วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Review: Shiro Fragrance - Cheer Apple

Shiro Fragrance - Cheer Apple

สิ่งหนึ่งที่มักสร้างความน่าสนใจเสมอในฝั่งของแบรนด์น้ำหอมญี่ปุ่นสาย Mass Market โดยเฉพาะการวางจำหน่ายในประเทศ คือ การมี Limited Edition ที่มักจะออกมาตาม Season ต่างๆ โดยบางแบรนด์อาจจะออกมาทุกฤดูกาลเลย หรือบางแบรนด์อาจจะเน้นเฉพาะฤดูร้อน หรือเป็นการร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ ในการสร้างสรรค์น้ำหอมที่วางจำหน่ายจนกว่าจะหมดก็มี และ Shiro Fragrance ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มของ Collection - Shiro Classic

สิ่งหนึ่งของการเป็น Limited Edition ของ Shiro Classic มักจะออกมาวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อนในแต่ละปี โดยจำหน่ายเฉพาะแค่ภายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น (ยกเว้น Collection - Shiro Perfume ที่เป็นสาย Exclusive ที่ถ้ามี Limited Edition ก็จะมีวางจำหน่ายในหลายๆ ประเทศ) และในปี 2024 นี้ กลิ่นที่ได้เป็น Limited Edition และได้วางจำหน่ายจนกว่าจะหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือ Cheer Apple ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเป็นอย่างไรนั้น จะเล่าให้อ่านตามนี้เลย

สิ่งแรกต้องขอชื่นชมก่อนเลย คือ การทำกลิ่นช่วงต้นให้มีลักษณะใกล้เคียงความเป็นแนวแอปเปิ้ลกรอบฉ่ำหอมหวานติดเปรี้ยวอ่อนๆ แนวๆ เดียวกับแอปเปิ้ลฟูจิ หรือแอปเปิ้ลเนื้อกรอบฉ่ำหอมหวานแบบแอปเปิ้ลญี่ปุ่น ซึ่งต้องยอมรับในการผสมกลิ่นของแอปเปิ้ล ส้ม และลิ้นจี่ของแบรนด์นี้เลยที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนผลไม้หวานฉ่ำ Juicy ใกล้เคียงกลิ่นของแอปเปื้ลญี่ปุ่นได้มากขนาดนี้ ไม่พอกลิ่นยังชัดเจนมากเสียด้วย

การปรับตัวเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมจะปรับโทนด้วยการเอาโทน Floral เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันทำให้กลิ่นกลายเป็น Floral Fruity เต็มตัว ซึ่งเมื่อกลิ่นโทนมะลิกับกุหลาบและมีความติดเขียวแกมหวานใสๆ หน่อยๆ ซึ่งพอดอกไม้เจอผลไม้ สิ่งที่ได้คือ กลิ่นหญิงผมหอมมาเลย อารมณ์เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นกลิ่นแนวแชมพูกลิ่นดอกไม้ผลไม้ที่เด่นกับแอปเปิ้ลฉ่ำสวยๆ กำลังดี ได้ความรู้สึกแบบเดินผ่านหญิงงามที่ผมสยายตามลมแล้วเราได้กลิ่นหอมออกมาแนวๆ นั้นเลย แต่แม้ว่ากลิ่นจะให้อารมณ์แบบแชมพูหอมๆ ใสๆ แต่ก็ไม่ได้ดูไก่กาจากไหน ยังมีความสดชื่นและหวานระรวยรินแบบกลิ่นชัดไปเรื่อยๆ ซึ่งบอกกันอย่างชัดเจนเลยว่าช่วงนี้คือ Feminine เต็มตัวมาก

เมื่อกลิ่นโดทนแชมพูหอมหวานใส เริ่มเบาลง และมีกลิ่นโทนสะอาดนวลของ Musk แกมกลิ่นอบอุ่นติดครีมมี่บางๆ ของไม้จันทน์หอมที่คาดว่าน่าจะมีกลิ่นแอมเบอร์เนียนๆ รวมอยู่ด้วย เริ่มเข้ามาเทคโอเวอร์ตามลำดับ จนกลิ่นจะเปลี่ยนเป็นช่วงท้ายเต็มตัวที่เป็นกลิ่น Musk สะอาดๆ แกมไม้หอมโปร่งครีมมี่บางๆ ที่มีกลิ่นของดอกไม้แกมผลไม้เจืออ่อนๆ เนื้อกลิ่นเมื่อดมใกล้ๆ จะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเนียนๆ รวมอยู่ในเนื้อกลิ่น ถือว่าเป็นการปิดท้ายที่ให้ความสะอาด สบาย นวลและหวานระเรื่อได้ลงตัว และไม่ซับซ้อบให้ต้องปีนบันไดดมแต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าตอนซื้อมาพนักงานขายจะบอกว่า Unisex ซึ่งอันนี้ไม่เถียง เพราะมีโทน Unisex อยู่ในช่วงต้นและช่วงท้าย เพียงแต่มัน Unisex น้อยไปหน่อย เช่นนั้นกลิ่นจะเข้าทางกับสาวๆ แน่นอนมั่นใจได้ แต่ถ้าหนุ่มๆ จะใช้ก็ไม่ติด เพราะถ้าชอบกลิ่นแนวแอปเปิ้ลฉ่ำๆ แบบแอปเปิ้ลฟูจิ อันนี้ตอบโจทย์ ซึ่งเนื้อกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วไป แต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายอาจจะไม่ได้ตรงตัว เพราะกลิ่นมาสายสวย แนะนำรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วไปหรือออกงานเพื่อสร้างออร่าความหวานใสสวยๆ อันนี้เหมาะ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี ชนแก้วคัมไป หรือยั่วยวนผู้คน ข้ามจะดีกว่า คนละลุคกัน  

ความทน - พื้นฐานอยู่ที่ราวๆ 6 ชม. แต่ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมจะยืดไปถึง 10 - 12 ชม. ได้เลย ซึ่งก็ยอมรับเลยว่ากลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นที่ทนดีงามเป็นลำดับต้นๆ ของสาย Shiro Classic นี้ (ส่วนตัวใช้ไป 6 สเปรย์ ลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้สบายมาก)

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น กลิ่นชัดเจน และจะลดลงมากระจายปานกลางในช่วงกลางของน้ำหอมไปซักพัก พอผ่านชั่วโมงที่ 4 ก็จะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 6 - 7 ชม. ไปแล้ว 

สรุป - กลิ่นสวย และเป็น EDP ในสาย Shiro Classic ที่แม้กลิ่นจะไม่ได้ดูหวือหวาแตกต่าง เพราะพื้นฐานน้ำหอมญี่ปุ่นมักจะเน้นสายมินิมัลหรือซับซ้อนเชิงลึก แต่ทำกลิ่นได้ดีและมีความหวานหอมฉ่ำแอปเปิ้ลญี่ปุ่นได้น่าประทับใจมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://shiro-shiro.jp/item/13068.html

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2567

Review: Britney Spears - Prerogative Ego

Britney Spears - Prerogative Ego

นอกจากสาย Fantasy ที่ได้รับความนิยมมาอย่างสม่ำเสมอในการเป็นน้ำหอมสาย Celebrity ซึ่งแน่นอนว่าจับตลาดฝั่งน้ำหอมผู้หญิงชัดเจน แต่ Britney Spears เอง ก็ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหอมที่เจาะตลาด Unisex ที่ให้ผู้ชายทุกเพศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรับรู้ถึงความเป็น Britney ผ่านน้ำหอม และ Collection นั้นก็คือ Prerogative

แน่นอนว่าชื่อ Prerogative มาจากเพลง My Prerogative ที่เป็น Single เปิดตัวอัลบั้ม Greatest Hits: My Prerogative เมื่อปี 2004 ซึ่งถือว่าเป๊ะเลยทีเดียวกับการเอาคำนี้มาเป็น Collection น้ำหอมที่สร้างแรงบันดาลใจในเรื่องความมั่นใจ ความมีพลังเชื่อมั่นในตัวเอง และความเฟียซที่แต่ละคนพึงมี แม้ว่าจะมาในปี 2018 แต่ก็เข้าทางและใช้งานกับความรู้สึกแบบนี้ได้เสมอโดยเจาะตลาด Unisex ให้ครบถ้วนในการใช้งาน ไปเลยถึง 2 ใน 3 ของน้ำหอมในไลน์นี้

และในครั้งนี้จะมาเล่ากลิ่นกันซักหน่อยว่า 1 ใน 2 น้ำหอม Unisex ของ Britney จะมีกลิ่นอายแบบไหน ก็ขอมาว่ากันที่กลิ่นนี้เลย Prerogative Ego (รุ่นล่าสุดของ Collection นี้)

