วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2564

Review: Creed - Acqua Fiorentina

Creed - Acqua Fiorentina

ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือที่เรามักได้ยินว่ายุค Renaissance ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงประวัติศาตร์ที่มีัอิทธิพลอย่างมากในแถบยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี เพื่อเป็นการฟื้นฟูจากช่วงยุคมืดมาการต่อยอดการพัฒนาทางด้านภาษา วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ นาฏกรรม และภูมิศาสตร์ โดยจะเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 - 16 ซึ่งจุดสูงสุดของยุค Renaissance ต้องยกให้ในช่งศตวรรษที่ 15 - 16 เลย เพราะเป็นดั่งยุคทองที่หรูหรา ฟุ่มเฟือย และจัดเต็มที่สุดจริงๆ

แน่นอนว่าการเกริ่นจะจบลงแค่นี้เพราะเราไม่ได้มาว่ากันในเรื่องประวัติศาสตร์ แต่จะหันมาที่น้ำหอมของ Creed ที่มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจากช่วงยุคทองของสมัย Renaissance โดยเน้นไปที่เมืองศูนย์กลางของยุคอย่างฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี แต่ไม่ได้เจาะจงที่ความเป็นเขตเมือง แต่ซูมเข้าไปที่เขตชานเมืองของฟลอเรนซ์เป็นหลัก โดยสื่อสารถึงกลิ่นอายน้ำหอมผู้หญิงวัยใสสไตล์เรเนซองส์ เช่นนั้น จะใสแบบไหนเล่ากลิ่นกันแบบนี้เลยดีกว่ากับรุ่น Acqua Fiorentina

เปิดต้นกลิ่นมาความเป็นกลิ่นโทนผลไม้จะเด่นวูบออกมาเลย แต่ไม่ได้มาแบบผลไม้ใสๆ เพราะเนื้อกลิ่นจะมีเลเยอร์ที่น่าสนใจ 2 โทน คือ สายกลิ่นใสๆ คือ ลูกแพร์กับแอปเปิ้ลที่จะมีความหวานฉ่ำของลูกแพร์เคล้ากับกลิ่นสดชื่นติดแอปเปิ้ลเขียวแต่ไม่ได้ออกทางเปรี้ยว ตามดก้วยกลิ่นออกทางเปรี้ยวหอมแต่มีความนัวและดาร์กติดกรุยกรายเย้ายวนของลูกพลัมที่เป็นตัวรองพื้นให้อยู่ ซึ่งกลิ่นเปิดบอกอารมณ์กลิ่นที่ได้ความเป็นผู้หญิงใสๆ แต่มีความกรุยกรายเซ็กซี่เย้ายวนเนียนๆ แฝงเลยทีเดียว ง่ายๆ กลิ่นมีจริตจะก้านที่ครอบคลุมในความเป็นผู้หญิงสไตล์ยุคเรเนซองค์ที่จะมีความใสๆ ในความหรูหรากรุยกรายแต่แฝงด้วยความมีจริตทางเพศที่เนียนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะค่อยเป็นค่อยไปพอสมควร และจะเป็นการสลับที่โดยการให้ลูกพลัมมาเป็นตัวยืนหนึ่งแทนที่ ซึ่งจะมีโทนออกทางหอมหวานอมเปรี้ยวเย้าชัดเจนมาก แต่ไม่ได้ไปสายดาร์กเลยทีเดียว เพราะเนื้อกลิ่นยังมีลูกแพร์กับแอปเปิ้ลที่ไม่ได้หนีไปไหนมาตัดทอน โดยเฉพาะลูกแพร์ที่ให้จะอารมณ์กลิ่นติดฉ่ำ Aqua เนียนๆ อยู่แล้ว แถมยังมีตัวสนับสนุนอย่างกลิ่นออกทางกึ่ง Citrus กึ่ง Spicy ปนสมุนไพรติดแห้งหน่อยๆ เข้ามาช่วยด้วยอย่างมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) มาเป็นตัวสร้างอารมณ์กลิ่นที่ให้ความปร่าติดเปรี้ยวขมเนียนๆ ยังไม่พอ ช่วงกลางจะมีลูกผสมที่สร้างมิติหรูๆ กรุยกรายมาเพิ่มจากกุหลาบเนียนรวมเข้ามาด้วย ทำให้มิติกลิ่นจะเด่นที่ความเป็น Fruity Floral ชัดเจนมาก โดยจะเด่นที่ความเป็นพลัมหวานเย้าลึกได้อารมณ์แบบผลไม้สีม่วงแกมกลิ่นกุหลาบอวลมีจริต แต่กลิ่นก็ไม่หนักเกินเพราะมีโทนผลไม้ใสๆ จากช่วงต้นมาตัดและมีกลิ่นออกทางขมปนปร่ามะกรูด+คาร์เนชั่นที่ทำให้กลิ่นมีโทนออกทาง Retro หน่อยๆ ได้อย่างลงตัว ซึ่งช่วงกลางเรียกว่ายาวนานมากเลยทีเดียวกว่าจะจับต้องได้ว่ามีการเปลี่ยนโทนบางส่วนก็เลย 6 ชม. ไปแล้ว ซึ่งช่วงท้ายของกลิ่นโทนลูกพลัมเคล้ากุหลาบยังมีอยู่ แถมยังมีกลิ่นแอปเปิ้ลปลายกลิ่นอยู่นิดหน่อย แต่กลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมเนียนแทรกขึ้นมามากขึ้นของไม้ซีดาร์แต่ก็ไม่ได้แย่งซีน ออกแนวเป็นตัวแทรก Subtle ที่สร้างมิติในเนื้อกลิ่นให้มีมิติเรียบหรูมากกว่า และแอบจับต้องถึงกลิ่นแนวๆ Signature ของ Creed ที่เป็นลักษณะแบบคล้าย Ambergris หรืออำพันปลาวาฬหน่อยๆ ด้วยซึ่งมาทำให้กลิ่นมีลักษณะที่หรูหราในความเป็นโทนผลไม้นัวแบบมีระดับ ไม่ได้โฉ่งฉ่าง มีลูกล่อความใสปนความเย้ายวนกำลังดี และมีจริตในเนื้อกลิ่นที่ให้อารมณ์ติด Retro เล็กๆ ได้อย่างน่าสนใจ และมีลายเซ็นแบบสไตล์ Creed ที่หรูหราปนเรียบหรูชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นมีความใสก็จริง แต่มันมีลูกเย้ามีเสน่ห์ดึงดูดของพลัมที่ชัดพอสมควร เลยจะเข้าทางกับการใช้งานแบบที่เน้นกลิ่นที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มีความเย้าซ่อนลึกกำลังดีและมีความหรูหรากรุยกรายให้จับต้องได้เป็นสำคัญ เลยจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการ (แบบที่ไม่ได้ถึงกับรับแขกบ้านแขกเมือง) ใส่ทำงาน หรือทั่วๆ ไปเป็นสำคัญ แต่ให้ข้ามเรื่องการใส่เพื่อออกกำลังกายจะดีกว่า เนื้อกลิ่นไม่ได้ไปทางสาย Activity เรียกเหงื่อนัก ส่วนยามค่ำคืน ถ้าเพิ่มสเปรย์หน่อยก็ถือว่าเอาไปออกงานหรือสายโรแมนติคได้อยู่ แต่จะเน้นออกทางนิ่งๆ ติดหรูที่มีเสน่ห์มากกว่า 

ความทน - เกินคาด เพราะตอนแรกคิดว่าจะเรื่อยๆ ไม่น่าเกิน 4 - 6 ชม. แต่กลับกลายเป็น 8 ชม. กลิ่นยังอยู่ไม่หนีไปไหน และไปต่อได้อีกถึง 12 ชม. ในการใช้ส่วนตัว เช่นนั้นถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยของทุกสภาพผิว ก็ใช้ได้ที่ 6 - 8 ชม. ได้สบาย แบบมีเงื่อนไขคือ น้ำหอมต้องไม่ได้ใหม่เกินไป เพราะ Creed ต้องซื้อมาเก็บบ่มกันพอสมควรถึงจะได้ความงามทางกลิ่นที่ชัดเจน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วค่อนข้างคงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 2 ชม. ก่อนจะลดลงมาปานกลางกันยาวๆ ไปถึงราวๆ 6 ชม. จะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ แล้วเป็น Skin Scent อีกที เมื่อผ่านราวๆ 8 - 10 ชม. ไปแล้ว 

สรุป - เนื้อกลิ่นทั้งหมดจะให้อารมณ์เหมือนเห็นสาวสวยในชุดสไตล์ Renaissance ออกทางสีม่วงพลัมแบบที่ไม่ได้ถึงกับกรุยกรายเว่อร์วัง แต่มีความเรียบหรูพลิ้วๆ ดูใสๆ แต่มี Sex Appeal ทางเพศสูง ซึ่งถ้าบอกว่ากลิ่นมันพีคและ Unique ไหม อาจจะไม่ได้ขนาดนั้น แต่ถ้าถามว่ากลิ่นมีดีและหรูหราสไตล์ Creed ไหม บอกเลยว่า “ใช่” ไม่กลิ่นไม่ธรรมดาในสไตล์ซ่อนเย้ามีจริตได้ดีเลยทีเดียว  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://creedboutique.com/products/acqua-fiorentina?variant=32812868173921

 

Review: Avon - Far Away

Avon - Far Away

ถ้าพูดถึงน้ำหอม Collection ที่มีความ Classic และอยู่คู่แบรนด์ Avon มายาวนานและได้รับความนิยมจนออกลูกออกหลาน Flanker ออกมามากมาย หนึ่งในนั้นต้องมี Far Away เป็นลำดับต้นๆ ที่สร้างความประทับใจกับผู้ใช้มาอย่างยาวนานและในทุกวันนี้ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ตลอดในน้ำหอมกลิ่นอายสายดอกไม้ขาวที่ Avon เขาถนัดมาเสมอ

เช่นนั้น ก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าความ Far Away ที่เป็นตัวต้นตระกูลที่อยู่ยงคงกะพันมาในทุกวันนี้ในสายน้ำหอมผู้หญิงของ Avon จะมีกลิ่นอายออกมาแบบไหน เช่นนั้น มาดมกันผ่านตัวหนังสือกันดีกว่า

