วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Thameen - Green Pearl

Thameen - Green Pearl

Thameen เปิดตัวครั้งแรกในปี 2013 กับการนำเสนอแบรนด์ในการเป็น Niche Perfume ที่มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจากอัญมณีชื่อดังและสมบัติในตำนานต่างๆ ทั่วโลก มา Twist ในการนำเสนอด้วยกลิ่นอายต่างๆ ที่มีส่วนผสมคุณภาพสูง และสื่อสารออกมาเชิงสัญลักษณ์ให้จับต้องได้ในการเป็นกลิ่นอายที่สื่อถึงอัญมณีหรือว่าสมบัติที่เป็นตัวตั้งต้นของรุ่นน้ำหอมนั้นๆ และนี่คือการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ก่อนเข้าสู่เรื่องราวของกลิ่น

Pearl หรือไข่มุก ที่เรารู้จักกัน ไม่ได้มีเพียงแค่เกิดขึ้นมาจากหอยมุกต่างๆ เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นจากแร่ธาตุและธรรมชาติที่สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยเช่นกัน เช่นนั้นการเรียกว่า Pearl เลยครอบคลุมมายังฝั่งที่เกิดมาจากแร่ธาตุร่วมด้วย ซึ่งเมื่อแบรนด์อ้างอิงถึงคำว่า Green Pearl ในการเอามาเป็นชื่อรุ่น แน่นอนว่าไม่ใช่มาจากหอยมุก แต่มาจากแร่ธาตุฟลูออไรต์ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาตามธรรมชาติจนกลายเป็นทรงกลมไข่มุกขนาดใหญ่สีเขียวคล้ายหยกกึ่งพลอยอ่อน หรือที่เรียกกันว่า Fluorite Pearl ซึ่งพบที่ประเทศจีนจนเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และนี่แหละคือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นของ Thameen กับอัญมณีชนิดนี้ ซึ่งกลิ่นจะสื่อความออกมาอย่างไรที่จะ Match กันกับทั้งการเป็นน้ำหอมและอัญมณี เช่นนั้นมาว่ากัน

Green Pearl เปิดตัวมาก็เรียกว่า หืออออ กันได้เลย เพราะจากประสบการณ์มันบอกเลยว่ากลิ่นนี้มีความเป็นลูกครึ่งที่เอาข้อดีของแต่ละรุ่นที่มีความใกล้เคียงมานำเสนอใหม่จนอยู่ตรงกลางพอดีและไม่ทำให้โดนค่อนขอดได้ง่ายๆ กับเนื้อกลิ่นที่มีคุณภาพ ซึ่งกึ่งกลางระหว่างที่ว่านั่นก็คือ CK1 และ Creed - Silver Mountain Water ซึ่งจะจับต้องได้ถึงความเด่นเฉพาะของ 2 รุ่นนี้ได้เต็มๆ แบบเอามา Mix กันแล้วปรับโทนให้มีลูกผสมที่สร้างความสีเขียวเข้าไปอย่างแรกนั่นคือ กลิ่นแอปเปิ้ลเขียว ที่ให้ความเปรี้ยวหอมเสริมด้วยความขมเปรี้ยวปนบรรยากาศที่ก็ให้ความเขียวปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เป็นแกนหลักในช่วงต้น เสริมด้วยกลิ่นดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำหรือ Neroli ที่ให้ความเขียวเปรี้ยวหอมติดขมที่มีลูกเอื้อนดอกส้มสะอาดๆ อ่อนๆ และจะมีกลิ่นติดหวานส้มหน่อยๆ ให้พอรู้สึกแบบเนียนไปกับกลิ่นโทนเขียว เลยทำให้ช่วงต้นคือกลิ่นเขียวสดชื่นที่เข้าถึงได้ง่าย และสร้างความประทับใจได้แบบแรกพบ โดยเอาความดีงามของฝั่ง Designer Brand และความลงลึกในคุณภาพส่วนผสมของ Luxury Brand มาเจอกันได้ลงตัว