เปิดมาก็กลิ่นวิปครีมกันเลยทีเดียว ซึ่งในความเป็นวิปครีมจะมีพื้นกลิ่นที่เป็นวานิลลาแกมครีมมี่นมๆ อยู่ชัดมาก ซึ่งนี่แหละจะเป็นฐานกลิ่นที่อยู่กันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้าย โดยช่วงเปิดแม้ว่าวิปครีมจะเด่น แต่จะมีความปร่าขมปนเปรี้ยวที่เป็นตัวทำให้กลิ่นพุ่งอวลขึ้นมาอยู่ทางโทน Citrus แต่เพราะว่าเป็นตัวเสริมเลยจะไม่ได้เด่นเกินหน้าวิปครีมแกมวานิลลาเท่าไหร่ ให้อารมณ์ติดเปรี้ยวอวลๆ เนียนๆ ไปกับกลิ่นสายครีมแทน

เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นลูกครึ่งระหว่างโทน Gourmand กับ Floral อยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนช่วงนี้คือความเป็น Celebrity Scent ที่เอาใจสายหวานแกมขนมได้ครบถ้วนและทั่วถึง โทนวานิลลาจะเด่นขึ้นมามีความหวานแนวแหลมนิดๆ ซึ่งน่าจะมีจากกำยาน Benzoin ที่ให้โทนเสริมลักษณะนี้ โดนมีความเป็นวิปครีมสร้างความครีมมีเป็นฉากหลัง แต่จะมีกลิ่นดอกไม้สายหวานแบบใสๆ เข้ามาตัดทอน ซึ่งจะมีกลิ่นออกทางมะลิใสๆ แกมเขียวของดอกกระดิ่ง lily-of-the-valley กับกลิ่นค่อนไปทางดอกแอปเปิ้ลที่ให้อารมณ์แอปเปิ้ลติดหวานใสแกมกลิ่นน้ำผึ้งใสๆ ที่ถ้าไม่ได้มาจากดอกลินเดนก็น่าจะ Mimosa ที่มาแบบกลางๆ สมดุลย์ ดูสวยๆ ให้กลิ่นมีมิติมากกว่าความเป็นครีมมี่วานิลลา และที่สำคัญเริ่มจับต้องได้ถึงโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่มาตัดทอนไม่ให้ความเป็นโทนวานิลลาแผ่ไพศาลเกินไป ซึ่งตรงนี้ถือว่าทำได้ดีมากเพราะแตะความ Unisex ได้กลางๆ พอดีเลย

การเข้าสู่ช่วงท้ายซึ่งคราวนี้จะมีความเป็นโทนลูกผสมเลย เพราะจะจับได้ทั้งความเป็นโทน Gourmand ที่ยังยืินพื้น ซึ่งวานิลลาจะยังคงให้ความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นอยู่ แต่มีโทนออกทางคล้านผิวกายซึ่งน่าจะเป็นโทน Musk แกมสารหอมแนว อื่นๆ ทำให้กลิ่นมีความเป็นวานิลลากึ่งอวลผิวกายที่มีความเป็นไม้หอมโปร่งๆ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็น ISO E Super ที่มาทำให้เกิดกลิ่นอายไม้หอมแห้งโปร่ง ทำให้เนื้อกลิ่นมีทั้งความอวลอบอุ่นกำลังดี และมีความอวลโปร่งไม้หอมสะอาดๆ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ให้ความผ่อนคลายแกมอบอุ่นหวานอวลอ่อนๆ ปิดท้ายได้สมดุลย์แต่พอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงพอตัว แต่ถ้าผู้ชายใส่ก็ไม่ได้ติดอะไร เพราะช่วงกลางค่อนท้ายคือ Unisex ชัดเจนมากในสายของโทนขนมแกมหวานวานิลลา ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่่วๆ ไป หรือใส่ทำงาน Office ก็กำลังดี แต่ให้ข้ามการใส่แบบทางการหรือว่าออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้ (ยกเว้นใส่เต้น Concert ใน Hall อันนี้จัดไป) ส่วนยามค่ำคืน จัดได้ในแทบทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะโรแมนติค ท่องราตรี หรือใส่ทั่วไปก็ได้เลย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ถึงกับทรงพลังรอบทิศนัก ถ้าอยากได้แน่นๆ ก็เพิ่มสเปรย์พอช่วยได้ 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวเลยที่ราวๆ 8 ชม. อาจจะมีไปต่อได้อีกราวๆ 2 ชม. เพราะส่วนตัวเจอที่ 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติกับการใส่ที่ 5 - 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีตอนต้น ให้ความอวลวิปครีมชัดเจนมาก ก่อนที่จะลดลงมาเป็นปานกลางยาวๆ ไปจนถึงประมาณชั่วโมงที่ 3 ก็จะค่อนๆ ผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วติดผิวชัดเจนเมื่อแตะราวๆ 6 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ส่วนตัวถือว่าเกินคาดในแง่ของการเป็นน้ำหอมโทน Celebrity ที่ีมาสายขนมก็จริง แต่ไม่ได้เอะอะก็ใส่พลังจัดเต็ม ยังให้อารมณ์ที่พอเหมาะกำลังดีจนไม่อึดอัดเกินไป แถมยังมีความอวลเซ็กซี่ก็ได้ หรือจะเย้าแต่ผ่อนคลายก็ดี ซึ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นวิปครีม บอกเลยกลิ่นนี้ตอบโจทย์จริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://labelleperfumes.com/products/prerogative-ego-3-3-oz-edp-for-women


วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Review: Penhaligon’s - Brilliantly British

Penhaligon’s - Brilliantly British

Brilliantly British เปิดตัวออกมากับการเป็นหนึ่งในน้ำหอม Limited Edition ที่เฉลิมลองการครบรอบ 150 ปีของแบรนด์น้ำหอมคู่บ้านคู่เมืองประเทศอังกฤษอย่าง Penhaligon’s ซึ่งมาแบบชัดเจนมากว่า นอกจากฉลองให้แบรนด์แล้ว ยัง Tribute ในความเป็นสไตล์อังกฤษโดยการเอา Note กลิ่นที่เรียกว่าสื่อถึงความเป็นอังกฤษมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการสร้างสรรค์อีกด้วย นั่นคือ ลาเวนเดอร์ กับ ท็อฟฟี่คาราเมล

ซึ่งกลิ่นจะสร้างสรรค์ไล่เรียงกันออกมาอย่างไรนั้น ว่ากันได้ตามนี้

ต้องยกความยอดเยี่ยมให้ช่วงเปิดเลย เพราะสามารถสื่อสารถึงความเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์ได้เป็นธรรมชาติมากๆ เหมือนเราเดินเล่นในสวนลาเวนเดอร์แบบอังกฤษแบบชัดเจนมากในทุกๆ สโตรกกลิ่น เพราะจะได้กลิ่นลาเวนเดอร์ธรรมชาติแกมเขียวหน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นบรรยากาศสดชื่นอ่อนๆ ของโทน Citrus ที่มีความขมจางๆ เดาว่าน่าจะเป็นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เป็นตัวสร้างบรรยากาศสดชื่น ซึ่งเนื้อกลิ่นไม่ได้มีอะไรมากเน้นความมินิมัลที่มีความเป็นธรรมชาติเป็นหลัก

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง จะมีรอยต่อของกลิ่นในการส่งต่อกันก่อนระหว่างความเป็นโทนลาเวนเดอร์ธรรมชาติ ที่จะเริ่มมีความหวานของคาราเมลติดเค็ม (เดาว่าค่อ Salted Caramel) ผสมผสานกับโทนวานิลลาที่มีความหวานแหลมๆ ที่เป็นลักษณะของกำยาน Benzoin เข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหลักทำให้เนื้อกลิ่นจะมีความหวานแหลมแบบลักษณะของกลิ่นระหว่างการทำ English Toffee ที่ฟุ้งกระจายออกมาแบบชัดเจน ซึ่งตอนนี้เหมือนลาเวนเดอร์จะหายไป แต่จริงๆ ไม่ได้หายไปไหน เพราะจะรวมอยู่ในเนื้อกลิ่นโทนหวานแหลมให้จับต้องได้ สร้างความหนาในเนื้อกลิ่นโทนหวานได้ดีอีกด้วย

