วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Amber Fever

Mancera - Amber Fever

หลังจากเกิดกระแสความฮิตติดลมบนกับกลิ่นอายหวานลึกมีเสน่ห์เย้ายวนของ MFK - Baccarat Rouge 540 (จะเรียกว่า BR540 หลังจากนี้) หลังจากนั้นก็จะมีน้ำหอมในสไตล์เดียวกันออกตามๆ กันมาเยอะมาก บางทีก็เป็นการต่อยอดให้มีอะไรมากขึ้นและมีความเป็นสไตล์ของแบรนด์นั้นๆ รวมถึงก็ไม่ได้ออกมาตามเขาหรอก แต่โทนกลิ่นดันไปใกล้เคียงบางส่วน คนก็จับมาเทียบกันให้วุ่นวายกันไปหมด ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ที่โดนไปจับเทียบหลายรุ่นไม่น้อยว่ามีโทนคล้ายคลึงมากนั่นก็คือ Mancera ซึ่งก็เรียกว่า โดนไป 3 รุ่นกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Precious Oud, Instant Crush และ Amber Fever

เช่นนั้น ทยอยๆ จับมาเล่ากลิ่น เลยขอมาเปิดกันก่อนกับรุ่นที่มีโอกาสได้จับต้องก่อนเลยจาก 3 กลิ่นที่กล่าวไว้ข้างต้น นั่นก็คือ Amber Fever มาดูกันหน่อยซิ ว่าจะเป็นอย่างไร

เปิดตัวด้วยวิสกี้มาชัดเจนมาเลย ซึ่งกลิ่นจะหอมออกทางเหล้าวิสกี้ที่ฟุ้งออกมาแกมโทนหวานคาราเมลกึ่งไซรัปฮาเซลนัทหอมที่ซ้อนอยู่อย่างชัดเจน เพียงแต่กลิ่นไม่ได้ไปสายหวานข้น ยังมีความโปร่ง และมีโทนที่มีมิติให้จับต้องได้ว่าไม่ได้ใสโหวง มีความลึกในกลิ่นในสไตล์ของเหล้าวิสกี้พอสมควร และในวูบถัดมาจะมีกลิ่นออกทางติดโทนคล้ายหญ้าแห้งปลายหวานเจือเขียวนิดๆ ที่พอมาจับกับคาราเมล มันคล้ายถั่วตองก้าเข้ามาเสริมด้วยทำให้กลิ่นมีความหนาอวลในเนื้อกลิ่นขึ้นมาหน่อยนึง จนเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับได้ถึงโทนออกทางคล้ายไม้หอมกึ่งถั่วที่รองพื้นกลิ่นอยู่ เรียกว่ากลิ่นเปิดมามีมิติที่น่าสนใจมาก ในการเล่นโทนออกทางเจ้าเสน่ห์ดึงดูดของวิสกี้ที่มีความลุ่มลึกกำลังดีเสริมด้วยโทนหวานหอมต่างๆ และเพิ่มความอวลหนาของกลิ่นทีละหน่อยๆ ซึ่งบอกตรงๆ ว่า ช่วงนี้ถ้าดมเผินๆ อาจจะไพล่ไปเหมือนกับ BR540 ได้ แต่ถ้าพินิจพิเคราะห์จริงๆ เนื้อกลิ่นมันไม่ได้เหมือนขนาดนั้น มันมีโทนเย้าและเจ้าเสน่ห์แนวสมาร์ทเจือหวานเรียกแขก โดยไม่ได้ไปทางโทนสีแดงชาดผลึกลึกกึ่งน้ำตาลไหม้แบบรุ่นดังที่ว่าแต่อย่างใด 

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มชัดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าโทนกลิ่นวิสกี้แกมคาราเมลยังคงเด่นเป็นสง่าในการเดินกลิ่นหลัก แต่เนื้อกลิ่นจะมีความแห้งเข้าทางโทนแป้งกึ่งไม้หอมแกมอบอุ่นมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งตัวที่มาแบ่งเค้กโชว์ซีนเด่นอีกหนึ่งนั่นก็คือ กุหลาบที่มีลูกผสมแบบโทนแป้งหอมดอกไม้มาสนับสนุน ทำให้กลิ่นในช่วงนี้มีความหนาและอวลแบบที่ไล่เลเยอร์ได้น่าสนใจเริ่มจากวิสกี้หวาน ตามด้วยแป้งกุหลาบหอมสนับสนุน ก่อนจะจับความหนาของกลิ่นในสเต็ปรองพื้นกลิ่นของไม้หอมติดแน่นปนอบอุ่นแกมโทนแอมเบอร์ที่เข้าทางวานิลลาหน่อยๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นช่วงที่กลิ่นมีพลังในการปล่อยของได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้ช่วงแรกที่เปิดตัวมาก็เรียกแรกเจ้าเสน่ห์เลย แต่อารมณ์กลิ่นในช่วงนี้จะเปลี่ยนมาเป็นอบอวลแทน โดยที่จะได้ทั้งความเจ้าเสน่ห์แกมหวานเช่นเดิม เพิ่มเติมความเย้ายวน และความมีพลังที่ชัดเจนในพื้นฐานกลิ่นไม้หอมที่ตรึงให้กลิ่นไม่ลดราวาศอกในการสร้างบาเรียกลิ่นหุ้มรอบกายแบบสายสตรองและเป็นระดับ 1 เมตร กันเลย

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มมีความผ่อนตัวลงมาทำให้โทนไม้หอมที่ออกทางแนวไม้ที่มีกลิ่นอวลพอสมควรและแอบมีโทน Smoky หน่อยๆ แบบฝังในเนื้อไม้เคล้าโทนอบอุ่นของแอมเบอร์เริ่มแทรกตัวออกมาแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเด่นจนดึงซีนไปหมด เพราะว่ากลิ่นในช่วงกลางยังคงมีอิทธิพลชัดเจนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นวิสกี้แกมหวานที่เบาลงมาพอสมควร กลิ่นแป้งกุหลาบที่ยังมีให้จับต้องได้ แต่กลิ่นจะให้อารมณ์ลักษณะโทนอบอุ่นดึงดูดแทน โดยที่มีโทนแกมนวล Musk มาเสริมให้พื้นกลิ่นแบบติดผิวมีความนุ่มมากขึ้นด้วย โดยภาพรวมมิติกลิ่นไม่ได้แตกต่างจากช่วงกลางมากนัก เพียงแต่ลดทอนความอวลแป้งติดหวานคาราเมลแกมวิสกี้ลงไปพอสมควร ดันให้กลิ่นไม้หอมติดแน่นและมีความนวลปนอบอุ่นหน่อยๆ ขึ้นมาทำหน้าที่คุมโทนหลักเด่นกันยาวๆ ไปแทน อารมณ์กลิ่นเลยให้ความเป็น Woody สายสมาร์ทและเจ้าเสน่ห์ชวนซุกเนียนๆ โดยคุมโทนกลิ่นแบบวางตัวดี ไม่ได้ดูพยายามกันยาวๆ ไป 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนตอนต้นเลย แล้วช่วงกลางจะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่าบ้างเล็กน้อยๆ แล้วสลับกลับมาไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าเล็กน้อยอีกทีในช่วงท้าย เลยเรียกว่าใส่เถอะได้หมดทุกเพศ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำกัดจำนวนสเปรย์ เพราะถ้าเผลอหนักมือเรียกว่าถึงขั้นตึ้บเอาได้ เพราะกลิ่นมีพลังความแน่นและแผ่กระจายเต็มที่มาก ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับงานทางการจัดๆ นัก แต่ถ้าใส่ทำงาน Office อันนี้ได้อยู่แบบตามความเหมาะสม หรือจะเอาไว้ใส่แบบทั่วๆ ไปก็สบายมาก ยกเว้นใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกาย ลามไปถึงยามค่ำคืนที่ใส่ออกงาน โรแมนติค หรือท่องราตรีเรียกว่ากวาดหมดและปล่อยเสน่ห์ได้ดีมากด้วย

ความทน - อันนี้แหละสุดติ่งจริงอะไรจริง เพราะว่า 15 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ แถมอาบน้ำก็แล้ว กลิ่นยังติดผิวพอขยับตัวก็ยังตีขึ้นเป็นกลิ่นไม้อวลๆ อวลแบบไม่หนักมากอยู่ แต่พอตื่นเช้ามาก็จับไม่ค่อยได้แล้ว นี่แหละความสุดของกลิ่นนี้ล่ะ  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากและคงตัวยาวไปราวๆ 2 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายดีที่แบบสร้างบาเรียรอบตัวราว 1 เมตรอยู่ดี จนถึงราวๆ 6 ชม. ถึงผ่อนลงมาเป็นปานกลาง แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 12 ชม. แล้ว ซึ่งนี่ก็เรียกว่าเป็นความสุดติ่งอีกหนึ่งได้เลย

สรุป - ถ้าจะมีติดก็มีนิดหน่อยที่ชื่อรุ่นว่า Amber Fever ก็จริง แต่ความเป็น Amber มันแค่เป็นตัวสนับสนุนชั้นดีแนวแทรกซึมเสียมากก็เท่านั้นเอง แล้วเหมือน BR540 ไหม? มันก็มีลูกเอื้อนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มากเลยถ้าเทียบกับความเป็นโทนที่ฉีกออกไปเป็นไม้หอมอวลฉาบด้วยวิสกี้เคล้าคาราเมล แล้วรองรับด้วยโทนแป้งที่มีเสน่ห์ ซึ่งถือว่าเป็นเอกเทศเลยก็ว่าได้ แถมมีความดีงามในความทรงพลังและการกระจายที่ยอดเยี่ยมมากเสียด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Mancera-Amber-Fever-12968.html

 

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Montale - So Iris Intense

Montale - So Iris Intense

เห็นชื่อรุ่นครั้งแรกมีมาครบเลยทั้ง So และ Intense ที่มาประกบคำว่า Iris เป็นแซนด์วิชกันเลย ซึ่งถือว่าแค่นี้ก็สามารถเรียกแขกได้ไม่น้อยจริงๆ รวมถึงพื้นฐานความเข้าใจที่เมื่อเห็น Montale แน่นอนว่าเราจะต้องเจอความ Power House ปล่อยพลังจัดจ้าน ซึ่งนี่แหละเลยอยากรู้ อยากเห็น และอยากลองขึ้นมาทันทีเลย

และย่อหน้าข้างต้นนั่นคือการคาดคะเนก่อนที่จะได้ได้งานรุ่น So Iris Intense ที่จะได้สัมผัสซะทีว่า Montale จะมาสื่อสารกลิ่นอายของรุ่นนี้ยังไง เพราะถือว่าเป็นการชูโรง Iris แบบเต็มๆ รุ่นแรกของแบรนด์เลยก็ว่าได้ และผลที่ได้จากการใช้งานก็เป็นเช่นนี้

