แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Montblanc แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Montblanc แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Montblanc - Individuel


Montblanc - Individuel

ว่ากันด้วยน้ำหอมจาก Montblanc ที่เป็นที่รู้จัก แน่นอนว่าโซน Legend ทั้งหลายก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำให้นึกถึงเป็นรุ่นแรกๆ ตามด้วยรุ่นล่าสุดที่ออกมาสร้างความฮือฮาเมื่อปี 2019 อย่าง Explorer หรือจะเป็นกลิ่นสดชื่นหอมดีงามอย่าง Starwalker ที่ชอบเทเราไปก่อนเวลาที่เราจะพอรับได้ แล้วมีรุ่นไหนอีกที่เรียกว่าเป็นที่นิยม?

ก็ต้องหันมาดูรุ่นที่เน้นขับเสน่ห์แต่ยังคงความมีระดับอย่างตัวนี้สิ Individuel เพราะรุ่นนี้เองก็ไม่ได้เป็นสองรองใครเลยเช่นกัน เพราะถือเป็รอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานมาตั้งแต่ปี 2003 เลยก็ว่าได้

การเปิดตัวยของ Individuel จะเริ่มที่การเป็นโทนกลิ่นผลไม้ของราสเบอร์รี่ที่จะมาตีคู่กับกลิ่นของสับปะรดที่ซ้อนด้วยกลิ่นเครื่องเทศโทนร้อนอุ่นหวานอย่างอบเชยเนียนๆ ในการเดินกลิ่น โดยจะมีความปร่าติดเขียวหน่อยๆ ของจูนิเปอร์เบอร์รี่ที่ให้อารมณ์กึ่งเหล้าจิน โดยจะมีมิติของกลิ่นโทนเครื่องเทศอย่างเม็ดกระวานที่ให้ความเผ็ดเย้าโปร่งกำลังดีเป็นตัวกล่อมให้กลิ่นมีลูกเล่นการดึงดูดตั้งแต่แรกเริ่ม ตามด้วยโทนที่เป็นสายสนับสนุนรองพื้นกลิ่นในช่วงแรกอย่างลาเวนเดอร์ที่ให้ความนวลกำลังดี ทำให้ช่วงเปิดจะเด่นที่ความเป็นโทนหวานผลไม้ที่กำลังดีติดออกทางค็อกเทลสีแดงอารมณ์น้ำอัมฤตปนปร่าเย้ายวนที่เรียกว่าเปิดมาก็สร้างความมีเสน่ห์ดึงดูดทางกลิ่นกันก่อนเลยในวูบแรกที่มีเลเยอร์กลิ่นได้น่าสนใจมาก และกลิ่นไม่ได้ตะบี้ตะบันอัดจัดเต็มเพื่อบอกคนทั้งโลกให้หันมามองเสียด้วย แต่จะให้อารมณ์แบบสะดุดใจแล้วค่อยๆ ชวนพิศไปเรื่อยๆ เสียมากกว่า ซึ่งก็เข้าทางลักษณะการวางตัวแบบทีเสน่ห์สไตล์นิ่งแต่ไม่ธรรมดากันตั้งแต่แรก

และเพียงไม่นานความปร่าปนเผ็ดคมจะเริ่มชัดขึ้นมาอีกสเต็ปจากเม็ดผักชี แต่ก็ไม่ได้ทำให้กลิ่นข้นหนักเกินไป เพราะมีความโปร่งเข้ามาร่วมด้วยประปรายอยู่กับความนวลาเวนเดอร์ ทำให้มีวูบอารมณ์ติดกลิ่นโทSpicy Classic เข้ามาให้ความรู้สึกอยู่ด้วย ซึ่งก็ปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นจะยังคงตัวกับการเป็นโทนผลไม้อยู่เช่นเดิมในสไตล์หวานลุ่มลึก เสริมด้วยโทนคล้ายกุหลาบแต่ติดเขียวหน่อยๆ ซึ่งเป็นสไตล์ของเจอราเนียมเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งลาเวนเดอร์ที่เป็นฉากหลังเริ่มจะให้อารมณ์กึ่งโทนแป้งนวลๆ กำลังดี โดยที่กลิ่นโทนเครื่องเทศของกระวานในตอนต้นจะผ่อนลงไปปล่อยให้กลิ่นโทน Fresh Spicy ปนโทนสมุนไพรเข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งแน่นอนว่านอกจากเม็ดผักชีแล้ว ยังมีกลิ่นออกทางโทนมินต์กึ่งสมุนไพรเข้ามาสมทบ กลิ่นเลยจะมีความอวลที่แบ่งเค้กกันได้อย่างลงตัวระหว่างโทนผลไม้สีแดงกึ่งติดไซรัปหน่อยๆ กับโทนปร่าเผ็ดโปร่ง ซึ่งแตะอารมณ์ทั้ง Modern ที่ซ้อนความ Classic สไตล์เนียนๆ ที่สร้างอัตลักษณ์ของสุภาพบุรุษมีมาดได้อย่างชัดเจน จนเมื่อโทนกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ให้ความเป็นไม้นวลเคล้าโทน Musky ที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาทีละหน่อย การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงท้ายก็จะเริ่มขึ้น โดยที่โทนราสเบอร์รี่จะค่อยๆ ลดทอนความเด่นลงไปเรื่อยๆ เหลือเพียงประปรายและโทน Spicy ต่างๆ เริ่มเบาลงไปตามลำดับ ตัวเดินกลิ่นหลักก็จะเปลี่ยนมาเป็นไม้หอมกันอย่างชัดเจน และมีกลิ่นโทน White Musk ที่ให้ความนวลสะอาดเจือหวานหน่อยๆ กึ่งโทนแป้งเข้ามาคลอผิว และมีโทนพิมเสนที่ให้ความระเรื่อจมูกในปลายกลิ่น ทำให้กลิ่นจะมีความนวลไม้เจือนุ่มมีเสน่ห์ออกทางสะอาดปนเย้ายวนแบบเรื่อยๆ แต่เอาอยู่ ให้ความเป็นเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์และมีมาดวางตัวดี แต่แฝงความเย้ายวนอวลละมุนชวนพึงใจให้สัมผัสได้ไปตลอดนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปใช้ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นคาบเกี่ยวระหว่างการใช้เพื่อปล่อยเสน่ห์ก็ได้ หรือจะใช้แบบทางการวางตัวมีระดับเย้ายวนเนียนๆ ก็สามารถ ซึ่งก็ไปได้กับการใช้ในหลายๆ สถานการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นออกงาน ทางการ ใส่ทำงาน หรือใส่ทั่วๆ ไป รวมถึงยามที่จะเน้นเพื่อการโรแมนติคยิ่งเข้าทาง ส่วนการใส่เพื่อท่องราตรี ถ้าอัดสเปรย์หน่อยก็สามารถ จะมีก็แต่การใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด

ความทน - ดีงามเลยทีเดียวกับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นหลัก แล้วสามารถมากกว่านั้นได้ เพราะส่วนตัวใช้ไปที่ 6 สเปรย์ กลิ่นลากยาว 15 ชม. สวยๆ เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีซักพัก ก่อนจะผ่อนลงไปเป็นขั้นๆ นเมื่อถึงช่วงท้ายกลิ่นจะเป็นออร่ารอบๆ ตัว

สรุป - เอาจริงๆ กลิ่นนี้ก็มีความคล้าย Creed - Original Santal อยู่พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งถ้ามองในแง่ความนวลเนียนในคุณภาพของกลิ่นที่สร้างความหรูหราคงต้องยกให้ Creed แต่ถ้ามองในแง่เน้นเสน่ห์และความเย้ายวนแบบที่สร้างเรตติ้งก็ได้ หรือวางตัวแกมแผ่เสน่ห์ก็ทำได้อยู่หมัด ต้องยกให้ Individuel ของ Montblanc นี่แหละที่สร้างความเป็นเอกเทศออกมาได้อย่างสวยงามจริง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.allbeauty.com/gb/en/5931-montblanc-individuel-for-men-eau-de-toilette-spray-75ml


วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Review: Montblanc - Legend Night

Montblanc - Legend Night 

ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2011 จนปัจจุบันกับน้ำหอมรุ่นยอดนิยมอย่าง Legend ของ Montblanc (แบรนด์เปลี่ยนจากเดิม Mont Blanc มาเป็น Montblanc มาระยะหนึ่งแล้ว) ซึ่งการส่งต่อความเป็น Legend ยังไม่จบสิ้นจนถึงล่าสุดในช่วงกลางปี 2017 ที่ได้ออกน้ำหอมรุ่นใหม่ในไลน์นี้ออกมาแถมอัพเกรดเป็น Eau de Parfum เสียด้วยอย่าง Legend Night ซึ่งได้เวลาของการแตะโทนยามค่ำคืนของหนุ่มๆ สไตล์ Montblanc กันแล้ว เช่นนั้นได้เวลาของการบอกเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นอายจะมาในลักษณะไหนบ้าง 

เป็นอีกหนึ่งรุ่นของสาย Legend เลยด็ว่าได้ที่ทำโทนกลิ่นออกมาได้อย่างมีสเต็ป ปูทางเป็นอย่างดีในการใช้งานกลิ่นที่ไม่ได้โผงผาง โฉ่งฉ่าง หรือเอาให้หนักไปข้าง แต่มีลำดับขั้นของโทนเหมือนช่วงเย็นที่ยังมีความสว่างอยู่นำไปสู่ช่วงกลางคืนที่เย้ายวน โดยที่ยังคงความเป็น Legend แบบต้นฉบับได้ดีจากกลิ่นอาย Aromatic ที่นวลๆ เด่นด้วยลาเวนเดอร์ได้ดีอยู่ ซึ่งความเป็น Legend Night จะเริ่มที่การเปิดตัวของ Top Notes ที่กลิ่นอายจะมาแบบสดชื่นกันก่อน ด้วยความเป็นโทนสาย Fresh Aromatic จากความหอมเขียวติดเผ็ดปร่าจางๆ โปร่งจมูกของมินต์และใบ Clary Sage (ซึ่งกลิ่นจะให้โทนคล้ายลาเวนเดอร์ผสมผสานกับหนังและมีกลิ่นอุ่นกำลังดี แต่ยังโปร่งออกทางสมุนไพรอยู่) ที่เป็นเหมือนโทนกลิ่นหลักในช่วงต้น และจะมีกลิ่นอาย Citrus ติดแห้งปนขมนิดๆ จากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความสดชื่นเขียวกำลังดี ที่สำคัญจะจับได้ถึงกลิ่นอายติดผลไม้ปน Citrus ของแอปเปิ้ลเขียวด้วยที่เนียนไปกับกลิ่นให้ความรู้สึก Fruity ลั่นล้าเบาๆ ก่อน ซึ่งช่วงนี้จะมาในโทนสว่างแบบที่อาจจะเผลอคิดได้ว่ามันใช่น้ำหอมสาย Night หรือกลางคืนเหรอนั่น แต่สิ่งที่ปูทางเข้าสู่ความเป็น Night ตามชื่อรุ่นคือ เม็ดกระวาน ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาท่วมมาเต็มอะไรนัก ออกแนวเนียนๆ ในกลิ่นให้มีความเป็นโทนเย้ายวนเจือไปด้วยตลอด ไม่พอจะมารวมตัวกับกลิ่นโทนแอปเปิ้ลเขียวดึงเข้าสู่ช่วงถัดไปอย่าง Middle Notes นั่นเอง 

