วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Calvin Klein - CK One Summer 2015

Calvin Klein - CK One Summer 2015 

แม้ว่า CK One เองจะมีลูกหลานแตกแยกย่อยตามมามากมายเต็มไปหมดจนปัจจุบันรวมร่างกับ CK Be จนกลายเป็น CK All ไปแล้วก็ตาม ซึ่งสดชื่นขนาดนี้ ก็ยังมีลูกสายตรงอย่างรุ่น Summer ที่จะมาจัดเต็มกันให้หนำใจรับความร้อน เสริมความสดชื่นกันให้หนำไปข้างซึ่งก็ออกมาทุกปีกันเลยทีเดียว เช่นนั้นเมื่อมีโอกาสได้ลองหนึ่งในกลุ่มลูกสายตรง ก็ต้องมาบอกเล่ากันหน่อย ว่าเป็นอย่างไรบ้างกับ CK One Summer 2015 

อย่างแรกคือขวดสวยเชียว มาในลายคลื่นกระเพื่อมบนผิวน้ำได้รู้สึกสบายและและอยากได้มาครอบครองอย่างบอกไม่ถูก และแน่นอนว่าจะต้องมีความเชื่อมโยงกับ CK One ตามปกตินั่นคือ กลิ่นอายแบบ Aquatic ที่ชัดมากมายและรวมถึงกลิ่นช่วงท้ายที่จะเป็นสไตล์เดียวกันนั่นคือสะอาดและสดชื่นตามสเต็ป ซึ่งรุ่น Summer 2015 จะเปิดตัว Top Notes ที่ความเป็นโทนสดชื่นของความเป็น Citrus ที่เด่นกับความเป็นเลมอน ติดโทนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่าง Gin Tonic ที่จะติดเปรี้ยวซ่าๆ กันเลย ได้ความสดชื่นกันเต็มๆ แถมได้ความเป็นจูนิเปอร์เบอร์รี่เสริมเข้ามาด้วยให้กลิ่นมีความแน่นแต่โปร่งจมูกสดชื่นกันไปข้าง เข้าทางคำว่า Summer ชัดเจน แถมมีความ Aquatic เสริมเข้ามาในเนื้อกลิ่นเรื่อยๆ จนเข้า Middle Notes พอดีกับการที่กลิ่น Gin Tonic ติดเปรี้ยวจะลดลงมาเป็นตัวสนับสนุนที่กลิ่นอายยังชัดอยู่ แต่จะผันเป็นสายสนับสนุนให้กลิ่นแตงกวาเด่นทะลุขึ้นมาจนได้ความ Aquatic เต็มมากขึ้น แจมด้วยความหวานโปร่งติดปร่านิดๆ บางๆ ของขิงที่มาเสริมทัพ กลิ่นในช่วงนี้เรียกว่าชิลล์ๆ สดชื่น มีความบางใส ได้อารมณ์แนวๆ Polo Blue ที่มีความใส ซึ่งกลิ่นนี้จะลากยาวไปยัง Base Notes ให้ความสดชื่นในเนื้อกลิ่นอยู่ แต่จะเบาลงไปเป็นสายสนับสนุนคุมโทนตามความเป็นน้ำหอมโทSummer ให้รับรู้ได้ไปตลอด โดยที่กลิ่นรองพื้นจะมี Musk และไม้หอมอ่อนๆ มาให้ความรู้สึกสะอาดนุ่ม ซึ่งมาในลักษณะเดียวกันกับ CK One รุ่นปกติ ที่ใส่กลิ่นสดชื่นแบบค็อกเทลแอลกอฮอล์ลงไปนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายมาก อารมณ์มันได้แบบจิบ Gin Tonic ใส่น้ำเลมอนลงไปแล้วชิลล์ๆ ริมพวกทะเลหรือทะเลสาบได้อยู่ เลยเหมาะกับทั้งสภาพอากาศบ้านเรา และทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แบบทางการก็ใส่ได้ เพราะกลิ่นไม่ได้ทำร้ายใครและไม่ถึงกับลั่นล้าเกินเหตุ นอกนั้นจัดไป ยกเว้นยามกลางคืนที่ถ้าอากาศร้อนๆ หรืออยู่ริมทะเลก็ได้อยู่ แต่ถ้าเน้นใส่ไปเพื่อเรียกเรตติ้ง เกรงว่าจะเบ๊าเบาจนหายต๋อมน่ะสิ 

ความทน - เพราะมาสาย Citrus Aromatic แถมเป็นน้ำหอม Summer เช่นนั้นความทนถือว่ากำลังดี ระหว่าง 4-6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะน้อยกว่านั้น อิงที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอที่ 6 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 7 สเปรย์และอยู่ในห้องแอร์ตลอด  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่า Sparkling กันเลยในตอนต้นสดชื่นแบบไม่เกินกว่าเหตุด้วย แล้วจะลดลงมาแบบออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็น Skin Scent ติดผิวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าถ้าไม่สนเรื่องความซับซ้อนของกลิ่นอะไรมาก เน้นสดชื่นแบบไม่คมจัดๆ และชอบกลิ่น Aquatic ยังไงก็ผ่าน อย. ด้านกลิ่นได้สบาย แถมด้วยเอาความดีงามของต้นตระกูลมาในระดับหนึ่ง จนต้องให้ตำแหน่งนี้เลย#ของดีเทคนิคไม่ต้อง 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/secundar/o.32185.jpg

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Sonoma Scent Studio - Incense Pure

Sonoma Scent Studio - Incense Pure 

เมื่อเป็นแบรนด์ที่เรียกว่า Rare Items กันน่าดูชมแถมคุณภาพจัดเต็มขนาดนี้ การได้มาเป็นเรื่องที่เรียกว่าไม่ง่าย และพอได้มาหลังจากซึมซับกันเต็มๆ ไปแล้วกับรุ่นที่บอกถึงความเป็นสวนท่ามกลางต้นมะเดื่อฝรั่งอย่าง Fig Tree ก็ได้เวลาของรุ่นอื่นๆ ของ Sonoma Scent Studio กันบ้าง และคราวนี้ขอมาสาย Smoky กันหน่อย ซึ่งเป็นกลิ่นที่เรียกว่ายอดนิยมมากของแบรนด์นี้ เช่นนั้นกลิ่นจะเป็นอย่างไรต้องพิสูจน์กัน นั่นคือ Incense Pure 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย - Incense Pure เป็นรุ่นที่มีการปรับปรุงจากรุ่นที่เลิกผลิตไปอย่าง Encens Tranquille ของแบรนด์นี้เพราะมีส่วนผสมต้องห้าม เรียกว่า เสียดาย แต่ก็ยังมีเรื่องดีเกิดขึ้นมาแทนเพราะกลิ่นถือว่าสื่อสารเอกลักษณ์ได้อย่างดีมาก เพราะ

