วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: La Ong Siam Perfume – ลีลาวดี (Plumeria)


La Ong Siam Perfume – ลีลาวดี (Plumeria) 

มาที่แบรนด์ไทยอย่าง La Ong อีกรอบ เพราะเรามีทุกตัว แบรนด์ไทยเราไม่พลาดที่จะอุดหนุน ซึ่งคราวนี้จะมากันที่ความเป็นดอกไม้แบบไทยๆ เลย ว่าจะออกมาในลักษณะไหน จะ Tribute ความเป็นไทยอย่างไรบ้าง ก็จัดเลยที่ตัวนี้ครับ “ลีลาวดี”

คำจำกัดความ - แป้งร่ำเย็นๆ กลิ่นดอกไม้ไทยไว้ละลายทาตัวหรือทาหน้า ลีลาวดีติดโทนแป้งน้ำโบราณ และน้ำผึ้งผสมมักส์ติดวู้ดดี้อ่อนๆ

แรกเริ่มกลิ่นเปิดเรียกว่ามาได้ไทยๆ เลยครับ เพราะกลิ่นที่มาเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่ เต็มที่ไปเลยเธอ คือ กลิ่นแป้งร่ำติดกลิ่นอายเย็นๆ เหมือนแป้งร่ำโบราณที่มีส่วนผสมของดินสอพอง น้ำมันหอมระเหยดอกไม้สารพัดที่มีสรรพคุณดับร้อนให้ผิวกายชัดเจนมาก ได้อารมณ์ปะแป้งร่ำละลายน้ำที่ตัวและหน้าในวันสงกรานต์เลย แถมโทนกลิ่นแอบมีความเป็นน้ำอบไทยให้พอรู้สึกได้ในช่วงนี้ ซึ่งกลิ่นโทนแป้งร่ำดอกไม้นี้จะมาหนักและเต็มพอสมควร เมื่อผ่านไปไม่นานความเป็นแป้งร่ำ ยังคงอยู่ในช่วงกลางเต็มๆ เพียงแต่จะเป็นลักษณะแบบแป้งร่ำละลายน้ำดอกไม้ที่ผสมกับกลิ่นน้ำมันหอมระเหยลีลาวดี กลิ่นจะหอมเย็นๆ แบบไทยๆ ค่อนไปทางแป้งน้ำโบราณ โทนกลิ่นคล้ายแป้งน้ำมองเล่ยะหรือควินนา ในระดับหนึ่ง แต่มีความเป็นดอกลีลาวดีชัดเจนและเต็มกว่ามาก และปิดท้ายที่กลิ่นอายของแป้งหอมดอกไม้ลีลาวดีที่จะมาแบบกลางๆ ดันให้ Musk เด่นออกมาเต็มๆ มีกลิ่นหวานๆ ของน้ำผึ้งให้รู้สึกได้ เรียกว่าเป็นกลิ่นที่ออกทางไทยๆ เหมือนผิวกายทาแป้งร่ำที่แห้งแล้วมีกลิ่น Animalic ของ Musk แบบชัดเจน ซึ่งภาพรวมเป็นโทนที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยทุกช่วงตัวมาก และมีความเป็นหญิงไทยในเนื้อกลิ่นชัดเจนที่สุดครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้หญิงเลยครับ วัย 30 อัพ ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสุดแค่ไหนก็ตาม เพราะกลิ่นจะทำให้คุ้นชินกับสิ่งที่เราเคยได้กลิ่นมา และอาจจะทำให้เรานึกถึงญาติผู้ใหญ่ของเราที่เป็นผู้หญิง ซึ่งจริงๆ อายุจะต่ำกว่า 30 ก็ได้ แต่ต้องใส่ให้เหมาะสม หรือใส่กับชุดไทยๆ แบบที่มีกำหนดว่าวันนี้ใส่ชุดไทยมาทำงานไรงี้ กลิ่นนี้ใส่กับชุดราตรีโอกูตูร์ไม่ได้แน่ๆ ไม่เข้ากันด้วยประการทั้งปวง ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์แบบจำกัดจำนวนสเปรย์หน่อย เพราะกลิ่นกระจายดีมากเหลือเกิน งดใส่ออกแดด งดใส่ออกกำลังกาย ส่วนตอนกลางคืน ถ้างานที่ออกทางไทยๆ ใส่ได้เลยครับ แต่ถ้าไปเที่ยวเมาเหล้า อย่าเลยจ้า เดี๋ยวจะมีคนนึกว่า เอ่อ มีใครใส่ชุดไทยตามมาหรือเปล่า งานนี้เต้นไปหลอนไปเอาได้นะ

ความทน – มากกกกก ยอมรับเลย ความทนของตัวนี้เอาโล่เลย เพราะว่า 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ อาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดจางๆ อยู่เลย

การกระจาย – มาเต็มแน่นมากในตอนต้นแป้งร่ำดอกไม้ไทยเย็นๆ กันเต็มเหนี่ยว แล้วจะลดลงมากระจายดีในตอนกลางๆ ลดลงไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – ตอนผมใส่ เจอทักเลย กลิ่นแป้งร่ำมากกกก ดอกไม้ไทยมาเลย ไม่เข้ากับหน้า 55555 แต่ผมได้รับคำชมจากผู้เฒ่าผู้แก่เลยนะ ว่ากลิ่นหอมชื่นใจมาก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ กลิ่นนี้เหมาะกับผิวผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างผมครับ เพราะบนผิวผม กลิ่น Musk ในตอนท้าย จะออกสาป Animalic พอสมควรเลยล่ะครับ ตรงๆ ไม่เข้ากับผู้ชายอย่างแรงล่ะนะ

Credit ภาพhttps://www.facebook.com/media/set/?set=a.1629426763947873.1073741830.1626693334221216&type=3

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Christian Dior - Aqua Fahrenheit


Christian Dior - Aqua Fahrenheit 

ต้องบอกว่าตั้งแต่ได้ใช้ไลน์ Fahrenheit มาหลายๆ ตัว เรียกว่าขนมาหมดจริงๆ ทั้งความ Strong! และรู้เลยว่าไลน์นี้ไม่ได้มาเล่นๆ เช่นนั้นในฐานะเป็น #ทีมฟาเรนไฮต์ ก็ต้องไม่พลาดรุ่นที่น่าสนใจอีกรุ่นนั่นคือ Aqua Fahrenheit ซึ่งพอได้ใช้ผลออกมาก็คือ