เมื่อลงสเปรย์เรียบร้อยถึงกลับต้องหันไปมองขวด ว่าหยิบผิดกลิ่นมาฉีดหรือเปล่า เพราะมันมีความ เอ๊ะ! ในเนื้อกลิ่นสูงมาก และโดยส่วนใหญ่เวลาเจอกับ Montale เรามักจะเจอความทรงพลังเป็นตัวเปิดเสมอ แต่ So Iris Intense ดันไม่ใช่ เพราะกลิ่นจะเปิดมาในลักษณะมินิมัลมากๆ แต่มีความชัดเจนกับการเป็นโทน Iris ที่ให้โทนกึ่งดอกไม้จืดติดทึบลักษณะแบบแป้งฝุ่นที่มีโทนติดแป้งโปร่งหวานนิดๆ ที่เดาได้ไม่ยากว่าจะเป็นโทนของดอกไวโอเล็ตที่มาสนับสนุนให้มีมิติโทนแป้งที่ไม่ได้ทื่อๆ เกินไป ตามด้วยมีโทนออกทางสดชื่นแกมไม้หอมโปร่งๆ เข้ามาเสริม ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาสายตะโกนเรียกร้องความสนใจเลย ออกแนวแบบรุมๆ อวลๆ รอบตัวแบบที่กลิ่นชัดเจนตีขึ้นให้รับรู้ตลอดเสียมากกว่าในการเป็นโทนแป้งแนวแป้งฝุ่นแกมดอกไม้ติดจืดระเรื่อแกมหวานปลายปนชื้นอ่อนๆ ที่มีกลิ่นไม้หอมคลอๆ ประมาณนั้น ซึ่งอันนี้เหวอและอึ้งไปพอสมควรเลยทีเดียว เพราะไม่คิดว่า Montale จะมาแนวนี้

ในช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีความเข้มข้นมากขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ป อารมณ์กลิ่นจะหนาจากตอนต้นขึ้นมาหน่อย เพราะจะมีกลิ่นไม้หอมติดจืดหอมแกมครีมมี่ปนหวานนวลของไม้จันทน์หอมที่เข้ามาเสริมกับโทนแป้งที่ Iris เป็นตัวนำทีม และโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่จับต้องได้ในช่วงแรก ที่เดาว่าน่าจะเป็น ISO E Super จะเริ่มเป็นตัวเสริมที่ดีที่ทำให้กลิ่นโทนไม้หอมมีมิติที่ไม่ได้ครีมมี่จนเกินไป แต่ให้ลักษณะที่เสริมกับโทนแป้งได้ลงตัวมากขึ้น อารมณ์กลิ่นจะแบ่งเค้กและเสริมกันอย่างลงตัว แบบที่แยกกลิ่นได้ชัดเจนว่านี่คือโทนแป้งเด่นที่ Iris นะเพราะมีโทนออกทางแป้งฝุ่นติดหวาน (ที่ไวโอเล็ตเสริมอยู่) และตัวแทรกอยู่คือไม้จันทน์หอมที่มีความจืดหอมนวลๆ แกมกลิ่นไม้แห้งโปร่งๆ ซึ่งกลิ่นจะไม่ซับซ้อนเลย ตรงไปตรงมามากกับการเป็น “แป้งไม้หอม” ชัดเจนจริงๆ และมีความรู้สึกหน่อยๆ ด้วยว่ากลิ่นมีโทนติดทึบ Earthy หน่อยๆ ที่น่าจะเป็นหัวเหง้าออริส (เหง้าของต้นไอริส) ที่มาแบบโทนติดแห้งๆ เสริมอยู่ด้วย และใช่เลยเพราะในช่วงท้ายของน้ำหอมกลิ่นนี้กลิ่นออริสที่ติดทึบแกมแป้งจะมาสอดรับกับโทน White Musk ที่มาทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลและเสริมให้โทนแป้งมีความละมุนกำลังดีมากขึ้น และแอบจับได้เบาๆ ด้วยว่ามีกลินกลิ่นแป้งอบอุ่นแบบวานิลลาอ่อนๆ รวมอยู่ด้วย เพราะมีกลิ่นนุ่มนวลผ่อนคลายจมูกแบบเวลาได้แป้งวานิลลาอ่อนๆ ให้สัมผัสได้ แต่ทั้ง White Musk และ Soft Vanilla ต่างก็เป็นตัวเสริมเท่านั้น เพราะโทนแป้ง Iris กับไม้หอมจะยังเด่นอยู่ เพียงแต่จะมีกลิ่นติด Earthy แห้งๆ แบบเหง้าใต้ดินหน่อยๆ ของออริสที่สร้างมิติกลิ่นให้มีเลเยอร์อื่นๆ ให้สัมผัสได้มากขึ้น

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลจากการสัมผัสกลิ่นตั้งแต่ต้นยันจบ มันได้อารมณ์กลิ่นอายสไตล์มินิมัลเรื่อยๆ มาเรียงๆ เด่นที่โทนแป้งตีคู่กับไม้หอมแบบเรียบหรู และมีความ Unisex ในเนื้อกลิ่นสูงเพราะคุมสมดุลย์ความกลางๆ ได้ดี ซึ่งแน่นอนไม่คิดว่าจะได้เจอกับ Montale แต่พอเจอแล้ว ก็ทำออกมาได้ดีมากเลยทีเดียวล่ะ

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เพราะกลิ่นมีความกลางๆ มากพอที่จะเสริมบุคลิกผู้สวมใส่ในการเป็นโทนแป้งไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ทั้งทางการหรือทั่วๆ ไป ให้อารมณ์แป้งไม้หอมที่เรียบง่ายแต่น่าค้นหาและมีเสน่ห์แกมเรียบหรูได้ดี แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้ง ออกกำลังกายจะดีกว่า เพราะว่ากลิ่นไม่ได้ไปได้ดีกับสถานการณ์เหล่านี้นัก รวมถึงการตัดออกจากการใส่ไปเพื่อเรียกแขกยามท่องราตรีจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เรียกร้องความสนใจเน้นรุมๆ อวลๆ รอบตัวแบบสไตล์คลุกวงในเสียมากกว่า

ความทน - แม้ว่ารุ่นนี้จะเป็น Extrait de Parfum หรือ Pure Parfum แต่ความทนก็ตกที่ราวๆ 8 ชม. ประมาณนี้ แถมไปว่าอาจจะบวกลบราวๆ 2 ชม. ก็ได้อยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมาที่ปานกลางซักราวๆ 2 - 3 ชม. ก่อนจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่ตีขึ้นให้ผู้ใช้รับรู้ไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เต็มตัวเมื่อผ่านไปซักราวๆ 6 ชม. ไปแล้ว เพราะกลิ่นช่วงท้ายค่อนข้างจมลงกับผิวพอสมควร แต่เป็นเรื่องดีเพราะไม่ทำให้เราอึดอัด เพราตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวเสียมากกว่า 

สรุป - เรียกว่าไม่เคยได้เจอความเป็นสไตล์มินิมัลจาก Montale มาก่อน เรียกว่าเหวอไปเลย จนคิดว่าตาลายหยิบขวดผิดมาฉีดหรือเปล่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสไตล์จัดหนักจัดเต็มในเรื่องการกระจายรอบทิศแบบที่ส่วนใหญ่เราจะเจอกับ Montale มาเสมอ แม้จะชื่อรุ่นว่า So Iris Intense ก็ตาม ซึ่งน่าจะเน้นเรื่องความเข้มข้นของน้ำหอมมากกว่าเพราะว่าเป็น Pure Parfum เลยให้ชื่อรุ่นประมาณนี้ แต่ถ้าตัดเรื่องการกระจายออกไป ถือว่ากลิ่นนี้เป็นการนำเสนอโทน Iris คลอไปกับไม้จันทน์หอมได้ดีมากเลยทีเดียว เพราะให้ความเป็นหอมแกมไม้สว่างนวลไปตลอดแบบที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ในความเข้มข้นที่ชัดเจนมากในการให้จับต้องได้ และแน่นอนว่าถ้าใครชอบ Iris มาลองตัวนี้ระวังโดนตกเข้าให้เอาได้เลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Montale/So-Iris-Intense-43413.html

 

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Montale - Bakhoor

Montale - Bakhoor

ในการนำเสนอโทน Incense หรือธูปหอมต่างๆ ผ่านน้ำหอมที่ Montale ปล่อยออกมาวางจำหน่าย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีรุ่นดังอย่าง Full Incense ที่เรียกว่าจัดเต็มในการปล่อยพลังทางกลิ่นธูปแบบที่ชัดเจนทุกสโตรกและแผ่รังสีได้แบบถึงใจคนชอบโทน Incense มานักต่อนัก แต่ก็ไม่ใช่มีเพียงรุ่นเดียวที่ว่ากันในโทนนี้ เพราะกลิ่นอายสายธูปที่มีพื้นเพมาจากทางอาระเบียนมันก็มีหลากหลายพอสมควร

เช่นนั้น เลยเป็นที่มาของการสร้างสรรค์กลิ่นอายสายธูปขึ้นมาเสริมทัพในรุ่น Bakhoor ที่เป็นกลิ่นอายสไตล์ธูปหอมที่ผสมผสานความเป็นยางไม้ ไม้หอมต่างๆ และน้ำมันหอมระเหยเข้าด้วยกันจนเป็นกลิ่นโทนที่น่าค้นหา ขรึมขลังมีเสน่ห์ และเป็นโทนที่สื่อถึงวัฒนธรรมทางอาระเบียนได้ด้วยเช่นกัน เลยไม่ขอท้าวความอะไรมาก มาว่ากันเลยดีกว่าว่ารุ่นนี้ Montale จะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นเรียกว่านี่แหละ Montale’s Style ชัดเจน เพราะจะต้องมีกลิ่นอายสไตล์อาระเบียนอยู่โดยการผสมผสานกลิ่นโทนไม้กฤษณา (ขอเรียกว่า Oud หลังจากนี้) กับกลิ่นอายติดแปร่งขมเจือหวานของหญ้าฝรั่นที่ให้โทนแบบอาระเบียนเข้ามา แถมมีกลิ่นออกทางหนังหน่อยๆ ที่มีความ Smoky แฝงเสริมอยู่ แต่กลิ่นจะไม่ได้หนักหน่วงมากนักแบบปล่อยพลังพร่ำเพรื่อ จะให้ความกลางๆ ที่อวลๆ กำลังดี แอบมีความโปร่งมากกว่าที่คาดคะเนไว้ ซึ่งจะมีโทนไม้หอมแทรกประปรายให้จับต้องได้ ซึ่งนั่นก็คือโทนออกทางไม้ซีดาร์ ซึ่งคาดว่าจะต้องมี ISO E Super แฝงอยู่ด้วยเลยมีความโปร่งๆ ให้รู้สึก ทำให้กลิ่นช่วงต้นเลยออกแนวสร้างความรู้สึกในแบบลายเซ็นของแบรนด์กันก่อนว่าจะต้องมีโทนแบบนี้ให้รู้ ก่อนจะปูทางสู่ช่วงที่เป็นหัวใจหลักของน้ำหอมต่อในช่วงกลาง

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มให้จับต้องได้เมื่อกลิ่นโทนไม้หอมต่างๆ เริ่มแทรกตัวมาเป็นตัวนำกลิ่นซึ่งต้องเรียกว่าเป็นการผสมผสานโทนไม้หอมที่เสริมกันเป็นอย่างดีมากและจับต้องแยกโทนกลิ่นได้ไม่ยากด้วย เพราะจะได้ความเป็นกลิ่นไม้หอมติดปร่าขรึมโปร่งๆ ของไม้ซีดาร์แกมกลิ่นออกทางไม้ดินสอ (แน่นอนว่า ISO E Super ชัดเจน) ตามด้วยกลิ่นไม้แห้งๆ ที่เป็นกลิ่นโทนสไตล์หญ้าแฝกที่ไม่ได้ออกทางรากใต้ดินหรือถั่วๆ และกลิ่นไม้ครีมนวลจืดหอมของไม้จันทน์หอมที่เสริม ทำให้มิติของกลิ่นไม้หอมในช่วงนี้ค่อนข้างเสริมกันได้ลงตัว รวมถึงกลิ่นจะมีความปร่ากึุ่งพริกไทยแกมยางไม้อ่อนๆ ที่เป็นลักษณะของ Frankincense เข้ามาร่วมด้วย และยังไม่พอกลิ่นในช่วงต้นก็ตามมาทั้งหมดเลย ทำให้กลิ่นไม้หอมที่เป็นพื้นกลิ่นจะมี Oud และหญ้าฝรั่นเข้ามาเสริมสร้างความอวลลึกดาร์กน่าค้นหา แถมมีโทน Smoky หน่อยๆ แกมหนังด้วย เรียกว่าช่วงกลางนี้มีความชัดเจนมากกับการเป็นอารมณ์ธูปไม้หอมที่มีความอวลลึกรุมๆ กรุ่นกำจายแบบสร้างบาเรียรอบตัวที่ขรึมขลังน่าค้นหา แต่มีความโปร่งและสว่างเนียนๆ มาตัดทอนไม่ให้กลิ่นดูดาร์กจนมากเกินไป อารมณ์หยินหยางกำลังดี