เมื่อโทนกลิ่นหวานแหลมของ Toffee เริ่มคงที่และผ่อนตัวลงเปิดทางให้โทนอบอุ่นกึ่งนวลเสริมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นลูกผสม 3 โทนระหว่างกลิ่นโทนอบอุ่นกึ่งแอมเบอร์แกมหนังเคล้า Musk ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลแกมอบอุ่น + ความหวานหอมของ English Toffee ที่ลดความแหลมลงมาเป็นกลิ่นอายแบบ Toffee ที่ตัดมาแล้วพร้อมรับประทาน เสริมด้วยความประปรายของลาเวนเดอร์ที่เนียนรายล้อมเบาๆ ให้พอจับต้องได้ สร้างโทนกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลายเคล้าความหวานอบอุ่นแกมลาเวนเดอร์ที่จับคู่กันได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ได้หมดทุกเพศ ยิ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นของลาเวนเดอร์และกลิ่นโทนหวานคาราเมลท็อฟฟี่อยู่ทุนเดิม บอกเลยว่าฟินสุด ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนแบบทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ก็พอใส่ยามทางการได้แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นจะให้ความสุขุมแกมหวานคมนิดๆ กำลังดีได้ด้วย รวมถึงใส่แบบโรแมนติตก็ยังได้ ให้ความดึงดูดกำลังดีอีกด้วย แต่ให้ตัดไปได้เลยคือใส่ออกกำลังกาย เพราะกลิ่นหวานตีขึ้นแน่นๆ ตอนวิ่งมีเป็นลมนะเออ หรือใส่ไปท่องราตรีเพื่อเรียกแขก บอกเลยว่าไม่น่าไม่ปัง เพราะเจอกลิ่นแน่นๆ รอบทิศจากคนอื่นก็อาจจะกริบได้

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบได้แน่ๆ ที่ 2 ชม. ซึ่งหลายๆ ครั้งใส่กลิ่นนี้อยู่ในห้องแอร์เป็นหลักก็ยาวไปที่ 10 ชม. เสมอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น เพราะเนื้อกลิ่นให้อารมณ์ธรรมชาติ เลยไม่ได้เอะอะก็ยัดความพุ่งฟุ้งกระจายมากนัก แต่กลิ่นจะเปลี่ยนมาเป็นกระจายดีในช่วงกลางไปราวๆ 2 ชม. แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางสู่ออร่ารอบๆ ตัว ไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 6 ก็จะเริ่มกลายเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - ให้นึกภาพเหมือนเราเดินเล่นในสวนลาเวนเดอร์ แล้วเดินผ่อนคลายกลับเข้ามาในพื้นที่พักผ่อนพร้อมกับกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ติดกายมาผสมกับกลิ่นคาราเมลหอมหวานลอยมาให้ได้กลิ่นชวนยิ้ม แล้วเราเดินเข้าไปในครัวเห็นว่าเชฟหรือใครซักคนกำลังทำ English Toffee ด้วยการกวน Salted Caramel กับเนยกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วอยู่ แล้วเรายืนดูก่อนจะหยิบออกมาจากครัว มานั่งเคี้ยวกินอย่างมีความสุขกับความอบอุ่น แกมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ติดผิวกายเรา + ลอยมาตามลมบางๆ เคล้ากับกลิ่นความหวานหอมอย่างสบายอารมณ์ นี่แหละคือทั้งหมดของการเป็น Brilliantly British ขวดนี้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.harrods.com/en-gb/shopping/penhaligons-brilliantly-british-eau-de-parfum-100ml-15997779

 

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Review: Technique Indiscrete - Monarchy

Technique Indiscrete - Monarchy

จากการเห็นภาพวาดที่สื่อสารถึงความเป็นเขตชนบทของประเทศเบลเยี่ยม แล้วมาต่อยอดพระราชวังหรือปราสาทต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่เหล่านั้น และมีพระราชวงศ์อยู่อาศัยตามปกติโดยมีรั้วรอบขอบชิดเป็นต้นไม้หนาทึมห้อมล้อมพื้นที่ภายในกันกว้างขวางและมีพื้นที่สีเขียวรายล้อม เพื่อมาเป็นน้ำหอมที่สื่อสารถึงคำว่า Monarchy = สถาบันกษัตริย์ และถ่ายทอดออกมาเป็นกลิ่นอายที่บ่งบอกถึงชีวิตประจำวันของพระราชวงศ์เหล่านั้น

นี่ก็คืออีกหนึ่งในผลงานของแบรนด์ Niche จากฝรั่งเศสอย่าง Technique Indiscrete ที่ดึงดูดให้เกิดความสนใจไม่น้อยว่าจะถ่ายทอดกลิ่นออกมายังไงจากแรงบันดาลใจในการสื่อความถึงคไว่า Monarchy เช่นนั้น เมื่อลอง แล้วรู้ จึงเล่าต่อแบบนี้ว่า

เป็นกลิ่นที่เล่นโทนระหว่างความสดชื่นเรียบง่าย ความหอมละมุนแบบสวยแบบนิ่งๆ กับความอบอุ่นให้ความผ่อนคลายแบบขรึมๆ ที่ไล่เรียงกันอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากช่วงต้นที่จะให้ความสดชื่นของความปร่าแกมเขียว ซึ่งหลักที่จับต้องได้เลยคือ กลิ่นของใบ Clover ที่จะให้ความเขียวติดหวาน ที่จะแซมด้วยมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ให้ความเปรี้ยวขมสร้างบรรยากาศสดชื่นในยามเช้า แต่จะมีความปร่าซ่าแกมสะอาดของตะไคร้เข้ามาคลอให้มีความรู้สึกสดชื่น ซึ่งช่วงเปิดจะได้ความรู้สึกแบบความเขียวแนวสวนที่มีกลิ่นเขียวยามเช้าที่ลอยมาได้พอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว

เมื่อกลิ่นช่วงต้นเริ่มเบาลงไปตามลำดับ ก็เข้าสู่ช่วงกลางที่จะปรับให้กลิ่นโทนลาเวนเดอร์ที่ติดนวลสะอาดเด่นขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ นวลหวานละมุนแกมสะอาดเข้าทางโทนแป้งแบบชัดเจน โดยมีความเขียวกึ่งกุหลาบของเจอราเนียมเสริมให้รับต่อมาจากช่วงต้นอยู่แบบกำลังดี แต่สิ่งหนึ่งคือ พื้นฐานกลิ่นมีความอวลๆ สูงมาก และมีลูกผสมระหว่างโทนไม้หอมแกม Musk อวลๆ ที่ทำให้กลิ่นโทนแป้งดอกไม้มีความหอมละมุนๆ ไล่โทนสีกึ่งม่วงอ่อนแกมชมพูบางๆ ที่มีความเขียวเบาๆ แบบบรรยากาศคลอ และที่สำคัญแอบจับได้ถึงกลิ่นวานิลลาหน่อยๆ ที่เป็นฉากหลังอีกด้วย ซึ่งเป็นการปูทางที่ดีไปสู่ช่วงท้ายนั่นเอง

ช่วงท้ายกลิ่นจะชัดเจนมากในการเป็นโทนวานิลลาแบบ Lite Version ติดหวานแบบสมดุลย์มีความเป็นแป้งลาเวนเดอร์กุหลาบเบาๆ ผสมนวลเนียนในเนื้อกลิ่นที่ไม่ข้นเกินไปและไม่หนักเกินไป + มีความเป็นไม้หอมสีครีมนวลเข้ามาเป็นตัวเด่นในการเดินกลิ่นร่วมด้วย นั่นก็คือ ไม้จันทน์หอม รวมถึงการมีไม้ซีดาร์เข้ามาผสมผสานทำให้ได้อารมณ์กลิ่นโปร่งสะอาดกึ่งกระดาษสีถนอมสายตาคลอไปกับวานิลลา โดยมีความอบอุ่นและนุ่มนวลสะอาดของ Musk ที่มีความโปร่งเบาๆ กำลังดี ติดเขียวหน่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็น Ambrette ที่เป็น Musk ที่มาจากพืชมาเป็นตัวเชื่อมโทนให้มีกลิ่นเขียวบางๆ รวมถึงกลิ่นมีคล้ายหญ้าแห้งกึ่งหวานที่มาจากสารหอมที่สกัดจากถั่วตองก้าอย่าง Coumarin ร่วมด้วย ซึ่งเป็นการช่วงต่อมาสร้างมิติให้มีความเขียวคลอๆ ทำให้การปิดท้ายของกลิ่นจะได้ความอบอุ่น แกมหวานนวลอ่อนๆ ติดกลิ่นออกทางกระดาษที่มีความเขียวแห้งบางเบาในบรรยากาศ สร้างความเรียบหรูและผ่อนคลายได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่กลางๆ ครอบคลุมการใช้งานทุกเพศได้กำลังดี และยังครอบคลุมการใช้งานยามกลางวันแบบเก็บเกือบหมดอีกด้วย จะมีนิดหน่อยคือถ้าใส่ออกกำลังกาย ก็อาจจะไม่ได้เข้าทางเท่าไหร่ เพราะกลิ่นมีความนิ่งและสุขุมอยู่พอตัว เลยไม่ได้มาสาย Activity สลายพลังงานจ๋าๆ นัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือออกงานจะดีกว่า เพราะกลิ่นมีความนิ่งเรียบหรูที่ส่งเสริมให้ดูมีการวางตัวที่ดีตามคาแรคเตอร์กลิ่นได้ไม่ยาก   

