Jul et Mad - Mon Seul Désir
จากที่มาของการตั้งแบรนด์จากการพักรบพบรักกันที่คาเฟ่ของเจ้าของแบรนด์ทั้ง 2 อย่าง Madalina Stoica และ Julien Blanchard จนแต่งงานกัน และร่วมกันสร้างสรรค์แบรนด์น้ำหอมขึ้นมา โดยเริ่มจาก Collection - Les Classiques ที่เป็นเมนหลัก ทั้งหมด 6 กลิ่น ซึ่งจะเน้นที่กลิ่นอายเส้นทางความรักของทั้ง 2 เจ้าของแบรนด์ที่มาบรรจบกันที่ไล่เรียงตามรุ่นเสมือนเป็น Chapter ต่างๆ ในชีวิตรัก ที่ Love Story บรรจบถึงปัจจุบันที่มีความสุขในชีวิตคู่จนถึงทุกวันนี้ และหนึ่งใน 6 รุ่นที่ว่าก็เคยผ่านการสัมผัสในความเป็น Love at 1st Sight กับ Chapter ที่ 2 อย่าง Terrasse à St-Germain จนกลายเป็นโดนตกและรักกลิ่นนี้มากถึงมากที่สุดในทุกวันนี้
แต่ครั้งนี้เราไม่ได้มาต่อเนื่องกับเรื่องราวความรัก (เพราะไม่ได้อิจฉาหรอกนะ = เบ้ปาก) แต่จะข้ามมาสู่อีก Collection ที่น่าสนใจของแบรนด์นี้อย่าง Les White ที่มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมจากความชื่นชอบส่วนตัวของเจ้าของแบรนด์ทั้ง 2 ในเรื่องราวทางด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ เพลง และปรัชญาต่างๆ ต่อยอดความเป็น Jul et Mad’s Universe ชัดเจน ซึ่งก็มาถึง 6 รุ่นด้วยกัน แต่การเล่ากลิ่นในครั้งนี้จะเอา 1 ในรุ่นที่มีแรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะบนผืนพรมที่เกิดขึ้นในยุคกลางของยุโรปอย่าง La Dame a la licorne (The Lady & the Unicorn) กับพรมชิ้นที่ 6 อย่าง À Mon Seul Désir ที่แปรสารตามภาพออกมาได้ถึงคำว่า “ความปรารถนา” เช่นนั้น ไม่ท้าวความประวัติของศิลปะให้มากความ มาว่ากันที่น้ำหอมดีกว่า
Mon Seul Désir จะเปิดตัวออกมาได้อย่างน่าสนใจมากเพราะจะจับต้องได้ถึงตัวเมนที่จะเป็น Center Notes อยู่ 2 โทนหลักๆ นั่นคือ หนังและกลิ่นโทนแอมเบอร์ยางไม้ ซึ่งจะผสมผสานรับส่งกันได้ดีจนเกินคาดมาก แต่จะยังให้ความรู้สึกโดดเด่นออกมานอกจากเป็นฉากหลังให้ผู้เล่นหลักอย่างกลิ่นติดปร่าฟาดเจือกุหลาบอ่อนๆ ของพริกไทยสีชมพูที่ตีคู่ไปกับส้มที่เข้าทางโทนแห้ง เสริมด้วยตัวเกลากลิ่นชั้นดีที่สร้างกลิ่นโทนเครื่องเทศสาย Spicy ที่กลมกล่อมและมีพื้นฐานติดโทนไม้หอมด้วยอย่างเม็ดจันทน์เทศ ทำให้ได้อารมณ์แนวกลิ่นติดปร่าเครื่องเทศแกมไม้เจือหวานที่สมดุลย์และมีเสน่ห์ ที่สำคัญจะจับได้ถึงกลิ่นปร่าเผ็ดที่จะพริกไทยก็ไม่ใช่ เพราะโปร่งกว่าแถมมีความหวานเจือๆ แนวกึ่งแห้งๆ ซึ่งทำให้กลิ่นในช่วงนี้แม้จะกลิ่นชัด แต่ก็ไม่ได้ไปสายแน่นแต่อย่างใด โดยที่กลิ่นหนังกับกลิ่นแอมเบอร์ยังไม่ได้ออกตัวแรงนักแต่ให้อารมณ์รู้ว่ามีแน่และอยู่ฉากหลังเป็นสายเสริมแรงแบบกำลังดี สร้างภาพรวมของกลิ่นเป็นโทนกึ่งโปร่งกึ่งหวานที่มีลูกโทนแบบ Soft Spicy Amber เจือกลิ่นหนังประมาณนี้