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปซักพักใหญ่ความอวลแกมอุ่นเริ่มชัดเจนมากขึ้น และมีโทนออกทางกึ่งไม้แห้งๆ กึ่งผิวกายติดเค็มเล็กๆ คล้ายโทน Ambergris หรืออำพันปลาวาฬเข้ามา แต่ถ้าให้คาดเดาน่าจะเป็น Ambroxan ที่ทำหน้าที่แทนเสียมากกว่า ซึ่งมาเสริมกับโทนไม้หอมให้ความอวลอุ่นกำลังดีไม่พอ ยังมีโทนไม้ออกทาง Smoky ติดออกทางกึ่งหนังแกมไม้นิดๆ ที่เสริมเข้ามาด้วยเลยทำให้กลิ่นธูปไม้หอมจากช่วงกลางเริ่มมีความ Smoky รุ่มรวยขรึมและน่าค้นหาแบบชัดเจนมากขึ้น แต่เพราระมีโทน Musk มาตัดทอนเลยทำให้กลิ่นมีความนวลสว่างกำลังดีเข้ามา และทำให้กลิ่นมีความนุ่มลงไม่ได้ตะยี้ตะบันอัดความเป็นธูปยางไม้+ไม้หอมแบบจัดหนักนัก เลยจะได้อารมณ์กลิ่นอายที่เป็นโทนธูปอวลๆ อบอุ่นแกมนุ่มๆ ที่คลอรอบกายไปเรื่อยๆ แบบที่มีลูกเอื้อนปลายกลิ่นอ่อนๆ สไตล์ Oud เบาๆ ที่มีเสน่ห์ปิดท้ายอย่างพอเหมาะและลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่พื้นเพชอบกลิ่นอายสายไม้หอมและธูปยางไม้ รวมถึงกลิ่นอายสไตล์ตะวันออกกลางแบบอ่อนๆ ได้ (กลิ่นแนว Oud ไม่ได้หนักมาก ผ่านช่วงต้นไปที่เหลือก็สบายมากแล้ว) ก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายๆ เลย เพราะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบที่เน้นสร้างออร่าความขรึมขลังแต่ไม่ได้ถึงขั้นหลอนเหมือนมีกลิ่นธูปคลอแบบนั้น ให้อารมณ์น่าค้นหาเสียมากกว่า รวมถึงสามารถใส่ออกงานกลางคืนได้อยู่ แต่ถ้าจะใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือออกกำลังกาย แนะนำให้ข้ามไปดีกว่า รวมถึงใส่ไปท่องราตรี ที่กลิ่นอาจจะทำให้คนงงๆ ได้อยู่ว่าไปทำพิธีกรรมอะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า แต่ถ้าแน่ จะลองก็ได้ เพราะกลิ่นมันมีโทนน่าค้นหาอยู่พอสมควร

ความทน - ลงตัวที่พื้นฐาน 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถึงราวๆ 12 ชม. เลยกับการใช้เพียง 4 สเปรย์ ซึ่งเรื่องนี้ Montale ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

การกระจาย - อันนี้จะมาแปลกกว่าสิ่งที่เคยเจอจาก Montale พอสมควร เพราะไม่ได้มาสายปล่อยพลังสะท้านฟ้านัก ซึ่งแม้กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ก็จะผ่อนลงมาที่ปานกลางไปเรื่อยๆ แบบที่คงตัวและเสถียรกันยาวๆ พอสมควรถึงราวๆ 6 ชม. กลิ่นถึงจะเริ่มลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปยาวๆ จนพ้นซัก 10 ชม. ก็จะเริ่มติดผิวแล้ว ซึ่งอันนี้เกิดคาด แต่เป็นเรื่องที่ดี เพราะมันไม่หนักไปนั่นเอง  

สรุป - ถ้าเอาความหวือหวา กลิ่นนี้ไม่ได้มาแบบเต็มที่หนักหน่วงจัดจ้านในลักษณะน้ำหอมโทน Incense ในแบรนด์เดียวกันอย่าง Full Incense แต่ให้ความเรื่อยๆ อวลๆ แบบที่สร้างบาเรียน่าค้นหาและมีระดับรอบตัวแบบที่กำลังดีเสียมากกว่า โดยบาลานซ์กลิ่นได้ดีชูโรงกลิ่นไม้หอมและยางไม้แกมธูปเสริมด้วยโทนอาระเบียนแบบประปรายที่สร้างเสน่ห์ ซึ่งถือว่าเป็นน้ำหอมสายธูปที่ใช้ไม่ยาก แต่ให้ความดีงามเสริมบุคลิกที่น่าค้นหาและขรึมขลังแกมสว่างนวลได้ดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.instagram.com/p/CIu_FWAnZwm/?utm_medium=copy_link

 

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Montale - Tropical Wood

Montale - Tropical Wood

เมื่อเห็นชื่อรุ่นว่า Tropical Wood ของ Montale ครั้งแรกความคิดและจินตนาการแรกก็คาดการณ์ไว้ว่ากลิ่นจะต้องมาในลักษณะแบบไม้หอมในเกาะเขตร้อน ต้องน่าจะมีอะไรทะเลๆ มีดอกไม้ขาวครีมนวล และกลิ่นออกทางผลไม้เมืองร้อนที่จะต้องได้อารมณ์ในการตากอากาศแต่เด่นกลิ่นอายโทนไม้หรือน่าจะออกทางกลิ่นแนวป๋าเขตร้อน อะไรประมาณนี้แน่ๆ

แต่พอมาดู Notes กลิ่น ความเอ๊ะ! ก็เริ่มปรากฎ เพราะว่ามี Oud มีกุหลาบ และก็มีหนัง มันจะออกแนว Tropical Wood ไม้เมืองร้อนแบบไหน และจะบิดกลิ่น 3 Notes นี้ให้มีความ Tropical เช่นนั้น จัดไป ผลที่ออกมาคือ

เปิดต้นมาเรียกว่าสร้างความ Tropical จริงอะไรจริงแบบเขตร้อน นั่นก็คือโทนผลไม้ ซึ่งกลิ่นที่โดดออกมาก่อนเพื่อนเลยคือ เสาวรส ซึ่งกลิ่นจะมาแบบติดเปรี้ยวหอมนวลกึ่งเอียนเล็กๆ กำลังดี มีอารมณ์ค่อนไปทางไซรัปอยู่พอประมาณ แล้วก็จะมีตัวเสริมที่ดีเชื่อมความเป็นผลไม้เมืองร้อนเข้าไปอีกอย่างสับปะรดที่ให้โทนค่อนไปทางติดหวานอมเปรี้ยวหอมมาเสริม แบ่งเลเยอร์ได้ดีกับเสาวรสพอสมควร ก่อนจะได้อารมณ์สดชื่นติดปลายขมปร่าเจือเปรี้ยวหน่อยๆ ของ Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) ที่มาเติมเต็มได้ให้มีความเป็นโทนผลไม้ที่ได้ความหวานอมเปรี้ยวติดนวลกึ่งแปร่งเอียนเล็กๆ ตามที่ควรจะเป็นออกแนวกึ่งไซรัปผลไม้รวมสีส้มเหลือง ซึ่งทั้งหมดที่บรรยายนี้จะเด่นจัดจริงๆ ในช่วง 1 - 2 นาทีแรกในการจับกลิ่น แต่ที่เหลือนี่สิ

ตัวที่แทรกขึ้นมาไวมากให้ความเป็นไม้หอมอวลลึกอย่าง Oud นี่แหละ ที่มาพลิกเกมกันเลย เพราะเนื้อจะมีกลิ่นไม้ติดดาร์กปนแปร่งอวลยวนจมูกเนียนแทรกเข้ามาให้โทนผลไม้ฉาบหน้า กลิ่นที่ได้เลยจะเริ่มมีความเป็น Tropical Wood แบบที่ชื่อรุ่นบอกมากขึ้น แม้มันจะทำให้การคาดการณ์ตามที่ระบุในย่อหน้าแรกพังพาบไปเลย ว่ามันไม่ได้เป็นกลิ่นแบบเกาะเขตร้อน ป่าเขตร้อนแล้ว แต่มันคือการจับเอาความ Tropical มา + กับ Wood ที่เป็นสไตล์หลักของ Montale เลย โดยไม่ได้ไปยุ่งกับสภาพแวดล้อมที่ไหน คือ เอามาป่ะกัน ประมาณนั้น แล้วเพียงไม่นานสิ่งที่เกินคาดไปอีกก็มานั่นคือกลิ่นออกทางกึ่งแป้งหอมกุหลาบที่มีความเป็นแป้งกุหลาบหวานโปร่งที่เสริมเข้ามาทำให้โทนกลิ่นมันเปลี่ยนไปกลายเป็น กลิ่นแป้งหอมกุหลาบกึ่งผลไม้รวมเปรี้ยวหอมหวานที่มีกลิ่นไม้หอมอวลลึกติดดาร์กคลอรองพื้นให้ความเย้าแปร่งเฉพาะตัวอยู่ตลอด ซึ่งนี่แหละคือช่วงกลางของน้ำหอมรุ่นนี้ ซึ่งช่วงแรกๆ ของการใช้งานก็ เหวอไปพอสมควร แต่พอมาพินิจพิเคราะห์กลิ่นแล้ว แน่นอนว่าแบรนด์ยังเป็นเอกในเรื่อง Oud กับกุหลาบ และพอมีโทนแป้งมาเสริมเลยทำให้ได้อารมณ์แป้งหอมเย้ายวนอวลลึกมีเสน่ห์กึ่งตะวันออกกลางนิดๆ แบบที่คุมเกมได้ดีเช่นเดิม ซึ่งเมื่อมาเจอกับโทนผลไม้ที่ตามมาจากช่วงต้น มันเลยได้ความเฉพาะของโทนหวานอมเปรี้ยวมาเสริมให้โทนแป้งมีอะไรให้จับต้องได้มากขึ้นด้วย ซึ่งแน่นอนช่วงนี้จะก้าวข้ามความ Unisex มาเป็น Feminine กันชัดเจนพอสมควร 

