วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Bond No.9 - Chelsea Flowers

Bond No.9 - Chelsea Flowers 

ที่มาของรุ่นนี้ตรงตัวมากนั่นคือ ตลาดดอกไม้ Chelsea Flower Market ใน New York ที่ Bond No.9 ขอนำเสนอ (นึกภาพอะไรไม่ออก ก็จิ้นเป็นปากคลองตลาดบ้านเราก่อนก็ได้) ซึ่ีงแน่นอนว่าเป็นเสมือนช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ในกระดาษห่ออันสวยงามแห่ง New York เช่นนั้นไม่ต้องคิดอะไรมาก มาท่องตลาดนี้ผ่านน้ำหอมกันดีกว่า 

เปิดต้นกลิ่นได้หอมมากมายกับความเป็นดอกไม้ที่สดชื่นด้วยกลิ่นของดอกทิวลิปที่จะมีลักษณะที่ติดเขียวและม่ีความเป็นซิตรัสบางๆ ให้รู้สึกได้ โดยจะมาคู่กับดอกโบตั๋นที่สดชื่นหอมหวานแบบสดใส เหมือนเดินเข้าไปในตลาดดอกไม้ยามเช้า ตอนรับความหอมกันในลักษณะนี้ ซึ่งกลิ่นของโบตั๋นจะตามไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลยทีเดียวโดยไปรวมตัวกับช่วงกลางที่กุหลาบจะมาเต็มๆ เพียงแต่ไม่ได้มาแบบแห้งๆ มาแบบฉ่ำๆ และมีกลิ่นอายของดอกแมกโนเลียที่หอมแบบเปรี้ยวอมหวานสดชื่นรับช่วงต่อจากทิวลิปเข้ามาผสมผสาน ไม่พอตัวเอกที่เด่นมากอีก 1 คือ ดอกไฮยาซินธ์ ที่มาแบบติดเขียวเลยจะทำให้กลิ่นช่วงนี้เป็นโทนดอกไม้สดชื่นไปตลอด และมีความรู้สึกแบบช่อบูเก้ที่ดอกไม้เต็มไปหมดก็ตอนนี้ แม้จะดูเหมือนกลิ่นแน่น แต่ก็เพราะมันมีความสดชื่นติดเขียวๆ นี่้แหละ เลยยังมีความผ่อนคลายและเบาจมูกไปบ้าง เหมือนเดินเข้าสู่ใจกลางตลาดดอกไม้กันเต็มๆ ซึ่งกลิ่นของดอกไม้นานาพันธุ์ติดเขียวนี้ยังคงตามไปเด่นที่ช่วงท้าย กับกลิ่นอายสะอาดๆ นุ่มอบอุ่นกำลังดีของ White Musk กลั้วกับโทนไม้หอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์หอม มีความฉ่ำๆ แบบสะอาดๆ ติด Smoky จางๆ เลยกลายเป็นเหมือนกลิ่นดอกไม้นวลๆ ติดผิว แบบเดินถือช่อดอกไม้ออกมาจากตลาดแล้ว กลิ่นหอมสะอาดของผิวกายกลั้วกับความหอมสดชื่นของดอกไม้ไม้ช่อลอยถึงมาให้รับรู้ได้ เรียกว่าไล่เรียงสเต็ปภาพในหัวยามได้กลิ่นได้ลงตัวเป๊ะเลย

เหมาะสำหรับ - ดอกไม้นี่นา ผู้ชายใส่ก็สาวเลยล่ะ เช่นนั้นสาวๆ เน้นๆ เลยที่เหมาะกับน้ำหอมรุ่นนี้ เพราะดอกไม้มักคู่กับสาวๆ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งตั้งแต่เด็ก ม.ปลาย ขึ้นไป จัดตัวนี้ได้หมด ในแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม มากไปเดี๋ยวจะเป็นช่อดอกไม้เดินได้เอา โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการและไม่ทางการงดใส่ออกกำลังกายเด็ดขาด เดี๋ยวคนอื่นสำลักดอกไม้กันพอดี ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้อยู่กับอากาศบ้านเรา แต่อาจจะไม่ได้เย้ายวนเท่าไหร่ เน้นดอกไม้สดชื่นเสียมากกว่

ความทน - ก็ Bond No.9 นี่นา แม้จะโทนสดชื่น ความทนก็ยังเชื่อใจได้กับ 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกกกกกในช่วงต้น ดอกไม้ติดเขียวสดชื่นชวนประทับใจเลย แล้วจะมากระจายดีงามไปเรื่อยๆ ในช่วงกลางให้ทุกคนรู้ว่ามีกลิ่นดอกไม้สดชื่นอยู่ทางนี้ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - ผมใส่แบบไม่ได้ลองก่อนแล้วไปทำงาน แน่นอน สายตาทุกคู่จ้องมาแล้วบอกผ่านสายตาแบบนั้นว่า "นี่แกร๊เป็นผู้ชายใส่น้ำหอมดอกไม้เหรอออออ" ก็พยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แม้ว่าจะรู้สึกว่า มันหอมจริงๆ แต่เราควรจะใส่อยู่บ้านมากกว่านา 5555555 

Credit ภาพ - http://www.bondno9.com/images/photos/0000/4667/Chelsea_Flowers2_large.jpg?1354655289

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Roccobarocco - Extraordinary (Limited Edition)

Roccobarocco - Extraordinary (Limited Edition) 

Roccobarocco เป็นแบรนด์สัญชาติอิตาเลี่ยนที่ทำน้ำหอมออกมาได้เริ่ดสะแมนแตนไม่น้อยในหลายๆ ตัว เพียงแต่ว่าไม่ได้มาเด่นดังในบ้านเรานัก ซึ่งหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมไม่น้อยอย่าง Extraordinary และมีรุ่น Limited Edition ที่เป็นการนำกลับมาผลิตใหม่อีกครั้งหลังจากที่เลิกผลิตไปพักนึง เช่นนั้นมีโอกาสได้สอยเลยจัดมาเลยซักขวดแล้วลองให้หนำใจ ซึ่งจนผลที่ออกมาคือ 