มันไม่ได้เหมือนต้นฉบับแน่ๆ ที่จะมาแบบแน่นปั๊มน้ำมัน อู่ซ่อมรถ เหงื่อที่ไหลเปียกกล้ามแบบนั้น แต่มันมาแบบสดชืิ่นเต็มๆ แบบโทน Aqua และ Citrus เสียมาก ซึ่งแน่นอนว่าความเชื่อมโยงที่รับรู้ได้เต็มๆ คือกลิ่นหนังและโทนแป้งนั่นเองที่ถือเป็นหนึ่งในลายเซ็นของ Fahrenheit แต่ก่อนจะได้ความเชื่อมโยงกับรุ่นอื่นๆ สิ่งที่มาก่อนอย่าง Top Notes คือ โทนซิตรัสติดเขียวสดชื่นเลย กลิ่นค่อนข้างมาคมเลยทีเดียว เกรฟฟรุตทำหน้าที่ได้เด่นมาก กลิ่นมีความเป็นซิตรัสด้วย ออกทางเปลือกที่มีกลิ่นเขียวติดขมก็ด้วย ซึ่งพอผ่านไปวูบนึงกลิ่นช่วงกลางก็เริ่มแทรกและมาผสานกับโทนซิตรัสแล้วทำให้ได้รับความเขียวในเนื้อกลิ่นติดสดชื่นมากขึ้นอย่างมิ้นท์ กลิ่นอายเย็นๆ แบบ Aqua เลยได้กันในช่วงนี้ชัดเจน สดชื่นแบบมีระดับ และปรับตัวเข้าสู่ Middle Notes กลิ่นอายแบบปั๊มน้ำมันของต้นตระกูลจะมาในช่วงนี้แบบเบาๆ ผลุบโผล่ๆ แต่เป็นโทนแป้งนวลๆ ของดอกไวโอเล็ตกลั้วความเขียวนวลๆ ของโหระพา และยังนำพาความสดชื่นของโทนซิตรัสในช่วงแรกมาด้วย เรียกว่าเป็นแป้งหอมแมนๆ ติดสดชื่นนำนั่นเอง จนปิดท้ายที่ Base Notes กับกลิ่นอายโทนแป้งที่ยังหลงเหลืออยู่ มาผสานกับกลิ่นลายเซ็นของไลน์อย่างโทนหนังซึ่งไม่ได้มาแบบดิบๆ มีความนุ่ม ติด Smoky กำลังดีจากหญ้าแฝกที่ผลุบๆ โผล่ๆ ด้วยเช่นกัน กลิ่นมีความอบอุ่นพอสมควร แต่ยังแฝงความสดชื่นอยู่ให้พอรับรู้ได้ ซึ่งก็ลงเองที่ความเป็น Fahrenheit แบบเบาลง ไม่ได้หนัก ซึ่งถือว่าเป็นอีกตัวในไลน์ที่ยังคง Concept ชัดเจนของไลน์ และใช้ง่ายมากขึ้นเยอะเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นใช้ง่ายที่สุดในบรรดาทุกตัวในตระกูลเลยทีเดียว (ไม่รวมพวกรุ่น Summer นะครับ) ที่สำคัญหอมสดชื่นเข้าถึงได้ง่ายอย่างมีระดับเสียด้วย โดยสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ก็ตาม ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย เพราะมีความเขียวที่เข้ากับเหงื่อในเนื้อกลิ่นอยู่ แต่เอาเข้าจริงรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า และแอเปลืองนะใส่ตัวนี้ออกกำลังกาย 5555 ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ใส่ได้เลยล่ะครับกับอากาศบ้านเรา กลิ่นก็ไม่ได้ขี้เหร่นัก เน้นสดชื่นมากกว่าเย้ายวนก็เท่านั้นเอง

ความทน - เรียกว่าไลน์นี้ความทนดีงามทุกตัวรวมถึงตัวนี้ 10 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่ในรับรู้ ซึ่งโดยเฉลี่ย 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ ครับ

การกระจาย - ช่วงแรกเรียกว่ามาเต็มและหนักมาก กลิ่นจะคมเลยล่ะครับ กระจายเต็มที่ไม่มีข้อโต้แย้ง จนลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ลากยาวไปเรื่อย จนกระจายแบบกำลังดีในช่วงท้ายก่อนจะสลับสับเปลี่ยนเป็นออร่ารอบๆ ตัว เฟดลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับ

ทิ้งท้าย - ผมไม่คาดหวังเลยกับตัวนี้ในครั้งแรกก่อนใช้ เพราะเคยผ่านน้ำหอมกลิ่น Aqua ที่มีหนังเป็นตัวเด่นมาแล้วของ Fendi ที่คนมักเอามาเปรียบเทียบกัน แต่พอได้ใช้เออ มันเอาไปเปรียบกับ Fendi ไม่ได้สิ ตัวนี้เขียวสดชื่นชัดกว่า แต่ Fendi มีความหวานและเป็นทะเลมากกว่า เรียกว่าดีงามคนละแบบ และน่าซื้อหาเก็บไว้ทั้งคู่เลยครับ

Credit ภาพhttps://i.ytimg.com/vi/XdQiJ_WICps/maxresdefault.jpg

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Histoires de Parfums - Make Perfume Not War


Histoires de Parfums - Make Perfume Not War

นี่คือ Rare Item เลยนะครับ ใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ยิ่งในเมืองไทยไม่ต้องพูดถึง ไม่มีขายแน่ๆ นอกจากต้องสั่งจากเมืองนอกล้วนๆ กับแบรนด์ Histoires de Parfums ซึ่งเป็นแบรนด์ ์Niche จากฝรั่งเศส ซึ่งสิ่งที่สะดุดมากที่สุดเลยคือชื่อรุ่นน้ำหอมอย่าง Make Perfume Not War ซึ่งมันน่าสนใจจริงๆ ว่ากลิ่นมันทำให้รู้สึกถึงความรื่นรมย์ได้อย่างไรบ้าง 