เมื่อกลิ่นดำเนินไปในการเป็นแป้งกุหลาบผลไม้เคล้า Oud แทรกเนียนยาวไปพอสมควร จนจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นหนังกับโทน Musk ที่เริ่มแทรกเข้ามาทำให้กลิ่นโทน Oud เริ่มลงไปผสมผสานกับโทนหนังให้มีกลิ่น Smoky หน่อยๆ และมีความเย้าอวนกึ่งหนังที่มีความนุ่มของ Musk มาเจือจางความ Animalic ไปลงไป ก็จะเป็นการเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเริ่มเป็น 3 ประสานอย่างแป้งกุหลาบที่มีโทนอบอุ่นเจือๆ คล้ายวานิลลาติดโทนแป้ง หนังที่มีความนวลแต่ให้ความเข้มเย้า และ Oud ที่มีโทนเย้าดาร์กแบบอ้อยอิ่งแต่จับต้องได้เนียนๆ ในเนื้อกลิ่นตลอด ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นโทนผลไม้เริ่มหายไปเกือบหมดแล้ว อาจจะมีวูบจางๆ ปลายกลิ่นบ้างนิดหน่อย ซึ่งภาพรวมอารมณ์กลิ่นก็ยังค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าเพราะความเป็นโทนแป้งที่มีจริตกุหลาบนี่แหละ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่สร้างความกรุยกรายแกมเย้าลึกให้กับกลิ่นได้มีเสน่ห์และมีความเป็นนางพญากลายๆ ได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่เอาจริงๆ มันค่อยไปทางผู้หญิงราวๆ 70% ได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นมันโทนแป้งกุหลาบแกมอวลลึก Oud เสียมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ชายจะใส่ไม่ได้ เพราะมันก็ยังมีโทนแนว Unisex อยู่บ้าง และถ้าพื้นฐานชอบโทนแป้ง ก็สามารถสร้างเสน่ห์เฉพาะตัวได้เลย ซึ่งเข้ากับกลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ที่ต้องลงจำนวนสเปรย์เหมาะสมหน่อย เพราะ Montale เรื่องการแผ่รังสีนั้นไม่ลดราวาศอกอยู่แล้ว รวมถึงสามารถใส่ยามค่ำคืนได้หลากหลายมาก ไม่ว่าจะออกงาน ท่องราตรี หรือโรแมนติค ก็ได้หมด ให้ความเย้ายวนอวลเย้าที่ไม่เหมือนใครในความเป็นโทนแป้งได้ดี ส่วนการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายนั้น บอกเลย ตัดทิ้งไปเถอะ จุกคือหอยตายตอนตีขึ้นหนักๆ กันพอดี

ความทน - กลิ่นทนจัดจ้านมาก เรียกว่า 15 ชม. ยังตีขึ้นให้รู้สึกตลอด แน่นอน Montale เรื่องนี้หายห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก และคงที่มากด้วยไปจนถึง 6 ชม. กันเลย แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปยาวถึงราวๆ 10 ชม. ถึงลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ กลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวเอาเมื่อผ่านไปราวๆ 13-14 ชม. แล้ว

สรุป - เป็นการเอา Tropical + Wood เท่านั้น ไม่ได้อ้างอิงสภาพแวดล้อมที่ไหนอย่างไร ไม่งั้นจะรู้สึกเหมือนโดนสับขาหลอกเอาได้ แต่ทั้งนี้นั้น กลิ่นไม่ธรรมดาในเรื่องการสร้างสรรค์กลิ่นอายโทนแป้งกุหลาบที่มีลูกโทนผลไม้เย้าๆ แนวหวานอมเปรี้ยวไซรัปคลอไปตลอด ซ้อนให้มีความน่าค้นหาและเสน่ห์เฉพาะของ Oud ก่อนจะเป็นโทนอบอุ่นน่าซุกแกมกรุยกรายที่กำลังดีของหนังเคล้าโทนอบอุ่น ซึ่งถ้าใครชอบโทนแป้งตัวนี้ให้ความน่าสนใจแบบแนวๆ แป้งกุหลาบอวลเย้าได้ดีไม่น้อยเลยล่ะ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Montale/Tropical_Wood

 

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Dior Homme Intense (2011)

Dior Homme Intense (2011)

เมื่อ Dior ประกาศเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายสาย Dior Homme ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพื่อเข้าสู่การเป็น Generation ใหม่ ในปี 2020 (หลังจากปรับตัว Sport ไปก่อนหน้านี้ในปี 2017) อย่างแรกก็เรียกว่า อึ้งไปพอสมควร เพราะของเดิมก็ยังมีดีอยู่ในการเป็นกลิ่นอายคล้ายโทนเมโทรแบบมีรอยลิปสติกติดที่แผงอกหรือต้นคอ แล้วกลิ่นตีขึ้นชวนให้รู้สึกเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก และจงใจแบบคูลๆ และอย่างที่ 2 ไม่เพียงแต่ปรับรุ่นปกติ ยังลามมารุ่น Intense ที่เป็นขั้นกว่าของโทนกลิ่นสายนี้อีกด้วย เอาล่ะสิ ยังไม่ได้ใช้รุ่น Intense ในการเล่ากลิ่นมาก่อนเลยไม่ว่าจะเป็นทั้งรุ่น 2007 และรุ่นปี 2011

เช่นนั้น เพื่อให้มีความชัดเจนและไล่เรียงกลิ่นสายนี้ให้ครบถ้วน จึงต้องใช้งานให้ชัด จัดให้รู้ แล้วมาบอกต่อกันก่อนที่จะไปเรียนรู้ Generation ใหม่ รวมถึงจะดูสิว่าจะเสียดายหรือไม่ที่มีการปรับสูตรไป มาเจอกันหน่อยแล้วกันกับ Dior Homme Intense ของปี 2011 (ที่ต้องขอข้ามปี 2007 เพราะว่าหาไม่ได้แล้ว) 

เปิดตัวมาเรียกว่าลาเวนเดอร์ยังคงอยู่ แต่ความเข้มข้นของกลิ่นไอริสที่ให้ลักษณะแบบแป้งเครื่องสำอางค์กึ่ง Buttery แนวกลิ่นลิปสติกจะชัดกว่าเดิมมาก ความเข้มข้นของโทนแป้งมาเต็มโดยมีความหนักประมาณหนึ่ง แบบที่ถ้าคนไม่ชอบโทนแป้ง ก็อาจจะมีความอึนๆ กันอยู่บ้าง แต่ถ้าปรับตัวได้ มันคือกลิ่นอายโทนแป้งออกทางคล้ายกระเป๋าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงแกมกลิ่นลิสติกที่มีลาเวนเดอร์มาเสริมให้เกิดความแมนเข้มกำลังดีตัดทอนกันสร้างกลิ่นอายลักษณะแบบ Metrosexual ที่ชัดเจน มีความกรุ้งกริ่มที่มีความ Cool เต็มๆ ถ่ายทอดความดีงามของกลิ่นสไตล์ Dior Homme ได้ครบถ้วน โดยเพิ่มเติมความเข้มข้นเข้ามา ซึ่งก็ตรงกับคำว่า Intense ชัดเจนกันตั้งแต่แรกเลย

การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลาง ถือว่ายังคุมโทนได้ดีโดยยังมีกลิ่นแป้งของไอริสติดเนื้อ Buttery ที่น่าจะมาจากหัวเหง้าออริส (หัวเหง้าของต้นไอริส) เลยทำให้ได้อารมณ์กลิ่นแนวลิปติกยังคงอยู่ แต่พระเอกอีกหนึ่งอย่างโกโก้จะปรากฎออกมาในช่วงนี้พร้อมกับกลิ่นออกทางหวานเบาๆ ติดกลิ่นเขียงใบผักอ่อนๆ เจือความเป็น Musky ซึ่งน่าจะมาจาก Ambrette ที่เป็นตัวที่ให้โทน Musky หน่อยๆ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้คือเป็นกลิ่นโทนแป้งกึ่งโกโก้บัตเตอร์ที่อบอวลและมีเสน่ห์มาก ซึ่งจะมีโทนนวลลาเวนเดอร์กึ่งไวโอเล็ตเนียนๆ อยู่ด้วย มันเลยจะได้โทนแป้งที่มีหลายมิติให้จับต้อง ทั้งหวานติดโปร่งหน่อยๆ ทั้งนวลละมุนสะอาด ทั้งแป้งติดอับทึบแต่เย้าจมูก และแป้งกึ่งเนื้อเนยมันๆ แนวลิปสติกที่มีโกโก้เป็นตัวเสริมพร้อมกับกลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ หน่อยๆ สร้างลักษณะแบบสีน้ำตาลเย้าน่าค้นหา ทำให้ได้อารมณ์เมโทรแนวๆ เจ้าเสน่ห์สายนิ่ง ที่มีความเย้ายวนและรัญจวนใจแบบที่เข้มข้นที่ลงตัวมาก ยิ่งถ้ากลิ่นแบบนี้อยู่กับอากาศเย็นๆ ถือว่าจะสร้างเสน่ห์ชวนคลุกวงในได้มากจริงๆ

จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมความเป็นไม้หอมจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับควบคู่ไปกับกลิ่นโทนอบอุ่นค่อนไปทางวานิลลาที่จะเปิดตัวออกมาแบบเนียนๆ เสริมขึ้นมาเรื่อยๆ กับโทนแป้งที่ยังคงตัวอยู่ แต่เพราะการเข้ามาเสริม ทำให้กลิ่นออกทางลิปสติกจะเบาลงไป เหลือเป็นแป้งไม้หอมเจือโกโก้วานิลลา ที่จะเบลนด์กลิ่นออกมาได้เนียนและมีลูกเล่นโทนกลิ่นที่ส่งเสริมไล่เลเยอร์ที่สมูธมากเลยทีเดียว เนื้อกลิ่นจะมีมีลูกเย้าของกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝกแกมติดโปร่งหน่อยของไม้ซีดาร์ที่ให้ความแมนเท่ห์ คลุกเคล้ากับโทนแป้งที่ยังให้ความเย้ายวน และมีกลิ่นออกทางอบอุ่นวานิลลาเจือโกโก้แกมกลิ่นออกทางแอมเบอร์หน่อยๆ เป็นตัวคุมเกมในภาพรวมที่ให้ความอบอุ่นและมีเสน่ห์แบบนิ่งอวล ซึ่งดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกินเอาได้เลย แบบที่ทุกอย่างคุมโทนความ Cool มีระดับแบบหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาดนิ่ง ที่มี Sex Appeal สูงมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถจัดตัวนี้ได้แล้ว เพราะเป็นกลิ่นมาสายหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาดนิ่งที่ไม่ธรรมดา และมีความเจ้าชู้เงียบเนียนๆ ชัดเจน เพียงแต่ว่ารุ่น Intense กลิ่นจะค่อนข้างเข้ม ข้น และหนัก ขึ้นมาอีกสเต็ป ทำให้การใช้ควรจะเบามือลงมาหน่อยเพราะถ้ามาดไปอึดอัดและตีขึ้นจนมึนเสียก่อนจะเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาดนิ่งได้ ซึ่งเข้าได้กับหลายสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ยางทางการก็พอได้ แต่ต้องเลือกหน่อย แต่ถ้าใส่ทั่วไป ไม่ว่าจะทำงาน Office หรือว่าทั่วไปแบบเน้นสายเท่ห์ขรึมดูแลตัวเอง บอกเลยว่าเข้ากันมาก ไม่ใช่สไตล์สบายๆ ชิลล์ๆ หรือสาย Activities ลุยๆ ออกกำลังทั้งหลายที่เห็นควรตัดออกจากการใช้งานแบบนี้ไปดีกว่าเดี๋ยวจะชัดกับลุค ที่สำคัญยามค่ำคืนที่ไม่ว่าจะใส่ออกงาน ท่องราตรี หรือว่าโรแมนติค มันเข้าได้หมด มีเสน่ห์และมีความเร้าใจแบบหน้านิ่งๆ สูงมาก

