Parfum Prissana - Le Cirque Bleu
Parfum Prissana คือหนึ่งในน้ำหอมแบรนด์ไทย
ที่เปิดตัวขึ้นมาโดยการนำเสนอกลิ่ยอายที่เป็นการให้ความเคารพต่อโทนกลิ่นอายที่เป็นความคลาสสิคเหนือกาลเวลาอย่างโทน
Vintage ในแง่มุมต่างๆ
ซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพกลิ่นและส่วนผสมจัดเต็มแบบที่ไม่มีกั๊ก จนได้เป็น Pure
Parfum ซึ่งการผลิตเน้นประยุกต์กระบวนการแบบดั้งเดิม รวมถึงเป็น Limited
Edition ตามตัวแปรต่างๆ ในการผลิตและคุณภาพของส่วนผสม
เช่นนั้น เมื่อได้เดินเข้าสู่ความเป็นแบรนด์นี้
เรียกว่าต้องยอมรับในเสน่ห์ของน้ำหอมที่มีความซับซ้อนและลูกล่อลูกชนที่มาเต็ม
และได้ความรู้สึกของการนำเอาความเป็น Vintage มาสร้างความแตกต่างในความ
Modern ได้อย่างลงตัวเกินคาด เช่นนั้น
ก็ได้เวลาของการบอกเล่ากลิ่นอายแรกของแบรนด์นี้แล้ว นั่นคือ
Le Cirque Bleu หรือละครสัตว์สีน้ำเงิน
เป็นหนึ่งในงานศิลปะทางด้านภาพวาดของ Marc Chagall ศิลปินชาวรัสเซีย
โดยทุกอย่างจะสื่อสารออกมาชัดเจนบนพื้นฐานหลักของการเป็นสีน้ำเงินที่มีเฉด มีโทน
และมีอารมณ์สื่อสารออกมาซึ่งแล้วแต่การตีความตามมุมมองของคนที่ชม เช่นนั้น
กลิ่นอายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพนี้ตามที่ได้สัมผัส จะแบ่งออกเป็นช่วงต่างๆ
ประมาณนี้
ช่วงเปิด -
เป็นการผสมผสานอย่างชัดเจนถึงลักษณะการเป็นโทนเข้มแต่มีความเยือกเย็น
โดยศูนย์กลางของกลิ่น คือ กลิ่นหนังและไม้หอมแนวๆ ไม้สน ที่จะล้อคู่กันไปตลอด
โดยกลิ่นเปิดที่สัมผัสได้ คือ กลิ่นอายของโทนไม้หอมแบบเยือกเย็นแบบแห้งๆ เป็นหลัก
ซึ่งจะมาจากกลิ่นอายของไม้สนที่จะมีความชื้นๆ ในกลิ่นหน่อยๆ หอมนวลลักษณะแบบ Evergreen
ติดปลายหวานโปร่ง
แบบกลิ่นป่าสนเขียวชะอุ่มปนยางไม้เรซิ่นติดหวานอารมณ์ประมาณนั้น
ซึ่งจะมีกลิ่นอายของเครื่องเทศโทน Fresh Spicy เผ็ดปร่าที่ให้ความซ่าโปร่งๆ
ของเม็ดผักชีมาอ้อยอิ่งให้รับรู้ได้ แต่แปลกอย่างคือ มาแบบเย็นๆ
ไม่ได้เผ็ดร้อนอะไร เพราะมีลักษณะกลิ่นอายเยือกเย็นปร่าๆ ติดเขียวแกมไปด้วยโทน Citrus
บางๆ ของมะกรูดฝรั่งแบบติดแห้งที่มาเสริมให้มีมิติสดชืิ่นบางๆ
และยังไม่พอกลิ่นจะมีความนวลของลาเวนเดอร์ ที่มาให้ความนุ่มตีคู่กับไม้หอม ทำให้มีความนวลสร้างความ
Aromatic นวลจมูกท่ามกลางกลิ่นอายเย็นๆ กับกลิ่นอาย Smoky
ที่เข้ามาแจมเนียนๆ ด้วย เพียงแค่ช่วงนี้ก็มีความเท่ห์ นิ่ง ขรึม
นวลที่สื่อสารออกมาชัดเจนมาก
ช่วงกลาง - เมื่อกลิ่นพัฒนาในระดับหนึ่งผ่านไปราวๆ 15