ซึ่งในช่วงกลางจะแบ่งออกมาเป็น 2 กลุ่มที่มาเจอกัน นั่นคือ 

1. ความเป็นแอปเปิ้ลเขียวแม้จะเด่นขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ไปสาย Fruity ลั่นล้ามากนัก ซึ่งเพราะความเป็นลาเวนเดอร์ที่ให้ความนุ่ม Aromatic ก็จะตีคู่ขึ้นมารับช่วงต่อจาก Clary Sage และกระวานที่มาผสมผสานวางสมดุลย์ได้เหมาะพอดี แอปเปิ้ลเขียวเลยเป็นตัวเสริมมิติโทนผลไม้ที่ให้ความสว่างติดขี้เล่นบางๆ แทน 
2. จะมีกลิ่นออกโทนแป้งหวานโปร่งของดอกไวโอเล็ตที่ให้ความนวลเพิ่มเข้าไปอีก เคล้ากับกลิ่นโทนเขียวโปร่งติดไม้หอมขรึมๆ และมีความอุ่นนวลที่เนียนๆ กับเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัวจากวานิลลา

ซึ่ง 2 โทนนี้จะมาเจอกันคนละครึ่งทางให้กลิ่นอายที่มีทั้งความสดชื่นติดลั่นล้าบางๆ ก็ได้อยู่ ขรึมสมาร์ทเท่ห์ก็ลงตัว เย้ายวนดึงดูดแบบไม่โจ่งแจ้งแบบบอกทั้งโลกก็เข้าที ถือว่าช่วงนี้คือหัวใจหลักของ Legend Night เลย ที่ผสมผสานโทนออกมาแบบกำลังดี ไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป ทำให้คนใช้ปรับตัวไปกับกลิ่นแบบที่ไม่รู้ตัวได้ง่ายและสบายมากด้วย จนกระทั่งกลิ่นของวานิลลาที่มาลักษณะแบบอุ่นขรึมกำลังดี จะเริ่มผันตัวมาเป็นตัวเด่นที่ชัดเจนมากขึ้น ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นวานิลลาแบบค่อนไปทางโทนอบอุ่น (ที่ไม่ได้มาสายขนม) จะเป็นพื้นฐานของกลิ่นทีี่ให้ความนวลกำลังดี ที่สำคัญจะมีกลิ่นอายออกทางไม้หอมแห้งๆ ที่มีความ Spicy ติดพริกไทยหน่อยๆ และพิมเสนที่มาแบบอ้อยอิ่งกำลังดีมาผสมผสานทำให้กลิ่นมีความดาร์กน่าค้นหา โดยที่กลิ่นอายในช่วงกลางก็ตามมาให้โทนเขียวโปร่งหวานจางๆ ติดแป้งในกลิ่นอยู่สร้างความดึงดูดทำให้เนื้อกลิ่นมีความเซ็กซี่แบบลงตัวกำลังดี และยังมีความเป็นผู้ชายขรึม Cool เท่ห์ๆ มีระดับ และซ่อนความน่าค้นหาแอบเร้าใจอยู่ชัดเจน ทั้งนี้ทั้งนั้นถือว่าเป็นการไล่เรียงสเต็ปจากสดชื่นสู่นัวน่าค้นหาได้น่าสนใจมาก และยังคงคุมโทนความเป็นกลิ่นอายสาย Legend ได้ลงตัวไปตลอด รวมถึงยังกวาดคนรักไลน์ Legend ให้เก็บตัวนี้มาครอบครองได้อย่างสบายๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายๆ ยิ่งถ้าใส่กับการแต่งตัวแบบติดเนี้ยบ หรือกึ่งเนี้ยบกึ่งสบายแบบมีรสนิยมจะเข้าทีอย่างมาก และแม้ว่ากลิ่นจะชื่อว่า Night แต่เอามาใส่ยามกลางวันได้ไม่ยากเสียด้วย เพราะกลิ่นมันยังมีความสดชื่นเจืออยู่ให้เรียนรู้ก่อนเจอความน่าค้นหาติดเย้ายวน ซึ่งเข้าได้กับการใส่ทำงาน ออกงาน หรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่แบบออกงานทางการจัดๆ ออกไปจะดีกว่า กลิ่นมันแม้จะมีเสน่ห์แต่เพราะมีความขี้เล่นอาจจะไม่เข้าทีนัก ไปใช้ Legend Spirit แทนน่าจะดีกว่า ส่วนออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งก็ข้ามไปได้เลย และในยามค่ำคืนจัดไป ไม่ว่าจะใส่ออกงาน ปาร์ตี้ หรือว่าท่องราตรีใส่ได้หมด เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ปล่อยพลังรอบทิศมากนัก เน้นให้มาใกล้ๆ คลุกวงในอย่างมีระดับจะลงตัวกว่า 