ความทน - กลิ่นทนได้น่าพึงพอใจที่เฉลี่ย 8 ชั่วโมงในการใช้งานได้สบายมาก และไปต่อได้อีกด้วยจนถึงราวๆ 12 ชม. ก็บ่อยครั้งที่ใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางไปซักราวๆ 3 ชม. ก่อนที่คงตัวที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 8 ก่อนจะเป็๋นกลิ่นอวลๆ ไม่หอมแกมวานิลลาสุขุมนุ่มลึกติดผิว

สรุป - แตะคำว่า Monarchy ไหม ก็ได้อยู่แง่ของการเป็นกลิ่นที่เป็นสถานที่ตากอากาศหรือพักผ่อนของพระราชวงศ์อะไรแบบนี้ ซึ่งกลิ่นให้ความเป็นธรรมชาติที่ดีเลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆ ปรับจากธรรมชาติเข้าสู่ความสุขุมนุ่มลึกและเรียบหรูแบบกำลังดี ใช้ง่ายและมีคลาส

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://techniqueindiscrete.com/en/fragrance/8-144-mug-today-is-a-good-day.html

 

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Review: 4711 - Acqua Colonia Myrrh & Kumquat

4711 - Acqua Colonia Myrrh & Kumquat

ก่อนที่จะใช้ Cologne ของ 4711 ถ้าไม่ใช่สาย Intense ก็มักจะทำใจก่อนเสมอว่าเราเน้นแค่ Refreshing ไม่ได้เน้นว่าความทนจะต้องจัดจ้านในย่านไหน และเน้นสบายๆ ในวันอากาศร้อนๆ อยากเติมเมื่อไหร่ก็เติม แต่ถ้ากลิ่นนั้นดันทนขึ้นมาเกินคาดนั่นคือ ผลพลอยได้ ที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีมากขึ้นในการซื้อหากลิ่นที่ว่ามาใช้งาน

และในครั้งนี้ก็ได้เวลาของการที่มาเจอกับกลิ่นที่ส่วนตัวมองว่าความทนเกินคาดในการเป็น 4711 สายปกติอีกหนึ่งกลิ่น ที่เรียกว่าไม่ธรรมดา ซึ่งนั่นก็คือ Acqua Colonia Myrrh & Kumquat และเนื้อกลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นก็ว่ากันได้ตามนี้

จุดเปิดคือการเป็นโทน Citrus ที่มีวูบติดเปรี้ยวหอมที่ใสนิดๆ ชื้นหน่อยๆ ที่พุ่งมาพร้อมกับกลิ่นที่คาบเกี่ยวโทนกึ่งแป้งกึ่งยางไม้ที่มีอารมณ์ติดฝุ่นทึบปร่าหน่อยๆ แต่มีความหวานลึกในเนื้อกลิ่นทีเรียกว่ามาครบกันตั้งแต่แรกในการเป็น Myrrh & Kumquat (ส้มจี๊ด) ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ได้เป็นกลิ่นที่ใสกิ๊งกระจ่าง เพราะเป็นยางไม้ที่เป็นพื้นกลิ่น แต่ก็ยังมีความเป็นสไตล์ Cologne อยู่ เพราะความเป็น Citrus ที่ทำหน้าที่ในการเป็น Part ของตัวเองได้ดี ให้ความสดชื่นแบบที่ Cologne ควรจะเป็นได้ลงตัว

แต่ความเป็น Citrus ของส้มจี๊ดไม่ได้อยู่นานนัก เพราะกลิ่นในช่วงกลางจะกลายเป็นกลิ่นอายแบบที่มีความคุ้นแคยในลักษณะที่มีความเป็นลูกผสมคาบเกี่ยวระหว่างการเป็น Dior Homme รุ่นปี 2011 ที่เด่นด่วยโทนแป้งกึ่งลิปสติกกับกลิ่นของ Dior Homme Eau ที่เป็น Citrus Iris เข้ามาให้จับต้องได้ โดยไม่ได้หมายว่าเป็นการถอดกลิ่นมาแบบทั้งดุ้น อารมณ์โทนกลิ่นใกล้เคียง แต่จะมีตัวเสริมชั้นดีเป็นกลิ่นของยางไม้ที่ให้ความปร่าแกมหวานทึบของ Myrrh เป็นตัวเสริม ทำให้กลิ่นตอนนี้จะเป็นกลิ่นโทน Cologne ที่มีความเป็นโทนแป้งแกมยางไม้กึ่งแอมเบอร์ที่มีความกำลังดี ไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป โดยมีลักษณะกลิ่นที่อารมณ์เป็นสไตล์ยางไม้รองพื้นที่ชัดเจน

ช่วงท้ายโทนแป้งจะเป้าลงไปเหลือเพียงเบาบางจนแทบจับต้องไม่ได้ แต่จะให้ลักษณะความเป็นโทนกึ่งยางไม้กึ่งแอมเบอร์ที่ติดผิวอวลอ่อนๆ เบาๆ มีความเป็นโทนไม้หอมหน่อยๆ ที่ยังมีความหวานอวลๆ แกมปร่าบางๆ เป็นตัวปิดท้ายไปเรื่อยๆ แบบไม่ซับซ้อนแต่ให้ความอบอุ่นแบบมีเสน่ห์กำลังดีจนจางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - Unisex แบบเต็มขั้น ไม่ว่าจะเพศไหนก็ใช้กลิ่นนี้ได้สบายมากและไม่หนักเกินไปเพราะเป็น Eau de Cologne อาจจะมีวูบแน่นๆ แค่ช่วงฉีดแรกๆ บ้าง แต่เดี๋ยวก็ลดลงเป็นกลิ่นกลางๆ เรื่อยๆ ไม่พีค ซึ่งเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป แต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายแนะนำรอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบชิลล์ๆ หรือโรแมนติคก็ได้ แต่ไม่เหมาะกับการใส่เพื่อเน้นปล่อยเสน่ห์ร้อยแรงม้านัก เพราะก็ Cologne น่ะ มันไม่ได้มาสายซูเปอร์ไซย่ารอบทิศอยู่แล้ว

ความทน - 8 ชม. มีบวกลบราว 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และประเภทผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ส่วนตัวยอมรับเลยว่าทนเกินคาดมากจริง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาเป็นปานกลางซักพักราว 30 นาที ที่เหลือก็ออร่ารอบๆ ตัวยาวไป พอเข้าชั่วโมงที่ 5 ก็เริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ไม่ธรรมดา กับการสร้างกลิ่นอาย Cologne ที่มีระดับและทันสมัยในเวลาเดียวกัน โดยเอาความเมโทรในเนื้อกลิ่นมาเสริมให้มีน้ำหนักในกลิ่นของโซนยางไม้อย่าง Myrrh และใส่ความเป็น Citrus เปรี้ยวหอมที่ลงตัวในช่วงต้น และที่สำคัญเด่นในเรื่องความทนที่เกินกว่าการเป็น EDC โดยทั่วไป 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.worten.es/productos/perfume-4711-acqua-colonia-eau-de-cologne-mirrakumquat-170-ml-mrkean-4011700747443

 

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Review: Zara - Lush Vetiver

Zara - Lush Vetiver

เพราะ Zara ปล่อยน้ำหอมบ่อยมากจนแทบไม่อยากรู้แล้วว่าที่มาที่ไปในการกำหนด Collection นี้ออกมาอย่างไร เพราะน้ำหอมเยอะไปหมด เช่นนั้นเลยแบบง่ายๆ แล้วกันว่าไม่ท้าวความให้มากเรื่อง ขอมีบ้างเพื่อแตะๆ แล้วกัน

Lush Vetiver เป็นหนึ่งใน Men’s Collection 2023 ที่ปล่อยน้ำหอมผู้ชายในรูปแบบ EDP ทั้งหมด 11 กลิ่น ซึ่งต่อให้จะเขียนคำโปรยสวยๆ มาอย่างไงก็ตาม เอาตรงๆ ก็คือ มาสไตล์เอาสภาพแวดล้อม สีสัน และชูโรง Note กลิ่นมาสื่อสารเป็นน้ำหอมรวมๆ กันอยู่ใน Collection และกลิ่นนี้ก็มาในสายชูโรง Note กลิ่นนั่นเอง ส่วนกลิ่นเป็นอย่างไรนั้น ก็ตามนี้