Top Notes เปิดมาด้วยกลิ่นอายแบบซิตรัวกลั้วเครื่องเทศโทนหวานซึ่งไม่ได้มาแบบจัดหนัก มีความกำลังดีติดหวานเย้าเสียมาก โดยมีกลิ่นอายที่จับได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลยคือ วานิลลา ที่จะมาแบบเบาๆ เป็นพื้นหลังก่อน โดยกลิ่นอายในช่วงนี้กลิ่นอายซิตรัสติดเครื่องเทศกำลังดี กลิ่นจะอยู่ตรงกลางระหว่างความสดชื่นและความอบอุ่นติดหวานหน่อยๆ ไม่ได้มาหนักเลย จนเข้าสู่ช่วง Middle Notes ที่กลิ่นอายเริ่อชัดเจนกับการเป็นน้ำหอมเชิงเสริมบุคลิคให้เกิดความภูมิฐาน ซึ่งวานิลบลาจะเริ่มฉายแสงขึ้นมามากขึ้นโโยมาผสมผสานกับกลิ่นของหญ้าฝรั่นที่ออกติดขมปนหวานทำให้กลิ่นจะมีความอบอุ่นปนเย้ายวนแบบผู้ชายภูมิฐาน แต่สิ่งที่น่าสนใจมากคือมีโทนสดชื่นติดเขียวคมๆ ของมินท์เข้ามากลั้วด้วย เลยยังคงความเป็นโทนที่อยู่ระหว่างสดชื่นและอบอุ่นอยู่ไม่มีเปลี่ยนแปลง ก่อนที่วานิลลาจะเริ่มดันจนเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้าช่วง Base Notes ที่วานิลลาจะมาแบบนุ่มนวลจมูก ไม่ได้ออกทางขนมเลย และไม่ได้ออกทางแป้ง ออกทางอบอุ่นแบบนวลๆ ซึ่งจะมีพิมเสนเป็นตัวให้ความนวลๆ อ้อยอิ่งหอมแบบสมาร์ทๆ น่าเชื่อถือเสียด้วย ซึ่งภาพรวมน้ำหอมตัวนี้เลยเป็นกลิ่นอายของวานิลลาที่ไม่หนัก ใช้ง่าย ให้ความภูมิฐาน และลุคแบบหนุ่มในชุดทำงานแบบสมาร์ทๆ มีความเป็นผู้ชายอบอุ่นในตัวเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ซึ่งน้ำหอมอิตาเลี่ยนรุ่นนี้ถือว่าทำออกมารับมือกับอากาศร้อนๆ ได้ดีมาก แม้ว่าจะเป็นกลิ่นวานิลลานำเด่น โดยจะใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ โดยเฉพาะงานทางการซึ่งจะเป็นกลิ่นที่เสริมบุคลิกได้ดีมากในแง่ของความภูมิฐานและความน่าเชื่อถือ ส่วนทั่วๆ ไปก็ใส่ได้ ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นเลยทีเดียว แต่ขอให้งดใส่เพื่อออกกำลังกาย กลิ่นไม่ได้ไปทางนั้นนัก ยามค่ำคืนออกงานถือนี้ก็จัดได้สบายๆ เลยล่ะ 

ความทน - อยู่ที่ 8 ชั่วโมงโดยประมาณ อาจจะน้อยกว่านี้หรือมากกว่านี้ได้ อยู่ที่จำนวนสเปรย์เป็นสำคั 

การกระจาย - ข้อดีของตัวนี้คือ กลิ่นไม่ได้กระจายหนักหน่วงเกินไป จนสามารถทำร้ายชาวบ้านได้แบบน้ำหอมวานิลลาหนักๆ ตัวอื่น เรียกว่าช่วงต้นจะกระจายดี แล้วจะลดลงมากระจายกลางๆ กำลังดี ลดระดับไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent แบบวานิลลานุ่มนวล 

ทิ้งท้าย - ภาพรวมตัวนี้กลิ่นช่วงต้นจะเปิดตัวแบบน้ำหอมหนักแนวๆ Spicebomb แต่กลิ่นที่ได้คือเบากว่ามาก และจะปิดท้ายด้วยความนุ่มนวลภูมิฐานแบบ D&G The One Gentleman เรียกว่ากลิ่นน่าสนใจเลยทีเดียวครับ 

Credit ภาพ - http://mondocosmetico.gr/image/cache/data/Roccobarocco%20Extra%20Limited-500x500.jpg

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Burberry Brit Splash

Burberry Brit Splash

ตอนแรกเห็นตามเคาน์เตอร์ก็แปลกใจว่า Burberry Brit ออกรุ่นใหม่ใสๆ ออกมาเหรอนั่น คงเป็นน้ำหอมผู้หญิงมั้ง แล้วไม่ได้สนใจอะไร จนมาวันนึงมีมิตรสหายท่านนึงที่ได้อุดหนุนน้ำหอมกันบอกว่าอยากให้ลอง Burberry ออกใหม่ เลยแบ่งปันมาให้ จะเอ๋! ขึ้นมา เอ๊ะ! Burberry Brit Splash มาค้นรูปดูก็ถึงกับอ้าวววว เพราะว่าเป็นตัวที่เราไม่ได้สนใจนี่นา เช่นนั้นพอได้ลองผลออกมาก็คือ 

