วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Kenzo Power Cologne

Kenzo Power Cologne 

จาก Kenzo Power รุ่นปกติ ที่กลิ่นอายจะเป็นแป้งดอกไม้ติด Spicy หอมนวลเท่ห์มาก กลิ่นมีระดับมากจริงๆ ก็ได้เวลาของรุ่นที่ใสขึ้นมาบ้าง เลยมาสู่ Kenzo Power Cologne ที่มีการปรับโทนลงมา ซึ่งจะเป็นยังไง ผลคือ 

กลิ่นจากโทนดอกไม้หอมนวลติดโทนแป้งแบบผสมเครื่องเทศติดแน่นกำลังดี จะลดระดับลงมาเป็น Citrus Aromatic สบายๆ มากขึ้น เปิด Top Notes ด้วยกลิ่นซิตรัสติดเขียวๆ ออกทางมะนาวๆ ของใบเวอร์บีน่ากลั้วกับมะกรูด แต่แปลกตรงที่กลิ่นซิตรัสจะไม่ได้คมมาก เพราะมีกลิ่นโทนเครื่องเทศอย่างเม็ดกระวานมาเป็นตัวตัดโทนคมๆ เลยทำให้ได้กลิ่นสดชื่นติดหวานเย้าๆ หน่อยๆ ลงตัว โดยกลิ่นซิตรัสสดชื่นติดเขียวในช่วงนี้จะตามไปที่ Middle Notes โดยไปผสมผสานกับความเป็นเครื่องเทศที่หอมซ่าๆ ติดนวลจมูก โดยเอาช่วงต้นของรุ่น Kenzo Power มาเป็นจุดเด่นของรุ่น Cologne นี้แทน เพราะกลิ่นของโทนดอกไม้นวลๆ หอมติดโทนแป้งจะมาแบบเบาๆ ให้กลิ่นพริกไทยมาเด่นนำโดยมีความซ่าๆ ของเม็ดผักชีเสริม ซึ่งจะเป็นช่วงที่ได้ทั้งความสดชื่น สะอาด สบายๆ โปร่งๆ แล้วตามมาที่ Base Notes กับกลิ่นโทนเครื่องเทศสดชื่นที่จะเบาลงไปให้กลิ่นยางไม้ติดโทนธูปหน่อยๆ อย่าง Frankincense (ที่จะมีกลิ่นอายอบอุ่น มีกลิ่นเปรี้ยวหน่อยๆ กลั้วดอกไม้นิดๆ) มารับช่วงต่อ โดยมีกลิ่นโทนไม้หอมอ่อนๆ คลอไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสะอาด และมีระดับกับกลิ่นอาย Smoky เบาๆ สบายๆ ไปตลอดเลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้นขึ้นไปก็ใส่ได้แล้ว กลิ่นอายแบบสดชื่นติดสะอาดๆ สบายๆ ของเครื่องเทศที่ลงตัวมาก สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการ นิ่งใช้แบบวันอากาศร้อนๆ ยิ่งเข้าที่มาก ส่วนยามค่ำคืนถ้าทั่วๆ ไปใส่ได้ แต่ถ้าไปเที่ยว เปลี่ยนเป็นตัวอื่นจะดีกว่า ตัวนี้เบาไป ส่วนคุณผู้หญิงใส่ตัวนี้ได้อยู่นะครับ กลิ่นไม่ได้ออกทางแมนจัดอะไรนัก 

ความทน - อยู่ที่ 6 ชม. กำลังดี อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ อยู่ที่การอัดสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในช่วงต้น คือ คนฉีดจะได้กลิ่นเต็มๆ ก่อนจะลดลงมากระจายแบบเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วปิดท้ายที่ Skin Scent 

ทิ้งท้าย - ไม่ว่าจะเป็น Kenzo Power หรือ Kenzo Power Cologne ต่างก็เลิกผลิตกันหมดแล้วนะครับ ซึ่งแปลกใจมากกกกก ของดีๆ ทำไมเลิกผลิต "ไม่เข้าใจ" ทั้งๆ ที่เป็นอีกตัวในด้าน Safe Scent แบบมีระดับ รวมถึงเป็นโทนสดชืิ่นที่แตกต่างจากท้องตลาดได้ดีมากเลย -___-" 

Credit ภาพ - https://az280429.vo.msecnd.net/prodimgs/14057332705-700.jpg

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Valentino UOMO Edition Noire

Valentino UOMO Edition Noire 

หนึ่งในขวดที่เรียกว่าดึงสายตาไปตอนแรกว่านี่มันน้ำหอมผู้หญิงหรือเปล่า หรือบางคนจะบอกว่า ขวดเก๊ย์ เกย์ ตั้งแต่รุ่น UOMO ปกติแล้ว แล้วอยู่ดีๆ ขวดสีดำที่ออกมานี่คืออัลไล ซึ่งจะแตกต่างกับ UOMO ปกติหรือไม่ ได้โอกาสลองเลยแล้วกัน 

ซึ่งรุ่นนี้ก็ คือ Valentino UOMO Edition Noire ที่พึ่งออกมาในปี 2015 นี่้เองกับขวดสีดำที่เพิ่มคำขึ้นมา แน่นอนหายเกย์แบบที่หลายๆ คนคิดไปได้เยอะ (หรือเปล่า) 5555 และแน่นอนว่า กลิ่นที่ได้มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากรุ่นต้นตระกูล เรียกว่าถอดกันมาเลย เพียงแต่จะมีบางอย่างมันเด่นขึ้นมามากขึ้นและเข้มข้นขึ้นบ้างในพื้นฐานกลิ่นที่เป็นแบบเดิม โดย Top Notes เปิดตัวกันกลิ่นอายหอมหวานติดกลิ่นแบบลิปสติกในแบบที่ตัวหัวไลน์ทำได้แต่จะมีกลิ่นอายเข้มขึ้นพอสมควร เพราะมันจะผสมกันดอกโทนดอกไม้แนวๆ ไอริสติดสมุนไพรกับซิตรัสบางๆ ที่จะโดนกลิ่นในช่วงกลางของกาแฟ ชอคโกแลต และถั่วฮาเซลนัท ดันขึ้นมาผสมกันตั้งแต่ช่วงนี้ ซึ่งถ้าอากาศเย็นๆ จะเป็นใจกับน้ำหอมตัวนี้มาที่จะส่งกลิ่นอายอบอวลหอมหวาน แต่ถ้าร้อนๆ งานนี้อาจจะจุกคอหอยกันหน่อยแบบเหมือนเปิดกระเป๋าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงแล้วกลิ่นพุ่งเข้ามาเต็มๆ พอเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นช่วงแรกหายไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือ ให้กลิ่นของชอคโกแลตและฮาเซลนัททำหน้าที่แบบขนมๆ โดยความเป็นเนยถั่วไม่เยอะเหมือนตัวต้นไลน์ เพราะกาแฟเป็นตัวนำเด่นมากขึ้น ซึ่งตรงนี้แหละที่ต่างให้พอรู้สึกได้ กลิ่นจะเป็นคล้ายๆ กาแฟคั่วบทผสมกับชอคโกแลตและไซรัปฮาเซลนัทติดหวาน เลยจะทำให้กลิ่นไม่ออกเมโทรแบบ Dior Homme ทั้งตัวปกติและ Intense นัก เรียกว่าเหมือนเพิ่มตัวใดตัวหนึ่งมาเด่นทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนในพื้นฐานกลิ่นเดียวกัน และคราวนี้ Base Notes ซึ่งกลิ่นหนังนุ่มๆ ที่เข้มขึ้นมา โดยยังมีหอมหวานของช่วงกลางมาผสมผสาน ที่จะออกทางนัวๆ เซ็กซี่ โดยมีโทนไม้ซีดาร์ที่มาให้โทนขรึมติดดาร์กจางๆ ที่กลิ่นช่วงนี้เทียบกับต้นไลน์แล้วกลิ่นเข้มขึ้นมาหน่อยให้รู้สึกว่ามันมีความหอมนัวติดดาร์กหน่อยๆ แต่ยังคงความหวานแบบเมโทรเท่ห์ๆ อยู่ 

