วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: The Scent of Departure - MIL Milano

The Scent of Departure - MIL Milano

เมื่อได้ยินชื่อแบรนด์ The Scent of Departure ครั้งแรก มีความงงๆ พอสมควร แต่พอได้ฟังคำบอกเล่าและค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเลยได้รู้ว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ลูกของHistoires de Parfums ที่เปิดตัวออกมาในการนำเสนอถึงการไปยังสถานที่ต่างๆ ในโลก แล้วนำเอามาทำเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นอายสื่อถึงสถานที่นั้นๆ ถือว่าเป็นการเก็บความทรงจำที่แสนงดงามในรูปแบบของกลิ่นที่ยากจะลืมนั่นเอง เช่นนั้นก็ขอเปิดศักราชการเล่ากลิ่นแบรนด์นี้กันหน่อยกับรุ่นแรกอย่าง MIL Milano ที่สื่อสารถึงความเป็นเมืองมิลานของ Italy กันหน่อยว่าจะเป็นยังไงบ้าง 

ว่ากันถึงเมืองมิลาน ของอิตาลีที่หลายๆ คนรู้จักกันในนามของเมืองแฟชั่นและช้อปปิ้ง และมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามเยอะแยะมากมายเช่น ดูโอโม่ พิพิธภัณฑ์ต่างๆ มากมายเต็มไปหมด คาเฟ่ดีๆ ให้นั่งจิบกาแฟชมบรรยากาศเมือง ไปดูฟุตบอลสโมสรชื่อดังทั้งเอซีและอินเตอร์มิลาน รวมถึงไอติมเจลาโต้ที่เข้มข้นแสนอร่อย (อันนี้ไม่รวมในด้านที่ไม่น่าโสภาอย่างพวกขโมยและโจรเยอะอย่าบอกใครเลย) และสิ่งที่ The Scent of Departure นำเสนอออกมา

ก็เปิดตัวด้วยโทนกลิ่นอาย Citrus ผสมกับความเป็น Fruity กันก่อนเลยในวูบแรก โดยกลิ่นอายของพีชที่ไม่ได้มาแบบแห้งๆ จะมีความหวานกำลังดี เจือความเปรี้ยวติดสดชื่นปลายหวานของเลมอน แต่สิ่งที่ดันเข้ามาแทนที่คือโทนเครื่องเทศที่ดึงดูดอย่างกระวานและอบเชยที่ให้ความหวานปนเผ็ดบางๆ และอบอุ่นเจือ รวมถึงมีกลิ่นของแครอทติดหวานบางๆ ติดเจือขมหอมของกาแฟอ่อนๆ ที่แทรกขึ้นมาไวมาก ผสมผสานจนได้กลิ่นลักษณะที่เป็นเครื่องเทศโทนหวานโปร่งเย้ายวนกำลังดี กลิ่นไม่หนักเกินไปและไม่เบาเกินไป ให้ความรื่นรมย์ปนหวานเย้าได้ชวนยิ้มและรื่นรมย์มากจริงๆ ส่งต่อให้กับช่วงกลางที่คราวนี้จะได้เวลาของการเป็นโทนเครื่องเทศโปร่งๆ เคล้ากลิ่นหวานแบบแครอทที่ปั่นแยกกากแยกน้ำ แต่ว่าไม่ได้มาแบบฉ่ำสดชื่น เพราะมาแบบแห้งๆ แทน โดนกลิ่นโทนผลไม้ในตอนต้นจะมาผสมผสานให้กลิ่นแครอทมีโทนหวานเจือโทนแป้งหน่อยๆ ที่สำคัญกลิ่นมีความนวลสว่างหอมรวยรินของกลิ่นโทนดอกไม้ ซึ่งจะจับได้ถึงกลิ่นแนวมะลิและกุหลาบบางๆ ที่ให้ความหวานนวลที่มาเป็นสายสนับสนุนให้กลิ่นโทนเครื่องเทศและแป้งแครอทหอมหวานโปร่งมีมิติสว่างนวลคลอเคลียไปตลอด โดยที่จะมีโทนกลิ่นกาแฟที่เนียนเจืออยู่ในนั้นด้วยและปูทางไปสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นกาแฟจะมาแบบติดครีมมี่เจือแป้งหน่อยๆ อารมณ์แนวๆ กาแฟใส่ครีมนม เจือกลิ่นหอมหวานสว่างของแครอทกับเครื่องเทศที่ยังไม่ไปไหน และมีกลิ่นติดขมหอมของโกโก้ที่ดันขึ้นมาด้วย กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึกของขนมหรือไอศครีมโกโก้ที่ไม่ได้ปล่อยพลังหนักหน่วง มีความกลางๆ พอดีๆ และก็มีความดึงดูดสูงมากเพราะกลิ่นละมุนชัดเจน ซึ่งกลิ่นในภาพรวมจะมีความอบอุ่นประปรายในเนื้อกลิ่นแบบไม่ข้นหนักทำให้เกิดความหอมหวานโปร่งและอยู่ในโทนสว่างไปตลอด ซึ่งถ้ามองความเป็นมิลานในกลิ่นนี้ อารมณ์คือ จิบกาแฟ ทานขนม โรแมนติค นั่งชมวิวของดูโอโมยามกลางวันที่อากาศดีๆ และอบอุ่นสบายตัวยังไงยังงั้นเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ได้หมดทุกเพศ วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็จัดได้สบายมาก กลิ่นมีความกลางๆ และดึงดูดแบบไม่โฉ่งฉ่างแต่ชัดเจนได้ดีเลย สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือว่าทั่วๆ ไปใส่ได้สบายมาก กลิ่นให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หวานโปร่งและอบอุ่นแบบไม่อึดอัดไปตลอดเสียด้วย แต่อาจจะมีการใส่เพื่อออกกำลังกายที่คิดว่าควรจะเว้นไปหรือรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปลงตัวมาก กลิ่นให้ความอบอุ่นน่าเข้าใกล้ หวานหอมน่ากอดก็ย่อมได้ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีนัก เพราะว่ากลิ่นไม่ได้หนักพอที่จะไปสู้กับกลิ่นอายแน่นๆ นัวๆ หวานจัดจ้านปล่อยของกันสุดพลังแบบที่คนเที่ยวกลางคืนใส่กันมาประชันแน่นอน 

ความทน - เรียกว่าลงตัวกับราวๆ 6 ชม. มีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด รวมถึงอิงสภาพอากาศด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอที่ราวๆ 6 ชม.บ้าง ถ้าวันนั้นอากาศไม่ร้อนจัดเหงื่อไหลย้อย เจอ 8 ชม. บ้างถ้าอยู่แต่ในห้องแอร์ กับจำนวนสเปรย์คงที่ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายกลางๆ แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นซัก 5 ชม. กลิ่นเริ่มเป็น Skin Scent แบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - เรียกว่ากลิ่นงามจริง เพราะว่ากลิ่นแบบนี้ไม่ค่อยหาได้เจอจากที่ไหน เอาข้อดีของกลิ่นหอมติดหวานแครอท มาเจอกลิ่นอบเชยโปร่งๆ ให้ความอบอุ่น และเจอกลิ่นกาแฟหอมมีเสน่ห์ เคล้าโทนสว่างนวลปลอดโปร่งได้ลงตัวและใช้ได้ง่ายมาก เป็นอีกหนึ่งในกลิ่นที่น่าสนใจมากจริงๆ ของแบรนด์นี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – DesignCrushBlog
--> http://designcrushblog.com/wp-content/uploads/2013/06/The-Scent-of-Departure-2-Design-Crush.png

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Acqua di Parma - Colonia Intensa

Acqua di Parma - Colonia Intensa

ถ้าพูดถึงน้ำหอมโทนสดชื่นสาCitrus จากอิตาลีที่มองข้ามไปไม่ได้ง่ายๆ หนึ่งในนั้นก็ต้องมีแบรนด์นี้ Acqua di Parma เพราะถือเป็นหนึ่งในสายกลิ่นอายสดชื่นเรียบหรูสไตล์ Cologne ที่มีดีในตัวสูงมากและเข้าถึงได้ง่ายอย่างมีระดับ เช่นนั้นเมื่อห่างหายจากแบรนด์นี้ไปนานมาก ก็ได้เวลากลับมาบอกเล่ากลิ่นกันอีกครั้งกับการเอากลิ่นอายสดชื่นที่เข้ากับอากาศบ้านเรามาบอกเล่ากันหน่อยว่าจะเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้เลย Colonia Intensa 

บอกก่อน - เนื่องจากส่วนตัวไม่เคยได้ลองรุ่น Colonia ที่เป็นตัวต้นตระกูลของน้ำหอมรุ่นนี้ เลยจะไม่ได้กล่าวถึงความเชื่อมโยงใดๆ เน้นการเล่ากลิ่นที่รุ่น Colonia Intensa เป็นสำคัญ 