กลิ่นเปิดจะออกทางสดชื่นติดคมหน่อยๆ ครับ แรกๆ จะเป็นกลิ่นคมๆ ของแอลกอฮอล์นิดนึงเพียงแว้บเดียว (เป็นเรื่องปกติของน้ำหอมโทนสดชื่น) แล้วจะมีกลิ่นอายซ่าๆ สมุนไพรของโรสแมรี่แบบเย็นๆ มากลั้วกับกลิ่นออกเขียวๆ ติดซิตรัส กลิ่นจะสดชื่นติด Spicy ก็จริง แต่มีความเป็นกลิ่นใสๆ แบบโทนน้ำใสๆ สดชื่นสูงมาก และไม่นานจะมีกลิ่นหวานของเมล่อนเสริมเข้ามาให้อารมณ์สดชื่นปนหวาน แล้วกลิ่นโทน Aquatic ที่ซ่อนอยู่ข้างหลังจะเข้ามาดึงไปสู่ช่วงกลางแบบไม่ทิ้งกลิ่นอายในช่วงต้นแบบติดหวานเมล่อนกลั้วสมุนไพรเย็นๆ โดยมาผสมผสนกับกลิ่นอายน้ำสะอาดสดชื่น โดยไม่ได้ถึงกับเบาโหวงเพราะว่ามีกลิ่นโทนแป้งโปร่งๆ ออกมาสะอาดมาตัด ซึ่งทำให้ได้กลิ่นอายแบบสะอาดๆ สดชื่นกำลังดีเหมือนอาบน้ำเย็นๆ เสร็จใหม่ๆ เช็ดตัวแห้งๆ แล้วทาแป้งหอมสะอาดนุ่มๆ แบบเบาๆ ไม่ได้โป๊ะจนขาวจั๊วะเป็นเด็กผีจูออนอะไรแบบนั้น กลิ่นอายในช่วงนี้จะลากยาวไปที่ช่วงท้ายที่จะเป็นกลิ่นนุ่มสะอาดจาก Musk กับไม้หอมที่มาแบบอ่อนๆ มีความอบอุ่นแบบบางเบาแบบกลิ่นไอแดด โดยที่ยังมีความสดชื่นตามมาอยู่ตลอด ได้อารมณ์สมชื่อ Splash เขาเลยล่ะ 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้นก็ใช้ได้สบายๆ แล้ว เพราะกลิ่นสดชื่นเข้าถึงง่าย ใช้ง่ายมาก คนได้กลิ่นมักชอบ เพราะมันสดชื่นและสะอาด เหมาะกับอากาศบ้านเราสุดๆ โดยสามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวัน เหมาเกลี้ยงหมด ส่วนยามค่ำคืนถ้าอากาศร้อนๆ ก็ได้อยู่ แต่ถ้าไปเที่ยวหาเหยื่อ กลิ่นเบาไปจ้า 

ความทน อยู่ราวๆ 6 ชม. ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านั้นอยู่ที่จำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ 

การกระจาย กลิ่นกระจายสดชื่นแบบดีงามเลยในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วลดลงสู่การเป็น Skin Scent ในช่วงท้ายที่ช่วงนี้จะอิงกับความทนที่กล่าวไปข้างต้นพอสมควร เพราะกลิ่นจะตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อนเบาๆ แต่ดมที่ผิวแล้วจะมีกลิ่นอายสะอาดๆ ติดอยู่ 

ทิ้งท้าย เอาจริงๆ แอบคล้าย Armani Acqua di Gio หน่อยๆ + Hugo Boss Pure อยู่นะ แต่ว่าเพราะมันมีโทนหวานๆ ติดฉ่ำๆ แทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นเลยไม่ได้เหมือนขนาดนั้น และมีกลิ่นอายสะอาดแบบผ้าซักเสร็จแล้วตากแดดจนแห้งหอมไอแดด แต่ถือว่าเป็นตัวที่ใช้งานง่ายจริงๆ มีลูกเล่นบ้างและเข้าถึงคนไทยไม่ยากครับ

Credit ภาพ - http://fimgs.net/images/secundar/o.32581.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Pierre Balmain - Vent Vert

Pierre Balmain - Vent Vert

แบรนด์หรูหรามาเต็มเสมอ แถมมี Collection กับแบรนด์อื่นๆ ให้คนมาต่อแถวซื้อกันเสียด้วย ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในเมืองไทยบ้านเรา ซึ่งอันนี้แล้วแต่ตามสะดวก ผมมาที่น้ำหอมต่อดีกว่าหลังจากผ่านรุ่น Ambre Gris ไปแล้ว เราก็ยังไม่ได้เข้าไปเจอน้ำหอมผู้ชายของแบรนด์นี้ซะที เพราะยังมาหาน้ำหอมผู้หญิงกันต่อซึ่งครั้งนี้มาเจอกับรุ่นนี้เลย Vent Vert 

รุ่นนี้ออกมานานมากกกกกเลยตั้งแต่ปี 1947 เรียกว่าคงกระพันมาอย่างยาวนานมาก และเปลี่ยน Package มาเป็นในรูปแบบปัจจุบันซึ่งยังคงความหรูหราไม่มีผิดเพี้ยนตามสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งน้ำหอมสีเขียว Top Notes เลยกลายเป็นกลิ่นอายเขียวสะใจมาก เหมือนกำลังตัดหญ้าอยู่เลยจ้ะ กลิ่นเขียวของหญ้าฟุ้งกระจายขึ้นมากลั้วกับกลิ่นอายซิตรัสแบบสดชื่นหน่อยๆ รองอยู่ด้านหลัง แล้วจะตามมาด้วยกลิ่นติดหวานหน่อยๆ ของดอกส้มและพีช เรียกว่ากลิ่นเปิดให้อารมณ์แบบธรรมชาติมาก ราวกับเดินในทุ่งหญ้าและมีคนตัดหญ้ามาให้ได้กลิ่นเต็มๆ ซึ่งกลิ่นอายของช่วงต้นนี้จะตามไปที่ Middle Notes ที่โทนเขียวจะยังคงอยู่แต่จะมีโทนดอกไม้นานาพันธุ์มาเสริม โดยมีความเขียวที่นุ่มขึ้น เพราะดอกไฮยาซินท์จะมาแบบเขียวๆ คู่กับมิโมซ่า หรือดอกกระถินเด่นขึ้นมาก่อนที่จะรายล้อมด้วยกลิ่นอายดอกไม้หอมนวลๆ ของกุหลาบและมะลิ มีกลิ่นหวานๆ ติดเครื่องเทศจางๆ ให้รู้สึกได้ และกลิ่นอายเขียวๆ จะส่งต่อให้ช่วง Base Notes ดันให้กลิ่นของ Oakmoss เด่นขึ้นมาให้โทนแบบเขียวกำลังดี กลั้วกับกลิ่นโทนแป้งของ Musk และดอกไอริส มีความ Smoky บางๆ กลิ่นอายอบอุ่นเบาๆ กำลังดีไปตลอด คือ ภาพรวมเป็นกลิ่นที่เขียวตั้งแต่ต้นยันจบได้ไล่เรียงกันน่าดูชมเลยตั้งแต่เขียวสดชื่น เขียวนวลหวานเบาๆ และเขียวนุ่มอบอุ่น ครบเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ กลิ่นนี้เหมาะสำหรับสาวๆ ตรงที่เพราะมีโทนดอกไม้มาเด่นด้วยนี่แหละ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เข้าถึงง่ายไม่น้อย และมีความเป็นธรรมชาติสูงพอสมควร โดยสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือชิลล์ๆ ได้หมด ครอบจักรวาลตอนกลางวันมากเลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นไม่เข้าทางนัก เดี๋ยวเขาจะหาว่าตัดหญ้าก่อนมาเที่ยวผับเอาได้ ส่วนคุณผู้ชาย เอาจริงๆ ช่วงต้นของรุ่นนี้คือ Unisex ที่เหลือมันไม่ใช่นัก แต่ถ้าชอบกลิ่นโทนเขียวๆ และกลิ่นของหญ้าแบบตัดฟุ้งสดชื่นฉ่ำๆ ตัวนี้น่าลองเลยล่ะ 