สิ่งแรกที่ก่อนจะได้มาใช้จริง ผมได้ไปดู Notes ก่อนครับ ว่ากลิ่นมันจะออกไปในทาง
ไหน เห็นครั้งแรกเรียกว่า อย่างกับเอาน้ำผลไม้คั้นสดมาราดตัวกันแหงๆ เพราะขนผลไม้ทั้งโทนซิตรัสและฟรุตตี้มากันให้รึ่มและตรึมมาก คือ มาในโทน Healthy ว่างั้น 5555 แต่พอได้ใช้จริงมันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยครับ เพราะเปิด Top Notes มาด้วยกลิ่นอายซิตรัสจัดเต็มก็จริง แบบว่ามาหมดทั้งส้ม มะกรูด เลมอน เกรฟฟรุต แต่สิ่งหนึ่งคือ มันไม่ได้มาแบบซิตรัสคมๆ แบบที่ผมคากว่าจะได้กลิ่นแบบน้ำผลไม้เปรี้ยวสดชื่นฉ่ำๆ มันมาแบบกลิ่นอายแบบกึ่งแป้งติดดอกไม้นวลๆ หน่อยๆ ที่ทำให้กลิ่นซิตรัสนั้นนุ่มขึ้นแบบยังมีความสดชื่นอยู่ เรียกว่าเปิดกลิ่นมาก็รื่นรมย์กันเต็มๆ เมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นซิตรัสเริ่มมาผสมผสานกับกลิ่นโทนผลไม้และดอกไม้ แน่นอนว่าพีชและสับปะรดมาให้ได้กลิ่นกำลังดีมาก ซึ่งในช่วงนี้กลิ่นอายของดอกไม้นวลๆ จะชัดไม่น้อย ทำให้กลิ่นผลไม้ติดซิตรัสกลายเป็นนุ่มหอมนวลลงตัว ซึ่งแน่นอนว่าโทนแป้งยังหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ข้างหลังจนเริ่มมาชัดขึ้นมากในช่วง Base Notes นั่นคือ วานิลลา มี Musk จางๆ ให้กลิ่นจะนุ่มนวลแบบผิวกายติดแป้งสะอาดๆ กัน โดยมีความเป็นซิตรัสติดผลไม้จางๆ เบาๆ กลิ่นมีความรีมมี่หน่อยๆ ให้รู้สึกนุ่มๆ เข้าไปอีกให้ออกทางมีระดับ ซึ่งภาพรวม มันเป็นกลิ่นที่รื่นรมย์มากเลยทีเดียวในแง่ของน้ำหอมที่ทำให้เกิดความสดชื่นและผ่อนคลายไปในตัว แถมหักมุมได้เจ๋งมากในแง่ของการทำให้กลิ่นผลไม้และโทนเปรี้ยวต่างๆ เป็นกลิ่นที่นุ่มติดสดชื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ครับ แบบว่าใช้ได้ทุกเพศ เอาเข้าจริงๆ แม้จะออกทางสาวๆ ประมาณ 60% แต่ผู้ชายใช้ได้แน่นอน โดยสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย อาจจะไม่เหมาะกับงานทางการจัดๆ เท่าไหร่ แต่ก็ยังพอถูไถได้ ส่วนยามค่ำคืนแนะนำว่าใส่แบบชิลล์ๆ จะดีกว่าใส่ไปเที่ยวครับ

ความทน - น้ำหอมกลิ่นโทนซิตรัสนำแบบนี้ หอมมาก สดชื่นมากจริง แต่ทำใจได้ครับว่ามันไม่ค่อยทน สูงสุดที่เจอคือ ประมาณ 6 ชั่วโมง อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจุดที่ฉีดและจำนวนสเปรย์ รวมถึงเคมีเน้นๆ ครับ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น เรียกว่ามาแบบซิตรัสนุ่มๆ หอมสดชืิ่นฟินกันได้เลยทีเดียว และจะลดลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ และปิดท้ายที่ Skin Scent เต็มๆ

ทิ้งท้าย - น้ำหอมรื่นรมย์และผ่อนคลายจริงๆ สมชื่อของเขาเลยครับว่า Make Perfume Not War และผมประทับใจกลิ่นมากบอกกันตรงนี้เลย

Credit ภาพhttp://www.cafleurebon.com/wp-content/uploads/2013/08/histoires-de-parfums-make-perfume-not-war.jpg

Review: L'Artisan Parfumeur – Batucada


L'Artisan Parfumeur – Batucada

ถ้าว่ากันในเรื่องของค็อกเทลที่ผมชอบมากที่สุดในการเอาแอลกอฮอล์เข้าเส้น ต้องบอกเลยว่ามันคือ Caipirinha นั่นเอง เพราะมันจะสดชื่นแบบมะนาว ใส่มินท์ผสมเหล้ารัม Cachaça ที่มาจากบราซิล ใส่น้ำตาลลงไปผสม แรงนะ คือ 2 แก้วเล่นเอามึนตึ้บเลยล่ะ แต่สดชื่นอร่อยมากกกกก คือ ตอนนี้ถ้าหาได้ก็ไม่ได้ครบเครื่องแล้วล่ะครับ เพราะประยุกต์จากรัมต้นตำรับเป็นรัมอื่นเสียหมด ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็หาน้ำหอมกลิ่นค็อกเทลตัวนี้มานานเลยนะครับ แล้วก็มาป๊ะเข้าให้กับตัวนี้ของ L'Artisan Parfumeur เลย นั่นคือ Batucada ครับ

เรียกว่ากลิ่นเปิดมันใช่ยิ่งกว่าใช่ เพราะมันคือ Caipirinha เลย มาแบบสดชื่นติดกลิ่นมิ้นท์กับมะนาวและรัมเต็มๆ อาจจะมีแปร่งๆ ไปบ้างนิดนึง เพราะมันมีกลิ่นอายแบบข้นนวลๆ หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ข้างหลัง แต่ไม่คิดมาก เพราะว่าแค่นี้ก็ฟินแล้ว แต่เพียงไม่นานกลิ่นโทน Caipirinha ก็ได้จางลงไปกลายเป็นโทนข้นนวลที่ว่าดันขึ้นมาเต็มตัวกลั้วกับมะนาวที่ยังคงอยู่ นั่นคือกลิ่นโทนดอกไม้อย่างดอก Tiare ที่เป็นสกุลเดียวกับดอกพุด หอมนวลๆ กลั้วกระดังงาหน่อยๆ ซึ่งกลิ่นช่วงนี้ทำให้นึกถึงอารมณ์นี้เลยครับ “รีสอร์ทริมชายหาด” มันใช่อ่ะ เรียกว่าอารมณ์ต่อเนื่องแบบจิบค็อกเทลชิลล์ๆ แล้วเดินผ่านสวนในรีสอร์ทกลิ่นดอกไม้เมืองร้อนหอมนวลๆ กลิ่นจะรื่นรมย์มากเลยทีเดียว และปิดท้ายสิ่นสุดการเดินกับกล่านอายทะเลที่จะมาเต็มๆ ในช่วงท้าย โดยกลิ่นจะมาแบบน้ำทะเลที่มีกลิ่นอายเกลือจางๆ มีกลิ่นโลชั่นมะพร้าวพวกซันแทนเบาๆ มาให้ได้กลิ่นเป็นระยะ อารมณ์มันได้สุดๆ จนอยากไปทะเลให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้างจริงๆ เรียกว่ารุ่นนี้ สื่อสารชัดเจนถึงกลิ่นอายพักผ่อนที่รีสอร์ทหรูริมชายหาด ความสุขกับค็อกเทลแก้วโปรด และกลิ่นอายนุ่มนวลท่ามกลางอากาศร้อน มันเก๋อ่ะครับ