ความทน - ลงตัวและดีงามกับ 8 ชม. สบายๆ แถมมากกว่านี้ได้ด้วย อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางกำลังดีไปตลอดจนถึงช่วงท้าย ซึ่งถือว่ามีความเสถียรในการปล่อยพลังแบบสมดุลย์ไม่หนักไปไม่เบาไป พอพ้นซัก 6 - 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิ 

ทิ้งท้าย - แม้ว่ารุ่นนี้ตอนใช้อาจจะมีวูบไปนึกถึง Armani Code Profumo อยู่บ้างเพราะกลิ่นมีโทนที่ใกล้ๆ กันพอสมควร แต่สิ่งที่ Montblanc ทำได้คือการไปสายนวลที่วางสมดุลย์กลิ่นได้ดี โดยที่ไม่ได้ไปทับไลน์ของ Armani ที่ไปสายครีมมี่อบอุ่นนัว ซึ่งถือว่าลงตัวและคง Concept น้ำหอมผู้ชายสไตล์ Montblanc Legend ได้ดีอยู่นั่นเอง 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Reastars.com
--> http://www.reastars.com/wp-content/uploads/2017/09/MontBlanc-Legend-Night--1024x554.jpg

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Review: Mont Blanc – Legend Spirit


Mont Blanc – Legend Spirit

สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกประทับใจในครั้งแรกที่ได้เห็นว่า Mont Blanc ได้ปล่อยน้ำหอมตัวใหม่ออกมาแม้ว่าขวดจะมาในลักษณะเดิมแบบต้นตระกูลอย่างรุ่น Legend แต่สีขวดที่ได้เห็นอย่างสีขาวคล้ายกระเบื้องเคลือบสวยงามตัดกับสีเงินเมทัลลิคในส่วนหัวฉีดและจุกปิดได้ลงตัวและสวยมาก ซึ่งเลยเป็นที่มาของการขวนขวายหาโอกาสที่จะได้จัดเต็มกับ Flanker ตัวล่าสุดของไลน์นี้ นั่นคือ Legend Spirit นั่นเอง

แรกเริ่มสเปรย์สิ่งหนึ่งที่จะสัมผัสได้จาก Top Notes คือ ความสดชื่นจากโทนซิตรัสติดโทนผลไม้แบบที่มีความเป็นโทน Aquatic เข้ามาเสริม เพราะกลิ่นของมะกรูดจะให้โทนเปรี้ยวติดขมจางๆ เกรฟฟรุตจะมาให้โทนเปรี้ยวสดชื่นสว่างๆ แต่จะโดนกล่อมให้ลงตัวจากเครื่องเทศโทนหวานติดกลิ่นเบอร์รี่อย่างพริกไทยสีชมพู เลยทำให้กลิ่นในช่วงนี้ได้ความรู้สึกสดชื่นแบบไม่ได้มีความคมบาดจมูกให้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าลงตัว แล้วเพียงไม่นานกลิ่นอายนุ่มสะอาดของลาเวนเดอร์จะเริ่มเข้ามาเสริมและดึงเข้าสู่ Middle Notes ที่โทนซิตรัสติดผลไม้จะเริ่มผ่อนลงไปเป็นตัวสนับสนุน โดยจะล้อมด้วยกลิ่นโทน Aquatic แบบน้ำสดชื่นที่จะชัดเจนมากขึ้น และมีตัวเอกอย่างลาเวนเดอร์ที่จะมาให้กลิ่นที่นุ่มนวลสะอาดแบบ Modern ผสมผสานไปด้วย ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความรู้สึกอมหวานติดเย้ายวนแบบเบาๆ จากเครื่องเทศเสริมเข้ามาให้มีมิติไม่ดูออกทางสดใสเกินไปนัก และยังมีความรู้สึกแบบต้นตระกูลที่กลิ่นอายจะนุ่มนวลกลั้วกลิ่นหวานผลไม้นุ่มเย้าได้อยู่ในช่วงนี้แบบรองพื้นให้รู้สึกได้ หลังจากผ่านไประยะหนึ่งกลิ่นโทนนุ่มๆ ของ Musk จะเริ่มดันขึ้นมาผสมผสานกับกลิ่นลาเวนเดอร์จนนำเข้าสู่ Base Notes ที่กลิ่นจะมาในโทนนวลจมูกรองพื้นด้วยความสะอาด เสริมด้วยกลิ่นอายที่มีระดับและชั้นเชิงให้โทนโปร่งสว่างของไม้หอมที่มาเสริมความนุ่มในลักษณะที่เป็นสุภาพบุรุษลงไปในเนื้อกลิ่น แน่นอนว่าความสดชื่นยังคงมีแบบอ่อนๆ ให้รู้สึกได้ ภาพรวมจึงได้ความรู้สึกแบบผู้ชายมาดสะอาดสะอ้านในชุดสีขาวนวลสว่างตา ดูสุภาพติดขี้อายหน่อยๆ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นได้จากการได้กลิ่นและมองนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาวิทยาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้อย่างสบายมาก เพราะกลิ่นเข้าถึงง่ายแบบที่ยังคงความมีระดับในเนื้อกลิ่นให้ผู้คนได้สัมผัสถึงความนุ่มนวลโปร่งสว่างที่สัมผัสได้ไปตลอด จึงเหมาะกับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งออกกำลังกายยังสามารถใส่ตัวนี้ได้ ถือว่าเป็นตัวครอบจักรวาลได้เลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืนถ้าเป็นลักษณะแบบทั่วๆ ไป เช่น พักผ่อน หรือโรแมนติคกับคนรักก็สามารถ แต่อาจจะไม่ค่อยเข้าทางเวลาที่จะเอาไปท่องราตรีเท่าไหร่เพราะกลิ่นสุภาพไป ซึ่งแนะให้ไปที่รุ่น Legend Intense จะเข้าทางกว่า ถ้าจะเน้นทางปล่อยของด้านเซ็กซี่เย้ายวนกรุ้มกริ่มแบบผู้ชายเจ้าเสน่ห์

