความสุขุมวางตัวดีที่ชัดเจนมาก 

ความทน - กลิ่นทนเกินคาด เพราะว่ากลิ่นมาสายเบาๆ สุภาพ ก็คงน่าจะไม่เท่าไหร่ แต่กลิ่นลากยาวไปที่ 8 - 10 ชม. ได้นี่ถือว่าดีงามเกินคาด ซึ่งในส่วนนี้ก็อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางแบบไม่หนักในตอนต้น แต่ความสดชื่นนิ่งๆ ก็ชัดอยู่ แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ ยาวไป พอช่วงท้ายก็ Skin Scent ชัดเจน ที่กลิ่นจะตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัว ซึ่งตรงไปตรงมาเลยว่าน้ำหอมสุภาพกลิ่นก็จะสุภาพไม่เน้นรบกวนใครแต่ให้ออร่าที่มีระดับเป็นสำคัญ 

สรุป - Iris Homme เป็นกลิ่นที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีอะไรในกลิ่นที่ไม่ธรรมดา เพราะอารมณ์กลิ่นมันไม่เหมือนกับน้ำหอม Iris แบบทั่วๆ ไปแบบที่เรามักได้กลิ่นจากทางสายน้ำหอมตะวันตก และกลิ่นไม่ได้เป็นสดชื่นตะบี้ตะบัน ทุกอย่างถูกคุมโทนด้วย Concept ความสุภาพ สุขุม และความนิ่ง ที่มีเลเยอร์กลิ่นบอกอารมณ์ซ่อนอยู่ด้านในที่มีความเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ในความเรียบง่ายแต่ไม่ง่ายเพียงแค่ผิวเผิน ต้องค่อยๆ ซึมลึก ที่สำคัญให้ความเป็นกลิ่นอายแบบผู้ชายญี่ปุ่นนี่วางตัวดีและมีเสน่ห์แบบผู้ชายสายตะวันออกได้อย่างดีมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://thescentofman.wordpress.com/2016/01/29/parfum-satori-iris-homme-2010/


วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

Review: True Religion for Men

True Religion for Men 

ถ้าพูดถึงแบรนด์เครื่องแต่งกายสายยีนส์ที่ออกแบบออกมาได้เท่ห์และ Cool มาก หนึ่งในนั้นจะต้องมี True Religion อยู่ในนั้นแน่นอน กางเกงยีนส์อย่างงามจริงๆ นะนั่น ซึ่งแน่นอนว่านอกจากเรื่องของยีนส์และแฟชั่นที่เกี่ยวกับยีนส์ต่างๆ แล้ว ยังมีน้ำหอมที่เป็นสายสนับสนุนที่ดีเข้ากันเสื้อผ้าของแบรนด์อีกด้วย ซึ่งน้ำหอมก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวแม้ว่าจะไม่ได้มีไลน์น้ำหอมเยอะแยะมากม
ายก็ตาม 

ซึ่งหลังจากที่เคยเล่ากลิ่นน้ำหอมของแบรนด์นี้ไปเมื่อช่วงต้นๆ ของการทำ Review สารบัญน้ำหอม ในรุ่น Drifter ที่เป็นหนุ่มมาดแมนแกมฟรุตตี้ จากที่ห่างหายมานานมากก็ได้เวลากลับมาเจอกันอีกครั้ง และคราวนี้ขอมาที่น้ำหอมชายตัวแรกของแบรนด์ซักหน่อยว่ากลิ่นอายจะเป็นแบบไหนบ้างกับรุ่นนี้เลย True Religion for Men 

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายสไตล์น้ำหอมสดชื่นและมีความแมนกันแบบชัดเจน เพราะจะเป็นโทน Citrus ผสมกับโทน Herbal แบบที่ได้กลิ่นไม่ได้หวือหวานัก แต่มีคุณภาพดีเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นเด่นๆ จะเป็นเลมอนที่ออกทางเปรี้ยวแปร่งติดเปลือก กับใบเวอร์บีน่าที่ให้โทนออกทางเลมอนที่มีความเขียวสะอาด ที่ซ้อนด้วยกลิ่นโทน Herbal จากลาเวนเดอร์ที่ให้เป็นลูกคู่รองพื้น สร้างความแน่นในเนื้อกลิ่นกำลังดี สดชื่นแบบมีระดับ ไม่ได้ไก่กาแต่อย่างใด และเพียงไม่นานจะจับต้องได้ถึงลักษณะกลิ่นอายโทนเขียวใบไวโอเล็ตที่ให้ความเขียวแมนๆ ติดหม่นมีความเค็มนิดนึงผสมกับกลิ่นออกทางแตงกวาหน่อยๆ ทำให้กลิ่นในช่วงต้นกลายเป็นโทน Citrus Green Herbal ที่สะอาด สดชื่น เขียวนวลเย้า ที่ลงตัวมากเลยทีเดียว 