ทั้งหมดทั้งมวลเลยออกมาเลยมีความใกล้เคียงตัวต้นฉบับแต่มีความเข้มขึ้น แน่นอนว่า มาลักษณะในแบบที่ Dior Homme ก้าวไปสู่ Dior Homme Intense แบบรู้สึกได้ เพียงแต่ไม่ได้โดดไปจากของเดิมมากเท่านั้นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็จัดตัวนี้ได้แล้ว เพียงแต่ต้องเลือกสถานการณ์ในการใส่นิดนึง เพราะกลิ่นมันออกเนี้ยบด้วย ส่วนวัยทำงานจัดได้สบาย ถ้าอยู่ในห้องแอร์ฉ่ำๆ ตลอดวันตัวนี้กลิ่นดีงามเลยทีเดียว และสามารถจัดได้ในยามชิลล์ๆ ก็ได้ เพียงแต่จำนวนสเปรย์เหมาะสม งดใส่ออกกำลังกายเถิด เดี๋ยวฆ่าหมู่ ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่ากลิ่นหอมหวานเมโทรหวานแบบลงตัวเลยทีเดียว 

ความทน - 8 ชม. และเกินไปกว่านั้นได้สบายๆ ถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 15 ชม. กับ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - ไม่ต่างจากต้นไลน์ที่ช่วงแรกจะกระจายแน่น และแน่นมาก แล้วจะลดลงมาเป็นกระจายดีในช่วงกลางไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่เป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ 

ทิ้งท้าย - เอาตรงๆ ส่วนตัวผมรู้สึกทนกว่า UOMO ปกติ ในโทนกลิ่นที่ไม่ได้แตกต่างกันนัก เพียงมีความหวานนัวเซ็กซี่มากขึ้น ซึ่งขวดดำหมดแบบนี้สิ เท่ห์ขึ้นมาก ^^

Credit ภาพ - http://www.masculin.com/images/article/10611/valentino-uomo-edition-noire.jpg

Review: Café Parfums – Café Expresso

Café Parfums – Café Expresso 

ไม่เคยรู้จักแบรนด์นี้มาก่อนเลย จนมาได้เห็นใน StrawberryNet เลยเข้าไปดูเพราะชื่อเน้นๆ ว่า มันต้องมีน้ำหอมกลิ่นกาแฟแน่ๆ พอไปค้นหาเพิ่มเติมจึงได้รู้ว่ามาจากฝรั่งเศสซะด้วย แถมพอเห็นตาดันวาวขึ้นมาเพราะราคาไม่ได้สูงแต่ประการใดในขนาดย่อมๆ เช่นนั้น ก็จิ้มมาเลยแบบไม่ต้องคิดมากว่ากลิ่นน่าจะไปได้ดีกับรุ่นนี้ Café Expresso ผลที่ออกมาคือ 

กลิ่นเปิดนี่ทำให้นึกถึงน้ำหอมในท้องตลาดที่มาในโทนเครื่องเทศหวานๆ เด่นนำกลั้วซิตรัสเบาๆ กลิ่นเย้าอบอุ่นตั้งแต่เริ่มมากอย่าง Spicebomb เพราะว่ากลิ่น Top Notes นี่นำเด่นด้วยพริกไทยสีชมพูที่จะมีกลิ่นติดเครื่องเทศกลั้วกลิ่นดอกไม้จางๆ หอมเย้ายวนเด่นนำโดดมาเลย แอบหนักนิดนึงสำหรับคนที่ชอบน้ำหอมโทนสดชื่น เพียงแต่จะมีกลิ่นซิตรัสของส้มมาตัดให้กลิ่นเครื่องเทศไม่แหลมเกินไปนัก โดยมีความนุ่มสะอาดในเนื้อกลิ่นบางๆ พอรู้สึกได้ แต่เพียงไม่นานกลิ่นของอบเชยจะดันขึ้นมาผสมผสานกับพริกไทยสีชมพู จนเข้าสู่ Middle Notes เต็มตัวซึ่งตอนนี้เลยที่จะมีความคล้ายของ Chanel Egoiste หรือ Antonio Banderas The Secret หน่อยๆ ตรงที่ความเย้ายวนของกลิ่นอบเชยจะมีโทนไม้หอมมาตัดให้ออกทางขรึมอบอุ่นไม่หวานเย้าจัดกลิ่นในช่วงนี้จึงเป็นกลิ่นอบเชยแบบนวลจมูก เย้ายวนกำลังดี อบอุ่นกำลังงาม มีความแมนในเนื้อกลิ่นที่เข้าทีไม่น้อยจริงๆ และส่งต่อให้ช่วง Base Notes ที่กลิ่นโทนอบอุ่นที่เริ่มดันเข้ามามากขึ้นจากแอมเบอร์ กลิ่นจะอุ่นๆ แบบไม่ทิ้งกลิ่นอายเครื่องเทศที่ตามมาในช่วงก่อนๆ หน้า แต่จะเป็นลักษณะผันตัวลงเป็นรองพื้นด้านหลังให้กลิ่นของไม้จันทน์หอมเป็นตัวเด่นขึ้นมาแบบกำลังดี กลิ่นจะออกเป็นไม้เนื้อหอมสะอาดๆ หวานจางๆ ติดผิว หอมนวลๆ จากพิมเสนเบาๆ มีความอุ่นๆ ในเนื้อกลิ่นให้มีลักษณะแบบผู้ชายที่น่าไว้วางใจและน่าเชื่อถือ เรียกว่าภาพรวมของกลิ่นบ่งบอกถึงผู้ชายลักษณะธรรมชาติที่เย้ายวนก็ได้ อบอุ่นแบบแฟมิลี่แมนก็ดี หรือสบายๆ ติดหวานโรแมนติคก็สามารถ 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปสามารถใช้ตัวนี้ได้แบบสบายๆ ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ เพราะกลิ่นให้ความรู้สึกทั้งอบอุ่น น่าเชื่อถือ แมน และหวานไม่แบบจัดจ้านเกินไปนัก แต่ถ้าออกกำลังกายให้งดใส่ตัวนี้ดีกว่า เพราะมันมีโทนหวาน ส่วนยามค่ำคืนไ ไม่ว่าจะทั่วไปหรือโรแมนติคจัดไป กลิ่นน่าไว้วางใจเชียว เที่ยวกลางคืนก็สามารถ เพราะกลิ่นมีความเย้ายวนระดับหนึ่งนั่นเอง 