เปิดตัวกันด้วยกลิ่นอายของความเป็น Citrus ติดเครื่องเทศโทนโปร่งเผ็ดแต่หวานเจือของขิงกันเต็มๆ เรียกว่ามาถึงก็ให้ความสดชื่นติดโทนสว่างสไตล์ Cologne มาเลย ซึ่งถือเป็นการผสมผสานกันลงตัวมาและสอดรับกันอย่างดีโดยที่กลิ่นขิงก็ไม่เด่นเกินหน้าเกินตา กลิ่น Citrus ก็ไม่คมจ๋าเกินกว่าเหตุ ซึ่งจะสัมผัสได้ว่ามีความกึ่งฉ่ำกึ่งแห้งในระดับหนึ่ง แต่ในวูบถัดมาจะเริ่มมีอะไรมาให้จับต้องได้มากขึ้น ทำให้เห็นถึงมิติของกลิ่นที่เนียนเอาความเป็นเครื่องเทศโทนเผ็ดโปร่งเจือหวานเย้ามาเสริม นั่นคือ เม็ดกระวาน แต่ไม่ได้มาแบบเพื่อฆ่า เน้นมาแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ให้รู้สึกได้และเป็นตัวที่สร้างมิติหวานเย้า ทำให้กลิ่นในช่วงต้นมีลูกเล่นให้จับต้องได้ดีไล่เรียงจากต้นสดชื่นปิดด้วยปลายหวานโปร่ง ซึ่งเรียกว่าเป็นกลิ่นเปิดที่ดีและมีมิติที่น่าสนใจมากจริงๆ กับการเป็นโทนสดชื่นที่มีอะไรๆ ให้จับต้องได้เยอะกว่าที่คิ 

แล้วเพียงไม่นานความเป็นกลิ่นอายติด Citrus กลั้วเขียวปนนวลของดอกส้มจะเริ่มดึงเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นจะยังมีความสดชื่นอยู่เจือความเป็นโทนเขียวสมุนไพรหน่อยๆ ซึ่งได้อารมณ์แบบ Cologne แมนๆ สะอาดๆ และยังคงมีความหวานจากกระวานที่ตามมาตั้งแต่ตอนต้นอยู่ แต่จะเริ่มมีความอบอุ่นเจือมากขึ้นตามลำดับจะเริ่มจับได้ถึงกลิ่นอายไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ แนวซีดาร์ที่เสริมกลิ่นอายแบบสุภาพบุรุษ เคล้ากับกลิ่นอายยางไม้แบบกำยานและติดขมหน่อยๆ ออกทางเรซิ่นสร้างความอบอุ่นระเรื่อๆ ที่ค่อยๆ ลดบทบาทของกลิ่นโทนสดชื่นลงให้เหลือเบาๆ และตัวที่เริ่มมาพลิกเกมอีกหนึ่งคือ กลิ่นอายเบาๆ ของหนังที่เริ่มเปิดตัวมาเป็นสายสนับสนุนกำลังดีให้กลิ่นมีความนุ่ม แมน สุภาพบุรุษ และมีระดับ ซึ่งไม่เพียงแค่นี้ เพราะกลิ่นหนังเบาๆ นุ่มๆ นี้จะเป็นตัวเอกในช่วงท้ายของน้ำหอมแต่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วง มีลักษณะคล้ายผิวกายสะอาดๆ เพราะมี Musk ที่ให้ความสะอาดนุ่มมาแจม และมีกลิ่นอ้อยอิ่งของไม้หอมปนกลิ่นธูป Incense โปร่งจางๆ กลั้วพิมเสนและโทนสดชื่นเบาๆ ที่ยังตามมา โดยคุมโทนความเป็นกลิ่นแนวสุภาพบุรุษสะอาดๆ มีระดับปนภูมิฐานน่าค้นหาได้ลงตัวยาวไปจนกว่าจะจางไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ซึ่งกลิ่นมีพื้นฐานของการเป็นโทนสดชื่นเป็นสำคัญก็จริง แต่มีระดับมากพอในลักษณะสไตล์สุภาพบุรุษแต่งตัวดีและสะอาดสะอ้านอย่างมีรสนิยม ซึ่งแตะได้ทั้งความชิลล์ๆ และความภูมิฐาน จึงสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมด ยังไงก็รอดและมหาชนชอบได้ไม่ยากเสียด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปจะลงตัวกว่าการใส่ไปท่องราตรีเพื่อปล่อยเสน่ห์ เพราะโดนกลบหมดแน่นอน

ความทน - แม้ว่ารุ่นนี้จะเป็น Eau de Cologne แต่ถือว่าความทนทำออกมาได้ดีมากเลยกับราวๆ 6 - 8 ชม. เผลอๆ มากกว่าอีก ซึ่งก็อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 7 สเปรย์ ในวันอากาศร้อนๆ เหงื่อซึมทั้งวัน กลิ่นยังอยู่ให้รับรู้ได้อยู่เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าสร้างความสดชื่นกันได้เลย แล้วจะลดลงมากระจายแบบค่อนไปทางออร่ารอบๆ ในช่วงกลาง ก่อนจะลดลงมาเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย ที่ยังมีวูบตีขึ้นให้รับรู้ได้ว่ากลิ่นสะอาดๆ แบบมีมิติของโทนไม้หอมและหนังที่มีระดับแบบสุภาพบุรุษยังคงอยู่ให้อุ่นใจได้

ทิ้งท้าย - เชื่อขนมกินได้เลยว่า กลิ่นนี้ใส่ไปเถอะยังไงก็รอด ให้สไตล์ความเป็นสุภาพบุรุษที่ชัดเจนและมีระดับมากจริง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - http://www.slapiton.tv/colonia-intensa-eau-de-cologne-spray-by-acqua-di-parma-180ml.html

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Ermenegildo Zegna - Italian Bergamot

Ermenegildo Zegna - Italian Bergamot

พูดถึง Bergamot หรือมะกรูดฝรั่ง ถือว่าเป็น Note ยอดนิยมมากมายก่ายกองเลยก็ว่าได้ กลิ่นออกทางติดเขียวปนขม มีความซ่าๆ ติดชื้นๆ ไม่ถึงกับฉ่ำ แต่แอบมีกลิ่นอายติดปร่าซ่าบางๆ ออกทาง Spicy นวลๆ เจืออยู่ด้วย ซึ่ง Bergamot นี่เสมือนเป็นพื้นฐานกลิ่น Citrus ที่คนชอบน้ำหอมสดชื่นต้องผ่านกันมาตรึมๆ มาก่อนกันแทบจะทั้งนั้น เช่นนั้นเมื่อเข้าสู่การเป็นหนึ่งในไลน์ Essence ของ Ermenegildo Zegna การชูโรงการเป็นน้ำหอมกลิ่นอายอิตาลีจึงต้องมา เช่นนั้นก็ได้เวลาของความเป็น Italian Bergamot กันซักหน่อยแล้ว 

เรียกว่าชูโรงความเป็น Bergamot ตั้งแต่ต้นยันจบได้มีความสดชื่น แมนๆ สะอาดสะอ้านได้น่าสนใจเลยทีเดียว ที่สำคัญมีความเป็นลักษณะของน้ำหอมอิตาเลี่ยนที่มีความสดชื่นติดฉ่ำ Citrus แบบธรรมชาติได้ลงตัว โดยที่การเป็นกลิ่นอายหลักแบบลักษณะการเป็น Center Note ของ Bergamot จะลดหลั่นกันไปตามแต่ละช่วง โดยเริ่มที่ Top Notes กับการเปิดตัวการเป็นโทน Citrus ที่มีกลิ่นอายติดเขียว กลิ่นของ Bergamot จะชัดเจนมากมีความเปรี้ยวติดขมและซ่าติด Spicy โปร่งๆ แบบกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ตามเปลือกผล กลิ่นมีความฉ่ำกำลังดี และในเนื้อกลิ่นจะจับได้ถึงความเขียวติดเปรี้ยวและมีความนวลสะอาดให้จับต้องได้ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคือกลิ่นอายของดอกส้มสไตล์ Neroli (สกัดด้วยไอน้ำ) ที่แอบมีความเป็นกิ่งก้านส้มเขียวบางๆ คลอไปด้วย ซึ่งเป็นสายสนับสนุนกันอย่างชัดเจนให้กลิ่นของ Bergamot เด่น แม้จะติดคมนิดหน่อย แต่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นสบายๆ และไพล่ไปทางแมนๆ สะอาดตั้งแต่แรกเริ่มเลย

