วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique – Encre Noire Sport


Lalique – Encre Noire Sport

เรียกว่าขึ้นหิ้งที่สุดไปแล้วกับรุ่น Encre Noire ของ Lalique ที่บ่งบอกถึงความสุขุม ภูมิฐาน ลึกลับน่าค้นหาราวกับหมึกดำที่ดาร์กและขลัง ซึ่งแน่นอนรุ่นนี้มีการต่อยอดเพราะได้รับความนิยมมาก แต่เป็นเพราะบางคนอาจจะไม่ชอบความดาร์กที่มันมากเกินไป มันเลยมีรุ่นนี้มาตอบสนองความต้องการซึ่งนั่นก็คือ Encre Noire Sport 

สิ่งแรกที่ประทับใจเลยคือ Top Notes ไม่ได้มาแบบดาร์กตั้งแต่ต้นเลย มันมีความสดชื่นของโทนซิตรัสมานำทาง มีกลิ่นลูกจันทน์เทศจางๆ ให้รู้สึกได้ แต่แน่นอนเพราะกลิ่นนี้สิ่งที่ต้องเป็นพระเอกตลอดงานคือ หญ้าแฝก ก็ต้องมาสิ ไม่มีพลาด แต่มาเป็นรองพื้นด้านหลังให้รู้สึกได้ก่อนแบบไม่ได้เด่นอะไรมากนัก เพราะเน้นความสดชื่นมาเต็มให้แตะคำว่า Sport ได้ระดับกำลังดีก่อน เพียงไม่นานกลิ่นอายของไม้หอมก็ได้เริ่มแทรกเข้ามาจนเข้าช่วง Middle Notes โดยจะมีกลิ่นโทนน้ำสะอาดแบบสดชื่นกลั้วไปมาผสมผสานกับซิตรัสจางๆ โดยที่สนไซเปรสจะมาให้ความสดชื่นติดนุ่มเขียว และแน่นอนหญ้าแฝกจะเริ่มเด่นมาด้วยในช่วงนี้ แต่มาแบบแห้งๆ ตัดกับโทนน้ำสะอาด ราวกับจะดูดน้ำกลับไปเรื่อยๆ จนพาเข้าสู่ช่วง Base Notes งานนี้ได้มาสู่ความเป็น Encre Noire ที่มีความดาร์กแบบต้นฉบับแล้ว ที่คงความดีงามคือ กลิ่นอาย Smoky แบบเท่ห์ๆ ของหญ้าแฝกที่เด่นนำลอยขึ้นมาแบบชัดเจนมาก โดยมีกลิ่นอาย กลิ่นแบบหมึกดำผสมผสานกับกลิ่นโทนไม้หอมกลั้ว Musk ที่รองพื้นด้านหลังที่ให้อารมณ์กลิ่นอายกระดาษหอม ซึ่งกลิ่นจะได้อารมณ์แบบกระดาษที่มีการเขียนด้วยน้ำหมึกสวยงามติดแนบแน่น มีความขรึม ขลัง น่าค้นหา นิ่ง เนี้ยบแบบต้นฉบับชัดเจนทุกประการไม่หนีไปไหน เพียงแต่ความอบอุ่นปรับโทนเบาลงมาเป็นอ่อนๆ ไม่ได้เด่นมากก็เท่านั้นเอง 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายๆ กลิ่นคาบเกี่ยวความเป็น Sport อยู่ในระดับกำลังดี แถมแตะความนิ่งขรึมมีระดับสมาร์ทกลั้วน่าค้นหาก็สามารถ จึงครอบคลุมการใส่ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันได้หมด ส่วนยามค่ำคืนอาจจะไม่ได้เด่นเท่าต้นตระกูล แต่ก็ถือว่าใส่ได้แบบทั่วๆ ไปได้สบายๆ ที่สำคัญใครที่คิดว่าตัวต้นตระกูลนั้นเข้มหนักไป ตัวนี้ช่วยได้เพราะเอาซิตรัสมาตัดให้สดชื่นขึ้นไม่ดาร์กจัดๆ กันตั้งแต่เริ่ม เพราะมีเวลาเตรียมใจและรับความงามของกลิ่นอายเท่ห์ๆ ตอนท้ายนั่นเอง 

ความทน ประมาณ 8 ชม. เลย ซึ่งอาจจะน้อยกว่าต้นตระกูลบ้าง แต่ยังดีงามอยู่ ซึ่งถ้าจำนวนสเปรย์พอเหมาะและจุดที่ฉีดที่เอื้อมากพอ กลิ่นจะลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้เลยทีเดียว 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ลดเพดานลงมาเรื่อยๆ จนในช่วงท้ายเป็นการกระจายกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย ผมใช้ตัวนี้มีคนแปลกหน้าชมถึง 3 คนว่าน้ำหอมหอมเท่ห์ดูดีมากจนต้องถามยี่ห้อและรุ่นไปเผื่อซื้อใช้ตาม เป็นผู้ชาย 2 หญิง 1 เรียกว่าภูมิใจที่เราเลือกตัวหญ้าแฝกงามๆ มาใช้แล้วมีคนชม แบบว่าฟินน่ะครับ ฟินมากกกกก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.lalique.com/media/products/large/3246-encre-noire-sport-eau-de-toilette_5.jpg

Review: Dolce & Gabbana - D&G Anthology: L'Amoureux 6

Dolce & Gabbana - D&G Anthology: L'Amoureux 6

มาสู่ไลน์ไพ่ทาโร่ต์ของ Dolce & Gabbana อีกครั้ง ซึ่งมีนายและนางแบบคนสวยหล่อมาถอดเสื้อโป๊ๆ ให้กับน้ำหอมไลน์นี้กันมากมาย ซึ่ง L`Amoureux 6 ก็ได้หนุ่มมาดขรึมเท่ห์หล่ออย่าง Noah Mills เป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งกลิ่นจะออกมาในลักษณะไหนล่ะ ผลก็เป็นเช่นนี้เลย 

