วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2566

Review: Chanel - Les Exclusifs de Chanel: Boy

Chanel - Les Exclusifs de Chanel: Boy

ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนยกเครื่องใหม่ของ Le Exclusifs de Chanel ที่ปรับจากการเป็น Eau de Toilette มาเป็น Eau de Parfum ทั้งหมดในปี 2016 กลิ่นล่าสุดใน Collection นี้ในช่วงเวลานั้นก็ได้เปิดตัวออกมาในการเป็น EDP ก่อนเลยโดยไม่ต้องรอมาปรับเปลี่ยนภายหลัง ซึ่งนั่นก็คือ Boy ที่ออกมาสนับสนุน Collection กระเป๋า Boy Bag ที่ออกมาในปี 2011 ร่วมด้วย และนั่นก็กลายเป็นอีกหนึ่ง Moment ที่ทำให้กลิ่นอายสาย High-end Exclusive ของแบรนด์กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นด้วยนั่นเอง

ที่มาที่ไปของการเป็น Boy กับกลิ่นอายน้ำหอม มาจากการนำเอา Moment ในการได้พบกันระหว่างตัว Chanel กับ Boy Capel ที่เป็นทั้งนายทุนผู้สนับสนุนให้ Chanel ในการเข้าสู่วงการแฟชั่น และรวมถึงการเป็นรักแท้และรักเดียวของ Chanel ซึ่งการถอดความการเป็น Boy ออกมาสู่น้ำหอม จะเป็นการ Twist ในการ Mix & Match ที่เอากลิ่นอายสไตล์สุภาพบุรุษ มาปรับเป็น Unisex ที่ให้ผู้หญิงเองสามารถใช้งานได้อย่างไม่เคอะเขิน รวมถึงสร้างลุค Boy ให้กับผู้หญิงได้อย่างเท่ห์ๆ แกมเก๋อย่างมีระดับได้อีกด้วย ในเมื่อน่าสนใจขนาดนี้ ต้องมาพิสูจน์กันหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาเป็นเช่นไร

สิ่งแรกที่มาทักทายก่อนเลยนั่นคือโทนสดชื่นที่แฝงความเป็นเอกลักษณ์ของ Chanel มากมาย นั่นคือ โทนแป้งที่มีลูกเอื้อนสไตล์ Classic แฝง แบบที่คนที่ผ่านการใช้ Chanel มาพอสมควร ดมแล้วจะบอกได้เลยว่า เออ นี่แหละ Chanel แต่สิ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ การสร้างโทนกลิ่นแบบ Modern Barbershop (ที่ไม่ใช่ในไทย) โดยจะเอาลักษณะกลิ่นอายสไตล์ผู้ชายสะอาดสะอ้านแบบสุภาพบุรุษในสาย Classic มาปรับใหม่กลายเป็นกลิ่นอายที่ไม่ต้องคม ไม่ต้องฟุ้ง แต่ให้ความเรียบหรูดูสุภาพ และมีความเป็น Nice Guy ที่มีระดับชัดเจน ซึ่งต้องยกให้ลาเวนเดอร์ที่มาแบบกลางๆ พอดีอย่างสมดุลย์ ให้ทั้งความเป็นโทน Herbal ที่มีเสน่ห์แบบ Classic ก็ได้ และให้ความเป็นโทนสะอาดนวลกึ่งแป้งลาเวนเดอร์ที่มีความสะอาดแบบ Modern ในเวลาเดียวกัน โดยจะมีกลิ่นโทนสดชื่นของสาย Citrus ที่ให้ความสดชื่นแบบนิ่งๆ ไม่ได้เปรี้ยวปริ๊ดโฉ่งฉ่าง ส่งเสริมให้เนื้อกลิ่นมีความเรียบหรูดูสุภาพบุรุษร่วมสมัยแบบครบถ้วน