ธูปกันเต็มๆ ไล่เรียงความรู้สึกของการเป็นธูปไม้หอมที่สื่อสารถึงความสว่างเสียมาก ไม่ได้มาสายดาร์ก ดำดิ่ง ขรึมขลัง จนต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเข้าถึงเสียขนาดนั้น โดยกลิ่นหลักของตัวนี้ที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบคือ Frankincense ที่เป็นยางไม้ในมีลักษณะติดเปรี้ยวสดชื่นที่จะได้ความรู้สึกสว่างกลั้วสดชื่น แต่จะมีความนิ่งสงบแทรกซึมไปด้วยตลอด ซึ่งเปิดต้นทางจะมีกลิ่นอายสมุนไพรซ่าๆ ของโสมตังกุยวาบเข้ามาผสมผสานกับ Frankincense ที่จะได้กลิ่นโทนธูปที่สดชื่น และมีกลิ่นอายแบบติด Smoky กำลังดี ไม่ได้เข้มจัดของโทน Amber ให้รู้สึกได้ แล้วพอเข้าช่วงกลางความเป็น Incense จะเริ่มมีโทนสะอาดโปร่งของพริกไทยมาเจือ และมีกลิ่นยางไม้ที่ออกทางขรึมๆ แทรกเข้ามาอย่าง Myrrh แต่จะไม่ได้มาแบบแย่งซีนมากนัก และมีกลิ่นอายติดแป้งอับๆ อย่างหัว Orris มาให้ความเป็นโทนแป้งกำลังดีเสริมความเป็น Incense แบบให้โทนสว่างกลั้วความรู้สึกนิ่งสงบตีคู่ให้กลิ่นมีภูมิมากขึ้นกลิ่นจะไม่ได้ถึงกับเต็มเหนี่ยวเกินไปและมีความเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติได้ดีเลยทีเดียว ก่อนที่จะเริ่มมีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นเข้ามาผสมผสานเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่หนัก นำไปสู่ช่วงท้ายที่ความเป็นไม้จันทน์หอมนวลๆ เด่น ซึ่งมาเสริมให้มีความเป็นโทนไม้หอมติด Incense มากขึ้นและมีไม้ซีดาร์รับช่วงต่อความขรึมกำลังดี กลิ่นจะเป็นธูปไม้หอมที่ติดเปรี้ยวหน่อยๆ ที่สำคัญจะมีกลิ่นสนับสนุนอย่างพิมเสนที่ไม่ดิบห้ามจัดๆ มีความเขียวติดดินกำลังดีมาเจือและมีความสากจางๆ จาก Oak Moss ที่เสริมเข้ามาให้ความมีระดับในเนื้อกลิ่นที่เป็นธรรมชาติอยู่เป็นทุนเดิมเข้าไปอีก ทั้งหมดทั้งมวลกลิ่นนี้จะให้ความรู้สึกแบบ Frankincense ที่มีความสดชื่น สว่าง สงบ และอบอุ่นจางๆ กำลังดี แบบไม่หนักหน่วงแต่ประการใด แถมมีความรื่นจมูกทั้งๆ ที่กลิ่นชัด ตามด้วยความขรึมแบบโปร่งได้เป็นอย่างดี 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นนี้ได้หมดทุกเพศ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องเป็นคนชอบโทน Incense หรือธูปกันหน่อย จะทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและฟินกับความเป็น Incense เต็มๆ ของตัวนี้ ซึ่งกลิ่นมาสายมีภูมิและภูมิฐานแบบสว่างและสงบ จึงสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งออกงานทางการกลิ่นยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือแบบไม่มีความดาร์กให้เสียเวลา นอกนั้นถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปก็จัดได้ กลิ่นให้ความรู้สึกสงบแกมสดชื่นขรึมๆ ได้ดี แต่งดใส่เพื่อออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งจะดีที่สุดยกเว้นจะเดินจงกลมหรือนั่งสมาธิแบบไม่ได้รับศีล 8 อันนี้ช่วยให้สงบผ่อนคลายได้ ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้เลย สบายมาก เพียงแต่ออกแนวใส่เพื่อให้ความอะโรม่ากับตัวเองจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะจะมีคนทักแน่ๆ ว่า แกได้กลิ่นธูปไหมอ่ะ 

ความทน - กลิ่นทนมากกกกก เรียกว่าอึดถึกกันสุดๆ กับ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ แถมติดเสื้อดีมาก ซักแล้วกลิ่นยังอยู่จางๆ กับเสื้ออยู่เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดี ไม่ได้ถึงกับหนักหน่วงจนเป็นลานจุดธูปไหว้พระเดินได้ มีความรู้สึกแบบกลิ่นอายโปร่งสว่างเรื่อยๆ กระจายดีในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลาง แล้วค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - มีคนทักเรียบร้อยว่า ได้กลิ่นธูปไหมมาเบาๆ บอกไม่ถูก 5555555555 น้ำหอมหนูเองฮ่ะ แต่มันหอมมากตรงที่มันไม่ใช่ธูปแบบทั่วไป มันมีความสดชื่น ความนวล ความรื่นไหล และความสงบสว่างเจอไปตลอดนี่แหละ ของเขาดีจริงๆ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://3.bp.blogspot.com/_kZ-NdSRhKmo/S9Uq11qwCFI/AAAAAAAABAY/0PMEvPFIizY/s1600/IncensePure.jpg

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Guerlain – La Petite Robe Noire EDP 2012

Guerlain – La Petite Robe Noire EDP 2012 

ต่อเนื่องมาจากการ Review รุ่น La Petite Robe Noire EDT ไปก่อนหน้านี้ ก็ได้เวลาของรุ่น EDP บ้างที่มีโอกาสได้ลองบ้าง ซึ่ง Guerlain ได้เอารุ่นนี้กลับมาปรับปรุงใหม่จากเดิมเป็นรุ่น Limited Edition ในปี 2009 เพื่อให้กลายเป็นรุ่นหลักในปี 2012 ซึ่งจะทำออกมาได้แตกต่างหรือว่าเปลี่ยนความรู้สึกหรือไม่ ก็ขอพิสูจน์กันหน่อย

(เนื่องจากไม่เคยได้ลองรุ่นปี 2009 จึงจะไม่ได้บอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจากของเดิม เน้นเล่ากลิ่นของรุ่นปี 2012 และเทียบกับตัว EDT แทน) 

ถ้า EDT จะได้อารมณ์คุณหนูที่เป็นสาวสะพรั่งทั้งมั่นใจและเป็นกันเอง โดยได้ความรู้สึกโทนสว่าง ฝั่ง EDP จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างมาในลักษณะที่เข้มขึ้นและมีความ Noire สมชื่อมากขึ้นแม้จะมาในลักษณะที่โทนกลิ่นไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ โดยเปิดตัวด้วย Top Notes อย่างเชอร์รี่ที่จะมาให้ความเป็นโทนผลไม้เจือหวาน แต่จะมีความแหลมของกลิ่นติดโทนเปรี้ยวซิตรัสผสมผลไม้จากโทนเบอร์รี่กันเข้ามาด้วย กลิ่นเลยจะได้ความเป็น Fruity เปรี้ยวอมหวานฟุ้งกระจายออกมา แต่สิ่งที่จะสัมผัสได้ต่อมาคือกลิ่นอายของอัลมอนด์ที่ให้ความนวลหวานจะเริ่มแทรกขึ้นมาผสมผสานกลายเป็นกลิ่นอายที่มีลูกล่อลูกชนของโทนผลไม้ผสมความหวานนวลแบบแป้งติดถั่วได้ลงตัวมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นอายของความเป็นเชอร์รี่ เบอร์รี่ และอัลมอนด์จะยังตามไปยังช่วงกลางที่จะเริ่มมีความหวานหอมเสริมเข้ามาจากชะเอม ซึ่งกลิ่นนี้จะเป็นกลิ่นหวานติดเครื่องเทศที่มีความนิ่งขรึมติดดาร์กหน่อยๆ ซึ่งจะทำให้กลิ่นนี้นัวร์ขึ้นมาอย่างชัดเจน ตามด้วยตัวสนับสนุนสายนัวร์อีกหนึ่งอย่างชาดำที่กลิ่นจะติด Smoky หน่อยๆ ทำให้กลิ่นนี้มีความเข้มนัวร์สมชื่อมากขึ้น แกมไปด้วยความนิ่ง แต่สิ่งที่มาทำให้เกิดความเย้ายวนปรับความเปรี้ยวอมหวานในช่วงต้นเป็นหวานอมเปรี้ยวนวลนั่นคือกลิ่นอายของกุหลาบที่เป็นอีกหนึ่งกลิ่นสนับสนุนให้มีความเป็นผู้หญิงอย่างชัดเจนในช่วงนี้ ซึ่งเนื้อกลิ่นของเชอร์รี่และอัลมอนด์ รวมถึงกลิ่นอายหวานดาร์กนัวจะเริ่มผันตัวเป็นสายรองให้กลิ่นอายอบอุ่นของวานิลลาเสริมเข้ามาโดยจะมีความครีมมี่นวลๆ กำลังดี มีความเย้ายวนชัดเจนมากขึ้น โดยกลิ่นอายดาร์กหวานจากช่วงกลางจะมีตัวรับช่วงต่อให้ความนวลอ้อยอิ่งดึงดูดของพิมเสนที่เสริมความเซ็กซี่น่าค้นหาในความหวานครีมมี่นวลอุ่น ซึ่งภาพรวมได้ความรู้สึกเหมือนเห็นผู้หญิงคนนึงที่ไม่ได้แต่งตัวอะไรแบบเซ็กซี่เลย ออกแนวเรียบง่ายเสียด้วยซ้ำ แต่มี Sex Appeal ดึงดูดสูงมากเป็นออร่าออกมานั่นเอง 