ความทน - ดีงาม 8 ชม. ถือเป็นพื้นฐาน และไปต่อได้ถึง 15 ชม. ก็เป็นเรื่องปกติได้ไม่ยากถ้าผิวกายเอื้อมากพอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าอาจจะตึ้บไปเลยถ้าอัดสเปรย์เยอะ แล้วจะผ่อนลงมากระจายดียาวไปราวๆ 2 ชม. ก่อนจะลงมาปานกลาง ตามด้วยออร่ารอบๆ ตัวที่ให้ความรุมๆ อวลๆ ไปตลอดยาวไปถึงราวๆ 12 ชม. ถึงจะค่อยๆ ผ่อนลงเป็นติดผิว

สรุป - ถ้าเรียกง่ายๆ Dior Homme รุ่น 2005 เดิม เป็นสไตล์ Daily Scent ที่ครอบจักรวาลโดยการเอากลิ่นสไตล์เมโทรแนวกลิ่นกระเป๋าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงและลิปสติกมาเรียกแขก โดยเอาไปใช้กับยามกลางคืนได้ แต่สำหรับ Intense จะเป็นการอัพเกรดจากของเดิม เพิ่มความดีงามในความเข้มข้นที่ชัดเจน จัดเต็ม และใส่ Sex Appeal ที่มีความแน่ในเนื้อกลิ่นสูงมาก ซึ่งจะตีเป็น Night Scent เองก็ยังได้ แต่ก็มาใช้เป็น Daily Scent ได้อยู่ โดยที่ความดีงามในการปล่อยเสน่ห์หน้านิ่งแต่กรุ้มกริ่นเนียนๆ ยังครบถ้วน ซึ่งบอกตรงๆ ว่า เสียดายมากที่มีการปรับสูตรและเปลี่ยน Generation เพราะของเดิมดีงามอยู่มากจริงๆ แต่ก็ยังปรามาสไม่ได้ว่ารุ่น 2020 จะออกมาในรูปแบบไหน ไว้ถ้าได้ลองก็จะว่ามากันอีกที 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.brandfield.com/christian-dior-homme-intense-eau-de-parfum-spray-150-ml-p-3g-303-b6

 

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Christian Dior - La Collection Privee: Feve Delicieuse

Christian Dior - La Collection Privee: Feve Delicieuse

โดยส่วนใหญ่ Note กลิ่นอย่างถั่วตองก้า มักจะเป็นตัวเสริมชั้นดีให้กับโทนวานิลลาหรือบางคราวก็แทนที่กันได้โดยให้ความครีมมี่นุ่มนมเย้าๆ แกมกลิ่นไส้ในชอคโกแลต Praline หรือบางครั้งก็เสริมให้กลิ่นมีความเป็นโทนติดเขียวกึ่งหญ้าแห้งกึ่งคาราเมลที่ไม่ได้หวานจัดจ้านที่ให้ความเย้าและดึงดูด ซึ่งเรามักจะเจอเป็นสาย Support มาเสมอ จนเมื่อสาย Designer Brand เองก็รับการถ่ายทอดการสร้างสรรค์น้ำหอมสไตล์ชูโรง Note กลิ่นมาจาก Niche Brand โดยมายกระดับกับการเป็น Exclusive Collection ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความ High-End ในการใช้น้ำหอมเข้าไปอีก แน่นอนว่าถั่วตองก้า ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้มาสู่การชูโรงเสน่ห์เฉพาะตัวตามที่ควรจะเป็นด้วยเช่นกัน

และหนึ่งในนั้นก็มี Christian Dior กับการนำเสนอความเป็นถัวตองก้าในรุ่น Feve Delicieuse ในช่วงที่เปิดตัวเป็น La Collection Privee เมื่อปี 2015 และถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงมาตลอด (จนเมื่อมีการเปลี่ยนมาเป็น Collection - Maison Christian Dior ในอีก 3 ปีต่อมารุ่นนี้ก็ตามมาประจำการอยู่เช่นเดิม โดยไม่ได้โดนปิดจ็อบแต่อย่างใด ซึ่งถ้ามีโอกาสจะมาเล่ากลิ่นอีกครั้ง) เช่นนั้น กลิ่นนี้มีดีอย่างไร เราก็ต้องมาพิสูจน์กันหน่อยแล้วกับจุดเริ่มต้นใน Version ของ La Collection Privee

Feve Delicieuse เปิดต้นกลิ่นคือการผสมผสานระหว่างโทนกลิ่นที่มีทั้งความนวลอวลของลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาสายสมุนไพร แต่มาสายนวลแกมหวานคล้ายชะเอมแกล้มไปกับกลิ่นปร่าเพพเพอร์มินต์ ที่แอมมีความติดเปรี้ยวขมอ่อนๆ แนวมะกรูดฝรั่งเจืออยู่ แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนเสริมอย่างวานิลลาติดควัน Smoky หน่อยๆ แกมกลิ่นแนวคล้ายคาราเมลเจือกลิ่นหญ้าแห้งนิดๆ ที่เป็นลักษณะของถั่วตองก้าชัดเจนและเดาไม่ยากว่าถั่วตองก้าจะเป็นแกนนำหบักกันยาวๆ ไป เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาหอมนวลแกมหวานมีเสน่ห์แบบโทนเย้ายวนตั้งแต่ต้นเลย แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะซักครู่เล็กๆ จะมีกลิ่นออกทางคล้ายเหล้ากึ่งเชอร์รี่เสริมเข้ามาด้วย เลยสร้างโทนกลิ่นออกทางดึงดูดเสริมเข้ามาเนียนๆ ซึ่งแน่นอนช่วงเปิดถือเป็นช่วงเรียกแขกอย่างแท้จริงมากๆ เพราะไม่ว่าจะคนที่ชอบกลิ่นแนวขนมแต่ไม่ได้ยัดเยียดความเป็นขนมเดินได้ เน้นความเป็นกลิ่นแกมขนมที่มีมิติดึงดูดน่ากินและหรูหรามีระดับ หรือคนที่ชอบโทนกลิ่นแนว Oriental Vanilla ที่ให้ความเป็นโทนหวานหอมแกม Smoky มีมิติของกลิ่นนวลๆ เย้าอบอุ่น เรียกว่าโดนตกกันได้ไม่ยากและสามารถทำให้ตัดสินใจซื้อได้เลยเพียงแต่ดมช่วงนี้

การเปลี่ยนเข้าช่วงกลางอารมณ์จะเป็นแนวคล้ายเหล้ารัมเชอร์รี่ที่จะเป็นตัวที่ฟุ้งออกมาให้รับรู้ซ้อนไปด้วยกลิ่นโทนถั่วตองก้าที่มีโทนแนวๆ คาราเมลแกมหญ้าแห้งเจือหวานและวานิลลาติดดาร์กที่ติดควัน เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หนามาก เพราะมีโทนออกทางดอกไม้แกมเขียว Spicy หน่อยๆ ที่อาจจะมาจากมินต์แกมลาเวนเดอร์ในช่วงต้น กลิ่นเลยจะให้ความพอดีๆ อวลๆ แบบเย้าๆ ที่แน่ๆ ช่วงนี้ได้อารมณ์เซ็กซี่มีระดับซะด้วย เพราะโทนเหล้ารัมเชอร์รี่นี่แหละที่สร้างสีสันในการดมได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะให้เสน่ห์สไตล์กึ่งนวลกึ่งเย้าแบบนี้ไปซักพัก จนเริ่มจับต้องได้ว่ามีกลิ่นแนวชอคโกแลตพราลีนเข้ามาสร้างความเป็นโทนขนมเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นทีละหน่อยๆ และมีโทนไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ มาเสริมด้วย มิติกลิ่นเลยมีความหลลากหลายเนียนๆ พอสมควร ซึ่งจะได้หมดทั้งโทนดึงดูดจากเหล้าแกมเชอร์รี่ ได้ความอบอุ่นของวานิลลา ได้ความเย้ายวนของถั่วตองก้าที่มี Effect ทั้งโทนออกทางคาราเมลแกมหญ้าแห้งหวาน ทั้งโทนออกทางถั่วนิดๆ โทนออกทางนุ่มครีมสอดรับกับวานิลลาและพราลีน ซึ่งถั่วตองก้านี่แหละที่จะเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะมีกลิ่นออกทางแกมหนังหน่อยๆ สร้างลูกเล่นเซ็กซี่ Animalic และกลิ่นนมที่เข้ามาทำให้มีความน่ากินแกมน่าซุก ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะมีความเป็นโทนครีมนมแกมกลิ่นถั่วตองก้าที่เสริมโทนแนววานิลลาแกมโทนดาร์กควันติดหวานอบอุ่นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกำยาน Benzoin ที่เสริมกลิ่นลักษณะนี้ ทำให้ช่วงท้ายนี่เข้าทางกลิ่นอายชวนกินชวนดมมาก กลิ่นมีความเย้ายวนอวลรุมๆ รอบกายตลอดแบบที่บางวูบจะได้เป็นกลิ่นออกทางนมวานิลลาเจือคาราเมลอ่อนๆ แอบมีโทนแอมเบอร์เนียนๆ บางวูบจะได้กลิ่นแนวชอคโกแลตพราลีนแกล้มนมอุ่นนุ่มๆ บางวูบได้กลิ่นออกทางครีมนมหอมหวานแกมกลิ่นหนังและไม้หอมโปร่งอ่อนๆ เรียกว่าเป็นช่วงที่สร้างโทนกลิ่นชวนอร่อยและน่าซุกไล่สเต็ปได้ดีมากตั้งแต่ช่วงต้นที่เริ่มที่ความอวลดึงดูด ตามด้วยความเซ็กซี่มีระดับในช่วงกลาง และปิดท้ายความหอมน่าซุกชวนอร่อยแบบไม่ต้องยัดเยียดความหวานเชื่อมจัดๆ สไตล์ขนมแต่ก็เอาอยู่และไม่ธรรมดา

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย เพราะโทนกลิ่นมีความ Unisex สูงมาก ซึ่งเสริมบุคลิกเย้ายวนดึงดูดและน่าคลุกวงในแบบมีระดับได้หมด ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไปเดี๋ยวกลิ่นอบอวลจัดจนอึดอัด แต่ถ้าพอดีๆ บอกเลยว่ากลิ่นสร้างความเซ็กซี่น่าเข้าใกล้ส่วนบุคคลได้ดีมากจริงๆ แต่ถ้าจะเอาไปใส่ยามทางการอาจจะต้องเลือกสถานการณ์หน่อย รวมถึงยามกลางคืนที่ใส่ออกงานก็ได้ ใส่โรแมนติคก็ดี หรือใส่ท่องราตรีแบบหรูหราหน่อยก็ย่อมได้ แต่สิ่งที่ควรตัดออกในการใช้งานเลยนั่นคือ การใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกาย เพราะว่าไม่เข้าทุกประการแถมจะตีขึ้นจนอึนเอาได้

ความทน - พื้นฐานคือ 8 ชม. สบายๆ แต่อาจจะมีลบ 2 ชม. แต่บวกได้ถึง 4 ชม. ก็อิงตามสภาพผิวกายผู้ใช้และจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอที่ 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ไม่ได้ถึงกับโฉ่งฉ่างปล่อยพลังพร่ำเพรื่อ ซึ่งต้องยอมรับว่าการกระจายดีของกลิ่นตั้งแต่ช่วงต้นยันปลายช่วงกลางนี่มีความเสถียรมาก คงตัวกันยาวๆ ถึงราวๆ 4 - 5 ชม. กันเลย ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางซักราวๆ 1-2 ชม. แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวราวๆ ชม. ที่ 7 - 8 เป็นต้นไป 