เปิดต้นกลิ่นมาก็เรียกว่าความเป็นดอกไม้ขาวปนกลิ่นอายของดอกกระดังงามาเต็มกันเลยทีเดียว เรียกว่าคนชอบกลิ่นอายดอกไม้ขาวอวลหอมนวลหวานชัดจะฟินได้ไม่ยาก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีอารมณ์โทนกลิ่นออกทางวานิลลารองพื้นค่อนข้างชัดเจนและเแอบมีกลิ่นมะพร้าวติดกะทิบางๆ คล้ายโทนซันแทนเล็กๆ มาเป็นวูบๆ ที่เสริมกลิ่นโทนดอกไม้ขาวให้อวลนวลหวานชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งกลิ่นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะว่าจะมีกลิ่นโทนผลไม้หอมติดหวานนวลอย่างพีชเข้ามาสร้างมิติโทนกลิ่นที่ทำให้โทนกลิ่นออกทางสีพีชนวลพาสเทลเสริมเข้าไปอีก รวมกันจนกลายเป็นโทนอวลแน่นคมพอสมควรแบบที่ไม่ได้ดูใสๆ กิงก่องแก้ว แต่จะได้ความรู้สึกแบบผู้หญิ๊ง ผู้หญิงวัยทำงานที่สะพรั่งเต็มที่และมีความเป็นจริตคุณนายเปิดตัวกันได้เลยล่ะ

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเริ่มมีความเบาลงมาจากช่วงแรกที่มีความอวลแน่น กลิ่นจะเริ่มเซทตัวอย่างสมดุลย์มากขึ้นในการเป็นช่วงกลางและจะเป็นช่วงที่ให้ความอ่อนหวานเข้ามาร่วมด้วยลดทอนความมีจริตอวลๆ จากช่วงแรกได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะของการเป็นแป้งหอมดอกไม้ขาวอ่อนๆ ที่มีลูกผสมกลิ่นติดแป้งหวานโปร่งของดอกไวโอเล็ตเป็นมิติแรก ตามด้วยแป้งอบอุ่นอวลวานิลลารองพื้นกลิ่นที่มีลูกโทนแบบซันแทนโลชั่นมะพร้าวเบาๆ คลออยู่เช่นเดิม แต่จะคุมโทนดวยความเป็นดอกไม้ขาวเด่นชัดมากๆ จากดอกมะลิที่ให้ความหวานระเรื่อและมีกลิ่นหวานครีมมี่กลางๆ ติดออกทางหวานเย้าแต่ไม่ได้ครีมหนักจัดของดอกพุดที่ให้ความนวลหวานกำลังดีสร้างโทนที่มีความนวลสว่างขาวเข้ามาจนได้อารมณ์หอมนวลแป้งดอกไม้ที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ที่สำคัญการมีโทนที่ออกทางเอื้อนปลายกลิ่นอย่างกระดังงานี่แหละที่ทำให้จริตความเย้ายวนเนียนๆ ยังมีอยู้ให้จับต้องได้ แม้ว่าโทนกลิ่นจะอ่อนหวานมากขึ้นก็ตาม ซึ่งนี่แหละกลิ่นอายสไตล์ผู้หญิงที่ต้องมีอะไรให้ค้นหาด้วยถึงจะมีเสน่ห์ที่ครบถ้วนแบบที่ยังไงก็รอดได้สบาย

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้รู้สึกได้จากโทนแป้งโปร่งหวานที่ค่อยๆ จางลงและกลิ่นเริ่มมีโทนที่อบอุ่นที่เพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้อวลหนักจนแน่น เพราะกลิ่นเริ่มลดทอนลงมาเป็นคลอรอบกายที่ให้ความอวลแบบกำลังพอเหมาะ โดยที่ยังคุมโทนแป้งอยู่เช่นเดิม แต่เป็นแป้งหอมนวลๆ วานิลลาติดอบอุ่นแบบมีโทนแอมเบอร์รวมอยู่ด้วยและจะมีกลิ่นติดปลายหวานดอกไม้ขาวที่ให้ความหอมหวานออกทางโทนสว่างนวล ซึ่งเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวมากขึ้นจะจับได้ว่ามีกลิ่นนวลสะอาดติดนุ่มของ Musk ที่รองพื้นอยู่ และมีกลิ่นนวลๆ ครีมติดไม้หอมเนียนๆ ของไม้จันทน์หอมสร้างมิติสว่างครีมนวลประปรายอยู่ด้วย เลยทำให้ภาพรวมกลิ่นจะออกทางโทนสีออกทางนวลครีมวานิลลาที่มีกลิ่นดอกไม้ขาวอย่างมะลิและดอกพุดประทับตราความเป็นโทนดอกไม้ขาวแบบที่ Avon ถนัดอยู่เช่นเดิม ปิดท้ายการเป็นกลิ่นอายหอมนวลอบอุ่นปนอ่อนหวานมีเสน่ห์และมีระดับ แถมยังมีลักษณะแบบกลิ่นอาย Timeless เหนือกาลเวลาในสไตล์แป้งดอกไม้ขาวอบอุ่นได้เป็นอย่างดีคลอผิวไปเรื่อยๆ นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เพราะกลิ่นมีความเป็น Feminine เต็มขั้นสร้างออร่าความเป็นผู้หญิงที่มีความนิ่งอวลแต่มีเสน่ห์และมีจริตเย้าๆ มีเสน่ห์กันอย่างชัดเจน ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่กลิ่นจะไม่เข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก เพราะเดี๋ยวดอกไม้ขาวอวลแน่นตีขึ้นแล้วจะจุกคอหอยมึนไปเสียก่อนได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อออกงานหรือโรแมนติคจะดีที่สุด เพราะกลิ่นจะส่งเสริมสายวางตัวนิ่งแต่มีเสน่ห์ได้ดีกว่าการใส่ไปท่องราตรีเพราะความเย้ายวนของกลิ่นแบบโจ่งแจ้งสู้คนที่ใช้น้ำหอมหวานยั่วไม่ได้แน่นอน

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. ซึ่งจะสามารถไปต่อได้หรือไม่ ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยพอสมควร ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. พอดีๆ ไปต่อได้อีกนิดหน่อยแตะเกือบ 10 ชม. ถือว่าพึงพอใจในเรื่องนี้ไม่น้อยเลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าถ้าคนไม่ชินกับกลิ่นกระดังงาที่มีลูกอวลเย้าหวานเอียนเด่นอาจจะมีมึนเอาได้ แต่ถ้าปรับตัวได้ที่เหลือคือความดีงามของกลิ่น ที่จะลดทอนลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะเป็นออร่ารอบตัวซักพักจึงค่อยๆ ลงมาเรื่อยๆ เป็นติดผิวจนกว่าจะจางไปตามเวลาที่เหมาะสม

สรุป - สมแล้วที่เป็นหนึ่งในตัวหลักที่ Avon ยังคงไว้เสมอเพราะกลิ่นมาสไตล์ที่ยังไงก็หอม ยังไงก็ผู้หญิงมาก และสร้างออร่าความหอมหวานมีเสน่ห์เรียกความสนใจก่อนจะค่อยๆ สร้างความหอมละมุนปนอบอุ่นแบบที่มาสไตล์เหนือกาลเวลาในสายดอกไม้ขาวได้อย่างลงตัว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://my.avon.co.za/product/4209/far-away-eau-de-parfum-50ml

 

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2564

Review: Comptoir Sud Pacifique - Coco Figue


 Comptoir Sud Pacifique - Coco Figue

เมื่อได้เห็นแบรนด์ Comptoir Sud Pacifique กับชื่อรุ่นน้ำหอมที่นอกจากคำว่า Vanille แล้ว อีกคำอย่าง Coco ก็มาแบบที่ไม่ลดราวาศอกไม่ต่างกัน และสามารถเดาได้ไม่ยากว่าแบรนด์นี้จะต้องจัดเต็มเรื่องความหอมหวานในความเป็นโทน Gourmand โดยชูโรงกลิ่นมะพร้าวแบบที่คนชอบกลิ่นโทนนี้ต้องกดเลิฟกันไปตามๆ กันแน่ๆ ซึ่งผ่านมาก็หลายรุ่นต่างก็สร้างความหอมหวานน่ากิน แกมทำให้คนใส่เองก็หิวทุกครั้งในการใช้งาน

แต่มีอยู่ 1 รุ่นที่เล็งมาพอสมควรเพราะเป็นการเอาโทนกลิ่นที่เอื้อซึ่งกันและกันมาส่งเสริมกันอย่างมะพร้าวที่แน่นอนว่าหอมหวานครีมมี่ชัดเจนอยู่แล้ว มาเจอกับมะเดื่อฝรั่งหรือลูก Fig ที่มีกลิ่นอายโทนเขียวทึบเจือความเป็น Milky ติดโทนมะพร้าวหน่อยๆ ได้โอกาสจัดมาและเมื่อใช้งานจนตกผลึกได้ทีก็ขอเล่ากลิ่นออกมาแบบนี้เลยว่า

Coco Figue ทำเอาก่งก๊งไปพักนึง เพราะคาดไว้ว่าจะมาแบบกลิ่นข้นๆ ส่งต่อความขนมมาแบบจัดเต็มแบบที่เคยเจอน้ำหอมโซนนี้ของแบรนด์มาก่อน แต่กลับกลายเป็นว่าเอาความดีงามของโทนกลิ่น “จาวมะพร้าว” มานำเสนอ ซึ่งกลิ่นจะมีลูกผสมของน้ำมะพร้าวติดหวานร่วมอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนเปิดมาก็หวานเลย เข้าทางโทนขนมด้วยก็จริง แต่กลิ่นไม่ได้ถึงกับหนักแน่นเกินไป ให้ความพอดีๆ เสียมาก ที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีโทนออกทางติดเขียวปนนมๆ Milky ติดทึบหวานหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วยซึ่งก็ชัดเจนว่าเป็นโทนกลิ่นลูก Fig ที่เข้ามาสร้างอารมณ์ฟรุตตี้ติดเขียวให้เนื้อกลิ่น อารมณ์เลยเหมือนเราดมจาวมะพร้าวที่จะมีความข้นกลางๆ มีความหวานเคล้ากลิ่นน้ำมะพร้าวเจือกะทิหน่อยๆ ที่หวานหอมฟุ้งออกมา ซึ่งเปิดมาเรียกว่าสร้างความมะพร้าวอวลติดปลายกลิ่นสดชื่นปนเขียวทึบบางๆ ของ Fig ได้ดีเกินคาด บนพื้นฐานความหวานที่จะเป็นแกนนำหลักของกลิ่นกันอย่างยาวๆ ไป