ภาพรวมของกลิ่นถือว่าใช้ง่ายเลยทีเดียว เหมือนผู้ชายเท่ห์ๆ มีความสบายๆ ไม่ได้มีความลั่นล้าจนเกินไป และแตะความเป็น Safe Scent ได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะ Top Notes มากับกลิ่นโทน Spicy ของพริกไทยสีชมพูที่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงนัวๆ และหวานเท่าไหร่ เพราะมีโทนแป้งเย็นนวลๆ ของจูนิเปอร์เบอร์รี่และความสดชื่นของมะกรูดมาตัด ทำให้เป็นกลิ่นอายสะอาดติดเครื่องเทศกำลังดี ไม่บาดจมูก มีความสบายในเนื้อกลิ่นสูงเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes กลิ่นโทนเครื่องเทศจะผันตัวลงไปเป็นฉากหลักให้กลิ่นโทนไม้หอลนวลติดหวานออกเขียวเบาๆ ของใบเบิร์ธที่จะมาในแนวๆ อะโรม่าหน่อยๆ จะขึ้นมาเด่นล้อมด้วยกลิ่นสดชื่นแบบติดเครื่องเทศเบาๆ ในตอนต้นที่จะยังตามมา แต่สิ่งหนึ่งที่จับได้คือ กลิ่นโทนหอมเขียวๆ นวลๆ แบบนี้จะมีกลิ่นโทนแป้งรองพื้นอยู่ด้านหลังเบาๆ แบบสบายๆ อยู่เลยทำให้มีความเย้ายวนเบาๆ ไม่ได้โจ่งแจ้งแทรกเป็นระยะ และกลิ่นไม้หอมจะเริ่มดันขึ้นมาทีละนิดนำเข้าสู่ช่วง Base Notes ที่ตอนนี้จะเป็นกลิ่นอายนุ่มๆ สะอาดๆ ติดไม้หอมอ่อนๆ แบบที่เรื่อยๆ สบายๆ แมนๆ โดยที่ยังมีกลิ่นนวลๆ เขียวๆ เบาๆ ให้พอรู้สึกได้หน่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนม.ปลาย ก็ใช้ได้แล้ว เพราะกลิ่นนี้ไม่ได้มีความซับซ้อนมากนัก มีความแมนในตัวแบบติดอะโรม่า กลิ่นเข้าถึงง่าย มหาชนมักชอบได้ไม่ยาก โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวัน ใส่ออกกำลังกายยังพอได้เลย แต่รอช่วงท้ายๆ หน่อยจะดีที่สุด เพราะกลิ่นมาทาง Casual เสียมาก ส่วนยามกลางคืนถ้าทั่วๆ ไปใส่ได้ เหมาะกับอากาศบ้านเรามาก แต่ถ้าไปท่องราตรีหาเหยื่อ ไม่เข้าทางเพราะเบาไป

ความทน อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. ซึ่งสามารถบวกลบได้ประมาณ 1 – 2 ชม. โดยจะอิงจากจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายกลางๆ กำลังดีลากในช่วงต้น และช่วงกลางจะลดเป็นออร่ารอบๆ ตัวผันลงไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย เป็นกลิ่นที่ปลอดภัยในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งมีความแมนแบบนวลๆ สบายๆ เรียกว่าถ้าอยากหากลิ่น Safe ของ D&G นอกจาก Light Blue แล้ว ตัวนี้เข้าข่ายเลยทีเดียวครับ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.osmoz.com/Public/Files/perfume/image_fragrance_l_amoureux_c778d28ad0.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

Review: PRYN PARFUM – Amalfi

PRYN PARFUM – Amalfi 

ถ้าพูดถึงน้ำหอมสดชื่น เวลาเราตัว Notes กลิ่นอะไรก็ตามที่มีคำว่า Amalfi (ชื่อเมืองหนึ่งของอิตาลี) นำหน้าส้มหรือเลมอน แทบจะทำให้มั่นใจได้ว่ากลิ่นต้องสดชื่นแบบซิตรัสวันฟ้าใสและใช้ง่าย เมื่อเห็นแบรนด์ไทยอย่าง PRYN ได้ปล่อยรุ่น Amalfi มา มันน่าสนใจมากจริงๆ ที่จะได้ลองว่าน้ำหอมจะออกมาเป็นอย่างไร ปรากฏว่า 

Amalfi มาแบบเหนือเมฆกว่าที่คิดไว้มาก เพราะว่าไม่ได้มาในโทนซิตรัสสดใสแบบพิมพ์นิยมเลย มีความเป็นกลิ่นอายที่ Unique และมีความเป็น Niche Perfume สูงมากเลยทีเดียว เพราะเปิดต้นกลิ่นกับช่วงแรกที่กลิ่นจะมาแบบโทนซิตรัสแบบค้างในจมูกสดชื่นมากก็จริง แต่แปลกที่ไม่มีความคมเลย เพราะมีความสดใสแบบติดหวานกลั้วเค็มๆ หน่อยๆ ซึ่งสิ่งที่จับได้คือ กลิ่นของเลมอนผสมผสานกับมะกรูด มีโทนสมุนไพรติดโทนเขียวให้รู้สึกได้ เย้าไปกับกับเกลือ ได้อารมณ์แบบสวนผลไม้แซมด้วยสมุนไพรริมทะเล ซึ่งพอเข้าช่วงกลางกลิ่นอายของโทนดอกไม้เริ่มจะเด่นขึ้นมาโดยเฉพาะกลิ่นดอกส้ม มีความนวลของกุหลาบที่หอมแบบผู้สนับสนุนชั้นดี มีความเขียวของสมุนไพรให้รู้สึกได้ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นซิตรัสนวลๆ ในตอนต้นยังตามมาอยู่ในช่วงนี้ โดยเฉพาะกลิ่นเค็มๆ ของเกลือที่แบบว่ายังอยู่ให้ความรู้สึกบรรยากาศแบบลมทะเล ผสมผสานกันออกมาเป็นกลิ่นนวลๆ ที่สดชื่นไม่เหมือนใครเลยทีเดียว และจะมีโทนเขียวสดชื่นกับกลิ่นไม้หอมจางๆ เข้ามาแทรกจนเข้าสู่ช่วงท้ายที่ชัดเจนเลยว่าเป็นกลิ่นอายแบบบรรยากาศริมทะเลแบบอิตาลีมากมาย เพราะกลิ่นเขียวๆ ที่แทรกซึมมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ จะชัดขึ้นมาเลยคือ Moss กลั้วด้วยพิมเสนเบาๆ ลอยอยู่ด้านบน แต่กลิ่นจะรองพื้นด้วยความเป็น Ambergris หรืออำพันทองจากปลาวาฬ จะมีความเค็มหน่อยๆ แบบกลิ่นอายผิวกายต้องไอลมทะเล ให้อารมณ์นวลสบายๆ ชิลล์ๆ แบบหรูหราไปตลอดและไม่ธรรมดาเหมือนพักผ่อนรีสอร์ทงามๆ ริมทะเลเมือง Amalfi ในเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงขาสั้นเดินเล่นในสวนผลไม้ก่อนจะลงริมหาดเดินโต้แสงแดดรับกลิ่นอายทะเลที่สดชื่น แบบนี้เลย 

