วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

Review: Lubin - Epidor

Lubin - Epidor

สิ่งหนึ่งที่เริ่มเป็นทักษะติดตัวเวลาจะลองน้ำหอมต่างๆ ที่บอกว่ามีแรงบันดาลใจมากจากสถานการณ์ เทศกาล กิจกรรม หรือสภาพแวดล้อมอะไรต่างๆ มักจะเริ่มไม่คาดการณ์หรือคาดคะเนอะไรก่อน เพราะบางครั้งก็เงิบไปเหมือนกันเพราะสิ่งที่สุคนธกรหรือแบรนด์เองตีความมีทิศทางในแบบที่แตกต่างจากที่เราทั้งเคยสัมผัสและความคิดที่ควรจะเป็น และครั้วนี้ก็เหมือนกันเมื่อได้เห็นว่าแบรนด์ Lubin สร้างสรรค์น้ำหอมออกมาโดยมีแรงบันดาลใจมากจากช่วงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในชนบทของฝรั่งเศส แน่นอนว่าอันนี้ภาพทุ่งข้าวสาลีมารอในหัวก่อนเลย แต่เบรกไว้ก่อนเพราะมีข้อมูลที่พิเศษขึ้นมาบางอย่างนั่นคือ

จริงๆ รุ่นนี้มีการผลิตมาตั้งแต่ปี 1912 แล้ว แต่ก็หายไปตามช่วงเวลาต่างๆ ตามประวัติการเดินทางของแบรนด์ที่มีทั้งความรุ่งโรจน์ในจุดสูงสุดของแบรนด์และจุดที่ร่วงโรยจนเปลี่ยนคนดูแลแบรนด์กันหลายมือ จนในปัจจุบันก็กลับมาสู่ความเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ผู้ใช้น้ำหอมยังให้การยอมรับอยู่เสมอในทุกวันนี้ และ Epidor ก็ได้ถูกนำกลับมาผลิตใหม่อีกครั้งในปี 2017 เช่นนั้น แน่นอนกลิ่นมีประวัติศาสตร์ เช่นนั้นต้องมาสัมผัสกันหน่อยว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไร

เปิดต้นกลิ่นมาก็เรียกว่า อึ้งและทึ่งไปเลย เพราะว่าเนื้อกลิ่นไม่ได้มีลักษณะโทนกลิ่นในสไตล์ Classic ในแบบน้ำหอมสาย Vintage เลยแม้แต่น้อย แต่กลิ่นเปิดมาก็ให้ความเป็นโทนแป้งหอมที่ชัดเจนและมีความระเรื่อหวานผ่อนคลายแบบที่อุทานออกมาเลยว่า “กลิ่นสวยจังเลย” เพราะเปิดด้วยโทนกลิ่นโทนแป้งหอมโปร่งๆ มีความหวานหอมนวลของดอกไวโอเล็ตคลุกเคล้ามากับกลิ่นอายดอกส้มที่ให้ความนวลเจือเปรี้ยวหอม (Orange Blossom) และพื้นฐานกลิ่นค่อนข้างชัดมากว่าเป็นโทนออกทางคล้ายแป้งเด็กที่ทำมาจากข้าวโดยเจือโทนนวลวานิลลาอ่อนๆ รองพื้นอยู่ แต่มิติของกลิ่นจะไม่ได้มีแค่นั้นเพราะจะมีลูกผสมโทนกลิ่นที่ออกทางโทนผลไม้อ่อนๆ อารมณ์แบบกลิ่นคล้ายลูกผสมระหว่างองุ่นและลูกพลัมที่ไม่ได้ออกทางดาร์กเกินไปมาฉาบหน้าแต่งแต้มให้เนื้อกลิ่นมีความสดใสเข้ามาร่วมด้วย ทำให้กลิ่นเปิดเป็นโทนกลิ่นที่หอมแป้งสว่างนวลเจือความหวานโปร่งสดใสได้สวยมาก

การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มมีการสลับสับเปลี่ยนตัวเด่นในการเดินกลิ่นชัดเจนเลยนั่นคือดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) จะเป็นตัวเด่นขึ้นมาเลยเพียงแต่จะมีตัวคุมสมดุลย์กลิ่นให้ยังคงความเป็นโทนแป้งนวลกำลังดีเรื่อยๆ มาเรียงๆ อยู่เป็น Background อยู่เช่นเดิม ซึ่งช่วงนี้นอกจากดอกส้มจะให้โทนกลิ่นนวลหวานอมเปรี้ยวสะอาดสว่างแล้ว ตัวดอกไวโอเล็ตเองที่ตามมาจากช่วงต้นก็ยังคุมโทนความโปร่งหวานในเนื้อกลิ่นได้ดีอยู่ รวมถึงมีดอกไม้ขาวมาร่วมด้วยอย่างมะลิที่ให้ความนวลแกมหวานระเรื่ออ่อนๆ แกมมีโทนตุ่ยๆ เล็กๆ ตามเสน่ห์ความเป็นมะลิที่จะมีลูกโทนติด Dirty เล็กๆ ดึงดูด และไม่พอโทนผลไม้ที่ตอนแรกยังไม่รู้ว่าตกลงเป็นองุ่นหรือพลัม สรุปตอนนี้จะชัดเจนขึ้นแล้วนั่นคือพลัม ซึ่งพลัมจะไม่ได้มาแบบสายดาร์กหรือไซรัปที่ดูพยายามเลย แต่จะให้ความหอมเจือหวานเย้าลึกที่คุมโทนความหอมเจือหวานใสของสไตล์ผลไม้ที่สร้างมิติกลิ่นให้ช่วงกลางเป็นโทนแป้งหอมดอกส้มที่มีมิติโทนหวานระเรื่อมีเสน่ห์ที่แตกต่างซ้อนกันอยู่ข้างใน โดยช่วงกลางนี้จะค่อนข้างที่จะมีความเป็น Feminine ในเนื้อกลิ่นสูงพอสมควร ถ้าเทียบกับช่วงอื่นๆ ของน้ำหอมกลิ่นนี้

เมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นที่เป็นรอยต่อในการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม เพราะว่าโทนกลิ่นที่ก้ำกึ่งระหว่างโทนคล้ายหญ้าแห้งติดหวานเจือความครีมมี่นวลๆ ของถั่วตองก้าเริ่มจะเด่นออกมาตีคู่กับวานิลลาที่ออกทางโทนแป้งหอมอบอุ่นอ่อนๆ จะสลับขึ้นมาเป็นตัวเดินกลิ่นแบบค่อยเป็นค่อยไป และพอเข้าช่วงท้ายเต็มตัวก็จะกลายเป็นตัวหลักที่จะมีกลิ่นโทนดอกส้มแทรกเนียนรวมไปกับเนื้อกลิ่นที่ให้ความหอมระเรื่อเจือสะอาดปนหวาน บางวูบได้โทนอารมณ์ออกทางน้ำผึ้งใสๆ หน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย รวมถึงมีมิติกลิ่นออกทางไม้หอมอ่อนๆ ติดครีมมี่จืดหอมที่เป็นโทนแบบไม้จันทน์หอมแกมกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ มาเสริมให้กลิ่นมีโทนออกทางมีครีมนวลสว่างที่ติดปลอดโปร่งอยู่หน่อยๆ อีกด้วย ซึ่งทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นโทนแป้งหอมที่ไม่หนักข้นเกินไป ให้ความหวานหอมระเรื่อนวลๆ ละเลียดจมูกไปตลอด คุมโทนสีครีมมี่นวลเหลืองอารมณ์แบบสีทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทองนวลตาได้เลย

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่กลิ่นค่อนข้างเทไปทางผู้หญิงมากกว่าราว 75% ได้เลย แต่ถ้าผู้ชายไม่มายด์ บอกเลยว่าเป็นกลิ่นแป้งหอมนวลโปร่งผ่อนคลายได้ดีมากและเหมาะกับโทนเสื้อค่อนไปทางขาว ครีม เบจ และเหลืองนวลต่างๆ อย่างมากจริงๆ ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป จะใส่ออกชิลล์ๆ กลางแจ้งก็ได้เลย แต่ออกกำลังกายให้ข้ามไปจะดีกว่าเพราะว่ากลิ่นไม่ได้ส่งเสริมด้านนี้เลย ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไป รวมถึงโรแมนติคจะดีกว่า และให้ตัดการใส่ท่องราตรีเพื่อไปเย้ายวนปล่อยของได้เลย กลิ่นก็ไม่ได้ Match กับทางนี้เช่นกัน

ความทน - พื้นฐานแตะที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกเพราะส่วนตัวที่เจอคือ 12 ชม. กลิ่นยังอยู่ให้รู้สึกได้ และลากยาวไปที่ 15 ชม. ก็เคยเจอ เช่นนั้นเรื่องนี้หายห่วง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและคงตัวไปประมาณ 2 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลดทอนลงมาที่ปานกลางไปราวๆ 3 ชม. ได้ ถึงลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวที่ยาวไปเลยงานนี้ แล้วค่อยไปติดผิวอีกทีราวๆ หลัง 10 - 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ส่วนตัวต้องบอกเพิ่มอีกนอกจากที่บอกไปว่ากลิ่นสวยจังว่า "กลิ่นงามมาก" อีกด้วยในการเป็นโทนแป้งที่มีความหวานหอมระเรื่อต่างมิติทั้งความเป็นดอกไม้ขาว ความเป็นผลไม้ ความเป็นโทนแนว Oriental ต่างๆ จากวานิลลาและถั่วตองก้า ทุกอย่างคุมโทนการให้โทนสดใสในสีนวลทองค่อนไปทางครีมอารมณ์แสงแดดอบอุ่นเคล้ากับสีทุ่งข้าวสาลีมาก ซึ่งถ้าตัดในเรื่องสภาพแวดล้อมไป กลิ่นนี้ยังไงก็ยังถือเป็นโทนแป้งหอมหวานรื่นรมย์ที่ใส่แล้วยังไงก็เรียบหรูและมีเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายามได้ดีมาก ยอมกันตรงนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lubin.eu/it/produits-parfums/epidor/

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น