วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Berdoues - Assam of India


Berdoues - Assam of India

จากการก่อตั้งแบรนด์น้ำหอมและเครื่องสำอางค์มาตั้งแต่ป1902 แล้วก็ผ่านยุคผ่านสมัยมาถึง 4 รุ่นเลยด้วยกันจนถึงปัจจุบัParfums Berdoues หรือขอเรียกสั้นๆ ว่า Berdoues ก็คงความดีงามในการสร้างสรรค์น้ำหอมมาเสมอในสาย Cologne จนเป็นอีกหนึ่ง Brand Niche ใช้ง่ายจากเมืองน้ำหอมที่มีความโดดเด่นทางด้านการสร้างกลิ่นหอมที่ทำให้เกิดความสดชื่น สบาย ผ่อนคลายและปลอดโปร่ง จนค่อยๆ มีการต่อยอดมาสร้างสรรคกลิ่นอายสาย Eau de Toilette และ Eau de Parfum มากขึ้นตามลำดับในทุกวันนี้

และเมื่อแบรนด์นี้ได้เข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย แน่นอนว่ามีหรือที่จะพลาดในการจัดมาใช้ให้ฟินไปข้าง เช่นนั้นเลยเข้าสู่การเล่ากลิ่นแรกของแบรนด์นี้ในสาย EDP กับ Collection: Cologne Grand Cru ที่ได้ใช้งานจัดเต็มมาแล้ว ว่าจะเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้เลย Assam of India

เรียกว่าเป็นการคุยเฟื่องเรื่องชากันอย่างเต็มๆ ทั้งจากชื่อรุ่นที่มีความชัดเจนถึงความเป็นชาอัสสัม (ชาดำที่ปลูกที่รัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย ที่กลิ่นค่อนข้างจะเข้มข้น) เพียงแต่กลิ่นนี้จะไม่ได้มาลักษณะของการเป็นชาดำเข้มมากนัก เพราะจะเอาความเป็น Citrus มาตัดทอนให้มีความสดชื่น On Top บนเลเยอร์ของกลิ่นชา ซึ่งจะเปิดตัวกันอย่างชัดเจนที่กลิ่นอายของเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่นติดปลายหวาน แต่ไม่ได้มาแบบใสแจ๋วเพราะเนื้อกลิ่นมีลักษณะติดโทนสบูSpicy นิดๆ อวลๆ หน่อยๆ ทำให้อารมณ์กลิ่นจะเป็นลักษณะคล้ายหลังอาบน้ำกับสบู่เลมอนก้อนนวลกับบรรยากาศสดชื่น แล้วเพียงชั่วขณะกลิ่นชาดำจะค่อยๆ เปิดตัวออกมาเรื่อยๆ ผสมผสานกับโทนเลมอนในช่วงต้น ก่อนที่โทนสบู่จะเริ่มลดทอนลงไปเรื่อยๆ เปิดทางให้ช่วงกลางกลายเป็นกลิ่นชาดำเลมอนกันอย่างชัดเจน เนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์ชาดำกับเลมอนที่รื่นรมย์ปนสดชื่นกำลังดีและมีความเป็นธรรมชาติ ให้ลักษณะของโทนกลิ่นที่ให้ความน้อยสิ่งเรียบง่ายแต่มีระดับในตัวแบบมินิมัล ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้เป็นโทนเย็น Cooling เกินไปหรืออบอุ่นเกินไป มีความสมดุลย์กำลังดีระหว่างบรรยากาศรอบตัวสดชื่นยามเช้ากลิ่นชาอัสสัมอุ่นที่มีเลมอนฝานลอยในแก้ว ซึ่งกลิ่นจะตรงไปตรงมากันยาวๆ ในลักษณะนี้เลย

เมื่อโทนกลิ่นชาอัสสัมเลมอนเริ่มเทคโอเวอร์จนทำให้โทนกลิ่นสบู่นวลอวลเริ่มหายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่เลยคือโทนไม้หอมที่มาแบบเบาๆ สว่างและสะอาด โดยจะไม่ได้มาเป็นโทนกลิ่นที่เด่นนัก ออกแนวเป็นพื้นกลิ่นที่ให้มิติไม้หอมอ่อนๆ เวลาดมใกล้ๆ ผิวแทน ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นชาอัสสัมเลมอนยังคงโดดเด่นอยู่ตลอด ให้ความรื่นรมย์ปนสดชื่นมีระดับเรียบหรูและเรียบง่ายไปเรื่อยๆ ในการเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมรุ่นนี้จนกว่าจะจางไปตามเวล

เหมาะสำหรับ - กวาดหมดทุกเพศแบบ Unisex เต็มๆ โดยช่วงวัยตั้งแต่ ม.ต้น ขึ้นไปก็ใช้ตัวนี้ได้แล้วโดยที่กลิ่นไม่ซับซ้อนอะไร ให้ความสดชื่นรื่นรมย์กันยาวๆ จึงกวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ทั้งกลางแจ้งและในร่ม ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ ให้ความอะโรม่าในวันอากาศร้อนๆ จะดีมาก เพราะกลิ่นนี้ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเที่ยวผับ คลับ บาร์ แต่อย่างใด เพราะกลิ่นเบาไปถ้าจะเอาไปเรียกเรตติ้ง

ความทน - กำลังดีที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ แต่บวกลบได้อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ รวมการฉีดเสื้อที่สวมด้วย ซึ่งกลิ่นที่ติดเสื้อที่สวมอันนี้จะทนกว่าบนผิวชัดมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้ความสดชื่นปนนวลกันก่อน แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ พอเข้าช่วงท้ายถึงลดเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อพ้น 5 ชม. ไปแล้วจึงเป็น Skin Scent ในที่สุด

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นอายสาย Aromatic ที่เด่นที่ความเป็นชาอัสสัมเลมอนกันอย่างแท้ทรูมากๆ ซึ่งเรียกว่าใครชอบกลิ่นชาติดสดชื่นบอกเลยว่าตัวนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่ๆ เพราะให้ความครบถ้วนและตรงไปตรงมาของความเป็นชาและเลมอนได้อย่างงามๆ เลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/perfume/Parfums-Berdoues/Assam-of-India-31436.html


วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Ferrari - Leather Essence


Ferrari - Leather Essence

การจะมองหาน้ำหอมกลิ่นหนังดีๆ ที่ใช้ง่ายสำหรับมือใหม่หัดลองกลิ่นหนังเอาจริงๆ จะว่าไปก็ไม่ได้ง่ายมากนัก เพราะโทนกลิ่นมันมักจะมีความเป็น Animalic สาบหนังแบบที่อาจจะทำให้อึดอัด หรือบางครั้งกับอากาศเมืองไทยบ้านเราการใช้กลิ่นหนังมันก็จะดูหนักไป (เน้นเฉพาะสื่อสารกลิ่นหนังตรงๆ) แต่ใช่ว่าจะไม่มี กับแบรนด์ที่รู้จักกันดีกับการเป็นแบรนด์ Supercar ที่อยู่ในวงการน้ำหอมมาตั้งต่ปี 1999 อย่าง Ferrari ที่ได้ปล่อย Collection - Essence ออกมาเน้นที่ Note กลิ่นเด่นๆ โดยหนึ่งในนั้นก็มีรุ่น Leather Essence ที่ชูโรงกลิ่นหนังกับเขาด้วย ความดีงามจะปูทางออกมาอย่างไร ว่ากันตามนี้เลย

แรกฉีดความรู้สึกจะบอกกันอย่างชัดเจนเลยว่า กลิ่นนี้มาสายอวลแบบไม่หนักและเข้าถึงง่ายกว่าที่คิด เพราะเปิดต้นทางมาจะมีอารมณ์กลิ่นวูบของโทน Citrus ติดใสๆ ของส้มขมที่มีความติดปลายขมอารมณ์แบบกลิ่นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เจือๆ เข้ามาเจอกันก่อน แต่ก็จะตามด้วยกลิ่นอายโทนเครื่องเทศมาแทรกแซงแบบไวสุดๆ อย่างอบเชยที่ให้ความอวลอุ่นแกมความปร่าของกานพลูที่ไม่ได้มาหนักหน่วงมาก โดยพื้นกลิ่นจะมีความนวลออกทางลาเวนเดอร์แกมกลิ่นหนังที่ไม่ได้หนักมากนัก ทำให้กลิ่นในช่วงต้นมิติจะค่อนข้างลงตัวกับการเปิดตัวแบบสายเครื่องเทศอบอุ่นแกมปร่าที่มีความนวลกำลังดี อวลกำลังงาม ฉาบหน้าความเป็นหนังเบาๆ ได้ดีเลย

เมื่อความเป็นโทน Citrus ประปรายทั้งหลาย โบกมือลาไปจนหมดแล้ว ก็ได้เวลาของการเจอกันอย่างลงตัวของโทนเครื่องเทศที่แน่นอนว่ายังคุมโทนความอบอุ่นเจือปร่าอยู่ และแอบมีกลิ่นติดออกทางไม้หอมหน่อยๆ แกมความหวานอุ่นตามโทนที่ควรจะเป็นของอบเชยและกานพลูที่สมดุลย์กำลังดี ตีคู่กับโทนหนังที่เริ่มชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงติด Animalic นัก กลิ่นจะให้อารมณ์แบบเบาะหนังชั้นดีแบบกลางๆ ซึ่งเมื่อเจอกันจะได้อารมณ์หนังติดอบอุ่นเจือหอมอวลเครื่องเทศ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะอีกหนึ่งโทนที่จะเข้ามาร่วมทำให้กลิ่นในช่วงนี้มีความน่าสนใจมากขึ้นนั่นคือสายเครื่องเทศ Oriental ของถั่วตองก้าที่จะให้ความนวลครีมมี่กึ่งวานิลลากึ่งยาสูบออกทางโทนแป้งที่มีความหวานอวลกำลังดี ที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในการผสมผสานด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่าช่วงนี้คือ การเล่นโทนเครื่องเทศที่น่าสนใจมากกับเลเยอร์ที่มีความอบอุ่นติดปร่าไม้หอมซ้อนด้วยความอวลนุ่มหอมติดหวานแบบสมดุลย์บนผืนหนังที่เป็นพื้นกลิ่นได้ลงตัวมากและเกินคาดเลยก็ว่าได้ เพราะกลิ่นมีความสมดุลย์มากจริงๆ แม้ว่าโทนหนังจะยังไม่ได้เป็นตัวเอกหลักมากนัก แต่ก็จับต้องได้ตลอด