เหมาะสำหรับ กลิ่นนี้ตีเอาไว้ว่า Unisex แต่เอาเข้าจริงมีความเป็นผู้ชายอยู่ที่ 65-70% เลย เพราะช่วงเบสกลิ่นติดแมนๆ พอสมควร ซึ่งจะเหมาะกับวัยมหาลัยขึ้นไป และอาจจะผ่านน้ำหอมกลิ่นอายแบบทะเลกลั้วซิตรัสมาบ้าง หรือถ้าผ่านน้ำหอม Niche โทนสดชื่นแบบแตกต่างจากสดชื่นทั่วๆ ไปจะเข้าถึงตัวนี้ได้ชัดเจนจริงๆ โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ตอนกลางวันแบบไม่ทางการมากเกินไป เพราะกลิ่นมันชิลล์หรู อาจจะดูสบายไปถ้าใส่กับงานทางการจัดๆ หรือใส่กับวันพักผ่อนสบายๆ ได้เลย กลิ่นเสริมความหรูแบบซิตรัสริมชายหาดได้งามจริงๆ ส่วนออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า นอกจากนี้ยามค่ำคืนแบบพักผ่อนทั่วๆ ไปใส่ได้สบายๆ แต่ถ้าไปเที่ยวเต้นเด้งหน้าเด้งหลังถือแก้วเหล้า กลิ่นไม่เข้าทางเท่าไหร่ อ้อ ที่สำคัญกลิ่นนี้อิงเคมีเฉพาะบุคคลอยู่ในระดับหนึ่งที่จะทำให้รู้สึกชอบหรือไม่ชอบได้ด้วยส่วนหนึ่ง 

ความทน มากกกกกกกก คือ ดีใจ น้ำตาจะไหล เพราะกลิ่นนี้เป็นน้ำหอมกลิ่นโทนสดชื่นที่ทนมาก ใส่ตอนเข้า 8 โมง 4 ทุ่มยังรับรู้ถึงการมีของกลิ่นได้อยู่ ของเขาดีจริงๆ ยกนิ้วให้เลย 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าทั้งห้องที่ฉีดจะมีกลิ่นนี้คงค้างอยู่ได้เลย ก่อนที่จะลดระกับลงมาเป็นกระจายดีในช่วงกลางลากยาวไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงช่วงท้ายๆ จะลดหลั่นลงมาเป็นกระจายกลางๆ และออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย เรียกว่าหักเหลี่ยมโหดทางความคิดผมเต็มๆ แต่ไม่ใช่ในทางไม่ดี เพราะกลับกลายเป็นว่าผมเจอกลิ่นซิตรัสในอีกรูปแบบที่หรูหรา สบายๆ และมีความแตกต่างจากขนบพิมพ์นิยมแบบที่เราไม่ค่อยได้เจอในน้ำหอมโทนนี้นัก มันงามก็ตรงนี้แหละ ^^

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - https://www.facebook.com/prynparfum/photos/a.487978928073390.1073741829.482029525334997/499306350273981/?type=3&size=800%2C800&fbid=499306350273981

Review: Pierre Balmain – Balmain Homme


Pierre Balmain – Balmain Homme

ถ้าพูดถึง Pierre Balmain แฟชั่นแบรนด์นี้ไม่เป็นสองรองใครมาเสมอ แถมนานๆ ทีแบรนด์นี้จะออกน้ำหอมผู้ชายออกมาด้วยนะนั่น เช่นนั้นสบโอกาสได้จัดเต็มกับน้ำหอมผู้ชายรุ่นล่าสุด เลยต้องมาบอกเล่ากันเลยว่าเป็นอย่างไรกันบ้างกับ Balmain Homme 

Top Notes เรียกว่าน่าสนใจมากในแง่ของการถ่ายทอดกลิ่นของหญ้าฝรั่น (Saffron) ที่ขมอมหวาน พอมาเจอโทนซิตรัสเข้าไปกลิ่นจะออกสดชื่นแกมนัวๆ แกล้มด้วยกลิ่นลูกจันทน์เทศที่จับได้ถึงความเป็นเครื่องเทศติดโทนหวาน ตอนแรกนึกว่าจะมาแน่นๆ แต่เพราะกลิ่นโทนเขียวนวลโปร่งของใบไวโอเล็ตที่เริ่มเข้ามาเทคโอเวอร์เลยทำให้เข้าสู่ Middle Notes แบบนำพากันไปทั้งหมด โดยที่กลิ่นโทนซิตรัสจะบางลงไปให้โทนเขียวนวลๆ เด่นนำขึ้นมา แต่สิ่งที่ตีคู่มาด้วยคือกลิ่นโทนหนังที่มาแบบนุ่มๆ ไม่มีกลิ่นสาปดิบ เป็นเพราะความเขียวมันตัดโทนอย่างลงตัวด้วย สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ หญ้าฝรั่นที่ตามมาจากช่วงแรกจะมาเสริมกลิ่นหนังให้ออกโทนหวาน กลิ่นในช่วงนี้ถือว่าเป็นการเกลี่ยโทนกลิ่นได้ลงตัวมาจะได้ทั้งความเขียวนวลๆ ติดหวานกลั้วนุ่มนวลแบบแมนๆ กำลังดีเลย โดยจะเริ่มมีโทนครีมมี่นุ่มๆ มากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วง Base Notes ที่เปิดเผยเป็นโทนอบอุ่นของถั่วตองก้ากับความครีมมี่ที่มาผสมผสานกับกลิ่นโทนหวานนุ่มที่ยังตามมาอยู่ในช่วงนี้กลิ่นจะอบอุ่นนวลๆ ไปเรื่อยๆ โดยจะมีกลิ่นไม้หอมติดขรึม Smoky เบาๆ ของไม้ซีดาร์ประปรายให้มีความแมนในเนื้อกลิ่นอย่างชัดเจน ภาพรวมจึงเหมือนลักษณะกลิ่นอายผู้ชายเท่ห์ๆ ที่มีความอบอุ่นดึงดูดในตัว และมีความสบายๆ แมนๆ ตีคู่กันไปด้วยยามที่เห็นและได้กลิ่น 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาวิทยาลัยขึ้นไปสามารถจัดได้สบายๆ เพราะถือเป็นกลิ่นที่ Balmain เริ่มขยายเข้ามาสู่ในหลายๆ ช่วงวัยให้ครอบคลุมมากขึ้นแล้ว กลิ่นมีเอกลักษณ์มากพอที่จะสื่อถึงความมีสไตล์ของตัวเอง โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะงานทางการหรือไม่ทางการ ได้เกือบหมด แต่ขอยกเว้นใส่ไปออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน จัดตัวนี้ได้อยู่ เรียกว่าเป็นตัว Safe ที่ใส่ไปเที่ยวกลางคืน หรือออกงานก็ไม่ทำให้โดนกลบ แต่ต้องอัดสเปรย์เพิ่มหน่อยเท่านั้นเอง 

ความทน มาในความเป็น Balmain เช่นนั้นไม่มีคำว่าเสียชื่อกับความทนประมาณ 8 ชม. ซึ่งอาจจะบวกลบไปบ้างอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวอบอุ่นในช่วงท้ายก่อนจะลดลงไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป 