ความทน อยู่ที่ประมาณ 6 – 8 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดระดับมากระจายกลางๆ หอมนุ่มกลั้วสดชื่น และปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวติด Skin Scent ที่เข้ามาใกล้ๆ หรือเดินสวนกันก็จะรู้สึกถึงกลิ่นได้ไม่ยาก

ทิ้งท้าย เรียกว่าเป็นลักษณะอีกรูปแบบของ Mont Blanc Legend ที่เพิ่มความสดชื่นแบบผู้ชายยิ้มง่ายและมีความเป็นสุภาพบุรุษในเนื้อกลิ่นมากขึ้น โดยลดโทนความขี้เล่นกรุ้มกริ่มของรุ่นต้นตระกูลลงไปเอาใจคนชอบสดชื่นมากขึ้นนั่นเอง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ



วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Review: Mont Blanc - Legend Intense

Mont Blanc - Legend Intense 

รุ่นปกติถือว่าติดลมบนไปเรียบร้อยแล้ว แถมเป็นตัวชูโรงที่สุดเลยขอMont Blanc กับความนิยมที่มีมาตลอดและต่อเนื่อง เช่นนั้นการต่อยอดความสำเร็จออกลูกออกหลานจึงเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำกัน เช่นนั้นจึงได้เวลาขอความเข้มข้นที่มามากขึ้นบ้างสิกับลูกตัวที่ 3 ของไลน์นี้ (นับรวมพวก Special Edition รายปีด้วย) กับ Legend Intense ซึ่งจะเป็นอย่างไรบ้างต้องพิสูจน์

เรียกว่าขนความเป็นต้นตระกูลมาต่อยอดกันเต็มๆ เพียงแต่จะไม่ได้ทิ้งห่างจากความเป็นน้ำหอมโทนนุ่มนวลติดกรุ้มกริ่มแบบที่ต้นตระกูลทำได้ เพราะจะเน้นความหวานและแน่นขึ้น โดยที่ Top Notes จะมากับโทนฟรุตตี้ติดหวานกับสับปะรดและแอปเปิ้ลแดง กลิ่นจะมีโทนซิตรัสเบาๆ มาผสมผสาน เพียงแต่เพราะมีโทนเครื่องเทศมาเสริมจากเม็ดกระวาน เลยจะไม่ได้ออกทางฉ่ำจนเกินไปนัก แน่นอนความแน่นต้องมาเพราะเป็น Intense กลิ่นจะบอกถึงความหวานเย้ากันตั้งแต่ช่วงนี้ ส่งต่อให้ Middle Notes ที่กลิ่นช่วงต้นจะยังตามมาโดดเด่นอยู่ครบหมดกับผลไม้กลั้วเครื่องเทศ แต่จะเริ่มมีความนวลในลักษณะเดียวกันกับต้นตระกูลเข้ามาผสมผสานเพราะมีกลิ่นอายของมะลิจางๆ และลาเวนเดอร์มาผสมผสาน กลิ่นยังความความแน่นอยู่ แต่จะเริ่มเป็นนุ่มหวานมากขึ้น โดยเสริมความแมนด้วยไม้หอมอย่างซีดาร์เลยจะออกแนวมีความเป็นผู้ใหญ่แบบกรุ้มกริ่มเย้ายวนได้ลงตัวมาก แล้วจะเริ่มนุ่มครีมมี่มากขึ้นเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ Base Notes ที่กลิ่นถั่วตองก้าจะมาแบบนุ่มนมเข้มข้นโดยจะแฝงไปด้วยโทนอบอุ่นของไม้หอมและแอมเบอร์ ซึ่งจะคงความแมนในเนื้อกลิ่นอยู่ไม่หนีไม่ไหน กลิ่นช่วงนี้เลยจะเย้าน่าซุกกันอย่างชัดเจน บ่งบอกมากถึงผู้ชายที่ดูทั้งเท่ห์และกรุ้มกริ่มเย้ายวนได้ในเวลาเดียวกัน 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมีความเป็นผู้ใหญ่ที่มีชั้นเชิงในด้านการปล่อยเสน่ห์มากขึ้น จึงเหมาะกับในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ได้ออกทางการมากเกินไป เพราะกลิ่นมันติดโทนกรุ้มกริ่มเดี๋ยวจะดูไม่ค่อยสุภาพกับงานทางการจัดๆ อย่างรับแขกบ้านแขกเมืองหรือพบปะผู้คนที่ต้องให้ความน่าเชื่อถือ นอกจากนั้นทั่วๆ ไปชิลล์ๆ จัดได้สบายมาก ขอข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกาย เพราะกลิ่นแน่นไป เดี๋ยวจุกคอหอยเสียก่อน ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ ที่กลิ่นจางลงไปบ้างแล้ว ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ตัวนี้เป็นตัวที่เหมาะกับการใส่ไปปาร์ตี้หรือปล่อยเสน่ห์ที่เน้นความนุ่มเย้ามากเลยทีเดียว 