เพราะช่วงเปิดอาจจะทำให้ดู เอ๊ะ! นี่มัน Unisex ตรงไหน ออกจะน้ำหอมผู้ชาย แต่ในช่วงกลางนี่แหละที่จะมีความ Unisex ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับและจะโชว์ความเป็น Signature Style ของ Chanel ชัดเจนเลยนั่นคือโทนแป้ง ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีลักษณะที่เป็นกลิ่นแป้งลาเวนเดอร์ที่ชัดเจนกึ่งอบอุ่นอ่อนๆ ซึ่งมาจากดอกเฮลิโอโทรเป้ที่เข้ามาเสริม เคล้าด้วยกลิ่นออกทางติดเขียวแบบกลิ่นน้ำในแจกันกุหลาบของเจอราเนียม และมีความเป็นกุหลาบเบาๆ สร้างอารมณ์ที่เป็น Unisex มากขึ้น โดยที่ฐานของกลิ่นจะชัดเจนว่าเป็น Musk แกมกลิ่นดอกส้มที่เป็น Orange Blossom ที่ให้ความสะอาดในเนื้อกลิ่นและเสริมโทนแป้งได้เป็นอย่างดี ทำให้ช่วงนี้ความเป็น Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงหน่อยๆ เลยเป็นตัว Twist ในเนื้อกลิ่น รวมถึงให้อารมณ์ผู้หญิงแบบติดลุคเท่ห์ๆ บอยๆ แต่มีความ Classic เข้ามาร่วมด้วย และภาพในหัวออกมาชัดเจนเหมือนเห็นผู้หญิงใส่ทักซิโด้แบบผู้ชายเท่ห์ๆ ที่มีความ Classic ก็ได้ ร่วมสมัยก็ดี มากันในทรงนี้เลย

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะมาสาย Timeless กันแบบชัดเจนมาก เพราะลาเวนเดอร์จะเริ่มเบาลง ปล่อยให้ Musk เป็นตัวเด่นขึ้นมาก็จริง แต่จะเป็นพื้นกลิ่นมากกว่าที่เมื่อดมใกล้ๆ ผิวก็จะจับได้ แต่เพราะความเป็น Musk เลยทำให้เป็นตัวตรึงกลิ่นโทนแป้งที่เริ่มมีความอบอุ่นชัดขึ้นจากวานิลลาที่มาในสายแป้ง เสริมด้วยโทนไม้หอมอย่างไม้จันทน์หอมที่มาให้ความหรูหราแกมละเอียดในความเป็นโทนจิดหอมกึ่งนวลแกมหวาน กับ Oak Moss ที่มาให้โทนเขียวเข้มมีความกรุยกรายและน่าค้นหาในโทน Classic แต่ไม่ได้หนักหน่วงเกินไปจนดูย้อนยุคมากนัก ทำให้ช่วงท้ายยังคุมโทนการเป็น Unisex ?ี่ให้ความสง่าและ Classic ในเนื้อกลิ่นอย่างมีชั้นเชิง สร้างอารมณ์ร่วมสมัยที่แตะได้ทั้งความ Timeless และความเก๋ๆ ที่ให้ลุคแนวเท่ห์ๆ สมาร์ทและมีเสน่ห์แบบเหมาะสมกำลังดี ปิดท้ายการเป็น Boy ที่ไม่ธรรมดาและน่าสนใจในการใช้งานสูงมาก  

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ซึ่งใช้งานได้หมดไม่ว่าจะเพศไหนก็ตามในวัยทำงานถึงไป เพราะเนื้อกลิ่นค่อนข้างมีความร่วมสมัยที่แตะแบบ Classic ก็ได้ หรือ Modern ก็ดี เลยจะสร้างภาพลักษณ์ทางกลิ่นที่ดูน่าเชื่อถือและมีความเป็น Gentleman/Gentlewoman เป็นสำคัญ ซึ่งใช้งานได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย แต่ถ้าจะเอาไปใช้งานเพื่อออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเข้าทางการใส่ออกงานชัดเจนมาก นอกนั้นก็ใส่แบบทั่วๆ ไป หรือโรแมนติคก็ลงตัวอยู่ไม่น้อย

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. ซึ่งช่วงตัวก็เจอที่ 8 - 10 ชม. อยู่เสมอในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปราวๆ 2 ชม. ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป ซึ่งต้องบอกเลยว่ากลิ่นนี้ไม่ได้มาสายปล่อยพลัง และต้องเข้าใจนิดนึงด้วยว่า Chanel ที่เป็นน้ำหอมสาย Exclusive เองก็ไม่ได้ เอะอะก็ทรงพลัง ออกแนวเรียบหรูอย่างมีระดับและไฮคลาสมากกว่าประมาณนั้นเลย

สรุป - ถ้าผู้ชายใส่กลิ่นนี้ก็ให้ความเป็นสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์และ Nice น่าเข้าหาในสไตล์ร่วมสมัย แต่ถ้าเป็นผู้หญิงใส่จะได้ความเท่ห์ลุคบอยๆ เข้ามาชัดเจนมากขึ้น เรียกว่าประยุกต์กลิ่นมาได้อย่างลงตัวมากๆ จากเรื่องราวของเจ้าของแบรนด์อย่าง Chanel 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.chanel.com/us/fragrance/p/122350/boy-chanel-les-exclusifs-de-chanel-eau-de-parfum/