ทิ้งท้าย เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่เป็นตัวเปิดทางเข้าสู่การใช้น้ำหอมโทนอบอุ่น มีติดเขียวหอมนวลดึงดูดแบบโปร่งๆ และมีโทนหนังนุ่มๆ ที่ใช้ได้ง่ายสไตล์เท่ห์ๆ ได้ดีเลยล่ะครับ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.sydneymensstyle.com/wp-content/uploads/2015/09/balmain.jpeg.png

Review: M. Micallef - Emir

M. Micallef - Emir 

สำหรับแบรนด์นี้สิ่งหนึ่งที่ต้องยกให้เขาเลยคือขวด เพราะ M. Micallef จะขวดงามงดอย่างมากจริงๆ ที่สำคัญถ้าเป็นไลน์ Exclusif Collection ด้วยแทบไม่ต้องคุย เพราะว่าจะประดับประดาไปด้วยคริสตัลของ Swarovski เรียกว่าไม่ต้องเอาน้ำหอมได้ขวดก็คุ้มแล้ว ซึ่งหนึ่งในรุ่นที่อยู่ใน Collection พิเศษที่จะมาบอกเล่าว่ากลิ่นเป็นยังไงนั้น ก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว นั่นคือ Emir
 

ต้องบอกกันเลยว่ากลิ่นนี้ไม่ได้มาในโทนพิมพ์นิยมแน่นอนและคนที่จะปลื้มกลิ่นแนวๆ นี้ต้องผ่านกลิ่นกฤษณาหรือ Oud มาพอสมควรเลยทีเดียว เพราะกลิ่นนี้จะผสมผสานอยู่ในทุกๆ ช่วงของน้ำหอมเลย โดยเริ่มที่ Top Notes ที่จะมากับโทนซิตรัสมาก่อนกับความเป็นส้มผสมเกรฟฟรุต แต่เพราะว่ามีกลิ่นอายของเครื่องเทศและ Oud ที่เป็นตัวหลักรองพื้นด้านหลัง ซิตรัสช่วงนี้เลยจะนัวๆ นวลๆ แบบที่คนไม่คุ้นชินได้กลิ่นอาจจะผงะไปเลย เพียงไม่นานกลิ่นเครื่องเทศก็นำเข้าสู่ความเด่นเด้งของ Middle Notes ชัดเจนกันเต็มๆ ที่กลิ่นของพริกไทยที่ล้อมไปด้วยกลิ่นอายสดไม้ติดโทนกุหลาบกลั้วมะนาวของเจอเรเนียม ทำให้กลิ่นช่วงนี้มีความสดชื่นติดเครื่องเทศลอยอยู่ข้างบน แต่ด้านหลังที่เป็นตัวสนับสนุนอย่าง Oud นี่แหละที่ทำให้กลิ่นอายเข้าสู่ความเป็นตะวันออกกลางแบบหรูหรากำลังดี โดยคงความเป็นกลิ่นอายเข้มข้นนวลๆ นัวๆ แน่นๆ ชัดเจนแบบไม้หอมที่กำลังโดยเผาจนเกิดควันไอ กลิ่นตีคู่ไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วง Base Notes จะเริ่มเข้มขึ้นมาตามลำดับอารมณ์ที่ได้จะเริ่มเข้าสู่กลิ่นอายของควันไม้ที่มาจากการเผาไม้กฤษณากลิ่นจะมาแบบเต็มๆ มีกลิ่นของพิมเสนที่ให้โทนคลาสสิคติดเขียวนวลเย้าและ Musk ที่มานุ่มๆ ที่มาตัดทอนกลิ่นอายที่เป็นควันไอให้ไม่หนัก แต่อ้อยอิ่งแบบมีระดับ กลิ่นอายมีความหรูกำลังดีแบบติดโทนตะวันออกกลางอย่างชัดเจน กลิ่นมีความแห้งๆ ผสมผสานไปด้วยไอ้บรรยากาศหรูๆ ราวกับช่วงหัวค่ำของรีสอร์ทหรูริมทะเลทรายกับและกลิ่นอายที่เป็น Signature ของความเป็นตะวันออกกลางที่ลอยอ้อยอิ่งมากระทบโสตประสาทอย่างชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายเต็มๆ แม้ Oud จะเป็น Unisex ก็จริง แต่กลิ่นนี้แมนเต็มๆ เพราะโทนเครื่องเทศที่เข้ามาผสมผสานเสียมาก ซึ่งเหมาะกับคนที่ผ่านน้ำหอมโทนกฤษณามาแล้วพอสมควรเลยทีเดียว แม้กลิ่นจะไม่ได้มาแบบแน่นอวลจัดหนัก แต่ก็จัดมากพอให้รู้ว่า "#พี่ไม่ได้มาเล่นๆ" ซึ่งสามารถใส่ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ ได้ทั้งงานทางการและทั่วๆ ไป งดเด็ดขาดในการสั่งออกกลางแจ้ง และออกกำลังกายทุกประเภท เรียกว่ากลิ่นนี้ฆ่าจริงๆ นะ ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ได้แต่ก็บังคับจำนวนสเปรย์หน่อย เพราะไม่งั้นมันจะเกินคำว่าหรูและเย้ายวนเซ็กซี่เอาได้

ความทน - มากกกกกกก คือ ทนจัดจริงๆ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ตัวตีขึ้นไม่ยั้ง

การกระจาย - เรียกมามาเต็มมาหนักและกระจา่ยดีมากในช่วงต้น และลดลงมาเป็นกระจายดีคงตัวยาวนานเป็นบาเรียรอบๆ ตัวเป็นเมตรได้เลยจนถึงช่วงกลางๆ ของตอนท้าย ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าตอนใช้ไม่คาดหวังนักว่ากลิ่นจะออกมารูปไหน แต่พอใช้จริงถึงได้รู้ว่า กลิ่นมันดูโปร่งก็จริงแต่หนักไม่น้อยในความเป็น Oud ที่มีระดับและมีคลาสมากจริงๆ เช่นนั้นใครรัก Oud บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งตัวที่มีโอกาสควรได้ลองครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.mmicallef.com/img/pages/exclusifs/emir.jpg



วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

Review: Yves Rocher - Quelques Notes d’Amour

Yves Rocher - Quelques Notes d’Amour

เมื่อเห็นขวดครั้งแรกกับการเดินดมน้ำหอมตามประสาใน Shop ของ Yves Rocher ถึงกับต้องหยิบมาดู เพราะขวดสวยเชียว และแน่นอนความอยากลองก็บังเกิดเต็มๆ ว่ารุ่นนี้ จะออกมาแบบไหน เช่นนั้นได้มาก็จัดไปกับ Quelques Notes d’Amour จนหนำใจ ผลออกมาก็คือ 