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นนี้เรียกว่ามีความเข้มนัวร์น่าค้นหา หวานแต่ขรึมเน้นปล่อยของผ่านกลิ่นในหน้านิ่งๆ ยิ้มมุมปากอะไรประมาณนั้น ซึ่งเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการ ซึ่งก็ได้อยู่ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม หรือยามทั่วๆ ไปก็จัดไปได้ตามสะดวก เพียงแต่จะไม่เหมาะกับการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายแต่อย่างใด เดี๋ยวกลิ่นตีขึ้นจุกคอหอยตายก่อน ส่วนยามค่ำคืนจัดไป อัดสเปรย์ไป กลิ่นนี้ถือว่าเซ็กซี่แบบไม่โจ่งแจ้งและมีระดับมากแบบที่เป็นผู้หญิงมั่นใจในตัวเอง และพร้อมปล่อยของแบบไม่โจ่งแจ้งเกินไปให้น่าค้นหานั่นเอง 

ความทน กลิ่นทนอยู่ที่ราวๆ 8 ชั่วโมง ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ามาเต็มและมาชัดมาก แล้วจะลดลงมากระจายกลางๆ ก่อนจะปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นซัก 6 ชม. ไปแล้วจะเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย ง่ายๆ เลย EDT คือน้องสาวที่สดใสสะพรั่งลั่นล้า แต่ EDP ปี 2012 คือ พี่สาวที่นิ่งขรึมกว่ามีความเซ็กซี่เย้ายวนแบบไม่โจ่งแจ้งรู้จักปล่อยของและรู้จักควบคุมความรู้สึกของตัวเองตามสถานการณ์นั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://parfiumbg.com/images/robe%20noire%20box.jpg

วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Creed - Royal Mayfair

Creed - Royal Mayfair 

เมื่อปี 1936 Creed ได้ทำน้ำหอมขึ้นมาเพื่อให้กับ King Edward VIII ของอังกฤษ กับชื่อว่า Windsor ซึ่งหลังจากผ่านมานานแสนนานก็ได้มีการทำออกมาอีกครั้ง กับการเป็น Limited Edition เมื่อปี 2009 เข้าสไตล์การทำให้เป็นของหายากต้องเก็บสะสมกันเข้าไป เมื่อผ่านช่วงเวลามาอีกก็ได้เวลาของการเอามาทำใหม่คราวนี้เอามาเป็นรุ่นหลักของแบรนด์ไปเลยไม่ต้องจำกัดอะไรแล้ว แต่ก็เปลี่ยนชื่อรุ่นกันเพื่อให้มีความแตกต่างบ้างนั่นก็คือ Royal Mayfair เพื่อให้มีความหรูหราจัดเต็ม ดังนั้นได้เวลาพิสูจน์แล้วสินะว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไร 

บอกก่อน - เพราะไม่เคยได้ลองรุ่น Windsor เช่นนั้นจะไม่สามารถเทียบได้ถึงความแตกต่างหรือความดีงามในแต่ละช่วงได้ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

Top Notes เปิดตัวกันด้วยกลิ่นอายของเหล้าจินที่มีความเขียวติดไม้หอมสะอาดๆ ของสนไพน์ที่วูบเข้ามา แต่ในวูบนั้นจะจับได้ถึงกลิ่นติด Spicy เขียวๆ แนวๆ การบูรที่จะได้อารมณ์แบบไม้กลิ่นของใบยูคาลิปตัวและเวลาเราขยี้ดม ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งการผสมผสานกันในช่วงนี้ บางคนอาจจะรับรู้แตกต่างกันไป (จากการสอบถาม) เพราะบางคนได้ความรู้สึกแบบหมากฝรั่งยูคาลิปตัส บางคนบอกว่ากลิ่นหมือนยางติดเขียวซ่า บางคนบอกว่ากลิ่นธรรมชาติเหมือนเดินเล่นในป่าที่มียูคาลิปตัสและสนไพน์เต็มไปหมด ซึ่งขึ้นอยู่กับประสบการณ์การรับกลิ่นด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้ต้องยอมรับเลยว่ากลิ่นมีความเป็นธรรมชาติ เรียบนิ่งได้ดีมากเลยทีเดีย 

เพียงไม่นานก็จะพิสูจน์ชัดกันขึ้นไปกว่าเดิมว่า ยูคาลิปตัส สนไพน์ และเหล้าจินยังคงความเป็นตัวเอกอยู่ และจะอยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย โดยใน Middle Notes กลิ่นจากช่วงต้นจะมีกลิ่นอายที่นวลมากขึ้นจากกลิ่นอายของกุหลาบ และกลิ่นอายของมะลิที่หอมใสๆ เข้ามาผสมผสาน กลิ่นจะได้ความสะอาดนวลๆ ติดไม้หอมมมีความเรียบหรูดูดีธรรมชาติแบบยาวไป จนเข้า Base Notes กลิ่นอายซึ่งความเป็นยูคาลิปตัสกับไม้หอมติดสะอาดที่มีกลิ่นไม้ติดขรึมๆ ของซีดาร์มาให้รู้สึกได้ และมีกลิ่นซิตรัสบางๆ ที่เหมือนจะหายไปในช่วงกลางกลับมาในช่วงนี้แบบแนวๆ ติดขมเล็กๆ ให้มีความสดชื่นผสมผสานในเนื้อกลิ่นอย่างลงตัว ได้อารมณ์แบบนั่งชิลล์ในป่าที่กลิ่นไม้กลั้วยูคาลิปตัสมีกลิ่นเขียวซ่าบางๆ ของเหล้าจินแต่จับได้อย่างชัดเจนลอยตามอากาศให้ความสดชื่นและสบายๆ มาเลย ภาพรวมจึงเป็นลักษณะที่ให้ความเป็นหรูหราเป็นธรรมชาติของกลิ่นอายไม้หอม กลิ่นยูคาลิปตัส และความสดชื่นแบบเรียบนิ่งมีระดับเป็นสำคัญนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ได้หมดเลยเพราะเป็น Unisex แต่ว่าค่อนมาทางผู้ชายมากกว่าหน่อยประมาณ 60% เพราะความเป็นโทนไม้หอมเด่น แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนชอบกลิ่นแนวๆ เขียวสะอาดสนไพน์เจือกุหลาบใช้เถอะ ยังไงก็หอม ซึ่งจะเหมาะกับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย เรียกวาใส่ได้หมดครอบจักรวาลมาก โดยเฉพาะ แต่ถ้าจะเอาไปใส่เพื่อออกกำลังกายอันนี้ก็แอบคิดว่ามันแพงไปนะ เปลือง -____-” ส่วนยามค่ำคืนถ้าอากาศร้อนๆ หรือใส่แบบทั่วไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้มาสายเย้ายวนเลย ออกแรวเรียบหรูธรรมชาติ จึงไม่เหมาะกับการใส่เพื่อไปเต้นเด้งเอวเคล็ด หรือว่าหาเหยื่อแน่นอน #นก เต็มๆ บอกเลย 