แต่ก็ปรามาสความเป็นหนังไม่ได้นะ เพราะเมื่อเข้าสู่ช่วงท้าย กลิ่นหนังนี่แหละที่จะเป็นตัวหลักที่คุมโทนกลิ่นทั้งหมดแบบกลิ่นหนังสะอาดๆ ไม่มีโทนสาบปนกลิ่นออกวานิลาเคล้ากลิ่นถั่วตองก้าที่มาในโทนแป้งอบอุ่นที่ทำให้กลิ่นมีความนวลละมุนเข้ามาร่วมด้วย แต่เนื้อกลิ่นก็ไม่ได้มีเท่านี้ เพราะว่าจะมีความเป็นไม้หอมติด Smoky อ่อนๆ ติดโทนไม้หอมที่ทำให้กลิ่นหนังมีลูกเล่นที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และยังมีความระเรื่อปลายกลิ่นติดหวานโปร่งเย้าเบาๆ ของพิมเสนและกลิ่นอบเชยอ่อนๆ ที่พอจับได้บางๆ ทำให้กลิ่นในช่วงนี้เป็นโทนหนังที่ให้ความนุ่มนวลติดอวลอุ่นกำลังดีและมีความสะอาดแกม Dirty บางๆ ที่ให้ความเท่ห์แกมมีระดับแบบที่เข้าถึงได้ง่าย ปิดท้ายการเป็น Leather Essence ที่เหมือนจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาในความสมดุลย์ของกลิ่นจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพราะเป็นกลิ่นหนังที่เข้าถึงได้ง่าย โดยที่ไม่ได้มีความหนักหน่วงดิบห่าม หรือว่าสาบปลุกเร้าจัดๆ อะไรแต่อย่างใด แถมด้วยความหอมอบอุ่นเครื่องเทศนวลๆ ที่มีเสน่ห์อีกด้วย ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่กิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายที่รอปลายช่วงกลางๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นอาจจะตีขึ้นเยอะเอาได้เวลาร่างกายทำความร้อนหรือโดนอากาศร้อนจัดๆ ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์หน่อย ก็ปล่อยของได้ไม่ยากไม่ว่าจะออกงาน โรแมนติค หรือว่าท่องราตรี

ความทน - ลงตัวกับค่าเฉลี่ยที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และสามารถไปได้มากกว่านั้นอีกถ้าจำนวนสเปรย์และสภาพผิวเอื้อมากพอ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. สบายๆ กับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กระจายดีในตอนต้นแค่ไม่นานก็จะกลายเป็นปานกลางกันไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 4 ชม. ที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้ว ก่อนจะค่อยๆ ปรับสภาพเป็นติดผิวหลังพ้นประมาณ 6 ชม.

สรุป - หลายๆ คนอาจจะมองว่า Ferrari เองทำน้ำหอมไม่ได้พีคหรือหวือหวา แต่มองในแง่ความเป็นจริงในการใช้งานบอกเลยว่า แบรนด์นี้ปรามาสไม่ได้เลย เพราะกลิ่นเองมีมาตรฐานที่ดีไม่ด้อยไปกว่าใคร และยังสร้างสรรค์กลิ่นหนังที่มีความสมดุลย์ในการสร้างออร่าความเท่ห์ปนอบอุ่นได้อย่างลงตัวและไม่ธรรมดาเสียด้วย เรียกว่าใครที่ต้องการกลิ่นหนังแบบที่ไม่หนักและใช้ง่าย ตัวนี้เป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกที่ดีเป็นลำดับต้นๆ เลยล่ะ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.incenza.com/6-parfums/17-parfum-homme/26079-ferrari-leather-essence/73104-ferrari-leather-essence-eau-de-parfum.html


วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Jo Malone - Dark Amber & Ginger Lily


Jo Malone - Dark Amber & Ginger Lily

จากที่ผ่านการเล่ากลิ่นอายสาย Limited Edition ที่เด่นกับกลิ่นอายโทนดอกบัวและธูปไม้หอมญี่ปุ่นของ Jo Malone ใน Collection - Kohdo Wood ที่เป็นสายสว่างอย่างรุ่น Lotus Blossom & Water Lily (เลิกผลิตไปแล้ว) มาก่อนหน้านี้ เพื่อให้ครบกับความเป็นหยินหยางที่แบรนด์ได้สร้างสรรค์ออกมา ก็ได้เวลาขยับเข้ามาที่รุ่นที่ออกมาคู่กันในการเป็นสายดาร์กไตล์ Jo กับการมาในความเข้มข้นที่มากขึ้นในการเป็น Cologne Intense ที่สื่อสารความเรียบหรูลุ่มลึกอย่างรุ่น Dark Amber & Ginger Lily กันบ้าง และแน่นอนว่ารุ่นนี้ได้ไปต่อในการวางจำหน่ายกันยาวๆ แบบไม่ได้เลิกผลิตเสียก้วย เช่นนั้น กลิ่นมีความดีงามอย่างไง ได้เวลาพิสูจน์

แม้ว่าจะมาแบบสายหยางที่เป็นโทนดาร์ก แต่ในเมื่อมาในความเป็น Jo Malone กลิ่นจะไม่ได้ข้นหนักมาก เพราะ Note กลิ่นหลัก ยังคงอยู่ที่ดอกบัวสายและธูปไม้หอมญี่ปุ่น ที่เรียกว่า Kohdo อยู่เช่นเคย แต่เอากลิ่นอายสาย Spicy และกลิ่นโทนไม้หอมเข้ามาสร้างออร่าน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวกับการเป็นโทนเครื่องเทศสายเผ็ดปร่าเด่นนำที่ขิงกันเต็มๆ แต่ไม่ได้มาสไตล์แบบกลิ่นขิงอวลๆ อุ่นๆ แบบน้ำขิงอุ่นแต่อย่างใด แต่มาแบบกลิ่นไอขิงเย็นๆ ที่มีความหวานเย้าระเรื่อๆ น่าค้นหาปนดาร์กของเม็ดกระวาน เจือกลิ่นนวลปร่าเจือฝาดติดกุหลาบอ่อนๆ ของพริกไทยสีชมพู ที่ให้ความรู้สึดติดสดชื่นปร่าเย็นๆ นิ่งๆ ซึ่งต้องยอมรับอย่างหนึ่งเลยว่ากลิ่นสาย Fresh Spicy เครื่องเทศปร่าเผ็ดโปร่งๆในช่วงนี้ให้ความเรียบนิ่งแต่มีระดับสูงมาก โดยไม่ต้องทำให้ดูร้อนแรงเปิดทางแต่อย่างใด และที่สำคัญสิ่งที่จับต้องได้เป็นมิติต่อๆ มาเนียนๆ คือกลิ่นออกทางดอกไม้ติดหวานอ่อนๆ ฉ่ำนิดๆ ระเรื่อๆ และกลิ่นไม้หอมที่ติดหอมจืดทึบของไมัจันทน์หอมที่เป็นพื้นหลังของกลิ่นที่ทุกอย่างสอดรับกันเป็นอย่างดี ซึ่งต้องให้เครดิตกับกระวานเลยที่เกลากลิ่นมาอย่างดีทำให้กลิ่นนี้มีออร่าดาร์กแบบซีทรูและน่าค้นหาแบบไม่โฉ่งฉ่างนัก รวมถึงมีความเรียบหรูนิ่งๆ อย่างมีระดับตั้งแต่ช่วงแรก