Fresh Wood คือ จุดเริ่มต้น เพราะโทนไม้หอมจะเด่นชัดมาก่อนเลย และชัดเจนมากๆ ว่าจะเป็นแกนหลักของกลิ่นตั้งแต่ต้นยันจบ แต่จะมีโทน Citrus มากล่อมให้กลิ่นมีความสดชื่น แต่ไม่ได้มีโทนเปรี้ยวคมใดๆ มาแย่งซีน ออกแนวเป็นโทนขมที่มีความเปรี้ยวบางๆ และมีความปร่าติดฝาดหน่อยๆ เสริมให้กลิ่นมีโทนแบบบรรยากาศ เนื้อกลิ่นจะมีความเขียวเจือๆ ให้สัมผัสที่พอทำให้รู้สึกได้ตามชื่อกลิ่น Lush Vetiver (หญ้าแฝากเขียวชะอุ่ม) อยู่บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นโทนเปิดที่ลงตัวและเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่คิด

Lite Sensual Wood คือ ช่วงกลางของน้ำหอม ที่แน่นอนว่าเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนไม้แห้งๆ แต่มีความเย้าของกลิ่นติดขมกึ่งหนังของหญ้าฝรั่น ที่มาแบบกำลังดี ไม่ได้ดูเครื่องเทศจัดจ้านจ๋าไปและก็ไม่ได้หนังเข้มเกินไป ออกแนวมาแบบเย้าๆ เสริมให้โทนไม้แห้งๆ ที่โปร่งๆ ลูกผสมระหว่างหญ้าแฝกและไม้โอ๊คที่ค่อนข้างมีความเป็นกลิ่นไม้หอมแห้งแต่มีน้ำหนักที่ให้อะโรม่ากำลังดี เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางแป้งอยู่หน่อยๆ ด้วย อารมณ์แบบแป้งกลิ่นไม้แห้งๆ นั่นเลย ทำให้ออร่าของกลิ่นจะมีพลังออกมากำลังดี เหมาะสม และมีเสน่ห์แบบโทนไม้หอมให้รับรู้ได้ตลอด 

Dry Aromatic Wood เป็นช่วงท้ายที่ให้ความเป็นออร่าล้อมกายแบบกลาง ที่เหมาะสม มีเสน่ห์แบบมินิมัล ซึ่งเนื่อกลิ่นจะเป็นไม้แห้งๆ ของหญ้าแฝกและไม้โอ๊คที่ผสมผสานกันจนตรงๆ ว่ากลิ่นไม้แห้งๆ ที่สว่างๆ และผ่อนคลาย เสริมด้วยกลิ่นพิมเสนที่มาแบบสะอาดๆ โปร่งๆ เสริมให้กลิ่นไม้มีความเรื่อๆ Earthy แบบแห้งๆ สบายๆ ติดดิน แต่สะอาดและมีความเป็นสีเอิร์ธโทนให้สัมผัสได้ตลอด และปลายๆ กลิ่นก็จะสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นเขียวบางๆ แทรกอยู่ด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นสไตล์ Gentlemen ที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นด้วย เป็นการปิดท้ายที่ไม่เยอะสิ่ง ไม่เล่นใหญ่มากจนดูพยายาม แต่มีความลงตัวกำลังดีในการเป็นโทนไม้หอมที่เหมาะสมกับการใช้งานแบบครอบจักรวาลได้เลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศ วัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก เพียงแต่สำหรับน้องๆ ม.ปลาย กลิ่นอาจจะดูสุขุมไปหน่อย ถ้าไม่ติดก็จัดไป ซึ่งกลิ่นมีความครอบจักรวาลในการใช้งานทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่อาจจะไม่เข้าทางการใส่เพื่อออกกำลังกายตรงๆ หรือว่าใส่ไปปล่อยเสน่ห์ล้านแปดนัก เพราะกลิ่นมาสายสว่างๆ สบายๆ สุขุมเสียมากกว่า

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่ว่าจะมีบวกลบอยู่บ้างราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. เป็นเรื่องปกติ กับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางไปราวๆ 3 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 5 ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเริ่มติดผิวเอาราวๆ ชั่วโมงที่ 7 โดยประมาณ 

สรุป - เป็นกลิ่นไม้หอมที่มีครบถ้วนในการใช้งาน และไล่เรียงความหอมจากสดชื่นสู่โทนแห้งได้อย่างลงตัว และที่สำคัญเนื้อกลิ่นมาสายมินิมัลแบบไม่เยอะสิ่งแต่ให้ความมีเสน่ห์แบบเหมาะสม สุดท้ายความเห็นส่วนตัวเลยว่า “กลิ่นนี้คือ Daily Scent ที่ไม่ไก่กาเลย เรียกว่ามีเสน่ห์และแตกต่างเนียนๆ กำลังดีท่ามกลางน้ำหอมสาย Mass ทั้งหลายจริงๆ”

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.zara.com/pl/en/lush-vetiver-edp-100ml---3-38%C2%A0oz-p20220255.html

 

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Review: Yves Rocher - Voile Doré

Yves Rocher - Voile Doré

ต้อนรับวัน Christmas ของทุกปี Yves Rocher เองก็จะมีน้ำหอมมารอพร้อมรองรับเทศกาล ที่นอกจากจะเป็นหนึ่งในของขวัญที่น่าสนใจในช่วงปีใหม่แล้ว ยังเป็น Limited Edition สำหรับปีนั้นๆ อีกด้วย ซึ่ง Concept จะมีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเป็นแกนหลักของกลิ่นเสมอนั่นคือ วานิลลา ซึ่งเหมาะเจาะกับกลิ่นอายที่เพิ่มความอบอุ่นรื่นรมย์ในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ (ของแถวเขตหนาว) อย่างมากจริงๆ

และในปี 2023 กลิ่นที่เป็น Christmas Limited Edition ก็คือ Voile Doré ซึ่งแน่นอนว่าเข้ามาจำหน่ายที่ไทย เช่นนั้นจะสื่อถึงความเป็นวานิลลากัย Christmas อย่างไร ต้องลองซักหน่อย และสิ่งที่ได้ คือ 

วานิลลาเต็มๆ แต่ จะมีลูกผสมโทนไม้หอม ที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีอารมณ์ของกลิ่นแนวคุกกี้วานิลลาอบที่มีกลิ่นติดเครื่องเทศแกมไม้ที่มีความความอบอุ่น แนวๆ อบเสร็จใหม่ๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งนี่คือแกนหลักของกลิ่นที่รับรู้ได้ตลอด

แต่ถ้ามาจำแนกเป็นแต่ละช่วง กลิ่นจะให้ความเป็น Spicy Vanilla อวลๆ มาก่อนเลยตั้งแต่แรก เนื้อกลิ่นจะมีความหนาในระดับที่กำลังดีค่อนไปทางแน่น แต่ไม่ได้แน่นมาก ซึ่งกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นอบเชย กระวาน ขิงหน่อยๆ และน่าจะมีเม็ดจันทน์เทศจะเข้ามาผนวกกับวานิลลา ทำให้เนื้อกลิ่นจะไม่ได้มีสีครีมนวล แต่จะให้ความเป็นโทนสีออกน้ำตาลจนได้อารมณ์สีวานิลลาเข้มค่อนไปทางน้ำตาล เนื้อกลิ่นจะพอจับต้องโทนออกทาง Citrus ติดขมที่ให้ความปร่าอ่อนๆ ได้อยู่ สร้างมิติที่ยังมีวูบปร่าบางๆ รวมอยู่ด้วย แต่พื้นฐานกลิ่นคือชัดเจนมากว่าเป็นโทนกลิ่นอบอุ่นหวานอวลนวลเย้าเครื่องเทศที่ชัดเจนมาก และที่สำคัญมีวูบของการเป็นกลิ่นแนวขนมอบเข้ามารวมอยู่ด้วย แนวๆ ชินนามอนบัน หรือคุกกี้วานิลลาอบเชยได้เลย