ความทน กลิ่นทนอย่างลงตัวมากที่ประมาณ 6 – 8 ชม. โดยอิงจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่ากลิ่นหญ้าเขียวๆ ติดหวานหน่อยๆ สดชื่นมาแต่ไกล แต่พอเข้าช่วงกลางจะลดลงมาเป็นกระจายกลางๆ ก่อนปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ แล้วจางลงตามเวลาที่ผ่านไป 

ทิ้งท้าย ไม่แปลกใจว่าทำไมน้ำหอมกลิ่นนี้ถึงอยู่ยงคงกระพันมาได้ในทุกวันนี้เพราะกลิ่อนอายเขียวๆ สดชื่นแบบเป็นธรรมชาตินี่แหละ ที่สำคัญกลิ่นไม่ได้ดูแก่ย้อนยุคแต่ประการใด ต้องปรบมือให้ Balmain เลยที่สร้างน้ำหอมกลิ่นสดชื่นแล้ว Timeless ได้มากขนาดนี้ 

Credit ภาพ - http://www.moncredo.pl/media/catalog/product/cache/1/image/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/b/a/balmain-vent-vert-1.jpg

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Issey Miyake - Nuit d’Issey

Issey Miyake - Nuit d’Issey

ความคาดหวังแรกเมื่อเห็นรุ่นนี้ มันก็คงไม่น่าต่างอะไรกับน้ำหอมของ Issey Miyake ที่จะมี Signature ของตัวเองในทุกๆ ตัว และคงไม่ได้มาในแนวแบบสีขวดนัก แต่พอได้ลองใช้ Nuit d’Issey ผลที่ออกมาคือ 

Top Notes ก็มากันแบบคุ้นเคยของโซนน้ำหอมชายของ Issey Miyake คือ โทนสดชื่นแบบซิตรัส กลิ่นเกรฟฟรุตกับมะกรูดจะชัดเจนคงความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้อย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนอาจจะทำให้รู้สึกแบบนี้ในใจว่า อีกแล้วเหรอแต่เพียงไม่นานกลิ่นหนังและเครื่องเทศจะดันขึ้นมานำเข้าสู่ช่วง Middle Notes ที่เปลี่ยนไปจากน้ำหอมชายตัวเก่าๆ ของแบรนด์นี้ เพราะกลิ่นหนังจะมาให้ความนัว โดยมีกลิ่นไม้หอมแบบติดกลิ่นอาย Smoky มาให้ความดาร์ก แกล้มไปด้วยเครื่องเทศมาให้ความหวานแบบชัดเจน เรียกว่าเป็นช่วง 3 สหายลงขันกันมาก เพราะได้ 3 อารมณ์ในเวลาเดียวกันเลยคือ นุ่ม น่าค้นหา และเย้ายวน ตัดกลิ่นต้นที่เป็นคุณหลอกดาวทิ้งไปได้เลย มันหายไปหมดแล้ว ซึ่งกลิ่นในช่วงกลางจะตามไปที่ Base Notes โดยความ Smoky ของเนื้อกลิ่นจะเพิ่มขึ้นตามลำดับจนตัวเอกเด่นเปิดตัวชัดเจนนั้นคือกลิ่นโทนธูปหอมที่จะมาแบบนวลจมูกหอมแบบมีชั้นเชิงลึกลับหน่อยๆ โดยที่กลิ่นโทนไม้หอมแบบดาร์กๆ แนวๆ ไม้ดินสอเนื้อดีติดควันไอจะมากลั้วไปมา แต่โทนเครี่องเทศและหนังที่ตามมาจะมีความครีมมี่นวลๆ มากขึ้น กลิ่นแบบจาก 3 กลายเป็น 4 สหาย ที่มาเพิ่มเติมในเรื่องความเท่ห์แบบติดดาร์กเข้าไปด้วยนั่นเอง ภาพรวมจึงกลายเป็นน้ำหอมของ Issey Miyake ที่แตกต่างมาในโทนดาร์กแต่ไม่หนักหน่วงได้น่าสนใจมาก 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ยิ่งใครชอบน้ำหอมแบรนด์นี้พอมาเจอตัวนี้จะได้รับความแปลกใหม่ในระดับหนึ่งเลย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่ว่าจะทางการและไม่ทางการ แต่งดใส่ออกกำลังกายจะดีกว่าเพราะไม่เข้าทางนัก ส่วนยามค่ำคืน เรียกว่าจัดไปได้เลย ตัวนี้ทำมาเพื่อการปล่อยเสน่ห์แบบน่าค้นหาและแมนเท่ห์เลยล่ะ 

ความทน ยกให้เขาเลยเพราะ 8 ชม. สบายๆ ไม่พอ ยังลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้ไม่ยากถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว 

การกระจาย กลิ่นกระจายปานกลางในช่วงต้นแบบคุ้นเคย แต่พอเข้าช่วงกลาง การกระจายดันพุ่งมาเป็นดีงามซะงั้น คุณหลอกดาวกันเต็มๆ ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วลดลงไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป 

ทิ้งท้าย ผมไม่คาดหวังว่าจะเจอน้ำหอม Issey Miyake ที่เป็นโทนนี้ เลยแปลกใจและชอบเนื้อกลิ่นไม่น้อยเลยเพราะมันมีความเป็นน้ำหอมแบบชาวเอเซียที่มีความ Modern แบบลึกลับน่าค้นหา คิดว่าถ้าใช้ไปเรื่อยๆ ตัวนี้ผมอาจจะปลื้มมากขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยไม่ยากแน่ๆ 

Credit ภาพ - https://angelitamblog.files.wordpress.com/2014/07/im-nuit-dissey-2014_pr-visual_rgb-web_2000px_300dpi.jpg

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Victorinox Swiss Army - 125 Years Your Companion for Life

Victorinox Swiss Army - 125 Years Your Companion for Life

เพราะครบรอบ 125 ปีของแบรนด์ Victorinox Swiss Army แน่นอนว่าสินค้าต่างๆ ของเขาต่างมีทำออกมาเพื่อ Tribute กันให้หนำไม่ว่าจะเป็นมีดพกที่เป็นตัวหลัก และมาที่น้ำหอมเองก็เช่นกันมันต้องมี โดยเอาแรงบันดาลใจจากการดึงเอาหัวใจหลักต่างๆ ของ Switzerland มาผสมผสานกับความอบอุ่นแบบผู้ชายแมนๆ เช่นนั้นน้ำหอมรุ่น 125 Years Your Companion for Life จะเป็นอย่างไง ต้องลอง 

เรียกว่ากลิ่นเปิดสดชื่นติดหวานแบบกำลังดีมากมาย แถมมาในโทนกลิ่นใช้ง่ายอย่างซิตรัสที่มาจากเกรฟฟรุตแต่ไม่คม เพราะว่าเม็ดกระวานจะเด่นกลบเสียมาก กลิ่นจะปูทางสู่ความอบอุ่นกำลังดีในช่วงกลางที่จะเป็นโกโก้ โดยจะมีความอบอุ่นหอมหวานก็จริง แต่จะมีโทนไม้หอมมาตัดกันอย่างน่าดูชมมาก เลยจะเป็นลักษณะแบบหยินยางระหว่างอบอุ่นและสดชื่นตีคู่ให้รู้สึกได้ไปตลอด กลิ่นในช่วงนี้ถือเป็นไฮไลท์มาก เพราะจะหอมหวานอบอุ่นแบบไม่หนักหน่วงเลย แต่กลิ่นมีเสน่ห์แบบสบายๆ ไปด้วย จนปิดท้ายกันด้วยกลิ่นสดชื่นติดเขียวแห้งหน่อยๆ ของหญ้าแห้งที่จะดันขึ้นมาเด่นแบบเข้าถึงง่ายมากเพราะกลิ่นโทนไม้หอมจากช่วงกลางที่ลดระดับมาอ่อนๆ จะเสริมให้กลิ่นมีเสน่ห์แบบแมนๆ แม้ว่าจะเป็นกลิ่นแนวๆ หญ้าแห้งก็เถอะ โดยกลิ่นอายของโกโก้จะมาผสมผสานกับถั่วตองก้าเลยออกมาเป็นกลิ่นอายแบบโกโก้ครีมมี่ที่ไม่ได้มาหนักหน่วง ยังคง Concept ของการเป็นน้ำหอมแนวหยินหยางตีคู่ระหว่างอบอุ่นกับสดชื่นได้ลงตัวมาก เหมือนผู้ชายอบอุ่นคนนึงดูมาดแมนหนักแน่น แต่พอยิ้มแล้วสดชื่นประมาณนั้นเลย 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นเรียกว่าเข้าถึงง่าย คนได้กลิ่นมักชอบได้ไม่ยาก มีความแมนสดชื่นกลั้วอบอุ่นอย่างลงตัวเลย โดยสามารถใช้ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการ ส่วนออกกำลังกายแนะนำท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนกับอากาศบ้านเราได้อยู่ แต่ถ้าใส่ไปเที่ยวกลางคืนอาจจะสู้กลิ่นแบบเย้ายวนไม่ได้ก็เท่านั้นเอง 

ความทน อยู่ที่ 6 ชม. โดนประมาณ แต่สามารถไปได้มากกว่านั้นอยู่ ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว ปิดท้ายที่ Skin Scent กลิ่นตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อน

ทิ้งท้าย ผมคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะชอบน้ำหอมรุ่นนี้มาก เพราะตอนแรกนึกว่ากลิ่นจะธรรมดา แต่ที่ไหนได้พอใส่แล้วหลงไปกับความเป็นน้ำหอมที่ตีโทนหยินหยางและกลิ่นโกโก้ที่มีความสดชื่นแฝงนี่แหละ มันน่าสนใจและหอมจริงๆ

Credit ภาพ - http://www.juyable.com/uploads/juyable/images/products/20140418/VICTORINOX-125-YEARS-YOUR-COMPANION-FOR-LIFE-EDT-FOR-MEN-100ML.png

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Jean Desprez - Bal a Versailles

Jean Desprez - Bal a Versailles

เคยได้ยินชื่อ Jean Desprez มาบ้างเพราะเป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอม Niche ที่เน้นทางฝั่งของสาวๆ เลย แต่เพราะไม่มีโอกาสมากนักที่จะได้ลอง จนมาวันหนึ่งมีมิตรสหายที่รักน้ำหอมด้วยกันแบ่งปันมา จึงได้เวลาของการจัดไปและนำมาบอกเล่ากับรุ่นดังของแบรนด์นี้อย่าง Bal a Versailles 

Top Notes ทำเอาตกใจเล็กน้อย เพราะใช่ว่ามากับโทนดอกไม้รวมฮิตอย่างกุหลาบ ดอกส้ม และมะลิกลั้วซิตรัสบางๆ ติดเขียวออกทางสมุนไพรแบบซ่าๆ ของโรสแมรี่ก็จริง แต่สิ่งที่รองพื้นแล้วเด่นชัดมากเลยคือ กลิ่นชะมดเช็ด (Civet) ที่มาให้โทน Animalic (สาปปลุกเร้า) กันตั้งแต่ต้นเลย เรียกว่าออร่าความเด่นออกกันตั้งแต่ช่วงนี้ จนเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นโทน Animalic ของชะมดเช็ดยังคงอยู่จะเริ่มเปล่งออร่ามากกว่าเดิมก็จริง แต่โทน Old School แบบน้ำหอมผู้หญิงจึงเริ่มมาโดยดึงความเป็นโทนดอกไม้ตอนต้นมาผสมผสานไปด้วย แต่จะแย่งซีนบ้างจากกลิ่นของพิมเสนกลั้วไม้หอมจะตีขึ้นแนบคู่ไปกับกลิ่นโทนแป้ง กลิ่นอายช่วงนี้จะหอมแบบติดแป้งที่นวลติดสาปผิวกาย โดยยังมีความกรุยกรายในเนื้อกลิ่นที่หรูหราแบบหญิงสูงศักดิ์ไม่น้อยเลยทีเดียว และเมื่อถึงช่วง Base Notes งานนี้กลิ่นชะมดเช็ดเผยว่าตัวเองเป็นตัวเอกของน้ำหอมตัวนี้แน่นอน พร้อมกับ Musk ที่มาเต็มมากด้วยเช่นกันทำให้กลิ่นโทน Animalic จะเด่นมากฉาบไปด้วยกลิ่นยางไม้ที่มาให้ความดิบโดยมีความอบอุ่นของแอมเบอร์คลุกเคล้าเข้ามา โดยที่วานิลลาจะรับโทนแป้งมาให้เป็นความรู้สึกอบอุ่นติดเย้ายวน ทำให้ภาพรวมกลายเป็นกลิ่นอายแบบเซ็กซี่แบบสาวสูงศักดิ์ย้อนยุคที่มีระดับและมีคลาสมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ถ้าอายุซัก 30 อัพ อาจจะชอบมาก เพราะกลิ่นนี้ไม่ได้เอาใจตลาดวัยใสด้วยซ้ำ มันมีความย้อนยุคอยู่ในเนื้อกลิ่นสูง ต้องผ่านน้ำหอมแน่นๆ ติดกลิ่นโทน Musk และ Civet มาในระดับหนึ่งจะปลื้มปริ่มได้ไม่ยาก เข้ากับในบางสถานการณ์ยามกลางวันที่จำกัดสเปรย์ ได้ทั้งทางการและไม่ทางการ โดยที่ถ้าอยู่ในห้องแอร์ฉ่ำๆ จะเป็นเรื่องดีมาก เพราะเอื้อให้กลิ่นไม่หนักเกินไป แต่ขอยกเว้นใส่เพื่อออกกำลังกายและออกอากาศร้อนๆ เด็ดขาด กลิ่นตีขึ้นสะใจขาดดิ้นจนคนอื่นหันมามองหน้าแน่ๆ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นมีความหรูหรามีระดับแบบเซ็กซี่ได้ด้วยเช่นกัน 

ความทน มากกกกกกก เรียกว่า 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้น 

การกระจาย มากกกกเลยทีเดียวในช่วงต้น แล้วลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ก่อนปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย บนผิวผู้ชายอย่างผม กลิ่นโทน Animalic จะชัดแจ่มแจ้งมากจนรู้สึกได้ แต่พอให้คนอื่นที่เป็นผู้หญิงลองตีคู่ไปด้วยกัน เท่ากับว่ากลิ่นบนผิวผู้หญิงงามกว่าอย่างเห็นได้ชัดตรงที่เป็น Animalic แบบเย้ายวนเซ็กซี่กำลังดี ก็น้ำหอมผู้หญิงนี่นา 55555 

Credit ภาพ - http://ecx.images-amazon.com/images/I/61uVkoFVKLL._SL1000_.jpg

Review: Kenzo Power Cologne

Kenzo Power Cologne 

จาก Kenzo Power รุ่นปกติ ที่กลิ่นอายจะเป็นแป้งดอกไม้ติด Spicy หอมนวลเท่ห์มาก กลิ่นมีระดับมากจริงๆ ก็ได้เวลาของรุ่นที่ใสขึ้นมาบ้าง เลยมาสู่ Kenzo Power Cologne ที่มีการปรับโทนลงมา ซึ่งจะเป็นยังไง ผลคือ 

กลิ่นจากโทนดอกไม้หอมนวลติดโทนแป้งแบบผสมเครื่องเทศติดแน่นกำลังดี จะลดระดับลงมาเป็น Citrus Aromatic สบายๆ มากขึ้น เปิด Top Notes ด้วยกลิ่นซิตรัสติดเขียวๆ ออกทางมะนาวๆ ของใบเวอร์บีน่ากลั้วกับมะกรูด แต่แปลกตรงที่กลิ่นซิตรัสจะไม่ได้คมมาก เพราะมีกลิ่นโทนเครื่องเทศอย่างเม็ดกระวานมาเป็นตัวตัดโทนคมๆ เลยทำให้ได้กลิ่นสดชื่นติดหวานเย้าๆ หน่อยๆ ลงตัว โดยกลิ่นซิตรัสสดชื่นติดเขียวในช่วงนี้จะตามไปที่ Middle Notes โดยไปผสมผสานกับความเป็นเครื่องเทศที่หอมซ่าๆ ติดนวลจมูก โดยเอาช่วงต้นของรุ่น Kenzo Power มาเป็นจุดเด่นของรุ่น Cologne นี้แทน เพราะกลิ่นของโทนดอกไม้นวลๆ หอมติดโทนแป้งจะมาแบบเบาๆ ให้กลิ่นพริกไทยมาเด่นนำโดยมีความซ่าๆ ของเม็ดผักชีเสริม ซึ่งจะเป็นช่วงที่ได้ทั้งความสดชื่น สะอาด สบายๆ โปร่งๆ แล้วตามมาที่ Base Notes กับกลิ่นโทนเครื่องเทศสดชื่นที่จะเบาลงไปให้กลิ่นยางไม้ติดโทนธูปหน่อยๆ อย่าง Frankincense (ที่จะมีกลิ่นอายอบอุ่น มีกลิ่นเปรี้ยวหน่อยๆ กลั้วดอกไม้นิดๆ) มารับช่วงต่อ โดยมีกลิ่นโทนไม้หอมอ่อนๆ คลอไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสะอาด และมีระดับกับกลิ่นอาย Smoky เบาๆ สบายๆ ไปตลอดเลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้นขึ้นไปก็ใส่ได้แล้ว กลิ่นอายแบบสดชื่นติดสะอาดๆ สบายๆ ของเครื่องเทศที่ลงตัวมาก สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการ นิ่งใช้แบบวันอากาศร้อนๆ ยิ่งเข้าที่มาก ส่วนยามค่ำคืนถ้าทั่วๆ ไปใส่ได้ แต่ถ้าไปเที่ยว เปลี่ยนเป็นตัวอื่นจะดีกว่า ตัวนี้เบาไป ส่วนคุณผู้หญิงใส่ตัวนี้ได้อยู่นะครับ กลิ่นไม่ได้ออกทางแมนจัดอะไรนัก 

ความทน - อยู่ที่ 6 ชม. กำลังดี อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ อยู่ที่การอัดสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในช่วงต้น คือ คนฉีดจะได้กลิ่นเต็มๆ ก่อนจะลดลงมากระจายแบบเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วปิดท้ายที่ Skin Scent 

ทิ้งท้าย - ไม่ว่าจะเป็น Kenzo Power หรือ Kenzo Power Cologne ต่างก็เลิกผลิตกันหมดแล้วนะครับ ซึ่งแปลกใจมากกกกก ของดีๆ ทำไมเลิกผลิต "ไม่เข้าใจ" ทั้งๆ ที่เป็นอีกตัวในด้าน Safe Scent แบบมีระดับ รวมถึงเป็นโทนสดชืิ่นที่แตกต่างจากท้องตลาดได้ดีมากเลย -___-" 

Credit ภาพ - https://az280429.vo.msecnd.net/prodimgs/14057332705-700.jpg

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

Review: Valentino UOMO Edition Noire

Valentino UOMO Edition Noire 

หนึ่งในขวดที่เรียกว่าดึงสายตาไปตอนแรกว่านี่มันน้ำหอมผู้หญิงหรือเปล่า หรือบางคนจะบอกว่า ขวดเก๊ย์ เกย์ ตั้งแต่รุ่น UOMO ปกติแล้ว แล้วอยู่ดีๆ ขวดสีดำที่ออกมานี่คืออัลไล ซึ่งจะแตกต่างกับ UOMO ปกติหรือไม่ ได้โอกาสลองเลยแล้วกัน 

ซึ่งรุ่นนี้ก็ คือ Valentino UOMO Edition Noire ที่พึ่งออกมาในปี 2015 นี่้เองกับขวดสีดำที่เพิ่มคำขึ้นมา แน่นอนหายเกย์แบบที่หลายๆ คนคิดไปได้เยอะ (หรือเปล่า) 5555 และแน่นอนว่า กลิ่นที่ได้มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากรุ่นต้นตระกูล เรียกว่าถอดกันมาเลย เพียงแต่จะมีบางอย่างมันเด่นขึ้นมามากขึ้นและเข้มข้นขึ้นบ้างในพื้นฐานกลิ่นที่เป็นแบบเดิม โดย Top Notes เปิดตัวกันกลิ่นอายหอมหวานติดกลิ่นแบบลิปสติกในแบบที่ตัวหัวไลน์ทำได้แต่จะมีกลิ่นอายเข้มขึ้นพอสมควร เพราะมันจะผสมกันดอกโทนดอกไม้แนวๆ ไอริสติดสมุนไพรกับซิตรัสบางๆ ที่จะโดนกลิ่นในช่วงกลางของกาแฟ ชอคโกแลต และถั่วฮาเซลนัท ดันขึ้นมาผสมกันตั้งแต่ช่วงนี้ ซึ่งถ้าอากาศเย็นๆ จะเป็นใจกับน้ำหอมตัวนี้มาที่จะส่งกลิ่นอายอบอวลหอมหวาน แต่ถ้าร้อนๆ งานนี้อาจจะจุกคอหอยกันหน่อยแบบเหมือนเปิดกระเป๋าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงแล้วกลิ่นพุ่งเข้ามาเต็มๆ พอเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นช่วงแรกหายไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือ ให้กลิ่นของชอคโกแลตและฮาเซลนัททำหน้าที่แบบขนมๆ โดยความเป็นเนยถั่วไม่เยอะเหมือนตัวต้นไลน์ เพราะกาแฟเป็นตัวนำเด่นมากขึ้น ซึ่งตรงนี้แหละที่ต่างให้พอรู้สึกได้ กลิ่นจะเป็นคล้ายๆ กาแฟคั่วบทผสมกับชอคโกแลตและไซรัปฮาเซลนัทติดหวาน เลยจะทำให้กลิ่นไม่ออกเมโทรแบบ Dior Homme ทั้งตัวปกติและ Intense นัก เรียกว่าเหมือนเพิ่มตัวใดตัวหนึ่งมาเด่นทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนในพื้นฐานกลิ่นเดียวกัน และคราวนี้ Base Notes ซึ่งกลิ่นหนังนุ่มๆ ที่เข้มขึ้นมา โดยยังมีหอมหวานของช่วงกลางมาผสมผสาน ที่จะออกทางนัวๆ เซ็กซี่ โดยมีโทนไม้ซีดาร์ที่มาให้โทนขรึมติดดาร์กจางๆ ที่กลิ่นช่วงนี้เทียบกับต้นไลน์แล้วกลิ่นเข้มขึ้นมาหน่อยให้รู้สึกว่ามันมีความหอมนัวติดดาร์กหน่อยๆ แต่ยังคงความหวานแบบเมโทรเท่ห์ๆ อยู่ 

ทั้งหมดทั้งมวลเลยออกมาเลยมีความใกล้เคียงตัวต้นฉบับแต่มีความเข้มขึ้น แน่นอนว่า มาลักษณะในแบบที่ Dior Homme ก้าวไปสู่ Dior Homme Intense แบบรู้สึกได้ เพียงแต่ไม่ได้โดดไปจากของเดิมมากเท่านั้นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็จัดตัวนี้ได้แล้ว เพียงแต่ต้องเลือกสถานการณ์ในการใส่นิดนึง เพราะกลิ่นมันออกเนี้ยบด้วย ส่วนวัยทำงานจัดได้สบาย ถ้าอยู่ในห้องแอร์ฉ่ำๆ ตลอดวันตัวนี้กลิ่นดีงามเลยทีเดียว และสามารถจัดได้ในยามชิลล์ๆ ก็ได้ เพียงแต่จำนวนสเปรย์เหมาะสม งดใส่ออกกำลังกายเถิด เดี๋ยวฆ่าหมู่ ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่ากลิ่นหอมหวานเมโทรหวานแบบลงตัวเลยทีเดียว 

ความทน - 8 ชม. และเกินไปกว่านั้นได้สบายๆ ถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 15 ชม. กับ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - ไม่ต่างจากต้นไลน์ที่ช่วงแรกจะกระจายแน่น และแน่นมาก แล้วจะลดลงมาเป็นกระจายดีในช่วงกลางไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่เป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ 

ทิ้งท้าย - เอาตรงๆ ส่วนตัวผมรู้สึกทนกว่า UOMO ปกติ ในโทนกลิ่นที่ไม่ได้แตกต่างกันนัก เพียงมีความหวานนัวเซ็กซี่มากขึ้น ซึ่งขวดดำหมดแบบนี้สิ เท่ห์ขึ้นมาก ^^

Credit ภาพ - http://www.masculin.com/images/article/10611/valentino-uomo-edition-noire.jpg

Review: Café Parfums – Café Expresso

Café Parfums – Café Expresso 

ไม่เคยรู้จักแบรนด์นี้มาก่อนเลย จนมาได้เห็นใน StrawberryNet เลยเข้าไปดูเพราะชื่อเน้นๆ ว่า มันต้องมีน้ำหอมกลิ่นกาแฟแน่ๆ พอไปค้นหาเพิ่มเติมจึงได้รู้ว่ามาจากฝรั่งเศสซะด้วย แถมพอเห็นตาดันวาวขึ้นมาเพราะราคาไม่ได้สูงแต่ประการใดในขนาดย่อมๆ เช่นนั้น ก็จิ้มมาเลยแบบไม่ต้องคิดมากว่ากลิ่นน่าจะไปได้ดีกับรุ่นนี้ Café Expresso ผลที่ออกมาคือ 

กลิ่นเปิดนี่ทำให้นึกถึงน้ำหอมในท้องตลาดที่มาในโทนเครื่องเทศหวานๆ เด่นนำกลั้วซิตรัสเบาๆ กลิ่นเย้าอบอุ่นตั้งแต่เริ่มมากอย่าง Spicebomb เพราะว่ากลิ่น Top Notes นี่นำเด่นด้วยพริกไทยสีชมพูที่จะมีกลิ่นติดเครื่องเทศกลั้วกลิ่นดอกไม้จางๆ หอมเย้ายวนเด่นนำโดดมาเลย แอบหนักนิดนึงสำหรับคนที่ชอบน้ำหอมโทนสดชื่น เพียงแต่จะมีกลิ่นซิตรัสของส้มมาตัดให้กลิ่นเครื่องเทศไม่แหลมเกินไปนัก โดยมีความนุ่มสะอาดในเนื้อกลิ่นบางๆ พอรู้สึกได้ แต่เพียงไม่นานกลิ่นของอบเชยจะดันขึ้นมาผสมผสานกับพริกไทยสีชมพู จนเข้าสู่ Middle Notes เต็มตัวซึ่งตอนนี้เลยที่จะมีความคล้ายของ Chanel Egoiste หรือ Antonio Banderas The Secret หน่อยๆ ตรงที่ความเย้ายวนของกลิ่นอบเชยจะมีโทนไม้หอมมาตัดให้ออกทางขรึมอบอุ่นไม่หวานเย้าจัดกลิ่นในช่วงนี้จึงเป็นกลิ่นอบเชยแบบนวลจมูก เย้ายวนกำลังดี อบอุ่นกำลังงาม มีความแมนในเนื้อกลิ่นที่เข้าทีไม่น้อยจริงๆ และส่งต่อให้ช่วง Base Notes ที่กลิ่นโทนอบอุ่นที่เริ่มดันเข้ามามากขึ้นจากแอมเบอร์ กลิ่นจะอุ่นๆ แบบไม่ทิ้งกลิ่นอายเครื่องเทศที่ตามมาในช่วงก่อนๆ หน้า แต่จะเป็นลักษณะผันตัวลงเป็นรองพื้นด้านหลังให้กลิ่นของไม้จันทน์หอมเป็นตัวเด่นขึ้นมาแบบกำลังดี กลิ่นจะออกเป็นไม้เนื้อหอมสะอาดๆ หวานจางๆ ติดผิว หอมนวลๆ จากพิมเสนเบาๆ มีความอุ่นๆ ในเนื้อกลิ่นให้มีลักษณะแบบผู้ชายที่น่าไว้วางใจและน่าเชื่อถือ เรียกว่าภาพรวมของกลิ่นบ่งบอกถึงผู้ชายลักษณะธรรมชาติที่เย้ายวนก็ได้ อบอุ่นแบบแฟมิลี่แมนก็ดี หรือสบายๆ ติดหวานโรแมนติคก็สามารถ 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปสามารถใช้ตัวนี้ได้แบบสบายๆ ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ เพราะกลิ่นให้ความรู้สึกทั้งอบอุ่น น่าเชื่อถือ แมน และหวานไม่แบบจัดจ้านเกินไปนัก แต่ถ้าออกกำลังกายให้งดใส่ตัวนี้ดีกว่า เพราะมันมีโทนหวาน ส่วนยามค่ำคืนไ ไม่ว่าจะทั่วไปหรือโรแมนติคจัดไป กลิ่นน่าไว้วางใจเชียว เที่ยวกลางคืนก็สามารถ เพราะกลิ่นมีความเย้ายวนระดับหนึ่งนั่นเอง 

ความทน อยู่ที่ประมาณ 8 ชม. อาจจะน้อยกว่านี้ถ้าจำนวนสเปรย์ไม่ได้เยอะเกินไปนัก เช่นนั้น จัดจำนวนสเปรย์ลงตัว ตัวนี้ถือว่าทนน่าพึงพอใจมา 

การกระจาย ถือว่าเป็นตัวที่กระจายลงตัวกำลังดีไม่มากไม่มาย ไล่เรียงจากกระจายดี ลดลงมากระจายกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว ปิดท้ายด้วยออร่ากึง Skin Scent ตามแต่ละประเภทผิวที่จะเอื้ออำนวย 

ทิ้งท้าย เรียกว่า Blind Buy มาแบบไม่คิดว่ากลิ่นจะ OK แต่มันก็ OK เลย แถมกลิ่นไม่ได้ใช้ยากเสียด้วย สำหรับผมนี่คือความคุ้มค่าเต็มๆ ครับ 

Credit ภาพ - http://cs623122.vk.me/v623122722/620fb/NaPA1h1212M.jpg