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะค่อยๆ มีขึ้นแบบเนียนๆ โดยการสลับสถานะตัวเดินกลิ่นเด่นมาเป็นกลิ่นอายโทนดอกไม้หอมหวานระเรื่อติดชื้นๆ ซึ่งจะจับได้ขัดเจนว่าเป็นกลิ่นของดอกบัวสาย (Water Lily) ที่จะให้ความหอมหวานติดชื้นๆ ปนจืดนิดๆ ที่มีลูกคู่อย่างมะลิที่ให้ความหวานใส และกุหลาบที่ให้ความหวานนวลแบบมาอ่อนๆ กันทั้งคู่เป็นสายสนับสนุนทำให้กลิ่นของบัวสายมีความชัดขึ้นมาอีกสเต็ป และจะมีกลิ่นออกทางกึ่งแป้งชื้นๆ ครีมมี่นวลสะอาดนิ่งๆ ของกล้วยไม้มาเป็นตัวเสริมทำให้กลิ่นจะได้มิติติดชื้นอ่อนๆ ปนกลิ่นนวลนิ่งๆ ที่มีโทนเครื่องเทศอย่างขิงและกระวานเป็นตัวสร้างความน่าค้นหาติดโทนดาร์กกำลังดี ไม่พอสิ่งที่ชัดขึ้นมาตีคู่กับสายเครื่องเทศเลยคือ โทน Incense ที่เป็นกลิ่นออกทางไม้หอมนิ่งๆ ขรึมๆ ซึ่งเป็นลักษณะแบบกลิ่นโทนธูป Kohdo ของญี่ปุ่น ซ้อนกับกลิ่นไม้จันทน์หอมที่มีความนวลกึ่งอับจืดหอมระเรื่ออะโรม่าทำให้ได้ลักษณะเป็นกลิ่นที่ได้อารมณ์สภาพแวดล้อมช่วงกลางคืนที่มีกลิ่นบัวสายชื้นๆ เคล้ากลิ่นควันธูปไม้หอมกึ่งกำยานอ่อนๆ แบบญี่ปุ่น แต่เพราะเนื้อกลิ่นเริ่มจะมีความอบอุ่นค่อยๆ เนียนเข้ามาเรื่อยๆ ในการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเปลี่ยนโทนจากช่วงกึ่งเย็นๆ ในตอนแรก (แบบสไตล์ Cologne) ก็จะเริ่มเป็นโทนติดอบอุ่นมากขึ้นตามลำดับโดยยืนพื้นที่กลิ่นอายไม้หอมติดธูปกำยาน Incense ญี่ปุ่น แต่ไม่ได้ถึงกับหนักแน่นหรือหนักหน่วงเกินไป เนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นหนังเคล้ากับกลิ่นอบอุ่นจนได้ความรู้สึกแบบผิวกายมนุษย์ที่ฉาบด้วยกลิ่นโทนไม้หอมเจือกลิ่นควันอะโรม่าที่ติดจืดหอมของไม้จันทน์หอมเคล้ากับกลิ่นพิมเสนสะอาดๆ บางๆ และกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ที่ยังมีเบาๆ อยู่ในช่วงนี้ ซึ่งโทนกลิ่นยังคุมโทนความดาร์กแบบมองทะลุผ่านได้สไตล์ซีทรู แต่จะมีโทนสว่างเข้ามาเจือๆ ให้มีมิติที่แตกต่างในการรับกลิ่นโดยสร้างความอะโรม่าแบบที่มีระดับและเรียบหรูอย่างมีชั้นเชิงและลงตัวมากจนกว่าจะจางไปจากผิว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าราวๆ 60 - 70% แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมากเพราะกลิ่นไม่ได้หนักหน่วงเกินไปนัก และสร้างออร่านิ่งขรึมน่าค้นหาได้มีระดับมากแม้จะเป็นสไตล์ Cologne ก็ตาม ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายที่ไม่แนะนำเท่าไหร่ เพราะกลิ่นไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ให้อารมณ์น่าค้นหาในความเรียบหรูได้ดีนักแล

ความทน - เพราะมาสายขวดดำ Cologne Intense ความทนเลยทำได้ดีมากเลยทีเดียวที่ราวๆ 8 ชม. อาจจะมีบวกลบบ้างราว 1 - 2 ชม. แต่ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมก็ลากยาวได้สบายตลอดวัน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางซักพัก ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวสร้างความน่าค้นหายาวๆ ไป จนเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. ถึงค่อยเป็น Skin Scent

สรุป - ไม่แปลกใจว่าทำไมกลิ่นนี้ได้ไปต่อกันยาวๆ ในสาย Cologne Intense ขวดดำ เพราะทุกอย่างของกลิ่นให้ความชัดเจนในการเป็นกลิ่นอายสไตล์มินิมัลที่มีความ “น้อยแต่มาก” และยังไม่พอยังให้ความเรียบหรูมีระดับแบบนิ่งๆ เข้าทางสไตล์ญี่ปุ่น + ผู้ดีอังกฤษเนียนๆ ได้ลงตัวและงดงาม ยอมมมมมมม

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credit https://scentfie.com/product/jml-dark-amber-ginger-lily/


วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Frederic Malle - French Lover


Frederic Malle - French Lover

เมื่อเห็นคำว่า French Lover กับการสร้างสรรค์ของสุคนธกรระดับปรมาจารย์อย่าง Pierre Bourdon (ที่ทำให้ Davidoff - Cool Water for Men และ YSL - Kouros เป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้) กับกลิ่นอายสาย Niche Perfume กับที่เป็นหนึ่งในรุ่นน้ำหอมของ Frederic Malle ในการเป็นน้ำหอมที่เจาะตลาดผู้ชาย ก็ตอกย้ำความน่าสนใจกันเต็มๆ เพราะอยากรู้ว่ากลิ่นอายการเป็นคนรักชาวฝรั่งเศสจะออกมาในรูปแบบไหน และเมื่อได้มาครอบครอง รวมถึงซึมซับกลิ่นในการใช้งานจนได้ที่ ก็ได้เวลาของการถ่ายทอดกลิ่นต่อว่ากลิ่นจะมีในแง่มุมไหน และเป็นอย่างไร

เกร็ด - แรกเริ่มตอนวางจำหน่ายรุ่นนี้จะมี 2 ชื่อแยกตามภูมิภาค คือ ถ้าวางจำหน่ายในยุโรปก็จะชื่อรุ่นว่า French Lover แต่ถ้าวางจำหน่ายใน USA ก็จะมีชื่อว่า Bois d’Orage แต่ปัจจุบันยุบรวมเป็น French Lover อย่างเดียวแล้ว

เปิดตัวออกมาด้วยความพุ่งแบบสายสมุนไพรเขียวเคล้าความเผ็ดปร่าแบบเต็มเหนี่ยว ซึ่งต้องยกให้ตัวเด่นในช่วงนี้เต็มๆ คือ กลิ่นของโสมตังกุย (Angelica) ที่จะให้ความเขียวเจือหวานปลายกลิ่นปนกลิ่นรากไม้แห้ง เสริมด้วยโทนเผ็ด Spicy ปร่าๆ แต่แอบมีโทนหวานเจือในเนื้อกลิ่นของพริก Pimento (ลูกคล้ายพริกหวานแต่มีขนาดย่อมและเล็กอวบกว่า) ซึ่งแค่นี้ยังไม่พอ เพราะจะมีกลิ่นยางไม้ที่เป็นกลิ่นเขียวขมคมๆ ของ Galbanum ที่เป็นตัวเสริมทำให้กลิ่นมีความฟุ้งพุ่งชัดเจนมากตั้งแต่ต้น และยังมีความอวลติดโทนแป้งทึบเนียนๆ เป็นมิติพื้นกลิ่นที่ทำให้กลิ่นมีความน่าสนใจที่นอกเหนือจากโทนสมุนไพรเขียวคมอีกด้วย เรียกว่าสาย Herbal & Spicy Loverจะชอบในความชัดเต็มทางโทนเผ็ดปร่ากันตั้งแต่แรกได้เลย รวมถึงเป็นการเปิดตัวน้ำหอมที่สื่อถึงลักษณะกลิ่นเด่นในโทนสายน้ำหอมฝรั่งเศสที่มักเด่นด้วยกลิ่นโทน Herbal เลยก็ว่าได้

เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพราะโทนไม้หอมติดแห้งๆ เริ่มชัดเจนมากขึ้นตามลำดับจนตีคู่กับกลิ่นโสมตังกุยปนเครื่องเทศที่ยังมีความคมอยู่จากช่วงต้น สิ่งที่จะจับได้ชัดเจนเลยคือโทนไม้ซีดาร์ที่ให้ความเป็นไม้หอมปร่าขรึมและกลิ่นโทนหญ้าแฝกที่ให้ความเป็นรากไม้แห้งๆ ที่จะมีโทนยางไม้แนวๆ Frankincense ที่ให้ความปร่าเจือเนื้อไม้แนวสนหน่อย ซึ่งจะรวมกันเป็นกลิ่นโทนไม้หอมที่มีลักษณะเป็นกลิ่นเนื้อไม้ปนไม้แห้งติดดินและมีโทนสว่าง เป็นฟากหนึ่งของกลิ่น ส่วนอีกฟากยังคงเป็นโทนสมุนไพรปนปร่าที่ให้ความคมอยู่กำลังดี ปลายกลิ่นจะมีความหวานอ่อนๆ ปนเขียวหน่อยๆ ที่สำคัญโทนติดแป้งที่เป็นพื้นกลิ่นในตอนต้นยังตามมาในช่วงนี้ด้วยสถานะเดิม กลิ่นเลยยังคงมีตัวเสริมช่วยความอวลอยู่ ทำให้ได้อารมณ์ตีคู่ที่หอมกลิ่นไม้แห้งเจือสมุนไพรปร่า โปร่ง และอวลได้ลงตัวมากเลยทีเดียว ก่อนที่กลิ่นจะเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ในการพลิกเอาโทนไม้แห้งๆ ติด Earthy ดินๆ ของหญ้าแฝกมาเป็นตัวเดินกลิ่นหลักในการเข้าสู่ช่วงท้าย กลิ่นจะเริ่มมีความนวลเข้ามาร่วมด้วยจาก Musk ที่ทำให้กลิ่นไม้มีความนุ่มขึ้น แต่ยังคุมโทนความเป็นกลิ่นติดเผ็ดปร่าเจือเขียวบางๆ อยู่เช่นเดิม และกลิ่นจะมีโทนออกทางขมเข้มเนียนๆ ของ Oakmoss เข้ามาร่วมด้วย ทำให้ช่วงท้ายเลเยอร์กลิ่นจะมีความเป็นไม้แห้งเจือสมุนไพร ตามด้วยความเขียวติดขม และความนวลกึ่งไม้หอมเจืออบอุ่นกำลังดี คุมโทนสว่างนวลสร้างอารมณ์กลิ่นแบบสุภาพบุรุษที่คาบเกี่ยวความ Classic กับ Modern ได้อย่างลงตัวและมีความมินิมัลน้อยแต่มากที่รื่นรมย์มากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นจะสร้างออร่าสุภาพบุรุษอย่างมีชั้นเชิง โดยให้ความชัดเจนเรื่องสมุนไพรและไม้หอมกันเต็มๆ เอาจริงๆ น้องๆ มหาลัยก็สามารถใช้งานได้อยู่ เพียงแต่กลิ่นจะอัพให้รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นมาหน่อย ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบที่เน้นขับความ Cool และความเป็นสุภาพบุรุษที่มีระดับ ซึ่งไม่เข้ากับการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกาย แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็พอไหว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าช่วงโรแมนติคจะเข้าทางที่สุด