 

วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2566

Review: Jacques Fath - Tempête d'Automne

Jacques Fath - Tempête d'Automne

ในช่วงยุค 40 - 50 ที่ Jacques Fath ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์แฟชั่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่นอกจากด้านแฟชั่นแล้วยังมีอีกอย่างที่ถือเป็นหนึ่งในการจุดประกายในเรื่องของทรงผมผู้หญิงอยู่ด้วยเช่นกัน กับการสร้างผมทรงที่ชื่อว่า Autumn Storm กับทรงผมสั้นที่คล้ายเด็กผู้ชาย (ให้นึกภาพทรงผมสั้นๆ แบบเจี๊ยบ โสภิตนภา ช่วงที่แสดงภาพยนต์เรื่องกุมภาพันธ์ แต่มีความเรียบหรู ไม่ได้แฟชั่นสมัยใหม่จ๋ามาก) ซึ่งส่วนใหญ่ในยุคนั้นมักจะเป็นทรงผมแบบแม่บ้านเจ้าเสน่ห์แบบที่ให้นึกถึงมาริลิน มอนโร แนวๆ นั้นเลย แต่พอทรงผมนี้มาเบรก ก็เริ่มเปลี่ยนโทนให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยให้ความเป็นธรรมชาติ สดชื่น และมีเสน่ห์ดึงดูด

แล้วที่เกริ่นมาในย่อหน้าแรกเกี่ยวอะไรกับน้ำหอม? เกี่ยวเต็มๆ เพราะว่าทรงผมนี้กลายมาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมของแบรนด์ Jacques Fath ในการยกระดับแบรนด์น้ำหอมจาก Designer Brand มาเป็น Niche Brand ที่จะเอาความเก๋แกมมีเสน่ห์มาตีความทางกลิ่นโดยเอาการเป็นไม้จันทน์หอมเป็นแกนหลักในการนำเสนอ เช่นนั้นเมื่อได้ลองและซึมซับจนได้ที ก็ได้เวลาของการถ่ายทอดต่อแล้วว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาเป็นเช่นไร

Tempête d'Automne เริ่มด้วยการเป็นโทน Citrus ที่ติดออกทางเปลือกผล แนวๆ เปลือกส้มหรือเปลือกมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เพราะจะไม่ได้มีอารมณ์กลิ่นแบบใสๆ มาให้จับต้องได้เท่าไหร่ แต่ว่าจะมีตัวแปรสำคัญมากๆ คือ กลิ่นโทนเครื่องเทศที่เสริมเข้ามาทำให้จับต้องได้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่าเป็นโทนอบอุ่นเสียมากกว่า ซึ่งจะจับได้ไม่ยากเลยว่าจะมีความปร่าเผ็ดคมอวลๆ ของเม็ดผักชี และมีความเผ็ดอุ่นของอบเชย เพียงแต่มีความเป็นโทนสดชื่นปร่าๆ มาตัดทอนเลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนสว่าง ทำให้ภาพรวมของกลิ่นจะเป็นเฉดสีออกทางส้มนวลๆ แกมสีน้ำตาลที่มีความปร่าเผ็ดและสดชื่นในเวลาเดียวกัน ถือเป็นการเปิดตัวที่น่าสนใจและที่สำคัญมีความ Classic ในเนื้อกลิ่นให้รับรู้ได้ด้วย

ช่วงกลางจะชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมว่าเนื้อกลิ่นมาสายเย้ายวนแบบมีระดับ ซึ่งช่วงนี้จะเริ่มจับต้องได้ว่าเนื้อกลิ่นมีความซับซ้อนในระดับที่ไม่ธรรมดา เพราะแม้ว่ากลิ่นหลักที่จับต้องได้จะเป็นเครื่องเทศอย่างอบอชยที่ให้ความหวานเผ็ดอุ่นกับความปร่าเผ็ดคมๆ ของเม็ดผักชี แต่จะมีมิติกลิ่นโทนดอกไม้กึ่งไม้หอมครีมมี่เข้ามาเสริมให้มีความน่าสนใจมากในการจับต้องกลิ่น ซึ่งความครีมมี่แกมไม้หอมนี่ชัดเจนว่าเป็นไม้จันทน์หอม แต่จะไม่ได้ครีมมี่มากขนาดนั้น ค่อนข้างรักษาสมดุลย์ได้ดีมาก และจะมีมิติกลิ่นโทนดอกไม้ที่มาแชร์เพิ่มเติมด้วยจากลาเวนเดอร์ ที่มาแบบนวลๆ ละมุนๆ ติดออกไปทางแป้งที่มีกลิ่นดอกไม้อย่างกระดังงาที่ให้ความหวานเย้าๆ และมีพวกแนวๆ มะลิมาทำให้กลิ่นมีความนวล เลยทำให้ช่วงกลางจะได้มิติกลิ่นที่หลากหลาย โดยยังยืยพื้นที่กลิ่นออกทางอบอุ่นแบบกำลังดีมีเสน่ห์และมีระดับในเนื้อกลิ่น โดยไม่ทิ้ลูกเอื้อน Classic แต่อย่างใด