เมื่อกลิ่นโทนติดอกทางน้ำมะพร้าวหวานเจือเขียวปลายกลิ่นนิดๆ เริ่มจางลงไป เนื้อกลิ่นจะปรับโทนเร็วพอสมควรซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นวานิลลาที่เข้ามาเสริมทัพพร้อมกับกลิ่นออกทางนุ่มๆ นม แต่ก็มีความแห้งในเนื้อกลิ่นจนรู้สึกได้ว่ามันกลายเป็นโทนแป้งหอมกลิ่นขนมอวลๆ เข้ามาแทนที่ ซึ่งก็กลายเป็นช่วงกลางของน้ำหอมที่เข้าสู่โลกของความหอมหวานชัดเจน กลิ่นจะมีความคล้ายมะพร้าวที่ป่นจนเป็นแป้งฝุ่น แต่มีความนวลอวลของวานิลลากับกลิ่นนุ่มนมที่มีลักษณะคล้ายถั่วตองก้าเสริมโทนวานิลลาเข้ามาด้วยจนกลายเป็นกลิ่นสาย Gourmand ที่ชัดเจน และที่สำคัญที่จะกลิ่นแนว Suntan Lotion เข้ามาสลับวูบเป็นระยะๆ เลยทำให้กลิ่นจะเป็นลูกผสมที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกเป็นโทนขนมมากเกินไป ได้อารมณ์แบบทา Suntan Lotion กลิ่นมะพร้าวหรูๆ เคล้ากลิ่นขนมติดครีมมี่ออกทางมะพร้าววานิลลาที่ติดเขียวเบาๆ ของ Fig ที่ยังตามมาอยู่ แต่แปลกมันเริ่มมีกลิ่นทึบเขียวมากขึ้นมาอีกสเต็ปด้วย

และก็ถึงบางอ้อจนได้ เพราะเมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนอบอุ่นมากขึ้นโดยจะมีมะพร้าวที่ออกทางกะทิกำลังดี ไม่ได้หนักข้น เสริมขึ้นมาเรื่อยๆ ตีคู่กับโทนกลิ่นเขียวขมติดทึบของใบ Fig โดยตัวที่รองพื้นให้ความอบอุ่นหอมหวานติดโทนแป้งหน่อยๆ ของวานิลลาจะเป็นตัวเชื่อมโทนที่ได้ลูกผสมระหว่างความเป็นกลิ่นกะทิอ่อนๆ นวลๆ เจือเขียวใบ Fig ที่มีความเป็นแป้งนวลละมุนเจือหวานกำลังดี ทำให้ได้อารมณ์ละเมียดติดหรู แนวพักผ่อนริมทะเลที่มีกลิ่นแนวโลชั่นมะพร้าววานิลลาหอมกำลังดีเจือกลิ่นเขียวมีเสน่ห์ได้อย่างลงตัวคลอผิวในการเดินกลิ่นในช่วงท้ายของน้ำหอมนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงไว้ว่า Unisex แต่กลิ่นแนวนี้จะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่าในความรู้สึกของคนไทย แต่เอาจริงๆ ยังไงผู้ชายก็ใช้ได้สบายมากๆ เพราะกลิ่นก็สร้างเสน่ห์เฉพาะเวลาอยู่บนตัวผู้ชายได้เช่นกัน เพราะกลิ่นมันออกแนว Suntan Lotion ด้วย ฝรั่งจะคุ้นชินกลิ่นแบบนี้มากกว่า ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่จะไม่เข้ากับยามทางการนัก เพราะกลิ่นมาสายทั่วไปชิลล์ๆ มากกว่า (แต่ก็ใส่ไปทำงาน Office ได้อยู่นะ) รวมถึงให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวจุกเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนใส่ไปท่องราตรีให้ดูน่ากินก็ลงตัวไม่หยอก หรือจะใสทั่วๆ ไปให้ความหอมเฉพาะก็น่าสนใจเลยทีเดียว

ความทน - มากเลยล่ะ กับพื้นฐานที่ 8 ชม. และถ้าผิวเอื้อมากพอสามารถไปต่อได้อีกถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว เรียกว่าคุ้มในเรื่องนี้และไม่ผิดหวังจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีแบบชัดเจนมากและคงตัวตั้งแต่ช่วงต้นยันปลสยช่วงกลางเลย พอผ่านไปซัก 4 ชม. ถึงจะผ่อนลงมาเป็นปานกลางซักพัก ราวๆ 6 ชม. จะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ จนคงตัวที่ออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป 

สรุป - จุดเด่นของกลิ่นชัดเจนที่ความเป็นโทนมะพร้าว และสามารถนำเสนอกลิ่นโทนมะพร้าวที่แตกต่างได้ดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมะพร้าวติดกลิ่นกะทิเล็กๆ กลิ่นจาวมะพร้าวหวานหอม กลิ่นแป้งมะพร้าว และกลิ่นกะทิหอมอ่อนๆ โดยจะมีมะเดื่อฝรั่งหรือ Fig เป็นตัวสร้างความเขียวขมทึบเจือหวานปลายได้อารมณ์ Tropical สายขนมหอมหวานแกมกลิ่นโทน Suntan Lotion หรูๆ ได้ลงตัว ไม่เสียชื่อความหวานที่แบรนด์นี้เคยนำเสนอเลยแม้แต่นิดเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.comptoir-sud-pacifique.com/produit-comptoir/produit-fragrance/concentration/eau-toilette/edt-cocofigue.html

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2564

Review: Acca Kappa - Vaniglia Fior di Mandorlo

Acca Kappa - Vaniglia Fior di Mandorlo

ผ่านน้ำหอมที่ชูโรงความเป็นวานิลลามาก็ท่วมท้นระดับหนึ่ง ก็เจอวานิลลาในแต่ละอารมณ์มาก็พอสมควรตามที่แต่ละแบรนด์นำเสนอ ไม่ว่าจะทั้งเรียบง่าย หรูหรา ขนม อวลหวาน อบอุ่น และละมุนแป้ง แต่ก็แปลกใจตัวเองพอสมควรเพราะกับแบรนด์ Acca Kappa เราไม่เคยได้แตะกลิ่นอายวานิลลาของแบรนด์นี้เลย เช่นนั้นได้โอกาสมาซึมซับความเป็นกลิ่นอายวานิลลาสไตล์อิตาลีของแบรนด์นี้กันหน่อย

และเมื่อได้ตกผลึกกับโทนกลิ่นแล้วก็บอกต่อได้แบบนี้เลย 

Vaniglia Fior di Mandorlo หรือ Vanilla x Almond Blossom เปิดตัวออกมาในการเป็นช่วงต้นของน้ำหอมด้วยกลิ่นวานิลลาที่เด่นออกมาเลย เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะไม่ได้หวานนิลลาหนักๆ แต่อย่างใด อารมณ์กลิ่นออกทางวานิลลาติดเขียวๆ มีความสดชื่นประปราย และไม่ได้อวลจัดจนเลี่ยน ซึ่งต้องยกเครดิตให้ตัวสนับสนุนวานิลลาที่ดีสร้างความหอมแบบกำลังดีเจือความสดชื่นและรื่นรมย์อย่างมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เอาความเปรี้ยวเจือขมสะอาดมาตัดทอนและมีกลิ่นออกทางดอกไม้ขาวใสๆ ติดเขียวหน่อยๆ ซึ่งน่าจะมะลิมาทำให้กลิ่นกลายเป็นลักษณะแบบ Green Vanilla ที่หอมลงตัวกำลังดี ซึ่งถือว่าเปิดตัวออกมาได้ดีเกินคาด

แล้วการเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็เกิดขึ้นเพราะอยู่ดีๆ โทนวานิลลาจะดรอปลงไปกลายเป็นพื้นกลิ่นแทน แต่จะมีกลิ่นออกทางดอกไม้หวานติดโปร่งมีอารมณ์กลิ่นกึ่งน้ำผึ้งติดแหลมเล็กๆ แต่ไม่หนัก อารมณ์ได้กลิ่นออกทางสีชมพูอ่อนหน่อยๆ เข้ามาเป็นตัว On Top ทำให้ได้อารมณ์เป็นลักษณะกลิ่นสาย Floral ดอกไม้เข้ามาเต็มๆ ซึ่งถ้าอิงตาม Note กลิ่นของน้ำหอมก็จะเข้าทางการเป็นกลิ่นของดอกอัลมอนด์เต็มๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความหวานแบบน่ารักๆ ปนสะอาดระเรื่อเข้ามาร่วมด้วย อารมณ์กลิ่นจะไล่เฉดได้อย่างน่าสนใจในความเป็นโทนหวานจากสีชมพูอ่อนไปสู่ความเป็นเหลืองนวลวานิลลาได้อย่างน่าสนใจมาก กลิ่นมีความเยาว์วัยพอสมควรด้วย แต่เมื่อผ่านไปพอสมควรจนท้ายๆ ช่วงกลางการเปลี่ยนแปลงก็จะชัดขึ้นเพราะกลิ่นโทนดอกไม้หวานใสติดแหลมจะจางลงไปเรื่อยๆ ให้วานิลลากลายเป็นตัวหลัก และคราวนี้วานิลลาก็จะปล่อยออร่าความเป็นกลิ่นอายอบอุ่นนวลอวลหอมหวานกำลังดีแทน ซึ่งจะมีอารมณ์เป็นวานิลลา 2 เฉด คือวานิลลานวลติดแป้งหอมอบอุ่นเจือแอมเบอร์กับวานิลลาคัสตาร์ดที่ออกทางขนมหน่อยๆ ซึ่งจะสอดรับกันเป็นอย่างดี ปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลายเป็นวานิลลาที่จะเป็นพ่อทุกสถาบันกลิ่นในน้ำหอมรุ่นนี้เลย ซึ่งตัวที่สร้างออร่าความเป็นวานิลลาคัสตาร์ดเลยต้องยกให้ถั่วตองก้าที่เสริมเข้ามาได้อย่างดี แถมตัวสร้างความนวลในเนื้อกลิ่นเข้าไปอีกแต่ก็ตัดทอนไม่ให้กลิ่นไปสายขนมเกินไปอย่างไม้จันทน์หอมก็ทำหน้าที่ได้ดีในการกล่อมกลิ่นให้มีพื้นฐานของสีเหลืองนวลที่มีมิติของกลิ่นไม้นวลคลอไปอยู่ด้วย ซึ่งพื้นกลิ่นจะมีความอบอุ่นชัดเจนแต่ไม่หนักเกินไป รวมถึงมีความนวลสะอาดของ Musk ที่กล่อมให้มีความละมุนกำลังดีเข้ามร่วมด้วย ภาพรวมของกลิ่นในช่วงท้ายเลยเป็นวานิลลาอวลอุ่นหอมหวานกำลังดีไม่ได้ข้นจัดเกินไป ให้ลูกผสมที่ดีระหว่างโทนหอมอบอุ่นกึ่งขนมได้ดีและมีความรื่นรมย์เป็นตัวปิดท้ายได้อย่างดีจริงๆ

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงว่า Unisex แต่พอใช้จริงกลิ่นเดินไปทาง Feminine ชัดเจนมาก เรียกว่า 85% ได้เลย ซึ่งถ้าผู้ชายไม่มายด์กลิ่นหวานดอกไม้กับวานิลลาที่มาเจอกันตรงกลางแบบไล่สีจากชมพูสู่เหลืองนวลก็ไม่มีปัญหา ซึ่งกลิ่นนี้อาจจะไม่ได้เข้ากับยามทางการเท่าไหร่นัก แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไป หรือใส่ทำงาน Office อันนี้ใส่ได้สบายมาก กลิ่นมีความเยาว์วัยและน่ารักเลยทีเดียว แน่นอนว่าให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย เพื่อป้องกันการจุกขาดอากาศหายใจเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนเพิ่มสเปรย์หน่อยใส่ออกงาน ใส่ไปปาร์ตี้ หรือใส่ท่องราตรีได้ไม่ยาก แต่อาจจะไม่ได้เข้มข้นหรือมาสายจงใจเรียกร้องให้ผู้คนสนใจนัก แต่ยังไงก็รอดและมีเสน่ห์ไม่น้อยเลยล่ะ