เปิดตัว Top Notes ที่กลิ่นซิตรัสติดโทนซ่าๆ แกล้มหวานๆ ของพริกไทยสีชมพู พุ่งขึ้นมาแบบคมๆ ติดบาดเล็กๆ กลิ่นช่วงนี้จะแหลมนิดนึง แต่เพียงไม่นานกลิ่นกุหลาบและพิมเสนจะดันขึ้นมาดึงเข้าสู่ Middle Notes กันไวหน่อย เพราะกลิ่นโทนซ่าๆ จะมีกลิ่นติดโทนเขียวนวลๆ ของพิมเสนชัดเจน โดนจะดันความหอมนวลของกุหลาบให้เด่นขึ้นมาจนเป็นกุหลาบกลั้วความหวานติดเครื่องเทศแบบไม่หนัก และมีพิมเสนล้อมให้กลิ่นอายมีเสน่ห์กำลังดีไปตลอด กลิ่นในช่วงนี้มีความโรแมนติคกำลังดีจากความเป็นกุหลาบโดยจะมีกลิ่นไม้หอมรองพื้นด้านหลังและจะค่อยๆ ดันขึ้นมาจนชัดเจนนำไปสู่ Base Notes ที่เป็นกลิ่นอายแบบไม้หอมนวลๆ มีเสน่ห์กับโทนขรึมๆ มีกำยานมาแบบอ่อนๆ ให้มีความเย้ายวนติดอบอุ่นกำลังดี ซึ่งอิทธิพลของกุหลาบติดพิมเสนยังอยู่แบบความรู้สึกหอมสบายๆ น่าอยู่ใกล้ ภาพรวมกลิ่นในช่วงนี้เลยจะออกทางนุ่มนวลโปร่งจมูกมีความโรแมนติคในเนื้อกลิ่นสูงมากแบบไม่ต้องมาในโทนหวานเย้า แค่มาในโทนเย็นใจก็ดึงดูดให้อยากเข้าใกล้ได้ไม่ต่างนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ ตราไว้ว่าเป็นน้ำหอมของสาวๆ แต่เอาเข้าจริงกลิ่นนี้ Unisex พอตัวเลยทีเดียว เพราะความเป็นกุหลาบกับพิมเสน และไม้หอมนี่แหละ ที่เรียกว่าอยู่กึ่งกลางของเพศที่เข้าถึงได้หมด เช่นนั้นผู้ชายเองก็ใส่ได้ เพราะผ่านช่วงต้นไปที่เหลือจะพัฒนาเข้าสู่ความเป็น Unisex มาเรื่อยๆ จนเต็มที่ในช่วงท้าย โดยสามารถเข้าทางวัยทำงานกันเต็มๆ กับน้ำหอมกลิ่นนี้ กลิ่นเสริมความโรแมนติคและวางตัวดีได้มากเลย และใส่ได้หมดทั้งงานทางการกับทั่วๆ ไป แต่ขอยกเว้นการใส่เพื่อออกกำลังกาย เพราะกลิ่นไม่เข้าทาง รวมถึงการใส่เพื่อล่าเหยื่อยามค่ำคืน เพราะกลิ่นมันออกทางน่าทะนุถนอม โรแมนซ์ และมีความสุขุมกำลังดีนั่นเอง ยกเว้นใส่ไปงานแต่ง หรือดินเนอร์กับแฟนนะ แหม กลิ่นเข้าทางเต็มๆ บอกเลย 

ความทน กลิ่นทนน่าสนใจมาก กับ 8 ชม. เป็นค่าเฉลี่ย ซึ่งถ้าสเปรย์ดีๆ ลากยาวไปที่ 12 ชม. ก็ยังได้เลย 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากลางๆ ที่จะลากยาวไปถึงช่วงท้ายๆ พอปลายๆ ผ่านไปเกิน 8 ชม. จะค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัวและติดผิวในเวลาที่ผ่านไ

ทิ้งท้าย ผมประทับใจกลิ่นนี้มากเลยกับการเป็นกุหลาบ ไม้หอม และพิมเสนที่มาแบบโรแมนติค ที่สำคัญช่วงท้ายที่ให้อารมณ์ไม้หอมโปร่งจมูกกลั้วความโรแมนติคมันถูกจริตไม่น้อยเลย จะได้ดูน่าเข้าใกล้กับเขาบ้าง แค่คิดก็ฟินแล้วววว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://2.bp.blogspot.com/-QsgeaxDDJk8/VARgVnV0YGI/AAAAAAAAPWE/3pe8FdAd_xo/s1600/Yves%2BRocher%2BQuelques%2BNotes%2Bd%2BAmour.jpg

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

Review: Calvin Klein – CK2


Calvin Klein – CK2

เมื่อ CK One ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานและไม่มีทีท่าว่าจะได้หยุดหย่อนมาตั้งแต่ปี 1994 จนถึงปัจจุบัน เรียกว่าเป็นการเปิดศักราชน้ำหอมสดชื่นแบบไม่ยึดติดกับกลิ่นอายแบบเก่าๆ เลยที่สำคัญลูกหลานออกมาตั้งมากมายก่ายกองเสียด้วย และแล้วการต่อยอดก็ได้บังเกิดหลังจากผ่านมา 21 ปี จาก CK One มาสู่ CK2 ที่ปล่อยออกมาเมื่อต้นปี 2016 ที่ผ่านมา แล้วกลิ่นล่ะ? 

เอาจริงๆ กลิ่นไม่ได้ซับซ้อน มาลักษณะแนวเดียวกับ CK One เลย เพราะว่าจะมาในโทนสดชื่นใกล้ๆ กัน เพียงแต่ว่ามีความแตกต่างแน่นอน เพราะ Top Notesเปิดตัวมากับกลิ่นอายซิตรัสใกล้ CK One ก็จริงแต่มีความเขียวนวลและติด Fresh Spicy อมหวานมากกว่า เพราะมีกลิ่นของวาซาบิกับใบไวโอเล็ตจะมาให้ความเขียว 2 สถานะอย่างชัดเจน คือ เหง้าวาซาบิให้กลิ่นเขียวสดชื่นติดเฝื่อนปร่าอมฉ่ำๆ ส่วนใบไวโอเล็ตให้กลิ่นเขียวออกทางหวานโปร่งจมูก กลิ่นในช่วงนี้เลยจะออกสดชื่นติดนวลๆ เสียมาก ไม่ได้สดชื่นติดคมๆ แบบ CK One พอเข้าช่วง Middle Notes ที่จะมากับกลิ่นอายยืนพื้นกับโทนติดแป้งนวลๆ ก็จริง แต่กลิ่นของหินกลมๆ ก้อนๆ สวยๆ ริมทะเลหรือหินประดับก้อนกลมๆ รีๆ จะมาชัดเจนพอสมควร (กลิ่นจะออกทางติดกลิ่นทะเลจางๆ ผสมกับกลิ่นแห้งๆ ของก้อนหิน) ซึ่งจะมีกลิ่นอายนวลๆ ของดอกไม้ให้พอรู้สึกได้ ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นจะมาผสมผสานกับช่วงนี้อยู่ไม่น้อย วูบของกลิ่นที่ตีขึ้นเลยจะออกทางคล้ายๆ น้ำสะอาดในห้องปฏิบัติการ ที่จะติดหวานหน่อยๆ ซึ่งช่วงนี้จะพอรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอาย Smoky จางๆ อยู่ข้างใน จนเมื่อเข้าช่วง Base Notes เลยชัดเจนกันซึ่งๆ ว่ากลิ่นช่วงนี้จะมีความเป็Woody กันอย่างชัดเจนเพราะกลิ่นสะอาดนวลๆ ของไม้จันทน์หอมจะเด่นขึ้นมา ให้ความรู้สึกสะอาดนวลๆ กลิ่นอาย Smoky ติดฉ่ำที่ยังมีความสดชื่นอยู่ของหญ้าแฝกจะเด่นขึ้นมาได้อารมณ์แบบกลิ่นอากาศสะอาดๆ ติดหวานจางๆ นวลๆ ไปตลอด ซึ่งภาพรวม ต่างจาก CK One แน่นอนและชัดเจน และมาในลักษณะที่เป็นแบบโทนสดชื่นออกนวลๆ ติดหวานนิดๆ ถือว่าต่อยอดออกมาได้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