เมื่อกลิ่นเริ่มลดทอนความปร่าประปรายในช่วงต้นลงไป แต่เพิ่มความอบอุ่นเข้ามาในเนื้อกลิ่นชัดขึ้น โดยไม่ได้มาแบบหนักหน่วง เพราะกลิ่นลดทอนความหนักและกระจายลงมา แต่จะให้อารมณ์และความรู้สึกได้ว่ากลิ่นมีความอบอุ่นอวลๆ อยู่ ซึ่งแก่นหลักของกลิ่นยังเป็นวานิลลาอยู่เช่นเคย แต่ตัวแชร์โทนกลิ่นจะเริ่มแบ่งเบาภาระจากเครื่องเทศต่างๆ มาเป็นกลิ่นโทนไม้หอมแกมอบอุ่นเข้าโทนแอมเบอร์เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งพอรวมกันทั้งหมดแล้ว นี่แหละกลิ่นขนมแนวคุกกี้วานิลลาที่ผสมเครื่องเทศต่างๆ อบจนหอมกรุ่นออกมา แล้วมีไอความอบอุ่นกึ่งไม้หอมให้จับต้องได้ ซึ่งช่วงนี้ขอยกให้เป็นโทน Gourmand ที่ไม่ได้หนักหน่วง แต่ให้ความรู้สึกพึงใจและอบอุ่นหอมหวานอวลได้กำลังดี

การปรับโทนเข้าสู่ช่วงท้ายทำให้นึกถึงกลิ่นหนึ่งของแบรนด์นี้นั่นคือ Volie d’Orcre ที่เด่นกับการเป็นโทนไม้จันทน์หอมอบอุ่นและมีเสน่ห์มาก ซึ่งอารมณ์เหมือนดึงเอาความเป็น Volie d’Ocre มาผสมผสานกับโทนวานิลลากึ่งเครื่องเทศเข้าทางคุกกี้อบ ทำได้ให้อารมณ์ที่แตกต่างแบบไล่โทนมีในเนื้อกลิ่น โดยมีสีครีมนวลของไม้จันทน์หอมเป็นแกนหลัก สนับสนุนด้วยสีวานิลลาเข้มกึ่งสีน้ำตาลแดงเครื่องเทศ และสุดท้ายคือสีน้ำตาลแกมทองอบอุ่น ทำให้กลิ่นมีลูกเล่นที่ต่อเนื่องและทอเป็นผืนเดียวกันได้ดีเข้าทางกลิ่นอายที่ทำให้ช่วงเทศกาล Christmas หรือปีใหม่ที่อากาศหนาวๆ (แบบเขตหนาว) มีความหอมอบอุ่นรื่นรมย์และสร้างความพึงใจมาตัดทอนให้รู้สึกถึงความสุข ซึ่งถือว่าเป็นการปิดท้ายกลิ่นได้ลงตัวมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ก็จริง แต่เนื้อกลิ่นแนวนี้จะตอบโจทย์ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายแน่ๆ เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นวานิลลาขนมแนวๆ นั้น แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง เน้นอวลๆ รุมๆ รอบตัวเป็นหลัก ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะใส่แบบทั่วๆ ไป อยู่ในห้องแอร์ รวมถึงวันอากาศร้อนๆ ก็พอได้แต่ไม่ควรสเปรย์เยอะเพราะเดี๋ยวจะตึ้บเสียก่อน แต่ให้ตัดไปได้เลยคือ ใส่ออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืน ใส่ออกงานหรือว่าใส่แนวโรแมนติค จัดไป รวมถึงจริงๆ จะใส่ไปท่องราตรีก็พอได้ แต่กลิ่นจะไม่ได้กระจายเท่าไหร่ ซึ่งถ้าไม่ได้เน้นไปเรียกแขก ก็ใส่ได้ตามสะดวก

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 - 10 ชม. เป็นประจำ

การกระจาย - ช่วงแรกกลิ่นจะอวลชัดมากและกระจายดี แต่พอเข้าช่วงกลางราวๆ ผ่านไปซัก 15 นาทีแรกแล้ว กลิ่นจะลดลงมาเป็นปานกลางไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปถึงชั่วโมงที่ 6 - 7 แล้วะเริ่มติดผิว

สรุป - เป็นไปตามข้างต้นก่อนจำแนกกลิ่นในแต่ละช่วงเลย และเพิ่มเติมด้วยว่า เป็น Limited Edition ด้วย เช่นนั้นการมีไว้ใช้ในช่วงอากาศเย็นๆ ถือว่าไม่เสียหายและยังหอมอบอุ่นหวานอวลได้ดีมากอีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.yves-rocher.com.mx/pws/homeoffice/store/AM/catalog/Home/fragancia-de-tocador-voile-dore

 

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Review: ICONOfly - Attache-Moi ICI & LA

ICONOfly - Attache-Moi ICI & LA

Niche แน่นอน และ Niche แท้ๆ ที่เป็นหนึ่งในแบรนด์สื่อสิ่งพิมพ์ของฝรั่งเศสที่ขยายมาแตะในเรื่องสินค้า Lifestyle และน้ำหอม ที่เอาความเป็น Paris มาผนวกรวมกับความเป็น New York (บวกกับความเป็นสไตล์ USA ต่างๆ ด้วย) ซึ่งเรียกว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ และได้รับความนิยมในความเป็นอายผสมผสานที่มีเสน่ห์และมีความเก๋เฉพาะตัวไม่น้อยมาเสมอ

และในคราวนี้เมื่อได้มีโอกาสมาเจอกับหนึ่งในกลิ่นที่น่าสนใจของแบรนด์นี้ ก็ต้องเอามาเล่ากันหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะเป็นลักษณะใดกับ Attache-Moi ICI & LA

ก่อนจะเข้าเรื่องกลิ่นได้ไปอ่านคำจำกัดความของน้ำหอมกลิ่นนี้มาก่อน ซึ่งก็ต้องบอกว่าก็คือพรรณาโวหารที่เป็นเชิงอุปมาอุปมัยจนรู้สึกเข้าใจยากไปนิดนึง ก็เลยข้ามช็อตมาเรื่องกลิ่นเลยกับการเปิดตัวกลิ่นที่มีความน่าสนใจมากในการผสมผสานความเป็น 3 โทนหลักๆ คือ โทนแป้ง โทนหวานโปร่ง และโทนปร่า Spicy ที่จับต้องได้ทั้งหมดทั้งแต่แรกรับรู้กลิ่น แต่ตัวเปิดจริงๆ ต้องให้โทนปร่า Spicy ก่อนเลยกับการผสมผสานโทนพริกไทยที่มีความเผ็ดนวลกับพริกไทยสีชมพูที่มีความปร่าฝาดกึ่งกุหลาบบางๆ โดยเสริมด้วยความขมปนสดชื่นบางๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่จะฟุ้งออกมาอย่างสมดุลย์ ไม่ได้คมบาด เพราะมีโทนหวานแกมดอกไม้ซึ่งจับได้ว่ามีกลิ่นมะลิแกมกลิ่นหวานปร่าของ Angelica หรือโสมตังกุยแทรกตัวเข้ามาเป็นตัวเสริมชั้นดีให้กลิ่นมีความหวานโปร่งแกมสมุนไพร แถมพื้นกลิ่นยังมีความเป็นแป้งกึ่งวานิลลากึ่งน้ำผึ้งอ่อนๆ อยู่ด้วยเลยทำให้ช่วงต้นเป็นช่วงที่มีความหอมปร่าสมุนไพรติดหวานโปร่งที่ลงตัวมาก (ซึ่งแอบทำให้นึกถึงกลิ่นแนวยาดมสมุนไพรติดหวานโปร่งจมูกด้วยอย่างบอกไม่ถูก)

เมื่อความปร่า Spicy  เริ่มลดทอนลง แต่ยังคงมีความนวลเผ็ดแกมฝาดของสายพริกไทย 2 สี (ดำกับชมพู) ที่คลอไปกับกลิ่นของโสมตังกุยอยู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือ กลิ่นนวลหวานดอกไม้ที่กลมกล่อมมากๆ จากกลิ่นของมะลิและกระดังงาที่ให้ความหวานนวล รวมถึงมีความปร่ากลมๆ แฝงอยู่ตลอดของเม็ดจันทน์เทศ (ตัวเกลากลิ่นชั้นดี) จะเข้ามามีบทบาทชัดเจนขึ้น ตลอดจนค่อนไปทางโทนแป้งกำลังดีสอดรับกับพื้นกลิ่นที่เป็นโทนแป้งกึ่งลูกผสมของวานิลลา Musk และหัวเหง้า Orris และที่สำคัญมีกลิ่นของใบส้มที่มาให้ความเขียวติดสดชื่นแบบแฝงในเนื้อกลิ่นในดีมาก ทำให้ช่วงนี้อารมณ์แบบกลิ่นที่คาบเกี่ยวระหว่างความปร่าหวานโปร่งไล่เลเยอร์มาเป็นกลิ่นนวลหวานแกมแป้งอบอุ่นได้ชัดเจนมาก