ความทน - เกินคาดมาก เพราะ 8 ชม. แล้ว กลิ่นยังไปต่ออีกยาวถึง 15 ชม. เลย ต้องยกนิ้วให้จริงๆ เพราะความทนจัดจ้านทีเดียวเชียว

การกระจาย - เปิดตัวในช่วงแรกถือว่าให้ความกระจายที่ดีเลยทีเดียว แถมค้างในห้องที่ฉีดอยู่พักนึงได้เลย แล้วจะลดลงมาปานกลางคงที่ยาวไปจนถึงราวๆ 10 ชม. กันเลยทีเดียว เรียกว่าไม่ธรรมดาเลย ที่เหลือก็จะให้ออร่าอบอุ่นวานิลลากันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะอาบน้ำล้างตัวนั่นแล

สรุป - ถ้าต้องการวานิลลาแบบสุขุม ตัวนี้อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ แต่ถ้าต้องการวานิลลาหอมหวานน่ารักแบบไม่เลี่ยนหนักหน่วงเกินไป อันนี้สิใช่เลย และให้ความดีงามในการเป็นกลิ่นสายวานิลลาเจอดอกไม้ได้อย่างลงตัวมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.it/Kappa-Acca-Vaniglia-Mandorlo-profumo/dp/B00VVGCL8G

 

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564

Review: Montale - Patchouli Leaves

Montale - Patchouli Leaves

ผ่านการลองน้ำหอม Note กลิ่นที่แบรนด์ Montale ทั้งช่ำชองอย่าง Oud (ไม้กฤษณา) และกุหลาบมาก็มากมาย มีไปลอง Note กลิ่นอื่นๆ บ้างก็มีถึงเครื่องบ้างหรือไปได้อยู่บ้าง แต่มีอยู่หนึ่ง Note กลิ่นของแบรนด์นี้ที่มีการชูโรงเป็นจริงเป็นจังอยู่กับเขาบ้าง แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ลองเลยนั่นก็คือ Patchouli หรือพิมเสน ที่ถ้านับกลิ่นที่เอาโทนนี้มาชูโรงก็มีเพียง 2 รุ่นที่ไป + กับโทนอื่น แต่มีอยู่หนึ่งรุ่นที่เรียกว่าเป็นรุ่นตั้งต้นหลักของการเป็นกลิ่นอายสายพิมเสนนี้เลย ที่ดูไปดูมาคำชมของรุ่นนี้ก็ไม่ธรรมดาเลยล่ะ

เช่นนั้น มาเจอกันหน่อยเป็นไร ดูสิว่ากลิ่นจะออกมาเป็นพิมเสนแบบไหนกับรุ่นนี้เลย Patchouli Leaves

เปิดตัวออกมาก็เดาและบอกได้เลยแบบไม่เม้มว่า “พิมเสนนี่แหละจะเป็น Center Note ตัวหลักที่จะต้องอยู่ยาวๆ ไปอย่างสตรองแน่นอน” เพราะความเป็นพิมเสนในช่วงต้นจะมาแบบอารมณ์แบบใบเขียวปร่าเฝื่อนติดกลิ่น Earthy ดินๆ แนวพืชล้มลุกที่ชัดเจนมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเป็นอารมณ์แบบขนี้ใบพิมเสนแต่ตัดความสาบเด่นๆ ออกไป จนได้พิมเสนที่มีความดีงามในรูปแบบที่อารมณ์สมุนไพรสดที่เผื่อนปร่าแต่มีความหวานแทรกในเนื้อกลิ่นตลอดโดยไม่ดิบห่ามเกินไปนัก ซึ่งจะได้อารมณ์มีระดับและหรูหราขึ้นมาทันที และไม่พอในความเป็นพิมเสนในช่วงนี้จะมี Texture ทางกลิ่นที่สำคัญ 2 อย่างที่ดึงเสน่ห์ออกมามากกว่าพื้นฐานตามที่บรรยายไว้ก่อนหน้า นั่นก็คืออารมณ์กลิ่นที่ติดอโทนชอคโกแลตที่ไม่ได้ดาร์กจ๋า มาแบบเป็นเลเยอร์สนับสนุนติดสมุนไพรสากมีเสน่ห์แบบปลายกลิ่นที่ดึงดูดมาก ตามด้วยลูกเล่นกลิ่นพิมเสนติดเปียกๆ ชื้นๆ ที่สร้างมิติทางกลิ่นที่ให้อารมณ์แบบพิมเสนในสวนที่มีความเปียกจากละอองน้ำเคล้ากลิ่นดินปนกลิ่นปร่ามีเสน่ห์ปนลูกเล่นโทนชอคโกแลตที่เรียกว่า “ประทับใจ” เอาเลยในแรกดม และร้องอื้อหือในพลังของกลิ่นที่เปิดมาก็จัดจ้านในย่านนี้ตามสไตล์ของแบรนด์ Montale ชัดเจน

และก็เดาไม่ผิด เพราะว่ากลิ่นของพิมเสนยังไม่ลดราวาศอกในการปล่อยพลัง แต่กลิ่นที่เข้ามาเสริมจะเป็นโทนอบอุ่นที่เป็นลูกผสมออกทางยางไม้อวลดิ่งลึกๆ และมีพลังออกทางอบอุ่นและอวลติดโทนคล้ายหนังหน่อยๆ อย่างมีชั้นเชิง ซึ่งก็มาจากยางไม้อย่าง Labdanum ที่เข้ามาสร้างโทนอบอุ่นให้เนื้อกลิ่นสอดรับกับพิมเสนตอนต้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็เปิดทางเข้าสู่ช่วงกลางชัดเจนมาก โดยโทนกลิ่นติดชื้นเปียกในตอนต้นจะจางไปแล้ว กลายเป็นลูกเล่นที่ชัดเจนในโทนอบอุ่นติดกลิ่นอายสายแอมเบอร์เต็มตัวและมีความสมดุลย์ที่ผสมผสานกับพิมเสนได้อย่างงดงามได้ทั้งความเป็นพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อซ้อนกับกลิ่นออกทางเผื่อนสมุนไพรติดแห้งๆ อารมณ์มีวูบแบบยาจีนเล็กๆ แต่เพราะเนื้อกลิ่นมีความหวานปร่าที่สร้างความเย้าและน่าค้นหาเลยทำให้กลิ่นมีมิติที่สนุกในการดมมากเลยทีเดียว ซึ่งจะจับต้องอารมณ์กลิ่นโทนพิมเสนที่ควรจะเป็นได้หมด ทั้งติดดินดิบอ่อนๆ ทั้งเย้าหรู ทั้งปร่าระเรื่อ ทั้งติดสมุนไพรยาจีนที่ลุ่มลึก และกลิ่นหวานเย้าสะกิดจมูกอย่างมีชั้นเชิง โดยจะอยู่บนพื้นฐานกลิ่นอบอุ่นติดอวล และมีโทนวานิลลามาเสริมความหวานหน่อยๆ ให้กลิ่นมีความหนามากขึ้น แต่ไม่ได้ข้นจัดแต่อย่างใด ซึ่งแน่นอนความทรงพลังทางกลิ่นยังมีอยู่ครบถ้วนมาก

ก่อนจะเข้าช่วงท้าย เนื้อกลิ่นโทนอบอุ่นจะเริ่มเบาลงมาให้รู้สึกได้แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่จะเพิ่มโทนแห้งติด Earthy ดินๆ เคล้ากลิ่นสมุนไพรแห้งติดปร่าเฝื่อนที่มีความหวานมีเสน่ห์กึ่งโทนยาของพิมเสน แต่ไม่ได้เป็นยาจีนจ๋าจัดมาจากไหน ซึ่งต้องยอมให้ผู้ปรุงเลยว่าคุมโทนพิมเสนได้งามและลงตัวมาก กลิ่นจะไม่อารมณ์โทนแห้งเจืออบอุ่นที่ไม่หนัก มีเสน่ห์ติดโทนยางไม้ค่อยทางไม้หอมแปร่งอวลเล็กๆ ซึ่งช่วงนี้จะไม่ได้ลึกเท่าช่วงกลาง ซึ่งก็มาแบบแอมเบอร์แห้งๆ กันชัดเจน โดยที่จะมีตัวตัดทอนให้กลิ่นมีความนวลนุ่มเข้ามาอย่างสมดุลย์ด้วยจาก Musk ซึ่งจะทำให้กลิ่นพิมเสนมีความระเรื่อติดดิบบางๆ ปนกลิ่นหวานอะโรม่าที่อวลมีเสน่ห์และหรูหรามีระดับแบบกำลังดี กลิ่นยังมีพลังก็จริง แต่ก็มาแบบอวลรุมๆ รอบตัวแบบที่สร้างความน่าค้นหาเข้าไปอีกสเต็ป ถือเป็นการปิดท้ายกันยาวๆ บนผิวจนกว่ากลิ่นจะพอใจไปเองเลยล่ะ

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นมีความกลางๆ แบบอิงที่ความเป็นพิมเสนเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นโทนสร้างเสน่ห์แบบลุ่มลึกและแจะได้หมดทั้งฮิปปี้หรือสมาร์ทอบอุ่นน่าค้นหา ซึ่งแน่นอนว่าการใช้จำนวนสเปรย์ควรจะต้องเหมาะสมกับสภาพอากาศในวันนั้นๆ นิดนึง ถ้าร้อนก็เบาๆ มือหน่อยไม่งั้นจุกตายกันพอดี กลิ่นแผ่รังสีมาก ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปที่เน้นความขรึมมีเสน่ห์และความเก๋ปนอบอุ่น แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยว่าใช้กลิ่นนี้จะไม่เหมือนใครไม่พอ ใครก็มาข่มไม่ได้เสียด้วย ซึ่งได้หมดถ้ามั่นใจไม่ว่าจะโรแมนติค ท่องราตรี หรือออกงานก็ตาม  

ความทน - มากกกกกกก ถึงมากที่สุด เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ปล่อยพลังอวลๆ อยู่แบบที่ไม่ลดราวาศอกแต่อย่างใด และพออาบน้ำล้างตัวไปแล้วกลิ่นยังติดผิวคลออยู่จนถึงตอนเช้าวันถัดไปอีกด้วย เช่นนั้นเรื่องนี้หายห่วง