ความทน - ไม่ให้เสียชื่อ Creed สิ เพราะ 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ไม่หนีไปไหน และลากยาวไปได้นานถึง 12 ชม. สบายๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนละลดลงมากระจายแบบปานกลาง และเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ถ้าคาดหวังความหรูหราแบบกลิ่นอลังการดาวล้านดวงใส่แล้วเป็นคุณชายคุณหญิงอะไรขนาดนั้น เกรงว่าอาจจะผิดหวัง ให้มองว่า Royal Mayfair เป็นกลิ่นที่มีความเรียบหรูและธรรมชาติน่าจะง่ายกว่า ซึ่ง Creed ทำได้ดีจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://www.creedboutique.com/229-467-thickbox/royal-mayfair.jpg

วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: L’Artisan Parfumeur - L’Eau d’Ambre Extreme

L’Artisan Parfumeur - L’Eau d’Ambre Extreme

หลายๆ แบรนด์ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Designer ทั่วๆ ไปที่เริ่มหันมาทำไลน์น้ำหอมแบบ Exclusive หรือแบรนด์ Niche เดิมที่มีอยู่นั้นก็จะมีกลิ่นอายอบอุ่นอย่าง Amber มาเป็นหนึ่งในตัวชูโรงทางด้านกลิ่นกันมาเสมอ ฝั่ง L’Artisan Parfumeur เรียกว่าจัดเต็มไม่น้อย เพราะมีทั้งรุ่นปกติและรุ่นเข้มข้นกันเลย เช่นนั้น ไหนๆ ชอบความจัดเต็มก็ต้องเลือกเอากลิ่นรุ่น L’Eau d’Ambre Extreme มาบอกเล่ากันหน่อยว่าจะออกมาเป็นลักษณะไหน 

บอกก่อน - เนื่องจากไม่เคยได้ลองรุ่นปกติมาก่อน เลยจะไม่ได้กล่าวถึงความเชื่อมโยงใดๆ เน้นที่การเป็นรุ่น Extreme นี้เพียวๆ 

เรียกว่ากลิ่นอายของ Amber ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นติดไม้หอมเจือวานิลลา ได้อารมณ์โทนสีออกทางส้มอมทองจะเป็นกลิ่นอายที่เด่นเป็นสง่าผ่าเผยมาก และเป็นเหมือนกลิ่นอายหลักที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ แต่จะล้อมไปด้วยกลิ่นต่างๆ ที่เข้ามาสมทบให้ความรู้สึกของแอมเบอร์มันแตกต่างกันไป ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นจะเริ่มที่ความรู้สึกของเครื่องเทศที่มาเต็มกันก่อน กลิ่นจะมีความคาบเกี่ยวระหว่างเครื่องเทศโทนเผ็ดโปร่งของพริกไทย มีความนุ่มเจือหวานของกระวาน และปร่าซ่าของเม็ดจันทน์เทศเชื่อมกับเครื่องเทศโทนหวานอุ่นที่ชัดเจนด้วยความเป็นอบเชย โดยเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ถึงความอุ่นจางๆ จากความเป็น Amber ที่รองพื้นด้านหลัง จนเมื่อเข้าช่วงกลางแทนที่กลิ่นอายน่าจะข้นขึ้น แต่เปล่าเลย กลับคงตัวการเป็นกลิ่นที่อบอุ่นก็จริง แต่มีความโปร่งที่คงตัวเพราะความเป็นเครื่องเทศในตอนต้นยังคงตามมาอยู่ และมีตัวเด่นสำคัญอย่างพิมเสนที่นุ่มนวลอ้อยอิ่งเจือกับกลิ่นโทนดอกไม้แนวๆ กุหลาบหรือเจอราเนียมที่ทำให้กลิ่นมันมีความใสในเนื้อกลิ่นอยู่ โดยจะมีกลิ่นอายอบอุ่นแบบกำลังดีของโทนแป้งจากวานิลลาที่มาแบบกำลังดีไม่หนักเป็นตัวที่เรื่อยๆ มาเรียงๆ รองพื้นคุมให้กลิ่นหลักมีมิตินุ่มนวลเจือไปด้วย เพียงไม่นานความเป็น Amber จะเริ่มโดนล้อมด้วยกลิ่นอายของโทนไม้หอมที่ได้ความอุ่นนวลจากไม้จันทน์หอม มีความนวลของวานิลลา ตามด้วยความเนียนหวานของกำยาน กลิ่นเลยจะได้ความเป็นลักษณะแบบ Amber เต็มๆ เพราะจะได้ความอบอุ่นที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นไม้หอมและวานิลลาได้ชัดเจนมาก แถมยังมีความเป็นโทนติดสาปปลุกเร้าให้พอรู้สึกได้ด้วย รวมถึงมีความนุ่มมีมิติกำลังดีแบบที่ไม่ได้มาสายแน่นปล่อยพลังคลื่นเต่าแต่อย่างใด เพราะยังคง Concept ของคำว่า L’Eau ซึ่งแปลว่าน้ำคุมไว้ได้ดี ทำให้ช่วงท้ายไม่ได้มาสายหนักหน่วงเข้มข้นเกินไปก็จริง แต่กลิ่นมีความชัดเจนให้จับต้องได้และสื่อถึงกลิ่นของ Amber ได้ดีมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ได้หมดเลยทุกเพศ มาสาย Unisex ชัดเจน กลิ่นจะมีความอุ่นนวลแบบกลางๆ ที่ลงตัว จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นยามทางการหรือว่าทั่วๆ ไป แบบที่ถ้าใส่พอเหมาะกลิ่นมีภูมิน่าค้นหาและอบอุ่นเลยทีเดียว ใส่ออกกลางแจ้งพอได้ แต่ถ้าจะเป็นสไตล์กิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย ข้ามไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้เหมาะกับด้านพวกนี้เลย ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ได้สบายมาก ยิ่งถ้าเน้นใส่ไปจิบเบาๆ สบายๆ แอร์เย็นๆ หรือว่าช่วงอากาศเย็นๆ เข้าทางสุดๆ แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ออกทางปล่อยพลังมาก แต่ถ้าใครมาอยู่ใกล้ๆ จะได้กลิ่นจะรู้สึกอบอุ่นน่าค้นหาได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว 

ความทน - ตัว Extreme นี้เป็น EDP ที่มีความทนดีงามไม่น้อย เฉลี่ยที่ประมาณ 8 ชม. และมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุกที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวเพียง 4 สเปรย์ ยาวนานไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังอยู่ให้รับรู้ได้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว ลักษณะมาอยู่ใกล้ๆ หรือเดินสวนกันจะได้กลิ่นแบบยาวไป แล้วจึงเป็น Skin Scent ที่ขยับเนื้อตัวจะได้กลิ่นหอม Amber ตีขึ้นมาเบาๆ งามๆ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งในกลิ่น Amber ที่เรียกว่ามีความดีงามและชัดเจนในการที่จะให้เรียนรู้ว่ากลิ่นมีลักษณะไหนและเป็นอย่างไร ที่สำคัญไม่หนักเกินไปเสียด้วย ยิ่งถ้าใครชอบโทนลักษณะนี้ ฟินกันได้เลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://angelitamblog.files.wordpress.com/2015/10/lartisan-parfumeur-leau-dambre-extreme-box-100ml.jpg

วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Technique Indiscrete - Paname Paname

Technique Indiscrete - Paname Paname

ตอนที่ได้ยินชื่อแบรนด์นี้ครั้งแรก เรียกว่ามีความอยากเป็นการส่วนตัวตามประสาคนที่อยากรับรู้กลิ่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เช่นนั้นเลยหาข้อมูลกันเลยเพื่อเตรียมตัวจัดมาลอง ซึ่ง Technique Indiscrete ก่อตั้งขึ้นโดย Perfumer อย่าง Libertin Louison ที่เป็นชาวเบลเยี่ยมเมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นแบรนด์ของตัวเองไปเลย และมีน้ำหอมที่ปล่อยออกมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งแน่นอนสาย Niche กันเต็มๆ ซึ่งเมื่อได้มีโอกาสได้ลองรุ่นที่ชื่อ Paname Paname ที่แปลว่า Paris Paris เลยต้องมาบอกเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นนี้น่าสนใจมากแค่ไหน 

กลิ่นเปิดมาในวูบแรกกลิ่นโทนซิตรัสของส้มที่นำเด่นจะแว้บมาทักทายก่อน แต่เพียงแค่แว้บเดียวกลิ่นยี่หร่าแขกจะเสริมเข้ามาเร็วมาก กลิ่นจะผสมผสานกันจนได้อารมณ์ของเครื่องเทศที่กลิ่นค่อนไปทางมัสมั่นที่เราจะได้กลิ่นยี่หร่ามาเต็มทำนองนั้น แต่ว่ากลิ่นจะไม่ได้แรงจนกลายเป็นแขกตะวันออกกลางหรืออินเดีย มาสายแบบกำลังดี ออกทางเป็นกลิ่นยี่หร่าที่ไม่หนักมากนักเสียด้วยซ้ำไป ทำให้ได้เสน่ห์ไปอีกแบบและไม่ทำให้ตกใจมากนัก ซึ่งไม่นานกลิ่นอายของความเป็นกลิ่นแอปเปิ้ลที่กลั้วกับความเป็นขนมติดวานิลลาจะเสริมเข้ามาตัดทอนความเป็นยี่หร่าลงไปบ้างเล็กน้อย แต่ทำให้กลิ่นที่ได้มันมีเสน่ห์แบบความเป็นกลิ่นขนมหวานๆ มีผลไม้เจือๆ มีเครื่องเทศผสมผสานไปในตัวซึ่งในเนื้อกลิ่นแม้จะจับได้ถึงโทนดอกไม้จางๆ จากมะลิเบาๆ แต่มาแบบเสริมให้กลิ่นมีมิตินวลดอกไม้บ้าง ไม่ได้เป็นของกินจัดๆ เกินไป ที่สำคัญจะได้กลิ่นที่ค่อยๆ ปล่อยของเข้ามาทีละนิดของ Oak Moss จนเป็นหนึ่งในกลิ่นที่มาเต็มชัดมาก และนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นจะมีลักษณะของกลิ่นโทนหรูหราติดความเป็น Retro แบบกรุยกรายมีระดับแต่จะไม่ได้มาแบบแน่นหนักหน่วง เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีความนุ่มจมูกเคล้าในความเป็นลักษณะแบบเขียวสากของ Oak Moss กลั้วพิมเสนจางๆ กับกลิ่นอายๆ ลึกๆ อุ่นๆ ของแอมเบอร์มันเลยจะออกทางละมุนสมดุลมาก แต่เพราะกลิ่นอายของความเป็นโทนติดขนมเครื่องเทศในช่วงกลางยังตามมาในช่วงนี้ เลยทำให้กลิ่นไม่ได้ออกทาง Old School เกินไป ออกทางร่วมสมัยที่แตะความรู้สึกแบบจะหวานก็ได้ จะเก๋ก็ดี และจะกรุยกรายก็สามารถนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เรียกว่ากลิ่นนี้สร้างความรู้สึกมีระดับแบบเก๋ๆ ฉีกความรู้สึกแบบที่คิดนอกกรอบ แต่ไม่ทิ้งกรอบเดิมที่ควรจะเป็น เรียกว่าเป็นกลิ่นสาวเก๋ Working Woman แบบมีชั้นเชิงเลยก็ว่าได้ เลยจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป กลางแจ้งพอได้ เพราะกลิ่นมาแบบหรูๆ เสียด้วย เลยจะไม่ปล่อยพลังมากขนาดนั้น แต่ไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้ ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่แบบสบายๆ เก๋ๆ หรือออกงาน หรือดินเนอร์กับแฟนถือว่าได้หมด แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีข้ามจะดีกว่า เพราะมันมีมาดในเนื้อกลิ่นที่ไม่ได้ออกทางจะเน้นเซ็กซี่นัก เน้นมีคลาสและแอบถือตัวประมาณนั้น ส่วนผู้ชายทั้งหลาย เอาจริงๆ ก็ใส่กลิ่นนี้ได้ เพราะกลิ่นมีความเป็น Unisex ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และไม่ได้สาวจ๋าจัดจ้านเกินกว่าเหตุเสียด้วย 

ความทน - อยู่ที่ประมาณ 6-8 ชั่วโมง ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กำลังดีกับ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีกึ่งกลางๆ ในตอนต้น เรียกว่าอาจจะตกใจกับกลิ่นยี่หร่ากันหน่อย แต่แค่ไม่นานก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง แล้วเปลี่ยนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย เรียกว่า ไม่ได้มาสายปล่อยพลังรอยทิศ และปล่อยพลังแบบมีระดับที่เดินเข้ามาใกล้ๆ สิ แล้วจะได้กลิ่น 

ทิ้งท้าย - เดิมทีไม่ได้ถึงกับปลื้มกลิ่นยี่หร่าแขกเท่าไหร่ เพราะมันจะนึกถึงกลิ่นตัวแขกที่กินพวกเครื่องเทศแบบนี้เยอะ แต่แปลกที่ตัวนี้ทำออกมาได้ดีและสมดุลแกมนุ่มนวลและ Modern มากกว่าที่คิด แถมแตะความรู้สึกแบบเหมือนอยู่ในขนบ แต่แอบฉีกความรู้สึกออกมานอกกรอบจนเป็นลักษณะผสมผสานได้น่าสนใจมาก ซึ่งถือว่าเป็นอีกแบรนด์ Niche ที่น่าลองในอีกหลายๆ ตัวในอนาคตเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/perfume/nd.11282.jpg

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Hermes - Eau de Rhubarbe Ecarlate

Hermes - Eau de Rhubarbe Ecarlate

หนึ่งใน Best Perfumes of 2016 ในส่วนของน้ำหอม Unisex ของ Fragrantica ที่ถือว่าสมฐานะและคุณภาพมาเต็มกับการแสดงฝีมือเพื่อเข้าสู่การเปลี่ยนถ่ายจาก Perfumer หลักคนเก่าของ Hermes อย่าง Jean-Claude Ellena เป็นคนใหม่ที่รับช่วงต่อ คือ Christine Nagel ที่แบ่งภาคเหลือง - แดงกันคนละตัว กับการเสริมทัพไลน์ Eau de Cologne ของ Hermes เช่นนั้น นานๆ ทีจะเจอน้ำหอมที่กลิ่นอายของความเป็นสีแดงเด่นๆ ก็ต้องจัดกันหน่อยแล้ว ว่ากลิ่นอายจะเป็นอย่างไรบ้าง 