สำหรับช่วงต้นที่จะอยู่กับเราไม่เกิน 5 นาที สิ่งที่เข้ามาสนับสนุนและแทรกตัวมาไวมากนั่นก็คือ กลิ่นชาเขียว ในการเป็นรอยต่อของกลิ่นก่อนจะเข้าช่วงกลาง ซึ่งตรงนี้จะเริ่มลดความเด่นของโทนสดชื่น Citrus แกมแอปเปิ้ลเขียวลงมาหน่อย แต่จะให้ความเขียวอะโรม่าที่เริ่มกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักทีละนิดๆ จนเมื่อเข้าช่วงกลางเต็มตัว ชาเขียวคือ The Best Part กันเลย ซึ่งช่วงนี้เนื้อกลิ่นจะไพล่มาทาง Silver Mountain Water (SMW) อยู่พอสมควร แต่มีความเขียวที่เด่นออกมามากกว่าและมีหลายมิติที่ซ้อนอยู่ในโทนกลิ่นของชาเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นติดขมเขียวของโกฐจุฬาลัมพา กลิ่นเขียวเปรี้ยวปร่าของมะกรูดฝรั่ง กลิ่นเขียวติดปลายดอกไม้สะอาดบางๆ ของดอกส้ม และความสดชื่นเปรี้ยวอมหวานของแอปเปิ้ลเขียว เลยทำให้กลิ่นชาที่ดมเผินๆ มันอาจจะให้อารมณ์แบบ SMW ก็จริง แต่มีมิติหลากหลายให้สนุกในการดมไม่น้อย และที่สำคัญชาเขียวนี่แหละที่เป็นตัวสร้างอะโรม่าเกลาให้กลิ่นมีความเขียวรื่นรมย์และหรูหรา โดยที่มีน้ำหนักในเนื้อกลิ่นแบบกำลังและมีเสน่ห์แบบได้รับคำชมได้ไม่ยากเลย

เมื่อความเป็นโทนเขียวเริ่มที่จะผ่อนตัวลงมาเรื่อยๆ จนมีการสลับหน้าที่ในการออกงานแทน ด้วยการเป็นกลิ่นถั่วตองก้าที่จะไม่ได้มาแบบครีมมี่นมๆ หรือวานิลลา แต่ละมาแบบกลิ่นค่อนไปทางหญ้าแห้งกึ่งอัลมอนด์ที่มีความเขียวเจือขมแทนซึ่งเป็นลักษณะเนื้อกลิ่นของสารสกัดจากถั่วตองก้าหรือว่า Coumarin เสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นจะเด่นขึ้นมาแบบชัดเจน และยิ่งมีตัวเสริมที่ดีในการสร้างความเขียวเข้มเจือขมอย่าง Oak Moss เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเขียวที่มีความอวลและเข้าทาง Earthy มากขึ้น แต่กลิ่นไม่ได้ตะบี้ตะบันเขียวขนาดนั้น เพราะว่ามี Ambroxan ที่ใส่เข้ามาหน่อยเลยทำให้กลิ่นมีพลังออกมาค่อนไปทางกึ่งอบอุ่นกึ่งอวลไม้หอมเนียนๆ เคล้ากับ Musk ที่มาเกลาให้กลิ่นมีความนวลสะอาดที่เข้ามาเป็นตัวดันและเสริมแรง เลยทำให้ช่วงท้ายเป็นกลิ่นที่เป็นโทนเขียวอวลๆ แกมดินๆ แอบมีโทนกึ่งแร่ธาตุแฝงที่มีพลังและชัดเจนกันยาวๆ ไป สร้างความหรูหราและมีระดับได้ดีมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เข้าได้กับทุกเพศ แถมเป็นกลิ่นที่เข้าถึงได้ง่ายอีกด้วย เพราะมีลักษณะที่เป็นลูกผสมจนทำให้อยู่ในโซน Niche Perfume ใช้งานง่ายและมีระดับในคุณภาพกลิ่นสูง ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่ากวาดหมดเลยก็ย่อมได้ จะมีแต่ก็ช่วงกลางคืนที่จะเข้ากับการใส่ออกงาน โรแมนติค หรือว่าทั่วๆ ไป จะลงตัวกว่าการใส่ไปท่องราตรี

ความทน - อันนี้เรียกว่าต้องยกนิ้วให้ เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังคงมีพลังให้จับต้องได้ตลอดกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ เช่นนั้นยังไงก็แตะค่าเฉลี่ยที่ 8 ชม. ได้สบายมากในการใช้งานของแต่ละสภาพผิว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ารับความสดชื่นเต็มๆ ก่อนจะลงมาที่กระจายดีกันยาวหน่อยถึงประมาณชั่วโมงที่ 4 แล้วถึงลงมาเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 8 ก็เริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป 

สรุป - เนื้อกลิ่นในแต่ละช่วงให้โทนสีเขียวที่แตกต่างเริ่มจาก เขียวสว่างสดชื่น สู่เขียวแบบสีชาเขียว ก่อนจะปิดท้ายด้วยสีเขียวที่เป็นเขียว Oak Moss กึ่งหญ้าเขียวแห้งสีเข้ม (Hay) ซึ่งจะไล่โทนเหลือบกันแบบเป็น Gradient Green ที่สวยเลย ซึ่งถือว่า Link กับที่มาที่ไปในความเป็นลวดลายที่อยู่ใน Fluorite Pearl สีเขียวสวยงามขนาด 6 ตัน อันโด่งดังได้ดีด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://thameenfragrance.com/luxury-fragrances/treasure-collection/green-pearl/

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น