นาทีได้ ความเป็นกลิ่นของไม้สนจะยังคงให้ความหอมนวลอยู่
เพียงแต่จะลดระดับลงมา เพราะเริ่มมีกลิ่นอายสมุนไพรติดแห้งๆ
เคล้ากับกลิ่นอายของลาเวนเดอร์ มาผสมผสานกับกลิ่นหนังติด Animalic แกมความดาร์ก Smoky เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญของกลิ่น
ทำให้กลิ่นเริ่มเป็นลักษณะแบบกลิ่นหนังในความเย็นๆ เคล้าไม้สน ที่มีความเป็นสมุนไพรติดกลิ่นโทน
Aromatic จากลาเวนเดอร์ให้ความนวล กลิ่นยาสูบให้ความหวาน
เคล้าความ Smoky แบบยางไม้ไหม้ๆ ดาร์กๆ
ทำให้กลิ่นมีลักษณะเป็นสีน้ำเงินออกทางขรึมๆ ไม่ได้ออกทางดำมืด หรือสว่าง
มีควาสมดุลย์พอดีเป็นสีน้ำเงินที่น่าค้นหาในความขรึมอย่างมีเสน่ห์ ได้ภายในหัวแบบเป็นกลิ่นอายคล้ายอยู่ในป่าสนเย็นๆ
กลางคืนๆ กับท้องฟ้าที่สีน้ำเงินลึกๆ มีความลึกลับ
น่าค้นหา กลิ่นควันลอยมาผสมกับบรรยากาศจางๆ และมีกลิ่นอาย Animalic ของหนังกับโทนกลิ่นสาปปลุกเร้า
เหมือนมีเต้นท์หนังหรือกลุ่มคนใส่ชุดหนังคลุมอยู่ในเราเห็นแบบไม่ห่างไปมากนัก
ช่วงท้าย -
กลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนเข้าสู่การเป็นลักษณะที่มีความเป็น Vintage จากกลิ่นโทนหนังที่แห้งลง เจือความเป็นโทน Animalic แบบสาปปลุกเร้าที่ชัดขึ้น
กลิ่นมีความเซ็กซี่ตามธรรมชาติได้ลงตัวมากจากกลิ่นของชะมดเช็ด (Civet) และกลิ่นออกทางหนังไหม้ๆ เข้มๆ เจือจากแนวกลิ่นของ Castoreum (ต่อมเพศของบีเวอร์) ทำให้กลิ่นช่วงนี้มีพื้นฐานความเป็น Animalic
Leather ที่จับต้องได้ในครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งคือความเป็น Vintage
ออกสไตล์กลิ่นออกทาง Smoky ติดไม้หอมแห้งๆ
ผสมผสานกับกลิ่นออกแนว Oak Moss ที่ให้ความแห้งเจือเขียวปนกลิ่นฝุ่นบางๆ
รวมถึงมีกลิ่นของพิมเสนคลอเบาๆ ให้ความรู้สึกแบบ Earthy ที่ดิบเท่ห์กำลังดี
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังพอสัมผัสได้
นั่นคือกลิ่นยังติดหวานปลายของยางไม้กับไม้สนนวลแต่แห้งอยู่บางๆ
ให้มิติของกลิ่นอายช่วงเปิดเบาๆ ที่ตามมาเนียนๆ ซึ่งเรียกว่า ช่วงนี้เป็น 2.5
โทน ที่มาเจอกันครึ่งทางและผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ทั้ง 1.หนัง 2.Chypre ติด Smoky และอีก
0.5 คือ ความ Aromatic ของกลิ่นโทนไม้สนกับยางไม้
ให้ภาพชัดเจนแบบสีน้ำเงินติดขรึมเท่ห์ มีความ Cool ติดเย็นชา
ลึกลับดึงดูด คลาสสิคแต่ก็มีความร่วมสมัยเจือนั่นเอง
เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่เนื้อกลิ่นไพล่มาสายผู้ชายราวๆ