และในที่สุดความชัดเจนของกลิ่นเครื่องเทศปร่าเผ็ดที่เริ่มกลายเป็นตัวเอกในช่วงกลาง และเริ่มจับได้ชัดเจนว่าเป็นโทนเม็ดผักชีที่ไม่ได้มาสายคมๆ ฟุ้งๆ อารมณ์แบบเกลากลิ่นมาแล้วเป็นอย่างดี เพราะมีเม็ดจันทน์เทศสายสร้างความกลมกล่อม + กลิ่นส้มและความฝาดปร่าแกมนวลเจือกุหลาบบางๆ ของพริกไทยสีชมพูจากช่วงต้นตัดทอนจนได้ความดีงามในการการโทนปร่าเผ็ดแบบโปร่งๆ ที่ความหวาน สอดรับกับกลิ่นที่ออกทางดอกไม้เจือแอปริคอตอ่อนๆ ที่น่าจะเป็นดอกหอมหมื่นลี้หรือ Osmanthus ที่ทำให้กลิ่นมีลูกผสมของโทนดอกไม้ที่หวานเย้าอ่อนๆ อย่างมีเสน่ห์แบบไม่ดูจงใจ ซึ่งบางวูบจะรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นออกทางกึ่ง Smoky ไม้หอมติดอวลลึกเนียนๆ ซ่อนอยู่ด้วย แต่ไม่ได้เด่นนัก เพราะว่าหนังกับแอมเบอร์เองก็เริ่มจะชัดเจนขึ้นตามลำดับ โดยที่จะมีโทนหวานอุ่นอ่อนๆ คล้ายแนวกลิ่นของวานิลลาติดหวานเนียนๆ รวมเข้ามาอยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นของช่วงกลางจะเป็นสายเครื่องเทศ Spicy ที่มีมิติความโปร่ง ความกลมกล่อม ความหวานอ่อนๆ สอดรับไปกับกลิ่นหอมเย้าดอกไม้ที่เบลนด์เนียนไปกับโทนอบอุ่นของแอมเบอร์กึ่งวานิลลาหวานโปร่ง (ซึ่งน่าจะเป็นยางไม้กำยาน Benzoin) สร้างความรู้สึกแบบ Floriental (Floral + Oriental) ที่เป็นกลิ่นอวลหวานอุ่นติดดอกไม้ ซึ่งต้องบอกเลยว่าช่วงกลางคือช่วงที่ปล่อยของทางกลิ่นที่มีคุณภาพในการวางตำแหน่งกลิ่นที่ส่งเสริมและสอดรับกันได้อย่างดี โดยคุมความโปร่งของกลิ่นได้เสถียรมาก
เมื่อความ Smoky เริ่มมีให้รู้สึกได้เพิ่มขึ้นทีละหน่อยๆ แต่ไม่ได้เยอะมาก และเนื้อกลิ่นเริ่มมีลักษณะของกลิ่นหนังที่ชัดขึ้นมามากกว่าเดิม รวมถึงกลิ่นโทนอบอุ่นของแอมเบอร์เจือวานิลลาติดหวานโปร่งแกมกลิ่นเนื้อไม้ก็เริ่มกลายเป็นตัวเด่น จนลดบทบาทของการเป็นโทนเครื่องเทศ ก็เริ่มเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว ที่จะมีผู้เล่นอีกหนึ่งเข้ามาร่วมแท็คทีมนั่นคือ โทน Smoky ที่จะเป็นตัวสร้าง Effect ให้โทนหนังมีความน่าค้นหาและติดดาร์กหน่อยๆ ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นจะมีเลเยอร์หลักๆ 2 ชั้นกว้างๆ ที่ต่างก็มีความซับซ้อนในตัวเอง ฝั่งโทน Animalic ที่ติด Smoky ที่มีโทนไม้หอมติดปร่าเครื่องเทศซ้อนลึกอยู่ข้างใน โดยเฉพาะโทนไม้หอมที่เป็นตัวเชื่อมที่ดีกับอีกเลเยอร์อีกฝั่งอย่างโทนอบอุ่นกึ่งยางไม้แอมเบอร์แกมกำยานหวานลึกและเริ่มมีความนวลอวลอุ่นขึ้นมาอีกสเต็ป เพราะจับต้องได้ว่ามี Musk อ่อนๆ มาเนียนรวมอยู่ด้วย ซึ่งภาพรวมทั้ง 2 เลเยอร์ใหญ่ๆ นี้จะมาสอดรับกันจนกลายเป็นโทนอบอุ่นที่มีลูกเล่นกิมมิคโทนหนังที่มีความอบอุ่นหวานนุ่มนวลแต่แฝงความเย้ายวนอวลลึกที่มีความน่าค้นหาเนียนๆ แฝงที่เป็นลูกเล่นมาเย้าความรู้สึก ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ปลดปล่อยความเป็นโทนหนังและอบอุ่นแกมหวานที่วางสมดุลย์ทางกลิ่นได้อย่างสมูธและมีระดับในเนื้อกลิ่นที่เกินคำว่าธรรมดาไปมากจริงๆ
เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดไม่ได้ไพล่จัดจ้านไปทางใดทางหนึ่ง แต่เป็นกลิ่นที่เน้นขับคาแรคเตอร์แนวอบอุ่นแกมหวานที่มีความลึกในเนื้อกลิ่นที่เชิญชวนแบบไม่โจ่งแจ้ง อารมณ์แบบซ่อนลึกความรู้สึกแต่เข้าใจปล่อยออกมาอย่างมีชั้นเชิงเสียมากกว่า ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการและทั่วๆ ไปแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมนิดนึง เพราะการกระจายของกลิ่นไม่ใช่เล่นเลย แม้ว่าจะมีกลิ่นโทนโปร่งก็ตาม และแน่นอนตัดทิ้งไปได้เลยถ้าใส่ไปออกกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืนจัดไปทั้งออกงาน ยามโรแมนติค หรือท่องราตรีแบบมีสไตล์ที่ไม่หวือหวาจี๊ดจ๊าดเน้นแนวชิลล์ๆ อย่างมีชั้นเชิง อันนี้แหละลงตัวมาก
ความทน - 8 ชม. คือค่าเฉลี่ยของกลิ่นนี้ได้เลย แต่ถ้าจำนวนสเปรย์เข้าทาง + สภาพผิวเอื้อกลิ่นนี้ไปต่อได้ถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าเปิดมาก็ชัดเจนเลย เพียงแต่เนื้อกลิ่นมันมีความโปร่งเลยไม่ได้รู้สึกหนัดหน่วงจัดจ้าน แล้วจะผ่อนลงมาที่กระจายดีกันราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วจะลงมาปานกลางกันยาวไปถึงราวชั่วโมงที่ 5 แล้วค่อยๆ ลงเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอแตะชั่วโมงที่ 8 ก็จะเริ่มเข้าสู่โซนติดผิวแล้ว
สรุป - ในความรู้สึกที่ได้สัมผัสกลิ่นนี้ จับต้องได้พอสมควรเลยว่ากลิ่นสร้างสรรค์ออกมาให้เห็นถึงคำว่า “ปรารถนา” ซึ่งใช้ลูกเล่นทาง Notes กลิ่นต่างๆ ที่มาผสมผสานกัน ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งความเย้ายวนเป็นพื้นฐาน เพียงแต่ฉาบโทนกลิ่นด้วยความอบอุ่นแกมหวานดึงดูดที่ทำให้รู้สึกพึงใจอยากเข้าใกล้ และมีความ Nice ของเนื้อกลิ่นที่มีความโปร่งผ่อนคลาย ซึ่งมันซ่อนเร้นความเย้ายวนปรารถนาเนียนๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป อารมณ์ไม่โจ่งแจ้งแต่ให้ซึมลึกและสุดท้ายก็ตกไปได้ทันทีในที่สุด นี่แหละที่กลิ่นนี้สื่อสารออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงและไม่ธรรมดา
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://juletmad.com/en/produit/mon-seul-desir-love-basics-en/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น