ความทน - 8 ชม. สบายๆ และมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ถ้าจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดลงตัว ซึ่งแน่นอนข้อดีตัวนี้คือ ทนกว่าต้นตระกูล 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นเรียกว่านัวกันเลยทีเดียว ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ ก่อนที่ลงไปที่กระจายกึ่งออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - ถ้าต้นตระกูลมาในลักษณะนุ่มนวลและกรุ้มกริ่มแบบหอมนวลวัยรุ่นใช้ได้สบายๆ ตัวนี้จะแน่นขึ้นมาเสริมบุคลิกให้ดูเป็นผู้ใหญ่ที่หวานและกรุ่มกริ่มติดแน่นอย่างมีชั้นเชิงมากขึ้นนั่นเอง

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.parfumery.com/pictures/large/3386460055444.jpg

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: Mont Blanc – Emblem

Mont Blanc – Emblem

เมื่อได้เห็นน้ำหอมขวดทรงดาว 6 แฉกขวดๆ ดำๆ แถมมาในแบรนด์ของ Mont Blanc ซะด้วย ในหัวก็คิดไปแล้วว่า มันคือรุ่นอะไร แล้วจะหอมไหม กลิ่นแน่นแน่ๆ เลยเมื่อสบโอกาสเลยต้องสอยมาซะหน่อยว่ากลิ่นจะเป็นยังไงจากความอยากรู้อยากดมของตัวเองกับรุ่นนี้ Emblem

Top Notes ก็ตรงตามที่คิดไม่มีผิดเพี้ยน เพราะเปิดมาด้วยกลิ่นโทนสมุนไพรติดเขียวออกโทนอุ่นๆ ที่มาแบบแน่นหน่อยจากใบเซจที่จะมีกลิ่นของเกรฟฟรุตมาเสริมให้มีโทนซิตรัสและมีเม็ดกระวานมาให้ความแน่นหวานเย้ายวนรองพื้นด้านหลัง กลิ่นช่วงนี้ถือว่าเปิดตัวกันอย่างแรงกันพอสมควร คนไม่ไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นแน่นๆ อาจจะผงะกันได้ แต่พอเข้า Middle Notes นี่สิ กลิ่นแน่นๆ ตอนแรกจะเบาลงไปกลายเป็นกลิ่นโทนเขียวนุ่มๆ ของใบไวโอเล็ต ที่ยังมีกลิ่นโทนสมุนไพรแน่นๆ ของเซจมาผสานประปราย แต่ตัวเอกอีกตัวที่มารับช่วงต่อความหวานเลยคือ อบเชย ที่มาทำให้กลิ่นในช่วงนี้เป็นโทนเขียวนุ่มหวานเย้ากลิ่นจะออกทางกลางๆ ระหว่างความภูมิฐานมีระดับและความเย้ายวนไปในตัวเรียกว่าตีคู่มากลั้วกันไปมา โดยกลิ่นในช่วงกลางนี้จะส่งอิทธิพลไปต่อที่ส่ง Base Notes กันเต็มๆ โดยมีกลิ่นครีมมี่นุ่มๆ ของถั่วตองก้ามาเบรกและมีกลิ่นขรึมๆ เข้มของไม้หอมมาผสานเลยทำให้กลิ่นอายเขียวๆ ติดหวานจะจางลงไป กลิ่นจะโปร่งมากขึ้น นุ่มสบายๆจมูก และออกทางเบาๆ มากขึ้น ซึ่งภาพรวมกลิ่นนี้เลยเป็นการไล่เรียงจากหนักสู่เบาๆ ได้น่าสนใจ และเป็นกลิ่นที่บอกถึงผู้ชายที่แมนๆ ติดอบอุ่นแกล้มหวาน แต่งตัวเนี้ยบเท่ห์ที่น่าสนใจและภูมิฐานในเวลาเดียวกันนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นเปิดอาจจะค่อนข้างหนักนิดนึงถ้าผ่านไปได้ชีวิตจะดี ซึ่งจะเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป ถ้าจะออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนสามารถจัดได้สบายๆ อาจจะไม่ได้ยั่วยวนอะไรมาก แต่ก็มีบ้างให้รู้สึกว่าคนใส่กลิ่นมีของไม่น้อย เรียกว่าเป็นอีกตัวที่ครอบจักรวาลในการใช้งานเลยทีเดียว