เหมาะสำหรับ – Unisex เลย กลิ่นเข้าได้กับทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ก็สามารถแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ายังคงความเข้าถึงง่ายในแบบลักษณะเดียวกับ CK One และยังเป็นขนบแบบกลิ่นพิมพ์นิยมได้อยู่ในลักษณะกลิ่นสดชื่น ซึ่งสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งอากาศบ้านเรามันเข้าทางมากมาย มัน Play Safe ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนถ้าทั่วๆ ไปหรือแบบชิลล์ๆ จัดไปได้เลย แต่ถ้าใส่ไปเที่ยวกลางคืนชนแก้วและเต้นลืมตายมองข้ามไปหาตัวอื่นที่เร้าใจน่าจะดีกว่า 

ความทน ต้องบอกว่ามันน่าสนใจกว่า CK One ก็ตรงนี้ เพราะกลิ่นทนกว่า ด้วยความเป็นพื้นฐานของไม้หอม โดยเฉลี่ยกลิ่นจะทนที่ประมา6 ชม. และสามารถลากยาวไปได้มากกว่านั้นถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม โดยส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. บนผิวและเสื้อผ้า

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น เรียกว่ากลิ่นออกสดชื่นนวลๆ ติดเขียวเด้งเข้าจมูกกันเลยทีเดียว แล้วจะลดลงมากระจายแบบกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ปิดท้ายด้วย Skin Scent ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย ถ้าเทียบกันกับ CK One ความคลาสสิคของ CK2 ยังไม่ถึงขั้นนั้น ออกแนวเป็นได้แค่เงาความนิยมจากของเก่าที่ยังคงเด่นไม่หายไปไหน แต่ถ้าเทียบเรื่องกลิ่นแบบช็อตต่อช็อตต้องบอกว่า CK2 ฉีกออกมาได้น่าสนใจในลักษณะที่ดึงความดีงามของต้นตระกูลมาเป็นลักษณะของตัวเองอย่างเอกเทศได้ เรียกว่าถ้าไม่อยากเกร่อกับ CK One เช่นนั้น CK2 จะมาช่วยท่านเอง ประมาณนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://media.details.com/photos/5655ff2f0cd6f0af0912bab2/master/w_768/ck2-ad-campaign_ph_ryan-mcginley-02.jpg

Review: Loewe – Gala


Loewe – Gala 

แน่นอนว่าพูดถึง Loewe แบรนด์ดังจากสเปน ส่วนใหญ่น้ำหอมที่ได้ลองใช้จะมาในโทนสดชื่นเป็นหลักมาตลอดเลย และเป็นน้ำหอมผู้ชายเสียด้วย แต่ได้มีโอกาสได้ลองน้ำหอมผู้หญิงของแบรนด์นี้ที่เรียกว่ามาในโทนที่เข้าทางวินเทจ เลยต้องมาบอกเล่ากันเสียหน่อยว่าเป็นยังไงบ้างกับรุ่นนี้เลย Gala 

ตอนแรกที่ยังไม่ได้ใช้ ไปแอบดู Notes กลิ่นก่อนว่าจะเป็นยังไง ก็แอบใจสั่นและหวั่นๆ ไม่น้อยเพราะกลิ่นโทน Animalic จะเด่นมากจากการเป็นชะมดเช็ด และ Castoreum (กลิ่นต่อมเพศของบีเวอร์) แถมยังมี Aldehydes อีก แต่พอได้ลองเท่านั้นแหละ มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยเพราะ Top Notes มากับกลิ่นโทน Aldehydes แบบสบู่สดชื่นสะอาดโปร่งจัดๆ ก็จริง แถมกลั้วไปด้วยกลิ่นโทนเขียวและซิตรัสที่มาประชุมพลกันด้วย แต่เพราะว่าการรองพื้นหลังด้วยโทน Animalic หรือสาปปลุกเร้ามันก็เด่น เลยตัดทอนกลิ่นคมๆ ลงไปได้เป็นกลิ่นที่ออกทาง Old School แต่ออกทางไม่หนักหน่วงมาก ที่สำคัญเพราะอิทธิพลของช่วMiddle Notes มันขึ้นมาไวมากด้วย โทนดอกไม้นานาพันธุ์ในช่วงนี้เลยทำให้กลิ่นออกโทนนุ่ม ขรึม ขลังแบบมีระดับเด่นที่มะลิ กระดังงา กับคาร์เนชั่นที่ติดเขียวๆ หน่อย แน่นอนมีความเป็น Old School ก็จริง แต่กลิ่นช่วงนี้มีความร่วมสมัยพอสมควร เพราะลักษณะเหมือนการเดินคู่ขนานไปกับกลิ่นอายแบบ Old School ที่ Aldehydes และ Animalic เด่น แต่ก็เยียบฝั่ง Floral ที่มานวลๆ แบบมีระดับแบบติดกลิ่นอายทันสมัยไม่ได้ขนมาแบบแน่นหนา มีความบางเบาแต่คงตัวอยู่ได้งามเลยทีเดียว ซึ่งจะเริ่มมีโทนอบอุ่นแฝงขึ้นมาทีละน้อย จนเข้าสู่ Base Notes ที่กลิ่นอาย Animalic จะเด่นกลั้วความอบอุ่นติดโทนนุ่มๆ ซึ่งกลิ่นของชะมดเช็ดและ Castoreum จะกลายเป็นโดยเหลาจนนุ่มไปเลย กลิ่นสาปแบบปลุกเร้าจึงกลายเป็นกลิ่นนุ่มนวลแบบไม่น่าเชื่อ เพราะกลิ่นไม้จันทน์หอม พิมเสน โทนดอกไม้ในช่วงกลาง และวานิลลาจะตัดทอนความสาปออกไปจนกลายเป็นกลิ่นนุ่มๆ มีภูมิไปเลย ซึ่งภาพรวมเลยเป็นกลิ่นที่บอกถึงผู้หญิงนิ่งๆ ขรึมๆ แต่งชุดสุภาพแต่มีระดับหรูหราแบบออร่ามันออกมาเองโดยไม่ต้องพยายาม จนทำให้เราต้องมองและแอบยำเกรงกึ่งชื่นชมในออร่าที่ผู้หญิงคนนี้มีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นให้ความรู้สึกภูมิฐาน มีของ และมีระดับมากพอที่ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกถึงออร่าแบบผู้หญิงร่วมสมัยที่เก่งและเก๋ไก๋ไม่หยอก สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบงานทางการและทั่วๆ ไปแบบมีระดับหน่อย ไม่ใช่ใส่กับกระโจมอกตำน้ำพริก หรือไปวิ่งไล่จับจะเอ๋กับใครแถวไหน ออกกำลังกายข้ามไปได้เลย ไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนออกงานราษฎร์งานหลวงได้หมด กลิ่นเอาอยู่ แต่ถ้าไปเที่ยวท่องราตรี เน้นแบบเริ่ดๆ เชิดๆ ไม่ได้มาหาผู้ชายนะ แต่ถ้าผู้ชายเข้ามาเองอันนี้ก็ช่วยไม่ได้ (ทำท่าก็ไม่รู้สินะ)