การกระจาย - มากกกกกกก เรียกว่าฉีดทีฟุ้งกระจายทั้งห้องและทิ้งค้างในห้องต่ออีกพักนึงได้เลยแม้ตัวจะออกไปจากห้องแล้วก็ตาม แล้วจะผ่อนลงมาที่กระจายดีซักพัก แล้วกลิ่นจะลึกอวลมากขึ้นเลยให้การกระจายที่ปานกลางกันยาวพอสมควร พ้นซัก 8 ชม. แล้วถึงลงมาเป็นออร่าอบอวลรุมๆ รอบตัวกันยาวๆ ไป

สรุป - กลิ่นตรงตามชื่อรุ่นชัดเจน เอาความเป็นพิมเสนที่สื่อสารหลากมิติ อิงกับจุดเริ่มต้นคือใบพิมเสนที่มีโทนเปียก สู่โทนอบอุ่น และปิดท้ายด้วยความ Earthy ติดดินและมีความแห้งได้อย่างลงตัว เรียกว่าจับเอากลิ่นนี้อยู่ใน List กลิ่นพิมเสนงามๆ ได้ไม่ยาก แถมมีพลังหนักแน่นในความเป็น Montale ที่ผู้ใช้ที่ชอบความชัดและแผ่รอบทิศของกลิ่นจะแฮปปี้ได้ไม่ยาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://perfumeuae.com/shop/eau-de-parfum-spray/montale-patchouli-leaves-for-unisex-edp-100ml/

 

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2564

Review: Pacifica - Cosmosis, Vanilla Stardust

Pacifica - Cosmosis, Vanilla Stardust

สิ่งที่สะดุดใจครั้งแรกเลยเวลาที่เห็นน้ำหอมรุ่นนี้ของแบรนด์ Pacifica นั่นคือ การเอากลิ่นโทนวานิลลามาเจอกับกลิ่นขี้เถ้า ซึ่งแค่นึกภาพเราจะได้อารมณ์วานิลลาติดอับไหม้อะไรประมาณนั้น แต่เพราะการตัดสินเพียงแค่นึกอย่างเดียว มันพิสูจน์ไม่ได้ เช่นนั้นการจัดมาเพื่อให้รู้จึงบังเกิด ที่สำคัญชื่อรุ่นน่าสนใจมากอย่างคำว่า Cosmosis ที่อ้างอิงการเป้นหนึ่งเดียวกันกับจักรวาล รวมถึงมีสร้อยห้อยต่อท้ายว่า Vanilla Stardust ที่เป็นละอองดาวสีวานิลลาเข้ามาอีก

เช่นนั้น ไม่ลอง ไม่ได้แล้วล่ะ

สิ่งที่เกิดขึ้นยามแรกสเปรย์ในการใช้งานและการเทสรอบต่างๆ อย่างแรกเลยคือกลิ่นอายออกทางสดชื่นแบบอากาศเย็นจะวูบขึ้นมาก่อน ซึ่งถ้าอ้างอิงกับ Note กลิ่นที่แบรนด์นำเสนอนั่นก็คือ Ozonic Note แต่มาเพียงวูบเดียวก็จางไป เพราะตัวหลักของกลิ่นอย่างวานิลลาที่แทรกเข้ามาพร้อมกับกลิ่นอายออกทางโทนผลไม้เบอร์รี่ที่ทำให้ช่วงแรกจะมีลักษณะกลิ่นที่มีความหอมแบบวานิลผสมกลิ่นอายเบอร์รี่ต่างๆ แบบเบอร์รี่รวมที่สัดส่วนโทนผลไม้ออกทางสีม่วงจะมากกว่าและเด่นออกมาเลย และเนื้อกลิ่นจะมีความหอมหวานชัดเจนออกมา แต่ข้อดีคือ กลิ่นไม่หนักเกินไปแม้จะเป็นกลิ่นโทนค่อนไปทางขนมมากเลยก็ตาม ก็เพราะมีความปร่าอ่อนๆ ที่สร้างความ Sparkling วิบวับแบบเบาๆ ปลายกลิ่นและเป็น effect ของโทน Ozonic ที่ทิ้งลายเซ็นเอาไว้แม้ว่าจะหายไปแล้ว

การเปลี่ยนแปลงของเนื้อกลิ่นจะไม่ได้ฉีกหรือแตกต่างนัก ค่อนทางมีความทางเดียวที่ให้โทนแบบค่อยเป็นค่อยไปและปรับโทนนิดหน่อยให้มีความหอมที่มีมิติขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นการแบ่งช่วงน้ำหอมออกเป็น 2 ช่วงจากช่วงต้นมาสู่ Dry Down เลย โดยที่กลิ่นโทนวานิลลาเบอร์รี่จะเริ่มมีอารมณ์กลิ่นออกทางหวานแหลมนิดๆ ของกลิ่นออกทางกำยาน Benzoin ที่เป็นตัวสร้างโทนกลิ่นออกทางวานิลลาติดหวานแหลมที่ฟุ้งออกมา แกมกลิ่น Smoky แบบติดทึบไหม้เนียนๆ เข้ามาเป้นสายสนับสนุนให้กลิ่นมีอะไรที่จับต้องได้มากขึ้นและเมื่อดมเข้าไปใกล้ๆ กลิ่นออกทางโทนแป้งเข้ามาร่วมด้วยแบบรองพื้นเนียนๆ อยู่ ซึ่งแน่นอนว่ามิติกลิ่นยังคงให้อารมณ์แบบกลิ่นออกทางสาย Gourmand หรือขนมหวานเด่นอยู่แต่จะมีความดารก์เนียนๆ ไม่หนักหน่วงและความอบอุ่นสบายๆ สไตล์วานิลลาติดแป้งเข้ามาเสริม ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปยาวพอสมควรจนเมื่อโทนผลไม้เริ่มหายไป ถึงจะเป็นวานิลลานวลๆ ค่อนไปทางแป้งติดหวานแหลมปลายกลิ่นผ่อนคลายสบายๆ เป็นการปิดท้ายไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่เหมาะสม

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่ค่อยไปทางผู้หญิงมากกว่าราว 75% ซึ่งกลิ่นจะมีความน่ารัก หอมหวาน ไม่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้ไก่กา ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำนวนสเปรย์กำลังดีถ้าวันอากาศร้อน แต่ถ้าอากาศเย็นเพิ่มได้ตามความเหมาะสม แต่ถ้ามากไปเดี๋ยวคนฉีดจะตึ้บก่อนเอา แต่ให้ตัดการใส่กับยามทางการจ๋าๆไปได้เลย กลิ่นไม่ได้ไปสายเสริมออร่าและบุคลิกทางการเท่าไหร่ รวมถึงการใส่เพือกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายก็ไม่ต้องนึกถึงตัวนี้ แต่ถ้าใส่ทำงาน Office หรือทั่วๆ ไป ใช้ได้สบายมาก รวมถึงยามค่ำคืนเน้นใส่แบบชิลล์ๆ โรแมนติค หรือสบายๆ ได้เลย แต่ถ้าจะใช้ไปท่องราตรีอาจจะโดนกลบเอาได้

ความทน - กลิ่นทนอยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญและไม่เกินนี้นัก ซึ่งอาจจะมีแกว่งตามสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวประมาณ 8 ชม. กับ 6 สเปรย์ก็ถือเป็นเรื่องดีแล้ว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นแล้วจะลดลงมาไวำอสมควรในการเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไวมาก และคงตัวไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. ก็ Skin Scent ชัดเจน

สรุป - เนื้อกลิ่นถือว่าให้ความเป็นวานิลลาหวานแหลมแกมกลิ่นผลไม้ได้มินิมัลพอสมควรและตรงไปตรงมาในการดำเนินกลิ่นที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากจนพลิกเกม มีความทางเดียวแต่มีมิติให้รับรู้ได้เวลาพินิจพิเคราะห์กับการดม เช่นนั้น อาจจะไม่ได้รู้ว่ากลิ่นนี้จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลอย่างไร แต่ถ้าบอกว่าตอบโจทย์ละอองดาวสีวานิลลาไหม? ตอบเลยว่าได้เลยเต็มๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pacificabeauty.com/products/natural-origins-cosmosis


 

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2564

My Favorite Newcomer Fragrances of 2020

My Favorite Newcomer Fragrances of 2020

เมื่อได้เวลาของการเลือกน้ำหอม 10 ตัวที่ได้สอยมาตลอดปี 2020 ที่สร้างความประทับใจและปลื้มปริ่ม ก็ทำให้รู้ว่า “พระเจ้าาาาา! เงินข้าหายไปกับพวกนี้ทั้งนั้นเลย” แน่นอนว่าสะเทือนใจกระเป๋าเงินและวงเงินบัตรเครดิตอยู่ซักครู่ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า “ช่างแม่ม” 

ซึ่งก่อนที่จะเข้าเรื่องการเลือกในรอบปีที่ผ่านมา เรียกว่าจะยากไปไหน จำใจต้องเทียบกลิ่นและยอมที่จะเอาออกจาก List ไปหลายตัวมาก ซึ่งก็ขอให้เครดิตโดยการระบุชื่อไว้ที่นี้เลย

Guerlain Homme EDP, Francesca Bianchi - Sex & the Sea Neroli, Aesop - Marrakech Intense, Bottega Veneta for Women, Tobali - Iron Wind, Diptyque - Eau Duelle, Acca Kappa - Tilia Cordata, TokyoMilk - Let Them Eat Cake, Montale - Patchouli Leaves และ The Different Company - Rose Poivree เป็นต้น

เช่นนั้นก็เข้าสู่ 10 รุ่น/กลิ่น ที่เป็นน้ำหอมที่ได้มาแล้วประทับใจในปี 2020 ที่ไม่ได้เรียงลำดับตามความชอบและไม่ได้สนใจว่าจะผลิตหรือวางจำหน่ายปีไหนเน้นเฉพาะที่ได้มาในปี 2020 เพียงอย่างเดียว ก็เริ่มที่

Tauer Perfumes - Lonesome Rider

“โคตรเท่ห์” ถือเป็นคำจำกัดความของน้ำหอมรุ่นนี้ได้เลย ซึ่งพื้นฐานกลิ่นจะเป็น Smoky Leather ที่ได้อารมณ์เท่ห์ๆ แห้งๆ แต่จะไล่เรียงอารมณ์จากเครื่องเทศที่มีความสดชื่นอารมณ์ปร่าๆ แล้วจะต่อเนื่องด้วยความเป็นโทนหนังเจือแป้งไอริสที่เข้มเท่ห์กำลังดีมีกลิ่นไม้หอมมาเจือๆ สร้างเสน่ห์ ก่อนที่จะเริ่มเป็นโทนติดควันน่าค้นหาและมีความสาบปลุกเร้าใจสาย Animalic ติดอวลอุ่นเข้ามาแบบมีระดับและแกมเซ็กซี่เนียนๆ พูดง่ายๆ กลิ่นนี้ให้นึกภาพตามได้เลยว่าเหมือนเข้าใกล้ Biker หล่อเท่ห์ที่ใส่แจ็คเกตหนังเคล้ากลิ่นกายอวลมีเสน่ห์ชวนคลุกวงในซบให้รู้แล้วรู้รอดนั่นแล    

