วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2564

Review: Halston 1-12

Halston 1-12

เมื่อประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดตัวน้ำหอมผู้หญิงรุ่นแรกของ Halston ในปี 1975 แน่นอนว่าจบแค่นี้ไม่ได้ เพราะ Halston เป็นเจ้าแห่งการสร้างสรรค์แฟชั่นในยุค 70 ซะอย่าง เช่นนั้นน้ำหอมผู้ชายจึงได้ตามมาติดๆ ในปีต่อมา (ปี 1976) กับการเป็นน้ำหอมสาย Aromatic Green ที่สอดรับกับการใช้งานแบบ Daily Scent ก็ได้ ใส่ท่องราตรียามค่ำคืนแบบ Smart Guy ก็ดี ควบคู่ไปกับโซนคาบเกี่ยว Night Scent หน่อยๆ อย่างรุ่น Z-14 ที่เน้นความเย้ายวนแกมหวานเครื่องเทศอบอุ่นปนไม้หอมที่มีเสน่ห์ที่ตอบโจทย์การไปโปรยเสน่ห์ที่ Studio 54 และทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนเป็นหนึ่งในตัวท็อปของแบรนด์มาเสมอ

และเพื่อเรียนรู้กลิ่นให้สุด ผ่านความดีงามของน้ำหอมในตำนานกลิ่นแรกของแบรนด์ฝั่งผู้หญิงมาแล้วก็ขอมาที่ตำนานน้ำหอมฝ่ายชายอย่างรุ่น 1-12 บ้าง ซึ่งจะสื่อสารออกมาอย่างไรก็ว่ากันได้ตามนี้เลย (ส่วนตัว Z-14 ไว้ตามมาในโอกาสต่อไป)  

เปิดตัวก็ใช่เลยความเป็นกลิ่นสไตล์ Classic ฟุ้งๆ ที่มี Aldehydes เป็นหนึ่งในองค์ประกอบก็จริง แต่ไม่ได้โดดเด่นจัดจ้านเพราะมาเป็นตัวสนับสนุนให้กลิ่นมีโทนสไตล์ที่มีความพุ่งเสียมากกว่า แต่ตัวที่คุมเกมจริงๆ ต้องยกให้โทนเขียวแกมสมุนไพรที่จะมี 4 โทนคือ ยางไม้ที่ให้ความเขียวพุ่งๆ คมๆ ของ Galbanum กลิ่นเขียวออกทางใบไม้ใบหญ้า ซ้อนรองลงมาด้วยกลิ่นเขียวปร่านวลเฝื่อนหน่อยๆ ของโหระพา และแน่นอนตัวเอกของน้ำหอมที่สปอยกันตั้งแต่ตอนนี้เลยคือ Oak Moss ที่ให้ความเป็นโทนเขียวติด Earthy เข้มดาร์กมีโทนออกทางคล้ายหมึกติดเขียวที่ทำให้กลิ่นมีโทนออกทางแมนสุภาพบุรุษแนววินเทจชัดเจนมาก แต่เพราะว่าน้ำหอมผู้ชายในยุคนั้นจะไม่ได้ตะบี้ตะบันอัดความเข้มข้นหนักๆ เท่าไหร่ เน้นสไตล์ออกทาง Cologne เสียมาก เลยจะมีกลิ่นออกทาง Citrus เปรี้ยวแกมขมสดชื่นของเลมอนที่ติดปลายกลิ่นของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เลยทำให้ทุกอย่างรวมตัวกันเป็นกลิ่นอายสาย Smart & Classic Cologne ที่มีความเป็นโทนสบู่เสริมลูกคู่เนียนๆ ชัดเจนมากตั้งแต่ช่วงต้นเลย