ในช่วงท้ายตอนนี้จะกลายเป็นโทนไม้หอมติดอบอุ่นแกมแป้งที่ชัดเจนมาก โทนเครื่องเทศอย่างอบเชยจะเริ่มเป็นตัวเสริมให้ความหวานอุ่นในเนื้อกลิ่นแทน ซึ่งตัวหลักคือไม้จันทน์หอมที่ให้ความจืดหอมมีเสน่ห์กึ่งครีมมี่ และมีโทนออกทางนมๆ หน่อยเข้ามาเพราะมีกลิ่นติดนมอุ่นให้รู้สึกได้ เสริมกลิ่นไม้จันทน์หอมได้ลงตัวไปอีก ตามด้วยกลิ่นออกทางแป้งวานิลลาที่ไม่ได้หนักข้น แต่ให้ความหวานอบอุ่นกึ่งแป้งฝุ่นกลิ่นวานิลลาแกมนมๆ ซึ่งนี่แค่มิติแรก แต่ตัวรองพื้นที่ดมใกล้ๆ จะรู้สึกได้นั่นคืกลิ่นหนังที่มาแบบกำลังดี มีความเย้ายวน Sexy เนียนๆ เพราะมีความเป็น Musk มาตัดทอนให้กลิ่นมีความนุ่มนวลร่วมด้วย แน่นอนว่าความ Classic ก็ยังมีเนียนๆ อยู่ เลยทำให้เนื้อกลิ่นลักษณะนี้กลายเป็นโทนร่วมสมัยที่สามารถเป็นกลิ่นอายสไตล์ Timeless ได้ไม่ยาก และที่สำคัญเนื้อกลิ่นอบอุ่นได้อย่างมีคลาสและให้ความพอดีไม่หนักไปปิดท้ายได้สวยและลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex เนื้อกลิ่นมีความกลางๆ เน้นให้โทนอบอุ่นที่มีระดับ สร้างออร่าให้ผู้ใช้งานมีเสน่ห์และดึงดูดแบบร่วสมัยได้ดี ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วไป เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้เหมาะกับกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่ ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ อันนี้ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือว่าใส่แบบโรแมนติค ถือว่าลงตัวมากและสร้างออร่าดึงดูดได้ดีแบบมีระดับ แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีอาจจะต้องเพิ่มสเปรย์หน่อยก็พอได้ เพียงแต่อาจจะสู่กลิ่นหวานแน่นๆ ขนมๆ จัดจ้านไม่ได้ได้มากเท่าไหร่ แต่มีดีที่มีระดับแน่นอน

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และไปต่อได้อีกจนถึงชั่วโมงที่ 15 ก็เจอมาแล้ว เช่นนั้นเรื่องความทนไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางแบบยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม. ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent  

สรุป - เป็นกลิ่นร่วมสมัยที่ให้อารมณ์กลิ่นมีเสน่ห์และมีระดับในการเป็นโทนอบอุ่นที่ไม่หนักหน่วง สร้างความมีคลาสให้ผู้ใช้งานได้เหมาะสมและลงตัวมากอีกหนึ่งกลิ่น ยิ่งถ้าพื้นฐานใครชอบกลิ่นไม้จันทน์หอม + อบเชย ที่มีอารมณ์ครีมมี่หน่อยๆ บอกเลยว่าโดนตกได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นนี้ทำให้นึกถึงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีไม่ใช่น้อยเลย เพราะโทนสีในเนื้อกลิ่นได้อารมณ์สมชื่อว่า Autumn ครบถ้วนได้เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.jacques-fath-parfums.com/?lang=fr

 