ผ่านไปไม่นาน ความเป็น Bergamot เริ่มจะเข้าสู่โทนแห้งแต่ออกทางโปร่งสบายมากขึ้น ในเนื้อกลิ่นเริ่มสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีกลิ่นอายปร่าๆ ของสมุนไพรติดเขียวมินต์วูบแรกก่อนจะติดออกทางไม้หอมเจือการบูรบางๆ เข้าทางลักษณะของการเป็น Rosemary และมีกลิ่นอายไม้หอมแห้งๆ เบาๆ สบายๆ ไม่ได้ถึงกับ Smoky เข้าทางลักษณะแบบหญ้าแฝกเจือเข้ามาอ่อนๆ กลิ่นเลยได้อารมณ์ผ่อนคลายเจือนุ่มสบายๆ สดชื่นเบาๆ สะอาดๆ อารมณ์สีเขียวอ่อนเจือขาวสว่างมาชัดเจนมากจริงๆ ก่อนจะส่งต่อให้ช่วงท้ายที่คุมโทนความสะอาดชัดเจน พอจับกลิ่นได้ลักษณะคล้าย Oak Moss จางๆ ให้อารมณ์ความเขียวติดทึบนิดๆ ให้แอบมีมิติที่ออกทางสบายๆ เบาๆ เจือกลิ่นอาย Bergamot ที่ตอนนี้เป็นกลิ่นอายแบบลักษณะคล้ายผิวที่มีน้ำมันหอมระเหยบางๆ ของผล Bergamot ทำให้กลิ่นมีความสะอาดติดสดชื่นเรียบหรู เรื่อยๆ และอะโรม่าผ่อนคลาย รวมถึงบ่งบอกได้เลยถึงการเป็นน้ำหอมโทน Citrus สไตล์อิตาเลี่ยนได้เป๊ะ! ตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ระบุไว้ว่าเป็น Unisex แต่เอาเข้าจริง ไปสายแมนๆ ถึง 80% ได้เลย สาวๆ ก็พอใส่ได้ ถ้าเน้นสไตล์ลุยๆ ติดบอย ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์อะไรประมาณนี้ก็ถือว่าไปได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้ใส่ได้แบบกวาดหมดครอบจักรวาลในการใช้งานยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป ใส่ไปเถอะรอดหมด แม้กระทั่งใส่ออกกำลังกายก็ยังได้สบายมากเลย ให้ความสะอาดติดสดชื่นเรียบหรูได้ลงตัว ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่แบบทั่วไป ชิลล์ๆ พักผ่อน จัดไปสบายมาก แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีตัดออกไปได้เลย ชาวบ้านกลบหมดเกลี้ยง

ความทน - ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ความทนมีความแกว่งพอสมควร ซึ่งอยู่กับเคมี จำนวนสเปรย์ และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ โดยเฉลี่ย อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นนี้มีความเป็น Safe Scent เลยทีเดียว การกระจายจะอยู่ในโซนดีค่อนไปทางปานกลางในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง และเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าเป็นกลิ่นที่นำเสนอความเป็น Bergamot ได้ดี ไม่หนักไม่หน่วงไม่ปรี๊ดพุ่งทะลุอะไร เน้นที่ความสะอาดเรียบหรูสบายๆ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวที่ไม่จงใจมากไปในการใช้น้ำหอมและปลอดภัยหายห่วงมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit -
http://www.elleroom.com/.../14348/product/z-mk4_08569.jpg

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Maison Francis Kurkdjian - Aqua Celestia

Maison Francis Kurkdjian - Aqua Celestia

เมื่อได้เห็นว่า Concept ของรุ่น Aqua Celestia หนึ่งในน้ำหอมโซน Aqua ของแบรนด์ Maison Francis Kurkdjian มาจากเส้นขอบฟ้าที่เป็นจุดบรรจบกันของพื้นทะเลและท้องฟ้าจนเป็นผืนเดียวกัน เรียกว่าความน่าสนใจมากเต็มและคาดเอาไว้ว่าน้ำหอมต้องมีความสวยงามในความเรียบง่ายเป็นแน่แท้ เช่นนั้นสบโอกาสตอบสนองความอยากรู้อยากดมแล้ว จึงได้รู้ว่ากลิ่นอายจากสิ่งที่แบ
รนด์บอกมันเป็นลักษณะนี้เลย 

เปิดตัวกันเต็มๆ กับการเป็น Citrus ที่ไม่ได้มาสายเปรี้ยวปรี๊ดนัก เพราะว่าในเนื้อกลิ่นมีลักษณะนวลๆ ในความสดชื่นเสียมากจากกลิ่นเขียวปนนวลไพล่ไปทางดอกส้มหน่อยๆ ที่ทำให้รู้สึกสะอาดเจือไปตลอด และมีวูบของโทนแบบ Aquatic บางๆ เคล้ากับกลิ่นอายติดเขียวติดผลไม้ที่ให้ความเปรี้ยวเจือหวานปลายผสมเข้ามาให้ไม่ใช่ Citrus จ๋าๆ เกินไปเลยทำให้กลิ่นมีความสดชื่นติดนวลปลายแบบไม่คม ที่สำคัญมีความหอมสดชื่นผ่อนคลายติดเขียวของมินต์ที่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงเกินไปเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวชูโรงตีคู่ไปด้วย ซึ่งแม้ว่าจะทำให้นึกถึงการเป็นเครื่องดื่มค็อกเทลประเภท Mojito ใส่ผลไม้ไปบ้าง แต่ยังไงกลิ่นอายที่รองพื้นด้วยโทนสะอาดเลยไม่ได้มุ่งไปสายลั่นล้ามากขนาดนั้น เน้นความเรียบหรูสว่างนวลเป็นสำคัญ 

ไม่กี่อึดใจต่อมากลิ่นหอมติดเขียวอมหวานโปร่งของดอกกระถินเทศสีเหลือง (Mimosa) จะเริ่มเข้ามาแจมและดึงซีนไปสู่ช่วงกลางให้ความเป็นเอกลักษณ์แบบเขียวอมหวานโปร่งก็จริง แต่เพราะโทนสดชื่น Citrus มินต์นวลสว่างที่ตามมาจากช่วงต้นได้ผันตัวมาเป็นสายสนับสนุน เลยมีมิติความสะอาดสดชื่นเรียบหรูเสริมให้ไม่เป็นโทนดอกไม้จ๋าจนเกินไป ที่สำคัญวูบของกลิ่นอายแบบผลไม้ก็ยังพอจับต้องได้บ้างบางๆ เลยทำให้ได้ความสดใสอ้อยอิ่งอยู่ในเนื้อกลิ่นให้รับรู้ไปด้วย ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นกลิ่นอายที่ลงตัวพอดีระหว่างความเป็น Citrus, Fruity, Floral และ Green โดยที่มีความหอมสดชื่นติดหวานปลายผ่อนคลาย Aromatic ที่ให้อารมณ์โทนสว่างขาวติดครามและสดชื่นโปร่งๆ กำลังดีไปตลอด จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความรู้สึกนุ่มๆ เนียนๆ แทรกเข้ามาเรื่อยๆ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นโทนสดชื่นและโทนดอกไม้ปนเขียวจะเริ่มดรอปลงมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของโทนสะอาดนุ่มติดนวลแทน ซึ่งจะมี Musk จะเป็นตัวเด่นสุดในช่วงนี้ ให้ความนุ่มนวลสะอาดมีความสดชื่นติดหวานโปร่งปลายกลิ่นผสมผสานอยู่กำลังดี ได้ความรู้สึกแบบเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ที่กลิ่นหอมนุ่มสะอาดแกล้มสดชื่นเบาๆ มีระดับแบบไม่ต้องเยอะสิ่งแต่เอาอยู่ได้ดีแบบที่ยังไงก็รอด แถมเรียบหรูดูผู้ดีได้ชัดเจนมากอีกด้วย 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่าเป็นน้ำหอม Unisex ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น แต่อาจจะไพล่ไปทางสาวๆ ประมาณ 60% อยู่บ้างเพราะว่ากลิ่นของ Mimosa มักจะทำให้คิดถึงน้ำหอมผู้หญิงเอาได้ แต่ยังไงผู้ชายใส่ได้สบายมากถึงมากที่สุด เพราะกลิ่นมันมาสายโทนสว่างและสะอาดเป็นสำคัญ ซึ่งกลิ่นนี้กวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป จะอะไรก็สามารถใส่ได้หมด เพราะกลิ่นมาสายหอมสดชื่นปลอดภัยเคล้าความเรียบหรู คนได้กลิ่นมักจะไม่ค่อยยี้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่สบายๆ ทั่วไปจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรีหรือจิบตามผับบาร์แน่นอน เพราะกลิ่นไม่ได้เน้นปล่อยของนอกจากให้ดูรู้สึกว่าสะอาดสะอ้านมีคลาสดีเท่านั้นเอง 

ความทน - เรียกว่าทำได้ดีเกินคาดกับกลิ่นสไตล์นี้ ซึ่งความทนลากยาวไปที่ 8 ชม. ได้สบายๆ จะมีบวกลบบ้างตามแต่จำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีดและสภาพผิวเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. แบบที่ไม่คิดว่าจะหอมได้ยาวนานได้ขนาดนี้ อันนี้ยกนิ้วให้จริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนปิดท้ายด้วย Skin Scent ซึ่งมาแนวเดียวกับสาย Safe Scent ชัดเจน 

ทิ้งท้าย - หนึ่งในกลิ่นสดชื่นเรียบหรู ไม่เยอะสิ่ง และไม่ไก่กาแต่ประการใด มีลูกเล่นแบบที่ไม่คิดว่าจะเจอกับกลิ่นของ Mimosa ที่มาแจมกับโทนสะอาดสดชื่นแบบนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดี มีความมินิมัลแบบมีระดับมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Website - Maison Francis Kurkdjian


https://www.franciskurkdjian.com/aqua-celestia-inspiration-en.html

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Parfum Prissana - Le Cirque Bleu