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้นเมื่อเริ่มมีกลิ่นไม้หอมปร่าสะอาดเจือเขียวแกมหญ้าแห้งเจือเล็กๆ ที่แทรกตัวเข้ามาจนกลายเป็นตัวเอกหลักในการเดินกลิ่นของช่วงกลาง ซึ่งนั่นคือ สนไพน์ และไม่พอมีกลิ่นออกทางเขียวปร่าซ่ากึ่งเหล้าจินซึ่งเป็นโทนกลิ่นแนวจูนิเปอร์เข้ามาเสริมด้วย ทำให้โทนกลิ่น Citrus ในช่วงต้นจะค่อยๆ เฟดตัวลงเหลือเป็นความสดชื่นแบบปลายกลิ่นหน่อยๆ แต่แน่นอนว่าความเขียวในช่วงต้นทั้งหมดจะมาผสมผสานกับความเป็นไม้หอมติดปร่าในช่วงกลาง เสริมด้วยกลิ่นโทนดอกไม้ที่สร้างโทนกลิ่นแนวสุภาพบุรุษเข้ามาร่วมด้วยอย่าง คาร์เนชั่น ที่ให้ความปร่าพริกไทยกึ่งเขียว และกลิ่นโทนนวลสะอาดแกมเขียวเล็กๆ ของลาเวนเดอร์ที่มีโทนคล้ายสบู่รองพื้น ซึ่งทั้งหมดคือช่วงกลางที่มาในโทน Aromatic Green ที่ชัดเจนมาก โดยพื้นฐานกลิ่นจะมีลักษณะแบบ Gentleman Classic ที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษกับโทนไม้หอมสะอาดติดดาร์ก Cool ที่มีความเขียวไล่เฉดลงเข้มโดยมีโทนออกทางสบู่รองรับอยู่ได้ลงตัวมาก ซึ่งจะเรียนกว่า Classic จ๋าก็ไม่ใช่ เพราะมันไม่ได้อัดแน่นความฟุ้งจัดจ้านแต่ให้ความกำลังดี เพราะพื้นฐานเองก็เป็นสไตล์ Cologne ด้วย เลยได้ความร่วมสมัยชัดเจนมาก

การเข้าสู่ช่วงท้าย จะปูทางกันก่อนด้วยกลิ่นโทนอบอุ่นที่ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาปรับโทนเนื้อกลิ่นเนียนๆ จนพื้นฐานกลิ่นจะกลายเป็นโทนออกทางสบู่แกมอบอุ่นกลิ่นไม้หอมแกมเขียว Classic ที่จะเดินกลิ่นยาวๆ ไปในช่วงท้าย ซึ่งโทนเขียวที่ตามมาจากช่วงกลางหลายๆ ตัวจะเริ่มจากไปแล้ว แต่จะเหลือตัวหลักยืนหนึ่งเลย คือ Oak Moss เพราะจะให้อารมณ์กลิ่นเขียวขมเข้มกำลังดี เสริมด้วยโทนไม้หอมโปร่งๆ แนวไม้ซีดาร์ที่มีกลิ่นสนไพน์เนียนๆ รวมอยู่ และมีโทนอบอุ่นแกมสบู่กึ่ง Musk หน่อยๆ เป็นพื้นกลิ่น ซึ่งทั้งหมดจะคุมโทนอวลรุมๆ แบบที่ไม่หนักหน่วงแบบกึ่ง Classic กึ่งร่วมสมัยสไตล์กลิ่นท้ายของน้ำหอมแนว Classic ที่ไม่ได้เข้มขัดมากนัก ได้อารมณ์สุภาพบุรุษสบายๆ แกมอบอุ่นกำลังดีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามเวลา

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้แล้ว ซึ่งแน่นอนกลิ่นเป็นโทนสาย Classic แต่ไม่ได้ใช้งานยาก เพราะเนื้อกลิ่นมาสายเหนือกาลเวลาชัดเจน แถมเข้ากับลุค Mix & Match ที่เอาความ Classic มาเจอกับความร่วมสมัยได้ดีมาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ครอบจักรวาลชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นมาสาย Cologne แม้จะใส่ไปท่องราตรีได้ แต่ก็โดนกลิ่นหวานแน่นๆ ทั้งหลายกลบแน่นอน

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 ชม. และสามารถไปต่อได้อีกตามแต่สภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 10 ชม. บ่อยครั้งกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ถือว่าเป็น Cologne ที่ทนดีเลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซัก 2 ชม. ที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป จนถึงราวๆ ซัก 5 ชม. ก็จะเริ่มติดผิวตามลำดับ

สรุป - ต้องยอมรับเลยว่าการทำกลิ่นไม่ได้เป็นสาย Powerhouse Classic ที่เน้นฟุ้งกระจายสไตล์ Vintage รอบทิศ เป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับกลิ่นนี้ เพราะกลิ่นจะไม่ได้จงใจโชว์ความย้อนยุคเกินไปนัก ทำให้กลายเป็นหนึ่งในกลิ่นที่ร่วมสมัยได้ไม่ยาก และที่สำคัญเป็นอีกหนึ่งในกลิ่นที่เราสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาในการวางตำแหน่งตัวเองให้ไม่ได้ดู Wannabe แต่เอาอยู่ในแง่ของสไตล์สุภาพบุรุษสาย Classic ที่สมาร์ทและดูมีระดับในเวลาเดียวกันได้ ถือเป็นอีกหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ของโทน Classic เลยล่ะ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrancenet.com/cologne/halston/halston-1-12/cologne#124500

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น