ความทน อยู่ที่ประมาณ 8 ชม. อาจจะน้อยกว่านี้ถ้าจำนวนสเปรย์ไม่ได้เยอะเกินไปนัก เช่นนั้น จัดจำนวนสเปรย์ลงตัว ตัวนี้ถือว่าทนน่าพึงพอใจมา 

การกระจาย ถือว่าเป็นตัวที่กระจายลงตัวกำลังดีไม่มากไม่มาย ไล่เรียงจากกระจายดี ลดลงมากระจายกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว ปิดท้ายด้วยออร่ากึง Skin Scent ตามแต่ละประเภทผิวที่จะเอื้ออำนวย 

ทิ้งท้าย เรียกว่า Blind Buy มาแบบไม่คิดว่ากลิ่นจะ OK แต่มันก็ OK เลย แถมกลิ่นไม่ได้ใช้ยากเสียด้วย สำหรับผมนี่คือความคุ้มค่าเต็มๆ ครับ 

Credit ภาพ - http://cs623122.vk.me/v623122722/620fb/NaPA1h1212M.jpg

Review: Lalique – Hommage a L’Homme Voyageur

Lalique – Hommage a L’Homme Voyageur 

หลังจากผ่านรุ่นต้นตระกูลของไลน์ Hommage a L’Homme จากแบรนด์ Lalique ด้วยความหรูหราของกลิ่นแป้งหอมติดกลิ่นไม้กฤษณาแบบคุณชายไปแล้ว เมื่อรุ่นนี้ออกมาเรียกว่าเล็งจนตาจะเหล่ เพราะอยากลองมากว่าจะต่อยอดไปในทางไหนแล้วกลิ่นจะเป็นยังไง และแล้วความหวังของเราก็เป็นจริง ได้โอกาสจัดมาแล้วจัดให้หนำใจ จนได้รู้ว่า 

เอาเข้าจริงมันไม่ได้เชื่อมโยงเลย เหมือนเอาชื่อ Hommage a L’Homme มาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าของรุ่นให้คนมาสนใจเสียมากกว่า เพราะโทนแป้งหอมหรูหรา หรือกลิ่นอายแบบผู้ดีวางตัวนิ่งๆ แต่ออร่าฟุ้งกระจาย มันกลายเป็นกลิ่นออกแนวลุยๆ เท่ห์ๆ และติดโทนดาร์กๆ เสียมากกว่า เพราะเปิด Top Notes ด้วยกลิ่นอายที่ทำให้คนชอบกลิ่นอายของพิมเสนนุ่มๆ จมูก กับซิตรัสผสมผสานกัน โดยมีกลิ่นโทนเครื่องเทศของกระวานมาเสริมมันหอมดึงดูดกันตั้งแต่เริ่มต้นเลย มีความแน่นพอสมควรแต่ได้ความรู้สึกแบบสบายๆ Earthy แบบธรรมชาติกำลังดี ซึ่งพิมเสนนี่แหละจะเป็นตัวที่เด่นที่จะผสมผสานอยู่ในทุกช่วงของน้ำหอมเลยทีเดียว ตามต่อไปที่ Middle Notes ที่กลิ่นแน่นๆ ติดโทนนุ่มสะอาดในตอนแรกจะผันกลายเป็นกลิ่นโทนไม้หอมติดควันไอ Smoky แบบชัดเจนมาก จนแบบว่า กลิ่นตอนแรกที่เราประทับใจมันหายไปอ่ะ แต่มันได้อีกอารมณ์ขึ้นมาทันทีคือ Voyageur นี่แหละ ลุยๆ เพราะหญ้าแฝกจะขึ้นมาทวงความเด่นกลิ่นออกทาง Smoky และมีกลิ่นจากใบปาปิรัสแบบแห้งๆ คล้ายกลิ่นใบลาน ซึ่งพิมเสนจะตามมาให้ความรู้สึกแบบเขียวแห้งๆ กลิ่นแบบดาร์กๆ ลึกลับหน่อยๆ ซึ่งช่วงนี้แอบอ้าปากค้าง เพราะพอกลิ่นเซทกันอย่างลงตัวกลายเป็นกลิ่นแบบยางรถยนต์ที่เสียดสีกับถนนฟุ้งขึ้นมาแทนที่ เรียกว่าเกินคาดไปเลย จนมาถึง Base Notes ที่กลิ่นยางรถยนต์ที่เสียดสีกับถนนจะกลายเป็นกลิ่นยางรถยนต์แบบอุ่นๆ จากแอมเบอร์ โดยมีวานิลลามาแบบเบาๆ ติดโทนแป้งจางๆ หอมสะอาด และมีกลิ่นเขียวๆ ของ Oak Moss มาทำให้กลิ่นออกทางแมนๆ เท่ห์ๆ ซึ่งยังมีความหรูหราประปรายเบาบางจากกลิ่นพิมเสน ซึ่งกลิ่นโดยภาพรวมเลยกลายเป็นกลิ่นเหมือนนักท่องเที่ยวๆ เท่ห์ๆ ขับรถท่องเที่ยวสมชื่อรุ่นเขาเลย