เพียงไม่นานโทนกลิ่นจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยโทน Citrus จะเบาลงไปเปลี่ยนเป็นโทน Aromatic มากขึ้นในช่วงกลาง เพราะกลิ่นอายของใบไวโอเล็ตจะเป็นตัวนำในช่วงนี้ ซึ่ง Effect ของโทนแตงกวาที่มาจากไวโอเล็ตจะชัดเจนพอสมควร เพียงแต่จะไม่ได้ไปสาย Aquatic มากเกินไป เพราะมีโทนเขียวอะโรม่าปนปร่าของจูนิเปอร์ที่ให้โทนเหล้าจินกับกลิ่นสนติดเขียวปร่าปนไม้หอมติดเขียวชื้นๆ ปนนุ่มแนวๆ สนเฟอร์ ทำให้กลิ่นจะมีเลเยอร์ 2 ชั้นคือ โทนเขียวหวานโปร่งติดแตงกวากับเขียวนวลปร่าๆ มีความนุ่มในเนื้อกลิ่นกำลังดี ซึ่งกลิ่นแบบนี้แหละ มีความเป็น American ม๊ากมาก เข้าทาง The Guy Next Door ที่หล่อและเท่ห์โดยมีออร่าความเขียวปนสะอาดรื่นจมูกกำลังดีไปตลอด ให้นึกภาพผู้ชายใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบสบายๆ ที่มีเสน่ห์ได้เลย กลิ่นบอกแบบนี้ชัดเจนมาก จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความหนาขึ้นมาหน่อยและกลิ่นเริ่มจะปรับเป็นโทนไม้หอมเจือ Earthy ติดดินปนเขียวที่มีความนุ่มมากขึ้น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นจะให้ความนวลนุ่ม กำลังดี มีลักษณะของโทนไม้หอมสะอาดๆ นุ่มๆ เคล้ากลิ่นน่าค้นหาเขียวแต่ไม่เข้มมากของ Oak Moss ที่ให้ความแมน และมีพิมเสนอ้อยอิ่งประปรายที่จะเป็นเลเยอร์แรกที่สัมผัสได้ แต่พอดมเข้าไปใกล้ๆ ผิวจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายโทนหนังเบาๆ ไม่ติดสาบกึ่งๆ หนังกลับที่เนียนอยู่ในนั้น ซึ่งทำให้กลิ่นมีโทนน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วยแบบเนียนๆ กลิ่นจะให้ออร่าผู้ชายสบายๆ สะอาดๆ ติดเขียวผ่อนคลาย โดยที่ยังคุมโทนความเท่ห์แมนแบบที่ไม่ได้ดูย้อนยุคแต่อย่างใด ให้ความ Modern ที่กำลังดี ไม่หวือหวาแต่เอาอยู่หมัดชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้อย่างสบายๆ กลิ่นอาจจะไม่ได้หวือหวาแต่มีออร่าความเท่ห์ แมน หล่อและมีระดับได้ดีไม่น้อยซึ่งสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันกวาดหมดได้เลย ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นนี้เอาจริงๆ กับอากาศบ้านเราใช้ได้สบายมาก ใส่ไปท่องราตรีก็ยังได้ เพียงแต่อาจจะสู้สายหวานแน่นอวลได้เหนื่อยหน่อย แต่ถ้าคิดไม่ออกบอกตัวนี้ยังไงก็รอดอยู่ดี 

ความทน - เกินคาดเพราะกลิ่นลากยาวไปที่ 8 ชม. ได้อย่างน่าพึงพอใจมาก และไปต่อถึง 10 ชม. ได้อีกด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้ความสดชื่นติดเรียบหรูมีคุณภาพมาเลยทีเดียว แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปซักระยะ ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงราวๆ 6 ชม. จึงผ่อนลงเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - เอาตรงๆ กลิ่นอายสไตล์แบบนี้ มันมีลักษณะที่เป็นโซนเดียวกับ Abercrombie&Fitch Fierce Cologne ได้เลย แต่กลิ่นไม่ได้เหมือนกันนะ แค่เป็นโซนกลิ่นเดียวกันในลักษณะของ The Guy Next Door ที่มีเสน่ห์ ซึ่งกลิ่นมีคุณภาพมากเลยทีเดียว แต่ที่จี๊ดมากนั่นก็คือ กลิ่นนี้เลิกผลิตไปแล้ว (มองบนกรอกตาเป็นวงกลม 360 องศากันเลยทีเดียว กลิ่นดีๆ ทำไมเลิกผลิตเก่งกันเหลือเกิน) 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.walmart.com/ip/True-Religion-Eau-De-Toilette-Spray-for-Men-1-7-Ounce/149877230