ช่วงท้ายจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเลยกับการเป็นโทนแป้งที่มีเลเยอร์หลายมิติทั้งความเป็นแป้งกึ่งเนื้อเนยๆ ทึบๆ แกมแป้งฝุ่น ของหัวเหง้าออริส แป้งนวลๆ สะอาดๆ แกมหวานของ Musk และแป้งหวานอบอุ่นของวานิลลา ที่แม้กลิ่นจะชัดแต่ไม่หนักนัก เพราะนอกจากกลิ่นโปร่งๆ แกม Spicy ยังคงมีอยู่ให้รู้สึกได้ รวมถึงเนื้อกลิ่นจะมีเลเยอร์เชิงลึกเข้ามาเสริมด้วยอย่างกลิ่นติดเขียวเข้มแกมหมึกของ Oak Moss และกลิ่นไม้หอมโปร่งอ่อนๆ ที่มีความเป็นโทน Incense ทำให้กลิ่นไม่ได้เอะอะก็แป้งโต้งๆ เนื้อกลิ่นเลยจะได้ทั้งความละมุน หวานนวลติดโปร่งสายๆ และมีความน่าค้นหาเข้ามาให้จับต้องได้อยู่เสมอ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ให้ความกลางๆ กำลังดีในการใช้งาน ซึ่งเข้ากับการใช้งานทั้งยามกลางวันแทบทุกสถานการณ์ยกเว้นการใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ยิ่งถ้าใส้่แบบออกงานกลางวันหรือยามทางการเนื้อกลิ่นมีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างมาก ส่วนยามค่ำคืนเหมาะกับกับใส่แบบโรแมนติค หรือออกงานเป็นสำคัญ แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการใส่ไปปล่อยของให้โลกรู้ว่ามาท่องราตรีเพื่อได้กลับบ้านขนาดนั้น เพราะกลิ่นไม่ได้หนักแน่นจัดจ้านในการปล่อยของเท่าไหร่

ความทน - อันนี้ยกให้เลย ยอดเยี่ยมมาก แม้กลิ่นจะโปร่งแกมนวลและไม่ได้หนักแน่นมาก ซึ่งเจอไปถึง 15 ชม. เป็นเรื่องปกติ ซึ่งถ้าเฉลี่ยตามสภาพผิวยังไงก็แตะ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ ก่อนปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวแบบนวลแกมโปร่งหวานระเรื่อจมูกคงตัวกันยาวๆ ไป  

สรุป - ให้นึกภาพอารมณ์เปิดกลิ่นแบบแตะๆ แนวยาดมหงส์ไทย แต่มีความรู้สึกเรียบหรู แต่มีเสน่ห์ แล้วให้ความปร่าไล่โทนสู่นวลละมุน โดยยังมีความหวานโปร่งคลอเคลียตลอด ซึ่งให้ความประทับใจได้ดีมากและแตกต่างจากกลิ่นอื่นๆ ที่เคยใช้มาได้อย่างมีสไตล์จริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://iconofly.com/eshop/attache-moi-ici-la

 

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Review: Paul Emilien - Premiere Danse

Paul Emilien - Premiere Danse

ว่ากันด้วยเรื่องความหรูหราผ่านกลิ่นที่เอาจริงๆ ตีความจะว่าง่ายก็ง่าย จะยากก็ยาก เพราะความหรูหราของแต่ละบุคคลที่รับรู้จากกลิ่นแตกต่างกันอย่างมาก เพราะขึ้นอยู่กับความชอบ แต่ถ้ากลิ่นนั้นบอกที่มาที่ไปถึงการสร้างสรรค์ว่ามาจากสถานที่ที่พื้นเพมีความหรูหรามากๆ หรืออ้างอิงถึงอะไรก็ตามเกี่ยวกับสถาบันหรือตัวกษัตริย์พระองค์นั้นๆ เอง รวมถึงพื้นฐานของแบรนด์สร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์อลังการหรูหราระยิบระยับอยู่แล้ว อันนี้ก็เชื่อได้ว่าผู้ใช้น่าจะจับต้อง Concept หรูหราได้ไม่ยาก

และเมื่อเหลียวมาดูความหรูหราทางกลิ่นของแบรนด์ Paul Emilien ที่เป็นงาน Niche Perfume ขวดงามๆ กันบ้าง ก็ได้เจอว่ามีกลิ่นอายหรูหราที่อ้างอิงถึงงานเลี้ยงเต้นรำในพระราชวังรวมอยู่ด้วย นั่นก็คือกลิ่น Premiere Danse เลยทำให้เกิดความน่าสนใจขึ้นมาทันทีว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไร เช่นนั้น สบโอกาสลองให้รู้ ผลที่ได้คือ

กลิ่นเปิดให้ความน่าสนใจมาก เพราะเป็นการผสานกันระหว่างโทนเบอร์รี่ที่ให้อารมณ์เปรี้ยวปร่าหอม ที่มีความเป็นโทน Citrus ใสๆ ของส้มที่ไม่ได้ออกเปรี้ยวจะให้อะโรม่ากลิ่นส้มใสๆ ของส้มขมเข้ามาทำให้กลิ่นออกทางเบอร์รี่มีความชัดขึ้น และมีความสดชื่นให้รู้สึกได้ แต่สิ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ได้มีความสดใส แต่ปรับโทนให้กลิ่นมีลูกเล่นที่ตัดทอนความใสลงไปด้วยโทนแป้งที่ออกทางแป้งฝุ่นจางๆ ของไอริส (และน่าจะมีไวโอเล็ตด้วยเพราะกลิ่นมีลูกเอื้อนติดหวานโปร่งแซมๆ) ทำให้เนื้อจะมีความกลมๆ ไม่แหลมไปทางใดทางหนึ่ง ซึ่งทำให้กลิ่นมีความสว่าง เย้าให้น่าสนใจ และดึงดูดในเวลาเดียวกัน โดยที่คุมโทนกลิ่นไม่ให้ดูจัดจ้านเกินไป ให้ความหรูหรามีระดับเสียมากกว่า

การปรับโทนกลิ่นเข้าช่วงกลาง คือการเติมเอาโทนไม้หอมแกมอบอุ่นเข้ามา โดยมีการสร้างโทนกลิ่นให้มีความเป็นสีเหลืองแกมน้ำตาลอมทองให้จับต้องได้ในเนื้อกลิ่นมากขึ้น ซึ่งหลักๆ จะจับต้องได้เลย คือ แอมเบอร์ที่ให้ 2 โทน คือ โทนหวานลึกอบอุ่น กับโทนยางไม้ที่มีแปร่งเย้าเข้าทางแนววานิลลาลึกๆ โดยจะมีกลิ่นไม้หอมที่ติดแห้งๆ รองพื้น และมีความเป็นโทนแป้งติดหวานแกมสีเหลืองหน่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างกลิ่นของกระถินเทศ (Mimosa) กับโทนแป้งที่ตามมาจากช่วงต้น โดยที่ยังมีความสดชื่นแกมเย้าจากช่วงต้นให้จับต้องได้ประปราย ซึ่งทำให้สรุปความเป็นช่วงกลางได้ว่า นี่คือไฮไลท์เลย เพราะให้อารมณ์สีเหลืองนวลไล่โทนไปน้ำตาลอบอุ่น ที่มีความเย้าและความดึงดูดแบบกำลังดี ไม่ดูจัดจ้านแต่ให้ความมีระดับ หรู และมีเสน่ห์

การปรับโทนเป็นช่วงท้ายก็ชัดเจนว่าเนื้อกลิ่นมี 3 โทนหลักๆ ที่จะเด่นขึ้นมาสอดรับกับช่วงกลางที่ลดทอนบทบาทลงไปพอสมควร ซึ่งจะจับเลเยอร์กลิ่นที่เป็นกลิ่นไม้หอมที่ตามมาจากช่วงกลางเคล้ากับ Musk ที่ให้ความสว่างและสะอาด แทรกด้วยกลิ่นออกทางยางไม้ที่ติดวานิลลากึ่งหวานของกำยาน Benzoin ที่ยังรายล้อมด้วยกลิ่นอบอุ่นกำลังดีจากโทนแอมเบอร์ที่ตามมาจากช่วงกลาง ที่เป็นการปิดท้ายที่มีมิติอบอุ่นในโทนสีครีมนวลที่ให้ความเย้าและมีเสน่ห์ดึงดูดแบบที่ไม่ได้ต้องพยายาม แต่ให้ความกลางๆ กลมๆ มีคลาสในเนื้อกลิ่นปิดท้ายได้พอเหมาะพอเจาะและพอดีเลย     

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมาก เนื้อกลิ่นเน้นโทนบรรยากาศเป็นสำคัญจึงแตะได้หมดทั้งชายและหญิง ซึ่งเนื้อกลิ่นยกระดับผู้ใช้ได้ดีมากในการส่งเสริมออร่าความหรูหราออกมา เลยจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะยามทางการ หรือจะใส่แบบ Daily Scent ธรรมดาก็ไม่ติดอะไร ส่วนออกกำลังกายหรือกิจกรรมลุยๆ กลิ่นไม่เอื้อเท่าไหร่ แนะนำว่าข้ามไปจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เหมาะมากกับการใส่ออกงานทั้งราษฎร์และหลวงหมด มีเพียงการใส่ไปยั่วยวนปล่อยเสน่ห์ที่มีอยู่นะ แต่ไม่จัดจ้าน เลยไม่แนะนำในด้านนี้เท่าไหร่

ความทน - ลงตัวที่ราว 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมหรือสภาพผิวเอื้อกับน้ำหอมมากพอ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 - 12 ชม. เป็นประจำกับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาเป็นปานกลางไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ก่อนจะเริ่มเป็น Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปประมาณ 8 ชม. แล้ว    

สรุป - สิ่งที่ชอบมากๆ ของกลิ่นนี้เลยคือความเล่นโทนสีในความรู้สึกหลังได้รับกลิ่นในการเป็นสีเหลืองทองปนครีมไล่โทนขาวที่ให้ความพรีเมี่ยมแบบไม่ต้องเยอะและพยายามจงใจ และเป็นการวางคอนเซปท์กลิ่นได้ดีมากกับการส่งต่อความรู้สึกหรูหรามีคลาสในเวลาเดียวกันได้โดยไม่ต้องเล่นใหญ่ และให้ความกลางกำลังดีกลมกล่อมในเนื้อกลิ่นได้ครบถ้วน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://makeupstore.co.il/en/product/141433/

 

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Review: SHOLAYERED - Orange Blossom

SHOLAYERED - Orange Blossom

ถ้าว่ากันเรื่องของน้ำหอมสไตล์ Layer กลิ่นแล้วสร้างเป็นกลิ่นใหม่ๆ ด้วยตัวเองได้ด้วย แน่นอนว่าหลายๆ คนจะมุ่งไปที่แบรนด์ Jo Malone เลยเพราะเป็นหนึ่งในตองอูในเรื่องนี้มาตลอด (และยังดูดเงินสนั่นหวั่นไหวร่วมด้วย ถ้าดันเพลินและชอบ Layer กลิ่นเข้าให้) แต่จริงๆ ถ้ามีความเข้าใจในกลิ่น ก็สามารถเอาน้ำหอมแบรนด์ต่างๆ มาผสมผสานกันได้ในการใช้งานเช่นกัน แต่นะอันนี้ Advance ไป มาว่ากันที่แบรนด์ที่มาสไตล์นี้ตรงๆ นอกเหนือจาก Jo Malone ดีกว่า และแบรนด์นี้ก็มาจากประเทศญี่ปุ่นด้วย นั่นคือ SHOLAYERED

Concept ของแบรนด์จะชัดเจนและตรงไปตรงมาเลย นั่นคือ เอาแต่ละกลิ่นของแบรนด์เองมา Layer กัน โดยจะเน้นเป็นกลิ่นสไตล์ Lighter หรือ Refreshing Scent ที่จะเป็น Single Note เดี่ยวๆ ที่มีความเป็นธรรมชาติมาผสมผสานกัน ซึ่งจะ Layer เยอะหรือน้อยกลิ่นก็แล้วแต่ความชอบ หรือจะใช้เดี่ยวๆ ก็ไม่ติด รวมถึงมีกลิ่นที่ผสมผสานเป็นกลิ่นอัตลักษณ์ที่แบรนด์นำเสนอรวมอยู่ด้วย

เช่นนั้นเมื่อได้มาเจอกับแบรนด์นี้ และยังไม่ได้อยากจะสัมผัสการ Layer กลิ่นต่างๆ นัก เลยขอมาสัมผัสกลิ่นเดี่ยวๆ ในลักษณะของการเป็น Eau de Cologne ในรูปแบบ Body Spray ของแบรนด์นี้กันซักหน่อย และกลิ่นแรกที่มีโอกาสได้จัดมาก็คือ Orange Blossom

เว่ากันซึ่งๆ เลยว่า Neroli แบบตรงไปตรงมามากที่สุดของแจ้ ไม่มีกลิ่นอื่นๆ มาแทรกแซงเลย และอยู่กันตั้งแต่ต้นยันจบ เพราะเป็น Single Note เลยจะไม่ได้มีอะไรซับซ้อนอยู่แล้ว แต่ในความเป็น Neroli มันก็มีเลเยอร์ของกลิ่นเฉพาะตัวอยู่เช่นกัน ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ

ช่วงเปิด - ความเขียวติดคมแกม Citrus ที่ชัดเจนที่สุด โดยกลิ่นจะอยู่ระหว่างความเป็นโทนเขียวแบบกิ่งก้านส้ม โดยที่จะมีความเปรี้ยวเขียวหอมซ่อนความขมที่มีความคมอยู่พอสมควร แต่ไม่ได้หนักหรือคมจนบาดจมูก ซึ่งแน่นอนให้ความสดชื่นเต็มๆ และมีความธรรมชาติมาก อารมณ์เหมือนเราขยี้ใบส้มแล้วกลิ่นฟุ้งๆ แต่จะมีโทนส้มเปรี้ยวติดหวานปลายกลิ่นหน่อยๆ ตรงไปตรงมาที่สุดในการสร้างความสดชื่นแบบไม่มีข้อแม้และเนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก 

ช่วง Dry Down - ความเขียวติดคมแกม Citrus จะเบาลงไปพอสมควร แต่ยังมีอยู่ให้จับต้องได้ตลอด โดยจะกลายเป็นกลิ่นอายเบาๆ ที่ให้อะโรม่าความสดชื่นในโทนเขียวแกมเปรี้ยว โดยมีกลิ่นส้มบางๆ และโทนหวานปลายอ่อนมีอยู่ประปรายแบบสไตล์ Airy มากขึ้น เนื้อกลิ่นจะมีความสะอาดแกมเขียวแกมเปรี้ยวอ่อนๆ ที่ให้ความสดชื่นก็ได้ ความผ่อนคลายก็ดี ซึ่งกลิ่นลักษณะนี้จะผ่อนตัวลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - Unisex ตรงไปตรงมาที่สุด ไม่ว่าจะเพศไหนจัดไปก็สดชื่นหมด และเป็นกลิ่นที่เหมาะกับอากาศร้อนๆ ของบ้านเราอย่างมากอีกด้วย เช่นนั้นใส่ได้ทุกสถานการณ์แบบได้หมดถ้าสดชื่น แต่จะมียกเว้นแน่ๆ คือ การใส่เพื่อไปปล่อยเสน่ห์ยามท่องราตรี ซึ่งอย่าเลย ไม่มีใครได้กลิ่นและโดนกลบหมดเกลี้ยงแน่นอน

ความทน - ต้องเข้าใจกันก่อนเพราะเป็น Single Note แถมมาสาย Green Citrus Aromatic ที่ความทนด้อยเสียด้วย แต่แตะ 4 ชม. ได้ก็ถือว่าทำได้ดีมาก และอาจจะไปต่อได้อีกด้วยถ้าฉีดเสื้อที่สวมและสภาพผิวเอื้อมากพอ เพราะส่วนตัวฉีดไป 8 สเปรย์ ลากยาวไป 6 ชม. ได้สบายมาก แถมกลิ่นที่ติดเสื้อก็ยังไปต่อได้อีกจนถึงราว 8 ชม. อีกด้วย

การกระจาย - ดีมากในช่วงต้นแพร๊พนึง แล้วจะลดลงมาไวหน่อยมาเป็นกระจายดีราวๆ 5 นาที ก่อนที่จะผ่อนลงเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไป ราวๆ 20 นาที และคงตัวไปเรื่อยๆ ผ่อนตัวลงแบบช้าๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป จนเป็นติดผิวเมื่อผ่านไปประมาณ 2.5 - 3 ชม. แล้ว และเมื่อขยับตัวกลิ่นก็จะตีขึ้นเบาๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไป

สรุป - Neroli 3 Times เลยล่ะ ตรงไปตรงมาจริงจัง ซึ่งส่วนตัวชอบอยู่แล้วเลยอินและมีความสุขเลยทีเดียวกับการใช้งานในวันอากาศร้อนๆ หลังอาบน้ำ เพราะกลิ่นทำให้ปลอดโปร่งสดชื่นจริงๆ ในความเป็นโทนเขียวแกมเปรี้ยวหอมที่ให้อะโรม่าที่เป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องเยอะสิ่ง   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://sholayered.sg/products/eau-de-cologne-spray-100ml