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป และอย่างน้อยผ่านน้ำหอมที่มีพิมเสนและหญ้าแฝกมาบ้างจะเข้าถึงตัวนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะกลิ่นไม่เหมือนใครเลย เป็นอัตลักษณ์ที่ชัดเจนและบ่งบอกถึงการเดินทางได้จัดเต็มมาก สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันกับจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนออกกำลังกายให้รอท้ายๆ หน่อยพอไหวอยู่ ส่วนยามค่ำคืนก็สามารถ กลิ่นแปลกแต่มีเสน่ห์ดึงดูดแบบติดดาร์กให้คนสนใจเลยล่ะ

ความทน เรียกว่าลงตัวกับ 8 ชม. อาจจะมากกว่านั้นอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ที่แน่ ๆตัวนี้อิงเคมีกับผิวคนฉีดไม่น้อยที่จะทำให้ทนมากขึ้นหรือเบาบาง หรือกลิ่นจะออกมาในลักษณะไห 

การกระจาย กลิ่นต้นตีขึ้นแบบแน่นเลย แล้วจึงลดลงมากระจายกำลังดีไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกระจายกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย กลิ่นแนวเลยล่ะครับ เพียงแต่ว่าไม่ได้หรูหราอะไรมากนักแบบที่ต้นตระกูลของไลน์นี้ทำได้ และไม่ได้เชื่อมโยงอะไรเลย เอาจริงๆ ตั้งชื่อแค่ Voyageur ก็เอาอยู่แล้วไม่ต้องพ่วงของงามอันเก่าก็ได้จ้า 

Credit ภาพ - http://www.lalique.com/media/products/large/3314-hommage-a-lhomme-voyageur-eau-de-toilette_3.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: by Kilian – Love, Don’t Be Shy

by Kilian – Love, Don’t Be Shy 

เป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche ที่ความหรูหราจัดเต็มมากมายจากฝรั่งเศส เพราะนอกจาก Package ที่งามมากๆ แล้ว เรื่องกลิ่นก็ไม่เป็น 2 รองใคร โดยชื่อรุ่นแต่ละรุ่นตั้งมาเพื่อต่อยอดและสอดคล้อง รวมถึงสนับสนุนตัวกลิ่นได้อย่างดีงามด้วยเช่นกัน เช่นนั้นสบโอกาสได้ลองตัวแรกของแบรนด์นี้ เลยมาบอกเล่ากันซักหน่อยนั่นคือรุ่น Love, Don’t Be Shy
 

เปิด Top Notes ทักทายมากันก่อนเลยกับกลิ่นดอกส้มที่มาแบบติดหวานของพริกไทยสีชมพู มีกลิ่นอาย Citrus บางๆ เสริมให้กลิ่นออกทางมีมิติมากขึ้น แต่ปูเข้าสู่ความเป็นเครื่องเทศและของหวานกันอย่างชัดเจน เพราะในเนื้อกลิ่นมีกลิ่นอายแบบกลิ่นคล้ายมาร์ชเมลโล่กลั้วน้ำเชื่อมหวานๆ ซ่อนอยู่เบื้องหลังแบบจับได้ไม่ยาก ออกแนวกลิ่นแบบเปิดโทนแรกแย้มที่เสริมความหวานลงไปไม่มากก่อนเน้นสนับสนุนไรงี้ ซึ่งกลิ่นอายในช่วงต้นของดอกส้มติดเครื่องเทศโทนหวานตามมาผสานกับ Middle Notes ที่มาในโทนดอกไม้เด่นที่มะลิและกุหลาบ โดยมีความเป็นแป้งหอมเซ็กซี่แบบขนมมาร์ชเมลโล่อยู่ แต่เนื้อกลิ่นยังคุมโทนความหวานชัดเจนและมีความอบอุ่นมากขึ้นตามลำดับ จากอายๆ ไม่กล้าหวาน เริ่มจะหวานขึ้นและกล้ามากขึ้นยังไงยังงั้น ส่งต่อให้ Base Notes งานนี้ ตัวรองพื้นที่ลากยาวมาตั้งแต่ช่วงต้นอย่างวานิลลาและน้ำเชื่อมเด่นชัดเจนมาก โดยมีคาราเมลมาเสริมความหวานเข้าไปอีก เรียกว่าตอนนี้หวานกันเต็มๆ โดยมี Musk มาตัดให้กลิ่นหวานไม่แหลมและคมเกินไป ให้มีความนุ่มนวลเย้าๆ ในเนื้อกลิ่นมากขึ้น เรียกว่าหวานสะพรั่งแกมความอบอุ่นนวลๆ เรียกว่ารักอย่างเต็มตื้นเต็มเหนี่ยวจนหวานล้นกันได้ก็งานนี้ 

เหมาะสำหรับ สาวๆ เลยครับ กลิ่นแบบนี้มันเข้าทางสาวๆ ที่ชอบกลิ่นอายหวานๆ แบบขนมแต่ไม่ใช่ขนมที่ไก่กาหวานจัดจ้านเข้าไป เพราะมีกลิ่นอายแบบสดชื่นไล่เรียงแบบมีระดับติดหรูหราในเนื้อกลิ่นด้วย ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ๆ เพราะกลิ่นมาเต็มแน่นมากทีเดียว งานทางการจัดๆ ไม่ค่อยเหมาะ แต่ถ้าทั่วๆ ไป เช่นทำงาน พบปะผู้คนพอไหว ชิลล์ๆ อยู่กับคนรักก็ได้ แบบอยู่ในห้องแอร์เป็นหลัก กลิ่นจะน่ารักลงตัวมาก งดใส่ออกกำลังกายหรือกลางแจ้งเพราะกลิ่นจะตีขึ้นจนหวานจุกคอหอยตายเสียก่อน คนรอบข้างจะตายตามกันไปด้วย ส่วนยามค่ำคืนจัดไปแบบเพิ่มสเปรย์จากกลางวันไม่มาก ก็สามารถไปร่อนปลดปล่อยความหวานแบบรักล้นใจได้แล้วล่ะครับ ผู้ชายก็ใส่ได้อยู่ แต่จะเป็นหนุ่มหวานจัดๆ ก็เท่านั้นเอง 5555 

ความทน ตัวแม่เลยจ้ะ ทนจัดชัดเจนมาก ล่อไป 15 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นอยู่เลย ฝ่าดงกลิ่น Oud มาก็ทำอะไรกลิ่นนี้ไม่ได้ เรียกว่าของเขาดีจริงๆ 