Parfum Prissana - Le Cirque Bleu

Parfum Prissana คือหนึ่งในน้ำหอมแบรนด์ไทย ที่เปิดตัวขึ้นมาโดยการนำเสนอกลิ่ยอายที่เป็นการให้ความเคารพต่อโทนกลิ่นอายที่เป็นความคลาสสิคเหนือกาลเวลาอย่างโทน Vintage ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพกลิ่นและส่วนผสมจัดเต็มแบบที่ไม่มีกั๊ก จนได้เป็น Pure Parfum ซึ่งการผลิตเน้นประยุกต์กระบวนการแบบดั้งเดิม รวมถึงเป็น Limited Edition ตามตัวแปรต่างๆ ในการผลิต
และคุณภาพของส่วนผสม เช่นนั้น เมื่อได้เดินเข้าสู่ความเป็นแบรนด์นี้ เรียกว่าต้องยอมรับในเสน่ห์ของน้ำหอมที่มีความซับซ้อนและลูกล่อลูกชนที่มาเต็ม และได้ความรู้สึกของการนำเอาความเป็น Vintage มาสร้างความแตกต่างในความ Modern ได้อย่างลงตัวเกินคาด เช่นนั้น ก็ได้เวลาของการบอกเล่ากลิ่นอายแรกของแบรนด์นี้แล้ว นั่นคือ 

Le Cirque Bleu หรือละครสัตว์สีน้ำเงิน เป็นหนึ่งในงานศิลปะทางด้านภาพวาดของ Marc Chagall ศิลปินชาวรัสเซีย โดยทุกอย่างจะสื่อสารออกมาชัดเจนบนพื้นฐานหลักของการเป็นสีน้ำเงินที่มีเฉด มีโทน และมีอารมณ์สื่อสารออกมาซึ่งแล้วแต่การตีความตามมุมมองของคนที่ชม เช่นนั้น กลิ่นอายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพนี้ตามที่ได้สัมผัส จะแบ่งออกเป็นช่วงต่างๆ ประมาณนี้ 

ช่วงเปิด - เป็นการผสมผสานอย่างชัดเจนถึงลักษณะการเป็นโทนเข้มแต่มีความเยือกเย็น โดยศูนย์กลางของกลิ่น คือ กลิ่นหนังและไม้หอมแนวๆ ไม้สน ที่จะล้อคู่กันไปตลอด โดยกลิ่นเปิดที่สัมผัสได้ คือ กลิ่นอายของโทนไม้หอมแบบเยือกเย็นแบบแห้งๆ เป็นหลัก ซึ่งจะมาจากกลิ่นอายของไม้สนที่จะมีความชื้นๆ ในกลิ่นหน่อยๆ หอมนวลลักษณะแบบ Evergreen ติดปลายหวานโปร่ง แบบกลิ่นป่าสนเขียวชะอุ่มปนยางไม้เรซิ่นติดหวานอารมณ์ประมาณนั้น ซึ่งจะมีกลิ่นอายของเครื่องเทศโทน Fresh Spicy เผ็ดปร่าที่ให้ความซ่าโปร่งๆ ของเม็ดผักชีมาอ้อยอิ่งให้รับรู้ได้ แต่แปลกอย่างคือ มาแบบเย็นๆ ไม่ได้เผ็ดร้อนอะไร เพราะมีลักษณะกลิ่นอายเยือกเย็นปร่าๆ ติดเขียวแกมไปด้วยโทน Citrus บางๆ ของมะกรูดฝรั่งแบบติดแห้งที่มาเสริมให้มีมิติสดชืิ่นบางๆ และยังไม่พอกลิ่นจะมีความนวลของลาเวนเดอร์ ที่มาให้ความนุ่มตีคู่กับไม้หอม ทำให้มีความนวลสร้างความ Aromatic นวลจมูกท่ามกลางกลิ่นอายเย็นๆ กับกลิ่นอาย Smoky ที่เข้ามาแจมเนียนๆ ด้วย เพียงแค่ช่วงนี้ก็มีความเท่ห์ นิ่ง ขรึม นวลที่สื่อสารออกมาชัดเจนมาก 

ช่วงกลาง - เมื่อกลิ่นพัฒนาในระดับหนึ่งผ่านไปราวๆ 15 นาทีได้ ความเป็นกลิ่นของไม้สนจะยังคงให้ความหอมนวลอยู่ เพียงแต่จะลดระดับลงมา เพราะเริ่มมีกลิ่นอายสมุนไพรติดแห้งๆ เคล้ากับกลิ่นอายของลาเวนเดอร์ มาผสมผสานกับกลิ่นหนังติด Animalic แกมความดาร์ก Smoky เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญของกลิ่น ทำให้กลิ่นเริ่มเป็นลักษณะแบบกลิ่นหนังในความเย็นๆ เคล้าไม้สน ที่มีความเป็นสมุนไพรติดกลิ่นโทน Aromatic จากลาเวนเดอร์ให้ความนวล กลิ่นยาสูบให้ความหวาน เคล้าความ Smoky แบบยางไม้ไหม้ๆ ดาร์กๆ ทำให้กลิ่นมีลักษณะเป็นสีน้ำเงินออกทางขรึมๆ ไม่ได้ออกทางดำมืด หรือสว่าง มีควาสมดุลย์พอดีเป็นสีน้ำเงินที่น่าค้นหาในความขรึมอย่างมีเสน่ห์ ได้ภายในหัวแบบเป็นกลิ่นอายคล้ายอยู่ในป่าสนเย็นๆ กลางคืนๆ กับท้องฟ้าที่สีน้ำเงินลึกๆ มีความลึกลับ น่าค้นหา กลิ่นควันลอยมาผสมกับบรรยากาศจางๆ และมีกลิ่นอาย Animalic ของหนังกับโทนกลิ่นสาปปลุกเร้า เหมือนมีเต้นท์หนังหรือกลุ่มคนใส่ชุดหนังคลุมอยู่ในเราเห็นแบบไม่ห่างไปมากนัก 

ช่วงท้าย - กลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนเข้าสู่การเป็นลักษณะที่มีความเป็น Vintage จากกลิ่นโทนหนังที่แห้งลง เจือความเป็นโทน Animalic แบบสาปปลุกเร้าที่ชัดขึ้น กลิ่นมีความเซ็กซี่ตามธรรมชาติได้ลงตัวมากจากกลิ่นของชะมดเช็ด (Civet) และกลิ่นออกทางหนังไหม้ๆ เข้มๆ เจือจากแนวกลิ่นของ Castoreum (ต่อมเพศของบีเวอร์) ทำให้กลิ่นช่วงนี้มีพื้นฐานความเป็น Animalic Leather ที่จับต้องได้ในครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งคือความเป็น Vintage ออกสไตล์กลิ่นออกทาง Smoky ติดไม้หอมแห้งๆ ผสมผสานกับกลิ่นออกแนว Oak Moss ที่ให้ความแห้งเจือเขียวปนกลิ่นฝุ่นบางๆ รวมถึงมีกลิ่นของพิมเสนคลอเบาๆ ให้ความรู้สึกแบบ Earthy ที่ดิบเท่ห์กำลังดี แต่สิ่งหนึ่งที่ยังพอสัมผัสได้ นั่นคือกลิ่นยังติดหวานปลายของยางไม้กับไม้สนนวลแต่แห้งอยู่บางๆ ให้มิติของกลิ่นอายช่วงเปิดเบาๆ ที่ตามมาเนียนๆ ซึ่งเรียกว่า ช่วงนี้เป็น 2.5 โทน ที่มาเจอกันครึ่งทางและผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ทั้ง 1.หนัง 2.Chypre ติด Smoky และอีก 0.5 คือ ความ Aromatic ของกลิ่นโทนไม้สนกับยางไม้ ให้ภาพชัดเจนแบบสีน้ำเงินติดขรึมเท่ห์ มีความ Cool ติดเย็นชา ลึกลับดึงดูด คลาสสิคแต่ก็มีความร่วมสมัยเจือนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่เนื้อกลิ่นไพล่มาสายผู้ชายราวๆ 65 - 70% ได้ เพราะกลิ่นมีความเท่ห์และแมนพอสมควร เพียงแต่ผู้หญิงก็ยังใส่ได้ เพราะสร้างออร่าความน่าค้นหาแบบนิ่งกึ่งเย็นชาแบบคลาสสิคได้ดีมากจริงๆ ซึ่งกลิ่นนี้จัดได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ใส่ออกทางการก็สามารถให้ลุคขรึมมีระดับได้ดีเชียว หรือจะใส่ทั่วๆ ไปที่ให้ความเท่ห์ติดดาร์กเย็นๆ กึ่งคลาสสิคกึ่ง Modern ให้ดูแตกต่างอย่างชั้นเชิงไม่เหมือนใครก็สามารถ แต่กลิ่นนี้ไม่เหมาะกับการใส่ไปกิจกรรมกลางแจ้งอากาศร้อนหรือว่าออกกำลังกาย เพราะแน่นอนว่าเปลือง และเดี๋ยวกลิ่นตีขึ้นจนชาวบ้านมองหน้าเอาได้ว่าใส่มาผิดงาน ส่วนยามค่ำคืนจัดได้สบายมาก ยิ่งถ้าใส่กับเสื้อผ้าแนวๆ เข้ม ยิ่งทำให้น่าค้นหาท่ามกลางความดาร์กออกได้ดีมาก 

ความทน - กราบบบบบบบบ Pure Parfum นี่นา กลิ่นทน 15 ชม. เลย อาบน้ำแล้วกลิ่นก็ยังอยู่ติดผิวอยู่เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางแบบยาวไป จนพอผ่านไปซัก 6 - 8 ชม. กลิ่นจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวอย่างมีชั้นเชิงในความเท่ห์มาก 