ความทน ยกนิ้วให้เลยเพราะ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้น 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น เรียกว่ามาแบบลงตัวและงามเลยทีเดียว และลดลงมากระจายปานกลางคงตัวไปถึงช่วงท้ายๆ ก่อนจะค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วจางไปตามกาลเวลา 

ทิ้งท้าย ผมไม่นึกว่าผมจะเจอน้ำหอมที่กลิ่น Animalic นุ่มได้มากขนาดนี้ ตะลึงตึ้งตึงไม่พอ ยังทำให้ประทับใจมากเลยทีเดียวล่ะครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://tienda.murlana.es/myfiles/gala_Loewe.jpg

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

Review: by Kilian – Straight to Heaven: White Crystal

by Kilian – Straight to Heaven: White Crystal 

เพราะชื่อรุ่นว่า Straight to Heaven: White Crystal เลยทำให้อยากรู้และอยากลองมากมายเลยว่าน้ำหอมตัวนี้ของby Kilian จะออกมาในลักษณะแบบไหน กลิ่นจะทำให้เรารู้สึกราวกับเดินสู่สรวงสวรรค์หรือเปล่า เลยต้องขอมจัดเต็มกันเน้นๆ ผลออกมาคือ 

ตอนแรกจินตนาการบรรเจิดว่ากลิ่นจะต้องล้ำลึกและต้องศึกษากันพอสมควร แต่เอาเข้าจริง กลิ่นถือว่าเข้าถึงง่ายเลยทีเดียว และเป็นโทนกลิ่นที่หอมแบบมีมิติและชั้นเชิงคาบเกี่ยวความเป็นน้ำหอม Niche ที่มีความล้ำลึกและมีความใช้ง่ายในระดับหนึ่งเลย โดยที่กลิ่นของตัวนี้จะเหมือนมีกลิ่นหลักเป็นตัวกลาง ล้อมด้วยกลิ่นรองเป็นชั้นๆ ลงมา ก่อนที่จะมีกลิ่นอื่นๆ เข้ามาแจมแล้วหายไปตามลักษณะของลำดับขั้นของน้ำหอม โดยที่กลิ่นหลักที่กล่าวไว้ คือ ไม้ซีดาร์กับพิมเสน ซึ่ง 2 กลิ่นนี้จะอยู่ยงคงกะพันตั้งแต่ช่วงแรกยันช่วงสุดท้ายของน้ำหอมเลย โดยเปิดต้นทางที่ความเป็นไม้ซีดาร์ที่ไม่ได้เด่นมากนัก ให้พิมเสนเด่นแบบชัดเจนโดยมีกลิ่นเหล้ารัมและผลไม้แห้งที่เป็นตัวสนับสนุน กลิ่นจะมาแบบแห้งๆ ติดเขียวที่เด่นแบบไม่กลิ่นสาบใดๆ ของพิมเสนมาให้ตกใจ มาให้โทนสบายจมูกแม้จะมีความแน่นอยู่ก็ตาม ก็จะรองพื้นด้านหลังมีความแบบกรุ้มกริ่มจากรัมและผลไม้แห้งให้รู้สึกได้ จนเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นอายของพิมเสนจะเบาลงมาตีคู่กับไม้ซีดาร์ที่จะหอมแนวๆ ไม้สะอาดๆ ขรึมๆ โดยรัมยังตามมาเป็นโทนรอง ให้โทนสว่างแต่ไม่ใสออกทางกรุ้มกริ่มแบบมีระดับอยู่ โดยจะมีกลิ่นเครื่องเทศติดหวานแกล้มกลิ่นอายเย็นๆ ของลูกจันทน์เทศ และกลิ่นโทนดอกไม้อ่อนๆ สีขาวมาเป็นตัวสนับสนุน จะมีความหวานจางๆ ให้รู้สึกได้ เมื่อโทนอบอุ่นเริ่มเข้ามาแทรกๆ แบบเบาๆ เข้ามาเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ช่วงท้าย กลิ่นพิมเสนจะเบาลงไปให้ไม้ซีดาร์เด่นนำ ล้อมไปด้วยกลิ่นนุ่มสะอาดออกโทนขาวของ Musk และมีความเป็นแป้งอบอุ่นของวานิลลาแบบสบายๆ ไปตลอด ภาพรวมจึงออกทางน้ำหอมโทนขาวสว่างๆ มีความใสเข้ามาผสมผสานแบบประปรายกลั้วไปด้วยความกรุ้มกริ่มที่ไม่ได้ออกนอกหน้าจนเกินไปนัก จนเป็นกึ่งกลางของความเป็น Niche และความเข้าถึงได้ง่าย จึงไม่แปลกใจเลยที่รุ่นนี้คนชอบกันมากและขายดีเป็นลำดับต้นๆ ของ by Kilian 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ยิ่งถ้าใครมีพื้นฐานที่ชอบกลิ่นไม้ซีดาร์และพิมเสนเป็นทุนเดิมจะปลื้มตัวนี้ได้ไม่ยากเลย เพราะ 2 กลิ่นนี้เด่นจริง ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันทั้งงานทางการและทั่วๆ ไป ที่ไม่ใช่ใส่ใส่ผ้าขาวม้าเสื้อกล้ามนั่งก๊งเหล้าคีบหมูกระทะ ถ้าจะออกกำลังกายแนะนำรอช่วงท้ายจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนจัดไปกับงานหรู ออกงาน ใส่ได้สบายๆ แต่ถ้าไปเที่ยวเมาแอ๋ อาจจะไม่เหมาะนัก