การกระจาย หนักและแน่นเลย ดีงามขั้นสุดในช่วงต้น และจะลดลงมากระจายดีไปตลอดรอดฝั่งจนถึงกลางๆ ช่วงท้ายที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัว ถ้าจัดจำนวนสเปรย์ดีๆ 

ทิ้งท้าย ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นหวานที่ไล่เรียงระดับของกลิ่นได้ดีเลยนะครับ ที่สำคัญใครชอบโทนขนมหวานตัวนี้จะตรึงได้เลยเพราะหอมหวานจริงๆ 

Credit ภาพ - http://www.luckyscent.com/images/products/42500.jpg



Review: Slava Zaitsev – Maroussia

Slava Zaitsev – Maroussia

เห็นครั้งแรกแบรนด์น้ำหอมนี้ต้องเป็นแบรนด์สัญชาติแนวๆยุโรปกลางหรือรัสเซียแหงๆ ซึ่งแน่นอนไม่เคยรู้จักและใช้มาก่อนเลยจนได้รับการแบ่งปันมาให้ลอง จึงได้ค้นดูข้อมูลต่างๆ ถึงได้รู้ว่า Slava Zaitsev นี้ในรัสเซียมากทั้งในแง่ของ Fashion ต่างๆ รวมถึงน้ำหอม ซึ่งก็ได้ลองตัวแรกของแบรนด์นี้อย่าง Maroussia ไปควบคู่ด้วย ซึ่งกลิ่นที่ออกมาคือ 

มันเหมาะกับอากาศเย็นๆ มากกกกก เพราะกลิ่นอายแบบแป้งหอมดอกไม้ติดกลิ่นสาปปลุกเร้า Animalic ที่มีโทน Old School หน่อยๆ มันหอมคลาสสิคจริงๆ เริ่มที่ Top Notes กับกลิ่นอายแบบเด้งขึ้นมาเลยนั่นคือ Aldehydes (กลิ่นที่ออกโทนสะอาดแบบสบู่ดอกไม้กลั้วซิตรัสสดชื่นแบบร้านตัดผมหรูๆ สมัยก่อน) กลิ่นมาเต็มเลยตอนต้นแบบว่าบ่งบอกกันได้ถึงความสะอาดเต็มแน่น มีกลิ่นดอกส้มจางๆ และกลิ่นโทนหวานหน่อยๆ ของพีช ที่มาให้ความเป็นเนื้อกลิ่นแบบผู้หญิงกันอย่างชัดเจน ส่งต่อให้ช่วง Middle Notes โดยกลิ่นของ Aldehydes ยังคงตามมาผสมผสานกับกลิ่นโทนดอกไม้นานาพันธุ์ที่มารายล้อมหอมแบบหวานกรุยกราย ติดโทนแป้ง โดยจะเด่นที่กระดังงาที่จะมาแบบหอมนวลๆ มีกลิ่นของคาร์เนชั่นที่ออกทางเครื่องเทศจางๆ ความรู้สึกจะบอกได้เลยว่าจะมีกลิ่นของชะมดเช็ดติดสาปปลุกเร้าแบบ Animalic รองพื้นอยู่ด้านหลัง เพราะกลิ่นที่ตีขึ้นจะเป็นกลิ่นหอมโทนแป้งดอกไม้กำลังดี แต่ที่ผิวกายจะเป็นแป้งหอมดอกไม้ที่มีกลิ่นแน่นๆ ของ Aldehydes กับชะมดเช็ดทำให้ออกโทน Old School หรูๆ ซึ่งจะส่งต่อให้ Base Notes กลิ่นโทนแป้งจะชัดขึ้นจากวานิลลา ที่เป็นตัวหลักให้กลิ่นออกทางนวลๆ ชะมดเช็ดก็คงตัวแบบติดสาปจางๆ ไม่มาเด่นชัดมากเพราะเจอโทนอบอุ่นของไม้หอมเข้ามาตัด รวมถึงมี Musk แบบนุ่มๆ ครีมมี่มาให้รู้สึกได้ เลยกลายเป็นกลิ่นโทนแป้งหอมอ่อนๆ อบอุ่นติดผิวกาย มีกลิ่นดอกไม้จางๆ บางๆ ให้รับรู้ ภาพรวมเลยเป็นน้ำหอมที่บอกถึงความเป็นสุภาพสตรีสวยๆ ที่ดูคลาสสิคก็ได้ ร่วมสมัยก็ดี ใส่ให้ดูมีภูมิหรูหราก็เหมาะ ภาพที่เด้งออกมาจากการได้กลิ่นทั้งหมดก็เป็นแบบนี้เลย

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป และอย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมโทนแน่นๆ แบบติด Old School มาบ้างจะเข้าขากับตัวนี้สบายๆ ยิ่งคนที่ชอบน้ำหอมผู้หญิงกลิ่นคลาสสิคต่างๆ จะปลื้มได้ไม่ยากด้วยซ้ำ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบที่อยู่ในห้องแอร์ฉ่ำๆ หรืออากาศเย็นๆ จะเข้าทีมากทั้งแบบทางการและไม่ทางการ งดใส่ออกอากาศร้อนจัดและออกกำลังกายเดี๋ยวตีขึ้นจนหน้ามืดเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนออกงานหรูก็สามารถ แต่ถ้าไปเที่ยวเมาแอ๋ กลิ่นไม่ได้เข้าทางนักก็เท่านั้นเอง ส่วนคุณผู้ชาย เอาจริงๆ ถ้าจะใช้ตัวนี้ พอได้ในระดับหนึ่งแบบสเปรย์น้อยๆ กลิ่นจะหอมแบบกำลังดีไม่เผื่อแผ่ความสาวคลาสสิคให้บุคคลรอบข้างเท่าไหร่ ยกเว้นถ้าต้องการชัดเจนก็จัดไป 

ความทน สวยงามมมม เพราะ 8 ชม. สบายๆ อาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่ามาเต็มตีขึ้นให้หนำกันเลยทีเดียว ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายค่อนไปทาง Skin Scent 

ทิ้งท้าย ผมเองไม่ค่อยมาแตะน้ำหอมโทนนี้เท่าไหร่ เพราะบางทีเหวอๆ กับกลิ่นของ Aldehydes แต่ครั้งนี้พอได้ลอง เออ มันดีงามนะ กลิ่นดีเลย และถ้าใช้แบบจำนวนสเปรย์ไม่เยอะ ไม่มีใครแซวว่าจะสาวไปไหนด้วย OK เลยล่ะครับ 

Credit ภาพ - http://www.scentsamples.com.au/wp-content/uploads/2013/05/Maroussia-by-Slava-Zaitsev.jpg