ความทน - เรียกว่าดีงามกับ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และสามารถไปได้มากกว่านั้นได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 12 - 15 ชม. ทุกครั้งที่ใช้ราวๆ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เพราะความคมพุ่งนั่นเลยที่กระจายรอบตัวสุดๆ แต่พอเข้าช่วงกลางจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ และคงตัวกันยาวไปจนถึงช่วงท้ายที่จะค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัว เดินสวนหรืออยู่ใกล้ๆ จะได้กลิ่น

สรุป - กลิ่นสร้างความรู้สึกว่าเป็น “คนรักชาวฝรั่งเศส” ไหม? อันนี้ตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้คือ ความเป็นสุภาพบุรุษที่มีความนิ่งขรึมมีเสน่ห์แกมหรูหรามีระดับในโทนสว่างในสายไม้หอมกับสมุนไพรที่มีความงามทางกลิ่นที่ลงตัวมากจริงๆ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.fredericmalle.eu/product/19566/50222/perfumes/french-lover/by-pierre-bourdon

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Strangers Parfumerie - San Clemente


Strangers Parfumerie - San Clemente

จาก Oliver ที่สร้างความประทับใจในเนื้อกลิ่นและถ่ายทอดคาแรคเตอร์ได้อย่างหมดจดและมีชั้นเชิงของ Strangers Parfumerie กับการสร้างสรรค์น้ำหอมที่มีแรงบันดาลใจมาจากหนึ่งในตัวละครหลักของภาพยนตร์เรื่อง Call Me by Your Name ผ่าน Collection - LTBGIQ ที่ได้ผ่านการเล่ากลิ่นไปก่อนหน้านี้ ซึ่งแน่นอนเมื่อมี Oliver ก็ต้องมี Elio ที่เป็นอีกหนึ่งในตัวละครหลัก เช่นนั้น การเติมเต็มเพื่อ Tribute ผ่านกลิ่นที่จะสื่อสารถึงความเป็น Elio จึงแยกออกมาเพื่อบอกเล่าในมุมที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะมีความพิเศษเฉพาะโดยการอ้างอิงถึงคำว่า San Clemente อยู่ในนิยายและภาพยนตร์เรื่องนี้

San Clemente Syndrome เป็นถ้อยคำที่บัญญัติขึ้นมาในนิยาย Call Me by Your Name ที่เป็นอาการอย่างหนึ่ง ที่ไม่อยากให้ตัวเองลืมความทรงจำที่ผ่านมาต่างๆ ซึ่งแม้ว่ามันจะเจ็บปวด แต่มันก็ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตมาเสมอ เปรียบเสมือนเป็นการเก็บทุกสิ่งทุกอย่างในการเดินทางของเราผ่านช่วงเวลา และช่วงเวลานั้นๆ ก็เดินทางผ่านเรา ที่แม้บางทีอาจจะให้เราเจ็บปวดก็ตาม ซึ่ง Elio เองก็เก็บทุกอย่างที่เป็น Oliver ยามที่ได้อยู่ด้วยกันไว้ในความทรงจำของตัวเองและกรอเทปนั้นวนเวียนอยู่เพื่อไม่ให้ลืมไปตลอด

และการเล่าเรื่องราวผ่านกลิ่นที่เดินเข้าสู่ความทรงจำที่บอกถึงสิ่งที่เป็นตัวของ Elio ไม่พอ ยังเล่าเรื่องราวอารมณ์ที่ซับซ้อนต่างๆ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแบบนี้

หน้าเตาผิง - กลิ่นอาย Smoky ของการเผาไหม้ที่ลอยเข้ามาเป็นระยะๆ ไม่หนักหน่วงแต่มีความชัดเจนกับกลิ่นอายที่มีโทนติดนิ่งเย็นในอากาศ คือ พื้นฐานกลิ่นที่จะอยู่กันยาวๆ ตั้งแต่ต้นยันจบเป็น Background เสมือนเป็นสัญลักษณ์ทางกลิ่นสร้างความรู้สึกและสื่อสารถึงความทรงจำ ซึ่งมาเต็มถึงฉากสำคัญในช่วงท้ายของภาพยนตร์เลยทีเดียว

ความทรงจำของการพบเจอ - อารมณ์กลิ่นที่นอกเหนือจากกลิ่นอาย Smoky ของควันที่เป็นฐานกลิ่น สิ่งที่โดดเด่นมาเลยทีเดียวในช่วงแรกคือโทนกลิ่นที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นโทนไวน์แดง เชอร์รี่ และผลไม้ที่ออกทางโทนสีแดงที่วูบเข้ามาก่อนเลย โดยเนื้อกลิ่นจะมีลักษณะอารมณ์แบบบรรยากาศหน้าร้อนหน่อยๆ ร่วมด้วย แต่วูบถัดมาสิ่งที่เข้ามาเสริมและตีคู่ไปกับโทนไวน์แดงและผลไม้คือ กาแฟดำ อารมณ์แบบกลิ่นเหมือนจะยังค่อนข้างมีความเป็นเอกเทศเป็นของตัวเองกันอยู่ ทำให้รู้สึกแบบเป็นความเห็นส่วนตัวในรูปแบบกลิ่นอายสัญลักษณ์ที่สื่อสารอยู่พอสมควร เช่น ไวน์แดง = อิตาลี และกาแฟ = อเมริกัน เลยเชื่อมโยงเข้ากับความเป็นช่วงเปิดตัวของน้ำหอมแบบที่เป็นความทรงจำของการพบปะกันครั้งแรกระหว่าง Elio (อิตาลี) และ Oliver (อเมริกัน) โดยที่ยังไม่ได้เข้ากันได้นัก แต่ทั้ง 2 โทนต่างมีความดึงดูดกันทั้งคู่ และยิ่งมีกลิ่นเชอร์รี่ที่บ่งบอกถึง Sex Appeal บางอย่างที่เพิ่มความดึงดูดเข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้กลิ่นค่อนข้างชี้ชัดไปในเรื่องความดึงดูดและเย้ายวนเนียนไปกับกลิ่น Smoky ที่เป็นพื้นกลิ่นอย่างลงตัวและไม่เหมือนใคร

ความทรงจำของห้วงความรัก - เมื่อความรักเกิด การเปลี่ยนแปลงของโทนกลิ่นจึงเริ่มชัดเจนมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นไวน์แดงและกาแฟยังตามมาเป็นผู้เล่นในช่วงนี้ด้วย แต่จะมีกลิ่นโทนที่สร้างอารมณ์ดึงดูดเข้ามาอย่างยาสูบที่ติดหวานโปร่งเจือควันไอและโทนติดแป้ง Sexy อับบางๆ ดึงดูดของดอกไอริสที่มีโทนกลิ่นหนังเนียนๆ คลออยู่ ตามด้วยความโรแมนติคเนียนๆ ของกุหลาบ และมีโทนหวานผลไม้ปน Metallic ลึกล้ำเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วยซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นของลูกทับทิมและกลิ่นหวานอมเปรี้ยวหอมแนวๆ กึ่งพีชกึ่งแอปริคอต (ซึ่งเป็นเชิงสัญลักษณ์ในความเห็นส่วนตัวพอสมควร เพราะในเนื้อเรื่องภาพยนต์มีเรื่องเกี่ยวกับลูกพีชอยู่ด้วย) ซึ่งกลิ่นทั้งกาแฟและไวน์แดงจะเริ่มเป็นเนื้อเดียวกันให้อารมณ์สีแดงเข้มดาร์กเย้าและนัวและมีความอบอุ่นเนียนๆ เรียกว่าเป็นช่วงที่ทั้ง 2 คน ต่างปรับจูนและเข้าถึงกันและกันได้อย่างชัดเจน โดยที่จะมีห้วงอารมณ์กลิ่นที่เข้ามาร่วมผสมผสานสร้างลักษณะกลิ่นที่ได้ทั้งโทนโรแมนติคก็ได้ เย้ายวนค่อนไปทาง Sexy Erotic ก็ชัด และความลุ่มลึกของอารมณ์อบอุ่น ที่แกมความถวิลหาด้วยกลิ่นอาย Smoky ที่เป็นฉากหลังเคล้ากลิ่นที่ให้ลักษณะคล้ายกลิ่นหมึกขอOakmoss และหนังเข้มแต่ไม่ได้ออกทาง Animalic จัดๆ จะเริ่มเปิดตัวออกมาทีละหน่อยๆ

ความทรงจำของการร้างลาและความแหลกสลาย - สิ่งที่ค่อนข้างมีความเก๋อย่างหนึ่งในช่วงนี้เลย คือ โทน Smoky เริ่มจะมีความสตรองมากขึ้นและจะมีความดาร์กของโทนกลิ่นเข้ามาผสมผสานแบบพลิกเกมไปจากช่วงต้นๆ พอสมควร ซึ่งกลิ่นโทนหนังและ Oakmoss จะเริ่มสร้างออร่าความดาร์กมากขึ้นตามลำดับ โดนที่มีโทน Incense เป็นตัวสร้างความเศร้าในเนื้อกลิ่นได้อย่างชัดเจนมาก ซึ่งในบางวูบจะจับได้ถึงโทนสะอาดแบบเสื้อเชิ้ต (ที่เป็นกลิ่นสไตล์ Oliver) ที่วูบมาให้จับต้องได้บางๆ เคล้ากลิ่นไวน์แดงและกาแฟดำอ่อนๆ กลิ่นจะค่อนข้างอบอวลและซึมลึกในความรู้สึกในลักษณะโทนดาร์กแบบมีชั้นเชิงและมีลูกเล่นมิติอารมณ์กลิ่นที่ค่อนไปทางเศร้าและอวลอึนแบบที่ไม่ได้ถึงกับทำให้อึดอัด แล้วจะกลับมา Smoky ชัดๆ อีก วนกันไปมา ซึ่งทุกอย่างเหมือนเดินกลับมาที่จุดเริ่มต้นคือหน้าเตาผิงอีกครั้ง พร้อมกับกลิ่นอายที่ดาร์กอ้อยอิ่ง ค้าง และเป็นตะกอนในอารมณ์ที่ให้ความรู้สึกเศร้าสร้อย จนเมื่อเราได้หยิบน้ำหอมขวดนี้มาใส่อีกครั้งความ San Clemente Syndrome ก็จะวนเข้ามาหาอีกเรื่อยๆ แบบที่ Elio ไม่เคยลืมและไม่ยอมที่จะลืม Oliver ไปได้เลย และทั้งคู่ต่างก็ไม่เคยลืมกันและกัน อ้างอิงจากบทสนทนานี้ในฉากคุยโทรศัพท์

Elio - Elio, Elio, Elio, Elio, Elio, Elio
Oliver - Oliver, I remember everything.