ทิ้งท้าย - ตรงๆ นี่คือหนึ่งในข้อสอบ เพราะกลิ่นมีความซับซ้อนมากและในแต่ละครั้งที่ได้ใช้ได้เทส จะมีอะไรใหม่ๆ ให้รับรู้ได้เสมอ และอารมณ์หลักๆ ก็ไม่ใช่แบบที่เคยสัมผัสได้มันมีอะไรมากกว่านั้น เรียกว่า เหนื่อย แต่ก็ดีใจใจที่ได้มีโอกาสจับต้องกลิ่นที่มีความซับซ้อนและลูกเล่นที่มีมิติต่างๆ มากมายขนาดนี้ ที่สำคัญแม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ให้ความรู้สึกของการเป็นละครสัตว์ตรงๆ แต่สิ่งที่ได้คือ ความลึกลับแบบภาพวาด Le Cirque Bleu ที่มีอะไรให้เราค้นหาในแต่ละองค์ประกอบของภาพว่านี่คืออะไร จนมาประกอบกันเป็นจิ๊กซอว์ที่ได้องค์รวมเป็นลักษณะของความ Unique ของกลิ่นที่มีทั้งความ Vintage และ Modern แบบเท่ห์ๆ มีเอกลักษณ์และฉีกเป็นโทนที่เด่นในทางตัวเองได้ชัดเจน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกจากแบรนด์ Parfum Prissana และสุคนธกรผู้ปรุง นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit by Facebook Page - ParfumPrissana


https://www.facebook.com/parfumprissana/photos/a.212258626020852.1073741829.173023393277709/212258339354214/?type=3&hc_location=ufi  


วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Thierry Mugler - A*Men Urban

Thierry Mugler - A*Men Urban 

เพียงแค่เห็นชื่อรุ่น อย่างแรกคือแปลกใจว่า A*Men ของ Thierry Mugler มีรุ่นนี้ด้วยหรือนั่น ซึ่งหลังจากหาข้อมูลไปมาถึงได้รู้ว่า นี่เป็นรุ่น Limited Edition ที่มีการวางจำหน่ายแถวยุโรปชั่วคราว แล้วระงับไปในเวลาต่อมา ทำให้รุ่นนี้มีขายกระจายตามเว็บไซต์ขายน้ำหอมเชื่อถือได้มาอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็หมดไปในที่สุดในความ Rare Item ของรุ่นนี้ แต่การค้นฟ้าคว้าดาวด้วยความพยายาม ก็สามารถเอาตัวนี้มาครอบครองได้ เช่นนั้นได้เวลาจัดเต็มกันแล้วกับรุ่นนี้เลย A*Men Urban 

สปอยกันตั้งแต่ต้นเรื่องมันเลยแล้วกันว่า กลิ่นไม่ต่างอะไรกับการเป็A*Men ตัวต้นตระกูลเลย เปลี่ยนแค่เกราะที่ใส่ประมาณนั้นแต่บางวูบมันมีบางโทนที่เด่นขึ้นมาจากตัวต้นตระกูลบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นนัยยะสำคัญอะไรนัก เพราะลักษณะนี้มันเป็นได้จากการผลิตต่างล็อตที่คุณภาพส่วนผสมอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง การเปิดตัวมาลักษณะที่ชัดเจนกับ Signature หลักของกลิ่นอย่างพิมเสนที่จะเป็นตัวเดินเรื่องแบบยาวไป กลิ่นจะมีความสากๆ จมูก Earhty แบบดิบๆ ติด Spicy ชัดเจนเพราะกลิ่นของเม็ดผักชีกับมินต์จะเป็น 2 ประสานดันความพุ่งฟุ้งกระจายออกมาแบบเผ็ดปร่าปนสดชื่น สนับสนุนด้วยกลิ่นอายโทนผลไม้เจือๆ เคล้ากลิ่นลาเวนเดอร์ที่มาแบบนวลๆ รองพื้นอยู่ และมีความแน่นสไตล์กลิ่นโทนหอมหวานอบอุ่นแนวๆ นม คาราเมล และกาแฟที่ค่อยๆ ปลดปล่อยสวัสดิกะออกมาให้อารมณ์เรียกร้องความสนใจแบบที่อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า อะไรของมันกันเนี่ยนัวมะรุมมะตุ้มไปทุกสิ่งอย่างตามสไตล์น้ำหอมที่ Hate it or Love it แต่จะสัมผัสได้เลยว่า กลิ่นมันมีโทนหวานรองพื้นชัดเจนมากท่ามกลางความบาด ความสาก และความพุ่งกระจายแบบไม่แคร์สื่อใดๆ ของกลิ่น

และก็ได้เวลาของการเปลี่ยนความรู้สึกที่มะรุมมะตุ้มในช่วงแรกไปได้ เพราะกลิ่นของคาราเมลจะเด่นขึ้นมาแบบหวานติดคมนิดๆ แต่ไม่ใช่หวานเลี่ยน เพราะกลิ่นอายโทนสากดิบแต่เร้าใจของพิมเสนจะตีคู่มาอย่างชัดเจน โดยยังติดกลิ่นอายโทน Fresh Spicy จากตอนแรกอยู่ให้รู้สึกปร่าๆ เคล้ากับลาเวนเดอร์ที่มานุ่มๆ เนียนๆ มีความครีมมี่นุ่มนมหน่อยๆ Animalic จางๆ ของน้ำผึ้ง แต่สิ่งที่จับได้ชัดเจนคือกลิ่นไม้หอมเจือกาแฟที่เข้ามาค่อนข้างชัด แต่ความซับซ้อนไม่ได้มีแค่นั้น เพราะสิ่งที่จับได้ออกแนวอ้อยอิ่งแต่ชัดเจนอยู่คือ กลิ่นอายมะลิที่ชัดพอสมควร ซึ่งกลิ่นตอนนี้ที่แม้มันจะเป็นลักษณะเดียวกันกับต้นตระกูล แต่มันก็แอบมีความชัดที่มากกว่าต้นตระกูลนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นนัยยะสำคัญนักตามที่บอกข้างต้น ซึ่งช่วงนี้กลิ่นจะมีหลายโทนให้จับต้องทั้งโดยมีพื้นฐานในความหวานแบบดึงดูด ไม่เหมือนใคร มาสายเซ็กซี่เย้ายวนปล่อยพลังปล่อยของไม่ยั้งแบบจัดเต็มเข้าไปอี๊กกกกก 

จนเมื่อกลิ่นกาแฟเริ่มจะกลายเป็นตัวเด่นตีคู่กับคาราเมล กลิ่นเลยจะมีอารมณ์ติดดาร์กน่าค้นหาเข้ามาเสริม เคล้ากับความอบอุ่นติดหวานปนนุ่มนมน่าซุกก็เริ่มมาชัดเจนมากขึ้นจากโทนวานิลลา ถั่วตองก้า และแอมเบอร์ เคล้ากับกำยานเนียนๆ หอมหวาน มีกลิ่นไม้หอมครีมจางๆ นวลๆ เคล้า Musk หน่อยๆ กลิ่นแบ่งเค้กกันได้ลงตัวและผสมผสานกันอย่างดีทั้งโทนหวานและโทนอบอุ่น แต่สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย คือ พิมเสน ไม่ได้หนีไปไหน มาสายอ้อยอิ่งยั่วเย้าติดสากบางๆ ที่เซ็กซี่ปนขี้เล่นหน่อยๆ แบบปล่อยของทุกเม็ดไม่มีลดราวาศอก ทุกอย่างเรียกว่ามาเต็ม คุมความเป็นโทนเซ็กซี่ หวานยั่ว ฟุ้งกระจาย ปล่อยพลังแบบโทนน่ากินได้ครบถ้วนและโจ่งแจ้งแบบไม่มีปิดบัง สมกับคำว่า “Sex in the Bottle” ไม่มีผิดเพี้ยนแต่ประการใด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ได้สบายมาก เพียงแต่กลิ่นนี้มาสายถ้ารักก็ฟิน ไม่รักก็เกลียดวายป่วงเอาได้ เช่นนั้น การใส่จึงต้องอยู่ที่ความมั่นใจส่วนตัว และดูสถานการณ์บ้างอะไรบ้าง ให้ตัดการใส่เพื่องานทางการทุกกรณีไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้สื่อให้เห็นความภูมิฐานแน่ๆ นอกจากจะยั่วเย้าเอาเข้าไป รวมถึงตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย จุกคอหอยตายหมู่เอานะ บอกเลย แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปที่ชัดเจนในการเรียกร้องความสนใจจะใช่มาก ทางที่ดีจำกัดสเปรย์หน่อยในยามกลางวันแบบอากาศบ้านเรา เดี๋ยวจากยั่วยวนจะเป็นยั่วโมโหเอาได้ ส่วนยามค่ำคืน จัดไป เรียกว่ามาเพื่อฆ่า มาเพื่อเด่น จะหวานให้ตายแค่ไหน A*Men มา ก็ต้องสยบในเรื่องการปล่อยของแบบให้รู้ว่า ผมมาเพื่อเซ็กซี่” (แต่อาจจะสูสีกับ Joop Homme นิดนึงในเรื่องการปล่อยพลังก็เท่านั้นเอง) 

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และสามารถลามไปทั้งวันถึงค่อนคืนเลยด้วยซ้ำ ความทนเป็นเลิศมาก กลิ่นติดเสื้อเอาไปซักจนแห้งสะอาดแล้วยังมีกลิ่นหอมหวานจางๆ ลอยออกมาเลย 