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Antonio Banderas – Blue Seduction

Antonio Banderas – Blue Seduction

ห่างหายไปจากแบรนด์เซเลปอย่าง Antonio Banderas นี้มานานมาก เพราะน้ำหอมแต่ละตัวเรียกว่าทำออกมาได้เกินคาดและไม่คิดว่านี่เป็นน้ำหอมเซเลปกันเลยทีเดียว ซึ่งในรอบนี้เรียกว่าต้องอวยกันหน่อยเพราะของเขาดีจริงๆ กับรุ่นนี้เลย Blue Seduction 


เรียกว่าสร้างความประทับใจกันตั้งแต่ Top Notes เลยก็ว่าได้ เพราะกลิ่นอายของเมล่อนที่เด่นขึ้นมาโดยมีโทนซิตรัสติดผลไม้มันสร้างความสดชื่นติดนุ่มๆ ได้ดีมาก โดยที่จะมีกลิ่นมินท์มาให้ความเย็นแบบ Spicy ไม่ให้กลายเป็นผลไม้จัดๆ มากไป ซึ่งกลิ่นอายของเมล่อนติดมินท์จะตามไปที่ช่วง Middle Notes ด้วย ซึ่งจะไปผสมผสานกับกลิ่นอายของแอปเปิ้ลเขียวที่รับช่วงโทนผลไม้ เป็นกลิ่นหอมสดชื่นก่อน แล้วกลิ่นของโทนน้ำทะเลก็จะมาให้ความสดชื่นแบบ Aquatic ต่อเนื่องเข้าไปอีก โดยไม่มีกลิ่นคาวใดๆ แต่ยังไม่จบแค่นี้เพราะท่ามกลางกลิ่นที่สดชื่นติดนุ่มหวานจางๆ แบบนี้ มีกลิ่นของคาปูชิโน่นุ่มๆ ครีมมี่ทำให้กลิ่นอายเรียกว่าตัดกันได้น่าดมกลิ่นมาก เหมือนนั่งจิบกาแฟท่ามกลางอากาศสดชื่นเคล้ากลิ่นผลไม้ริมทะเลเลย ซึ่งลิ่นอายแบบทะเลกลั้วกาแฟจะเริ่มเด่นแทนโทนผลไม้ จนเข้าสู่ Base Notes ที่กลิ่นโทนไม้หอมอ่อนๆ จะค่อยๆ มารองพื้นให้ โดยมีกลิ่นอายอุ่นๆ จากแอมเบอร์เข้าไปเสริมกับตัวคาปูชิโน่กลิ่นในช่วงนี้จะผ่อนคลายสบายๆ อบอุ่น แอบเย้ายวนไม่น้อย แต่แบบสบายๆ เสียมาก โดยที่กลิ่นของโทนน้ำทะเลยังคงอยู่ให้ความสดชื่นอ่อนๆ และผ่อนคลายอยู่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายๆ เพราะกลิ่นเข้าถึงได้ง่ายและเรียกคำชมได้แบบไม่ต้องพยายาม สามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันเลย เพราะกลิ่นคาบเกี่ยวไล่เรียงโทนสดชื่นไปอบอุ่นสบายๆ ได้ลงตัว ส่วนยามค่ำคืนถ้าไม่ได้เน้นไปหาเหยื่อก็ใส่ได้อยู่ แบบทั่วๆ ไปกับอากาศบ้านเรา

ความทน – 8 ชม. อาจจะมีบวกลบประมาณ 2 ชม. ตามจำนวนสเปรย์ที่ฉีดไป ซึ่งถ้าจำนวนสเปรย์ถึงลากยา12 ชม. แบบที่ผมเจอได้สบายๆ (จัดไป 7 สเปรย์ กดเต็มมิด รวมฉีดเสื้อด้านหน้า)

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้ความรู้สึกสดชิ่นติดนุ่มหวานได้ลงตัว ก่อนที่จะลดลงมากระจายกลางๆ และปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว กึ่ง Skin Scent แล้วจางลงไปตามลำดับของเวลาที่ผ่านไป 

ทิ้งท้าย นี่คือ Masterpiece ของแบรนด์ Antonio Banderas และเป็นหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้สบายๆ กับราคาที่ดีงามแล้วกลิ่นที่ได้รับมันดีงามมากมายเกินราคาที่จ่าย

Credit ภาพ - http://parfstore.com.ua/wp-content/uploads/2015/05/Blue-Seduction-Antonio-Banderas.jpg

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Tom Ford Noir

Tom Ford Noir 

กลับมาหาบุรุษหนุ่มนาม Tom Ford อีกครั้งกับคราวนี้ได้มาลองตัวที่ยอดฮิตและกลิ่นดีงามอีกตัว ยิ่งมากับคำว่า Noir งานนี้จะเซ็กซี่ ดาร์ก และยั่วยวนขนาดไหน เลยจัดไป ผลออกมาคือ 