เพียงแค่ฉีดออกมากลิ่นอายเปรี้ยวสดชื่นได้อารมณ์แบบแยมสีแดงๆ เด้งออกมาเลย นั่นคือ กลิ่นอายของผักที่ชื่อว่า Rhubarb ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ถึงความเป็นโทน Citrus ติดเขียวแบบผักหน่อยๆ ที่รองพื้นเป็นฉากหลัง กลิ่นเลยจะเป็นลักษณะที่ธรรมชาติมากเลยทีเดียว และเพียงชั่วขณะวูบของกลิ่นอายแบบโทนเบอร์รี่จะเข้ามานำผสมผสาน กลิ่นอายเลยจะเป็นโทนสีแดงย้ำเข้าไปอีก โดยที่ยังมีความเปรี้ยวสดชื่นชัดเจน เพียงแต่จะไม่ได้เป็นลักษณะแบบผักผลไม้เดินได้ขนาดนั้น เพราะในเนื้อกลิ่นมีลักษณะโทน Airy ที่ออกทางโทนเย็นๆ แทรกเข้ามาด้วยตลอด เลยจะได้ความสดชื่นแบบอากาศยามเช้าเคล้ากลิ่นเปรี้ยวธรรมชาติ เข้าทางสไตล์ Cologne ชัดเจน ซึ่งกลิ่นโทนเปรี้ยวสดชื่นจะเริ่มลดลงไปกลายเป็นผู้สนับสนุนรองให้กลิ่นอายนุ่มนวลของ White Musk เป็นตัวเด่น และจะแอบมีกลิ่นนวลๆ ของกุหลาบบางๆ ให้รู้สึกถึงความนวลในเนื้อกลิ่น และจะได้ความสะอาดสบายจมูกกันอย่างชัดเจน โดยที่กลิ่นสดชื่นจะมีอยู่จางๆ ให้กลิ่นคุมโทนความเป็น Cologne ได้ดีและธรรมชาติไปตลอดตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายมากและมีระดับมากพอจากกลิ่นอายที่เป็นโทนตามธรรมชาติกันพอสมควร แถมยังเป็นโซนที่มหาชนชอบ ไม่ยี้ยามได้กลิ่นเสียด้วย ยกเว้นคนที่ไม่ชอบกลิ่นเปรี้ยวๆ โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แบบกวาดหมดครอบจักรวาลมาก ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืน ถ้าอากาศร้อนๆ ใส่เพื่อเพิ่มความสดชื่นอันนี้ได้ แต่ถ้าจะเอาไปเที่ยวราตรีตามผับบาร์บอกเลย #นก แน่นอน กลิ่นเบาไป

ความทน - เพราะพื้นฐานตัวนี้เป็น Eau de Cologne และมาสายสดชื่นติดธรรมชาติ ต้องทำใจว่ากลิ่นจะไม่ได้ทนมากนัก เฉลี่ยความทนจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 ชม. ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของกลิ่นโทนนี้ ทั้งๆ ที่กลิ่นดีและหอมสดชื่นมากจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาแบบออร่ารอบๆ ตัว แล้วกลายเป็น Skin Scent แบบยาวไป ซึ่งก็เป็นไปตามลักษณะของการเป็น Safe Scent นั่นเอง

ทิ้งท้าย - กลิ่นดีมากกกกก มีความเป็นธรรมชาติสูงมากที่ทำให้รู้สึกสบายและสดชื่น กระปรี้กระเปร่าจริงๆ ยิ่งใครที่ชอบกลิ่นอายเปรี้ยวสดชื่น รวมถึงสไตล์แบบ Jo Malone อันนี้ตอบโจทย์ทุกสิ่งอย่างจริงๆ ถือว่าการที่ได้ตำแหน่ง Best Perfume ฝั่ง Unisex ของปี 2016 ก็สมฐานะที่ควรจะเป็น ที่สำคัญเอาตำแหน่งนี้ไปเพิ่มได้เลยจากผม นั่นคือ#ของดีเทคนิคไม่ต้อง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://media.hermes.com/media/wysiwyg/visuel-gamme-ERE.jpg

วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Etat Libre d’Orange - Putain des Palaces

Etat Libre d’Orange - Putain des Palaces

เรียกว่าชื่อรุ่นนี้ถ้าไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสอาจจะแบบว่าไม่ได้คิดอะไร ซึ่งก็อย่ารู้เลยเนาะข้ามมาสนใจเรื่องกลิ่นที่ Etat Libre d’Orange เขาทำในรุ่นนี้ดีกว่า ว่าจะออกมาในลักษณะไหน แต่ถ้าจะเดาว่ากลิ่นบอกออกมาในลักษณะไหน ให้ดูที่ Logo ของรุ่นนี้แล้วจะถึงบางอ้อนะจ้ะตะเองว่ากุญแจไขเข้าไปในร่องสีชมพูมันหมายถึงอะไร >< 

Putain des Palaces ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นโทนแป้งที่ทำออกมาในลักษณะแบบกลิ่นแนวเครื่องสำอางลิปสติคเด่นมาเลย ผสมผสานกับกลิ่นที่สื่อสารตรงตัวว่ามาเต็มและเย้ายวนแบบชวนเข้ามานัวกำลังดีของกลิ่นหนังที่มาแบบนุ่มละมุน ซึ่งแรกเริ่มจะได้ความรู้สึกชัดเจนของโทนแป้งแนวๆ ไอริส ผสมผสานกับกลิ่นติดโทนซิตรัสจางๆ และมีกลิ่นขิงที่มาให้ความหวานโปร่งกันก่อน ซึ่งจะได้ความสดชื่นเคล้าแป้งเพียงแค่วูบสั้นๆ ซึ่งกลิ่นจะสัมผัสได้ว่ามันมีความ Dirty ในเนื้อกลิ่นแบบปลุกเร้ากันพอสมควรเพราะเหมือนจะมีเครื่องเทศแนวๆ ยี่หร่าแบบบางมากๆ มาผสมผสาน แล้วก็จะเข้าสู่ช่วงกลางที่มาไวและเด่นจัดกับการเป็นโทนแป้งที่มีความนวลโปร่งของดอกไวโอเล็ตที่จะมีกลิ่นอายนวลๆ ของกุหลาบมาเจือ ซึ่งกลิ่นช่วงนี้จะได้อารมณ์แบบกระเป๋าเครื่องสำอางกันอย่างชัดเจนมาก กลิ่นจะให้ความรู้สึกแบบหญิงสาวที่แต่งหน้าพร้อมลุยกันพอสมควรแต่กลิ่นไม่ได้ถึงกับก๋ากั๋นอะไรมากขนาดนั้น ออกแนวมีความดึงดูดในความเอียงอายกันได้อยู่ ซึ่งกลิ่นนี้จะลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย โดยที่กลิ่นโทน Animalic แบบสาปปลุกเร้าจะเริ่มดันขึ้นมา ซึ่งกลิ่นโทนแป้งมันตัดความดิบห่ามออกไปให้กลายเป็นความนุ่มนวลเย้ายวนและเซ็กซี่กึ่งดิบเร้ากึ่งนวลเนียนคลอเคลีย ซึ่งจะมี Musk มาให้ความใกล้เคียงการเป็นกลิ่นผิวกายเย้าๆ เข้าไปอีก โดยมีกลิ่นอบอุ่นรองพื้นจากแอมเบอร์นวลๆ เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้จะเป็นกลิ่นผิวกายที่เซ็กซี่ติดแป้งเครื่องสำอางที่มีกลิ่นกุหลาบจางๆ แบบชัดเจน กลิ่นสื่อสารตรงตัวถึงความเร้าใจที่ในฉากหน้าดูแบบว่าใสซื่อเอียงอายจริตมีกำลังดี แต่จริงๆ แล้วข้างในคือชั้นในซีทรูที่อื้อหือออออ พร้อมให้ไขกุญแจเปิดผ่างกันเต็มๆ บอกเลย! กลิ่นนี้มันร้ายยยยยยย วู้ววววว 