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นมีลักษณะแบบให้ความรู้สึกและอารมณ์ทางศิลปะเสียมากกว่าเลยทำให้ไม่มีการเจาะจงที่เพศใด และกลิ่นก็กลางๆ มากพอที่จะใส่ได้หมดทุกเพศ ซึ่งกลิ่นพอใส่กับยามทางการได้แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม หรือใส่ทั่วๆ ไปเพื่อละเมียดไปกับอารมณ์กลิ่นที่สื่อออกมา แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืน เอาจริงๆ ถ้าไม่ได้ต้องอิงอารมณ์เดียวกับภาพยนตร์ สามารถใส่ออกงานหรือท่องราตรีได้ เพียงแต่กลิ่นจะออกทางโทนหม่นหน่อย ซึ่งถ้าเน้นใส่เพื่อความน่าค้นหาก็สามารถ

ความทน - มากกกกกก เรียกว่า 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่กันยาวๆ ซึ่งถ้าตีค่าเฉลี่ยสภาพผิวยังไงสามารถแตะได้ที่ 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาปานกลางกันยาวๆ และเสถียรน่าดูชมมาก จนเมื่อผ่านไป 6 ชม. ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนเมื่อผ่าน 10 ชม. ไปแล้วถึงค่อยๆ เป็น Skin Scent ในที่สุด

สรุป - ถ้ามองในแง่ของคนที่ไม่เคยได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ นี่คืออีกหนึ่งกลิ่นที่มีความซับซ้อนและลูกเล่นในแต่ละช่วงกลิ่นที่ไม่ธรรมดา โดยมาสายกลิ่นอายสร้างความรู้สึกที่นิ่งอวลน่าค้นหาแต่ซับซ้อนหลากหลายอารมณ์ที่อยู่ภายใน ที่เป็นอีกหนึ่งในงานศิลปะที่แต่ละคนสามารถจับต้องได้แตกต่างกันและสร้างประสบการณ์การใช้น้ำหอมที่มีความเฉพาะตัวได้ดีมาก แต่ถ้ามองในแง่ของคนที่ได้ชมภาพยนต์มาแล้ว สิ่งที่ San Clemente ของ Strangers Parfumerie ได้นำเสนอ เริ่มจากจุดเริ่มต้นของกลิ่นจากฉากหน้าเตาผิง แล้วเดินเข้าสู่ความทรงจำขอElio ที่มี Oliver ในห้วงเวลาต่างๆ อยู่ในนั้น โดยมีอารมณ์และโทนกลิ่นที่มีความเศร้าที่ล้อมกลิ่นอยู่ตลอดในแต่ละช่วง รวมถึงบอกกลายๆ เกี่ยวกับคาแรคเตอร์ของ Elio ที่มีความซับซ้อนและความละเอียดอ่อนในแต่ละห้วงความรู้สึกได้ดีมากในแต่ละช่วงกลิ่น ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นน้ำหอมที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์และเจ้าของแบรนด์ Strangers Parfumerie ที่สามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - เข็มขัดสั้น


วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Strangers Parfumerie - Oliver


Strangers Parfumerie - Oliver

“Oliver เป็นหนุ่มนักศึกษาชาวอเมริกันวัย 24 ปี ที่เดินทางมาเป็นผู้ช่วยงานวิจัยและให้นักวิชาการคนหนึ่งช่วยดูงานเขียนให้เป็นเวลา 6 สัปดาห์ที่อิตาลี และในการมาถึงของเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งของตัวเองและอีกหนึ่งตัวละครที่เป็นลูกชายของนักวิชาการคนดังกล่าวอย่าง Elio ไปตลอดทั้งชีวิต”

นี่ก็คือการสรุปเรื่องย่อแบบย่อมากๆ จากทั้งนิยายและภาพยนตร์เรื่อง Call Me by Your Name ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ ในปี 2017 ซึ่งถ้าได้รับชมกัน (โดยที่ไม่ถือว่าเป็นความรักระหว่างเพศใดก็ตาม) เราจะสามารถซึมซับความเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้จริงเหมือนเราเป็นหนึ่งในผู้ที่เดินไปพร้อมกับตัวละครและเจอกับสภาวะอันลึกซึ้งที่ตัวละครต่างๆ ได้ประสบ รู้สึก และตัดสินใจ จนทำให้เรามีสภาพเดียวกับตัวละครหลักได้อย่างท่วมท้นมาก ซึ่งไม่แปลกใจทำให้เรื่องนี้มีแฟนคลับทั่วโลกและยังได้เข้าชิงรางวัล Oscar ในหลายๆ สาขาเมื่อปี 2018 เลยทีเดียว

แน่นอนว่าเราไม่พูดถึงเรื่องภาพยนตร์ แต่เราจะมาว่ากันที่เรื่องของน้ำหอมที่ผ่านการสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยมีแรงบันดาลใจมาจากตัวละครอย่าง Oliver ผู้เป็นดั่งแสงสว่างในเรื่องราวของ Call Me by Your Name ที่เป็นหนึ่งใน Collection - LTBGIQ ของแบรนด์ Strangers Parfumerie ซึ่งกลิ่นจะทำให้เราได้เห็นความเป็น Oliver แบบไหนก็ถ่ายทอดออกมาได้แบบนี้เลย

ช่วงเปิดของน้ำหอมคือการเล่าเรื่องราวบรรยากาศอย่างชัดเจนในการเป็นกลิ่นธรรมชาติของฤดูร้อนในชนบทประเทศอิตาลี แบบอารมณ์พื้นที่สีเขียวที่จะมีกลิ่นอายต้นไม้ใบหญ้าและผลไม้ต่างๆ ที่สุกคาต้น ซึ่งกลิ่นเปิดที่เด่นออกมาเลยคือโทนกิ่งก้านส้ม (Petitgrain) ซึ่งจะให้ความเขียวเจือเปรี้ยวมีโทนออกทางกุหลาบบางๆ วูบมาก่อน แล้วเพียงชั่วขณะกลิ่นต่างๆ จะใสผสมผสานกันแบบชัดเจนทั้งหมด ซึ่งจะจับได้ถึงสายสร้างบรรยากาศอย่างโทนสดชื่นใสๆ ติดขมปร่าปนปลายหวานของโทน Citrus ที่มาจากส้มขม มะกรูดฝรั่ง และเลมอนเจือส้ม ตามด้วยกลิ่นอายโทนเขียวใบไม้ใบหญ้าที่นำโดยกิ่งก้านส้ม กลิ่นหญ้า กลิ่นสมุนไพร กลิ่นใบไม้ที่ให้อารมณ์เขียวเจือหวานของใบองุ่น และกลิ่นออกทางน้ำมันเขียวๆ ของมะกอก รวมถึงกลิ่นโทนผลไม้ที่ไม่ได้มาสายหวานฉ่ำหรือผลไม้จ๋าๆ จะให้ความสมดุลย์กับกลิ่นอายบรรยากาศเสียมากกว่าเน้นอารมณ์แบบเวลาเราได้กลิ่นผลไม้ที่สุกคาต้นต้องไอแดด ซึ่งตัวที่จับต้องได้ชัดพอสมควรเลย คือ แอปริคอต และควินซ์ (กลิ่นคล้ายฝรั่งสุก) แต่ก็มีกลิ่นโทน Fig หรือลูกมะเดื่อที่ให้ความเขียวเจือหวานใส Milky หน่อยๆ เป็นปลายกลิ่นรวมอยู่ด้วย ซึ่งก็เป็นการเชื่อมโทนกับฟากโทนเขียว ก่อนจะมีกลิ่นอายแบบลมทะเลที่มีไอเค็มอ่อนๆ เข้ามาเนียนๆ ปลายกลิ่น ทำให้ทุกอย่างในช่วงต้นสร้างภาพออกมาได้ชัดเจนมากถึงการผสมผสานกลิ่นที่ลงตัวในการสร้างบรรยากาศฤดูร้อนในชนบทของอิตาลีได้ดีมาก

