วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Issey Miyake - L’Eau d’Issey pour Homme Edition Bois


Issey Miyake - L’Eau d’Issey pour Homme Edition Bois

หนึ่งใน Flanker แยกแตกตัวมาแบบเป็น Limited Edition ของ L’Eau d’Issey pour Homme ที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 2010 ครับ ซึ่งตอนนี้ก็เรียกได้ว่าหายากไม่น้อยเลยทีเดียวแล้วล่ะครับ กับขวดที่ทำจากไม้แท้ๆ ซะด้วย สวยและเก๋มากกกกกน่ะบอกเลย เช่นนั้น มาว่ากันซักตั้งกับรุ่นนี้ครับ L’Eau d’Issey pour Homme Edition Bois

ถ้าจะถามหาว่าความแตกต่างกับรุ่นปกติเป็นยังไง ต้องขอบอกกันตามตรงว่า ต่างแค่ 10% ได้ เพราะกลิ่นเอาของต้นตระกูลมาหมดเกลี้ยงเลยจ้า 555555 เพียงแต่สิ่งที่เป็นข้อดีของตัวนี้จะกลายเป็นในเรื่องความทนและกลิ่นโทนวู้ดดี้ที่จะเด่นมากขึ้นกว่ารุ่นปกตินั่นเอง โดย Top Notes ขนความเป็นซิตรัสสดชื่นมาเต็มแบบรุ่นปกติเลยคือ ส้มยูซุกับเลมอนจะเด่นขึ้นมากลั้วกับกลิ่นโทนสมุนไพรติดเขียว หอมจรุงจมูกแบบต้นฉบับกันตั้งแต่ต้น ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่สิ่งที่จับได้เพิ่มเติมคือ โทนหวานที่เคยมีน้อยนิดในรุ่นปกติ มันมากขึ้นมาพอสมควร ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ชัดมากขึ้นของอบเชยที่ดันขึ้นมาค่อนข้างไว จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes อบเชยจะเด่นขึ้นก็จริง แถมรวมตัวกับโทนสมุนไพรติดหวาน แต่เพราะซิตรัสยังคงอยู่ทำให้กลิ่นไม่นำโด่งมากนัก กลายเป็นกลิ่นหอมสดชื่นกำลังดีมีไอเย็นวาบๆ จากจันทน์เทศให้รู้สึกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้คือกลิ่นโทนดอกไม้ที่ยังคงดึงให้กลิ่นอายในช่วงนี้เหมือนต้นฉบับมากเลยทีเดียว เมื่อช่วง Base Notes มา งานนี้จึงเริ่มเห็นถึงความแตกต่างเพราะกลิ่นของไม้ซีดาร์จะเด่นขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ให้ความสะอาดอบอุ่นกำลังดี มีควาฉ่ำแบบ Aquatic นิดๆ มาแทรก ตามด้วย Musk มาให้ความสะอาดนุ่มท่ามกลางฉากหลังบางๆ ของโทนซิตรัสที่ยังตามมาตั้งแต่ตอนต้น เลยแตกต่างจากต้นฉบับนิดนึงพอให้รู้ว่ามันเป็นโทนวู้ดดี้เด่นนะจ้ะ และโทนคุณหนูคุณชายแบบต้นฉบับได้เปลี่ยนไปเป็นแมนมากขึ้น ก็ด้วยประการละฉะนี้ล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เพราะกลิ่นยังคงความเข้าถึงง่าย ใช้ง่าย มหาชนชอบอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน และสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะแก้ผ้าเต้นริมรั้วบ้านให้น้องหมาเห่าเล่นหรือออกงานทางการเลยทีเดียว ส่วนยามกลางคืนก็สามารถ แต่เน้นแบบทั่วๆ ไปนะครับ ถ้าไปเมากลิ่นอาจจะสู้ได้แค่ในระดับหนึ่งนะครับ ส่วนคุณผู้หญิงก็สามารถใส่ตัวนี้ได้นะครับ กลิ่นไม่ได้ต่างจากต้นฉบับเลยมีความเป็น Unisex อยู่บ้าง

ความทน – นี่แหละข้อแตกต่างจากต้นฉบับ เพราะทนมากกว่า ซึ่งเข้าใจได้ง่ายๆ เลยว่าโมเลกุลน้ำหอมของโทนไม้หอมมันใหญ่และยาวนาน เช่นนั้นสิ่งที่ผมเจอคือ 12 ชั่วโมงกลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ ซึ่งเฉลี่ยจริงๆ เกิน 8 ชั่วโมงได้สบายๆ ครับ

การกระจาย – ต้นฉบับกระจายดีเช่นไร ตัวนี้กระจายดีเช่นนั้น คงความกระจายที่ดีงามไปจนถึงต้นๆ ของช่วง Base Notes เลย ก่อนจะลดลงเป็นออร่าหอมสดชื่นติดไม้หอมฉ่ำๆ รอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย – เรียกได้ว่าดีงามสมฐานะและชื่อรุ่นที่บ่งบอกถึงคำว่า Bois หรือ “ไม้” เลยล่ะครับ เพราะไม่ได้ดูแย่กว่าต้นฉบับแต่ประการใด ยังลงลายเซ็นไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ที่สำคัญขวดสวยมาก และตอนนี้ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ แล้วซะด้วยสิ น่าเสียดายตรงนี้

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Guerlain – Habit Rouge Sport


Guerlain – Habit Rouge Sport

“ท่านที่เคารพโปรดทราบ ท่านที่เคารพโปรดทราบ ขณะนี้ Guerlain รุ่น Habit Rouge Sport ได้ถูกประกาศแล้วว่าเลิกผลิต ย้ำอีกครั้งว่า เลิกผลิต! ขอบคุณฮ้าาาาา” ซึ่งบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งในของดีมีคุณภาพที่จะลับลาจากไป ตอนนี้ก็ยังมีขายอยู่นะครับ แต่อีกไม่เกิน 2 ปี คงหายากน่าดูชม เช่นนั้น เลยมาคุยกันกับรุ่นนี้ซักหน่อยดีกว่า 