ความทน กลิ่นนี้แปลก ตรงที่ความทนวัดยากพอสมควร แต่โดนเฉลี่ยคือ 8 ชม. สบายๆ แต่อาจจะทำให้คนใส่ชินกลิ่นได้ง่ายจนทำให้รู้สึกว่ามันไม่ทน แต่พอมาดมเสื้อที่ฉีดตัวนี้ กลิ่นจะติดทนเชียว ทั้งนี้อิงจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด และยังอิงเคมีในระดับนึงด้ว 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนที่จะกระจายกลางๆ กึ่งออร่าในช่วงกลาง ก่อนจะปิดท้ายที่การเป็นออร่ากึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย คนรักพิมเสนอย่างผมชอบมากเลย เพราะกลิ่นพิมเสนของตัวนี้มีระดับมาก ยิ่งมาตีคู่กับไม้ซีดาร์และมีรัมเป็นตัวสนับสนุนกลิ่นสร้างความหรูหรามีชั้นเชิงมากเลยทีเดียว แบบที่ตัวผมเองไม่ได้กลิ่นเพราะรู้ตัวว่าชินกลิ่นนี้แล้ว แต่คนอื่นทักว่ากลิ่นหอมมีระดับจัง ชอบก็ตรงนี้แหละครับ

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://fimgs.net/images/secundar/o.17778.jpg

Review: Montale – Intense Café

Montale – Intense Café 

ขวดสีม่วงมันเลื่อมแบบนี้ กับชื่อที่บ่งบอกถึงการเป็น Café ที่เข้มข้น เป็นตัวจุดประกายมากเลยทีเดียวที่ทำให้สนใจและอยากลองรุ่นนี้สุดๆ และยิ่งเห็น Review ในพันทิปของคุณ TaeWittawat ความอยากยิ่งล้นปรี่มากกก เมื่อ Montale มาลง Shop ที่ไทยเท่านั้นแหละ นี่คือรุ่นแรกที่ได้สอยมาพร้อมกับฟินขาดบาดจิตเป็นที่เรียบร้อย เพราะว่า 

Intense Café เปิดตัวได้แบบว่าเหมือนยืนอยู่ในทุ่งดอกไม้ที่กลิ่นหลักเลยคือ กุหลาบ กลิ่นจะมาเต็มแบบกุหลาบที่ข้นๆ ติดเปรี้ยวลักษณะแบบแยม มีความฉ่ำอยู่อย่างชัดเจน กลิ่นดอกไม้จะฟุ้งกระจายหอมนวลแน่นกันเลยทีเดียว เพราะจะมีลักษณะของเครื่องเทศโทนหวานที่รองพื้นด้านหลังตรึงความแน่นของกลิ่นไว้อยู่ เรียกว่าคนชอบกุหลาบที่ไม่ออกทางแห้งๆ จะหลงตัวนี้กันได้เลยทีเดียว เพียงไม่นานกาแฟจะเข้ามาดึงจนเข้าสู่ช่วงกลาง กับการเป็นกาแฟกลั้วกุหลาบแบบจัดเต็ม กลิ่นจะมาแบบเข้มของกาแฟดำสลับกับอ่อนหวานของกุหลาบแบบหอมฟุ้งๆ โดยมีกลิ่นอายของวานิลลารองพื้นไว้ด้านหลังจนทำให้กลิ่นออกทางลักษณะของขนมหวานๆ แทรกเข้ามาด้วย จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่วานิลลาจะเริ่มเทคโอเวอร์ แต่กุหลาบจะไม่โดนกลบ เพราะจะเป็นลักษณะของกุหลาบกลั้ววานิลลาที่หอมโทนขนมอบอุ่นที่ยังมีกลิ่นโทนแยมฉ่ำอยู่ แต่จะมีความนุ่มของ Musk กับกาแฟที่ยังตามมาตัดโทนไม่ให้ออกทางหวานฉ่ำจนเกินกว่าเหตุ ภาพรวมเลยกลายเป็นกลิ่นอายที่หอมแบบกุหลาบกลั้ววานิลลา และกาแฟที่ลงตัวหอมแบบมีเสน่ห์แน่นหนา อบอวล คงความเป็นลักษณะแบบ Power House ของแบรนด์ที่แน่นและฟุ้งกระจายอย่างงาม ที่สำคัญกลิ่นมันโรแมนติคมากบอกตรงนี้ 

เหมาะสำหรับ – Unisex ชัดเจน แม้ว่าช่วงต้นของน้ำหอมจะออกทางดอกไม้สาวไปบ้าง แต่พอเข้าช่วงกลางจะผันเป็น Unisex เพราะกาแฟนั่นเอง ซึ่งสามารถใส่ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำกัดสเปรย์อย่างเหมาะสม เพราะกลิ่นจะหอมอบอวลและแน่นมากทีเดียว โดยใส่ได้ทั้งงานทางการและทั่วๆ ไปได้อยู่ เสริมความหวานให้ชีวิต แต่งดใส่ออกกำลังกายและอยู่กลางแจ้งอากาศร้อนๆ สามารถตีขึ้นกระจายจนฆ่าหมู่ได้ ส่วนยามค่ำคืน ไม่ว่าจะออกงานหรือท่องราตรีจัดไป ใส่ได้หมด กลิ่นเรียกร้องความสนใจเชิงโรแมนติคได้ดีมากเป็นลำดับต้นๆ เลยทีเดียว

ความทน ทนได้อี๊กกกกกกก ทนมากกกกก 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ กลิ่นตีขึ้นตลอดเสียด้วย

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากกกกกก ถึงมากกกกที่สุด เรียกว่าฉีดในห้องแล้วกลิ่นจะคงค้างไปอยู่ในห้องนั้นไประยะนึงเลย พอมาในช่วงกลางจะลดลงมาเป็นกระจายดีคงตัวยาวนานไปก่อนจะเป็นกระจายกลางๆ ในช่วงท้ายลากยาวไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวน้ำหอมเองจะพอใจ 

ทิ้งท้าย นี่คือน้ำหอมอีกหนึ่งตัวในยามที่ผมใส่จะมีภาพในหัวออกมาว่าเราอยู่ที่ไหนท่ามกลางสภาวะแวดล้อมอย่างไร แบบนี้เลย 

กลิ่นอายร้านกาแฟสีนวลตาที่ตั้งอยู่ในสวนกุหลาบและดอกไม้นานาพันธุ์ห้อมล้อมจนเป็นซุ้ม โดยภายในตกแต่งด้วยกุหลาบแบบจัดเต็ม ได้ทุกอารมณ์ทั้งเข้มและอ่อนหวานจนยากจะลืมในความโรแมนติคที่รายล้อม 

ไม่ฟินก็ไม่รู้จะว่าอย่างไงแล้ววววว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.luckyscent.com/images/products/35448.jpg