Top Notes ก็กลิ่นอายแป้งหอมมาเยือนกันตั้งแต่ต้นเพราะดอกไวโอเล็ตจะมาทำให้เกิดความรู้สึกแบบแป้งหอมนวลๆ ติดเขียวจางๆ แต่จะมีโทนเครื่องเทศอย่างพริกไทยสีชมพูมาตัดทำให้กลิ่นหวานโดยมีความสดชื่นมาแบบประปราย ซึ่งกลิ่นมาแน่นกันตั้งแต่ช่วงนี้เลย เรียกว่ามาถึงก็เซ็กซี่แบบกำลังดีแนวแป้งหอมติดสดชื่น แล้วจึงเปลี่ยนโทนมาเป็นแป้งหอมติดนัวและดาร์กน่าค้นหาต่อเนื่องในช่วง Middle Notes ซึ่งดอก Iris จะมาให้โทนแป้งนวลๆ ติดดาร์กหน่อยๆ และมีกุหลาบมาแบบเย้าลึกลับ ซึ่งจะมีกลิ่นอายเครื่องเทศนัวๆ ของพริกไทยนำเด่นมากลั้วกับกลิ่นเมทัลลิคจางๆ ซึ่งเรียกว่ากลิ่นจะนัวและดาร์กลงตัวมากระหว่างความเป็นแป้งเซ็กซี่กลั้วเครื่องเทศ และมีความอบอุ่นรองเป็นพื้นหลังจางๆ ในช่วงนี้ให้ความรู้สึกแบบผู้ชายมาดเท่ห์ใส่สูทแบบพอดีตัวปลดกระดุมเชิ้ตเห็นแผงอกหน่อยๆ ดูหล่อเซ็กซี่ในความภูมิฐานเมโทนเท่ห์ๆ และปิดท้ายที่ Base Notes งานนี้ กลิ่นอบอุ่นที่รองพื้นในช่วงกลางจะเป็นตัวเด่นขึ้นมาแบบชัดเจนนั่นคือแอมเบอร์ที่จะเด่นหอมเย้าตีคู่กับพิมเสน โดยมีวานิลลารับช่วงต่อโทนแป้งหอมให้ออกนวลหวานเนียน ที่สำคัญจะมีกลิ่นติดสาป Animalic จากหนังและชะมดเช็ดให้รู้สึกได้ถึงความนัวเย้าและเซ็กซี่บอกแรงขับทางเพศชายที่อุ่นนัวและเร้าใจอย่างชัดเจนเลย ภาพรวมเลยเป็นอีกหนึ่งกลิ่นเซ็กซี่ที่จะมาแบบค่อยเป็นค่อยไป คืบคลานมาจนรู้ตัวอีกที ก็นะ ขอพากลับบ้านได้ไหม ประมาณนี้เลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ที่ไม่ได้ยี้กับกลิ่นโทนแป้ง โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งงานทางการและไม่ทางการแบบลุคต้องเนี้ยบๆ หน่อยจะเสริมบารมีเซ็กซี่ได้มากเลยทีเดียว ส่วนน้องๆ มหาลัยเอาเข้าจริงๆ ก็ใช้ได้ครับ แต่ต้องเลือกสถานการณ์นิดนึงก็เท่านั้นเองเช่นลั่นล้ากลางคืน โรแมนติคกับแฟน หรือออกงานเลี้ยงอะไรซักอย่างนี่แหละ จะลงตัวมาก

ความทน - ประมาณ 8 ชม. กำลังดี ซึ่งจะมากกว่านี้ได้อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - เปิดต้นกลิ่นมาก็กระจายดีเลยทีเดียว ก่อนจะลดลงมากระจายกลางๆ ไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวเข้ามาใกล้ๆ จะได้กลิ่นชวนซบในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - เรียกว่ากลิ่นเซ็กซี่และนัวสมกับการเป็น Tom Ford ที่เป็นโทนแป้งหอมผสมกลิ่นอายแบบ Animalic เสริมบุคลิกให้ดูเจ้าชู้และเร้าใจได้ดีเลย จนทำให้ผมต้องหารุ่น Extreme มาลองต่อเนื่องกันเลยทีเดีย 

Credit ภาพ - http://i1.adis.ws/i/tom_ford/T1-TOMFORD-NOIR_OC_100ML_A?%24hires%24

Review: L'Artisan Parfumeur - Explosions d'Emotions: Skin on Skin

L'Artisan Parfumeur - Explosions d'Emotions: Skin on Skin 

"Skin on Skin" awakens our animalistic instincts... to touch, to get closer, to smell. นี่คือประโยคเชิญชวนที่เรียกว่า อูยยยยย น่าสนใจมากกกกกกนะนั่น กับ L'Artisan Parfumeur ที่ออกไลน์ Explosions d'Emotions โดยมีรุ่นนี้เป็นหนึ่งในนั้น เช่นนั้นอยากรู้ว่ากลิ่นเป็นยังไง และสบโอกาสได้ลองใช้เลยมาบอกเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นจะชวนให้ฟินหรือไม่ ผลออกมาคือ

กลิ่นเปิดมาแบบติดความนัวของของวิสกี้ที่มาแบบแน่นนัวกลั้วลาเวนเดอร์และกุหลาบจางๆ ที่ทำให้กลิ่นช่วงนี้จะออกลักษณะของพลาสติคฉีดสีฉีดกลิ่น โดยมีกลิ่นอายของหนังกลับนุ่มๆ รองพื้นด้านท้าย ซึ่งเรียกได้เลยว่าถ้าคนไม่ชินกับมันจะถอยห่างทันที เพราะกลิ่นมันชวนมึนหัวพอสมควร เหมือนเปิดเข้าไปในห้องใหม่ๆ ที่กลิ่นสีกลิ่นความใหม่ยังคงอยู่ให้เราต้องปรับตัวกับใครบางคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะยังไงต่อดี แต่พอผ่านช่วงนี้ไปได้เตรียมพร้อมได้เลยดับความ Sexy เย้ายวนที่มาแบบนัวอย่างมีระดับจัดเต็ม เพราะกลิ่นวิสกี้ในตอนแรกจะมากลั้วกับโทนแป้ง Sexy ของ Iris ที่จะมาแบบเย้าๆ นวล นุ่ม โดยมีกลิ่นขมหวานๆ จางๆ ของหญ้าฝรั่น ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นช่วงที่ Sexy มากกกกก กลิ่นนัวนวลเหมือนการปะฉะดะกันแบบยังมีอาภรณ์ปกคลุม กลิ่นแป้งจากผิวกายหญิงและกลิ่นหวานนัวติดขมที่ทะลุเสื้อผ้าออกมาจากทั้ง 2 ฝ่ายแบบดึงดูดเข้าหากันอย่างนัวมาก โดยมีกลิ่นหนังนุ่มๆ เป็นตัวรองพื้นที่จะดันขึ้นมาเรื่อยๆ โดยพาเพื่อนอย่าง Musk มาด้วยที่ละหน่อย จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่เป็นกลิ่นอายนุ่มนวลติดกลิ่นโทน Animalic ของหนังกลับที่เด่นขึ้นมาอย่างชัดเจนกลั้วกับกลิ่น Musk ที่นุ่มเย้าดึงดูดอย่างร้ายกาจเข้าสู่ช่วงของการที่ผิวเนื้อล้วนๆ ป่ะกันโดยไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ปะปนให้น่ารำคาญ เรียกว่าเป็นช่วงที่นำเสนอกลิ่นแนวผิวกายแบบติดสาปหอมตามธรรมชาติของ 2 เพศมาเจอกันอย่างชัดเจนบนพื้นฐานของการมีกิจกรรมบางอย่างเพื่อปลดปล่อยกลิ่นอายแบบนี้ออกมา ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่ามันชวนนัวและเซ็กซี่ เย้ายวนแบบชวนกัดปากขนาดไหน 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะว่าใส่ได้หมดทั้ง 2 เพศ กลิ่นอยู่ตรงกลางที่เอื้อให้เกิดความรู้สึกเย้ายวนรัญจวนได้ทั้งหมด ซึ่งสามารถใส่ได้กับบางสถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ได้ทางการมากเกินไปมันอาจจะโดนมองได้ว่ากลิ่นยั่วไปนะ ซึ่งใส่ทำงานในห้องแอร์ก็สามารถ แต่จะเย้าหน่อยก็เท่านั้นเอง นอกนั้นในบรรยากาศอื่นๆ ที่เป็นใจ หรืออยู่กับแฟนก็สามารถ ชิลล์ๆ ก็พอได้ขับเสน่ห์ๆ แต่ไม่ควรใส่ออกกำลังกายนัก เพราะเดี๋ยวจะแอบมึนหัวตีขึ้นหนักไป นอกนั้นยามค่ำคืนทั้งหรูหรา และมีระดับ หรือเที่ยวสนั่นราตรีจัดไปเถอะ กลิ่นนัวเย้าให้คนเข้าใกล้และกัดปากได้เลย 