ความทน อยู่ที่ประมาณ 6 – 8 ชม. เพราะว่ากลิ่นช่วงท้ายจะออกครีมมี่เบาๆ สบายๆ อทจจะทำให้นึกว่ากลิ่นมันหายไปไหนหว่าแล้วก็เป็นได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม ลากไปที่ 8 ชม. ได้สบายๆ

การกระจาย กลิ่นกระจายแน่นนิดนึงในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายกลางๆ ในช่วงกลาง ปิดท้ายด้วยออร่านุ่มๆเบาสบายจมูกในช่วงท้ายที่ค่อนไปทาง Skin Scent

ทิ้งท้าย ถือว่าเป็นอีกกลิ่นที่น่าสนใจของ Mont Blanc ที่น่าสนใจในด้านกลิ่นและขวดสวยไม่น้อย เลยไม่แปลกใจที่ได้รับความนิยมและต่อยอดจนมีรุ่น Intense ตามมา




วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Review: Mont Blanc - Legend


Mont Blanc - Legend 

ถ้า Abercrombie&Fitch รุ่น Fierce Cologne เป็นน้ำหอมที่หอมเสน่ห์กรุ่นกำจายแบบวัยรุ่นที่ราคาแพง Mont Blanc ก็ทำรุ่นนี้ออกมาเสมือนได้แรงบัลดาลใจที่กลิ่นใกล้เคียงมาก แม้จะเติบโตภายใต้ร่มเงาของ Fierce ก็จริง แต่ก็มีความดีงามเฉพาะตัวที่แตกต่างออกมา เช่นนั้นมาว่ากันถึงรุ่นนี้ครับ Legend

Top Notes ก็มาเต็มด้วยใบสับปะรดที่ออกทางกลิ่นเขียวติดโทนผลไม้กลั้วไปกับกลิ่นของมะกรูด แต่เพราะมีลาเวนเดอร์มาตัดเลยทำให้กลิ่นในช่วงนี้เป็นโทนเขียวนุ่มๆ ติดกลิ่นซิตรัสจางๆ บอกเลยกลิ่นในช่วงนี้สามารถดึงดูดให้คนที่ได้ดมประทับใจได้ไม่ยาก และอาจจะเสียตังค์ซื้อได้เลยทันที จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นโทนผลไม้จะชัดขึ้นเพราะจะมีแอปเปิ้ลแดงมาเป็นตัวนำเด่นกลั้วไปกับกลิ่นของผลไม้อบแห้ง แต่เพราะว่ากลิ่นของช่วงต้นยังตามมาผสมผสานเลยทำให้กลิ่นช่วงนี้จะยังคงความนุ่มจมูกขึ้นมาอยู่ระหว่างความเป็นโทนผลไม้กับดอกไม้ โดยมีความแมนของ Oak Moss มาทำให้กลิ่นไม่ออกทางสาวแต่ประการใด แต่กลายเป็นกลิ่นที่ออกทางเย้ายวนขี้เล่นกรุ้มกริ่มแบบผู้ชายลุคเท่ห์ๆ กำลังดี และ Base Notes จะค่อยๆ ปล่อยของจนเต็มที่กับกลิ่นของไม้จันทน์หอมและถั่วตองก้า ยิ่งทำให้กลิ่นนุ่มออกทางครีมมี่เข้าไปอีก กลิ่นจะหอมสะอาดนุ่มนวล โดยมีความเป็น Oak Moss ยังทำให้กลิ่นออกทางแมนๆ ได้เสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งไม่แปลกใจเพราะโทนกลิ่นส่วนใหญ่แม้ส่วนผสมอาจจะไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด แต่สามารถทำกลิ่นให้ออกมาคล้ายกันได้ เพียงแต่ Legend จะออกทางผลไม้สะอาดนุ่มจมูกมากกว่า ที่จะเป็นวู้ดดี้สะอาดนุ่มนวลแบบ Fierce ครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศทุกวัย กลิ่นใช้ง่ายเข้าถึงได้ง่ายมาก แม้จะไม่ได้ออกไปแบบทางการณ์มากนัก ซึ่งสามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ยกเว้นงานที่ทางการณ์จัดๆ เพราะกลิ่นมันไม่ได้ออกทางมีภูมิสร้างความน่าเชื่อถือได้มากขนาดนั้น และกลางคืนแบบทั่วๆ ไป ไม่ใช่เมาหัวราน้ำ

ความทน - 6 ชม. ขึ้นไป และเกิน 8 ชม. ก็ไม่ยาก ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดีไปตลอดทั้งแต่ช่วงต้นยันปลาย มีความเป็น Skin Scent บ้างในช่วง Base

ทิ้งท้าย - กลิ่นแม้จะคล้าย Fierce ก็จริง แต่โทนผลไม้จะเด่นกว่า ซึ่งมีความดีงามในตัวเองอยู่ไม่น้อย และสามารถสร้างความประทับใจสำหรับคนได้กลิ่นก็มากโขอยู่ ซึ่งเป็นอีกตัวเลือกสำหรับคนที่สนใจน้ำหอมแบบสดชื่นกลั้วความนุ่มได้เต็มๆ เลย

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review: Mont Blanc - Starwalker