Habit Rouge Sport เป็นหนึ่งใน Flanker ของ Habit Rouge ที่เรียกว่าอมตะคลาสสิคไปแล้ว กับกลิ่นซิตรัสที่มาแรงแซงทางโค้งทุกสำนักแบบแน่นหนา มีหนังเข้มๆ มียั่วไม่หยุดหย่อนคือ มันเร้าใจก็จริงแหละ แต่ถ้าคนรุ่นใหม่ที่เน้นน้ำหอมใช้ง่ายและโมเดิร์นเจอกลิ่นนี้ อาจจะผงะไปเลยแล้วไม่กล้าใส่เอาได้ ซึ่งพอมีคำว่า Sport มาพ่วง กลิ่นเลยปรับโทนออกมาได้แตกต่างพอสมควรเลยทีเดียว เพราะ Top Notes จะมากับกลิ่นโทนกุหลาบติดซิตรัสแกล้มทางขมนิดหน่อย กลิ่นหอมสดชื่นอย่างมีระดับดูหรูกันตั้งแต่ต้น ที่สำคัญมีกลิ่นโทนผลไม้นิดๆ มาทำให้กลิ่นไม่ได้ดูหนักหน่วง และไม่คมบาดจมูกแบบที่น้ำหอมโทน Sport ทั่วไปมักทำ เพียงแค่ไม่นานก็ได้เวลาของMiddle Notes ที่จะมีกลิ่นของพริกไทยดันขึ้นมากลั้วไปกับกลิ่นวู้ดดี้อ่อนๆ สะอาดๆ ของไผ่และกลิ่นหอมนุ่มนวลของมะลิที่จะมาในโทนแป้งหอมดอกไม้อ่อนๆ โดยมีกลิ่นจากช่วงต้นยังตามมาให้อารมณ์หรูหราแกล้มสดชื่นไปตลอดซึ่งเรียกว่าเป็น Signature ของ Guerlain ที่จะขาดอารมณ์แป้งแบบนี้ไปไม่ได้จนเมื่อเข้าสู่ช่วง Base Notes กลิ่นของวานิลลาจะขึ้นมาให้รู้สึกได้แบบไลท์เวอร์ชั่น อบอุ่นกำลังดี โดยจะมีกลิ่นหนังมาให้ความนุ่มแต่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงแน่นหนำมาแบบกำลังดีกลางๆ ไปตลอดที่สำคัญโทนวู้ดดี้อ่อนๆ สะอาดๆ จะมาให้รู้สึกได้ไปเรื่อยๆ มีความนุ่มนวลสบายๆ ของพิมเสนกำลังดี ซึ่งภาพรวมแม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ออกทาง Sport แบบใส่แล้วต้องไปออกกำลังกาย แต่ให้ความรู้สึกสปอร์ตหรูหราแบบเท่ห์ๆ ประมาณว่าขับรถหรูไปเล่นกอล์ฟอ่ะจ้ะ ไม่ได้ขับ 3 ล้อเครื่องไปแข่งวิดน้ำหรือชักว่าวที่สนามหลวงอะไรประมาณนี้

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปครับ กลิ่นเข้าถึงง่ายแบบมีระดับและหรูหราใช่ย่อยเลยทีเดียว บ่งบอกถึงรสนิยมคนใส่น้ำหอมว่ารู้จักเลือกสิ่งที่ดีให้ตัวเอง สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและไม่ทางการ ส่วนยามกลางคืนแบบทั่วๆ ไปก็ใส่ได้ แต่ถ้าใส่เที่ยวอาจจะต้องอัดสเปรย์กันหน่อย และกลิ่นอาจจะไม่ได้เน้นยั่วยวนให้ได้กับบ้านเท่านั้นเองครับ

ความทน – เป็นน้ำหอมโซนสดชื่นที่ทนเลยทีเดียว กับ 8 ชั่วโมงสบายๆ จะมากกว่านี้ก็สามารถอยู่ที่การอัดสเปรย์ครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีเลยทีเดียวในช่วงต้น ก่อนจะลดระดับมากระจายกลางๆ และปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายครับ

ทิ้งท้าย – เออ! ของดีน่ะเลิกผลิตกันเข้าไป รมณ์เสีย!

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: The Body Shop - Red Musk


The Body Shop - Red Musk 

เพราะน้ำหอมของแบรนด์นี้ แม้จะไม่ได้หวือหวามากนัก แต่ไม่ธรรมดาในแง่ของการทำกลิ่นที่น่าสนใจไม่น้อย เมื่อรุ่น Red Musk ออกมา ก็ขอจัดสิครับ เพราะแม้ว่าจะเป็นน้ำหอมของผู้หญิง แต่จริงๆ กลิ่นที่ได้มันไม่ใช่เลย เพราะ 

มันแมนและ Unisex ได้อี๊กกกกกกก! โดยกลิ่นองค์รวมของตัวนี้เป็นกลิ่นแนว Aromatic Spicy ที่ทำออกมาได้นุ่มนวลมากจริงๆ ถือว่าเป็นการต่อยอดจากไลน์ White Musk ได้ดีมากเลยทีเดียว โดยจะมี Signature ของไลน์อย่างกลิ่น White Musk (กลิ่น Musk สังเคราะห์หรือเป็นการปรับแต่งให้กลิ่น Musk ตามธรรมชาติให้เป็นโทน Smooth นุ่มสะอาด และตัดโทนสาปออก) มาผสานอยู่ในทุกช่วงกลิ่น เริ่มจาก Top Notes ที่จะมาเป็นโทน Spicy นุ่มๆ กับพริกไทยที่มีความสดชื่นจางๆ มีกลิ่นสะอาดแบบนุ่มจมูก จนเมื่อกลิ่นของอบเชยดันขึ้นมา กลิ่นในช่วงนี้จะหอมนุ่มเย้ายวนแบบลงตัวกำลังดี โดยมีความสะอาดนุ่มรองพื้นอยู่ด้านหลังเต็มๆ ในช่วง Middle Notes ซึ่งบอกเลยครับ ว่ากลิ่นในช่วงนี้มัน Unisex ติดออกมาทางมาดแมนไม่น้อย เพราะมีความหวานเย้ายวนจากอบเชย ที่ไม่ได้มาแบบคมๆ โดน White Musk มาทำให้กลมกล่อมมาก จนบางวูบมีความรู้สึกเหมือนได้กลิ่นเป๊ปซี่หรือโค้กแบบนุ่มจมูกและไม่มีความซ่าๆ ของความเป็นน้ำอัดลมมาเจือปนเลย กลิ่นหอมละเมียดดีเลยทีเดียว เมื่อถึง Base Notes ยิ่งแมนเข้าไปอีก กับกลิ่นของใบยาสูบกลั้วกับ White Musk ที่สื่อถึงชิื่อรุ่นได้อย่างชัดเจนมาก แต่จะเป็นสีแดงที่นุ่มรื่นสบายตา อบอุ่นก็ได้ หวานเย้าก็ดี โดยกลิ่นอบเชยยังตามมาอยู่โดยผสานกับใบยาสูบจนหอมเย้ายวนกลั้วความนุ่มสะอาดไปตลอด ซึ่งเป็นกลิ่นที่น่าประทับใจไม่น้อยเลย และเรียกแขกให้เสียเงินกันได้ไม่ยากจริงๆ กับคนที่ชอบกลิ่นโทนนุ่มสะอาดละเมียด แต่ต้องการความแตกต่างโดยเพิ่มความเย้ายวนและไม่เกร่อโหลจนเหมือนคนอื่นไปทั่วนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - แม้จะตราไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่กลิ่นแมนมาก เช่นนั้นเลยจัดให้มาอยู่ที่ Unisex แทนก็แล้วกัน สามารถใส่ได้ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นงานทางการหรือทั่วๆ ไป จนถึงนอนแผ่แก้ผ้าอยู่กับบ้าน ออกกำลังกายพอได้ แต่รอช่วงท้ายจะดีที่สุด แต่ถ้าจะใส่ไปเที่ยวกลางคืนเบาไปนิดครับ แม้จะอัดสเปรย์อยู่ก็ยังเบาอยู่นะ เน้นใส่ยามกลางวันจะดีกว่า

ความทน - ให้ที่ 6 ชั่วโมงครับ แต่ถึง 8 ชั่วโมงได้ ถ้าอัดสเปรย์

การกระจาย - บอกเลยว่าน้ำหอมของไลน์ Musk ในแบรนด์นี้จะไม่ได้เน้นกระจายนัก เน้นความสะอาดนุ่มนวล จึงจะกระจายกลางๆ ตั้งแต่ต้นแล้วจะค่อยๆ ลดลงเป็นออร่ารอบตัวและ Skin Scent ในปลายช่วงกลาง หอมมุ้งมิ้งฟินคนเดียวจนกว่าจะหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย - แม้จะเป็นน้ำหอมโทนเย้ายวนหน่อยๆ แต่ไม่ได้กระจายเรียกแขกมากก็จริง แต่กลิ่นมีดีไม่น้อยกับคนที่อยากได้น้ำหอมนุ่มสะอาดแกล้มเย้ายวนโดยไม่รบกวนใครเขามาก ยกเว้นว่าให้เขามาคลุกวงในนั่นอีกเรื่อง ซึ่งมีทั้ง EDP และ Oil Perfume (ที่จะทนกว่าและอาจจะกระจายได้ดีกว่า) 
ซึ่งต้องว่ากันอีกทีในอนาคต ที่สำคัญใครชอบ Spicebomb ของ Viktor&Rolf แต่ไม่อยากได้กลิ่นหวานแน่นพะโล้โมเดิร์นมากขนาดนั้น ตัวนี้จะให้ความรู้สึกใกล้เคียงในโทนที่นุ่มนวลสะอาดกว่าโดยไม่แน่นหวานจัดจ้านครั

Review: Prada Infusion d’Homme


Prada Infusion d’Homme 

หนึ่งในตัวที่เรียกได้ว่าให้หมดทุกสิ่งถึงกลิ่นที่นุ่มนวล หอมละมุน เมโทรแบบผู้ชายดูแลตัวเอง ที่สำคัญยังคงลงลายเซ็นของ Prada ได้แบบหอมสุดๆ กับกลิ่นโทนสบู่หรูหรากำจายมากมายก่ายกองเลย นี่คือ Prada Infusion d’Homme ครับ 

Top Notes จะมาแบบนุ่มมากกกกกกก แต่จะมีโทนสดชื่นเสริมไปตลอดแบบบางๆ เพราะกลิ่นของดอกส้มและกลิ่นโทนสบู่สะอาดๆ จะมาตั้งตั้งแต่ช่วงนี้ โดยมีกลิ่นของซิตรัสจางๆ ให้รู้สึกได้ ได้อารมณ์แบบอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ กันเต็มๆ ซึ่งพอผ่านช่วงนี้ไปกลิ่นโทนวู้ดดี้ของไม้ซีดาร์กับกลิ่นของดอกไอริสจะมาผสมผสานกันออกมาจนเป็นกลิ่นของสบู่หอมหรูหราที่นุ่มนวลมากในช่วง Middle Notes กลิ่นในช่วงนี้จะมีความฉ่ำกำลังดีจากหญ้าแฝกเข้ามาเสริมด้วย โดยจะให้ความรู้สึกที่ครบเลย ไม่ว่าจะเป็นสะอาด สุภาพ นุ่มนวล หอมละมุน และเย้ายวนชวนเคลิ้ม มาเต็มจริงๆ ในทุกๆ ความรู้สึก มันให้อารมณ์สีขาวนวลนุ่มไปตลอด แบบว่าฟินมากกกกก กลิ่นหอมนุ่มมากกกก และปิดท้ายที่ Base Notes โดยกลิ่นโทนสบู่นุ่มหรูยังตามมาอยู่เช่นเคย โดยจะมีโทนธูปไม้หอมกับกำยานมาเพิ่มความนุ่มเย้ายวนของกลิ่นกันมากขึ้น และมีกลิ่นโทนแป้งหอมละมุนนุ่มๆ เคล้าคลอเคลียนัวเนียไปตลอดอีก เลยทำให้กลายเป็นกลิ่นโทนสบู่ที่หรูแพงมากขึ้น กลิ่นยังคุมโทนสะอาดและเย้ายวนนุ่มจมูกไปตลอด เรียกได้ว่าเป็นการปรุงน้ำหอมชั้นเลิศจริงๆ แถมทำให้ผู้ใส่ดูหรูหรา นุ่มนวล สะอาดสะอ้าน โดยไม่ทิ้งคำว่าเซ็กซี่ส่วนบุคคลแต่ประการใด

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป กลิ่นเข้าถึงง่ายและหรูหรามีระดับมาก จะสุภาพก็ได้ จะเย้ายวนชวนเคลิ้มก็สามารถ ยังไม่พอยังสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันลามไปกลางคืนได้หมด ไม่ว่าจะเป็นงานทางการ หรือชิลล์ๆ ทั่วๆ ไป แต่ยามกลางคืนถ้าใส่ไปเมาอาจจะต้องอัดสเปรย์หน่อยนะครับ พูดง่ายๆ ว่า กลิ่นครอบจักรวาลเลยทีเดียว

ความทน – 8 ชั่วโมงขึ้นไปได้สบายๆ ส่วนตัวเจอ 12 ชั่วโมง กลิ่นยังตีขึ้นอ่อนๆ อยู่เลย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ที่เหลือจะลดระดับมากระจายกลางๆ ไปตลอด จนเมื่อถึงปลาย Base Notes จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวนุ่มๆ อ่อนโยน ให้รู้สึกได้ครับ

ทิ้งท้าย – เอาไปเลย #ของดีเทคนิคไม่ต้อง เรียกได้ว่าเป็นตัวที่กินขาดมากเลยในโทนกลิ่นสบู่หอมนุ่มที่จะทำให้ประทับใจได้ไม่ยากครับ

Review: Christian Dior – Dior Homme Sport


Christian Dior – Dior Homme Sport 

ขึ้นชื่อ Dior Homme หลายๆ คนทั้งหลงและรักกันมานักต่อนักในเรื่องของน้ำหอมที่บอกอารมณ์ถึงความเป็นเมโทรหล่อเท่ห์ ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งรุ่นปกติ รุ่น Intense รุ่น Cologne และที่สำคัญคือรุ่น Sport ซึ่งรุ่นหลังนี้ดันแบ่งออกเป็น 2 ตัวในชื่อเดียวกันอีกด้วย พูดง่ายๆ มีการปรับสูตร ซึ่งตัวดั้งเดิมจะเด่นไปอีกอย่าง ตัวล่าสุดก็จะเด่นไปอีกอย่าง เช่นนั้นมาว่ากันซักอย่างถึง Dior Homme Sport แบบแยกเป็น 2 ช่วงของตัวนี้ครับ

Dior Homme Sport รุ่นปี 2008

บอกกันซึ่งๆ ว่า เลม่อนและมะกรูด ตามด้วยโทนซิตรัสสดชื่นคมๆ มากันเต็มเหนี่ยวมาก บ่งบอกถึงคำว่า Sport กันอย่างชัดเจน ซึ่งแม้กลิ่นจะมาในโทนสดชื่นจัดๆ เป็นของเปรี้ยวเดินได้มากขนาดนี้ แต่กลิ่นไม่โหลเลย เพราะมีความนุ่มติดเขียวในความคมของซิตรัสเป็นอย่างดีมาก ซึ่งโทนซิตรัสสดชื่นนี้จะตามติดไปถึงช่วงท้ายเลย โดยช่วงกลางจะมาผสานกับขิงกับโรสแมรี่ซึ่งจะทำให้มีความสดชื่นติดเขียว โดยมีการตัดให้กลิ่นนุ่มขึ้นจากลาเวนเดอร์และมีโทนวู้ดดี้จางๆ ที่ทำให้กลิ่นหอมสดชื่นมีระดับมากจริงๆ ลามไปจนถึงช่วงท้ายที่จะมีหญ้าแฝกและไม้จันทน์หอมเข้ามาเสริมกับกลิ่นโทนซิตรัสที่ยังคงอยู่ ทำให้กลายเป็นกลิ่นสะอาด สดชื่น และเข้าถึงความ Sport กันเต็มเหนี่ยวตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งบอกกันตรงๆ ว่า กลิ่นไม่ได้มีความเป็น Dior Homme เลยล่ะครับ เหมือนแตกตัวออกมาต่างหากเป็นโทนสดชื่นแบบเอกเทศที่น่าดูชมและดมกลิ่นไปเลย

Dior Homme Sport รุ่นปี 2012 จนถึงตอนนี้ 


การเปลี่ยนสูตรเป็นรุ่นล่าสุดนี้ เริ่มปรับมาให้เป็นหนึ่งในลูกหลานของโซน Dior Homme มากขึ้น เพราะรุ่นตั้งต้นมันไม่มีเค้าลางของไลน์ปรากฎลงในเนื้กลิ่นเท่าไหร่ เช่นนั้น ช่วงต้นก็ยังคง Concept ความเป็น Sport เช่นเดิม เพราะจะมีส้มซ่า มะกรูดกับเลม่อนมาปล่อยของ แต่กลิ่นจะไม่ได้คมจัดชัดเด่นขนาดนั้น เพราะขิงจะดันขึ้นมาตัดให้ติดหวานจางๆ ท่ามกลางความสดชื่น เลยจะได้ความนุ่มจมูกกำลังดี ไม่ได้หนีคำว่า Sport ไปไหน และกลิ่นซิตรัสในช่วงนี้ก็ยังตามจนถึงช่วงท้ายๆ อยู่เช่นเดิม โดยในช่วงกลางงานนี้กลิ่นในแบบกระเป๋าเครื่องสำอางค์หรือลิปสติกสาวๆ ในแบบ Dior Homme จะมาแล้ว โดยดึงความเป็นเอกลักษณ์ของไลน์ที่นำเด่นด้วยความเป็นดอกไอริสที่มาให้โทนแป้งแบบหรูหรา มีติดเขียวจางๆ ในเนื้อกลิ่นให้มีความรู้สึกสำอางแบบ Sport กันอย่างชัดเจน และปิดด้วยช่วงท้ายกับกลิ่นของโทนไม้หอมซึ่งซีดาร์ยังคงอยู่ สร้างความแมนเท่ห์สะอาดแบบกำลังดีไม่หนักหน่วง กลั้วกับกลิ่นโทนเขียวสมุนไพรหน่อยๆ ที่ไม่ได้มาหนักมากนัก เลยทำให้กลายเป็นกลิ่น Sport แบบไม่เหมือนใคร ไม่ได้เน้นสดชื่นเข้าไป แต่เน้นความเป็นเมโทรหรูหรามาแทรกด้วยตลอด เรียกว่าปรับสูตรได้น่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ

เปรียบเทียบ – ตัวเก่าน้ำหอมสีเขียว มาแบบ Sport จัดเต็ม ตัวใหม่น้ำหอมสีชมพูอ่อนๆ มาแบบ Sport สำอางหรูหรา

เหมาะสำหรับ – ทั้ง 2 ตัวเหมาะสำหรับผู้ชายทุกเพศครับ แต่รุ่น 2008 จะได้หมดตั้งแต่ ม.ปลายขึ้นไป แต่รุ่น 2012 จะเหมาะกับเด็กมหาลัยขึ้นไป เพราะโทนกลิ่นโตกว่าและดูสำอางเมโทรกว่าตัวแรก ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กลิ่นให้ความเป็น Sport แบบหรูหราทั้งคู่ ส่วนยามกลางคืนทั้งเมาและจิบตามบาร์หรูๆ รวมถึงออกงาน รุ่นปี 2012 จะได้เปรียบกว่าและครอบจักรวาลมากกว่าครับ

ความทน – พอกันทั้งคู่ครับ คือ 8 ชั่วโมงขึ้นไปสบายๆ เลย

การกระจาย – กระจายดีทั้งคู่ในช่วงต้น ลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – รุ่นปี 2008 ตอนนี้คาดว่าน่าจะหายากไม่น้อยแล้วล่ะครับ เสียดายใช่ย่อย Dior น่าจะเอาตัวนี้แยกเป็น Dior Sport ไปเลยน่าจะดีกว่า แต่ถึงแม้หาไม่ได้รุ่น 2012 ก็ถือว่าคงความดีงามในรูปแบบ Sport เมโทรตามไลน์ Dior Homme ได้ชัดเจน ตรงๆ ครับ รักพี่เสียดายน้อง 555555

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review:Thierry Mugler – A*Men Pure Shot


Thierry Mugler – A*Men Pure Shot

หนึ่งในไลน์ระดับตำนานที่แตกแยกรุ่น Pure ต่างๆ มาเป็นระยะเลย แถมแต่ละตัวจะมีลายเซ็นของรุ่นดั้งเดิมตามมาเสมอนั่นคือ “พิมเสน” เช่นนั้น ว่ากันหลาย Pure มาก่อนหน้านี้ เลยมาต่อกันที่ Pure นี้กันบ้าง นั่นคือ A*Men Pure Shot ครับ 

บอกกันตรงๆ ว่าถ้าใครชอบรุ่น Ice Men ของแบรนด์นี้ที่หายากมากและเลิกผลิตไปแล้ว ตัวนี้ถือว่าเป็นตัวตายตัวแทนกันได้ในระดับนึงเลยล่ะครับ เพราะมาในโทนที่เย็นวาบสดชื่นไม่ต่างกัน แต่อาจจะไม่ได้แทนกันได้ทั้งหมดเพราะ Top Notes ของ Pure Shot จะมาแบบโทนแป้งเย็นซ่าๆ ของจูนิเปอร์เบอร์รี่ ที่จะหอมสดชื่นมาก ซึ่งไม่พอแค่นั้นกลิ่นของมิ้นท์ตอกย้ำลงไปอีก ฟุ้งกระจายความเย็นให้รู้สึกได้ ซึ่งแน่นอนว่าแค่กลิ่นเปิดก็แน่นตามประสา A*Men อยู่แล้วล่ะ พอเข้าสู่ช่วง Middle Notes งานเย็นวาบและงานสดชื่นยังไม่จบ เพราะจันทน์เทศกับพริกไทยจะปล่อยของกันเต็มเหนี่ยวเช่นเคย ซึ่งจะได้โทนสะอาดแบบแน่นๆ กลิ่นเย็นวาบติด Spice ก็ยังคงตีขึ้นให้รับรู้ตลอด แต่ที่สำคัญคือมีโทนหวานๆ มากับเขาด้วย เพราะเม็ดกระวานจะมาตัดให้กลิ่นไม่เย็นสดชื่นคมโด่งจนเกินไป นี่แหละครับข้อแตกต่างจาก Ice Men และปิดท้ายด้วย Base Notes ที่งานพิมเสนต้องมา ซึ่งก็จะมาแบบหอมนุ่มเย็นเย้ายวนแบบมีระดับล้อมรอบกลิ่นไม้หอมที่ออกทางสีเข้มๆ แบบจะให้ความรู้สึกหนักแน่น แตกต่างจาก Ice Men อีก 1 ดอก ซึ่งอันนั้นจะเน้นเย็นเย้าติดนุ่มมากกว่า ซึ่งเรียกว่าเป็นโทน Sport (ที่ไม่ได้เอามาห้อยท้ายชื่อรุ่น) ในรูปแน่นหนา หนักแน่น และสดชื่นแบบมีระดับเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยมหาลัยขึ้นไป จริงๆ กลิ่นนี้น้องๆ ม.ปลายก็ใช้ได้นะครับ แต่กลิ่นจะแน่นไป ถ้ายังไม่คุ้นชินจะผงะจนกลัวความแน่นไปเสียก่อน ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน กลิ่นอาจจะแน่นพอสมควรต้องคุมที่จำนวนสเปรย์เอา ไม่ว่าจะเป็นงานทางการและไม่ทางการก็ใช้ได้หมด ส่วนยามกลางคืนจัดไป กลิ่นสดชื่นแน่นๆ แบบนี้สู้ได้อยู่แล้วกับอากาศบ้านเราครับ ยกเว้นจะไปหาเหยื่อนะครับ อันนี้อาจจะสู้ต้นตระกูลไม่ได้ก็เท่านั้นเอง

ความทน – ประมาณ 8 ชั่วโมงกำลังดี อาจจะบวกลบจำนวนชั่วโมงได้ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด รวมถึงเคมีด้วยเป็นสำคัญครั

การกระจาย – มาซะแน่นขนาดนี้ กระจายก็ดีมากแน่ๆ แต่จะลดลงมากระจายปานกลางและปิดท้ายด้วยออร่าเข้ม เย็น เย้า ไปจนกว่าจะหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย – ไม่ขี้เหร่เลยนะครับ ถ้ามองในแง่น้ำหอมโซนสดชื่นแต่ถ้ามองในแง่น้ำหอมเจ้าเสน่ห์แบบต้นตระกูล ตัวนี้ถือว่ายังไม่ได้แตะเท่าไหร่ และส่วนตัวผมยังยกให้ Ice Men เป็นรุ่นที่ยอดเยี่ยมมากอยู่เสมอ ตัวนี้อาจจะยังไม่สามารถเทียบชั้นได้มากนัก ที่สำคัญมีอีกรุ่นที่เป็นการเอา Pure Shot มาปรับปรุงใหม่อย่าง Pure Energy จุดนี้ แทบไม่ต้องว่ากันต่อว่าจะเป็นยังไง “หาลองแน่นอน” ครับ

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Kenzo Jungle Homme


Kenzo Jungle Homme

เมื่อตั้งต้นด้วย Kenzo Homme เมื่อมีตัวอื่นๆ ที่แตกแยกย่อยด้วยการตั้งชื่อออกมาเป็นเอกเทศเฉพาะตัวที่สื่อถึงความแมนในลักษณะต่างๆ เช่น Kenzo Homme คือสายน้ำ เช่นนั้น ตัวที่กล่าวถึงนี้ก็มากันเต็มๆ กับ “ป่าและสัตว์ป่า” โดยจะยืนพื้นที่ลักษณะของ #ม้าลาย นั่นเองกับ Kenzo Jungle Homme ครับ 

บอกเลยกลิ่นเปิดอาจจะทำให้คนที่ชอบใช้น้ำหอมเข้าถึงง่ายหรือโซนสดชื่นทั้งหลายต้องผงะกันไปข้างกันเลยทีเดียว เพราะมากับโทนเครื่องเทศอย่าง Mate เม็ดกระวาน เด่นแหลมขึ้นมากันเต็มๆ โดยมีโทนซิตรัสมาเสริมให้กลิ่นดูมีมิติมากขึ้น ซึ่งตอนได้กลิ่นครั้งแรก ผมรู้สึกได้ถึงว่าเหมือน “ยากวาดคอเด็ก” (หน้าปุเลี่ยนเลย เวลานึกถึงสมัยที่เคยโดนกวาดคอ 55555) ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะมาหนักและฟุ้งกระจายไม่ใช่น้อย แต่เพียงเวลาไม่นานก็จะเข้าสู่ช่วงกลาง โดยกลิ่นเครื่องเทศในตอนต้นจะค่อยๆ จางลงไป ให้กลิ่นของอบเชยมาให้โทนหวานกำลังดี กลั้วกับพริกไทยที่ยังคงความสดชื่นแบบแห้งๆ ที่สำคัญกลิ่นของลูกจันทน์เทศนี่แหละ ที่จะมาให้กลิ่นอายเย็นๆ ขรึมๆ ซึ่งยังคุมโทนความแห้งในเนื้อกลิ่นได้ดีมาก ไม่มีคำว่าฉ่ำๆ ในเนื้อกลิ่นเลย และปิดท้ายที่ Base Notes กับกลิ่นโทนวู้ดดี้ที่จะมาเต็มมากโดยเฉพาะไม้ซีดาร์ที่จะให้ความขรึมนิ่ง และไม้ Guaiac ที่จะมาให้โทนไม้หอมแน่นๆ เข้มๆ แมนๆ ติดกลิ่นอาย Smoky ล้อมไปด้วยโทนหวานจางๆ เย้าๆ ของกำยาน ซึ่งจะได้ความรู้สึกอบอุ่นเท่ห์ๆ ติดสะอาดกำลังดี โดยที่กลิ่นยังคงมีความแห้งๆ ไปตลอด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลจะที่ออกทางกลิ่นอายป่าโซนแอฟริกามากกว่าจะเป็นป่าดงดิบในแถบบ้านเราครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ซึ่งกลิ่นนี้อาจจะต้องผ่านการใช้น้ำหอมมาหน่อย จะพอรับช่วงต้นได้ไม่ยาก เพราะช่วงที่เหลือ คือความดีงามสมชื่อ Kenzo ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและไม่ทางการ แต่ถ้าจะออกกำลังกายแนะนำว่าขอเป็นช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนเที่ยวกลางคืนจัดไปได้เลยครับ กลิ่นแมนเท่ห์ติดเย้ากำลังดีแบบไม่เหมือนใครดีแท้ เรียกได้ว่าเป็นอีกตัวที่ครอบจักรวาลเลยล่ะครับ

ความทน – 8 ชั่วโมง โดยประมาณ บวกลบประมาณหนึ่ง โดยอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย – บอกเลย! กลิ่นกระจายดีมากกกกในช่วงต้น คือ แผ่รังสีเครื่องเทศติดไม้หอมกันเต็มๆ และจะค่อยๆลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง จนถึงเป็นบาเรียรอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – เรียกได้ว่า Kenzo ต่อยอดรุ่น Homme ได้แตกต่างและโดดเด่นมากจริงๆ กับตัว Jungle นี่เป็นแค่ม้าลายนะนั่น ยังมีรุ่นช้าง รุ่นเสืออีก ขออย่างเดียวอย่ามีรุ่นงูกับแมงป่องเป็นพอ เพราะหนูกลัว -___-"

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: AJMal – Titanium


AJMal – Titanium 

เพราะซื้อมาหาเยอะ ในราคาที่ไม่แพง ก็เลยมีตัวมาแนะนำเยอะน่ะครับ เล่นกันง่ายๆ แบบนี้ 55555 แน่นอนว่า นี่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวที่แม้ว่าจะแบรนด์น้ำหอมตะวันออกกลางขนาด แต่ก็เป็นน้ำหอมที่ออกทาง Modern กลิ่นตอบโจทย์มหาชนชอบมหาชนใช้ แถมเข้ากับอากาศบ้านเรามากจริงๆ หนึ่งในนั้นคือรุ่น Titanium ครับ 

ใครที่ไม่เคยได้กลิ่นขนุนในน้ำหอม บอกเลยว่าตัวนี้จะมีกลิ่นขนุนให้รู้สึกได้เลยล่ะครับ ซึ่งก่อนขนุนจะเปิดตัว แน่นอนว่าต้องมาที่ Top Notes กับกลิ่นโทนสดชื่นอย่างซิตรัสกันก่อนเลย เพราะกลิ่นของมะนาวจะมาเต็ม เพียงแต่จะไม่แหลมมากเพราะมีกลิ่นโทนแป้งเย็นของจูนิเปอร์เบอร์รี่มาทำให้เป็นกลิ่นแป้งเย็นกลั้วมะนาวเด่นหอมสดชื่นมากเลย และกลิ่นขนุนจะค่อยๆ เปิดตัวมาเรื่อยๆ จนมาตีคู่กับมะนาวในช่วง Middle Notes กันเต็มๆ ซึ่งโทนแป้งเย็นจะค่อยๆ หายไป เป็นกลิ่นอายเย็นๆ ติดโทนเมทัลลิคหน่อยๆ ให้รู้สึกได้ เลยทำให้ช่วงนี้จะเป็นช่วงสดชื่นปนหวานจางๆ ที่ได้จากขนุน กลิ่นหอมน่าสนใจมากเลยทีเดียวเชียว และไม่ได้หวือหวาจัดๆ จนทำให้ใช้ยากแต่ประการใด และได้เวลาปิดท้ายอย่าง Base Notes กับ 3 เกลอ คือ Musk ไม้จันทน์หอม และแอมเบอร์ที่รวมตัวเมื่อไหร่เป็นได้หอมสะอาด นุ่มนวล และอบอุ่นจางๆ ตามสเต็ป ซึ่งยังพอรู้สึกได้ถึงกลิ่นโทนสดชื่นติดหวานที่ยังมีอยู่ให้รู้สึกได้ ภาพรวมของน้ำหอมตัวนี้จึงได้อารมณ์แบบ The Boy Next Door ที่ดูไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่จริงๆ แอบแตกต่างในภาพหนุ่มที่ติดหวานจางๆ ที่สาวๆ เห็นแล้วจะสดชื่นไม่ใช่เล่นอยู่เลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไป กลิ่นใช้ง่ายมากจริงๆ แบบไม่ได้เน้นโทนสดชื่นคมๆ นำเด่น เน้นสดชื่นนุ่มๆ ติดหวานสะอาดกำลังดีเลย สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะออกงานทางการหรือทั่วไป ส่วนกลางคืนแนะนำว่าขอให้ผ่าน เพราะกลิ่นแบบนี้โดนเหล้ากลบแน่ๆ

ความทน – 6 ชั่วโมงสบายๆ ครับ ตุถ้าอยากได้มากกว่านั้นต้องอัดสเปรย์เยอะหน่อย ก็จะพอแตะที่ 8 ได้ไม่ยาก แต่ตัวนี้มีข้อดีคือ กลิ่นติดเสื้อแล้วติดทนไม่น้อยตามประสา EDP ด้วยน่ะครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และลดมากระจายกลางๆ จนถึงออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง และปิดท้ายที่ Skin Scent เน้นๆ ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – EDP ในราคาที่ไม่ถึง 600 บาท กับกลิ่นที่สดชื่นเข้าถึงง่าย ไม่หวือหวา แต่แอบไม่เหมือนใครในโทนหวานจางๆ ของขนุนแบบนี้ ถือว่าคุ้มเกินคุ้มไม่น้อยเลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Bvlgari - Aqva Amara


Bvlgari - Aqva Amara 

เพราะรุ่นอ้าขาและอ้าขา มารินี เพียวหอม (Aqva & Aqva Marine pour Homme) ของ Bvlgari ต่างก็ติดลมบนจนมีรุ่น Toniq ออกมาเป็นลูกกันไปหมดแล้ว และยังคงความนิยมมาเสมอต่อเนื่องมาตลอด เมื่อมีรุ่นหลานกันออกมา ซึ่งจะสื่อถึงความเป็น Aqva ในรูปแบบไหน ก็มาเจอกันซักหน่อยกับรุ่นอ้าขา อมรา: Aqva Amara ครับ

รุ่นหลักบอกถึงทะเลยังไง รุ่นนี้ก็บอกถึงทะเลเช่นกันครับ แต่เป็นทะเลแบบยามบ่ายพระอาทิตย์คล้อยต่ำใกล้ยามเย็นเสียมากกว่าในรูปแบบทะเลโซนเมดิเตอร์เรเนียนเลย เปิดตัวกันด้วยความสดชื่นเคล้าแสงแดดกันเต็มๆ กับกลิ่นของส้มแมนดารินที่สดชื่นติิดโซนซ่าๆ แบบโซดาน้ำพัั้นช์ค็อกเทลกันเต็มๆ ที่เข้ากับบรรยากาศริมทะเลยามบ่ายสุดๆ อ่ะ พูดเลย! กลิ่นช่วงนี้สามารถดึงดูดให้เสียเงินซื้อกันได้เลย โดยไม่ต้องรอช่วงอื่น และถึงแม้รอช่วงอื่นก็ยังเสียเงินซื้อได้ไม่ยากอยู่ดี เพราะว่ากลิ่นคงความเป็นทะเลรสส้มได้ชัดเจนเสมอต้นเสมอปลายมากมาย ซึ่งกลิ่นของดอกส้มจะเริ่มแทรกตัวขึ้นมาจนเข้าสู่ช่วงกลางกันเต็มๆ ที่จะเป็นกลิ่นดอกส้มกลั้วน้ำทะเลใสสะอาด แม้จะมีกลิ่นคาวทะเลนิดๆ แต่ก็ยังคงความซาบซ่าโซดาส้มอยู่เช่นเคย จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นอายของทะเลรสส้มซ่าๆ จะเริ่มผันเป็นฉากหลัง ดันให้กลิ่นของโทนธูปไม้หอมกลิ่นซิตรัสขึ้นมาเด่นรับช่วงต่อจากช่วงกลางมาให้ความสดชื่นติดกลิ่นอาย Smoky กำลังดีมากมาย โดยมีกลิ่นพิมเสนลอยอ้อยอิ่งล้อมรอบไปเรื่อยๆ ซึ่งได้อารมณ์อบอุ่นและนุ่มนวลแบบแสงอาทิตย์ยามเย็นริมทะเล ที่รื่นรมย์ไม่พอ ยังมีความเย้ายวนชวนฟินแฝงไปด้วยตลอด โดยยังคงความสดชื่นไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิวเลยครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวันเรียนม.ปลาย ขึ้นไปก็ใส่น้ำหอมตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นเข้าถึงง่ายตามสไตล์อ้าขา Aqva แถมได้ทุกอารมณ์ทั้งชิลล์ สดชื่น เย้ายวนกำลังดีมาครบหมด ซึ่งสามารถใส่ได้แทบจะทุกสถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืน อาจจะขอยกเว้นงานทางการที่ต้องการความน่าเชื่อถือจัดๆ นิดนึง เพราะกลิ่นมันสบายๆ เกินไป นอกนั้นจัดได้ตามสะดวกครับ ส่วนถ้าจะเที่ยวกลางคืนแล้วใช้ตัวนี้กับอากาศบ้านเรา ก็ยังถือว่าได้อยู่ แต่อัดสเปรย์กันหน่อยนะครับ

ความทน - กลิ่นทนมากกว่าต้นตระกูลอีก บอกเลย! เพราะแตะที่ 8 ชั่วโมง ไม่พอ ยังสามารถต่อได้อีกถึง 12 ชั่วโมง ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก ให้ความสดชื่นแบบทะเลค็อกเทลรสส้มกันเต็มๆ ในช่วงต้น และลดลงมากระจายกลางๆ ไปตลอด จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวหอมสดชื่นอบอุ่นเย้ายวนในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - ผมดีใจมากที่ตัวนี้ไม่มีกลิ่นสาหร่ายมารบกวนให้ผมเมา และกลิ่นคาวทะเลก็ไม่ได้มาจัดจ้านจนมึนหัว เรียกว่าเป็นอีกในรุ่นหลานที่ทำออกมาได้ดีจริงๆ ครับ ยกนิ้วให้ Bvlgari เลย ^^

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Vera Wang for Men


Vera Wang for Men 

สาวๆ ที่ชอบน้ำหอมหรือคนที่ติดตามแวดวงแฟชั่นต้องรู้จักแบรนก์ Vera Wang กันเป็นอย่างดี เพราะดังมากเลยทีเดียวกับการนำเสนอแฟชั่นไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายหรือว่าเครื่องประดับ รวมถึงน้ำหอมออกมาได้เยี่ยมมากมาย ซึ่งถ้าว่ากันถึงน้ำหอมส่วนใหญ่มักจะเด่นกันที่ของผู้หญิงเป็นหลัก แต่ก็มีน้ำหอมชายเพียง 1 เดียวที่เรียกได้ว่าเป็น One & Only ได้เลย นั่นคือ Vera Wang for Men ด้วยเช่นกันครับ

บอกกันซึ่งๆ ว่า น้ำหอมผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวของแบรนด์ตัวนี้ มีเนื้อกลิ่นที่เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมจริงจัง เพราะจะได้ทั้งความเป็นสุภาพบุรุษ ความหวานแบบลงตัว อบอุ่นมาดแมนกำลังดี และความโรแมนติคที่ต้องยกนิ้วให้ว่าใส่แล้วจะเคลิ้มเอาได้ เพราะเปิดตัว Top Notes ที่ความสดชื่นออกทางโทนเขียวติดซิตรัสนุ่มจมูกของการผสมผสานกลิ่นใบส้มและส้มยูซุเข้าด้วยกัน กลิ่นแม้จะไม่ได้หวือหวาแต่ก็หอมสดชืิ่นแบบมีระดับ โดยไม่คมจนเสียดจมูก ซึ่งในความสดชื่นตอนต้นนี้แหละจะตามไปในทุกช่วงแบบเป็นฉากหลังบางๆ ไปเรื่อย โดยแฝงความสดชืิ่นไปในทุกช่วงของน้ำหอมเลย เมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes งานนี้พระเอกหลักจะมาแล้วนั่นคือกลิ่นหนังนุ่มจมูกติดหวานเย้าจากเครื่องเทศอย่างยี่หร่า และมีกลิ่นติดทาง Spicy แบบสดชื่นเย็นๆ ของจันทน์เทศและกลิ่นสดชื่นตอนต้นมาผสาน กลิ่นในช่วงนี้จะบอกถึงความเป็นสุภาพบุรุษที่โรแมนติค หวานเย้ายวนแบบผู้ชายเท่ห์ๆ กลิ่นออกทางนุ่มจมูกไปตลอดแบบมีระดับและหรูหราใช่ย่อย และกลิ่นของพระเอกอีก 1 ของรุ่นนี้ คือ ใบยาสูบจะค่อยๆ เผยตัวมาเรื่อยๆ จนมาเต็มในช่วง Base Notes ที่จะหวานแบบมีระดับ ให้ความเย้ายวนและเซ็กซี่แบบผู้ชายที่ดูอบอุ่น ยิ่งมีกลิ่นของไม้จันทน์หอมเข้ามาช่วยอีก ยิ่งตอกย้ำให้กลิ่นอบอุ่นแบบโปร่งๆ หอมหรูโรแมนติคมากขึ้นไปอีก ซึ่งบอกกันซึ่งๆ เลยว่า ช่วงนี้คือช่วงที่ดีที่สุดและเป็นชาวงที่กลิ่นหอมโรแมนซ์น่าซบขาดใจมากเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว โดยกลิ่นจะคาบเกี่ยวระหว่างความสุภาพก็ได้ หรือจะโรแมนติคก็สามารถอย่างแรง เหมาะสำหรับใส่ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะงานทางการกลิ่นจะยกระดับคนใส่ให้ดูดี๊ ดูดีเชียว ใส่ทำงานก็สามารถ ใส่ทั่วๆ ไปก็ได้อยู่ ใส่อยู่กับแฟนหรือไปหาคนรัก เหมาะเว่อร์ ส่วนยามกลางคืน ถ้าเป็นงานทางการจัดไป แต่ถ้าไปเที่ยวก็คงต้องอัดสเปรย์กันหน่อยครับ

ความทน - กลิ่นทนอยู่ที่ 6 - 8 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ที่การอัดสเปรย์รวมถึงจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ซึ่งเรียกแขกกันได้ตั้งแต่ตอนนี้ จนลดลงมากระจายกลางๆ กำลังดีไปเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็น Skin Scent ในช่วงปลายๆ ของ Base Notes จนหายไปจากผิวครับ

ทิ้งท้าย - นี่คือหนึ่งในกลิ่นที่โรแมนติคมาก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลิ่นที่เอื้อและบ่งบอกถึงกลิ่นแห่งความรักจากตัวผู้ชายได้เลยล่ะครับ ^^