เมื่อกลิ่นโทนดอกไม้เริ่มค่อยๆ เข้ามาผสมผสานกับโทนบรรยากาศที่ตามมาจากช่วงต้น ซึ่งจะมีกลิ่นดอกแมกโนเลียที่ให้ความสดชื่นติดโทนเปรี้ยวอ่อนๆ เจือโทนแว๊กซ์เคล้ากลิ่นหวานติดโทนน้ำผึ้งใสๆ ของดอกลินเดน ก็จะเป็นการเติมเต็มให้ครบถ้วนมากขึ้นของความเป็นกลิ่นอายฤดูร้อน แต่สิ่งที่จะมาแบ่งเค้กคือ กลิ่นโทนสมุนไพรเคล้าค็อกเทลสดชื่นที่มีโทนมินต์กับ Citrus อย่าง Mojito ที่เจือดอกส้มสดชื่นสะอาด + กลิ่นไม้หอมติดปร่าแบบไม้สนเจือยาสูบที่สร้างความเป็นสุภาพบุรุษสะอาดเจือหวานอ่อนๆ ซึ่งตอนนี้กลิ่นจะได้อารมณ์ที่มากกว่าความเป็นกลิ่นอายบรรยากาศแล้ว เพราะว่ามีโทนที่ให้ลักษณะออกทาง Traditional Cologne แบบสุภาพบุรุษสาย Nice ติดออกทางสบายสะอาด ซึ่งช่วงนี้เห็นภาพชัดเจนเหมือนได้เจอกับ Oliver เป็นครั้งแรกที่เดินทางมาถึง แล้วกลิ่นของความเป็นลักษณะผู้ชายสะอาดสะอ้านกับกลิ่นโทนต่างๆ ที่มาตั้งแต่ช่วงต้นจะรวมเข้าด้วยกันจนได้อารมณ์แบบผู้ชายสบายๆ สว่างๆ ท่ามกลางบรรยากาศของฤดูร้อนในชนบทที่มีกลิ่นลมทะเลประปราย ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ถึงกับหวือหวาแหวกแนว แต่ให้ความเป็นธรรมชาติที่ผสมผสานกันเป็นอย่างดีในลักษณะที่มีความมินิมัลเรียบง่าย แต่มีเสน่ห์ที่ดึงดูดสูงมากในการสอดรับทางกลิ่นรวมกันทั้งหมดอย่างมีมิติที่สร้างความผ่อนคลายและความประทับใจให้คนที่รับรู้กลิ่นนี้ได้ไม่ยาก

จนมาถึงช่วงท้ายของน้ำหอมที่ตอนนี้เรียกว่าเป็นไฮไลท์ได้เลย เพราะกลิ่นที่ค่อยๆ เนียนเปิดตัวออกมาทีละหน่อยๆ อย่างกลิ่นเสื้อเชิ้ตที่ย้อมสีครามคลื่นน้ำทะเลจะเข้ามาทำให้จะได้อารมณ์กลิ่นแบบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าครามสะอาดๆ เป็นเลเยอร์แรก แล้วจะตามด้วยกลิ่นออกทางคล้ายผิวกายสะอาดๆ มีความ Dirty เนียนๆ จากโทน Musk ที่มีความเขียวเคล้ากับกลิ่นหนัง เจือกลิ่นอายสไตล์ Cologne ตามมาจากช่วงก่อนหน้าเบาๆ แต่เพิ่มกลิ่นอายโทนไม้หอมสบายๆ และกลิ่นพิมเสนระเรื่อเข้าไปด้วย ทำให้กลิ่นที่ได้รับจะไล่เรียงโทนจากกลิ่นเสื้อ กลิ่นผิวกายที่มีกลิ่นสดชื่นสะอาดๆ บางๆ ซึ่งบอกเลยว่าเพียงแค่นี้ สามารถให้คำนิยามกลิ่นกันได้ง่ายๆ ว่า “ความเซ็กซี่ในความเรียบง่าย” เพราะกลิ่นนี้ไม่ต้องหวือหวาอะไรเลย แต่สร้างความดึงดูดเคล้าความผ่อนคลายให้กับคนที่ได้รับกลิ่นแบบที่ให้นึกภาพตามได้เลยว่า เวลาที่ซุกอกหรือคอใครซักคนแล้วได้กลิ่นเสื้อเชิ้ตติดครามอ่อนๆ เคล้ากลิ่นผิวกายสะอาด เจือ Cologne สดชื่นบางๆ เย้าๆ มันมีอานุภาพดึงดูดให้ไม่อยากออกจากการซุกมากขนาดไหน นั่นแหละที่ช่วงท้ายของกลิ่นนี้ที่จะสร้างความพึงใจกันยาวๆ ไป และที่สำคัญยังตอบโจทย์คาแรคเตอร์ของ Oliver ในภาพยนตร์ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงๆ เพราะช่วงที่ Oliver มีชีวิตชีวา มีเสน่ห์ และมี Sex Appeal มากที่สุด คือช่วงที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าครามคลื่นน้ำทะเล (Blue Billowy Shirt) ที่สร้างภาพประทับความทรงจำไว้แน่นแบบที่ไม่ลืมในตัวละครตัวนี้ไปได้ง่ายๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะกลิ่นนี้แม้ว่าจะถอดคาแรคเตอร์อันน่าประทับใจของ Oliver มาได้ชัดเจน และออกทางควรจะเป็นน้ำหอมผู้ชายก็จริง แต่สิ่งหนึ่งคือ กลิ่นแบบนี้เวลาที่อยู่บนตัวเราแล้วส่งกลิ่นขึ้นมา ไม่ว่าเพศไหนก็พึงใจและรู้สึกมีเสน่ห์ได้ไม่ยากในความเรียบง่ายที่ไม่ธรรมดาแบบนี้เสมอ รวมถึงถ้าคนที่ชื่นชอบคาแรคเตอร์ Oliver อยู่เป็นทุนเดิม กลิ่นนี้จะสร้างความรู้สึกแบบ Oliver is all around ได้ตลอดวันเลย ซึ่งแน่นอนว่าใส่ยามกลางวันน่ะกวาดหมดทุกสถานการณ์ เรียบง่ายอย่างมีชั้นเชิงและมีระดับ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ สร้างเสน่ห์เบาๆ เรื่อยๆ จนซึมลึกจะลงตัวกว่า การใส่เพื่อไปท่องราตรีแน่นอน

ความทน - เดิมทีไม่คาดหวังเรื่องความทนนัก เพราะกลิ่นมาสาย Citrus Green Aromatic แต่กับกลายเป็นเกิดคาดไปมาก เพราะกลิ่นทนยาวไปจนถึง 8 ชม. ได้สบายมากไม่พอ สามารถไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม เรียกว่าสร้างความประทับใจในเรื่องความทนต่อจากกลิ่นที่น่าพึงใจได้อีกดอก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหนักนัก เพราะสร้างบรรยากาศเสียมากกว่า แล้วจะค่อยๆ ลงมาที่ปานกลางไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายคือออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อพ้นซัก 6 - 8 ชม. ไปแล้ว ถึงเป็น Skin Scent ในที่สุด

สรุป - พื้นฐานบุคลิกของ Oliver คือหนุ่มอเมริกันที่เป็น Nice Guy หรือ Sunshine อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ แม้แรกๆ จะดูเย็นชาและเดาใจไม่ได้เท่าไหร่ แต่พอเริ่มละลายพฤติกรรม Oliver คือผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างหาตัวจับได้ยากแบบที่ไม่ได้ประดิษฐ์แต่อย่างใด ซึ่งเราจะเห็น Oliver ในเสื้อเชิ้ตอาจจะทั้งสีซีดๆ ก่อนจะเป็นสีที่เข้มขึ้นขับเสน่ห์และความมีชีวิตชีวาของตัวละครนี้ออกมา โดยเฉพาะเมื่อ Oliver อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าครามคลื่นน้ำทะเล (ฺฺBlue Billowy Shirt) มันคือที่สุดในความทรงจำแล้วจริงๆ ซึ่งการไล่เรียงโทนกลิ่นของน้ำหอมรุ่นนี้จะบอกกันอย่างชัดเจนในการถ่ายทอดตั้งแต่บรรยากาศของอิตาลีในฤดูร้อน การเปิดตัวของ Oliver ไปจนถึงการเป็นตัวตนของ Oliver ที่จะอยู่ในความทรงจำแบบที่ไม่สามารถลบเลือนไปได้ ครบถ้วนในการสื่อสารทางกลิ่นถึงคาแรคเตอร์ออกมาอย่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์และเจ้าของแบรนด์ Strangers Parfumerie ที่สามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credithttps://www.facebook.com/strangersparfumerie/


วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Parfum Prissana - Nesnas Qareen


Parfum Prissana - Nesnas Qareen

Gods & Monsters Collection เป็นอีกหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงานผ่านกลิ่นอายน้ำหอมเชิงศิลปะของแบรนด์ Parfum Prissana ที่บอกเล่าถึงกลิ่นอายที่แตกต่างกันเฉกเช่นตามที่มาทั้งหมด 3 รุ่นในปัจจุบันอย่าง Mandarava ที่อ้างอิงกลิ่นอายดอกไม้บนสรวงสวรรค์ตามเรื่องเล่าของศาสนาพุทธ และ Ma Nishtana ที่อ้างอิงเพลงกล่อมเด็กที่บอกเล่าถึงพระเจ้าช่วยให้ชาวยิวได้กลับไปที่อิสราเอล ซึ่ง 2 รุ่นนี้ไว้มาว่ากันภายหลัง แต่จะขอมาเจาะกันที่อีกรุ่นที่สื่อสารถึงคำว่า Monster กันอย่างชัดๆ ดีกว่า นั่นคือ Nesnas Qareen

จากคำโปรยของแบรนด์ที่ระบุไว้ว่า Nenas จะเป็นปีศาจในรูปแบบหนึ่งตามเรื่องเล่าของชาวเยเมนที่มีขาข้างเดียว แขนข้างเดียว ตัวครึ่งซีก หน้าครึ่งซีก และมีหางเหมือนแกะ ส่วน Qareen อันนี้ชัดเจนมากนั่นคือ ซาตาน หรือ Demon เจ้าแห่งปีศาจ ที่คอยล่อลวงให้เราเข้าสู่ด้านมืด และเมื่อความเป็น Monster มาเจอกับ Demon การถ่ายทอดกลิ่นตามที่ที่แบรนด์สร้างสรรค์เลยออกมาในลักษณะนี้