Frederic Malle - French Lover 

“สุภาพบุรุษ” มากันแบบนี้เลย เพราะเนื้อกลิ่นสื่อสารถึงโทน Herbal หรือสมุนไพรเจือไม้หอมแห้งๆ โดยมีลักษณะกลิ่นอายสาย Timeless ที่จะเป็นโทนติด Classic ก็ได้ Modern ก็ดี กับพื้นฐานภาพรวมของกลิ่นที่เป็นโทนไม้หอม (Woody) เป็นเมนหลัก แต่จะคลอด้วยกลิ่นสมุนไพรที่ให้ความปร่า Spicy ตามด้วยไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝกติดยางไม้กึ่งโทนธูปน่าค้นหาและแอบหวานนิดๆ เนียนๆ จากสมุนไพร แล้วถึงกลายเป็นกลิ่นอวลอุ่นไม้หอมที่มีเสน่ห์แบบสุขุมสไตล์มินิมัล ใส่แล้วจะเป็นคนรักใครไหม ไม่รู้ แต่ใส่แล้ว Cool อันนี้กดเลิฟ 

Lubin - Epidor

“แป้งหอมรื่นรมย์” เพราะ Epidor แม้จะให้เป็นโทนกลิ่นที่สื่อถึงสภาพแวดล้อมที่มีความสว่างเหลืองนวลสมกับที่มาของน้ำหอมที่สื่อถึงทุ่งข้าวสาลีและฤดูกาลเก็บเกี่ยว แต่เอาจริงๆ พื้นฐานคือโทนแป้งหอมนวลระเรื่อที่แตะได้ทั้งกลิ่นอายหอมสะอาดเจือหวานที่มาจากดอกส้มและลูกพลัม และกลิ่นหอมนวลอบอุ่นแบบที่ไม่หนักหน่วงที่มาจากวานิลลาและถั่วตองก้า ทุกอย่างคุมโทนสมดุลย์ได้ดีไล่เรียงจากสดชื่นสู่หอมรื่นจมูกปนอบอุ่นได้อย่างพลิ้วไหว ซึ่งกลิ่นมันอาจจะดูไพล่ไปทางผู้หญิง แต่มาอยู่บนตัวผู้ชายมันหอมรื่นรมย์มากกว่าที่คิด

J-Scent - Ramune

“น้ำอัดลมกลิ่นครีมโซดา” นี่แหละใช่เลยกับ Ramune (Japanese Soda) ซึ่งกลิ่นจะให้อารมณ์หอมสชื่นซาบซ่าแบบที่ไม่ได้โฉ่งฉ่าง เพราะแรกฉีดอารมณ์กลิ่นเขียวหอมหวานเจือซ่าปร่าจะมาชัดเจนแบบที่ดมแล้วต้องนึกถึงน้ำอัดลมเลย ซึ่งต้องชื่นชมกันตรงนี้ว่าเป็นการผสมผสานกลิ่นมินต์ กลิ่นโทน Citrus กลิ่นโทนดอกไม้หวาน และกลิ่นผลไม้ มาเจอกับโทนปร่าอวลฟุ้งที่เสริมให้กลิ่นมีน้ำหนักกำลังดี หอมสดชื่น และเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญกลิ่นสายสนับสนุนจะให้ความนวลสะอาดเรียบง่ายสนับสนุนจนได้อารมณ์สไตล์ญี่ปุ่นออกมาชัด รวมกันแล้วสร้างความสุขในการดมได้ครบมาก 

Van Cleef & Arples - Neroli Amara

“ดอกส้มใสกระจ่าง” คือความเป็น Neroli Amara ที่ชัดเจน เพราะผ่านการใช้น้ำหอมดอกส้มมาก็มาก แต่ไม่เคยเจอกลิ่นดอกส้มที่ใสแบบน้ำลอยดอกส้มได้มากขนาดนี้ ไม่พอกลิ่นยังทนดีงาม และฉีกตัวเองออกมาจากน้ำหอมดอกส้มสาย Traditional Cologne ได้อย่างงดงาม ทุกอย่างคุมโทนการเป็นกลิ่นอายของดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำจนได้ลักษณะกลิ่นออกทางดอกส้มที่ติดเขียว Citrus สดชื่นรื่นรมย์ด้วยการผสมผสาน Note กลิ่นอย่างยอดเยี่ยม และให้เสน่ห์ของดอกส้มที่ควรจะเป็นรองพื้นด้วยความสะอาดเรียบหรูสไตล์มินิมัลที่ให้ความรื่นรมย์ในการใช้งานสูงมาก ยกดาวให้ทั้งฟ้าเลย   

Acca Kappa - Black Pepper & Sandalwood 

“เกินคาด” เพราะสิ่งที่เห็นครั้งแรกจาก Notes กลิ่น ก็คาดการณ์ไปก่อนเลยว่ามันจะหนักและแน่นแน่นอน แต่กลายเป็นพลิกเกมไปเลย เพราะเนื้อกลิ่นสายเครื่องเทศปร่าโปร่งอย่างกานพลูและพริกไทยต่างให้ความสมดุลย์กำลังดี ไม่ได้มาเพื่อฆ่าและแย่งซีนโทนไม้หอมที่นำทีมโดยไม้จันทน์หอมที่สร้างความสุขุมปนนวลแต่อย่างใด แต่กลับเสริมกันอย่างลงตัวโดยมีตัวเชื่อมสำคัญอย่างพิมเสน กุหลาบ หญ้าฝรั่น และอบเชย ที่ให้ความระเรื่อ หวาน ลุ่มลึก และอบอุ่น ทุกอย่างสอดรับและผสมผสานกันอย่างสมดุลย์ สร้างกลิ่นอายสุขุมนุ่มลึกเป็นออร่ารอบตัวได้อย่างงดงาม    

Jo Malone - Pomegranate Noir 

“มีชั้นเชิงและไม่ธรรมดา” โดยจะให้อารมณ์สีแดงน้ำทับทิมที่มีเสน่ห์และมีความน้ำนิ่งไหลลึกที่ซับซ้อนเกินคาดแบบที่ไม่คิดว่าจะเจอจาก Jo Malone ซึ่งกลิ่นจะไล่เรียงความเป็นโทน Fruity ที่สร้างอารมณ์สีแดงลุ่มลึกปนเมทัลลิคเสริมด้วยโทนเครื่องเทศปร่าคมนิดๆ ที่ให้ความรู้สึกว่าคาแรคเตอร์กลิ่นไม่ธรรมดา เสริมด้วยกลิ่นโทนยางไม้และดอกไม้คลอสร้างความระเรื่อมีเสน่ห์ รองพื้นด้วยความหนากำลังดีของกลิ่นจากโทนไม้หอมและพิมเสนที่น่าค้นหาและซับซ้อน แต่ก็ยังคุมโทนเป็นสไตล์ Cologne ที่เรียบหรูมีระดับตามลายเซ็นเดิมได้ดี อารมณ์ Last Boss สไตล์ Jo Malone ชัดเจน   

Akro - Awake 

“กรุ่นกลิ่นกาแฟ” ที่เป็นการผสมผสานเอาความดีงามของ Jo Malone - Black Vetiver Cafe มารวมกับ Armani - Attitude ใส่เสน่ห์เย้าๆ แบบ by Kilian - Intoxicated ลงไป ครีเอทจนเป็นกลิ่นกาแฟที่หอมชวนหลงมากกับการเปิดด้วยกลิ่นกาแฟดำใส่เลมอนฝาน ตามด้วยกาแฟดำหอมกรุ่นติดเครื่องเทศเย้าๆ ของกระวานที่มีเสน่ห์มาก แล้วปิดท้ายด้วยกาแฟไม้หอมแห้งๆ สะอาดๆ แบบกลิ่นกาแฟดำกรุ่นรอบกายสร้างความอะโรม่าที่รื่นรมย์และพลิ้วไหว ทุกอย่างต้องให้เครดิตสุคนธกรและเจ้าของแบรนด์อย่าง Olivier Cresp เลยที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างลงตัวและชวนหลงมาก

Parfum Prissana - Mandarava  

“ดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์” กับกลิ่นอายที่มีความเป็นศาสนาพุทธกับการนำเสนอกลิ่นดอกมณฑาที่ไม่ได้ไทยจ๋า แต่มีลูกเล่นกลิ่นที่ซับซ้อนอย่างหาตัวจับไม่ได้ ซึ่งกลิ่นจะให้อารมณ์กลิ่นสีเหลืองต่างเฉดกันจากเหลืองสว่างดอกไม้ เหลืองฝาดปร่าไม้หอมปนควันธูป Incense เหลืองทองอบอุ่นจากเครื่องเทศเจือยางไม้สายแอมเบอร์ ที่รองพื้นด้วยโทน Animalic แบบ Vintage ลุ่มลึก ซึ่งบางวูบได้อารมณ์กลิ่นคล้ายช่วงการย้อมจีวรสีกรักแบบพระป่าท่านทำเอง (อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว) แบบว่า เฮ้ย! นี่คืองานศิลปะที่ถ่ายทอดอารมณ์กลิ่นสไตล์ Oriental Floral ที่เหนือชั้นจริงๆ   

Hermes - Twilly d’Hermes

Modern Tuberose” เวลาเห็น Note กลิ่นที่ชูโรงความเป็นกลิ่น Tuberose หรือดอกซ่อนกลิ่น มักจะกลัวว่าครีมมี่ข้นๆ อวลหนักจัดจ้านจนใช้ยาก แต่กับการประยุกต์โทนกลิ่นที่ฉีกขนบของ Hermes เดิมๆ มาเป็นทิศทางใหม่ของแบรนด์ ที่ให้อารมณ์ซ่อนกลิ่นนวลครีมอ่อนๆ เจือขิง ที่มีกลิ่นดอกส้มกับส้มขมใสๆ มาตัด แล้วรองพื้นด้วยความนวลอ่อนๆ ของโทนแป้งเจือไม้จันทน์หอม รวมกันชูโรงกลิ่นออกมาได้ดีเพราะได้ทั้งความสดชื่น ความนุ่มนวล ที่มีลูกเล่นกลิ่นที่มีเสน่ห์และมั่นใจ ให้ความทันสมัยบนพื้นฐานความเป็นกลิ่นอ่อนที่ทน สุดท้ายผมก็ได้เจอ Tuberose ที่เหมาะกับตัวเองซักที   

ทั้งหมด ถือเป็นสมาชิกใหม่ของผมในปี 2020 ที่ทำให้ชีวิตมีความสุขกับกลิ่นอายความหอมต่างๆ ที่เข้ามา และเป็นหนึ่งในครอบครัวที่จะอยู่กันให้เต็มตู้ต่อไป