65 - 70% ได้ เพราะกลิ่นมีความเท่ห์และแมนพอสมควร
เพียงแต่ผู้หญิงก็ยังใส่ได้ เพราะสร้างออร่าความน่าค้นหาแบบนิ่งกึ่งเย็นชาแบบคลาสสิคได้ดีมากจริงๆ
ซึ่งกลิ่นนี้จัดได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ใส่ออกทางการก็สามารถให้ลุคขรึมมีระดับได้ดีเชียว
หรือจะใส่ทั่วๆ ไปที่ให้ความเท่ห์ติดดาร์กเย็นๆ กึ่งคลาสสิคกึ่ง Modern ให้ดูแตกต่างอย่างชั้นเชิงไม่เหมือนใครก็สามารถ
แต่กลิ่นนี้ไม่เหมาะกับการใส่ไปกิจกรรมกลางแจ้งอากาศร้อนหรือว่าออกกำลังกาย
เพราะแน่นอนว่าเปลือง และเดี๋ยวกลิ่นตีขึ้นจนชาวบ้านมองหน้าเอาได้ว่าใส่มาผิดงาน
ส่วนยามค่ำคืนจัดได้สบายมาก ยิ่งถ้าใส่กับเสื้อผ้าแนวๆ
เข้ม ยิ่งทำให้น่าค้นหาท่ามกลางความดาร์กออกได้ดีมาก
ความทน - กราบบบบบบบบ Pure Parfum นี่นา
กลิ่นทน 15 ชม. เลย อาบน้ำแล้วกลิ่นก็ยังอยู่ติดผิวอยู่เลย
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น
แล้วจะลดลงมาปานกลางแบบยาวไป จนพอผ่านไปซัก 6 - 8 ชม.
กลิ่นจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวอย่างมีชั้นเชิงในความเท่ห์มาก
ทิ้งท้าย - ตรงๆ นี่คือหนึ่งในข้อสอบ
เพราะกลิ่นมีความซับซ้อนมากและในแต่ละครั้งที่ได้ใช้ได้เทส จะมีอะไรใหม่ๆ ให้รับรู้ได้เสมอ
และอารมณ์หลักๆ ก็ไม่ใช่แบบที่เคยสัมผัสได้มันมีอะไรมากกว่านั้น เรียกว่า เหนื่อย
แต่ก็ดีใจใจที่ได้มีโอกาสจับต้องกลิ่นที่มีความซับซ้อนและลูกเล่นที่มีมิติต่างๆ
มากมายขนาดนี้ ที่สำคัญแม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ให้ความรู้สึกของการเป็นละครสัตว์ตรงๆ
แต่สิ่งที่ได้คือ ความลึกลับแบบภาพวาด Le Cirque Bleu ที่มีอะไรให้เราค้นหาในแต่ละองค์ประกอบของภาพว่านี่คืออะไร
จนมาประกอบกันเป็นจิ๊กซอว์ที่ได้องค์รวมเป็นลักษณะของความ Unique ของกลิ่นที่มีทั้งความ Vintage และ Modern แบบเท่ห์ๆ มีเอกลักษณ์และฉีกเป็นโทนที่เด่นในทางตัวเองได้ชัดเจน
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง
ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกจากแบรนด์ Parfum Prissana
และสุคนธกรผู้ปรุง นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ
รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ
นะครับ”
Photo Credit by Facebook Page - ParfumPrissana
https://www.facebook.com/parfumprissana/photos/a.212258626020852.1073741829.173023393277709/212258339354214/?type=3&hc_location=ufi