ความทน - เรียกว่าทนได้น่าสนใจมาก กับ 8 ชม. สบายๆ ซึ่งจะมากกว่านั้นหรือไม่ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ที่สำคัญตัวนี้อิงเคมีบางส่วนด้วย โดยส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. กับวันอากาศร้อนๆ ตีขึ้นอย่างนัวทั้งวันเลยจ้า บอกตรงนี้ 55555 

การกระจาย - กลิ่นกระจายอย่างนัวและหนักแปลกจมูกมากในช่วงต้น ก่อนจะลดระดับมากระจายกลางๆ เซ็กซี่เย้ายวน และปิดท้ายด้วยความนัวนุ่มกับออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย - ชอบชื่อรุ่นนี้มาก มันสื่อชัดเจนจริงๆ และไม่คิดว่าจะชอบกลิ่นนี้เพราะกลัวเรื่องความเป็นหนังกับ Musk ติดสาป แต่กลายเป็นชอบไปเลยเพราะมันถ่ายทอดกลิ่นในสถานการณ์บางอย่างได้อย่างชัดเจนมากจริงๆ 5555555 

Credit ภาพ - https://media.douglas.de/788799/900_1/L_Artisan_Parfumeur-Dufte-Skin_on_Skin.jpg

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Tory Burch for Women

Tory Burch for Women

เพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่าน้ำหอมตัวแรกของ Tory Burch มันหอมมาก กลิ่นจะออกทางทอมบอย เอาล่ะสิ แสดงว่าต้องมีกลิ่นอายของความเป็น Unisex แน่เลยยยยย เช่นนั้นเราจึงขวนขวายหามาลองจนได้ ผลออกมาคือ

เรียกว่ากลิ่นเปิดมาได้อย่างประทับใจและสามารถดึงดูดคนที่ดมให้ชอบและรู้สึกเสีียตังค์ได้เลย เพราะเปิดด้วย Top Notes อย่างโทนซิตรัสที่เด่นกับความเป็นส้มและเกรฟฟรุตเลย โดยมีกลิ่นของดอกส้มนำโทนฟอลรัลเด่นแทรมเข้ามาแบบใสๆ โดยที่มีกลิ่นอายหวานๆ ติดฟรุตตี้นิดๆ ของพริกไทยสีชมพูเป็นตัวรองพื้นไม่ให้กลิ่นเบาโหวงเกินไป กลิ่นแล้วออกทางใสสว่าง กระตุ้นความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะไปผสานกับช่วง Middle Notes โดนกลิ่นโทนดอกไม้จะเด่นนำก่อนเลยที่โบตั๋นแบบใสๆ หอมแบบสว่างๆ เบาๆ ติดหวานปลายๆ มีซ่อนกลิ่นมาให้ความครีมมี่บางๆ เลยทำให้กลิ่นกลายเป็นสดชื่นสบายๆ ติดหวาน แต่เพราะมีกลิ่นอายเขียวๆ ของดอกกระถินกับโทนแป้งติดแครอทนิดๆ มาผสานกับโทนซิตรัสที่ตามมาตั้งแต่ต้นต้น ทำให้ช่วงนี้เป็นกลิ่นหอมที่มีความกระชับกระเฉงในเนื้อกลิ่นขึ้นมาด้วย เรียกว่ายังความหอมสดใสมีโทนสบายๆ แรกแย้มลงตัว ส่งต่อให้ช่วง Base Notes ที่กลิ่นแนวๆ ทอมบอยจะมาในช่วงนี้แหละ เพราะ 3 เกลอแห่งความนุ่มสะอาด อบอุ่นเบาๆ อย่าง Musk ไม้จันทน์หอม และไม้ซีดาร์ ที่มาทำให้รู้สึกสะอาดกระฉับกระเฉง ที่สำคัญการมีหญ้าแฝกเข้ามาให้ความ Smoky สะอาดเบาๆ ถือว่าทำให้กลิ่นมีความแมนเสริมเข้ามาตัดกับความใสในตอนต้นได้ลงตัวมาก ภาพรวมเลยกลายเป็นน้ำหอมที่หอมสดใสและกระฉับกระเฉงได้น่าสนใจเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศทุกวัยเลย เพราะกลิ่นมันเข้าถึงได้ง่ายมาก แม้จะมีกลิ่นในตลาดที่คล้ายมากอยู่ แต่เพราะว่าเนื้อกลิ่นมันมีความเป็นไม้หอมเลยทำให้ออกทางแมนๆ เข้ามาให้ความเท่ห์ เลยทำให้สามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไปชิลล์ๆ ส่วนออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน ถ้าท่องราตรีกลิ่นนี้ไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ถ้าทั่วๆ ไปก็ลุยได้เลย หอมเข้าถึงง่ายอยู่แล้ว

ความทน - ถือว่าน่าพึงพอใจมากกับประมาณ 8 ชม. โดยประมาณ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดีในช่วงต้น และความการกระจายที่ลงตัวไปเรีื่อยๆ จนถึงปลายช่วงกลางที่เริ่มจะออกแนวเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะปิดท้ายด้วย Skin Scent หอมสะอาดกระฉับกระเฉงติดผิว

ทิ้งท้าย - เอาจริงๆ มันเหมือน Clinique Happy for Women ไม่น้อยนะครับ 5555 เพียงแต่ว่าเพราะมีโทนไม้หอมมากกว่า และไม่ได้มีโทนผลไม้เด่นออกมามากมาย เลยพอมีความแตกต่างบ้าง แต่กลิ่นแบบนี้บอกเลยให้ตายยังไง ใส่แล้วก็หอม เพราะขนาดผมยังชอบเลย เพราะมันสดชื่นโดยไม่หวานเกินไปนี่แหละครับ