สุดท้าย “เงินข้าหายไปไหนหม๊ดดดด” ตามเคย

 

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2564

TokyoMilk Parfumerie Curiosite - Let Them Eat Cake

TokyoMilk Parfumerie Curiosite - Let Them Eat Cake

เห็นชื่อรุ่นครั้งแรกถึงกลับต้องคิดตามเลยว่ากลิ่นมันต้องเค้กจ๋าๆ เป็นขนมเค้กเดินได้แน่ๆ ที่สำคัญกลิ่นนี้ถือว่าได้รับคำชมเป็นลำดับต้นๆ ของแบรนด์นี้เสียด้วย เช่นนั้นจะพลาดได้อย่างไรที่จะหาน้ำหอมรุ่นนี้ของแบรนด์ TokyoMilk มาลองซะหน่อย เผื่อถ้าโชคดีมีอากาศเย็นๆ หลั่งไหลเข้ามาเราจะได้เป็นขนมเค้กที่ใครๆ ได้กลิ่นแล้วรู้สึกน่ากินขึ้นมาอีกสเต็ป

และเมื่อได้มาแล้วซึมซับกลิ่นจนหนำใจแล้ว ก็ขอถ่ายทอดกลิ่นการเป็น Let Them Eat Cake ได้แบบนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นมาความหอมหวานติดครีมมี่จะฟุ้งออกมาก่อนเลย แต่แปลก ไม่ได้หนักหน่วงมากจนกลายเป็นโทนหวานเลี่ยนแต่อย่างใด แต่จะออกทางครีมมี่มากกว่า ซึ่งอารมณ์กลิ่นจะเป็นแบบครีมวานิลลากึ่งกะทิอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกหอมมันอารมณ์แนวเลเยอร์เค้กครีมวานิลลามะพร้าวอะไรประมาณนี้ ซึ่งแน่นอนเป็นกลิ่นที่สร้างความพึงพอใจในการรับรู้ตั้งแต่ต้นได้เลยสำหรับคนที่ชอบกลิ่นออกทางขนม แต่ไม่ต้องการความหวานเลี่ยนจัดๆ อารมณ์แบบกลิ่นลอยมาเย้าๆ ให้ชวนพริ้ม (แกมหิวอยากกินเค้ก) มากกว่าที่จะตะบี้ตะบันยัดเยียดความเป็นเค้กให้ผู้ใช้

ซึ่งเนื้อกลิ่นจะไม่ได้ถึงกับเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ ออกทางเป็นเค้กครีมวานิลลามะพร้าวกันยาวๆ ไปแหละ เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงจะมีแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเป็นการผ่อนกลิ่นลงให้มาให้มีความสมดุลย์และเป็นธรรมชาติของกลิ่นเค้กที่ลอยมาเสียมาก ซึ่งในช่วงกลางอารมณ์กลิ่นโทนวานิลลาจะผ่อนลงมาหน่อยแต่ให้ความเป็นครีมมะพร้าวจะเด่นกว่าขึ้นมาอีกระดับ ทำให้จากเลเยอร์เดิมที่ได้รับกลิ่นคือ ครีมวานิลลามะพร้าว → กลายเป็นครีมมะพร้าววานิลลา ประมาณนี้ ซึ่งจะมีความหวานหอมออกทางน้ำตาลอ่อนๆ คลอแบบเรื่อยๆ ไม่ได้สาดความหวานข้นเข้ามาจนจุกคอหอยแต่อย่างใด กลิ่นจะให้ความระเรื่อหอมครีมปนหวานน้อยกำลังดี และมีเลเยอร์กลิ่นที่เป็นกลิ่นเนื้อเค้กที่เข้าทางสปันจ์เค้กที่ผสมมะพร้าวนวลๆ เข้าไปด้วย เลยทำให้กลิ่นมีความสมดุลย์ไม่หนัก และสร้างความรื่นรมย์ในความเป็นโทน Gourmand มากกว่าหนักข้นปล่อยพลังแน่นหนา

การเปลี่ยนแปลงก็ยังมีอยู่แต่เปลี่ยนเนียนๆ เพราะหัวใจหลักของกลิ่นยังคงเป็นกลิ่นเค้กมะพร้าววานิลลาอยู่ แต่จะมีความเบาลงมาอีกสเต็ป โดยจะมีกลิ่นนุ่มๆ ของ Musk เข้ามาร่วมด้วยพร้อมกับโทนแป้งที่ให้ความละมุนๆ ผ่อนคลายกำลังดี ที่สอดรับกับโทนมะพร้าวและวานิลลาที่ยังมีอยู่ อารมณ์กลิ่นจะได้ลักษณะแบบเนื้อแป้งเค้กที่นวลๆ ละมุนๆ หวานหอมกำลังดี มีกลิ่นครีมอ่อนๆ คลออยู่บางๆ ปลายกลิ่น ซึ่งอารมณ์แบบเหมือนเค้กคำสุดท้ายที่เป็นเนื้อเค้กเพียวๆ ซึมซับเอาสิ่งที่เป็นหัวใจหลักของเค้กเข้าไป ถือเป็นการปิดท้ายความรื่นรมย์ทางกลิ่นที่ให้ความเป็นเค้กมะพร้าววานิลลาที่มีความหอมอบอวลและอบอุ่นแบบกำลังดีทิ้งค้างในความรู้สึกได้อย่างลงตัวมากจริงๆ   

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงไว้ว่า Unisex ซึ่งใช่เลย เพียงแต่จะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่าราว 70% แต่ก็อย่าได้แคร์ เพราะกลิ่นขนมแบบไม่หนักแบบนี้ผู้ชายใส่ได้สบายมากและใส่เถอะกลิ่นจะทำให้พึงใจทั้งตัวเองและคนอื่นรอบตัวที่รับรู้ได้ไม่ยากเสียด้วยซ้ำ ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป ใส่ทำงาน Office ได้ ใส่สบายๆ ผ่อนคลายก็ได้ แต่อาจจะไม่เข้าทางการใส่ยามทางการหรือออกกำลังกายนัก ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยใส่ตัวนี้ออกงาน ปาร์ตี้ หรือโรแมนติคอันนี้ได้ความหอมเย้าได้ดีไม่พอ ยังมีความอบอุ่นแบบที่กำลังดีและมีเสน่ห์อีกด้วย แต่ถ้าเอาไปใส่เพื่อท่องราตรีต้องอัดสเปรย์หน่อย หรือเน้นการคลุกวงในจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังและหนักหน่วงมากนัก

ความทน - กลิ่นทนได้น่าสนใจมากราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้าง แต่ก็ถือว่าตรงตามค่าเฉลี่ยความทนที่พอดีๆ เลยล่ะ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ส่งต่อความครีมมี่ที่หอมน่ากินก่อนจะลดลงมาปานกลางซักพัก จนเมื่อผ่านไป 3 - 4 ชม. ถึงจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยอย่างมีเสน่ห์ ก่อนจะติดผิวในช่วงราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นต้นไปแล้วค่อยๆ จางไปตามเวลา 

สรุป - ใช่เลยนี่คือกลิ่นเค้กจริงๆ มาเป็นเลเยอร์เลยจากหน้าเค้ก สู่ชั้นครีมสลับเนื้อเค้ก และปิดท้ายที่เนื้อเค้กเพียวๆ แต่ไม่ใช่การยัดเยียดในการเป็นขนมเค้กเดินได้ให้กับผู้ใช้แต่อย่างใด แต่ให้อารมณ์แบบที่เราเห็นเค้กวานิลลาหอมๆ อยู่ตรงหน้า แล้วเค้กส่งกลิ่นเชิญชวนเราอย่างเป็นธรรมชาติกำลังดีเรื่อยๆ จนเราโดนตกขอซักคำแล้วกัน แต่ท้ายที่สุดคือหมดไป 2 ชิ้น เพราะมันอร่อย ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าทำกลิ่นออกมาได้สมชื่อว่าำ Let Them Eat Cake จริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://margotelena.com/products/let-them-eat-cake-parfum-boxed

 

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564

My Top 25 Signature Scents of 2020


ได้เวลาของการอัพเดทน้ำหอมที่เป็นลูกรักประจำปี 2020 แล้ว กับ 25 กลิ่นที่เป็น Signature บ่งบอกถึงความเป็นตัวของเข็มขัดสั้นเองในแง่มุมต่างๆ ซึ่งแต่ละตัวจะเป็น Partner ชั้นดีงามทางกลิ่นที่เสริมคาแรคเตอร์ของผมในด้านนั้นๆ ออกมา ซึงในปี 2020 เอาจริงๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนจากปี 2019 เท่าไหร่ มีเปลี่ยนเป็นตัวใหม่เข้ามาบ้างเล็กน้อย

เช่นนั้น ก็มาว่ากันกับ 25 กลิ่นนี้แบบไม่ได้เรียงตามลำดับความชอบแต่ประการใดนะครับ เพราะรักทุกกลิ่นเลย เริ่มที่

โรแมนติค: Jul et Mad - Terrasse a St-Germain
หรูหรา: Creed - Sublime Vanille
สดชื่น: Xerjoff - XJ 1861 Renaissance
อำนาจ: Zoologist - Rhinoceros
เจ้าเสน่ห์: Bond No.9 - New Haarlem

หนักแน่น: Amouage - Honour Man
ดาร์ก: Lalique - Encre Noire
โหมดมาร: Strangers Parfumerie - Burning Ben
อบอุ่น: by Kilian - Amber Oud
ปลง: L'Artisan Parfumeur - Passage d'Enfer

อ่อนโยน: Parfums Dusita - Issara
สันโดษ: Parfum Satori - Oribe/Hyouge
ซับซ้อน: Parfum Prissana - Nimitr
เรียบง่าย: Escentric Molecules - Molecule 01
อะไรก็ได้: Molyneux - Quartz pour Homme

เท่ห์: Strangers Parfumerie - Oliver
ผ่อนคลาย: PRYN PARFUM - Jardin d'Iris
หวาน: Penhaligon's - Ostara
สุภาพบุรุษ: Adolfo Dominguez - Vetiver Hombre
รื่นรมย์: Frederic Malle - Eau de Magnolia

ยั่วสวาท: Thierry Mugler - A*Men
เรียกร้องความสนใจ: MFK - Grand Soir
เมโทร: Paco Rabanne - Ultraviolet
มั่นใจ: Lush - Dirty
เจ้าสำราญ: Thierry Mugler - A*Men Ultra Zest

เรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งทั้ง 25 ตัวนี้เปรียบเสมือนเป็น Signature ของผมในแต่ละอารมณ์ เห็นแล้วสนใจตัวไหน อยากสอยตามลุยโลดดด หรือถ้าอยากจะแชร์ลูกรักของแต่ละท่านเองก็ยินดีเลยครับ