เหมาะสำหรับ – Unisex จ้า กลิ่นสามารถใส่ได้ทั้งหญิงและชาย แถมทำให้รื่นรมย์ได้ดีอีกด้วย สามารถใส่ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน ยกเว้นงานทางการไปได้เลย กลิ่นมันชิลล์ไป นอกนั้นจัดไปใส่ได้หมด ใส่ทำงานแบบไม่ได้ออกงานที่ไหนยังได้เลย ได้อารมณ์สบายๆ ดีแท้ ส่วนยามค่ำคืน ถ้าอยู่ริมชายหาดก็จัดไป แต่ถ้าจะใส่ไปเที่ยวผับบาร์ใจกลางเมืองไม่เหมาะนัก เพราะกลิ่นเบาไปครับ

ความทน – เรียกว่ากลิ่นไม่ค่อยอยู่กับเรานานเท่าไหร่ อยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมงก็เริ่มหายไปแล้ว อย่างดี สามารถยืดอายุการอยู่บนตัวเราได้ถ้าอัดเสปรย์พอสมควร รวมถึงอัดที่เสื้อที่ใส่ด้วย กลิ่นจะพอลากยาวไปได้ที่ 6 ชม. และอาจจะถึง 8 ชม. ได้แบบที่ผมเจอกับอัดสเปรย์ไป 10 สเปรย์ 55555

การกระจาย – มาแบบไม่หนักหน่วงโปร่งและเบาๆ เสียมากกว่า เพราะช่วงต้นจะกระจายดีอยู่ และจะลดลงมาเป็นออร่าชิลล์ๆรอบๆ ตัว แล้วจะผลุบๆ โผล่ๆ ในช่วงท้ายจนหายไปในที่สุด

ทิ้งท้าย – ส่วนตัวชอบมากครับ มันทำให้ผมนึกถึงตอนไป Backpack คนเดียวที่เกาะกูด อยู่รีสอร์ทธรรมดา นอนพัดลม จิบไวน์คูลเลอร์ (เพราะหา Caipirinha ไม่ได้) แบบที่สบายใจ อยากทำอะไรก็ทำ อยากนอนก็นอน อยากเล่นกับหมาก็เล่น ชักอยากไปอีกจังแต่ตังค์หมดเพราะน้ำหอม 555555555

Credit ภาพ
http://img0.gtsstatic.com/parfum/batucada-de-l-artisan-parfumeur_70506_wide.jpg

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Juliette Has a Gun - Calamity J


Juliette Has a Gun - Calamity J

เป็นหนึ่งในรุ่นที่เจ้าของแบรนด์ลงมือทำเองเลยล่ะครับ นั่นคือ Romano Ricci หลานของ Nina Ricci นั่นเอง กับการสื่อสารถึงกลิ่นอายของผู้หญิงโดยอ้างอิงถึง Juliette จากวรรณกรรมของเชคสเปียร์ ในแง่มุมต่างๆ ตามแต่ละช่วงวัย ซึ่งจากที่เคยได้กล่าวถึง Lady Vengeance ตัวโปรดของผมไปแล้วที่กลิ่นอายลึกลับดาร์กๆ แบบที่จะอิงกับผิวคนนั้นๆ คนได้กลิ่นเฉพาะตัวออกมา คราวนี้ก็ได้เวลาของอีกรุ่นที่จะมาปล่อยเสน่ห์แบบนี้กันอีกอย่างรุ่นนี้เลยครับ Calamity J

กลิ่นเปิดมาก็พิมเสนชัดเจนมากมีความเขียวแบบติดกลิ่นอาย Earthly พอสมควร ที่สำคัญกลิ่นแอมเบอร์จะมาให้โทนอบอุ่นกลั้วไปกับเครื่องเทศแบบไม่หนักมากเกินเหตุกันตั้งแต่ช่วงนี้เลย ซึ่งแอมเบอร์นี่แหละที่จะลากยาวไปจนถึงตอนท้าย เมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นไม้หอมจะเริ่มมาและผสานกับพิมเสนให้รู้สึกได้ถึงโทนอบอุ่นเบาๆ ติดเย้าๆ ที่สำคัญสิ่งที่เด่นจัดเด่นจริงในช่วงนี้คือ โทนแป้งติดเซ็กซี่ของดอกไอริส กลิ่นในตอนนี้จะเหมือนแป้งผสมโทนไม้หอมออกทางเย้าๆ มั่นๆ มีความอบอุ่นประปรายให้รู้สึกได้ ซึ่งแน่นอนว่าเราได้เจอ Notes ที่ทำให้กลิ่นน้ำหอมตัวนี้เป็นกลิ่นเฉพาะบุคคลแล้วนั่นคือ ISO E Super ที่พอเข้ากับผิวผมเลยกลายเป็นกลิ่นออกทางแป้งไม้หอมแมนๆ อย่างชัดเจนเลยในช่วงนี้ มันเก๋ดีแท้ และเพียงไม่นานเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นวานิลลาจะมาในโทนแป้งอบอุ่นครีมมี่เคล้ากับแอมเบอร์ เหมือนเป็นฉากหน้าให้รู้สึกได้ว่ากลิ่นจะออกทางเบาๆ แต่เอาเข้าจริง จะมีกลิ่นโทนหนังนุ่มๆ กลั้ว Musk รองอยู่ด้านหลัง กลิ่นออกทางผิวกายกรุ่นๆ ติดสาปปลุกเร้าบางๆ กลิ่นยังคงความแมนอยู่พอสมควร เพราะให้ความนุ่มนวลเย้ายวนแบบที่อ่อนโยนก็ได้ อบอุ่นก็ดี มั่นใจและเซ็กซี่ก็ได้ ไม่ได้มาหนักหน่วง แต่มาแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ เบาๆ เย้าเท่ห์ๆ ให้รู้สึกได้ไปตลอดเลย

เหมาะสำหรับ – บอกเลยว่าแม้จะตราว่าเป็นของผู้หญิง แต่จริงๆ กลิ่น Unisex มากมายก่ายกองที่สุด และที่มาที่ไปของน้ำหอมรุ่นนี้ก็บอกชัดเจนว่าเป็นการใส่ความเป็นชายลงไปในกลิ่นอายของผู้หญิงที่จะบ่งบอกถึง ผู้หญิงที่เข้มแข็ง เช่นนั้นผู้ชายจัดไป ใส่ได้สบายๆ ซึ่งเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่อยู่ในห้องแอร์ฉ่ำๆ หรือออกงานทางการที่ไม่ใช่งานการแจ้งแนวๆ บวชนาคหรือเป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดโรงเรียนอะไรแบบนี้ เน้นความมีภูมิและความหนักแน่นน่าเชื่อถือเลยล่ะครับ ใส่ชิลล์ๆ อาจจะพอได้ แต่เหมาะกับช่วงที่จะอิงแอบแนบชิดกับคนรัก ไรงี้ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าหญิงหรือชายจัดไป กลิ่นทำให้คุณดูเท่ห์ อบอุ่น น่าเชื่อถือ และน่าค้นหาเลยล่ะครับ

ความทน – ประมาณ 8 ชม. กลิ่นก็เริ่มจางๆ ลงไปแล้วครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากแบบที่อาจจะผงะเอาได้ถ้าไม่คุ้นชิน แต่พอปรับสภาพจมูกได้จะกลิ่นงามมาก แล้วจะลดลงมากระจายกลางๆ ลงไปเรื่อยๆ จนเป็น ออร่ารอบๆ ตัวแล้วค่อยๆ เป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นและแผ่รังสีกลิ่นที่มีเสน่ห์ออกมายามร่างกายทำความร้อน

ทิ้งท้าย – น้ำหอมตัวนี้ถือว่ามาในแนวที่สร้างความมั่นใจกันเต็มๆ เลยครับ ที่สำคัญเข้ากับผิวผมอย่างไม่น่าเชื่อเพราะหอมแมนอบอุ่นติดโทนเท่ห์ๆ ได้น่าสนใจมากจริงๆ ที่สำคัญใครชอบโทนแอมเบอร์เด่นๆ ตัวนี้น่าสนใจไม่น้อยนะครับ

Credit ภาพ http://forbeauty.com.ua/uploads/photo/original/juliette-has-a-gun-calamity-j-7061.jpg

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Azzaro pour Homme Night Time


Azzaro pour Homme Night Time

เพราะไลน์ pour Homme ของ Azzaro ถือเป็น Power House ที่จัดเต็มและแตกลูกแตกหลานทำกลิ่นน่าสนใจออกมาก็เยอะเลยทีเดียว หลังจาก pour Homme Elixir ที่เคย Review ไปนั้นเรียกว่าเป็นตัวที่เซ็กซี่ อบอุ่น และนัวเรียกคำชมไม่น้อย ก็ได้เวลาของรุ่น Night Time บ้าง ว่าจะมาในแนวไหนกันครับ

เปิด Top Notes กันเต็มๆ ที่กลิ่นโทนเปรี้ยวติดแยมกันก่อนเลย กลิ่นของผักรูบาป (Rhubarb) จะมาเต็มมาก ให้ความรู้สึกแบบเปรี้ยวสดชื่นติดผลไม้ และมีกลิ่นส้มที่มาเสริมมีความสดชื่นติดขมออกโทนขี้เล่นกำลังดีที่จะเสริมกันเต็มๆ ในช่วงนี้ ออกแนวเปิดยามค่ำคืนแบบกรุ้มกริ่มกันก่อน แล้วกลิ่นโทนเปรี้ยวสดชื่นแบบนี้จะตามยาวไปจนถึงช่วง Middle Notes ที่จะมาผสานกับกลิ่นอายของพริกไทย มีความเย็นๆ ติดเมทัลลิคของลูกจันทน์เทศ เรียกว่าเป็นช่วงที่ออกทางสดชื่นที่มีเครื่องเทศนำแล้วกลิ่นผลไม้ตาม เปลี่ยนลักษณะจากผลไม้เปรี้ยวๆ เป็นผลไม้กลิ่นอายเย็นๆ มีความเป็นเมโทรในเนื้อกลิ่นกำลังดี เรียกว่าเป็นช่วงเริ่มกรึ่มและดึงความสนใจหลังจากผ่านค่ำคืนไปในระดับหนึ่ง ปิดท้ายที่ Base Notes กับกลิ่นอายไม้เนื้อหอมของไม้ซีดาร์ ที่จะมาให้ความขรึมแมน กำลังดีมีกลิ่นอาย Smoky หน่อยๆ เริ่มออกแนวนิ่งขรึมให้ดูน่าค้นหา กลิ่นสดชื่นยังมีบ้างให้รู้สึกได้ ออกแนวชวนเข้ามาอยู่ใกล้ๆ จะซุกก็จัดไป ซึ่งภาพรวม ตอบโจทย์ความเป็น Night Time กำลังดีที่เรียกร้องความสนใจได้ไม่ยากล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป กลิ่นเรียกว่าเข้าถึงได้ง่าย และไม่แน่นมาก ใส่ได้สบายๆ เอาเข้าจริงๆ กลิ่นสามารถใส่ยามกลางวันได้ แต่อาจจะดูลั่นล้าไปนิดนึง ซึ่งถ้าไม่ได้ออกงานทางการก็จัดได้สบายๆ เพราะกลิ่นโทนเปรี้ยวสดชื่นนำอยู่แล้ว แถมเหมาะกับอากาศบ้านเราไม่น้อย นอกจากให้ตัดงานทางการออกแล้วให้ตัดใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปด้วยเพราะไม่เข้าทางนัก ส่วนยามค่ำคืนจัดไป อัดสเปรย์ได้ตามสะดวก กลิ่นเหมาะเลยล่ะครับกับการไปนั่งดื่ม หรือท่องราตรีในหลายๆ แบบ

ความทน – อยู่ที่ราวๆ 6 – 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในตอนต้น มีความเปรี้ยวสดชื่นดันมาเลย ก่อนที่จะเป็นกลิ่นเท่ห์ๆ กำลังดี กระจายกลางๆ ในช่วงกลาง และปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย – กลิ่นถือว่าเป็นน้ำหอมกลางคืนที่ใช้ไม่ยากครับ แถมมาใช้กลางวันก็ได้ ที่สำคัญโทนกลิ่นอาจจะไม่ได้ออกโทนยั่วยวนชวนกันโต้งๆ อะไรมากนัก แต่ถือว่าปลอดภัยได้อยู่ในการใช้งาน เพราะมันไม่หนักจมูกและเรียกร้องความสนใจแบบหนุ่มกรุ้มกริ่มกำลังดีนี่แหละครับ

Credit ภาพhttp://www.osmoz.com/Public/Files/__Uploads/images/azzaro%20pour%20homme%20night%20time_flacon_azzaro.jpg

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Elie Saab Le Parfum


Elie Saab Le Parfum

เอาเข้าจริงๆ ผมเมินแบรนด์อีหลี แซ่บ ที่เก่งกาจเรื่องชุดเดรสของสาวๆ นี้มานานมากเลยนะครับ เพราะว่ามีแต่น้ำหอมผู้หญิงอ่ะจ้า แม้ปัจจุบันจะมีกลิ่น Unisex ที่ออกมาเป็น Collection แล้ว ก็ยังเฉยๆ มาตลอด จนมีวันนึงชักอยากลอง เลยขอเอารุ่นที่เด็ดดวงมาลองดีกว่า ว่ากลิ่นจะเป็นยังไง เราจะต้องแต่งหญิงไหม กับรุ่นนี้เลยครับ Elie Saab Le Parfum 

เปิดต้นกลิ่นมาดอกส้มแบบผู้หญิงมั่นใจเลยจ้า กลิ่นดอกส้มที่ติดซิตรัสจางๆ โดยมีกลิ่นโทนดอกไม้สีขาวนวลนุ่มรายล้อมกันเต็มๆ ส่งต่อให้ช่วงกลาง กลิ่นของดอกส้มที่เด่นๆ จะไปรวมตัวกับมวลบุปฝาชาติสีขาวนวล ซึ่งมะลิจะเด่นขึ้นมาตีคู่กันอย่างงามเลยทีเดียว กลิ่นจะหอมบ่งบอกความเป็นโทนสีครีมออกขาวและสาวมาก ซึ่งในเนื้อกลิ่นเอง ไม่ได้มีความอ่อนโยนแบบสาวเรียบร้อยนักนะครับ จะเป็นแบบสาวมั่นใจกันเต็มๆ เลยทีเดียว กลิ่นอายในช่วงนี้จะคงตัวอย่างยาวนาน มีความนุ่มเย้าจากพิมเสนมาทำให้มีมิติและหอมเย้ายวนกำลังดีเสียด้วย และกลิ่นโทนหวานจะเริ่มดันขึ้นมา โดยกลิ่นของน้ำผึ้งจะดันขึ้นมาเด่นตีคู่กับกุหลาบ ทำให้กลิ่นจะออกโทนหวานกำลังดี ไม่ได้มาแบบฉ้ำจนเลี่ยน ราวกับน้ำผึ้งมีดอกไม้ผสมอยู่ข้างในตัดกันให้กลิ่นไม่หนักจนน่าดูชมมาก โดยมีกลิ่นของวู้ดดี้และ Musk อ่อนๆ มาทำให้กลิ่นอายหอมมีระดับมีความเป็นสาวสวยแบบมั่นใจ สะอาด รู้จักตัวเองและใช้เสน่ห์ด้านกลิ่นเป็น แถมยังหรูหรามีระดับเสียอีกด้วย ภาพรวมออกมาไม่แปลกใจเลยที่เป็นที่นิยมมากจนแตกไลน์ออกมามากมายในตอนนี้

เหมาะสำหรับ – สาวๆ เลยจ้ะ ได้ตั้งแต่วัยทำงานเป็นต้นไปเลย เพราะกลิ่นมันบ่งบอกถึง Lifestyle แบบคนเมืองอย่างมีระดับเลยล่ะครับ สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็น ทำงาน ออกงาน หรือรับแขกบ้านแขกเมืองก็ยังได้อยู่ จะใส่ยามชิลล์ๆ แบบชิคๆ ก็ได้เลยล่ะ แต่งดใส่ยามออกกำลังกายเถิด กลิ่นมันไม่ได้ไปได้ดีกับเหงื่อนะ ส่วนยามค่ำคืนออกงานหรู หรือเที่ยวแบบเก๋ๆ จัดไป ใส่ได้สบายๆ จ้า ส่วนคุณผู้ชาย อย่าเลยเนาะ

ความทน – ยกให้เลยที่ 10 ชม. กลิ่นยังคงทำหน้าที่ได้ดีอยู่เลยล่ะครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากกกกในช่วงต้น เรียกว่า พร้อมกับการเป็นสาวมั่นใจเลย ตามด้วยกระจายกลางๆ ไปตลอด จนปลายๆ ช่วงท้ายที่เป็น Skin Scent ครับ

ทิ้งท้าย – ผมมาดมั่นมากกับการใส่แบบไม่ลองก่อน แล้วใส่ไปทำงาน โดนสายตามองแล้ว ทำได้แต่ทำหน้าเฉยๆ เออ กลิ่นมันสาวมั่น แต่ผมก็หนุ่มมั่นนะว้อยยยย 555555

Credit ภาพhttp://blog.soton.ac.uk/rcs/files/2014/12/Anja-Rubik-by-Mert-Marcus-for-Elie-Saab-Le-Parfum-DesignSceneNet-01.jpg

Review: Creed - Royal Water


Creed - Royal Water

ความหรูน่ะต้องมาเต็มแน่ๆ เพราะแค่ขึ้นชื่อว่า Royal มีหรือที่จะมาแบบทั่วๆ ไป เช่นนั้นต้องหรูหราและมีระดับแน่ๆ ที่สำคัญกลิ่นนี้ทำขึ้นเพื่อ Tribute ถึงเจ้าหญิงไดอาน่าที่สิ้นพระชนม์ไป เช่นนั้นแน่นอนว่าต้องสื่อถึงความสง่างามเข้ามาด้วยอีกแน่นอน และ Royal Water ตัวนี้ของ Creed จากการใช้ของผมล่ะ จะเป็นยังไง 

ก็ตอบกันตรงๆ เลยครับว่า กลิ่นนี้จะหรูหรา เรียบนิ่ง ธรรมชาติ มีความสดใส สะอาด สว่าง มีระดับ และสง่างามมาครบจริงจัง เพราะเปิด Top Notes กับกลิ่นโทน Green Citrus ของใบเวอร์บีน่าและเหล่ามะกรูดเลมอนกันเต็มๆ แต่สิ่งหนึ่งที่จะแหลมขึ้นมาทำให้กลิ่นต้นอาจจะดูเหมือนหนักคมก็คือ จูนิเปอร์เบอร์รี่ ซึ่งจะมาแบบติดแป้งเย็นหน่อยๆ แต่เอาเข้าจริง กลิ่นมีความกลางๆ ไม่จี๊ดจนเกินไป เลยทำให้มีความสดชื่นสดใสแบบหรูหราหน่อยๆ เริ่มกันตั้งแต่ช่วงนี้ จนเมื่อเข้า Middle Notes ความสง่างามเริ่มบังเกิดเพราะกลิ่นโทนซิตรัสติดเขียวในตอนต้นจะมาเป็นโทน Aromatic ที่ออกทางนุ่มจมูกติดเขียวได้ลงตัวมาก โดยกลิ่นของโหระพาและมินท์จะมาให้ความนุ่มติดสมุนไพรแบบกลางๆ กำลังดี ที่สำคัญมีกลิ่นอายสะอาดๆ ของพริกไทยเข้ามาเสริม เรียกว่าในช่วงนี้คือการเบลนด์น้ำหอมออกมาได้ลงตัว ไม่มีกลิ่นไหนแหลมเด่นออกมา มีแต่ความสดชื่นติดเขียวนุ่มจมูกกลั้วความสะอาดและสุภาพแบบมีคลาส ส่งต่อให้ Base Notes โดยที่โทนซิตรัสจะเริ่มจางจนเหลือเบาๆ ทิ้งความสดชื่นและความสะอาดเรียบหรูในเนื้อกลิ่นไว้ให้รับรู้ได้ แต่สิ่งที่เริ่มดันขึ้นมาคือ กลิ่นอายอบอุ่นแบบกำลังดีนุ่มจมูก เพราะกลิ่นของ Musk และ Ambergris จะมาให้ความรู้สึกแบบผิวกายหอมละมุนนุ่มนวล กลั้วไม้กับโทนวู้ดดี้อ่อนๆสบายๆ เรียกว่ากลิ่นนี้ไม่ต้องหวือหวาอะไรมากเลย แต่เอาอยู่ในเรื่องของออร่าความหอมที่ได้ทั้งความรู้สึกเย็นใจ และสบายใจ ที่สำคัญคือการเบลนด์ Notes แต่ละกลิ่นออกมาให้เข้ากันได้อย่างลงตัว ไม่หวือหวา แต่ยืนพื้นที่ความสง่าและสุภาพในเนื้อกลิ่นได้ครบเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – Unisex ครับ ใช้ได้ทั้งหญิงและชาย เรียกว่าเป็นอีกกลิ่นที่มีความหอมสดชื่นแบบมีระดับ โดยไม่ต้องพยายาม แต่อาจจะต้องลองก่อนเพราะกลิ่นต้นเป็นช่วงเซทตัวอาจจะมีความรู้สึกคมๆ ไปบ้าง โดยสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์เลยในยามกลางวัน เพราะมันมีความหรูหรามีระดับ และเรียบนิ่งอ่อนโยนเย็นใจได้ดีมากในโทนน้ำหอมแบบนี้ ส่วนยามค่ำคืนถ้ากับอากาศบ้านเราเข้าทีไม่น้อยถ้าในในหลายๆ สถานการณ์ แต่ถ้าเอาไปเที่ยวกลางคืนเพื่อหาเหยื่อ วางไว้ที่เดิมเปลี่ยนเป็นตัวอื่นเถิด กลิ่นไม่ได้ไปในทางแบบนั้นเลยจ้า

ความทน – เอาไปเลย เกิน 8 ชม. เพราะส่วนตัวผมเจอที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติกับตัวนี้ครั

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เพียงไม่นานก็จะลดลงมากระจายกลางๆ และเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – Royal Water ทำเอาผมประทับใจไม่น้อยตรงที่เป็นน้ำหอมกลิ่นไม่หวือหวาอะไรมาก มาน้อยแต่ได้มากในแง่ของความสดชื่น สะอาด และสุภาพ แกล้มไปกับความหรูหรามีระดับอย่างสง่างาม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ Creed ทำออกมาแล้วไม่ผิดหวังครับ

Credit ภาพhttp://cdn01.flaconi.de/media/catalog/original/c/r/creed-millesime-royal-water-eau-de-parfum-75ml.jpg

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Hermes - Hermessence: Rose Ikebana


Hermes - Hermessence: Rose Ikebana

มาที่อีกหนึ่งตัวในไลน์ Exclusive ของ Hermes อย่าง Hermessence ที่คราวนี้จะพาไปที่ญี่ปุ่นบ้างครับ งานนี้ผู้ปรุงน้ำหอมตัวนี้เขาจะนำเราไปที่การศาสตร์ของการจัดดอกไม้ญี่ปุ่นของหน่วยงานที่เปิดสอนและจัดนิทรรศการเกี่ยวกับศิลปะการจัดดอกไม้อย่าง Ikebana ซึ่งงานนี้เมื่อได้แรงบันดาลใจมา เลยได้สรรสร้างออกมาเป็นรุ่น Rose Ikebana ที่จะสื่อถึงความเป็นกุหลาบในแบบไหน งานนี้ต้องดมกันซักหน่อยแล้ว ^^

แรกเริ่มฉีดความรู้สึกมันบอกเลยว่าสดชื่นมาก มีกลิ่นอายกุหลาบแบบยามเช้าต้องน้ำค้าง โดยจะมีกลิ่นซิตรัสของเลมอนกับส้ม ที่มาลักษณะเดียวกับกับ Eau de Pamplemousse Rose นิดๆ ผสมกับ Sur Le Nil หน่อยๆ จึงทำให้ได้กลิ่นอายแบบกุหลาบกลั้วซิตรัส มีกลิ่นชาเบาๆ เข้ามาประปรายให้หรูสึกเรียบนิ่งแต่หรูหรามีระดับกันตั้งแต่ตอนนี้ จนเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นของกุหลาบจะมาแบบสว่างสดใสโทนสีชมพูอ่อน ที่จะมีกลิ่นอายเครื่องเทศจางๆ มีชาบางๆ ให้ยังรู้สึกก็จริง แต่กลิ่นอายเปรี้่ยวๆ ของผักรูบาป (Rhubarb) จะเด่นกลั้วกับโทนผลไม้มากกว่า ช่วงนี้เลยจะออกแนวกลิ่นอายผลไม้กลั้วกุหลาบเบาๆ ฉ่ำๆ กำลังดีดันให้กลิ่นโทนผลไม้สดชื่นเด่นขึ้นมาให้ความกระกรี้กระเปร่า และปิดท้ายกันกับนางเอกของงานสิครับ กุหลาบที่มาแบบเบาๆ ฉ่ำๆ ใสๆ จะเริ่มมาเต็มและเปลี่ยนเป็นโทนหอมนวลๆ ในช่วงนี้มากขึ้น มี Musk รองพื้นอยู่ด้านหลังในความนุ่มละมุน รวมถึงมีกลิ่นอายเขียวๆ จางๆ ให้พอรู้สึกได้ โดยที่กลิ่นโทนผลไม้ยังตามมาแบบเบาๆ เลยกลายเป็นกลิ่นกุหลาบยามสายที่จะบานเต็มที่น้ำค้างแห้งลงไป และปล่อยความหอมนุ่มนวลมีระดับไปเรื่อยๆ โดยยังไม่ทิ้งความสดชื่นไปไหน นี่แหละครับ Rose Ikebana