การล่อลวง คือ ช่วงเปิดตัวของกลิ่นที่ให้อารมณ์เย้าและดึงดูดจากกลิ่นอายผลไม้แห้งที่ให้โทนหวานแห้งอย่าง “อินทผาลัม” เคล้ากับกลิ่นโทนแอปริคอตหวานอมเปรี้ยวแต่มาในโทนออกทางผลไม้แห้งเสียมาก แต่จะมีกลิ่นออกทางเหล้าคล้ายโทนวิสกี้หน่อยๆ เป็นตัวสร้างกลิ่นอายสายดึงดูดให้ความหวานออกทางผลไม้แห้งฟุ้งออกมาอย่างมีมิติและมีระดับในการเป็นมิติกลิ่นเลเยอร์แรก แต่กลิ่นชั้นต่อๆ มาคือ กลิ่นขี้เถ้าเคล้าควันที่ให้ความเป็นโทน Smoky ติดทึบ ตามด้วยกลิ่นโทน Animalic สาบปลุกเร้าที่จะจับต้องได้จากกลิ่นออกทางยี่หร่าหน่อยๆ ที่มีลักษณะคล้ายกลิ่นเหงื่อบางๆ ติดหวานปลายกลิ่นและกลิ่นหนังที่จะรองพื้นอยู่ ทำให้แค่ช่วงเปิดก็เรียกว่าขนเอาความซับซ้อนมานำเสนอกันอย่างแท้จริง เพราะกลิ่นที่แยกได้ออกมาเป็นเลเยอร์ต่างๆ นี้ จะผสมผสานกันออกมาเป็นลูกเล่นทางกลิ่นที่ไล่จากโทนล่อลวงอย่างเหล้าเคล้าผลไม้แห้งหวาน ติดอับขี้เถ้าเจือกลิ่นควัน ซ้อนด้วยสาบปลุกเร้าสาบดึงดูดที่มาแบบเนียนๆ และมีความเฉพาะตัว เรียกว่าสร้างความดึงดูดเคล้าความดาร์กล่อลวงได้ชัดเจนมาก

การเปลี่ยนตัวเอกในการเดินกลิ่นจะเกิดขึ้นเพียงไม่นานหลังจากช่วงต้นดำเนินไปซักราวๆ 10 นาที เพราะกลิ่นโทนขี้เถ้าจะกลายเป็นตัวเอกหลักที่สร้างอารมณ์กลิ่นควันติดทึบ และได้อารมณ์แบบกลิ่นยาสูบที่ไหม้ติดหวานกึ่งควันหน่อยๆ รวมถึงเริ่มจับต้องได้ถึงโทนธูป Incense ที่ให้ความปร่าเจือไม้สนหน่อยๆ ที่เป็นลักษณะแบบยางไม้ Frankincense กึ่งปร่าติดพริกไทยเจือเลมอนหน่อยๆ ของยางไม้อย่าง Elemi ที่เนียนแทรกผสมผสานเด่นเป็นชั้นแรกของเนื้อกลิ่น ตามติดด้วยกลิ่นหนังที่มีความดิบกำลังดีแอบมีความขมเจือหวานนัวติดเครื่องเทศของหญ้าฝรั่นที่ให้ความลุ่มลึกอยู่รวมถึงยังฉายแสงความเป็นโทน Animalic ปลุกเร้าเจือหวานปลายยี่หร่าอยู่เช่นเคย แต่ยังไม่ได้ถึงกับหนักมากเพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนมาตัดให้รู้สึกหอมนวลกุหลาบเคล้ากลิ่นหวานของขนมแห้งๆ ร่วนๆ และกลิ่นอินทผาลัมที่ยังตามมาในช่วงนี้อยู่ ซึ่งต้องบอกว่าช่วงนี้คือไฮไลท์ในการเข้าสู่ด้านมืดกันเต็มๆ เพราะการผสมผสานมิติกลิ่นจากขี้เถ้าสู่ควันปร่าเคล้ากลิ่นหนังลุ่มลึกจะชัดเจนมาก และที่สำคัญกลิ่นโทน Frankincense และ Elemi ที่อารมณ์เหมือนจะสว่าง แต่กลับกลายเป็นโทนที่ได้อารมณ์ร้ายลึกท่ามกลางความดาร์กต่อด้วยการล่อลวงเย้ายวนที่ยังคงมีอยู่กับโทนหวานที่เนียนไปกับเนื้อกลิ่น ภาพในหัวตีความกลิ่นออกมาคนนั่งในเงามืดยิ้มเห็นฟันแบบที่ไม่ชอบมาพากลเคล้ากลิ่นควันไหม้และควับยาสูบที่ประปรายอยู่รายรอบ

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปจนมีกลิ่นโทนหวานล่อลวงเริ่มหายไปจนเหลือบางๆ เปลี่ยนให้กลิ่นหนังและ Incense เป็นเมนหลัก กลิ่นช่วงนี้จะมีลักษณะแบบน้ำหอมสาย Vintage ที่มีความเป็นหนังติดโทน Animalic อวลหน่อยๆ ซึ่งมีโทน Incense ที่จะมีความอวลติดอบอุ่นลึกและมีความพร่าปร่าอยู่รอบๆ ทำให้กลิ่นมีลูกเล่นความดิบก็ได้ ความนิ่งร้ายก็ชัด ความเร้าก็มากับเขาด้วย และความดาร์กที่ยากแท้หยั่งถึงในการเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะสร้างออร่าโหมดมารที่นิ่งขรึมร้ายแบบแผ่รังสีที่มีระดับและไม่ธรรมดานั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะไม่ว่าใครก็เข้าสู่โหมดมารได้ทั้งหญิงและชาย แต่อย่างน้อยอาจจะผ่านน้ำหอมกลิ่นโทน Smoky หรือหนังออกทาง Vintage มาหน่อยจะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ไม่ยาก กลิ่นอาจจะไม่ได้ง่ายนักในการใช้งานตามสถานการณ์ต่างๆ แต่ถ้าต้องการนำเสนอความสมาร์ทกึ่งขรึมที่เนียนเอาความร้ายในชุดออกทางโทนสีเข้ม บอกเลยว่าเข้ากันมากจริงๆ ซึ่งกลิ่นร้ายๆ นี่แหละที่สามารถสร้างออร่าที่เย้าและดึงดูดได้ไม่ยากด้วยซ้ำไป แต่ถ้าใช้ยามกลางวันก็เบามือนิดนึงเพราะกลิ่นมีความทรงพลังมากเลยทีเดียว

ความทน - เป็นเลิศที่สุด เพราะว่า 15 ชม. กลิ่นยังคงทำหน้าที่ได้งดงามอยู่ สมกับการเป็น Pure Perfume กันอย่างชัดเจน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะพีคขึ้นมากระจายดีมากในช่วงกลางซักพัก ก่อนจะผ่อนลงมาเรื่อยๆ มาที่ปานกลางกันยาวๆ พอเข้าช่วงท้ายจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป

สรุป - บอกเลยว่านี่คือกลิ่นสไตล์ Last Boss ที่มีรังสีความดำมืดและร้ายกาจ ผสมผสานความเป็นปีศาจแผ่ออกมาอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งในงานศิลปะทางกลิ่นที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง ซับซ้อน และไม่ธรรมดามากจริงๆ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์และเจ้าของแบรนด์ Parfum Prissana ที่สามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit https://www.facebook.com/parfumprissana/


วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Parfum Prissana - Nimitr


Parfum Prissana - Nimitr

ว่ากันด้วยเรื่องน้ำหอมของผู้ชายในช่วงยุค 80 - 90 ที่ปัจจุบันเรียกว่าได้เป็นสาย Classic ที่อาจจะมีทั้งยังคุมโทนความเป็นลักษณะกลิ่นสไตล์ Vintage ที่ฟุ้งๆ เข้มๆ คมๆ หรือประยุกต์มาแตะโทนที่มีความ Aromatic มากขึ้น ที่กลิ่นเปิดอาจจะเด่นที่ Citrus ก่อนค่อนมาเจอกับกลิ่นอายสไตล์ฟุ้งอวลซึ่งถือว่าเป็นยุคเป็นจุดเปลี่ยนที่เพิ่มความหลากหลายทางกลิ่นน้ำหอมชายให้มีความแตกต่างมากขึ้นและมีเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัวแบบรอยต่อระหว่างความ Classic สู่ Modern ซึ่งหลายๆ คน ที่อาจจะไม่ได้คุ้นชินกับน้ำหอมกลิ่นอายแบบนี้ อาจจะมองว่ากลิ่นโบราณ กลิ่นแก่ กลิ่นแบบคุณพ่อ คุณปู่ยังหนุ่มอะไรก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งหมดมันคือ รากฐานของน้ำหอมในยุคปัจจุบันและเป็นหนึ่งในความเหนือกาลเวลาทางกลิ่นที่มีเสน่ห์และทรงคุณค่ามาก แม้ไม่อินในตอนนี้ แต่พอผ่านน้ำหอมไปพอสมควรและมีอายุที่มากขึ้น ก็จะมาแตะกลิ่นอายสาย Classic และอินจนรักโทนกลิ่นแบบนี้ไปไม่รู้ตัว