Happy New Year 2021 ทุกท่านนะครับผม

Review: Strangers Parfumerie - Scotch Peat

Strangers Parfumerie - Scotch Peat

ว่ากันด้วยเรื่อง “วิสกี้” ที่ดีที่สุดในโลก แน่นอนในหลายๆ ภูมิภาคจะเคลมกันสุดฤทธิ์ว่าของตัวเองเจ๋งขนาดไหน แต่ถ้าให้พูดถึงวิสกี้ที่ครองใจนักดื่มทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ก็คงต้องยกให้ “สก๊อตวิสกี้” ที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าเรื่องนี้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ผลิตออกมาทั้งแบบสาย Single เน้นแบบเพียวๆ บ่มจากโรงกลั่นเดียวไม่มีผสมวิสกี้อื่น กับ Blended เน้นผสมมากกว่า 1 ประเภทของวิสกี้ ซึ่งวิสกี้ประเภทนี้คนไทยจะรู้จักดี ก็พวก Chivas Regal หรือ Johnny Walker นั่นไง

และแน่นอนเสน่ห์ของการดื่มวิสกี้แบบแท้ๆ ที่ไม่ได้มี Mixer ทั้งหลายมาเกี่ยวข้องมันให้ความอะโรม่าและกลิ่นหอมที่สร้างความรื่นรมย์ได้อย่างงดงามในความรู้สึก ซึ่งกว่าจะได้วิสกี้มา 1 ขวด เรียกว่าต้องผ่านกระบวนการต่างๆ มากมายและ Strangers Parfumerie ก็ได้เอาความหอมกระบวนการที่ว่ามาแปลงร่างในการเป็นน้ำหอม โดยมี Concept ในการเล่ากลิ่นที่สื่อถึงโรงกลั่นวิสกี้และพื้นที่รายรอบที่มีวัตถุดิบสำคัญในการนำมาสร้างความหอมเฉพาะของวิสกี้อย่าง Peat หรือถ่านหินเลน ที่มาจากการย่อยสลายและทับถมกันของซากพืชที่มีมากเลยทีเดียวในแถบ Highland ของ Scotland เช่นนั้นจบการเกริ่นแต่เพียงเท่านี้ เข้าสู่กลิ่นกันเลยดีกว่ากับรุ่นนี้ Scotch Peat

ถ้าให้คำจำกัดความภาพรวมของกลิ่นจะเป็นการเจาะจงเฉพาะสภาพแวดล้อมที่มีกลิ่นวิสกี้ อารมณ์แบบทัวร์โรงงานกลั่นวิสกี้แบบเดินย้อนจากปลายสู่ต้นทาง โดยสิ่งที่เป็นการเปิดตัวกันอย่างชัดเจนในวูบแรกเลยคือ กลิ่นเหล้าวิสกี้บ่มที่ส่งกลิ่นหอมลอยออกมาทักทายก่อนอย่างแรก ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความซับซ้อนมากเลยทีเดียว เพราะจะมีลูกผสมของกลิ่นที่มีกลิ่นแนวผลไม้แห้ง น้ำผึ้งหน่อยๆ กลิ่นติดชอคโกแลตที่ไม่ดาร์ก แอบมีกลิ่นเครื่องเทศหวานแนวชะเอมหน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นออกทางเปรี้ยวหมัก Malt ที่มีความ Smoky แต่อะโรม่านุ่มนวลสไตล์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แกมกลิ่นถังไม้โอ๊คที่มีความลุ่มลึกเข้ามาร่วมด้วย แบบที่เปิดมาถ้าไม่มาเจาะจงความซับซ้อนของกลิ่น ยังไงก็บอกได้เลยว่านี่คือกลิ่นวิสกี้หมักชั้นดีในถังบ่มได้ไม่ยาก แต่แค่นี้เป็นเพียงแค่มิติแรกของการดมเท่านั้นเอง เพราะว่ามิติกลิ่นต่อมาจะเป็นกลิ่นอายแบบ Earthy ติดชื้นๆ แบบโคลนหรือดินที่มีความอับหน่อยๆ เคล้ากลิ่นออกทางดินที่มีกลิ่นเขียวทึบแนวๆ Oak Moss กับพวกแนวพืชสมุนไพรที่มีมาจากการทับถมกันทำให้กลิ่นมีความเฉพาะออกมา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของกลิ่น Peat หรือถ่านหินเลนที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการทำวิสกี้เนียนซ้อนลงไป ทำให้ช่วงต้นจะได้ความรู้สึกเหมือนเดินเล่นในโรงบ่มที่ได้กลิ่นวิสกี้กับถังไม้บ่ม เคล้ากลิ่นอับหน่อยๆ แบบกลิ่น Peat ที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติได้ดีมากจริงๆ

เมื่อกลิ่นวิสกี้เริ่มเบาตัวลงมาเป็นสายสนับสนุน ก็เดินเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัวที่กลิ่นจะเริ่มจับต้องได้ถึงโทน Earhty แบบติดดินๆ ที่มีความแห้งกึ่งชื้นอารมณ์กลิ่นแบบ Peat ที่ตามมาจากช่วงต้น เพียงแต่โทนติดชื้นๆ จะเบาลงไป มีความแห้งเข้ามาผสมผสายประปรายมากขึ้น แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะจะมีกลิ่นโทน Smoky ติดควันที่ชัดเจนมาก อารมณ์แบบรมควันอะไรซักอย่างที่มีอะโรม่าเนียนๆ อารมณ์เปลี่ยนถ่ายจากโรงบ่มเดินเข้ามาที่โรง Kilning หรือการทำให้ Malt ไม่มีความชื้นด้วยการรมควันจากการเผา Peat ที่โดยทั่วไปจะมีทั้ง Peat แห้งและ Peat ชื้นในการสร้างอะโรม่าติด Smoky ของ Malt ให้มีความลุ่มลึกแฝงลงไปก่อนที่จะมีการหมักและกลั่น มิติกลิ่นจะคุมโทนด้วยกลิ่นควันไอที่ต้องยอมใจกันเลยว่าขนาดกลิ่นนี้ยังมีความซับซ้อน เพราะจะมีอารมณ์แบบกลิ่นควันเผาไม้ กลิ่นควันคล้ายไอน้ำมันดินแต่ติดเขียว กลิ่นเผาไม้ที่มีความปร่าเขียวแนวไม้สนหน่อยๆ และกลิ่นโทนอบอุ่นอวลลึกแนวยางไม้สายแอมเบอร์ ตามด้วยกลิ่นวิสกี้ที่เป็นสายสนับสนุนคลอในเนื้อกลิ่น แต่ถ้าไม่ได้เจาะอะไรมากนี่คือกลิ่นแนว Aromatic Smoky ที่คลอด้วยความเป็นวิสกี้อ่อนๆ อย่างลงตัวมาก

ช่วงท้ายโทนกลิ่นสาย Smoky จะเริ่มเบาลงแต่ยังกลิ่นติกผิวกายอยู่แบบพึ่งเดินออกจากสถานที่ Kilning มาแต่กลิ่นวิสกี้จะจางไปเหลือบางๆ ปลายกลิ่นเท่านั้น ก็จะได้อารมณ์แบบกลิ่นอายแห้งๆ ที่มีความเขียวติดหญ้าแห้งหน่อยๆ มีความ Earthy ติดเขียวเข้มแบบพื้นดินที่มีสมุนไพรแห้งๆ ติดหวานเบาๆ กลิ่นไม้แห้งสะอาดโปร่งๆ แต่จะมีโทนออกทางคล้ายแป้งหรือกลิ่นธัญพืชแซมอยู่หน่อยๆ แต่ก็มีกลิ่นหนังอารมณ์แบบแจ็คเกตหนังนิดๆ กับเขาด้วย ซึ่งภาพรวมกลิ่จะโปร่งขึ้น ไม่ Smoky จัดเท่าช่วงกลางแล้ว อารมณ์เลยจะได้ภาพในหัวแบบออกมานอกโรงกลั่นที่จะได้กลิ่นสภาพแวดล้อมที่มีกลิ่นข้าวบาร์เล่ย์ กลิ่น Peat กลิ่นลานหญ้า กลิ่นสมุนไพรแห้งๆ กลิ่นไม้หอมโปร่ง Flow เคล้ากลิ่นหนังเนียนๆ ซึ่งชัดเจนมากว่ากลิ่นนี้ คือ การนำเราเข้าไปดูงานโรงงานกลั่นวิสกี้ที่ได้ทั้งความเป็นธรรมชาติของกลิ่นที่ควรจะเป็นและได้ความรื่นรมย์อย่างมีชั้นเชิงที่ซับซ้อนอีกด้วย

เหมาะสำหรับ - เพราะเนื้อกลิ่นมาสายการถอดกลิ่นจากสภาพแวดล้อม เช่นนั้นเลยเข้าได้กับทุกเพศ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความแมนอยู่พอสมควร ถ้าผู้หญิงใส่ก็จะดูเท่ห์ๆ หน่อย ซึ่งกลิ่นอาจจะไม่เข้าทางการใส่ยามทางการมากนัก เพราะแม้กลิ่นมันจะธรรมชาติและดู Cool ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ส่งเสริมแบบรับแขกบ้านแขกเมืองเท่าไหร่ เพราะกลิ่นเหล้านี่แหละ แต่ถ้าใส่ทำงาน Office อันนี้ได้อยู่แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม หรือถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปอันนี้ได้เลยสบายมาก รวมถึงใส่ท่องราตรียามค่ำคืน ก็สร้างเสน่ห์ไม่เหมือนใครอีกด้วย แต่ให้ตัดได้เลยคือ ใส่ออกกำลังกาย มันไม่ได้และไม่เข้ากันเท่าไหร่ 

ความทน - ดีงามกันเลยทีเดียว กับพื้นฐานที่ 8 ชม. สบายมาก และไปต่อได้อีกถึง 15 ชม. เลยล่ะ เรียกว่าความทนนี่หายห่วงจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าเป็นวิสกี้ในโรงบ่มเหล้าที่มีกลิ่นอับทึบดินชื้นหน่อยๆ ที่มีเสน่ห์เลย แล้วจะลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ ค่อนข้างเสถียรกันเลยทีเดียวไปจนถึงช่วงท้าย พอพ้นไปซัก 6 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป

สรุป - นี่คืองาน Site Visit โรงกลั่นวิสกี้จาก Malt ที่มีคุณภาพสูงมาก โดยถอดกลิ่นอายแบบย้อนกระบวนการได้อย่างลงตัวและน่าทึ่งมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงกลางที่ได้อารมณ์แบบกลิ่น Aromatic Smoky ที่เหมือนจะทำให้รู้สึกแบบกลิ่นควันเผาก็จริง แต่มันมีลูกเล่นที่สร้างความรื่นรมย์และมีความซับซ้อนมาเกินคาดจากการผสมผสาน อีกหนึ่งกลิ่นที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie