วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Bottega Veneta - Essence Aromatique for Women

Bottega Veneta - Essence Aromatique for Women

จากที่ผ่านการเล่ากลิ่นอายของ Bottega Veneta for Woman มาจนได้สัมผัสความหอมของโทนหนังกลับ + พิมเสนที่งดงามคาบเกี่ยวทั้งความ Modern และ Classic ร่วมสมัยได้ไม่ธรรมดา แถมมีความ Unisex สูงมาก ก็เริ่มให้ความสนใจในการไปลองตัวอื่นๆ ดูบ้างแม้ว่าจะเป็นน้ำหอมผู้หญิงก็ตาม เลยทำให้เห็นว่าไม่ว่าจะรุ่นผู้หญิงหรือผู้ชายก็จะต้องมีรุ่น Cologne มาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบเพื่อความครบถ้วนในการใช้งานครอบคลุมความเข้มข้นในหลายๆ ลำดับขั้นเสมอ 

เช่นนั้นผ่านทั้งรุ่นต้นตระกูลมาแล้ว ก็ขอมาสัมผัสกลิ่นอายสไตล์ Cologne ของสาย Bottega Veneta for Women เสียหน่อย ว่าจะตีความเนื้อกลิ่นอย่างไรออกมาให้ครอบคลุมและสอดรับซึ่งกันและกันกับ Collection นี้ ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นเช่นนี้

Essence Aromatique เปิดตัวขึ้นมาก็บอกได้ชัดเจนเลยว่ามีความเป็น Original จากตัวตจ้นตระกูลมาทักทายเลยนั่นคือกลิ่นแนวพิมเสนที่มาเป็นตัวสร้างบรรยากาศให้ความหวานผ่อนคลายจมูกแถมเป็นตัวเกลาที่ดีให้กลิ่นโทนเม็ดผักชีที่ควรจะต้องปร่าฟุ้งพุ่งคมๆ มาเป็นปร่านวลแกมหวานติดเครื่องเทศเบาๆ โดยมีกลิ่นโทน Citrus ติดขมของมะกรูดฝรั่งและกลิ่นออกทางติดหวานหน่อยๆ มาตัดทอนเลยทำให้เนื้อกลิ่นค่อนไปทางเครื่องเทศสายปร่าสดชื่นโดยที่คุมสไตล์การเป็น Cologne แนว Fresh Spicy ที่มีกลิ่นพิมเสนกล่อมให้กลิ่นมีความสดชื่นแกมสมดุลย์ได้ดีตั้งแต่เริ่มต้นเลย

ในรอยต่อของการเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นติดหวานนวลที่เข้าทางโทนแป้งหน่อยๆ เสริมขึ้นมา ซึ่งจะสัมผัสได้อย่างแรกเลยคือกลิ่นวานิลลาและกุหลาบที่ให้ความหวานเรื่อๆ โรแมนติค อารมณ์จะคาบเกี่ยวการเป็นโทนแป้งหอมแกมอบอุ่นหน่อยๆ จากวานิลลา มีความครีมมี่เนียนๆ ของถั่วตองก้าที่มีความเขียวกึ่งหญ้าแห้งมาเสริมร่วมด้วย ซึ่งจะซ้อนและตีคู่ไปกับกลิ่นโทนเครื่องเทศปร่าสดชื่นที่ติดครีมมี่แกมหวาน ซึ่งแน่นอนว่ามีไม้จันทน์ฺหอมมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบด้วยเพราะความเป็นโทนติดครีมมี่จืดหอมปลายหวานเสริมกันได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็ยังคุมโทนอารมณ์แบบ Cologne สบายๆ ได้อยู่ โดยที่กลิ่นจะสัมผัสได้ทั้งความสดชื่น ความนุ่มนวลติดแป้ง ความหวานระเรื่อ และความเป็นโทนปร่า ทุกอย่างคือสมดุลย์ของทุกโทนที่เอามาเจอตรงกลางและเกลาจนได้กลิ่นอายกึ่งแป้งกึ่งไม้หอมครีมมี่ที่ลงตัวและมีระดับแบบไม่ต้องประโคมเยอะสิ่งได้ดีมาก

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนความสดชื่นลงมากลายเป็นโทนไม้หอมกึ่งครีมมี่กึ่งโปร่งๆ เต็มตัว ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีไม้จันทน์หอมที่ออกทางนวลๆ แกมติดหวานปลายกลิ่นที่น่าจะมาจาก Effect ของวานิลลาติดโทนแป้งหอมอบอุ่นกับโทนถั่วตองก้าที่ยังตามมาในช่วงนี้ และเนื้อกลิ่นจะมีโทนติดไม้หอมเจือหวานแกมครีมมี่เบาๆ โดยที่ปลายกลิ่นจะมีโทนหวานระเรื่ออ่อนๆ ค่อนไปทางสะอาดของพิมเสนที่สร้างความรื่นรมย์รวมอยู่ด้วย ทำให้ได้มิติความหอมที่สบายๆ ผ่อนคลาย ไม่เยอะสิ่งแต่มีระดับและมีเสน่ห์ในการใช้งานแบบ Day Time ได้ครบถ้วนและมีเสน่ห์ได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิงแต่จริงๆ Unisex แบบชัดเจน เช่นนั้นผู้ชายใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก โดยเนื้อกลิ่นจะเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึง Activity ต่างๆ แบบครอบจักรวาลได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นมีเสน่ห์และสร้างความพึงพอใจในการใช้งานได้ดีมาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบออกงานหรือทั่วๆ ไปจะดีกว่า

ความทน - แม้ว่าจะเป็น Eau de Cologne แต่ความทนแตะ 8 ชั่วโมงได้อยู่ ซึ่งกลิ่นสามารถไปต่อได้อีกหรือว่าลดลงก็ได้เพราะอิงตามประเภทผิวกายผู้ใช้น้ำหอมเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. พอดีๆ เสมอ  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาทีละหน่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงกลางก็กลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบผ่อนคลายสบายๆ มีความ Refreshing เนียนๆ แล้วพอเข้าช่วงท้ายก็เป็น Skin Scent ชัดเจน

สรุป - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่สร้างสรรค์ออกมาโดยเอาพิมเสนมาต่อยอดได้ดีและเนื้อกลิ่นนุ่มและหอมมีเสน่ห์แบบที่ไม่ว่าจะเพศไหนก็จะผ่อนคลายไปกับเนื้อกลิ่นได้สบายมาก แถมสร้างความเพลิดเพลินในการดมตลอดระยะเวลาที่น้ำหอมปล่อยของได้ดีอีกด้วย ถ้าจะมีเสียดายก็มีเรื่องเดียวนั่นก็คือ รุ่นนี้เหมือนจะไม่เห็นในท้องตลาดเท่าไหร่แล้วนี่สิ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.davidjones.com/essence-aromatique-eau-de-cologne-90ml-20274390

 

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Parfums Dusita - Le Sillage Blanc

Parfums Dusita - Le Sillage Blanc

ในช่วงที่ Parfums Dusita ได้แจ้งเกิดในการเป็นน้ำหอมสาย Niche Perfume ที่สร้าง Impact ในกับวงการน้ำหอมพอสมควรกับ 3 รุ่นแรกในปี 2016 (Oudh Infini, Issara และ Melodie de L’Amour) ในปีต่อมาการปล่อย Second Wave ออกมาอีก 2 รุ่น ก็เรียกว่าเสริมความแตกต่างและสไตล์ทางด้านกลิ่นที่หลากหลายมากขึ้นจากรุ่นเดิมที่มี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีกลิ่นที่สื่อสารถึงโทนเขียวเด่นเป็นสง่าอยู่ด้วย นั่นก็คือ Le Sillage Blanc

ซึ่งแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจะมาจากโทน Fresh Green Chypre ที่จะสื่อสารออกมาเหมือนกลิ่นเช้าวันแรกของโลกใบนี้ที่จะมีกลิ่นเขียวจ่างๆ กลิ่นน้ำต้าง และบรรยากาศที่อบอุ่นจากแสงแดดต่างๆ รวมถึงเอาความเป็นกลิ่นอายสาย Classic ที่เด่นกับโทนเขียวและความเป็นหนังของรุ่น Bandit ของแบรนด์ Robert Piguet มาขยายต่อในการสร้างสรรค์เพื่อให้ได้อัตลักษณ์ตาม Concept ในการสร้างสรรค์กลิ่นเข้ามาร่วมด้วย เช่นนั้น ไม่ท้าวความอะไรมาก เข้าเรื่องกลิ่นกันเลยดีกว่า

Le Sillage Blanc เปิดต้นกลิ่นมาความเขียวเข้มๆ Intense ของยางไม้ Galbanum ก็พุ่งมาก่อนเลย กลิ่นจะมีความคมระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้บาดหรือแทงทะลุจมูกขนาดนั้น แต่จะให้ความเป็นโทนเขียวขมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว โดยที่ไม่ได้มาสายทึบจมูกเกินไป รวมถึงมีตัวเสริมที่ดีเข้าไปอีกในการสร้างโทนเขียวเข้มๆ จากโกฐจุฬาลัมพาหรือ Artemisia ที่ให้ความเขียวขมสมุนไพรที่ชัดเจนร่วมด้วย รวมถึงจะมีอารมณ์แบบเขียวติดกลิ่นหมึกหน่อยๆ ให้จับต้องได้แฝงอยู่ตลอด แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้โหดกับเราหรือยัดความเข้มขนาดนั้น เพราะจะมีความเป็นโทนออกทางกึ่งสบู่ติดเขียวแกมนวลหวานเจือเปรี้ยวสะอาดหน่อยๆ ของดอกส้มเลยมีลูกเอื้อนเปรี้ยวแกมนวลติดหวานปลายกลิ่น และมีโทนติดเขียวปร่าขมบรรยากาศชื้นๆ เนียนๆ รายล้อมซึ่งน่าจะมาจาก Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) เลยทำให้ช่วงต้น คนที่ชอบโทนเขียวขมเข้มๆ จะฟินมากกับความชัดเจนที่ไม่ได้หนักหน่วงจนเหมือนโดนยัดเยียด แต่ให้อะโรม่าความเขียวได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก

ในช่วงกลางสิ่งที่ค่อยๆ เด่นออกมาเลยต้องยกให้กลิ่นหนังที่จะมาแบบไม่ได้ดิบห่ามเกินไป แต่มีความเข้มที่กำลังดีสอดรับกับกลิ่นเขียวต่างๆ ที่ตามมาจากตอนต้น ทำให้ช่วงนี้คือการเจอกันที่ลงตัวระหว่างความเข้มที่สมดุลย์ของทั้งหนังและสายเขียวที่แน่นอนว่าโกฐจุฬาลัมพาก็ยังให้ความเขียวขมสมุนไพรเข้มๆ และ Galbanum ก็ยังให้ความเขียวที่ลดความชุ่มชื้นลงจากช่วงต้นมาเป็นเขียวเข้มกำลังดี แต่เนื้อกลิ่นมีแค่นี้ก็จะทื่อเกินไป เลยมีมิติของกลิ่นที่ให้ความเขียวโปร่งติดหวานหน่อยๆ ของใบยาสูบเข้ามาเสริมให้มีความอะโรม่า พ่วงรวมกับกลิ่นดอกส้มที่ยังตามมาในช่วงนี้ เลยทำให้เนื้อกลิ่นแฝงความผ่อนคลายเนียนๆ แม้ว่าจะมีความเข้มของหนังและโทนเขียวชัดอยู่ก็ตาม 

การเข้าสู่ช่วงท้าย เนื้อกลิ่นที่เข้มต่างๆ จะเริ่มลดบทบาทลงมาในระดับหนึ่งจนกลายเป็นสายสนับสนุนที่ยังคงได้ทั้งความเป็นหนังและความเขียวขมอยู่ แต่โทนกลิ่นเขียวเข้มที่ค่อนไปทางหมึกที่ได้ความรู้สึกกลิ่นแนวนี้ในช่วงต้นจะเริ่มกลับมาอีกครั้งให้จับต้องได้ชัดเจน และรู้เลยว่าเป็น Oak Moss ที่จะเป็นผู้เดินกลิ่นหลักในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงเพราะมีกลิ่นที่เป็นลูกครึ่งระหว่าง Musk และผักเขียวๆ อย่าง Ambrette ที่เป็นโทน Musk ติดเขียวจากพืช ที่มาเกลาให้กลิ่นมีความเป็นบรรยากาศเขียวอ่อนๆ สบายๆ และมีโทนออกทาง Earthy แกมปร่าระเรื่อหวานของพิมเสนคลอๆ อยู่ตลอด เลยสร้างความรื่นรมย์กำลังดีเข้ามาร่วมด้วย ภาพรวมของกลิ่นเลยจะไล่โทนที่จับต้องได้จากปร่าระเรื่อสบายๆ สู่เขียวอ่อนๆ แกมนวล และติดผิวด้วยเขียวเข้ม Oak Moss ที่มีความเป็นหนังและกลิ่นเขียวสมุนไพรเบาๆ ผสมผสานอยู่ ถือเป็นการปิดท้ายที่วางสมดุลย์ทางกลิ่นได้มีเอกลักษณ์และงดงามเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้ชายมากซักหน่อย เพราะกลิ่นมีความหนักแน่นแกมแมนๆ แฝงอยู่ให้รู้สึกได้ในหลายๆ ช่วง แต่ถ้าไม่มายด์ ผู้หญิงที่ชอบโทนเขียวเข้มๆ ก็จัดได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งแบบทางการ (แบบที่ใส่แบบเหมาะสม) หรือทั่วๆ ไป รวมถึงการใส่ออกกิจกรรมเบาๆ เรื่อยๆ กลางแจ้งที่ไม่ได้ลุยๆ ก็จัดได้ แต่ถ้าออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานหรือว่าทั่วไปจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนอวลเซ็กซี่แต่อย่างใด

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และสามารถไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้งานด้วยส่วนหนึ่ง แต่ในหลายๆ ครั้งถ้าอากาศเป็นใจไม่ร้อนจนเหงื่อท่วมเกินไป ก็สามารถไปต่อได้ถึง 12 ชม. ก็มีเหมือนกัน

การกระจาย - เปิดตัวมาก็กระจายดีมากเลย แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเรื่อยๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 6 ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ทั้งหมดในแต่ละช่วงมีความเป็นลูกผสมที่เป็นโทนร่วมสมัยอย่างมาก เพราะมีความเป็นกลิ่นอายแบบ Intense Green กับหนัง ที่มีความ Classic แบบสไตล์น้ำหอมย้อนยุค + กับความอะโรม่าที่เป็นเอกลักษณ์ของน้ำหอมสาย Modern ที่เน้นความเป็นธรรมชาติและให้ความผ่อนคลายร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการเชื่อมต่อโทนกลิ่นที่มีมีเสน่ห์ไล่เรียงความหอมที่ครอบคลุมการใช้งานสไตล์ Timeless ที่มีระดับ และที่สำคัญ Unique ไม่เหมือนใครในการสร้างอัตลักษณ์ทางกลิ่นที่มีเสน่ห์ในโทนเขียวเข้มแกมหนังได้มีชั้นเชิงมาก  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.rafinadparfumerie.com/product-page/le-sillage-blanc-dusita

 

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Marlou - Carnicure / L’Animal Sauvage

Marlou - Carnicure / L’Animal Sauvage

Marlou เป็นแบรนด์น้ำหอมสัญชาติฝรั่งเศสเปิดตัวออกมาในปี 2016 กับการนำเสนอกลิ่นอายตามธรรมชาติที่มาจากร่างกายคนและโทนกลิ่นที่เป็น Core Concept หลักของแบรนด์อย่างโทน Animalic ซึ่งถือว่าเป็นที่มาที่ไปที่น่าสนใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมไม่น้อย แต่คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าเนื้อกลิ่นจะต้องมาสายมินิมัลแน่นอน เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับกลิ่นที่สื่อสารถึงร่างกายมนุษย์นั้น ค่อนข้างจะชี้ตรงมาสไตล์แบบนี้อยู่แล้ว 

ซึ่งในการเปิดตัวครั้งแรก แบรนด์ก็สื่อสารกับความเป็น Animalic มาเรียกเรตติ้งกันก่อนเลย กับรุ่น L’Animal Sauvage ที่สื่อถึงคำว่า “สัตว์ป่า”  โดยวางจำหน่ายที่ขนาด 30 ml ก่อน ซึ่งส่วนตัวเมื่อเห็นชื่อและรู้ความหมายครั้งแรก ก็คิดว่าจะต้องดุดันและมีความสตรองเป็นแน่แท้ พอผ่านมาไม่เท่าไหร่ เมื่อแบรนด์เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะจุดขายมีความชัดเจน การเปลี่ยนแปลงทางด้าน Package และรุ่นน้ำหอมที่มีเพิ่มขึ้นมา ชื่อรุุ่นจึงได้เปลี่ยนให้มีความเก๋มากขึ้นจนกลายเป็น Carnicure ในที่สุด (เอาจริงๆ ความหมายก็ไม่ได้จะต่างกันมาก แค่ชื่อมีความเก๋มากขึ้นเพราะเป็นภาษาสเปน) เช่นนั้น เมื่อความอยากรู้อยากเห็นได้ที่ ก็จัดเอามาลองซะเลยดูกันซักหน่อยว่า ความสาบปลุกเร้า Animalic ของรุ่นนี้จะสร้างความเป็นสัตว์ป่าได้มากขนาดไหน

เปิดตัวมาแรกสเปรย์ เอ๊ะ! สัมผัสได้ถึงความสดชื่นแกมสะอาดกึ่งเปรี้ยวอมหวานนวลหน่อยๆ ที่ให้ความรู้สึกคล้ายกลิ่นของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) อ่อนๆ + ดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) เลยทำให้ได้ความรู้สึกแบบบรรยากาศที่มีความสดชื่นวูบขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นที่แอบโปร่งแกมหวานคล้ายจะเป็นโทนไวโอเล็ตที่ซ้อนอยู่ แต่เพียงไม่ถึง 5 วินาที กลิ่นโทน Animalic ที่เป็นโทนติดสาบเร้าติดตุ่ยๆ ที่เป็นสาย Animalic Musk ที่ดันขึ้นมาให้จับต้องได้แบบว่านี่คือแกนหลักของกลิ่น พร้อมกับกลิ่นที่ให้อารมณ์กึ่งขนสัตว์ที่ติดสาบแปร่งแกมกลิ่นยูรีนที่ออกทางคล้ายปัสสาวะแกมน้ำลายที่วูบขึ้นมาด้วย เลยทำให้แบบว่า เอออออ Animalic จริงๆ แต่ยังถือเป็นเรื่องดีที่กลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังจัดจ้านหนักหน่วงจนทำให้เหมือนเราเป็นสัตว์ป่าประเภทหนึ่งแบบจริงจังไปเสียก่อน

สิ่งที่บอกได้อย่างหนึ่งเลยก็คือ เพราะความเป็นน้ำหอมแนว Niche & Art Perfume กลิ่นเปิดอาจจะไม่ได้สร้างความรู้สึกที่ประทับใจเท่าไหร่ แบบที่หลายๆ แบรนด์สายนี้เขาก็ทำกันมา ซึ่งถ้าเรารอซักหน่อย เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเซทตัวและเข้าสู่ช่วงกลาง โทน Animalic ในช่วงแรกจะเริ่มเบาลงมาก กลิ่นแปร่งๆ แบบขนสัตส์กึ่งยูรีนแกมน้ำลายจะเบาลงมา โดยที่ยังคงมีความเป็น Musk ที่เด่นอยู่ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะเข้าโทนแป้งนวลนุ่มแกมหวานเล็กๆ มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะมีโทนแป้งของไวโอเล็ตมาเสริม พร้อมกับกลิ่นไม้หอมครีมมี่หน่อยๆ ที่เป็นลักษณะของไม้จันทน์หอมที่เป็นตัวเสริมสร้าง Effect ครีมมี่ติดไม้หน่อยๆ มากกว่าจะมา Take Over แต่สิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งเลย คือ ในการเป็นโทนแป้งแกม Musk ที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่พอกลิ่น Animalic ในช่วงต้นที่ยังตามมาในช่วงนี้ แม้จะเบาลงไป แต่ก็สร้างความรู้สึกปลุกเร้าเย้ายวนแฝงได้ดีมากทำให้ปลายกลิ่นจะแอบมีความ Dirty หน่อยๆ ได้อย่างน่าสนใจและสะกิดจมูกให้รับรู้ได้ไม่ยาก เรียกว่าเป็นความเรียบง่ายที่มีกิมมิคแฝงอย่างสมดุลย์เลยก็ว่าได้และทำได้ดีเสียด้วย

แน่นอนเลยว่าเมื่อ Musk กลายเป็นกลิ่นเด่น ในช่วงท้ายก็จะยังคงเดิมและยืนหนึ่งเสียด้วย แถมมีเพื่อนที่เสริมโทนแป้งอบอุ่นยอย่างวานิลลาเข้ามาทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลมากขึ้นอีกสเต็ป เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะก็ยังมีความ Dirty เนียนๆ ที่เย้าลึกแฝงอยู่ ซึ่งจะเป็นกลิ่นออกทางหนังและ Civet หรือชะมดเช็ด แต่จะไม่ได้เด่นจนกลบความนุ่มนวลของ Musk เน้นให้ความรู้สึกเย้าและห่ามแบบมีเสน่ห์ในเนื้อกลิ่นแทน นอกจากนี้ไม้จันทน์หอมก็ยังสร้างความครีมมี่เบาๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนสว่างกับ Musk เข้าไปอีก ซึ่งพอเรียบเรียงโทนกลิ่นเลยรู้ได้เลยว่าชั้นแรกจะเป็นกลิ่นปร่าระเรื่ออื่นๆ ของพิมเสนแกมไม้จันทน์หอมครีมมี่นวลๆ ที่มีโทนสว่าง แกนกลางเป็น Musk ที่มีความนุ่มนวลสะอาดแกมแป้งอบอุ่น และปิดท้ายด้วยความลึกแฝงเซ็กซี่เย้าน่าซุกของโทน Animalic ที่ทั้งหมดผสานรวมกันเป็นโทนมินิมัลที่ดูเหมือนเรียบง่ายแต่มีความน่าซุกและดึงดูดแบบผิวกายมนุษย์ที่มีมิติทางกลิ่นที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติ ถือเป็นการปิดท้ายได้อย่างเหมาะเจาะมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ไม่ว่าจะเพศไหนก็จัดได้สบายมาก เพราะเป็นกลิ่นสายมินิมัลที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่มีเสน่ห์ดึงดูด ซึ่งอย่างน้อยถ้าผ่านช่วงต้นไปได้ที่เหลือคือเสน่ห์เต็มๆ เลยเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ครอบจักรวาลการใช้งานทั้งหมดเลยก็ยังได้ แต่ให้งดการฉีดใส่เสื้อผ้านที่สวม เพราะกลิ่นโทนช่วงต้นจะติดยาวจนอาจจะทำให้ดูเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์เอาได้ และรวมไปถึงนามค่ำคืนด้วยที่เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ เพียงแต่จะไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปปล่อยเสน่ห์ท่องราตรีที่ไหนนัก เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังจัดจ้านเท่าไหร่

ความทน - อันนี้ต้องยอมเขาเลย กลิ่นทนมากแบบที่ใช้กี่ทีก็แตะ 15 ชม. ได้สบายๆ เสมอ เช่นนั้นยังไงก็แตะที่ 8 ชม. ได้สบายๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดีในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 3 ชม. ก่อนที่จะงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 10 แล้วจะผ่อนลงเป็น Skin Scent ในที่สุด

สรุป - เป็นการสร้างสรรค์กลิ่นที่เอาข้อดีของ Serge Lutens - Musc Koublai Khan มาเจอกับ Kiehl’s - Original Musk ได้ตรงกลางพอดี และสร้างสรรค์ออกมาได้มีเสน่ห์ในการเป็นโทน Musky สายนุ่มชวนซุกได้อย่างพอเหมาะมาก โดยอิงกลิ่นผิวกายคนที่มีมิติต่างๆ ได้อย่างพอดิบพอดี ไม่เแปลกใจเลยที่กลิ่นนี้เป็นตัวสร้างชื่อในแบรนด์นี้และยังคงเป็นตัวหลักมาเสมอ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.marlou.paris/product-page/carnicure?lang=en

 

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Houbigant - Cologne Intense

Houbigant - Cologne Intense

จาก Fougere Royale ที่สร้างความเป็นตำนานมาอย่างยาวนานแบบที่ไม่มีใครโค่นลงได้ในการเป็นหนึ่งในน้ำหอมชายที่เหนือกาลเวลามาเสมอ และอยู่ต่อไปแน่ๆ ไม่ต้องห่วง เพราะกลิ่นมีความร่วมสมัยตลอดเว และถึงแม้จะมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมาบ้างอย่าง Duc de Vervins เป็นต้น แต่ความเป็น Fougere Royale ยังเป็นตัว Top มาอยู่เสมอ

เช่นนั้น การสร้างความหลากหลายให้น้ำหอมชายหลังจากที่มีการปรับปรุงตัว Fougere Royale ใหม่เป็นรุ่น 2010 ที่ก็ยังคงความดีงามอยู่เช่นเดิม (อาจจะไม่ได้เป๊ะ! เท่ารุ่น Vintage ต่างๆ) Houbigant จึงได้มีการต่อยอดในการสร้างกลิ่นอายผู้ชายสไตล์ Cologne ในปี 2015 แบบเอาความ Vintage มาต่อยอดให้มีความร่วมสมัยตีคู่ไปกับรุ่น Top ของแบรนด์ไปด้วย และผลที่ออกมาก็คือกลิ่น Cologne Intense ที่เป็น EDP ซึ่งกลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหนนั้น บอกเลยว่า

ไม่ใช่สไตล์ Cologne สดชื่นสบายๆ สุภาพบุรุษแบบที่คิดๆ กันแน่นอน” เพราะ  

ช่วงเปิด - โทนกลิ่นแม้จะเป็นโทน Citrus วูบมาแบบเปรี้ยวติดขมนิดๆ มีความเป็นสไตล์ Cologne แต่จะมีพื้นฐานความเป็นโทนเครื่องเทศกลั้วสมุนไพรที่ให้อารมณ์ติด Dirty โดยกลิ่นยี่หร่าที่ให้ความรู้สึกแบบกลิ่นตุ่ยๆ ติดเหงื่อโดยมีความเขียวของกิ่งก้านส้มที่จะมี Effect ให้โทนคล้ายกลิ่นยางนิดๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความมาดแมนมาตั้งแต่เริ่มแบบกึ่ง Dirty กึ่งสดชื่น ซึ่งจะมีลูกเสริมต่างๆ เข้ามาประปรายไม่ว่าจะเป็นโทนสมุนไพรของแทรากอนที่ให้โทนกลิ่นปร่าติดหวานปลายเล็กๆ มีความเป็นลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาสายแป้ง แต่มาสายสมุนไพรติดตุ่นเขียวหน่อยๆ และมีความเขียวติดเปรี้ยวซ่าแกมนวลประปรายของดอกส้ม แต่ทั้งหมดก็ยังต้องยกให้โทนกลิ่นติดตุ่ยเขียวแกม Dirty และที่สำคัญช่วงเปิดมาแนวเดียวกับ Eau d’Hermes เลย เพียงแต่ไม่ได้มีกลิ่นหนัง Animalic ก็เท่านั้นเอง ซึ่งแน่นอนนี่มันโทน Classic ชัดเจนมาก เพียงแต่กลิ่นมีความเนี้ยบในความ Dirty ได้ดีมากๆ ด้วยเช่นกัน

ช่วงกลาง - กลิ่นจะไม่ได้ลดทอนความเป็นโทน Dirty ลงมามากนักเพราะว่ากลิ่นของมะลิที่ให้ความเป็นโทนตุ่ยๆ Indolic นี่แหละที่ยังเสริมให้ความเป็นโทนห่ามๆ ยังคงอยู่ เพียงแต่จะมีความนุ่มนวลลงมาหน่อย เพราะมีกลิ่นชามาเตที่ให้ความเป็นสมุนไพรเขียวอวลเล็กๆ และที่สำคัญมีโทนออกทางยางไม้ติดปร่าหน่อยๆ ของ Frankincense เข้ามาทำให้กลิ่นมีความหนาอยู่ในระดับที่กำลังดี สร้างความน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วย โดยที่ยังยืนพื้นอยู่เช่นเดิมกับความเป็นโทน Citrus Herbal ที่ขนมาหมดทั้งความมีความ Dirty แบบสไตล์ค่อนไปทาง Classic เป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น

ช่วงท้าย - กลิ่นโทน Incense ยังคงอยู่ แต่จะมีโทนออกทาง Oak Moss เข้ามาแบบอ่อนๆ ให้ความเขียวเข้มติดดาร์ก Earthy หน่อยๆ เคล้ากับ Musk ที่เริ่มจะเป็นตัวหลักในการทำให้กลิ่นมีความสะอาดนวล ความ Dirty ต่างๆ จะเริ่มลดน้อยถอยลงไป เหลือแต่เพียงปลายกลิ่นหน่อยๆ ที่ให้โทน Sexy เนียนๆ นอกจากนี้เนื้อกลิ่นยังมีความอบอุ่นเข้ามาร่วมด้วยซึ่งน่าจะมาจากโทนแนวๆ แอมเบอร์เลยทำให้ช่วงท้ายเป็นกลิ่นแนวผู้ชายแลลสุภาพบุรุษสไตล์ร่วมสมัยที่มีความ Classic เด่นมาก่อนและตามด้วยการแตะความเป็น Modern หน่อยๆ ในพื้นฐานกลิ่นที่มีความนวลสะอาดแบบสุภาพบุรุษยุคปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างสรรค์กลิ่นแบบที่ยังมีขนบเดิมเพิ่มเติมหรือลดทอนให้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นโดยไม่ดูย้อนยุคนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนแนว Contemporary Classic ที่เน้นความเป็น Cologne ที่มีความห่ามเนียนๆ แกมน่าค้นหาในความเป็นสุภาพบุรุษ เลยจะเข้ากับผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป หรือมีอายุ 28 ขึ้นไป ที่อย่างน้อยผ่านทั้งกลิ่นแนวปัจจุบันมาแล้ว และก็เข้าถึงโทน Classic มาบ้างแล้ว ซึ่งเข้ากับได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้ง แต่เพราะกลิ่นเปิดมันค่อนข้าง Dirty ในระดับหนึ่ง รอผ่านช่วงนี้ไปก่อนที่จะเจอผู้คนอาจจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าชิลล์ๆ ทั่วไปจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังเรียกแขกแบบสายอวลแน่นจัดจ้าน 

ความทน - กลิ่นทนกำลังดีที่พื้นฐานราวๆ 8 ชม. เป็นหลัก แต่สามารถไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเรื่อยๆ ตามลำดับ จนเมื่อผ่านไปแล้วประมาณ 4 ชม. ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วติดผิวเต็มตัวเมื่อครบ 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - เนื้อกลิ่นไม่ใช่เทรนด์พิมพ์นิยมแน่นอน และอาจจะไม่ได้เปิดมาแล้วสว่างสไว Citrus เพื่อโลกใบนี้ แต่มาแบบสไตล์ Dirty Classic ที่เนื้อกลิ่นวางสมดุลย์มาแล้วว่าจะให้กลิ่นแนวนี้เป็นแกนนำที่ทำให้แตกต่างจากน้ำหอมในยุค 2010 - 2020 ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ยังคงขนบได้ดี มีเสน่ห์ในสไตล์ของตัวเอง โดยอยู่กับความร่วมสมัยได้แบบไม่เคอะเขิน ที่สำคัญใครชอบ Eau d’Hermes แต่กลัวกลิ่นหนัง หันมามองที่กลิ่นนี้ได้เลยตอบโจทย์ได้ไม่ยาก 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.houbigant-parfum.com/products/cologne-intense-eau-de-parfum

 

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Jo Malone - Poppy & Barley

Jo Malone - Poppy & Barley

การออก Limited Collection ในแต่ละปีของ Jo Malone โดยอิงตาม Concept ต่างๆ แบบมากันเป็นหมู่คณะ เปรียบเสมือนเป็นใบเบิกทางชั้นดีมาเสมอในการดูว่ากลิ่นไหนใน Collection นั้นๆ จะได้รับความนิยมและสามารถนำมาต่อยอดอยู่การเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Collection หลักของแบรนด์ในระยะยาวได้ ซึ่งก็มีการได้รับการอวยยศกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอย่างน้อยก็ 1 รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดใน Collection นั้นๆ ก็จะได้รับการอัพเกรด หรืออาจจะไม่มีก็ได้

และในปี 2018 กับการออก Limited Collection อย่าง English Fields ของ Jo Malone ที่บางจำหน่ายรวมกันเป็นแกงค์ 5 รุ่น ก็มีหนึ่งในนั้นที่เรียกว่าเป็นดาวเด่นสุดๆ แบบที่ยังไงก็ไม่น่าพลาดที่จะได้รับการดันขึ้นมาเป็นหนึ่งในกลิ่นหลักที่วางจำหน่ายระยะยาว ซึ่งนั่นก็คือ Poppy & Barley เช่นนั้นกลิ่นนี้มีดีอย่างไร ถอดกลิ่นแล้วได้เรื่องแบบนี้เลย

เปิดต้นมาก็จะมีกลิ่นติดทึบหวานกึ่งผลไม้ที่มีมิติได้น่าสนใจมากถึง 3 โทนที่มาผสมผสานกัน อย่างแรกก่อนเลยคือ มะเดื่อฝรั่ง (Fig) ที่จะให้ความขมทึบเจือหวาน โดยมีกลิ่นติดเขียวกึ่งเปรี้ยวหอมอ่อนๆ ที่น่าจะมาจากใบแบล็คเคอร์แรนท์หรือ Cassis ที่จะมีความเขียวติดเปรี้ยวและมีกลิ่นค่อนไปทางผลไม้เล็กๆ และเขียวโปร่งแกมหวานของใบไวโอเล็ตที่ให้โทนออกทางแป้งโปร่งๆ เข้ามาร่วมด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนติดทึบแต่มีลูกเล่นความหวานที่ค่อนไปทางโปร่ง ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างเนื้อกลิ่นช่วงต้นมีความเป็น Cologne สไตล์แป้งติดทึบมีความหวานซ่อนเขียวเรียบหรูมีเสน่ห์ โดยสามารเรียกเรตติ้งได้เลยในแรกดม ซึงต้องยอมให้เขาเพราะแบรนด์ทำกลิ่น Top Note ได้ดีมากมาเสมอ

ในการเข้าสู่ช่วงกลางตอนนี้ต้อยกให้โทนแป้งเลยที่จะเด่นขึ้นมาชัดเจนมาก เพราะไวโอเล็ตเป็นตัวชงที่ดี เสริมเข้ากับโทนแป้งค่อนไปทางแป้งฝุ่นในเนื้อกลิ่นโดยมีความหวานหอมดอกไม้และมีติดเขียวซึ่งเป็นลักษณะของดอก Poppy ที่จะมีลูกผสมกึ่งแป้งกึ่งเขียวและออกทางถั่วหน่อยๆ รองพื้น ซึ่งเป็นลักษณะของข้าวสาลีมารวมอยู่ด้วย กลิ่นเลยได้อารมณ์แป้งหอมโปร่งหวานที่มีมิติโทนทึบรองพื้น และ On Top ด้วยความโปร่งหวาน แน่นอนว่ากลิ่นโทนผลไม้ในช่วงต้นยังตามมาทั้งหมดด้วย เลยทำให้ได้อารมณ์แป้งหอมที่มีกลิ่นติดหวานโปร่งดอกไม้กึ่งผลไม้ที่กำลังดี และเมื่อดมใกล้ผิวจะเริ่มรู้สึกได้ด้วยว่ามีโทนไม้หอมครีมมี่รองพื้นอยู่เนียนๆ ซึ่งช่วงนี้ถือว่าทำเลเยอร์กลิ่นได้ดีคุมโทนการเป็นสไตล์แป้งหอมเรื่อๆ ที่มีพื้นฐานกลิ่นในการเป็น Cologne ที่ลงตัวมากจริงๆ   

การเชื่อมโยงไปยังช่วงท้าย กลิ่นข้าวสาลีกับแป้งหอมจะไปจับกับกลิ่นธัญพืชอย่างข้าวบาร์เลย์ที่มีอารมณ์แบบซีเรียลกึ่งข้าวโพด และมีกลิ่นคล้ายๆ แป้งขนมปังที่ติดหวานรวมอยู่ด้วย รวมกันเป็นกลิ่นอายแบบธัญพืชที่ติดแป้งหอมดอกไม้อ่อนๆ ตามด้วยกลิ่นไม้หอมที่ติดครีมมี่จืดหอมที่ค่อนข้างชัดมากขึ้นจนคาดเดาได้ว่าน่าจะมีกลิ่นที่ให้โทนแบบไม้จันทน์หอมและ White Musk ที่ให้ความนุ่มสะอาดติดหวานเรื่อๆ กึ่งผลไม้ ซึ่งทำให้ช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะมีความผ่อนคลายและให้ความรื่นรมย์แบบลูกผสมทั้งความเป็นแป้ง ธัญพืช ไม้หอม และ Musk โดยมีความหวานระเรื่ออ่อนๆ สร้างความเพลิดเพลินในการดมกันยาวๆ โดยไม่ทิ้งความเรียบหรูในสไตล์มินิมัลที่คุมโทน Cologne ได้ดีเสมอต้นเสมอปลายได้ดีแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อยราวๆ 70% แต่ก็ไม่ได้สาวจ๋าจนเด่นอะไรขนาดนั้น เลยทำให้ผู้ชายใช้ได้สบายมากๆ ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้เว้นการใส่เพื่อออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนทึบอยู่ ถ้าตีขึ้นมทากๆ อาจจะอึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานหรือชิลล์ๆ ได้สบายมาก และใส่แบบยามโรแมนติคก็เข้าทีมากๆ ด้วยเช่นกัน

ความทน - ต้องบอกเลยว่านี่เป็น 1 ใน กลิ่นของ Jo Malone ที่ทนมากเกินคาด เพราะสิ่งที่เจอคือ 12 ชม. กลิ่นยังอยู่ เช่นนั้นถ้ามองที่ค่ากลาง อย่างน้อยก็แตะ 8 ชม. ได้สบายๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีและสร้างความประบทับได้เลยในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางค่อนข้างเสถียรราวๆ 2 - 3 ชม. ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 8 ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ยังตีขึ้นเวลาร่างกายขยับเนื้อตัว

สรุป - ไม่แปลกใจที่ได้รับความนิยมสูงมาก และเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ใส่แล้วได้คำชมแบบถ้วนหน้าจริงๆ เพราะให้กลิ่นหอมโปร่งหวานติดแป้งที่มีมิติลูกเล่นซ่อนอยู่ในความเป็นมินิมัล แบบที่ยังไงก็ผ่อนคลายและรื่นรมย์ เรียกว่าไม่ต้องเดาให้มากความว่านอกจากได้รับการอวยยศให้เป็นหนึ่งใน Line ปกติที่จะอยู่ยาวๆ แล้ว กลิ่นนี้ก็จะกลายเป็นกลิ่นยอดนิยมกันยาวๆ ในอนาคตด้วยเช่นกัน 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sephora.com/product/poppy-barley-cologne-P448108

 

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Monsillage - Pays Dogon

Monsillage - Pays Dogon

Pays Dogon หรือจะเรียกว่า Dogon Country ก็ได้ เป็นหนึ่งในพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศมาลีที่มีชนเผ่า Dogon ที่เชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจากอียิปต์โบราณ อาศัยอยู่ในแถบนั้น ซึ่งมีวัฒนธรรมและประเพณีเป็นของตนเอง รวมถึงการแต่งกายที่จะมีหน้ากากสวมไว้เวลามีเทศกาลอะไรต่างๆ ซึ่งชาว Dogon เองถือเป็นผู้รับสืบทอดความรู้ทางด้านจักรวาลวิทยาและดาราศาสตร์มาตั้งแต่สมัยโบราณ

แล้วที่เกริ่นมาเนี่ย เกี่ยวอะไรกับน้ำหอม?

เกี่ยวเต็มๆ ตรงที่ทุกอย่างในการเป็นบรรยากาศของ Pays Dogon นั้นได้ถูกจับลงมาสู่ขวดกับการสร้างสรรค์ทางกลิ่นจากแบรนด์ Niche Perfume จากแคนาดาที่ค่อนไปทาง Indie Perfume อย่าง Monsillage โดยมีแรงบันดาลใจในการไปท่องเที่ยวที่มาลีและเข้าไปสู่ในพื้นที่ที่ชาว Dogon อาศัยอยู่ ทั้งสภาพแวดล้อม วิธีชีวิต ความเป็นธรรมชาติในแบบแถบแอฟริกา เลยถูกจับขมวดรวมเข้ามาเพื่อเป็นหนึ่งในความทรงจำที่จะมีกลิ่นเป็นตัวสื่อสาร และที่สำคัญกลิ่นนี้เป็นหนึ่งเดียวที่ได้รางวัล The Art & Olfaction Awards ประจำปี 2018 ในฝั่งของ After Award for Handmade Perfume เสียด้วย เช่นนั้น เมื่อมีการันตีดีขนาดนี้ ก็ต้องจัดมาลองให้รู้ ซึ่งผลที่ได้จากการใช้งานจะเป็นอย่างไรว่ากันตามนี้เลย

แก่นหลักของกลิ่นจะอยู่ที่หญ้าแฝกที่เป็นตัวเด่นสำคัญในการอยู่ตั้งแต่ต้นสู่ท้ายอย่างชัดเจน โดยจะให้อารมณ์แบบไม้แห้งๆ แกม Earthy ดินนิดๆ โดยไม่มีความ Smoky จัดจ้านหรือดาร์กดำดิ่งมาแย่งซีนแต่อย่างใด โดยกลิ่นเปิดจะให้อารมณ์ปร่าติดเขียวที่มีความเป็นกลิ่นแบบพืชผักชื้นๆ ที่วูบขึ้นมาแบบตีคู่กับกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ที่มีความปร่าแกมเผ็ดเจือฝาดที่มาในสาย Spicy แกมกลิ่นกุหลาบปลายกลิ่นซึ่งน่าจะเป็นพริกไทยสีชมพู และขิงที่ให้ความปร่าฟุ้งหวานเผ็ดแกมสดชื่น แบบที่มีความ Contrast กันก็จริง แต่ดันสื่อสารได้ดีถึงกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่ออกแนวเหมือนอยู่ในจุดที่มีพืชผักและเครื่องเทศท่ามกลางบรรยากาศแห้งๆ อารมณ์จะตลาดก็ย่อมได้ หรือจะเป็นจุดพื้นที่สีเขียวที่มีอากาศแห้งๆ รอบๆ พร้อมกลิ่นปร่าของสภาพอากาศแห้งๆ ก็สามารถ เรียกว่าช่วงเปิดคนที่ชอบกลิ่นอายโทน Woody Spicy จะรู้สึก Happy ได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นมีความสมดุลย์และสร้างบรรยากาศที่มีเสน่ห์ได้เลย และที่สำคัญได้ความรู้สึกเปิดตัวที่ให้อารมณ์แบบบรรยากาศที่ควรจะเป็นในสไตล์แบบแอฟริกาอีกด้วย

การผันตัวเข้าช่วงกลางแน่นอนว่าโทนไม้หอมแกมเครื่องเทศเผ็ดปร่าจะยังคุมโทนความเป็น Woody Spicy เช่นเดิม เพิ่มเติมคือมีความลดทอนความเข้มข้นชัดๆ จากตอนแรกลงมาหน่อยเลยให้ความสมูธติดปร่ารื่นจมูกมากขึ้น เพราะตัวเสริมอย่างโทน Spicy ของพริกไทยจะมาให้ความเผ็ดนวลอวลในเนื้อกลิ่นชัดเจนและดันให้กลิ่นไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝกมีความชัดเจนอยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามานั่นคือกลิ่นอายติด Smoky เนียนๆ ที่นุ่มๆ ที่เข้ามาทำให้หญ้าแฝกมีมิติทางกลิ่นที่ครบมากขึ้นด้วย แต่มิติของกลิ่นไม่ได้มีแค่ความโดดเด่นที่โทนไม้หอมและเครื่องเทศโทนโปร่ง แต่ยังมีกลิ่นที่ติดออกทางดอกไม้อ่อนๆ จืดแกมหวานเบาๆ และมีความเขียวหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งน่าจะเป็นดอกชบาและกลิ่นติดผักหน่อยๆ ที่อยู่ในช่วงต้นที่เข้ามาเสริมด้วย เลยได้ความหวานแกมนวลเขียวปลายกลิ่นเบาๆ ที่มีเสน่ห์เคล้าคลอจมูกตลอด ซึ่งภาพรวมเนื้อกลิ่นจะให้พลังแบบแห้งๆ มีความปลอดโปร่งและมีเสน่ห์แบบไม่ต้องมีโทนอุ่นร้อนมาจากไหน ก็สร้างออร่าความเป็นโทนแห้งของบรรยากาศเคล้ากลิ่นไม้หอมได้ดีจริงๆ

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้าย ความเป็นไม้หอมจะไม่ได้จบแค่นี้เพราะจะเริ่มมีพลังมากขึ้นตามลำดับจนได้กลิ่นไม้หอมที่มีมิติหลากหลายพอสมควร และจะเริ่มมีกลิ่นออกทางคล้ายหิน หรือทราย หรือแนวๆ แร่ธาตุเข้ามาเสริมทีละหน่อยด้วย ซึ่งเมื่อทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัวก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เป็นกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ติดปร่าระเรื่อและจะมีมิติไม้หอมหลากหลายรวมกันเริ่มจากหญ้าแฝกที่ให้ความเป็นไม้หอมแห้งๆ มีความดินๆ สะอาดๆ ค่อนไปทางไม้ซีดาร์ ไม้ Guaiac ที่ให้อารมณ์ Smoky ติดหนังที่โดนเกลาจนนุ่มกำลังดี ไม้จันทน์หอมที่ให้ความครีมมี่นวลๆ รองพื้นกลิ่น โดยมีตัวเสริมสำคัญอย่างตัว Cypriol (คล้ายๆ หัวแห้วหมู) ที่ให้อารมณ์กึ่งอับไม้กึ่งดินแห้งๆ ที่มาเสริมความเป็นโทนไม้กึ่ง Spicy อวลๆ ให้กลิ่นมีพลังมากขึ้น โดยที่จะมีกลิ่นออกทางแร่ธาตุหินทรายประปรายแฝงอยู่ในเนื้อกลิ่นให้รู้สึกถึงสภาพบรรยากาศ แต่สิ่งที่สร้างเสน่ห์ให้กลิ่นชัดเจนมากที่ทำให้เนื้อกลิ่นไม่ได้ทื่อๆ อยู่แค่ความเป็นไม้หอมอย่างเดียวต้องยกให้พิมเสนเลย ที่ให้ความปร่าระเรื่ออยู่ตลอดเวลาในช่วงนี้ และเมื่อดมใกลๆ้ ก็จะติดและคงค้างในจมูกสร้างความเพลินเสียอีกด้วย ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายในการเป็นโทนสร้างบรรยากาศกับความเป็น Woody Spicy ที่สมูธและมีความโปร่งรื่นรมย์ในทุกสเต็ปแบบที่ทำให้ประทับใจในทุกๆ ครั้งที่ใช้ได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะว่าเป็นกลิ่นอายโทนบรรยากาศที่ไม่ว่าเพศไหนก็จับต้องและเสริมออร่าตัวเองด้านกลิ่นส่วนบุคคลได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปได้หมด แต่จะไม่ค่อยเข้าทางกับการใส่เพื่อออกกำลังกายเท่าไหร่นัก เพราะกลิ่นแม้จะโปร่งแต่ก็มีพลังในตัวที่ถ้าร่างกายทำความร้อนก็จะปล่อยรอบทิศเอาจนทำใหคนที่ไม่ชินอึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้ทั้งออกงานและทั่วๆ ไป แต่ไม่เข้ากับการท่องราตรีที่เน้นปล่อยเสน่ห์ทางเพศแน่ๆ เพราะกลิ่นมาสายท่องเที่ยวและบรรยากาศจากสถานที่เสียมาก ไม่ได้มีความรู้สึกเซ็กซี่เท่าไหร่

ความทน - อันนี้ต้องยกให้เลย เพราะตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะมากในการสร้างสรรค์กลิ่นที่เป็นแนวบรรยากาศ แต่เอาเข้าจริงเจอไปที่ 15 ชม. ทุกครั้งที่ใช้งาน เช่นนั้นพื้นฐานยังไงก็แตะ 8 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปราว 2 ชม. ถึงลดลงมาเป็นปานกลางกันยาวๆ ราว 4 ชม. ถึงค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวพอแตะชั่วโมงที่ 10 เป็นต้นไปถึงเริ่มจะเข้าสู่การเป็น Skin Scent

สรุป - สิ่งที่รางวัลการันตีนั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลย เพราะว่ากลิ่นนี้ทำออกมาได้ดีมาก ไม่ความเป็นกลิ่นอายบรรยากาศที่เป็นลักษณะแบบแอฟริกันจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับใช้งานยาก และไม่ได้หนักข้นจนเกินไป ทุกอย่างคุมโทนความสมูธในเนื้อกลิ่นได้อย่างเหนือชั้นจริงๆ เรียกว่าเป็น Masterpiece เลยก็ย่อมได้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://monsillage.com/products/pays-dogon

 

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Cartier - La Panthere Edition Soir

Cartier - La Panthere Edition Soir

จากจุดเริ่มต้นในปี 2014 กับการเปิดตัว Collection น้ำหอมใหม่ของ Cartier ที่เอาสัญลักษณ์ของแบรนด์ คือ เสือ Panthere มาสร้างสรรค์เป็นทรงขวดรูปหน้าเสือ และนำเสนอการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่สื่อสารถึงความเป็นอิสระ สง่างามแซ่บอย่างมีชั้นเชิง และมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง โดยอิงพื้นฐานกลิ่นที่การเป็นโทน Chypre Floral ที่มีโทนผลไม้สร้างความเป็นโทน Feminine แบบชัดเจน ซึ่งนั่นก็คือรุ่น La Panthere ที่เป็นตัวต้นตระกูลในการต่อยอดสร้างลูกหลานออกมาในการเป็น La Panthere มาอย่างต่อเนื่อง

แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาที่การเป็นรุ่นต้นตระกูล แต่มากับการเอารุ่นที่เปิดตัวมาในปี 2016 ซึ่งมีความน่าสนใจในการสื่อสารถึงความสตรองและมั่นใจอย่างเต็มเหนี่ยวของการเป็นผู้หญิงที่มีพลัง โดยเอาโทน Animalic มาเป็นตัวเดินกลิ่น อารมณ์นางพญาที่มีความเป็นเสือในตัวฉาบหน้าด้วยความหรูหรามั่นใจ เช่นนั้น จะสตรองขนาดไหน มีโอกาสได้ใช้ก็ต้องมาจาระไนกันซักหน่อยว่าจะเป็นดังเช่นคำโปรยหรือไม่ ซึ่งนั่นก็คือรุ่น La Panthere Edition Soir

เปิดตัวมาก็ได้กลิ่นของดอกพุดที่วูบขึ้นมาแบบที่มีลูกเอื้อนกลิ่นหอมนวลครีมมี่ แต่มีความเป็นโทนกึ่งเห็ดตุ่นๆ หน่อยๆ ซ่อนอยู่เด้งมาก่อนใครเพื่อน แล้วจะสัมผัสได้ว่าจะมีโทนออกทางสาบปลุกเร้าแบบ Animalic ที่มีความตุ่ยๆ แกมเย้ายวนดึงดูดที่ให้อารมณ์แบบสตรองซ่อนหวานเนียนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก เนื้อกลิ่นจะไม่ได้มาแบบขนบนิยมนักในแง่ของน้ำหอมผู้หญิงที่เปิดมาใสๆ โลกสีชมพูแต่อย่างใด แต่ให้ความเป็นเสือที่มีความมั่นใจและมีเสน่ห์ ซึ่งถือเป็นการเล่นโทนและเชื่อมโทนต่อกันได้ดีระหว่างความเป็นดอกไม้ขาวที่มีความ Indolic และโทนสาบ Animalic ที่คาดว่าน่าจะมาจาก Musk แฝงโทนหนังเนียนๆ โดยที่มีปลายกลิ่นมีความเป็น Citrus เบาๆ สร้างมิติที่ไม่ทื่อเกินไป เรียกว่าเล่นโทนได้สตรองกันตั้งแต่ต้นเลย

การเปลี่ยนแปลงจะมาแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ไม่ทิ้งความเป็นโทน Animalic เพียงแต่จะผ่อนความสตรองในตอนแรกลงมาในระดับที่เจอกันตรงกลางพอดี ซึ่งคราวนี้จะสัมผัสได้มากกว่า 2 โทนหลักๆ คือ ดอกไม้ขาวกับสาย Animalic Musk นั่นคือ โทน Earthy ที่จะมีลูกผสมของ Oak Moss ที่มาแบบเขียวเข้มแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเข้าโทนกรุยกราย Classic กับพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อเย้ามีเสน่ห์ และไม่พอยังมีโทนแป้งที่เสริมเข้ามาด้วยซึ่งน่าจะเป็นลูกผสมของดอกไวโอเล็ตที่ให้ความเป็นแป้งโปร่งหวาน + ไอริสที่ให้โทนติดแป้งฝุ่นมีเสน่ห์กำลังดี ซึ่งจะมีลูกผสมโทนดอกไม้อื่นๆ เข้ามาซึ่งพอจับต้องและคาดเดาได้ว่าน่าจะมีมะลิและกุหลาบมาเนียนๆ รวมอยู่ด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีลูกผสมที่ลงตัวในการดึงเสน่ห์ของแต่ละโทนหลักออกมาได้ดีมาก เพราะจะรู้สึกได้เลยว่ามันมีกลิ่นสาบเร้า แต่ก็มีกลิ่นครีมมี่หอมหวานดอกไม้ขาว และมีความนิ่งน่าค้นหาแถมหรูหรามีระดับของสาย Earthy และมีความละมุนๆ แป้งหอมติดหวานคลอเคลียได้อย่างพอดิบพอดี เรียกว่าเป็นช่วงที่สมดุลย์มากจริงๆ

เมื่อโทน Animalic เริ่มผ่อนตัวลงมา และมีโทน Musky หน่อยๆ ที่เข้าโทนนุ่มนวลแกมแป้งที่เป็นลูกผสมของ Musk และน่าจะเป็นวานิลลาที่เข้าโทนแป้งอบอุ่น เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความหอมเย้ามีเสน่ห์ และมีโทนติดทางคล้ายแอมเบอร์ที่ไม่ได้เป็นโทนแปร่งยางไม้ แต่เป็นอุ่นลึกค่อนโทนหนังที่สะอาดๆ ซึ่งน่าจะเป็น Labdanum ที่ให้โทนแบบนี้ เนื้อกลิ่นเลยจะเป็นโทนที่ให้ความอบอุ่นนวลสะอาดที่มีความน่าค้นหาติดเข้ม Oak Moss แกมแป้งหอมติดหวานกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์เบาๆ หรูๆ ที่ตามมาจากช่วงกลาง + แป้งอบอุ่นวานิลลาที่มีความครีมมี่กำลังดี กึ่งติดเย้าที่มี Effect ของโทนสาบเร้าอยุ่แบบเนียนๆ โดยมีปลายกลิ่นที่เป็นพิมเสนหน่อยๆ ที่ถือว่าเป็นการขมวดความสตรองมาสู่ความความอบอุ่นและมีความเป็นโทน Feminine ที่มีความมั่นใจแกมหรูหรามีเสน่ห์ได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป และอย่างน้อยพื้นฐานรับโทน Indolic ตุ่ยๆ กับโทนสาบ Animalic ได้อยู่บ้างจะอินกับการใช้น้ำหอมตัวนี้ได้มากขึ้น ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะไม่งั้นเดี๋ยวปล่อยความสตรองเกินจนคนอื่นตกใจเอาได้ เนื้อกลิ่นเข้ากับการใส่ยามทางการอยู่บ้าง แบบให้ผ่านช่วงต้นไปก่อน และใส่ทั่วๆ ไปแบบโชว์ความเป็นนางพญาก็ดีไม่น้อย ส่วนนามค่ำคืนบอกเลยว่าเข้าทาง แต่จะไม่ได้โฉ่งฉ่าง เน้นมาแบบมีพลังและมีเสน่ห์ที่น่าสนใจและแตกต่างเสียมากกว่า เลยแตะได้ทั้งใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบหรูๆ

ความทน - แตะที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกอาจจะถึง 12 ชม. เลยก็ว่าได้ ซึ่งก็อิงตามจำนวนเสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าถ้าไม่ชินกับกลิ่นติดตุ่ยๆ Indolic ของสายดอกไม้ขาว หรือว่ากลิ่นสาบตุ่ยๆ แนว Animalic Musk จะอึ้งกิมกี่ไปกันได้เลย แต่พอเข้าช่วงกลาง การกระจายจะลดลงมากำลังดี หรูหราและมีเสน่ห์ แล้วค่อยๆ ลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว จนเป็น Skin Scent เอาเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม. ขึ้นไป

สรุป - เก๋และสตรอง แบบที่ได้ความเป็น Panthere แบบทรงขวดชัดเจนไม่พอ ยังมีความหรูหรามั่นใจได้อย่างดี โดยที่คุมโทนความ High - End ในเนื้อกลิ่นที่สื่อถึงความเป็น Cartier ได้ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้ามองในแง่ของการเป็น Flanker ก็ถือว่าต่อยอดออกมาจากรุ่นปกติได้ดีมากๆ เลยทีเดียวในการชูโรงความเป็นดอกพุดและโทน Animalic ที่มีเสน่ห์ในแบบมั่นใจ อีกหนึ่งในความไม่ธรรมดาของ Cartier เลยก็ย่อมได้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.cartier.com/en-gb/eau-de-parfum-edition-soir-la-panthere_cod25372685655533003.html

 

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Caron - Pour Un Homme de Caron L'Eau

Caron - Pour Un Homme de Caron L'Eau

จากความสำเร็จมาอย่างยาวนานของ Pour Un Homme de Caron ตั้งแต่ปี 1934 กับกลิ่นสุขุมนุ่มลึกกับการผสมผสานระหว่างลาเวนเดอร์และวานิลลา ที่แตกต่างจากกลิ่นอายสาย Classic ต่างๆ จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นอายที่เหนือกาลเวลาที่จะไปต่อเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าอยู่คงกะพันชาตรีมาอย่างยาวนานจริงๆ จนเมื่อปี 2005 ถึงได้มีการต่อยอดออกรุ่นลูกหลานมาในที่สุด ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามสไตล์ของการต่อยอดทางการสร้างกลิ่นหอมให้ครอบคลุมมากขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ให้กับแบรนด์

ซึ่งในรุ่นลูกหลานนั้น Caron เองก็เปิดตัวมาเรื่อยๆ แบบห่างๆ ไม่ได้ต่อเนื่องมากนัก ซึ่งถ้าไม่นับรวมรุ่นต้นตระกูลแล้วก็มีรุ่นแตกหน่ออกมาเพียง 5 รุ่นเท่านั้น โดยจะออกมาถี่หน่อยในช่วงปลายยุค 2010s ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีอยู่หนึ่งกลิ่นที่เริ่มเจาะตลาดที่มาสายสดชื่นมากกว่าจะสุขุมนุ่มลึก โดยที่ยังคงลายเซ็นลาเวนเดอร์และวานิลลาของตัวต้นตระกูลไว้ ซึ่งมีความน่าสนใจมากกับการนำเอามาเล่ากลิ่น เช่นนั้นไม่เกริ่นอะไรมาก มาเจอกันเลยแล้วกันกับรุ่นนี้ Pour Un Homme de Caron L'Eau

ลาเวนเดอร์ที่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ จะมาแบบชัดเจนและเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาก เรียกว่าขนความเป็นลาเวนเดอร์ที่แท้ทรูมาเสิร์ฟถึงจมูกเลย เพียงแต่ในเนื้อกลิ่นที่ให้ความเขียวกึ่งนวลที่มีความเป็นสมุนไพรกึ่งเมทัลลิคนิดๆ จะมีโทน Citrus ที่ติดเปรี้ยวขมของมะกรูดฝรั่งเสริมอยู่ เลยทำให้กลิ่นมีความสดชื่นเป็นเสมือนบรรยากาศเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถือว่ากลิ่นเปิดตรงไปตรงมาและมินิมัลในการส่งต่อความเป็นลาเวนเดอร์ให้ผู้ใช้งานชัดเจน

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มปรับเปลี่ยนโดยมีกลิ่นออกทางกึ่งมินต์กึ่งเขียวแบบน้ำในแจกันกุหลาบที่เป็นลักษณะจองเจอราเนียมเข้ามาเสริมทีละนิดๆ และมีความชื้นๆ หน่อยๆ เข้ามาให้รู้สึกด้วย ก็ชัดเจนว่าเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว ซึ่งเนื้อกลิ่นจะกลายเป็นลาเวนเดอร์ติดเขียวปร่าอ่อนๆ ที่มีโทนเขียวกึ่งกุหลาบชื้นๆ เป็นฉากหน้า แต่เมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับต้องได้เลยว่ามีวานิลลาอ่อนๆ รองพื้นอยู่ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้โดดเด่นออกมาแต่ให้ความละมุนอ่อนๆ ที่กึ่งโทนแป้งที่ไม่หวานกึ่งอบอุ่นเบาๆ แบบฉากหลังจริงๆ ซึ่งทำให้มิติในการดมมีเลเยอร์ให้จับต้องได้มากกว่าที่จะชูโรงลาเวนเดอร์สมุนไพรเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญวานิลลานี่แหละตัวเสริมชั้นดีให้กับช่วงถัดไปเต็มๆ 

ช่วงท้ายความเป็นกลิ่นอายแบบต้นตระกูลจะเริ่มกลับมานั่นคือโทนกลิ่นอายไม้หอมแกม Musk ที่มีกลิ่นออกทางติดอวลเค็มอ่อนๆ แบบผิวกายที่มีความเบาๆ ซึ่งลาเวนเดอร์จะจางไป เหลือวานิลลาที่พอมาเสริมกับโทนไม้หอมที่เด่นด้วยความเป็นหญ้าแฝกที่มาแบบไม้แห้งๆ แกมดินๆ กลายเป็นสร้างกลิ่นอายแบบหนังสือเก่า ที่เป็นกลิ่นแบบห้องสมุดออกมา ซึ่งรุ่นหลักช่วงท้ายก็เป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าเนื้อกลิ่นจะไม่ได้เข้มข้นนัก มีความเรื่อยๆ เบาๆ มินิมัลมากกว่า แต่ก็ยังเข้าทางการเป็นกลิ่นอายแบบสุขุมภูมิฐานได้อยู่ แค่ไม่ได้ดูแบบทางการเท่ารุ่นต้นตระกูล ซึ่งก็ถือว่าเข้าทางการเป็นกลิ่นอายสไตล์ L’Eau ที่สดชื่นขึ้นและมีความทันสมัยมากขึ้นด้วยเช่นกัน

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้ ยิ่งถ้าพื้นเพเป็นคนชอบกลิ่นลาเวนเดอร์ที่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ อยู่เป็นทุนเดิม สามารถโดนตกได้เลยตั้งแต่แรกฉีด ซึ่งเลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ลามไปยังกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายก็พอได้อยู่ เพียงแต่กลิ่นช่วงท้ายจะสุขุมนิดนึง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไป สบายๆ หรือใส่ก่อนนอนให้หลับสบาย อันนี้จะลงตัวสุด

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่า Lavender is all around กันเลยทีเดียว ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางซักราว 2 ชม. แล้วที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัว พอแตะที่ 6 ชม. ก็เริ่มเป็น Skin Scent แล้ว

สรุป - ลายเซ็นในการเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์อันนี้มาชัดเจนไม่หนีไปไหนแถมกลิ่นมีความธรรมชาติมากเกินคาด แต่สิ่งที่ลดทอนลงไปจนเหลือเพียงเบาบางกลายเป็นวานิลลา เลยเป็นการปรับโทนให้มีความเป็น L’Eau ด้วยการเอาความเป็น Citrus กึ่ง Herbal มาเป็นตัวเอกแทน ก่อนจะกลับสู่การเป็นกลิ่นอายแบบหนังสือเก่าอ่อนๆ ที่ลดทอนความเข้มข้นลงมาจากต้นฉบับ ซึ่งถือว่าสร้างความเป็นกลิ่นอายที่มีความสดชื่นมากขึ้นทำให้เข้าถึงได้ง่าย โดยที่ไม่ทิ้งความเป็น Pour Un Homme de Caron แต่อย่างใด อีกหนึ่งกลิ่นที่ต่อยอดออกมาได้ดีมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.myngled.com/parfums-dexception-la-maison-de-parfumerie-caron/

 

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Nissan - Voyage

Nissan - Voyage

หลังจากที่ผ่านน้ำหอมของแบรนด์รถยนต์ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง Nissan มาบ้างแล้ว ก็ยอมรับได้เลยอย่างหนึ่งว่าเป็นการทำน้ำหอมที่ไปจับ Match ได้อย่างลงตัวกับประเภทและรุ่นรถยนต์ของแบรนด์เองได้อย่างน่าสนใจมาก แบบที่ไม่ต้องได้ขับจริงหรือว่าได้นั่งไปตลอดการเดินทาง แต่ก็เห็นภาพบุคลิกที่เอื้อกับรถยนต์รุ่นนั้นๆ ได้เลย เรียกว่าเป็นการต่อยอดสร้าง Product เสริมกับรถยนต์ได้ดีมากอีกหนึ่งแบรนด์

แต่ก็มีบางรุ่นที่ไม่ได้ผลิตออกมาเพื่อเป็นกลิ่นอายที่สนับสนุนรุ่นรถยนต์ แต่เป็นเอกเทศแบบที่นำเสนอผู้ชายสไตล์ Nissan กันอย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีหนึ่งรุ่นที่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน เพราะมีกรอบโครเมียมสีทองอร่ามแท้แลตะลึงอยู่ไม่น้อย และที่สำคัญพอได้เห็น Notes กลิ่นแล้ว มันมีความเดจาวูในขั้นต้นว่ามันจะไปเหมือนรุ่นดังระดับ King อย่าง Creed Aventus หรือไม่ เช่นนั้นซักหน่อยเถอะ จะได้รู้ๆ กันไปว่ารุ่น Nissan - Voyage รุ่นที่กำลังจะถ่ายทอดกลิ่นต่อนั้นจะเป็นอย่างไร 

เปิดต้นกลิ่นมาในวูบแรกความเป็นโทนกึ่งเปรี้ยวกึ่งเขียวที่เป็นลูกผสมระหว่างแบล็คเคอร์แรนท์กับมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) จะวูบมาทักทายก่อนเพื่อนเลยราวๆ 5 วินาทีแรก โดยเฉพาะกลิ่นมะกรูดฝรั่งที่จะค่อนข้างเด่นกว่า แล้วจะตามต่อเนื่องด้วยความ Juicy ที่ออกทางน้ำผลไม้ที่เป็นลูกผสม 4 โทนกลิ่นหลักๆ เรียงตามความเด่นที่จับต้องได้ คือ ส้มที่จะมาแบบให้อารมณ์แนวๆ น้ำส้ม + แอปเปิ้ลแดงหน่อยๆ เสริมด้วยมะกรูดฝรั่งที่ให้ความเปรี้ยวปร่าเขียว โดยที่ตัวรองพื้นที่สร้างความเป็นโทนออกทางน้ำผลไม้เลยคือ สับปะรด ซึ่งเนื้อกลิ่น ถือว่ามีความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียวในการเปิดตัวด้วยความสดชื่นแนว Fruity Citrus แบบนี้ ซึ่งแน่นอน ไม่ได้มีความเป็นโทนลักษณะแบบ Aventus ชัดๆ เท่าไหร่ ตรงนี้ถือเป็นเรื่องดี

หลังจากผ่านช่วงต้นไปราวๆ 5 นาที ก็เปลี่ยนโทนในการเข้าสู่ช่วงกลางที่เริ่มจับโทนเด่นๆ ได้คือ Birch Tar ที่ให้โทนกึ่ง Smoky เคล้ากับกลิ่นติดเขียวเข้มแปร่งหน่อยๆ ของ Oak Moss ที่เสริมตัว Birch Tar อยู่แบบเป็นสายดัน ซึ่งช่วงนี้จะจับต้องได้ถึงความแมนที่ตรงไปตรงมามาก และเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนที่ให้อารมณ์แบบ Armaf - Club de Nuit Intense ที่เป็นโทน Smoky Woody เด่นขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นโทน Fruity Citrus ที่ตามมาจากช่วงต้น เพียงแต่ว่ากลิ่นไม่ได้มีความทรงพลังขนาดนั้น จะให้ความแปร่ง Smoky ติดเขียวค่อนไปทางกลิ่นหมึกแกมแมนๆ คล้ายมีโทนเมทัลลิคหน่อยๆ ที่ทำให้นึกถึงกลิ่นภายในรถยนต์ใหม่ๆ แบบกลางๆ เสียมากกว่า นอกจากนี้ก็จะสัมผัสได้ว่ามีโทนติดปร่าฝาดเล็กๆ ที่ค่อนไปทางดอกไม้แกมนวลของพริกไทยสีชมพูอยู่พร้อมกับกลิ่นดอกไม้กึ่งกุหลาบแกมมะลิอ่อนๆ ที่เบาๆ อารมณ์สร้างมิติเสริมปลายกลิ่น เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้อารมณ์จะออกแนวแมนๆ แปร่ง Smoky หน่อยๆ แบบไม่ได้จัดจ้านมาก ซึ่งในบางวูบก็ได้อารมณ์แบบโทน Aventus อยู่บ้าง เพราะส่วนผสมคือใกล้เคียง แต่ก็ไม่ได้เหมือนจนแบบถอดกันมาแต่อย่างใด

ในการเป็นช่วงรอยต่อก่อนเข้าสู่ช่วงท้ายจะเริ่มจับต้องถึงกลิ่นพิมเสนอ่อนๆ ที่ออกทางปร่าระเรื่อบางๆ สะอาดๆ ที่จะเริ่มเสริมเข้ามาพร้อมกับกลิ่น Oak Moss ที่ตอนนี้จะมีโทนอบอุ่นเข้ามาเสริม และจะจับได้เต็มๆ อย่างแรกเลยคือ วานิลลาเบาๆ ที่ติดโทนแป้งเล็กๆ เคล้ากลิ่นอายที่ติดโทน Musky Amber สะอาดๆ นวลๆ ที่เป็นลักษณะกลิ่นที่ค่อนไปทางแบบ Ambergris กึ่ง Musk ที่คิดว่าน่าจะเป็นสารหอมอย่าง Cetalox ที่ให้คุณลักษณะทางกลิ่นแบบนี้ ซึ่งนี่จะเป็นแกนกลางหลักของการคลอผิวในการเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นจะให้ความเบาๆ เรื่อยๆ นิ่งๆ มีความเป็นโทนแนวผู้ชายสะอาดๆ มีความสุภาพบุรุษแมนๆ ที่ไม่ได้โฉ่งฉ่าง ให้ความเป็น Daily Scent ที่เรื่อยๆ มาเรียงๆ กำลังดีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปจากผิว      

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานกลิ่นนี้ได้สบายมาก เรียกว่าเป็น Daily Scent ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ หรือออกงานแบบไม่ได้เน้นแย่งซีนใครยังไงก็เอาตัวรอดได้สบายมาก

ความทน - 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะน้อยกว่านี้หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอที่ประมาณ 6 ชม. เป็นเรื่องปกติ แต่หลายๆ ครั้งก็ไปต่อถึง 8 ชม. ได้เพียงแต่กลิ่นจะจมผิวมากหน่อย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางซักราวๆ 3 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเมื่อเข้าช่วงท้าย ก็จะเป็น Skin Scent เต็มตัว

สรุป - แม้ Note กลิ่นจะใกล้เคียงตัว Creed - Aventus แต่เนื้อกลิ่นให้โทนที่แตกต่างไปค่อนข้างชัดเจน อาจจะมีลายเซ็นกลิ่นคล้ายๆ บ้าง แต่ก็มาแบบผลุบๆ โผล่ๆ เสียมากกว่า ซึ่งถ้ามองในแง่การเป็นน้ำหอมผู้ชายแบบสาย Designer ทั่วไป กลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นที่ใช้งานได้ไม่ยาก ให้ความหอมแบบที่ยังไงก็รอดสูง แอบมีกลิ่นแบบสไตล์กลิ่นในรถยนต์ด้วยหน่อยๆ (ก็แบรนด์น้ำหอมรถยนต์นะน่ะ) โดยมีลูกเอื้อนแบบกลิ่นโทนมหาชนนิยมหน่อยๆ ที่ทำให้ไม่ตกเทรนด์ แค่นี้ก็เรียกว่าผ่าน อย. ทางด้านกลิ่นได้สบายมาก 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sobelia.com/gb/brand/1137-nissan

 

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Thameen - Green Pearl

Thameen - Green Pearl

Thameen เปิดตัวครั้งแรกในปี 2013 กับการนำเสนอแบรนด์ในการเป็น Niche Perfume ที่มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจากอัญมณีชื่อดังและสมบัติในตำนานต่างๆ ทั่วโลก มา Twist ในการนำเสนอด้วยกลิ่นอายต่างๆ ที่มีส่วนผสมคุณภาพสูง และสื่อสารออกมาเชิงสัญลักษณ์ให้จับต้องได้ในการเป็นกลิ่นอายที่สื่อถึงอัญมณีหรือว่าสมบัติที่เป็นตัวตั้งต้นของรุ่นน้ำหอมนั้นๆ และนี่คือการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ก่อนเข้าสู่เรื่องราวของกลิ่น

Pearl หรือไข่มุก ที่เรารู้จักกัน ไม่ได้มีเพียงแค่เกิดขึ้นมาจากหอยมุกต่างๆ เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นจากแร่ธาตุและธรรมชาติที่สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยเช่นกัน เช่นนั้นการเรียกว่า Pearl เลยครอบคลุมมายังฝั่งที่เกิดมาจากแร่ธาตุร่วมด้วย ซึ่งเมื่อแบรนด์อ้างอิงถึงคำว่า Green Pearl ในการเอามาเป็นชื่อรุ่น แน่นอนว่าไม่ใช่มาจากหอยมุก แต่มาจากแร่ธาตุฟลูออไรต์ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาตามธรรมชาติจนกลายเป็นทรงกลมไข่มุกขนาดใหญ่สีเขียวคล้ายหยกกึ่งพลอยอ่อน หรือที่เรียกกันว่า Fluorite Pearl ซึ่งพบที่ประเทศจีนจนเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และนี่แหละคือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นของ Thameen กับอัญมณีชนิดนี้ ซึ่งกลิ่นจะสื่อความออกมาอย่างไรที่จะ Match กันกับทั้งการเป็นน้ำหอมและอัญมณี เช่นนั้นมาว่ากัน

Green Pearl เปิดตัวมาก็เรียกว่า หืออออ กันได้เลย เพราะจากประสบการณ์มันบอกเลยว่ากลิ่นนี้มีความเป็นลูกครึ่งที่เอาข้อดีของแต่ละรุ่นที่มีความใกล้เคียงมานำเสนอใหม่จนอยู่ตรงกลางพอดีและไม่ทำให้โดนค่อนขอดได้ง่ายๆ กับเนื้อกลิ่นที่มีคุณภาพ ซึ่งกึ่งกลางระหว่างที่ว่านั่นก็คือ CK1 และ Creed - Silver Mountain Water ซึ่งจะจับต้องได้ถึงความเด่นเฉพาะของ 2 รุ่นนี้ได้เต็มๆ แบบเอามา Mix กันแล้วปรับโทนให้มีลูกผสมที่สร้างความสีเขียวเข้าไปอย่างแรกนั่นคือ กลิ่นแอปเปิ้ลเขียว ที่ให้ความเปรี้ยวหอมเสริมด้วยความขมเปรี้ยวปนบรรยากาศที่ก็ให้ความเขียวปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เป็นแกนหลักในช่วงต้น เสริมด้วยกลิ่นดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำหรือ Neroli ที่ให้ความเขียวเปรี้ยวหอมติดขมที่มีลูกเอื้อนดอกส้มสะอาดๆ อ่อนๆ และจะมีกลิ่นติดหวานส้มหน่อยๆ ให้พอรู้สึกแบบเนียนไปกับกลิ่นโทนเขียว เลยทำให้ช่วงต้นคือกลิ่นเขียวสดชื่นที่เข้าถึงได้ง่าย และสร้างความประทับใจได้แบบแรกพบ โดยเอาความดีงามของฝั่ง Designer Brand และความลงลึกในคุณภาพส่วนผสมของ Luxury Brand มาเจอกันได้ลงตัว

สำหรับช่วงต้นที่จะอยู่กับเราไม่เกิน 5 นาที สิ่งที่เข้ามาสนับสนุนและแทรกตัวมาไวมากนั่นก็คือ กลิ่นชาเขียว ในการเป็นรอยต่อของกลิ่นก่อนจะเข้าช่วงกลาง ซึ่งตรงนี้จะเริ่มลดความเด่นของโทนสดชื่น Citrus แกมแอปเปิ้ลเขียวลงมาหน่อย แต่จะให้ความเขียวอะโรม่าที่เริ่มกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักทีละนิดๆ จนเมื่อเข้าช่วงกลางเต็มตัว ชาเขียวคือ The Best Part กันเลย ซึ่งช่วงนี้เนื้อกลิ่นจะไพล่มาทาง Silver Mountain Water (SMW) อยู่พอสมควร แต่มีความเขียวที่เด่นออกมามากกว่าและมีหลายมิติที่ซ้อนอยู่ในโทนกลิ่นของชาเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นติดขมเขียวของโกฐจุฬาลัมพา กลิ่นเขียวเปรี้ยวปร่าของมะกรูดฝรั่ง กลิ่นเขียวติดปลายดอกไม้สะอาดบางๆ ของดอกส้ม และความสดชื่นเปรี้ยวอมหวานของแอปเปิ้ลเขียว เลยทำให้กลิ่นชาที่ดมเผินๆ มันอาจจะให้อารมณ์แบบ SMW ก็จริง แต่มีมิติหลากหลายให้สนุกในการดมไม่น้อย และที่สำคัญชาเขียวนี่แหละที่เป็นตัวสร้างอะโรม่าเกลาให้กลิ่นมีความเขียวรื่นรมย์และหรูหรา โดยที่มีน้ำหนักในเนื้อกลิ่นแบบกำลังและมีเสน่ห์แบบได้รับคำชมได้ไม่ยากเลย

เมื่อความเป็นโทนเขียวเริ่มที่จะผ่อนตัวลงมาเรื่อยๆ จนมีการสลับหน้าที่ในการออกงานแทน ด้วยการเป็นกลิ่นถั่วตองก้าที่จะไม่ได้มาแบบครีมมี่นมๆ หรือวานิลลา แต่ละมาแบบกลิ่นค่อนไปทางหญ้าแห้งกึ่งอัลมอนด์ที่มีความเขียวเจือขมแทนซึ่งเป็นลักษณะเนื้อกลิ่นของสารสกัดจากถั่วตองก้าหรือว่า Coumarin เสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นจะเด่นขึ้นมาแบบชัดเจน และยิ่งมีตัวเสริมที่ดีในการสร้างความเขียวเข้มเจือขมอย่าง Oak Moss เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเขียวที่มีความอวลและเข้าทาง Earthy มากขึ้น แต่กลิ่นไม่ได้ตะบี้ตะบันเขียวขนาดนั้น เพราะว่ามี Ambroxan ที่ใส่เข้ามาหน่อยเลยทำให้กลิ่นมีพลังออกมาค่อนไปทางกึ่งอบอุ่นกึ่งอวลไม้หอมเนียนๆ เคล้ากับ Musk ที่มาเกลาให้กลิ่นมีความนวลสะอาดที่เข้ามาเป็นตัวดันและเสริมแรง เลยทำให้ช่วงท้ายเป็นกลิ่นที่เป็นโทนเขียวอวลๆ แกมดินๆ แอบมีโทนกึ่งแร่ธาตุแฝงที่มีพลังและชัดเจนกันยาวๆ ไป สร้างความหรูหราและมีระดับได้ดีมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เข้าได้กับทุกเพศ แถมเป็นกลิ่นที่เข้าถึงได้ง่ายอีกด้วย เพราะมีลักษณะที่เป็นลูกผสมจนทำให้อยู่ในโซน Niche Perfume ใช้งานง่ายและมีระดับในคุณภาพกลิ่นสูง ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่ากวาดหมดเลยก็ย่อมได้ จะมีแต่ก็ช่วงกลางคืนที่จะเข้ากับการใส่ออกงาน โรแมนติค หรือว่าทั่วๆ ไป จะลงตัวกว่าการใส่ไปท่องราตรี

ความทน - อันนี้เรียกว่าต้องยกนิ้วให้ เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังคงมีพลังให้จับต้องได้ตลอดกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ เช่นนั้นยังไงก็แตะค่าเฉลี่ยที่ 8 ชม. ได้สบายมากในการใช้งานของแต่ละสภาพผิว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ารับความสดชื่นเต็มๆ ก่อนจะลงมาที่กระจายดีกันยาวหน่อยถึงประมาณชั่วโมงที่ 4 แล้วถึงลงมาเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 8 ก็เริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป 

สรุป - เนื้อกลิ่นในแต่ละช่วงให้โทนสีเขียวที่แตกต่างเริ่มจาก เขียวสว่างสดชื่น สู่เขียวแบบสีชาเขียว ก่อนจะปิดท้ายด้วยสีเขียวที่เป็นเขียว Oak Moss กึ่งหญ้าเขียวแห้งสีเข้ม (Hay) ซึ่งจะไล่โทนเหลือบกันแบบเป็น Gradient Green ที่สวยเลย ซึ่งถือว่า Link กับที่มาที่ไปในความเป็นลวดลายที่อยู่ใน Fluorite Pearl สีเขียวสวยงามขนาด 6 ตัน อันโด่งดังได้ดีด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://thameenfragrance.com/luxury-fragrances/treasure-collection/green-pearl/