เหมาะสำหรับ - จริงๆ คือ Unisex เลยล่ะครับ แต่เอาเข้าจริงมีความเป็นหญิงประมาณ 60% เพราะความเป็นกุหลาบนี่แหละซึ่งผู้ชายก็ใส่ได้สบายๆ เพราะกลิ่นกุหลาบแบบสดชื่นมันไม่ได้สาวจ๋ามากเกินไปนักนั่นเอง โดยจัดไปทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งงานทางการและไม่ทางการ กลิ่นอายจะออกสดชื่นแบบไม่หวือหวาเรียบนิ่ง เข้าถึงได้ง่ายเสียด้วยซ้ำไป งดใส่ยามค่ำคืนที่จะออกหาเหยื่อนะครับ กลิ่นเบาไปน่ะ

ความทน - ต้องบอกว่า Amazing มากกกกก เพราะกลิ่นทนเกิน 8 ชม. เรียกว่าเกินคาดเลยล่ะครับ

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ กำลังดี ไปเรื่อยๆ จนถึงปลายๆ ช่วงกลาง ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้คนใส่ได้กลิ่นมุ้งมิ้งกับตัวเอง

ทิ้งท้าย - ใครที่ไม่ได้ชอบกลิ่นกุหลาบแห้งๆ กุหลาบแบบแป้งตัวนี้ตอบโจทย์มากมายในเรื่องของกุหลาบแบบฉ่ำๆ สดชื่นยามเช้าและนวลๆ ยามสายเลยล่ะครับ เพียงแต่ว่า ราคามันแพงไปนะ ตะเอง เขาไม่มีตังค์สอยขวดเต็ม 5555555555

Credit ภาพhttp://media.hermes.com/media/wysiwyg/Prehome/Fragrances/rose_ikebana.jpg

Review: Bentley for Men Intense


Bentley for Men Intense 

เพราะเป็น Supercar ชื่อดังที่มาทั้งความสวยของรถและความแรงซะด้วย แน่นอนว่าแค่เห็นราคาก็เป็นลมจนฟื้นแล้วเป็นลมต่อไปแล้ว 10 รอบ เช่นนั้นผมเลยมาดูที่น้ำหอมของแบรนด์รถนี้แทนดีกว่า เพราะว่าอย่างน้อยก็แตะกลิ่นแนวๆ Bentley ได้นะเออ เช่นนั้นจึงได้มาตัวแรกกับรุ่นนี้เลยครับ Bentley for Men Intense ครับ 

กลิ่นเปิดมาตอนแรก ไอวาบความเป็นเครื่องเทศกับความอบอุ่นมาก่อนเลย เพราะกลิ่นพริกไทยดำจะมาเด่นมาก โดยมีกลิ่นธูปไม้หอมให้โทนอบอุ่นอยู่เบืิ้องหลังแบบ Rich Tone มีระดับกันตั้งแต่ช่วงนี้ ซึ่งจะมีกลิ่นอายสดชื่นจางๆ ให้รู้สึกได้เพิ่มมิติของกลิ่นได้น่าสนใจมาก คนที่ชอบน้ำหอมโทนสดชื่นซิตรัสเด่นๆ จะแอบอึ้งจนไม่ไปต่อกับน้ำหอมตัวนี้ก็เป็นได้ แต่เอาเข้าจริงความดีงามจะเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นอายของหนังนุ่มๆ ชั้นดีจะดันขึ้นมาให้ความรู้สึกเท่ห์ๆ นุ่มนวล โดยมีกลิ่นเหล้ารัมมาผสานตีคู่กับอบเชย กลิ่นจะหอมเย้ายวนแบบมีชั้นเชิงมากขึ้น โดนกลิ่นโทนธูปในตอนต้นก็ยังตามมาอยู่ในช่วงนี้ให้ความรู้สึกมีภูมิกลั้วความอบอุ่นอยู่ ซึ่งเรียกว่าในช่วงนี้คือความหอมของโทนหนังสีน้ำตาลที่มีระดับมากเลยตัวนึง กลิ่นจะหรูหราอย่างชัดเจน เหมือนสวมสูท Casual สีออกโทนน้ำตาลอ่อนเท่ห์ๆ ขับ Bentley มันบอกความรู้สึกได้แบบนี้เลย และเมื่อเข้าช่วงท้ายโทนไม้หอมแบบนุ่มๆ อบอุ่นดันขึ้นมาหลังจากหลบๆ ซ่อนๆ ในช่วงกลาง กลิ่นของไม้เนื้อหอมจะมาแบบนิ่งๆ แมน เท่ห์ เคล้าความนุ่มของกลิ่นหนังและกลิ่นออกเชิงสุขุมของธูปกับพิมเสนที่มารองพื้นอยู่เบื้องหลัง ไอเครื่องเทศเย้าๆ จะจางลงไปเหลือแต่เพียงเบาบาง ภาพรวมของกลืิ่นจะยังคงความหรูหรา มีระดับ และสุุมมาดแมน และอบอุ่นอย่างชัดเจน กลิ่นจะหอมแบบผู้ชายอบอุ่น มีคลาส และน่าเข้าหามากเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศ วัยทำงานขึ้นไป หรือน้องๆ วัยมหาลัยก็ใช้ได้ครับ เพียงแต่กลิ่นมันจะออกทางสุขุมอบอุ่นนิดนึง ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งงานทางการยิ่งเข้าทางมากๆ เพราะกลิ่นสุขุม มีเอกลัษณ์และมีระดับให้น่าเชื่อถือจริงจัง ส่วนใส่ชิลล์ๆ ก็ใส่ได้ครับ เพราะกลิ่นอบอุ่นน่าซุกหรูหราเลยล่ะ ตัดใส่เพื่อออกกำลังกายออก เพราะไม่เหมาะเลย ส่วนเที่ยวกลางคืนจัดไป เพราะใส่ได้สบายๆ แถมเพิ่อมความหรูหราให้คนใส่อย่างชัดเจน

ความทน - เป็น EDP ที่ทนมากเลยทีเดียว กับ 8 ชม. ขึ้นไป เพราะสิ่งที่ผมเจอคือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ เก๋ไหมล่ะ ^^

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากเลยทีเดียวในช่วงต้น ก่อนจะลดระดับมาเป็นกระจายดี อบอุ่น สุขุม น่าเชื่อถือ และปิดท้ายด้วยออร่าอบอุ่นหรูหรารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย - จริงๆ ผมซื้อมาแบบไม่เคยลองก่อน Blind Buy กันชัดเจน แต่พอใช้แล้ว ถึงกับกี๊ซซซซซซสาวจะแตก เพราะมันหอมมากกกกก กลิ่นมีระดับหรูหราแบบที่ใช้แล้วนึกว่าบ้านรวยมากกันเลยครับ 55555

Credit ภาพhttp://www.kvepalupasaulis.lt/products/2015-09-2512081027487.jpg