Mont Blanc - Starwalker

ถ้าใครซื้อปากกา Mont Blanc ให้ผมนะ ผมจะดีใจมาก เพราะจะเอาไปขายต่อ -_-“ จุดนี้ปากกาอะไรก็ไม่รู้แพงจนไม่รู้จะแพงยังไง คงได้ราคาหนำใจน่าดู แต่ถ้าซื้อน้ำหอมมาให้นะอันนี้รักตายเลย เพราะนอกจากปากกาและเครื่องหนังที่เป็นเมนหลักของแบรนด์นี้แล้ว น้ำหอมทุกตัวคุณภาพเต็มเหนี่ยว หรูหรา และมีคลาสมากจริงๆ แม้บางกลิ่นถ้าดมเพียงผิวเผินจะดูธรรมดา แต่พอใส่จริงมันยกระดับผู้ใ้ได้ดีมากอย่างเช่น Starwalker ที่จะมาคุยกันต่อครับ

น้ำหอมรุ่นนี้ทำออกมาร่วมกับรุ่นของปากกาเลยครับ (แบบว่าปากกา Starwalker สวยมากกกกกกก) ประมาณว่าสนับสนุนซึ่งกันและกันนั่นแหละ โดยน้ำหอมตัวนี้จะบอกถึงผู้ชายไฮโซเท่ห์ๆ สุภาพ สบายๆ เข้าถึงง่ายกว่าที่คิด มีความทั้งเนี้ยบทั้งชิลล์ อยู่ในตัวคนเดียวตามแต่ละสถานการณ์เลย เพราะ Top Notes เปิดตัวมากับกลิ่นแนว Citrus แบบสดชื่นแต่ไม่คมบาดจมูก เพราะมีกลิ่นของต้นไผ่มาเบรกความคมของส้มและมะกรูด แถมมีกลิ่นเย็นๆ ซ่าๆ ของจันทน์เทศแบบบางๆ เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันดันจนทำให้กลิ่นออกทางสดชื่นเย็นๆ แบบเดินเล่นในสวนไผ่กำลังดีมาก ซึ่งเพียงแค่กลิ่นในช่วงนี้ก็เรียกแขกพอที่จะทำให้เสียตังค์ซื้อได้ทันที เพราะกลิ่นหอมเป็นธรรมชาติจริงๆ ก่อนที่จะส่งต่อความสดชื่นติดโทนวู้ดดี้สะอาดๆ ของต้นไผ่ไปสู่ Middle Notes ที่จันทน์เทศกับขิงจะเด่นขึ้นมาสร้างความหวานเย็นติดสดชื่น โดยมีกลิ่นโทนเขียวสะอาดเข้ามาเสริมบวกกับมีโทนความอบอุ่นกำลังดี และมีกลิ่นในช่วง Top ที่ยังมาเป็นฉากหลังอยู่ ทำให้เนื้อกลิ่นมีมิติให้แอบฟินตามได้ไม่ยาก ประมาณว่า “ถึงดมต่อก็ทำให้เสียตังค์ซื้ออยู่ดี” เมื่อเข้าสู่ช่วง Base Notes คราวนี้จะมาในโทนวู้ดดี้แบบไลท์ ไม่แน่นไม่หนัก แต่ให้อารมณ์ผู้ชายสะอาดสะอ้าน สุภาพ แมนๆ เนี้ยบกำลังงาม มีคลาสกำลังดี ชิลล์ๆ ก็เข้าทาง ถือเป็นอีกกลิ่นที่ให้อารมณ์ผ่อนคลายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศตั้งแต่วัยเรียนมหาลัย เพราะกลิ่นจะออกทางกึ่งกลางระหว่างความเป็นทางการ นิ่งๆ หรูๆ กับความสบายๆ ชิลล์ๆ ได้ดีมาก สามารถใส่ทำงาน ใส่เรียน ใส่ไปเที่ยว ไปจี้เอวแฟน/กิ๊ก ใส่ออกกำลังกายก็ยังได้ แต่ไม่เหมาะกับใส่เที่ยวกินเหล้าตั้งวงตีขวดเมารอบกองไฟแต่ประการใด กลิ่นนี้ผู้หญิงที่ชอบน้ำหอมผู้ชายสามารถใช้ได้สบายๆ นะครับ ยิ่งถ้าเป็นคนทะมัดทะแมงด้วย ยิ่งเข้าทีไม่น้อยเลย

ความทน – ประมาณและไม่เกิน 8 ชม. ครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดี ให้ความสดชื่นแบบชวนยิ้มได้ง่ายมากในช่วง Top และจะลดระดับมาเรื่อยๆ จนเมื่อถึง Base จะออกทาง Skin Scent ที่เข้าใกล้แล้วจะได้กลิ่นสะอาดๆ มีคลาสในแบบที่เป็นผู้ชายดูดีตามธรรมชาติไม่ปรุงแต่งน่าอยู่ใกล้ๆ ได้เลยครับ

ทิ้งท้าย – ถือเป็นหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง อีกหนึ่งตัวที่เข้าถึงได้ง่าย ที่สำคัญใครชอบน้ำหอมที่มีกลิ่นต้นไผ่สะอาดๆ ตามธรรมชาติเด่นๆ ตัวนี้จัดเต็มจริงๆ ครับ