เมื่อปูทางความเป็นโทน Classic มาแล้ว ก็มาที่การเล่ากลิ่นที่จะเอาความเหนือกาลเวลาทางกลิ่นมานำเสนอกับแบรนด์ไทยที่มี Concept การจัดหนักในเรีื่องคุณภาพ ความซับซ้อน งานศิลปะและการ Tribute กลิ่นอายสาย Classic Vintage ออกมาเป็นน้ำหอมอย่าง Parfum Prissana ที่เคยผ่านการเล่ากลิ่นไปก่อนหน้านี้แล้ว 2 รุ่น อย่าง Le Cirque Bleu และ Apsarah และคราวนี้ก็มาถึงตัวที่ 3 อย่าง Nimitr ที่จะมาในรูปแบบใดของการเป็นโทน Vintage ก็ถ่ายทอดกลิ่นออกมาได้ในลักษณะนี้เลย

Leather Classic Scent กันอย่างชัดเจนมาก ซึ่งเป็นกลิ่นอายของน้ำหอมชายที่มีเสน่ห์สุดๆ ในช่วงยุค 80 - 90 เลยทีเดียว เพียงแต่ Nimitr จะมีลูกเล่นที่ไม่ได้เน้นที่ความเป็น Vintage เด่นนำเพียงอย่างเดียว แต่ใส่ลายเซ็นโทน Incense เข้าไปเพื่อให้โทนกลิ่นมีความ Modern เนียนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งช่วงเริ่มต้นจะเป็นโทน Aldehydes ที่เป็นตัวนำกลิ่นในลักษณะของทางสบู่คมๆ ฟุ้งๆ ที่พาพรรคพวกอย่างสาย Citrus มาร่วมด้วยอย่างส้มที่มาแบบโทนออกทางติดเปลือกส้มหน่อยๆ และมีกลิ่นเปรี้ยวเจือหวานปลายของเลมอนที่ผสมผสานอยู่ใAldehydes จนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน โดยที่ีจะมีโทนสมุนไพรเคล้าเครื่องเทศเผ็ดปร่าโปร่งๆ และโทนเขียวเข้ามาร่วมด้วยอย่างลาเวนเดอร์ ใบกระวาน และคลารี่เซจ ที่ทำให้กลิ่นมีความเป็นสบู่คมเคล้าโทนสมุนไพรปร่าอวลชัดเจน รวมถึงมีโทนเขียวเมือกนิดๆ ของไฮยาซินท์ และกลิ่นออกทางติดผลไม้เย้าๆ ที่เข้ากับ Aldehydes ได้ดีอย่างลูกพลัมเข้ามาร่วมด้วย รวมถึงเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทาง Incense ธูปอวลเนียนๆ ให้จับต้องได้อีกเลยทำให้กลิ่นจะซับซ้อนมีเลเยอร์ต่างๆ ที่รวมเข้าด้วยกันอย่างมีชั้นเชิง ที่สำคัญมีตัวเสริมที่ทำให้กลิ่นพุ่งเข้าไปอีกอย่างยางไม้ Galbanum ที่ให้ความขมเจือเขียวที่เป็นสายสนับสนุนทำให้ความเป็นโทนสบู่ฟุ้งอวลยิ่งคมชัดเข้าไปอีก สร้างออร่ากลิ่นเปิดแบบโทน Classic ได้อย่างเต็มที่และเปิดทางการเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษสไตล์ Vintage ได้อย่างงดงามจริงๆ

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะมาแบบเนียนๆ พอสมควรเมื่อเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม เพราะกลิ่นจะสลับเอาความเด่นมาที่กลิ่นสร้างออร่าความเป็นสุภาพบุรุษที่ติดขรึมและ Cool เข้าไปอีก โดยเฉพาะกลิ่นหนังและธูป Incense ที่จะแทรกตัวมาเดินกลิ่นแบบแพ็คคู่พร้อมกับเอาความเป็นโทนดอกไม้อย่างกุหลาบนวลๆ และดอกพุดครีมมี่หน่อยๆ กึ่ง Aromatic ติดหวานเจือควัน Smoky จากยาสูบและกลิ่น Birch Tar ที่เป็นกลิ่นติดเขม่าหน่อยๆ รวมถึงโทนไม้จันทน์หอมที่มีความกลมๆ เพราะมีกลิ่นโทน Spicy อย่างเม็ดจันทน์เทศเป็นตัวเกลาสร้างความนุ่มนวลของกลิ่นเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งโทนสบู่ฟุ้งอวลของ Aldehydes ในช่วงแรกยังคงตามมาในช่วงนี้แบบเป็นสายสนับสนุนที่สร้างความอวลอยู่ทำให้กลิ่นยังคุมโทนการเป็นกลิ่นอายสายสุภาพบุรุษสไตล์ Vintage ที่ซับซ้อนและมีความ Modern ที่น่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วยจากสาย Incense ซึ่งเป็นการส่งเสริมกันและกันในการใช้งานที่ Mix & Match กันได้อย่างลงตัว

เมื่อโทน Aldehydes เริ่มผ่อนตัวลงและโทนสมุนไพรต่างๆ เริ่มจางไป ก็เริ่มเปลี่ยนสถานะการเป็นโทนกลิ่นที่มีความ Tribute ความดีงามของน้ำหอมสาย Vintage ของผู้ชายต่างๆ เช่น YSL - Kouros หรือ Chanel - Antaeus อยู่พอสมควร แต่จะมีความเป็นโทนออกทางตะวันออกมากกว่าหน่อย เพราะโทน Incense ติด Smoky และมียางไม้สาย Incense ที่ติดโทนหวานอบอุ่นกับโทนไม้หอมแห้งๆ ที่ยังคงเป็นตัวเด่นอยู่ จะเป็นตัวตัดทอนอย่างสมดุลย์ ทำให้กลิ่นไม่ได้ออกทาง Animalic ของ Musk และชะมดเช็ด (Civet) ที่ติดหนังไหม้ๆ ลึกๆ ของต่อมเพศบีเวอร์ (Castoreum) รวมถึงโทนหนังที่ยังเป็นตัวเดินกลิ่นจากช่วงกลางปล่อยเสน่ห์แบบที่ไม่จำเป็นต้องสาบเร้ามาก แต่ก็เอาอยู่ทุกดอกได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญกลิ่นโทน Oakmoss ที่ให้ความเป็นโทนเขียวขมกลิ่นคล้ายหมึกเล็กๆ เจือพิมเสนแบบสร้างความดึงดูดเย้าจมูกเข้ามาสร้างความดาร์กติดเท่ห์ร่วมด้วยในลักษณะของการเป็นน้ำหอมที่มีลูกเล่น Classic ยืนพื้น โดยแต่ละมิติเลเยอร์กลิ่นจะเข้ามาแบ่งเค้กเลยทำให้กลิ่นมีความสมดุลย์มากพอที่จะให้เสน่ห์ของโทนสาบปลุกเร้า Animalic และโทนน่าค้นหาในสไตล์ของสุภาพบุรุษที่ขรึมนิ่งได้ออกมาอย่างมีเสน่ห์มาก โดยคุมโทน Vintage ที่ติด Modern ได้ดีอยู่เสมอต้นเสมอปลาย ให้ภาพผู้ชายในชุดสูทที่หวีผมเรียบแปล้ที่มีความขรึม มีภูมิ ซับซ้อน และดูมีประสบการณ์ที่มีออร่Sex Appeal ที่ดึงดูดให้หันมองซ้ำเพราะความเท่ห์ Cool แบบมีชั้นเชิง ซึ่งนี่แหละความเป็น Nimitr ที่มีเสน่ห์ในความ Timeless ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวในทุกๆ ช่วงกลิ่นจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป หรือถ้าจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้นอย่างน้อยผ่านกลิ่นอายสาย Classic มาก่อนจะอินกับ Nimitr ได้ไม่ยากเลย ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์พอเหมาะ เพราะกลิ่นมีความเข้มข้นและอวลพอสมควร ซึ่งไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปก็สามารถใช้ได้สบายมาก ยิ่งถ้ามาแนวหวีผมเรียบแปล้แบบใช้ Pomade กับการแต่งตัวทั้งทางการและเท่ห์ๆ ก็เข้าทางหมด จะมีก็แต่การใส่กิจกรรมกลางแจ้งแบบอากาศร้อนๆ และออกกำลังกายที่ข้ามไปจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน ไม่ว่าจะออกงานหรือท่องราตรีสามารถใส่ได้สบายมากเพราะสร้างความ Unique ได้ไม่ยากเลย

ความทน - มากถึงมากที่สุด เพราะ 15 ชม. แล้วกลิ่นยังคงอยู่ เรียกว่าดีงามมากจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีและเสถียรมากจนถึงปลายช่วงกลางเลย พอพ้นไปซัก 5 ชม. กลิ่นจะกระจายปานกลางให้ความคงตัวไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไป 12 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัว ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในความดีงามเช่นกัน

สรุป - ให้ลองนึกภาพเหลียงเฉาเหว่ยในภาพยนตร์ของหว่องกาไวอย่าIn the Mood for Love และ 2046 + เสน่ห์จัดเต็มในเรื่อง Lust, Caution ของอั้งลี่ ซึ่งทุกอย่างบอกหมดเลยว่านี่แหละสุภาพบุรุษที่นิ่งขรึม ซับซ้อน มีเสน่ห์ และน่าค้นหาอย่างร้ายกาจมาก และ Nimitr ก็ทำให้เห็นภาพเฮียเหลียงออกมาในทันทีที่ใช้งานครั้งแรกจนถึงทุกๆ ครั้งที่ใช้มาเรื่อยๆ ซึ่งถ้าเอามาประยุกต์กับความเป็นปัจจุบันบอกเลยว่านี่คืออีกหนึ่งกลิ่นที่ให้คำจำกัดความได้เลยว่า “Timless ที่ทันสมัยแบบมีชั้นเชิงและมีรากเหง้าที่เหนือกาลเวลาในการใช้งาน”

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์และเจ้าของแบรนด์ Parfum Prissana ที่สามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credithttps://www.facebook.com/parfumprissana/