การกระจาย - Sillage Monster ตามสไตล์แหละ กระจายดีมาก (อันนี้อิงที่จำนวนสเปรย์ด้วย เพราะถ้าใส่ไม่เยอะ จะไม่ได้ปล่อยพลังเยอะอะไรมา มาแนวพอดีๆ แทน) แล้วจะลดลงมาที่กระจายดี ก่อนเรียกร้องความสนใจยาวไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 12 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวเซ็กซี่ชวนซุกแทน 

ทิ้งท้าย - มันคือการ Review แบบ Rewrite ใหม่ ถึงตัว A*Men ที่เปลี่ยนเกราะใหม่ที่ดูเท่ห์ขึ้นในสไตล์สีเขียวแบบทหารหล่อกล้ามใหญ่เรียกร้องความสนใจ ใครสนก็ให้มากินหัวกินหางกินกลางลำตัวแบบชัดเจนไม่มีปิดบัง ประมาณนั้นเลย 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – FragranceX
--> https://img.fragrancex.com/.../parent/medium/71020m.jpg

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Review: Cafe de Parfum - Black Addiction

Cafe de Parfum - Black Addiction 

บราวนี่ เอ่ยถึงคำนี้ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นลูกครึ่งระหว่างคุกกี้กับเค้กชอคโกแลต ที่มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามสูตรของใครก็ว่าไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอร่อยมากยิ่งคนชอบชอคโกแลตนี่มีฟินมากแน่นอน แต่เมื่อบราวนี่กลายเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมของแบรนด์ Cafe de Parfum กับรุ่น Black Addiction ก็ออกมาในรูปแบบนี้เลย 

"บราวนี่" เป็นแรงบันดาลใจอย่างชัดเจนของน้ำหอมรุ่นนี้ ในแง่ของสี ความดาร์ก ความเข้ม ความน่าค้นหา และความดึงดูด แบบบราวนี่สีดำชอคโกแลตที่เชิญชวนให้กลืนน้ำลาย แต่ตัดเอาความเป็นกลิ่นอายหอมหวานแบบโทนขนมออกไปพอสมควร ซึ่งเปิดตัวกลิ่นอายแรกเริ่ม อาจจะมีกลิ่นอายของไม้สนหอมสะอาดติดชื้นๆ เปียกหน่อยๆ เคล้ากลิ่นอายออกทางแป้งโปร่งหวานมีกลิ่นของส้มผสมในเนื้อกลิ่นอยู่ เพียงไม่นานก็เปลี่ยนไปสู่ช่วงกลางที่กลิ่นของไม้หอมจะเด่นมากขึ้นและชัดมากขึ้น โดยกลิ่นไวโอเล็ตจะยังตามมาอยู่ แต่ว่าจะลดทอนลงไปให้อารมณ์โปร่งหวานเบาๆ กลิ่นเริ่มแห้งมากขึ้น และกลิ่นในช่วงนี้จะเริ่มมีโทนโกโก้ที่ดันขึ้นมาให้รู้สึกได้ถึงความนัวติดโทนแป้งในระดับหนึ่ง พร้อมกับสิ่งที่ทำให้กลิ่นมีลักษณะของกลิ่นอายดาร์กมากขึ้นคือ โทน Smoky กลิ่นจะมีความติดไหม้ควันเคล้าความเป็นไม้หอมนวลปนนัว เรียกว่าเป็นช่วงที่แบ่งเค้กกันได้อย่างลงตัวเลยระหว่างความเป็นไม้หอม โกโก้ และกลิ่นควันไอ Smoky เข้ม ที่เจือความหวานบางๆ ซึ่งให้อารมณ์ที่เป็นลักษณะที่เข้าใกล้ความเป็นบราวนี่ทั้งสีและโทนกลิ่นแบบพอแตะให้รับรู้ได้ กลิ่นไม่ได้ดาร์กเข้มข้นจนขมดำดิ่งลึกไปหมด แต่มีความโปร่งหอมนวลกำลังดี เย้ายวนดึงดูดกำลังงามเสียด้วย จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีลักษณะที่มีความกลมมากขึ้น เพราะกลิ่นอายของไม้หอมจะเข้ามาผสมผสานกับโกโก้ กลิ่นจะมีความนุ่มนวลหอมละมุน มีสมดุลย์กำลังดีโดยมีพื้นฐานของโกโก้ที่นวลขมเบาๆ และติดขรึมดาร์กแต่ะละมุนจากโทน Incense ที่เจือหวานบางๆ มีกลิ่นนวลอ้อยอิ่งเจือในนั้นให้พอรู้สึกได้จากพิมเสน กลิ่นในช่วงนี้จะมีความแห้งอุ่นในระดับหนึ่ง และมีความขมติดปลายหวานหอมกลมกล่อมได้ลงตัว ได้ความรู้สึกเท่ห์ ขรึม Cool อบอุ่นกำลังดี มั่นใจในตัวเอง และมีเสน่ห์ได้ลงตัวแบบยาวไปเลยทีเดียว 

ภาพที่เห็นเชื่อมโยงกับน้ำหอม - ผู้ชายใส่ชุดสีดำมาดเนี้ยบ มีความนิ่งในลุคที่ดูมั่นใจใน Sex Appeal ของตัวเอง มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำซากจำเจแบบหนุ่ม Office ทั่วไป กับ บราวนี่ที่วางตรงหน้าและ Tablet/iPad ในมือ

เหมาะสำหรับ - เอากลิ่นกลิ่นโทนนี้มีความ Unisex อยู่ในตัวไม่น้อย ซึ่งสามารถใส่ได้ทุกเพศ เพียงแต่จะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าประมาณ 70% ซึ่งถ้าสาวๆ ชอบความดาร์กติดเท่ห์ปนอบอุ่นหน่อยๆ ใส่ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้แตะได้หมดทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะออกงาน ทำงาน Office หรือว่าชิลล์แบบเท่ห์ขรึมๆ ก็ย่อมได้ เพียงแต่ไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืน ถือว่าใส่ได้สบายมากสร้างลุคน่าค้นหาได้ดีจริงๆ กับทุกสถานการณ์ ถ้าต้องการใส่ไปท่องราตรีอัดสเปรย์หน่อยก็สู้เขาได้อยู 

ความทน - ราวๆ 8 ชม. กำลังดี อาจจะมีบวกลบก็ว่ากันตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากลางๆ แล้วผ่อนลงตามลำดับมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นซัก 6 ชม. กลิ่นจะเริ่มผันมาเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

ทิ้งท้าย - เพราะเอาจริงๆ กลิ่นอายขนมสไตล์บราวนี่ก็มีหลายๆ แบรนด์ทำออกมาแล้ว และมักจะออกทางหอมหวานจนบางครั้งเลี่ยน แต่ Black Addiction กลับไม่ใช่ เพราะเป็นบราวนี่โทนขมนวลที่หอมดึงดูด สร้างเสน่ห์เฉพาะออกมาได้ดี และไม่เหมือนใคร ยิ่งใครชอบกลิ่นอบอุ่นติดดาร์กน่าค้นหา ตัวนี้น่าสนใจและเป็นหนึ่งในกลิ่นที่ไม่เหมือนใครได้ลงตัว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ Cafe de Parfum นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit - Facebook Page : Cafe de Parfum


วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Review: Aerin Lauder - Waterlily Sun

Aerin Lauder - Waterlily Sun 

เมื่อได้อ่านเนื้อหาว่า Aerin Lauder ได้แรงบันดาลใจในการทำน้ำหอมจากการเป็นเที่ยวสวนของ Claude Monet ที่ Giverny ฝรั่งเศส ด้วยการเอากลิ่นอายของดอกบัวสาย (Water Lily) มาเป็นหนึ่งในกลิ่นโทนหลัก ที่นำเสนอความสดใสแบบสไตล์ Watery Floral ท่ามกลางอากาศที่สดชื่นและแสงแดด เช่นนั้น เมื่อได้ซึมซับความหอมอย่างเต็มที่แล้ว จึงได้เวลาบอกต่อว่ากลิ่นอายของรุ่นนี้จะเป็นอย่างไร กับรุ่นนี้เลย Waterlily Sun 

เปิด Top Notes กันเต็มๆ ด้วยความเป็นกลิ่นโทน Citrus Green ที่สดชื่นและมีความซ่าๆ Sparkling ติดฉ่ำน้ำกำลังดี เรียกว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะกลิ่นอายเขียวสดชื่นปนฉ่ำน้ำค้าง จะมีกลิ่นโทนมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ให้ความเปรี้ยวติดซ่าได้อารมณ์แบบสไปร์ซซาบซ่าที่มีกลิ่นอายนวลๆ ติดดอกไม้รวยรินปนหวานโปร่งเจือในเนื้อกลิ่น และมีความแปร่งติดอับน้ำบางๆ หวานปะแล่มๆ หน่อยๆ ตามธรรมชาติ ไม่ได้ดูสวยจนประดิษฐ์เกินกว่าเหตุ ทำให้กลิ่นเปิดนี้ได้อารมณ์เดินเล่นในสวนที่มีกลิ่นดอกไม้ลอยมาจางๆ ในยามเช้าโดยเฉพาะกลิ่นของดอกบัวในน้ำที่บานสวยสะพรั่งแบบกำลังดีลยอมาให้รับรู้ได้ และส่งต่อให้ Middle Notes กลิ่นออกทางฉ่ำน้ำเริ่มเบาลงไปในระดับหนึ่ง แต่ยังคงให้ความซาบซ่าสดชื่นติดเขียวระเรื่อเจือกลิ่นอายอากาศสดชิื่นอยู่แบบเป็นสายสนับสนุนแทน ซึ่งดันให้กลิ่นโทนของดอกบัวสาย (Water Lily) เด่นขึ้นมาแทนในลักษณะหอมหวานโปร่งสบายๆ รื่นรมย์จมูก กลิ่นแปร่งๆ ติดโทนระหว่างเขียวปนหวานปนฉ่ำอับจางๆ เริ่มหายไป แต่มีกลิ่นอายของมะลิเบาๆ เข้ามาผสมผสานให้กลิ่นมีโทนหอมนวลปนใส มีโทนสว่างแบบวันฟ้าโปร่งสบายๆ ในสวนที่ทีดอกไม้มากขึ้นให้จับต้องได้ กลิ่นอาจจะไม่ได้ธรรมชาติเท่าช่วงแรก แต่กลิ่นเริ่มสวยขึ้นตามความน่าจะเป็นของลักษณะการเป็นโทน Watery Floral ที่เข้าถึงได้ง่าย สวยงามตามท้องเรื่อง และเริ่มเข้าทางการเป็นคอนเซปท์ตามชื่อรุ่นอย่าง Waterlily Sun ชัดเจนมากขึ้น จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ว่า ความนุ่มสะอาดแบบสไตล์ Musk เริ่มดันขึ้นมา ก็เปิดทางเข้าสู่ Base Notes ที่จะกลายเป็่น Floral Musk สะอาดๆ นุ่มนวล มีกลิ่นโทนหวานโปร่งๆ นวลจมูกเจือบางๆ ให้ความผ่อนคลายไปตลอดแบบที่ไม่ได้หวือหวา เรียบแต่หรูและเอาอยู่แบบผ่าน รวมถึงรอดทุกทางนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้สบายมาก กลิ่นเรียกว่าเข้าถึงง่าย คนได้กลิ่นมักไม่ยี้ และเผลอๆ ชอบกลิ่นที่เราใช้ได้ในทันทีเช่นกัน เพราะกลิ่นมันได้อารมณ์สดชื่นและผ่อนคลายสบายๆ ได้เลย ซึ่งสามารถใช้ได้แบบกวาดทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป อาจจะมีการใส่เพื่อออกกำลังกาย ที่รอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า เพราะกลิ่นโทนสไตล์ดอกไม้เวลากระจาย อาจจะทำให้คนอึดอัดได้ ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ชิลล์ๆ ทั่วไป หรือออกงานจะดีที่สุด บ่งบอกความเรียบหรูได้ดีเชียว แต่ตัดการใส่เพื่อเที่ยวกลางคืนไปได้เลย เบาไป สู้ชาวบ้านไม่ได้แน่นอน ส่วนคุณผู้ชายเอาจริงๆ กลิ่นนี้ก็มีความ Unisex อยู่ในระดับหนึ่งเลย เช่นนั้นถ้าไม่มายด์ใส่ได้สบายมาก 

ความทน - ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วค่อยมาเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ใช้ง่ายมาก มีความรอดสูง และผ่อนคลายอย่างมีระดับเรียบหรูกำลังดี เอาจริงๆ เป็นกลิ่นในสาย #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้สบายมากเลยด้วยซ้ำ ใครชอบสายกลิ่นออกทางโปร่งหวานปลายสไตล์กลิ่นดอกบัว บอกเลยใช้แล้วมีสิทธิ์ฟินสูงมากจริงๆ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Pinterest -->
https://www.pinterest.com.au/pin/351069733436296859

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Review: Parfums Dusita - Fleur de Lalita

Parfums Dusita - Fleur de Lalita

พูดถึงน้ำหอมที่เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้สดชื่น มักจะทำให้เรารู้สึกได้ว่ามีความอะโรม่า รื่นรมย์ สดใส และมักจะสื่อสารถึงความเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นธรรมชาติ เพียงแค่ลองนึกภาพว่า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนดมกลิ่นดอกไม้สดชื่นยามเช้าในสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้คนเดียว ก็สามารถทำให้เรายิ้มได้กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า และซึมซับความสุขนั้นๆ ไปโดยไม่รู้ตัวได้เสมอ เช่นนั้น เมื่อเห็นว่า Parfums Dusita นำเสนอน้ำหอมที่ออกใหม่ล่าสุดในปี 2018 กับความเป็นดอกไม้ เช่นนั้นจะไปไหนเสีย ต้องซึมลึกกับกลิ่นนี้ให้เต็มที่ และผลที่ออกมาคือ 

Fleur de Lalita เป็นหนึ่งในกลิ่น Fresh Flowers ที่ให้อารมณ์ของการเป็นน้ำหอมโทนดอกไม้ที่มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก เพราะมีกลิ่นอายเขียวๆ ติดสดชื่นปนฉ่ำนิดๆ ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว โดยเริ่มต้นที่กลิ่นอายดอกไม้สดที่มีความเขียวของกลิ่นยางไม้ของ Galbanum ที่จริงๆ น่าจะมาสายเขียวคมพุ่งพรวดทะลุจมูก แต่กลับไม่ใช่ เพราะกลิ่นจะมาให้ลักษณะของกลิ่นแบบยางไม้เขียวๆ ที่ฉ่ำๆ สดชื่นกำลังดีแทน อารมณ์แบบเวลาเราหักกิ่งไม้เขียวๆ ที่อาจจะมีเมือกลื่นๆ หรือไม่ก็ตามแล้วมีกลิ่นเขียวฟุ้งออกมาประมาณนั้น ซึ่งกลิ่นนี้จะมากลั้วไปกับกลิ่นดอกไม้สดแบบดอกไม้รวมไม่ว่าจะเป็นกุหลาบที่มาอ่อนๆ ติดสดชื่น แมกโนเลียที่ออกทางสดชื่นติดเปรี้ยวปลายหวาน มะลิที่ออกทางหวานใสอ้อยอิ่ง กลิ่นหวานเย้านวลของกระดังงา และที่สำคัญกลิ่นของลิลลี่ที่หอมติด Spicy ปนแว๊กซ์หวานๆ ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้ถึงการเป็นช่อดอกไม้ที่ผสมรวมๆ แต่งอย่างเรียบง่ายและสวยงามแซมกิ่งก้านเขียวๆ หรือสวนที่มีดอกไม้ต่างๆ เหล่านี้ประดับอยู่ท่ามกลางอากาศสดชื่นยามเช้าติดฉ่ำน้ำค้างนิดๆ ซึ่งเรียกว่าเปิดมาก็สร้างอารมณ์ให้เราเห็นภาพชัดเจน ที่สำคัญกลิ่นโทนดอกไม้ต่างๆ เหล่านี้จะเป็นกลิ่นหลักที่อยู่ให้รับรู้ยาวไปถึงช่วงท้ายเลย

เมื่อกลิ่นเริ่มผันเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นเริ่มมีความนวลมากขึ้นตามลำดับ เพราะมีโทนครีมมี่ติดดอกไม้ขาวดันเข้ามาจากกลิ่นอายใกล้เคียงความเป็นซ่อนกลิ่น (Tuberose) ที่ไม่ได้มาแบบข้นๆ มีความใสปนนวล ซึ่งเสริมทัพกับกลิ่นดอกไม้ที่ตามมาตั้งแต่ตอนต้นได้ลงตัวมาก ที่สำคัญในช่วงนี้จะมีกลิ่นอายออกทางเขียวใสคมนิดๆ แบบติดเมือกเรซิ่นโปร่งๆ วูบขึ้นมาพร้อมกับโทนเวจจี้เขียวผักผสมกับกลิ่นอายของ Musk ติดเมทัลลิคจางๆ รองพื้นอยู่ตลอดแต่ไม่ได้เด่นออกมามาก เพราะแบ่งเลเยอร์ชั้นการกระจายของกลิ่นได้ดี คือ กลิ่นที่กระจายออกมาเป็นดอกไม้สดชื่นหอมใสปนนวลเขียวบางๆ แต่กลิ่นที่ติดผิวจะเป็นดอกไม้ปนเขียวโปร่งติดเรซิ่นชัดเจน เรียกว่าเป็นมิติของกลิ่นที่มีลูกเล่นให้จับต้องได้ดีเลย ซึ่งพอผ่านไปได้ระยะหนึ่งความครีมมี่ติดอบอุ่นเริ่มเสริมเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับมีกลิ่นอายติดเค็มหน่อยๆ จะเริ่มเข้ามาตีคู่กับโทนดอกไม้ซึ่งจะเริ่มชัดเจนว่าเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมแล้วที่จะเป็นกลิ่นอายแบบครีมมี่ติดอบอุ่นแบบอากาศดีๆ มีกลิ่นเค็มจางๆ รองพื้นความเป็นดอกไม้หอมนวลหวานแบบไม่ข้น ซึ่งจะมาผสมผสานกันจนได้กลิ่นอายที่หอมติดอบอุ่นให้โทนสว่าง มีความรื่นรมย์หอมนวลดอกไม้แบบครีมมี่ แอบมีโทนติดควันบางๆ ทำให้กลิ่นมีความน่าค้นหา เรียบหรู โรแมนติค และอ่อนโยนติดแอบเย้ายวนเนียนๆ ในเนื้อกลิ่น โดยอยู่ในพื้นฐานของกลิ่นที่เป็นโทนสว่างและมีความอะโรม่าแบบธรรมชาติได้ดีมากจริงๆ จนมีภาพในหัวปรากฎออกมา คือ 

บุคคลหนึ่งในชุดขาวสบายตา เดินเล่นในสวนดอกไม้ที่อยู่ห่างจากทะเลไม่มาก ทำให้มีกลิ่นอายของลมทะเลมาสัมผัสให้รู้สึกได้ เคล้ากับกลิ่นอายรวยรินและระเรื่อของดอกไม้ให้รื่นรมย์ 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นระบุว่าเป็น Unisex แต่ไพล่ไปทางสาวๆ ซักประมาณ 70% ได้ เพราะมาสายดอกไม้ ซึ่งผู้ชายก็ใส่ได้ ยิ่งถ้าเจอกับการแต่งกายเน้นโทนขาวยิ่งเข้ากันอย่างขั้นสุดมาก โดนสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะชิลล์ๆ ก็ได้ หรือเน้นสร้างออร่าอ่อนโยนก็สามารถ เพียงแต่ว่าไม่เข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายแน่นอน ส่วนยามค่ำคืน ตัดการใส่เพื่อไปท่องราตรีไปได้เลย ไม่เข้าทางและโดนกลบแน่ๆ แต่ถ้าใส่ออกงาน หรือชิลล์ๆ ติดโรแมนติค เรียกว่าลงตัวและดีงาม

ความทน - อันนี้ยกนิ้วให้เลย ความทนดีงามกับ 8 ชม. สบายๆ แต่มากกว่านั้นด้วยซ้ำ ซึ่งอิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. สบายๆ กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมากระจายปานกลางแต่เป็นบาเรียรอบตัวซึ่งคนรอบข้างได้กลิ่นแน่นอน และจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายยาวไป 

ทิ้งท้าย - ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีความสมดุลระหว่างความสดชื่น ความเขียว ความหวานใส ความครีมมี่ ความนวลครีมมี่ละมุน ความเย้ายวนเนียนๆ ให้ความเป็นธรรมชาติยืนพื้นที่ความเป็นโทนสว่าง สายคนรักกลิ่นดอกไม้ธรรมชาติมีฟินกันได้เต็มๆ ที่สำคัญกลิ่นนี้กวาดคำชื่นชมจากคนอื่นได้ไม่ยากเสียด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกจากแบรนด์ Parfums Dusita นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit – Fragrantica


วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Review: Atelier Cologne - Musc Imperial

Atelier Cologne - Musc Imperial 

เพราะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามีน้ำหอมกลิ่นหนึ่งของ Atelier Cologne มีกลิ่นเปิดที่คล้ายคลึงความเป็น Creed Aventus แต่นอกนั้นมีความเป็นเอกเทศพอสมควร ซึ่งก็ผลัดวันประกันพรุ่งมาตลอดว่า ถ้ามีโอกาสแล้วกันถึงจะลอง เพราะกลัวใช้แล้วมีคนทักเป็นแบรนด์อื่นแทน (ก็กลิ่นมันก็อบกันเยอะ) แต่ดันได้ความอนุเคราะห์แลกเปลี่ยนน้ำหอมซึ่งกันและกันจากบุคคลท่านหนึ่งแ
ละให้รุ่นนี้มาลองด้วย จึงได้รู้ว่า 

Musc Imperial เปิดตัวได้ทำเอาอุทานออกมาว่า เออ มันเกือบตุสอยู่นะเพราะกลิ่นเปิดทำให้นึกถึง Aventus ในระดับหนึ่งกับลักษณะของการเป็นโทน Fruity ติด Citrus แต่ไม่ใช่สับปะรด ย้ำ! ไม่มีสับปะรด แต่ไพล่ไปทางแบล็คเคอแรนท์ที่มีความเป็นโทนผลไม้ออกทางเปรี้ยวอมหวานมาเจอกับการเป็นมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ที่ให้ความเป็นโทนเปรี้ยวติดขม เนื้อกลิ่นมีติดเขียวออกทางลูกมะเดื่อฝรั่ง (Fig) ด้วยที่แอบๆ อยู่ แถมมีกลิ่นอายของ Clary Sage ที่ให้ความเป็นโทนสมุนไพรไพล่ไปทางลาเวนเดอร์เจือหนังแอบสดชื่นปร่าหน่อยๆ เข้ามาผสมผสาน ซึ่งถ้าจะดันให้เป็น Aventus มันก็พอได้แบบที่ตัดกลิ่นแนวสับปะรดออกเหลือแค่ Notes ที่บอกตามข้างต้น แต่กลิ่นจะพลิกเกมแบบเนียนๆ เมื่อเข้าช่วงกลางเพราะกลิ่นของ Fig จะเริ่มเด่นขึ้นมาแทน ให้ความเขียวติดโปร่งมีความครีมมี่บางๆ เจือจะผสมผสานกับกลิ่นสดชื่นผลไม้กลั้ว Citrus ในตอนต้นที่ยังตามมาเป็นกำลังเสริมให้กลิ่นเป็นโทนผลไม้ที่ไพล่มาทางเขียวนั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ไก่กาเลยคือ กลิ่นอายของความเป็นโทนหนังนุ่มๆ กับลาเวนเดอร์ที่เป็นเหมือนตัวตรึงรองพื้นอยู่ ทำให้เป็นกลิ่นสไตล์โคโลญจน์แต่มีความนวลสะอาดมีคลาสรองพื้นอยู่ เรียกว่าเป็น 2 โทนที่มาเจอกันได้อย่างลงตัวและมีมิติ เพราะกลิ่นที่ตีขึ้นจะได้อารมณ์ความเป็น Fruity โปร่งเปรี้ยวปนขมบางๆ ติดเขียวหรูๆ แล้วเจือความนวลสะอาดแบบนวลผู้ดีรองพื้นอยู่ จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแนว Musk ที่เริ่มเผยตัวออกมา กลิ่นก็เริ่มเดินทางเข้าสู่ช่วงท้ายโดยความเป็นโทน Fruity ทั้งหมดจะดรอปลงไปเป็นสายสนับสนุนเจือๆ ในเนื้อกลิ่นมีความอ้อยอิ่งให้พอรับรู้ได้อยู่ สอดรับพอดีกับกลิ่นอายของโทน Musk ไพล่ไปติดทางโทนเมทัลลิคจางๆ ที่มาจาก Ambrette แทน ที่ให้ลักษณะกลิ่นอายของ Musk แต่จะติดกลิ่นเขียวออกทางเวจจี้ผสมความเป็นเมทัลลิคจางๆ เลยจะไม่ได้ไปสายนุ่มสะอาดอย่างเดียวเพราะจะยังมีความสดชื่นด้วยระดับหนึ่ง ในเนื้อกลิ่นจะมีความโปร่งของกลิ่นไม้หอมแนวซีดาร์เบาๆ อ่อนๆ ให้มีมิติหอมเรียบหรูสบายๆ คลอไปตลอด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลถือว่ารุ่นนี้คุมโทนความเป็นสไตล์ Cologne ที่สดชื่นแบบมีลูกเล่น ติดนุ่ม และเรียบหรูตั้งแต่ต้นยันจบได้ดีมาก และฉีกการเดินตามรอยในสิ่งที่คนคิดว่ากลิ่นมันไปคล้ายรุ่นดังได้อย่างชัดเจนมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย เพราะมาสาย Unisex เพียงแต่กลิ่นอาจจะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อยราวๆ 65% ได้ แต่ยังไงผู้หญิงก็ใส่ได้แน่นอน ยิ่งถ้าชอบ Fruity แบบไม่ได้ลั่นล้าจ๋าๆ มาก ตัวนี้ถือว่ามาสายหรูเข้าถึงง่ายมีระดับที่น่าสนใจไม่น้อย โดยกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ออกกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ได้สบายๆ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปเดินเล่น ช้อปปิ้งหรือว่าชิลล์ๆ จะดีกว่าใส่ไปเที่ยวกลางคืน เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายปล่อยพลังเพื่อเรียกร้องความสนใจนัก เน้นวางตัวดีสดชื่นเสียมากกว่านั่นเอง 

ความทน - เป็น Cologne Absolute ที่ความเข้มข้นแนวเดียวกับ EDP ความทนจึงเรียกว่าทำได้ดี กับราวๆ 8 ชม. ได้ไม่ยาก อาจจะมีบวกลบบ้างอิงที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายแบบปานกลาง และจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อเข้าช่วงท้ายก็เป็น Skin Scent ที่กลิ่นตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - แม้ว่าจะมีวูบที่ทำให้นึกถึง Aventus แต่ก็แค่แว้บเดียวเท่านั้น ที่เหลือเป็นน้ำหอมโทน Fruity Musk ติดสดชื่นที่มีระดับเรียบหรูแบบที่ไม่น้อยหน้าใครและเป็นอีกหนึ่งตัวที่ได้รับคำชมได้ไม่ยาก

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Atelier Cologne’s Website --> https://www.ateliercologne.com/musc-imperial-200-ml.html