สรุป - ต้องยอมเขาเลยว่าทำกลิ่นและชูโรงความเป็นถั่วตองก้าได้อย่างมีเสน่ห์ มีลูกเล่นที่แตะความเย้ายวน ความดึงดูด ความน่าค้นหา ความเซ็กซี่ และกระตุ้นอารมณ์คลุกวงในแบบที่ไม่ได้จงใจแต่สร้างสเต็ปให้รู้สึกทีละหน่อยๆ จนตกได้เต็มที่ในที่สุด ที่สำคัญคุมโทนความหรูหรามีเสน่ห์ และไม่ธรรมดาในสไตล์ Dior ได้อย่างลงตัวมากๆ เสียด้วย เลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมได้รับความนิยมมากจนมาที่ในการเป็น Maison Christian Dior ก็ยังได้รับความนิยมอยู่เสมอ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sandrascloset.com/tag/feve-delicieuse/

 

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Acqua di Parma - Magnolia Nobile

Acqua di Parma - Magnolia Nobile

ผ่านการลองกลิ่นอายสายดอกไม้ขาวที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างดอกแมกโนเลียมาก็พอสมควรเรียกว่าก็เจอทั้งตัวที่รักมากสุดๆ ไปแล้ว ตัวที่ Happy ที่ได้ดม และตัวที่ก็อาจจะไม่ใช้สไตล์แบบที่เราชอบ แต่กลิ่นก็ไม่ได้เข้าข่ายแย่แต่อย่างใด ซึ่งก็ยังไม่จบ เพราะก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าจะมีแมกโนเลียของแบรนด์ไหนที่น่าสนใจอีกบ้าง

และก็ได้มาเจอกับ Acqua di Parma กับการนำเสนอกลิ่นอายของการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่เอาความเป็นดอกแมกโนเลียมาสร้างกลิ่นอายที่มีความหรูหราและทันสมัย โดยยังคุม Concept ในการเป็นน้ำหอมกลิ่นอายสไตล์อิตาลีที่มีความกระจ่างใสเข้ามาร่วมด้วย เช่นนั้นได้เวลาพิสูจน์แล้วว่ากลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้ Magnolia Nobile 

เปิดมาก็เรียกว่าสร้างรอยยิ้มในการรับกลิ่นได้เลยในครั้งแรก กับความสดชื่นติดเปรี้ยวหอมที่รองพื้นด้วยโทนที่นวลๆ ดอกไม้กึ่งแว๊กซ์หน่อยๆ ซึ่งต้องมาว่ากันทีละสเต็ปก่อนเลย โดยเริ่มที่โทน Citrus กับการผสานกันมาอย่างสมดุลย์และดีมาก ทุกอย่างไม่คมเกินไป ไม่เปรี้ยวแหลมเกินไป ให้ความเป็นธรรมชาติแบบกำลังดีที่มีความเป็นโทนออกทางเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวหอมมากกว่าจะมาเป็น Splash แนวโคโลญจน์ เสริมด้วยความติดขมเปรี้ยวสร้างบรรยากาศกึ่งปร่าของมะกรูดฝรั่ง และไม่พอมีโทนติดเปรี้ยวหอมซ่าๆ เฉพาะตัวแนวส้มโอมือแต่ไม่มาแบบคมฉุนเข้ามาเป็นตัวช่วยด้วย แต่เพราะมีความนวลกึ่งดอกไม้และมีความเป็นโทนแว็กซ์เมือกๆ ติดเปรี้ยวนวลหอมแกมกึ่งดอกไม้ขาวนวลแนวมะลิ เลยเกลากลิ่นสาย Citrus ให้ไม่คมเกินไป รักษาสมดุลย์และสร้างความสดชื่นเรียบหรูได้ดีมาก รวมถึงให้ความรู้สึกเป็นกลิ่นแนวแมกโนเลียที่ติดนวลมากกว่าจะใสได้ชัดเจน เรียกว่าเปิดมาคะแนนความชอบก็มาท่วมท้นเลย

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจะเริ่มมีในช่วงกลางอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยังคุมสมดุลย์กลิ่นโทนสดชื่น Happy และเรียบหรูอยู่เหมือนเดิม เพิ่มความหนาของกลิ่นขึ้นมานิดนึง เพราะโทนดอกไม้ขาวจะชัดเจนขึ้นมาหน่อยมีโทนหอมเปรี้ยวอมหวานแว็กซ์แบบแมกโนเลียแน่ล่ะ เป็นตัวเด่นเลย แต่จะมีมะลิที่ให้ความหอมระเรื่อติดปลายหวาน มีความหอมโรแมนติตให้ความ Feminine ของกุหลาบคลอๆ และแฝงความครีมมี่เย้าๆ มีจริตนิดๆ ของซ่อนกลิ่นที่ซ้อนแบบเบาๆ ติดเขียวเล็กๆ อยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นจะมีความนวลหอมละมุนติดเปรี้ยวอมหวานสไตล์แมกโนเลีย ที่แน่นอนช่วงนี้มีความเป็นโทนน้ำหอมผู้หญิงที่ให้ความพอดีๆ กึ่งกลางระหว่างความสดชื่นหอมนวลกับความโรแมนติคได้อย่างชัดเจนมาก เรียกว่าเป็นดอกไม้ขาวที่ไม่หนักแต่ให้เสน่ห์ที่ครบถ้วนแบบสายสว่างและมีความเรียบหรูในทีได้อย่างชัดเจน

จนกระทั่งเข้าช่วงท้ายที่กลิ่นหลักจะกลายเป็นโทนไม้หอมติดครีมมี่อ่อนๆ ที่คลอผิว มีความอบอุ่นเบาๆ แบบอารมณ์แป้งวานิลลาบางๆ และกลิ่นจะมีความแห้งมาขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป เพราะโทนไม้หอมที่จับต้องได้จะเป็นแนวหญ้าแฝกที่ติดไม้แห้งสะอาดและสว่างมากกว่าจะไปสาย Dirty แถมเจือความเป็นไม้ครีมมี่จากจันทน์หอมอีก ซึ่งกลิ่นแมกโนเลียเปรี้ยวหอมอมหวานติดแว๊กซ์นิดๆ ในช่วงกลางยังตามมาอยู่แบบปลายกลิ่นที่ให้ความระเรื่อของกลิ่นแบบเบาๆ เจือปร่าอ่อนๆ คลายพิมเสนรื่นจมูกเข้ามาร่วมด้วย เป็นการปิดท้ายสไตล์คลอผิวกายที่ให้ความเรียบหรู สะอาด และเข้าทางกลิ่นอายสไตล์มินิมัลได้ดีในโทนสว่างแกมมีเสน่ห์เย้าๆ แบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่เอาอยู่ สร้างออร่าที่ไม่ธรรมดาและเป็นธรรมชาติได้ดี อันนี้ยอม

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นไม่ได้เข้าถึงยากเลย เป็นธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ ในการเป็นแมกโนเลียสายนวลระเรื่อ และมีความเป็นโทนที่ใครได้กลิ่นก็ชอบได้ไม่ยาก เลยเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ได้ แต่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะมันจะออกแนวเรียบร้อยมีระดับไปนิด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปวันอากาศร้อนๆ สร้างอะโรม่าความหอมที่สดชื่นติดนวลมีเสน่ห์จะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะโดนกลบแน่นอน และฝั่งผู้ชาย เอาจริงๆ ใช้กลิ่นนี้ได้ เพราะกลิ่นไม่ได้จัดจ้านในการเป็นดอกไม้หวานอวลนัก เผลอๆ ถ้าใส่กับพวกชุดสีขาวเนี่ย จะเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะ

ความทน - ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ราวๆ 2 ชม. ได้ ตามสภาพผิวผู้ใช้และจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กลิ่นก็เริ่มเบาลงจนจางไปราวๆ 10 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกความสดชื่นแกมนวลระเรื่อด้วยรอยยิ้มเปื้อนใบหน้ากันเลยใน 10 นาทีแรก แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายราวๆ 5 ชม. กลิ่นจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ ก่อนเป็น Skin Scent ราวๆ 7 ชม. แล้วค่อยๆ จางไปตามเวลา

สรุป - นี่คือกลิ่นแมกโนเลียที่หอมนวลแกมสดชื่นที่ดีและไม่น้อยหน้าใครเลย ซึ่งส่วนตัวจากที่รัก Frederic Malle - Eau de Magnolia มาก ในความเป็นแมกโนเลียธรรมชาติติดใสๆ พอมาเจอรุ่นนี้มันคือการเพิ่มความนวลสไตลดอกไม้ขาวเข้าไป และใส่ความเป็นโทนน้ำหอมดอกไม้ที่ให้ออร่า Feminine ลงไปได้ครบถ้วนสร้างความมีเสน่ห์เรียบหรูดูมีระดับได้ลงตัวมาก ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นแมกโนเลียที่ดีมากอีกหนึ่งกลิ่นจากที่เคยได้ลองมาเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.escentual.com/acqua-di-parma/pp-11556/

 

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Mandarina Duck - Resort Lovers

Mandarina Duck - Resort Lovers

จาก Freedomland ที่เน้นกลิ่นอายการท่องเที่ยวไปยังเทศกาลดนตรีต่างๆ มีความเป็นฟรุตตี้ค็อกเทลที่เข้าทางกลิ่นอายสายปาร์ตี้ ก็ได้เวลาของการเข้าสู่การท่องเที่ยวในรูปแบบอื่นๆ ที่แบรนด์ Mandirina Duck จะมานำเสนอใน Collection - The Duckers เพิ่มเติมซึ่งคราวนี้เราจะไม่เน้นที่ท่องปาร์ตี้ เพราะเอาจริงๆ การไปเที่ยวไม่ใช่ก็เอะอะก็ออก Activities แต่จะมาเน้นการพักผ่อนและความผ่อนคลายอยู่ในแต่ Resort เข้าสปา รับความอะโรม่า และชมนกชมไม้นอนนิ่งๆ อ่านหนังสือแทน

เช่นนั้น กลิ่นอายที่มีแรงบันดาลใจจากการไปท่องเที่ยวแล้วพักผ่อนอยู่กับ Resort ในการทำสปา การชิลล์นอนเล่นท่ามกลางต้นไม้ดอกไม้ในที่พักในบาฮามาสอย่าง Resort Lovers ที่แบรนด์ได้สร้างสรรค์ขึ้น จึงได้มาเป็นหนึ่งใน Collection - The Duckers ที่พร้อมจะเล่ากลิ่นในครั้งนี้นั่นเอง

Resort Lovers เปิดตัวมาในแบบที่ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มในการเป็นกลิ่นโทน Woody Floral Musk ที่มีพื้นฐานกลิ่นในการเป็นโทน Powdery - แป้ง Soapy - สบู่ และ Musky - สายนุ่ม ชัดเจนมากตั้งแต่แรกเริ่มอารมณ์แบบสบู่อบอวลกึ่งโลชั่นกึ่งแป้งหอมนวลฟุ้งจะเข้ามาทักทายก่อนเลยและจะเป็นโทนกลิ่นที่อยู่กันอย่างยาวๆ ยั้งยืนยงตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งในช่วงเปิดแน่นอนความเป็นโทนกึ่งสบู่แกมโลชั่นกลิ่นชัดๆ ที่ฟุ้งออกมาก่อนเลย กับการเป็นโทนแนว Aldehydes แต่โดนเกลากลิ่นจากใบไวโอเล็ตให้มีความเขียวติดหวานกึ่งแตงกวาที่มีความเป็นโทนค่อนไปทาง Aquatic หน่อยๆ เสริมด้วยกลิ่นออกทางสร้างบรรยากาศเปรี้ยวเจือขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เลยจะได้อารมณ์แบบสบู่ฟุ้งอวลกึ่งโลชั่นแนวเขียวเจือน้ำแตงกวาเล็กๆ ติดขมหอมที่สว่างๆ รองพื้นด้วยความนวลแบบโลชั่นที่กลิ่นชัดๆ พอสมควร ซึ่งช่วงนี้อาจจะไม่ได้ถึงกับนุ่มจมูกนัก เพราะยังมีความประดังประเดดันอยู่พอสมควรแบบอารมณ์คล้ายเราได้กลิ่นวูบแรกจากพวกโลชั่นทาตัวครั้งแรกเวลาเรากดมาใช้แล้วลูบไล้ตามตัวกลิ่นมันจะฟุ้งชัดกว่าปกติ แล้วซักพักเราจะปรับจมูกได้แล้วชินกับมันประมาณนั้น

ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนลดทอนความประดังประเดลง โทนกลิ่นติด Aquatic ของใบไวโอเล็ตจะเหลือประปรายที่ยังให้โทนสว่างแกมสดชื่นติดชื้นๆ เล็กๆ ซึ่งภาพรวมกลิ่นจะมาสาย Powdery แป้งหอมนวลมากขึ้น ซึ่งจะมีความหวานของโทนดอกไม้เข้ามาสอดรับพอดีซึ่งมีกลิ่นออกทางกึ่งมะลิใสๆ ของดอกกระดิ่งหรือ (lily-of-the-valley) เคล้ากับกลิ่นติดหวานหอมปร่ารื่นจมูกนิดๆ มีความอวลกำลังดีที่เป็นลูกผสมระหว่างกลิ่นออกทางกุหลาบและดอกไม้เหลืองหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้กลิ่นจะมีโทนขาวสว่างรื่นรมย์นุ่มเจือหวานให้ความเป็นโทนที่เรียบง่ายไม่ได้จัดจ้านนัก และยังมีลักษณะแบบกึ่งสบู่กึ่งโลชั่นอยู่บ้าง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลในช่วงนี้ได้อารมณ์แนวๆ สปากลิ่นดอกไม้ผ่อนคลายแบบที่ลดความชัดเจนจากช่วงต้นลงมาให้เราจับความหอมนวลหวานแกมกลิ่นแป้งที่สร้างความละมุนจมูกที่กำลังดี แน่นอนไม่ได้หวือหวาแต่มีความรอดและหอมอวลที่กำลังดีไปตลอดแบบที่คนที่ชอบโทนออกทางแป้งและโลชั่นหอมดอกไม้กึ่งสปาโดยตกได้ไม่ยากเลย

การเข้าสู่ช่วงท้ายจะลดทอนกลิ่นโทนแป้งกึ่งโลชั่นในช่วงกลางลงไปมากเลยทีเดียว จนกลายเป็นกลิ่นอายโทน Musky กับ Woody เป็นตัวเดินกลิ่นแบบที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก เนื้อกลิ่นจะมีพื้นฐานของการเป็นโทน Musk ที่สะอาดรองพื้นชัดเจน แต่มีมิติกลิ่นที่ออกทางกึ่งนวลครีมมี่แกมกลิ่นกึ่งแป้งวานิลลาอ่อนๆ ที่เป็นสไตล์ของถั่วตองก้าเข้ามาร่วมด้วย แต่จะมีไม้หอมแห้งๆ มาตัดทอนให้กลายเป็นโทน Woody แบบตีคู่กันไป เรียกว่าคุมสมดุลย์ตรงกลางพอดีที่จะได้โทนไม้หอมแกมกลิ่นพิมเสนหน่อยๆ เคล้าโทนแป้งหอมอ่อนๆ และ Musk ที่นุ่มนวลสะอาดกำลังดี กลิ่นจะให้ความตรงไปตรงมาแบบที่ให้ความเรียบง่ายและผ่อนคลายแบบที่มีระดับและเรียบหรูในทีอยู่ด้วย ถือเป็นการปิดท้ายกลิ่นอายสไตล์พักผ่อนชิลล์ๆ ไม่ต้องเยอะสิ่งได้อย่างลงตัว  

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ซึ่งก็ใช่เลย แต่จะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อยนึงเพราะโทนแป้งที่ออกทางกลิ่นติดหวานอวล แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้ได้สบายมาก เพราะช่วงท้ายมันคืความเป็นกลางอย่างมากที่สุดจริงๆ ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะเป็นกลิ่นสายนวลอวล้อมกรอบรอบตัวแบบไม่หนักหน่วง แต่ให้ตัดการใส่แบบกิจกรรมลุยๆ และออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะว่ากลิ่นไม่ได้เข้าทางกิจกรรมพวกนี้ (ก็มาสายพักผ่อนทำสปาชิลล์ๆ นี่นะ) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีที่สุด รวมถึงใส่ออกงานพอได้อยู่

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. มีบวกลบราว 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนเจอเป็นเรื่องปกติกับ 8 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายปานกลางราวๆ 2 ชม. ที่เหลือคือมุ้งมิ้งกับตัวเองแบบออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่องๆ จนเมือ่ผ่านชั่วโมงที่ 6 ไปแล้ว คือ Skin Scent ชัดเจน 

สรุป - การใช้กลิ่นนี้ต้องตัดความรู้สึกแนวสปาแบบไทยหรือแบบพวกบาหลีไปเสียก่อน เพราะมันจะไม่ได้ออกแนวอัดยัดดอกไม้ขาวและมีพวกมะพร้าวซันแทนมาก่อกวนอะไรเลย แต่จะออกทางกลิ่นอวลๆ ติดแป้งกึ่งโลชั่นดอกไม้เสียมากกว่าที่อารมณ์แบบนวดตัวด้วยโลชั่น หรือน้ำมันหอมระเหยที่ไม่ได้แรงมากแนวๆ นั้น และเอาจริงๆ กลิ่นนี้มันไม่ได้หวือหวานะออกแนวจะเรียบง่าย ซึ่งเป็นเรื่องดีมากกับการจับเอากลิ่นนี้เข้าในโซน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ในการเป็นน้ำหอมโทนแป้งแกมโลชั่นหอมนวลหวานได้เลยล่ะ  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Mandarina-Duck-The-Duckers-Into-The-Jungle-Resort-Lovers-and-Freedomland-13704.html

 

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: House of Sillage - Emerald Reign

House of Sillage - Emerald Reign

ว่ากันในเรื่องของแบรนด์ที่ราคาน้ำหอมไม่เคยลดราวาศอก พร้อมกับขวดที่มี 2 เลเวลให้เรื่องว่าอยากจะเอาแบบปกติ หรือมีงานศิลปะคริสตัลงามๆ พ่วง ซึ่งราคาก็พุ่งแรงมากจริงๆ ไม่ว่าจะแบบไหน ก็คงต้องยกให้ House of Sillage กับแบรนด์ Niche Luxury ของอเมริกาเขาล่ะ กับขวดทรงคัพเค้กที่มีความน่ารักและงดงามจากคริสตัลประดับในการเป็นขวดทรง Signature ปกติ กับงานศิลปะคริสตัลที่ประดับเสริมเข้าไปให้ High-end ขั้นสุดกับการเป็น Limited Edition ซึ่งกลิ่นเหมือนกัน ความเข้มข้นระดับ Extraits de Parfum เหมือนกัน ขวดก็พื้นฐานเหมือนกันต่างแค่สิ่งที่มาประดับเพิ่มมูลค่าให้ขวดอย่างคริสตัลที่ทำออกมาจนกลายเป็นเครื่องประดับชั้นงามกันได้เลยทีเดียว

แน่นอน เราไม่ได้มาวิจารณ์งานขวด แต่เราจะมาที่กลิ่นที่ 2 ของแบรนด์นี้ที่มีโอกาสได้สัมผัส นั่นก็คือ Emerald Reign กับที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์น้ำหอมคือ ความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งก็พยายามจะ Link กับชื่อรุ่นว่ามันเกี่ยวกันยังไง ก็ยังค้นไม่เจอ แต่ก็ช่างมัน มาว่ากันที่เรื่องกลิ่นดีกว่า

Emerald Reign เปิดตัวมาก็ชัดเจนกับการเป็นกลิ่นอายสายอบอุ่นที่มีพลังกับการสื่อสารภาพรวมกลิ่นอายสไตล์แอมเบอร์ชัดเจน ซึ่งกลิ่นหลักที่จะสร้างอารมณ์อบอุ่นในเนื้อกลิ่นคือโทนเครื่องเทศและกำยาน Benzoin ที่จะให้โทนยางไม้ที่ค่อนไปทางวานิลลา แต่ดันไม่หวานแหลมเพราะเครื่องเทศนี่แหละตัวเกลาให้กลิ่นมีลักษณะออร่าอบอุ่นแบบยางไม้รุ่มรวยกรุยกรายและนางพญาได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งแรกที่ฟุ้งกระจายออกมาต้องยกให้เม็ดผักชีที่ให้ความเผ็ดซ่าวูบออกมาแต่ไม่คมเกินไปนักเพราะว่ามีตัวที่ให้ความหวานเจือเผ็ดเย้าอย่างกระวานจะเข้ามาเสริมให้มีโทนหวานแบบสมดุลย์กำลังดี ไม่ได้มาเพื่อแท็คทีมกันคมพุ่งทะลุจมูกแต่อย่างใด และที่สำคัญมีตัวแปรสำคัญเลยอย่างเม็ดจันทน์เทศที่ให้ความเผ็ดนวลกลมกล่อมกึ่งไม้หอมหน่อยๆ ที่จะเป็นตัวกล่อมเกลาชั้นดีให้กลิ่นมีความกลมและมีมิติที่ลงตัวไม่หนักหน่วงเกินเหตุ ซึ่งทุกอย่างจะอยู่บนพื้นฐานของกลิ่นกำยาน Benzoin จนทำให้รู้สึกว่ามันคือโทนกลิ่นสไตล์แอมเบอร์ที่ฉาบหน้าด้วยเรื่องเทศที่ไม่หนักเกินไป แต่ให้ความหรูหราและปล่อยเสน่ห์แบบกำลังดีแทน

การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางจะเริ่มได้กลิ่นออกทางกึ่งมินต์หน่อยๆ กึ่งน้ำในแจกันดอกกุหลาบที่เป็นลักษณะของเจอราเนียมที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาพร้อมกับเอาโทนไม้หอมติดครีมมี่จืดหอมนวลอย่างไม้จันทน์หอมเข้ามาด้วย โดยที่กลิ่นช่วงต้นทั้งหมดก็ยังตามมาอย่างชัดเจน ซึ่จะให้ออร่ากลิ่นอายโทนอบอุ่นหรูหรามีระดับและมีพลังออกมาไล่เลเยอร์จากกลิ่นปร่าซ่าเครื่องเทศเจือสมุนไพร ที่แฝงด้วยโทนเย้าหวานในความอบอุ่น แต่มีกลิ่นไม้จันทน์หอมมาเสริมเลยทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลจมูกมากขึ้น แถมด้วยกลิ่นออกทางดึ่งมินตี้กึ่งกุหลาบติดเขียวของเจอราเนียมก็มาสอดรับพอดีกับความปร่าซ่าเลยมีมิติกลิ่นเขียวติดมินต์กึ่งกุหลาบเข้ามาร่วมผสมผสานกับโทนสไตล์แอมเบอร์ด้วย แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะสิ่งหนึ่งที่จับต้องได้คือ มันมีโทนแป้งแฝงอยู่ เพราะมีกลิ่นโปร่งหวานหน่อยๆ เคล้าแป้งอบอุ่นของวานิลลาเข้ามาด้วย เลยมานั่งแยกส่วนกลิ่น ก็รับรู้ได้ว่า เป็นการผสมผสาน 4 โทนกลิ่นสำคัญเลย คือ เครื่องเทศสมุนไพรหวานเจือปร่า ไม้หอม แป้งหอม และโทนอบอุ่นแนวแอมเบอร์ ทุกอย่างจะไม่ได้มาแบบหนักหน่วง แต่ให้ความกำลังดีที่มีเสน่ห์แต่มีพลัง ทุกอย่างไล่เลเยอร์กันมีมิติและผสมผสานกันจนได้ลักษณะกลิ่นแอมเบอร์เคล้าไม้หอมเจือหวานเย้าปร่าสมุนไพรที่มีโทน Feminine แบบมีพลังสไตล์นางพญาที่นิ่งๆ ให้จับต้องได้ตลอดเวลา ก่อนที่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเพราะเนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนความเป็นเครื่องเทศลงไป จนเหลือความอบอุ่นของโทนกำยาน Benzoin แต่มาแบบออกทางยางไม้เจือแป้งหอมที่ไม่ได้หวานจนกลายเป็นโทนขนม แต่ให้ความเป็นกลิ่นอายยางไม้สีเหลืองอมส้มอมทองที่มีความเป็นโทนแป้งสนับสนุน และปลายกลิ่นมีความปร่าระเรื่อของพิมเสนที่เสริมให้กลิ่นหรูหรามีระดับที่ชัดเจนมากขึ้นออกมาให้รู้สึกได้เลยในการเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมกลิ่นนี้

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เนื้อกลิ่นชัดเจนพอสมควรเพราะมาในโทนหรูหรามีระดับแต่ไม่ได้แบบโจ่งแจ้งหรือจงใจในการโชว์เหนือ แต่ให้ความเป็นสไตล์ผู้ดีที่มั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง เช่นนั้นกลิ่นเลยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป กับจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม จะสร้างออร่าที่มีเสน่ห์ สไตล์นางพญามาดนิ่งและมีระดับได้ดีเลยทีเดียว รวมถึงยามค่ำคืนที่ใส่ออกงานนี่เรียกว่าเข้ากันได้ดีมาก รวมถึงจะใส่แบบโรแมนติคก็ได้อยู่ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ

ความทน - กลิ่นทนลงตัวราวๆ 8 - 12 ชม. เป็นสำคัญ เรียกว่าเรื่องนี้ไม่น่าห่วง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ยังได้กลิ่นอยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีซักราวๆ 1 ชม. ที่เหลือ จะเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ คงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 6 ชม. ถึงค่อยลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อผ่าน 10 ชม. ไปแล้วก็จะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - เป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์สูงศักดิ์และนางพญาที่มีเสน่ห์และมีความมั่นใจในตัวเองว่าหรูหรามีระดับมากพอชัดเจน โดยเอาโทนอบอุ่นสไตล์แอมเบอร์มาเป็นตัวตั้ง ซึ่งนอกจากขวดสวยแล้วน้ำหอมเองก็ไม่ธรรมดาตอบโฌจทย์ความ Luxury ได้ชัดเจน อันนี้ก็ต้องยอมเขาจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - http://royalperfumery.cz/eshop/en/women-s-fragrances/363-house-of-sillage-emerald-reign-limited-75ml-857956003087.html และ https://www.bloomingdales.com/shop/product/house-of-sillage-emerald-reign-signature-edition?ID=1652439

 

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Next - Urban Elements: Marble

Next - Urban Elements: Marble

เป็นคำว่า Next ที่เป็นลักษณะชื่อแบรนด์ครั้งแรกหลายๆ คนอาจจะคิดว่าเป็น App ธนาคาร อันนั้นก็ใช่อยู่ แต่ถ้า Scope ให้แคบขึ้นว่าเป็นในด้านแฟชั่นล่ะ อันนี้เริ่มจะชี้ชัดมากขึ้นว่า Next ก็เป็นแบรนด์หนึ่งที่มาสายแฟชั่นของ UK ที่ค่อนข้างมีความหลากหลายทางประเภทธุรกิจไม่น้อยเลย โดยเริ่มต้นจากสิ่งหลักก่อนอย่างเครื่องแต่งกายครอบคลุมทุกเพศและช่วงวัย และก็แตกแขนงประเภทธุรกิจออกไปหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจของแต่งบ้าน ธุรกิจ e-Commerce ที่รวมการจำหน่ายสินค้าหลากหลายแบรนด์ และธุรกิจดอกไม้ รวมถึงอื่นๆ และมีการต่อยอดไปยังหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย

และแน่นอนเราไม่ได้มาว่ากันในเรื่องของความสำเร็จทางธุรกิจ เพราะเราเน้นเรื่องกลิ่น เช่นนั้นเมื่อ Next เองมีน้ำหอมเพื่อเป็นหนึ่งในองค์ประกอบให้ครบถ้วนในสายแฟชั่น และไม่ได้มีแบบกระจุ๋มกระจิ๋มด้วย มีให้เลือกแบบจุใจตอบโจทย์ให้กับทุกเพศ ที่สำคัญถือเป็นโซนน้ำหอมราคาไม่ได้แพงมาก (ลักษณะสไตล์เดียวกับ Zara) เช่นนั้นมีหรือที่จะไม่หาโอกาสมาลองน้ำหอมของแบรนด์นี้ เช่นนั้นก็มาว่ากันในกลิ่นแรกที่ปัจจุบันได้มีโอกาสลองอย่าง Collection - Urban Elements กันหน่อยที่ได้ฉวยเอา 1 ใน 3 รุ่นในไลน์อย่าง Marble มา และกลิ่นที่จับต้องได้ก็เป็นแบบนี้

เนื้อกลิ่นเปิดมาก็มีลายเซ็นความฮิตติดตลาดสไตล์ Aventus แบบที่ชัดเจนมาเลย แต่อาจจะไม่ได้เหมือนมากแบบเป๊ะๆ เพราะว่าเนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้หอมโปร่งๆ มาเจือรวมกับกลิ่นอายสาย Citrus เลยทำให้นึกถึง Zara Vibrant Leather ร่วมด้วยเสียมาก กับกลิ่นเปิดที่ให้อารมณ์ในความเป็นสาย Citrus ติดขมปร่าเจือเปรี้ยวของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และมีความ Splash ออกทางเปรี้ยวสดชื่นติดหวานปลายของเลมอน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ถึงโทนกลิ่นแนวแบล็คเคอแรนท์ที่ให้ความเปรี้ยวกึ่งแอมโมเนียเล็กๆ เจือกลิ่นไม้หอมโปร่งหน่อยๆ แบบที่ใช่เลยคุ้นเคยสุดๆ

ในช่วงกลางความเป็น Citrus ของมะกรูดฝรั่งและเลมอนก็ยังอยู่ มาครบถ้วน แล้วความเป็นโทนออกทาง Fruity ที่ติดเปรี้ยวที่มีโทนแอปเปิ้ลเขียวแกมกลิ่นออกทางสับปะรดเบาๆ ที่ได้ความเมทัลลิคเปรี้ยวๆ ก็จะชัดมากขึ้นมาอีกสเต็ปแต่ก็ยังเป็นกลิ่นโทนสนับสนุนเสียมาก ที่ให้มิติกลิ่นที่สดชื่นอยู่ และที่สำคัญกลิ่นออกทางไม้หอมโปร่งๆ กึ่งกลิ่นอายไม้ซีดาร์หน่อยๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็น ISO E Super ก็มาทำให้มีวูบกลิ่นที่เป็นไม้หอมโปร่งๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่สิ่งที่สะดุดจมูกอย่างหนึ่งคือ กลิ่นโทนหนังติดออกทาง Smoky หน่อยๆ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นโทนของ Birch Tar จะเข้ามาสะกิดให้รู้สึกได้ แต่จะออกแนวติดผิวไม่ได้เด่นแย่งซีนกลิ่น Citrus ที่สดชื่นและมีระดับตามสไตล์ที่ควรจะเป็น เลยทำให้รู้สึกชัดเจนว่ามีความเป็นสาย Lite Version ของสไตล์แบบ Aventus + กลิ่นอายที่ชัดกว่า Vibrant Leather กึ่งๆ 2 รุ่นนี้เลย

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปถึงเวลาที่พอเหมาะก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่คราวนี้โทน Smoky ที่จะมีความนวลเข้มและมีความดาร์กขึ้นมาหน่อยแต่มีความนวลในเนื้อกลิ่นเพราะมีลักษณะของ Musk มาตัดทอนให้กลิ่นมีความนุ่มนวลและติดผิวอวลๆ กำลังดี โดยที่จะยังมีโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่มีไอดาร์กบางๆ ให้รู้สึกได้ โดยปลายกลิ่นจะมีโทนพิมเสนที่ให้ความระเรื่อกำลังดี ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายกลิ่นที่คุมโทนกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ กึ่ง Smoky ติดนวล และมีโทนสดชื่นให้รู้สึกได้ ซึ่งแน่นอนตรงนี้ก็ยังมีความก้ำกึ่ง 2 รุ่นที่เคยอ้างอิงไว้อยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นให้ง่าย สมัยนิยม และยังไงก็รอด แถมมีระดับแบบที่พื้นฐานดีมีชัยไปกว่าครึ่งนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศ วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นใช้ง่าย เข้าถึงง่าย หอมง่าย มีเสน่ห์ง่ายตามขนบยอดฮิตชัดเจน ซึ่งจัดไปได้หมดทั้วทางการและทั่วๆ ไป ลามไปถึงใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายก็ยังได้ ส่วนยามค่ำคืนจะค่อนไปทางใส่ออกงานหรือว่าทั่วๆ ไปน่าจะลงตัวกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้หนักนัก ใส่ไปกะปล่อยเสน่ห์ท่องราตรีเกรงว่าจะเงียบกริบเพราะชาวบ้านปล่อยพลังกลบเอามากกว่า 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ราวๆ นี้ ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผลซึ่งในการใช้งานบางครั้งก็ 6 ชม. ถ้าอากาศร้อนจัดๆ แล้วหายไปกับเหงื่อ แต่ถ้าอยู่ในห้องแอร์จะไปที่ 8 ชม. อาจจะมีต่อไปอีกหน่อยก็พอได้อยู่ถ้าฉีดเสื้อที่สวมร่วมด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราว 4 ชม. ก่อนจะลงเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็น Skin Scent ปิดท้ายราวๆ 6 ชม. ไปแล้ว ซึ่งจะตีขึ้นเบาๆ เวลาร่างกายขยับเนื้อตัว ก่อนจะจางไปตามเวลา

สรุป - ไม่ใช่ว่ากลิ่นไม่ดี ก็ต้องยกให้ว่ากลิ่นดีเลยล่ะ เพราะมาตรฐานตั้งต้นไม่ว่าจะร่มชายคาใหญ่อย่าง Aventus กับการแตกหน่อมาให้มีอะไรที่แตกต่างให้โทนสดชื่นโดดเด่นกว่าอย่าง Vibrant Leather ต่างก็มีพื้นฐานที่ดีทั้งคู่ เลยทำให้กลิ่นนี้ได้รับอานิสงค์ไปด้วยแบบที่ยังไงก็หอม ยังไงก็รอด ยังไงก็ตอบ Trend การใช้น้ำหอม และยังไงก็สร้างเสน่ห์ทางกลิ่นในแบบที่ราคาไม่แรง แต่กลิ่นให้ความหอมที่มีระดับได้สบาย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Next/Urban_Elements__Marble