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถแล้ว สิ่งที่บรรยายข้างต้นแบบไม่ต้องสนใจชื่อรุ่น ก็จะมีค่อนไปทางสุภาพได้อยู่บ้าง แต่เย้ายวนอันนี้ชัดเจนตามประสาโทนน้ำหอมแบบนี้อยู่แล้ว จึงสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะยั่วยวนโจ่งแจ้งไปนิด ยกเว้นว่าต้องการนำเสนอความเซ็กซี่แบบมีจริตและดึงดูด อันนี้ก็จัดไปกลิ่นมาสายปลุกเร้าเช่นนี้อยู่แล้ว ซึ่งงานทางการอาจจะพอได้บ้าง ใส่ทำงาน Office ได้เลยสบายๆ รวมถึงใส่แบบทั่วๆ ไปก็จัดเต็มได้เลย ยกเว้นใส่ออกกำลังกายกับกิจกรรมกลางแจ้งกลิ่นไม่เข้าทางแต่ประการใด ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นนี้สื่อสารชัดเจนถึงความเย้ายวนอยู่แล้ว ยังไงก็ผ่าน อัดสเปรย์หน่อยก็สามารถเรียกร้องความสนใจได้เป็นอย่างด 

ความทน กลิ่นทนอยู่ที่ระหว่าง 6 – 8 ชม. โดยประมาณ อาจจะมากหรือน้อยกว้านี้อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอที่ราวๆ 10 ชม. แบบอยู่ในห้องแอร์ ถือว่ามีความดีงามในเรื่องนี้ไม่น้อย 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบปานกลาง แล้วจะมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายซึ่งเมื่อผ่าน 8 ชม. ไปแล้ว กลิ่นจะเป็น Skin Scent นัวน่าฟัดชัดเจน 

ทิ้งท้าย อย่างที่บอกเลยว่า กลิ่นนี้มันร้ายยยยยยย! เพราะว่าในความเอียงอายจริตดูผู้หญิงแบบนี้ แฝงไปด้วยความพร้อมที่จะปล่อยความเซ็กซี่แบบเอาให้เต็มที่กันได้เลย แต่ไม่ใช่ว่าใส่กลิ่นนี้แล้วจะสามารถสอยผู้ชายกลับบ้านได้เลย มันอยู่ที่บุคลิกส่วนตัวด้วย ถ้าวางตัวดีกลิ่นนี้เป็นตัวแทนของความ Feminine ที่ใช้ความเป็นเพศหญิงในการคุมเกมได้ไม่ยาก แต่ถ้าแบบเสื้อขาวชั้นในลายเสือดาว อันนี้ชัด กลิ่นนี้เสริมเข้าไปอีกว่า พร้อมได้อี๊กกกกกกกก!” 5555555

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://etatlibredorange.com/wp-content/uploads/2015/07/etat-libre-orange-putain-s.jpg และ https://leblogdelavieenrouge.files.wordpress.com/2010/01/13758_28528.jpg

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Ralph Lauren – Polo Blue Eau de Parfum

Ralph Lauren – Polo Blue Eau de Parfum 

เมื่อ Polo Blue อยู่ยั้งยืนยงมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2003 และเป็นอีกหนึ่งรุ่นของ Ralph Lauren ที่ได้รับความนิยมมาตลอดในการเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นอายสดชื่นติด Aquatic เด่นที่แตงกวาและเมล่อน ที่แน่ๆ คนเล่นน้ำหอมหลายๆ คนต้องผ่านกลิ่นนี้มาก่อนอย่างแน่นอน เมื่อแบรนด์ได้เอารุ่นยอดนิยมแบบนี้มาต่อยอดจาก EDT มาสู่ EDP เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมากลิ่นจะเป็นอย่างไร จะปรับเปลี่ยนหรือว่าคงเดิมเพิ่มความเข้มข้นหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์

เปิดตัว Top Notes กันด้วยความแตกต่างจากที่เคยได้กลิ่นมาในระดับหนึ่งเพราะไม่ได้มีลักษณะของการเป็นแตงกวากับเมล่อนแบบที่ได้รับรู้บน EDT แล้ว แต่จะเป็นกลิ่นอายสดชื่นแบบทะเลแบบติดความเป็น Citrus กันก่อน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความแน่นติดเครื่องเทศที่หอมกึ่งหวานกึ่งเผ็ดปร่าแต่นุ่มจมูกอย่างเม็ดกระวานทำให้กลิ่นช่วงต้นนี้มีความสดชื่นที่แน่นและชัดมากให้รู้สึกได้เลยว่ากลิ่นมันเข้มข้นขึ้น เพียงไม่นานความรู้สึกซ่าๆ ของสมุนไพรจะดันขึ้นมานำเข้าสู่ Middle Notes โดยความเป็นทะเลในเนื้อกลิ่นจะมีความปร่าซ่าของเซจและนวลติดเขียวของใบโหระพาเลยทำให้กลิ่นจะไม่มีโทนออกทางคาวทะเลแต่ประการใด ที่สำคัญยังคงความรู้สึกออกทาง Citrus ติดเขียวสดชื่นได้อยู่ โดยที่กลิ่นยังคงความชัดเจนที่สัมผัสได้ตลอด มีความแน่นแต่ไม่หนักหน่วงตามสไตล์น้ำหอมที่เป็นโทนสดชื่นเด่น แล้วเพียงไม่นานกลิ่นอายของไม้หอมแห้งๆ ที่นำทางด้วยหญ้าแฝกจะเริ่มเปิดตัวชัดขึ้นแทรกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับเอาความเป็นลักษณะของ Polo Blue เดิมมาให้รู้สึกได้เสียด้วยใน Base Notes ซึ่งกลิ่นอายของหนังกลับนุ่มๆ เคล้ากับกลิ่นอายของ Musk จะเป็นเหมือนตัวรองพื้นให้กลิ่นมีความนวลสะอาด โดยที่หญ้าแฝกที่เป็นโทนไม้หอมแห้งๆ จะตีคู่ขึ้นมากับพิมเสนที่ให้ความรู้สึกนวล โดยที่กลิ่นอายของทะเลติดสมุนไพรยังคงอยู่แต่ลดระดับลงมาจากช่วงกลางซึ่งจะยังให้ความรู้สึกสดชื่นอยู่ตลอด ภาพรวมยังคงมีลักษณะที่เป็นกลิ่นอายสดชื่นได้อารมณ์ติดเท่ห์หน่อยๆ มีความเป็นโทนสีฟ้าน้ำเงินสมกับความเป็น Polo Blue ที่โทนกลิ่นหลักคล้ายกันแต่เปลี่ยนตัวเอกในการนำกลิ่นที่แน่นและชัดเจนโดยไม่ทิ้ง Concept เดิมแต่อย่างใด

เปรียบเทียบความแตกต่าง ทั้ง 2 รุ่น มีพื้นฐานกลิ่นในช่วง Base อารมณ์เดียวกันคล้ายกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ
EDT – กลิ่นจะใสและสดชื่นเด่นที่แตงกวากับเมล่อนมีความเป็นโทน Aquatic มากกว่า
EDP – กลิ่นจะเน้นที่โทนทะเลกลั้วสมุนไพรที่ชัดและแน่นมากขึ้น

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นยังคงความเข้าถึงง่ายใช้ง่ายและมหาชนปลื้มปริ่มตามสไตล์ความเป็น Polo ที่ Ralph Lauren ทำมาได้ตลอดเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งกวาดหมดในทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะใส่แบบทางการหรือทั่วๆ ไป ครอบจักรวาลกันสุดๆ ที่สำคัญรุ่น EDP ยังสามารถใส่ยามค่ำคืนกับอากาศบ้านเราได้ดีเสียด้วย แม้ว่าอาจจะไม่ได้มาสายเย้ายวนอะไรมากก็ตาม แต่มันเข้าทางยังไงก็รอดได้สบายๆ

ความทน ในเมื่อเป็น EDP กลิ่นเลยเข้มข้นและทนมากขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมากกว่านี้อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าสดชื่นเป็นผู้ชายสีฟ้าอมน้ำเงินเข้มกันเลยทีเดียว แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย รุ่น EDT มีความดีงามอยู่แล้วแลเป็นหนึ่งในของดีเทคนิคไม่ต้องดียังไงก็ผ่าน อย. ทางด้านกลิ่น แต่พอเป็น EDP ถือว่าเป็นการต่อยอดที่ดีและชัดเจนมาก ซึ่งทำให้ Polo Blue ยังคงอยู่ในยุทธจักรน้ำหอมสดชื่นแบบตีคู่กันไปทั้ง 2 แบบได้อีกนานมาก ยังไงก็ตาม รุ่น EDP ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่ต้องยกตำแหน่ง #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ให้อยู่ดี ซึ่งส่วนตัวผมจะชอบ EDP มากกว่าเพราะความแน่นและความชัดเจนของเนื้อกลิ่นที่จับต้องได้มากขึ้นครับ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Credit
ภาพ - http://s7d2.scene7.com/is/image/PoloGSI/s7-1235777_standard?%24flyout_main%24&cropN=0.12%2C0%2C0.7993%2C1&iv=ZHYdm0&wid=1410&hei=1770&fit=fit%2C1



วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Bond No.9 - Central Park South

Bond No.9 - Central Park South 

เคยพาเข้าสวนมาแล้วโซนนึงกับรุ่น Central Park West ที่เป็นดอกไม้หอมนวลติดสดชื่นกันเต็มๆ ก็ได้เวลาเดินมาทางใต้ของ Central Park ของนิวยอร์คกันบ้างว่ากลิ่นอายที่ Bond No.9 ทำออกมาเพื่อ Tribute ให้โซนนี้จะเป็นอย่างไร 

เปิดมาก็ดอกไม้มาเลยทีเดียวเชียว เจ้าข้าเอ๊ยยย! กลิ่นในช่วงต้นจะมีความเป็นกลิ่นอายแบบดอกไม้ขาวกันเต็มๆ ที่มีความสดชื่นบางๆ ติดกลิ่นผลไม้โทนเบอร์รี่นิดๆ ซึ่งน่าจะมาจากดอกแบล็คเคอแรนท์ กับดอกเกรฟฟรุตที่ได้อารมณ์คล้ายดอกส้มที่จะมาเพียงวูบแรก แล้วจะเริ่มทยอยเข้าช่วงกลางกับการเป็นโทนดอกไม้ขาวที่มาเต็มมาก เด่นที่ความใสที่พอสมัผัสได้ของกลิ่นดอกกระดิ่งและดอกเกรฟฟรุตที่ตามมาตอนต้น มีกลิ่นมะลิที่เปรียบเสมือนเป็นตัวกลางที่เชื่อมกับกลิ่นดอกไม้ขาวโทนครีมมี่ข้นๆ อย่างดอกพุดและดอกซ่อนกลิ่นที่มาแบบท่วมท้นไม่น้อย กลิ่นที่จะเลยจะมีความเป็นโทนขาว ครีม นวล อวล ชัดเจน แต่ว่าจะยังมีความใสให้พอรู้สึกได้บ้าง ซึ่งกลิ่นโทนนี้จะเปรียบเสมือนเป็นตัวหลักของน้ำหอมรุ่นนี้เลย เพราะจะอยู่ยาวนานไปจนถึงช่วงท้ายแบบที่เด่นเสมอต้นเสมอปลายมาก จนเมื่อเรื่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นมีความเบาลงมาหน่อยและมีกลิ่นอายของไม้หอมสะอาดๆ กำลังดี เคล้ากับ Musk ที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง ให้ความรู้สึกสะอาดนุ่ม ก็เดินทางมาถึงช่วงท้ายของน้ำหอมแล้ว ซึ่งกลิ่นอายของดอกไม้ขาวจะเริ่มลดกำลังลงมาทำให้รู้สึกได้ว่า ในความนวลขาวครีมนั้น มีความรู้สึกติดโทนเขียวหน่อยๆ ให้รู้สึกได้ถึงความเป็นธรรมชาติที่มีกลิ่นอายแบบเดินเล่นในสวนที่มีดอกไม้ขาวเป็นหลักแล้วกลิ่นลอยมาตามลมให้ความรู้สึกนวล สะอาด และผ่อนคลาย 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ตราไว้ชัดเจนว่าเป็นกลิ่นของผู้หญิง ก็หมายความตามนั้นเลย เพราะแม้ว่าจะ Unisex ตอนช่วงท้ายก็จริง แต่ว่าความเป็นดอกไม้ขาวก็สาวกันจนแทบไม่นึกถึงแล้ว ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะยามทางการหรือทั่วๆ ไป แบบกลางแจ้งก็พอได้ แต่ให้จำกัดจำนวนสเปรย์ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์จะลงตัวมาก เพราะกลิ่นปล่อยพลังแผ่บาเรียกันได้สุดติ่งจริงๆ ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปเลย ไม่เหมาะทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน ตัวนี้สามารถใส่ได้เพราะการปล่อยของโทนดอกไม้ขาวนี่แหละ ซึ่งจะทำให้รู้สึกถึงความอ่อนโยน สีขาวออกครีม และนุ่มนวลได้ดีไม่น้อยเลย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ถึงกับยั่วยวนก็เท่านั้นเอง 

ความทน - ขั้นสุดมากกกกกกก คือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้รับรู้ได้ตลอด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายแบบรอบทิศและเต็มเหนี่ยวมากในช่วงต้น และค่อนข้างคงตัวปล่อยของกระจายดีแบบยาวไปจนถึงต้นๆ ช่วงท้ายเลย จึงค่อยลดลงมาเป็นปานกลาง ลงมาเรื่อยๆ เมื่อผ่านราวๆ 8 ชม. ไปแล้วถึงได้เป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - ไม่เข้าใจว่ากลิ่นมันมาสายดอกไม้ขาวมากกกกกกก แต่ขวดนี่ดอกชมพูกันให้ตรึมๆ รวมถึงดอกที่ประดับขวดแยกก็ชมพูบานเย็นซะขนาด แต่กลิ่นไม่ได้ทำให้รู้สึกได้ถึงโทนสีหวานๆ นี้หรือมีกุหลาบเลย มีอาการมองบน โดนขวดหลอก 55555 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่เป็นอีกกลิ่นที่เป็นโทนดอกไม้ขาวชัดเจนมาก ใครชอบโทนนี้มีฟินแน่นอน

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://www.bondno9.com/central-park-south.html