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

Review: Nishane - B-612

Nishane - B-612

จากจุดเริ่มต้นของวรรณกรรมอมตะที่สร้างความประทับใจระดับโลกอย่างเจ้าชายน้อย (Little Prince) ของอองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี ที่อย่างน้อยควรได้สัมผัสและอ่านเพื่อได้ความลึกซึ้งและการหาความหมายของชีวิต ซึ่งไม่ว่าใครก็ต่างมีความเป็นเจ้าชายน้อยในตัวเองเสมอ สู่การสร้างสรรค์น้ำหอมของแบรนด์ตุรเคียอย่าง Nishane ที่เอาสิ่งที่น่าสนใจในการเป็นจุดเริ่มต้นของเจ้าชายน้อยทั้งในวรรณกรรมและความเป็นจริงมาบรรจบกันได้อย่างสวยงามใน Concept ไม่น้อยนั่นคือ ดาวเคราะห์น้อย B-612 ที่เป็นดาวของเจ้าชายน้อย และการค้นพบด้วยนักดาราศาสตร์ชาวตุรเคียถึงดาวเคราะห์น้อย B-612 ที่มีจริงๆ บนท้องฟ้าและอวกาศอันกว้างใหญ่นี้

และ Nishane เองก็ไม่ธรรมดาสร้างสรรค์น้ำหอมที่สื่อสารออกมาถึงเรื่องเจ้าชายน้อย ออกมาถึง 2 กลิ่น โดยจับรวมกันเป็น Imaginative Collection - Le Petit Prince ซึ่งแน่นอนว่า B-612 เป็นหนึ่งใน Collection นี้ ที่จะสื่อสารถึงดาวเคราะห์น้อยของเจ้าชายน้อยที่เติบโตมาผ่านจินตนาการทางด้านกลิ่นในการจับลงสู่ขวด ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเป็นอย่างไรให้ความรู้สึกแบบไหนนั้น มาว่ากันดีกว่า ส่วนอีกกลิ่นที่เป็นการเล่าถึงดอกกุหลาบอันเป็นที่รักอย่าง Vain & Naive ค่อยมาว่ากันทีหลัง

B-612 เปิดต้นกลิ่นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นแบบอ่อนๆ แต่มีความอบอุ่นนุ่มนวลแฝงในเนื้อกลิ่นที่ค่อนข้างชัดเจนมาก โดยแกนหลักของกลิ่นแทบไม่ต้องเดาอะไรให้มากความเลยนั่นคือ โทนไม้หอม จะเป็นแกนหลักของกลิ่นแน่นอนและมั่นใจได้ ซึ่งกลิ่นเปิดค่อนข้างมีความเฉพาะตัวพอสมควรเพราะจะเป็นโทนลาเวนเดอร์ที่มีความเขียวกึ่งน้ำในแจกันดอกกุหลาบ แต่จะมีกลิ่นออกทางไม้แห้งๆ แกมกลิ่นปร่าออกทางยางสนที่เป็นสไตล์กลิ่นของสนไซเปรสที่จะได้ความรู่สึกสว่างๆ เข้ามา ทำให้กลิ่นเปิดอารมณ์กลิ่นอยู่ตรงกลางพอดีระหว่างความนุ่มนวลละมุนๆ ที่มีความเป็นไม้หอมปร่าสะอาดๆ แกมกลิ่นสดชิ่นติดเขียวกึ่งกุหลาบบางๆ ซึ่งถือว่าเนื้อกลิ่นให้อารมณ์ที่มีความ Classic เนียนๆ เข้ามาร่วมด้วยให้จับต้องได้

การเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดเจนมากขึ้นโดยที่ความเป็นลาเวนเดอร์กับโทนไม้สนไซเปรสยังคงอยู่ แต่ลดทอนความสดชื่นลงไปกลายเป็นกลิ่นโทนที่มีความอบอุ่นมากขึ้น โดยความเป็นไม้หอมที่เด่นชัดมาก แล้วยังมีความเป็นลูกผสมของกลิ่น Musky เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งจะเป็นกลิ่นของสารหอมติดอวลที่ให้อารมณ์เหมือนกลิ่นออกทางเสื้อผ้าทอที่อบอุ่นแกมกลิ่นไม้หน่อยๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะของ Cashmeran ที่มาผนวกกับกลิ่นไม้ซีดาร์ที่ให้ความปร่าขรึม เสริมด้วยความไม้หอมมิลค์กี้โทนสว่างครีมของไม้จันทน์หอมแกมกลิ่นพิมเสนปร่าระเรื่อ ซ่งเมื่อมาผนวกกับโทนลาเวนเดอร์จะได้อารมณ์ 3 โทนประสานหลักๆ อย่างไม้หอมอวลๆ แกมกลิ่น Musky Amber อบอุ่น และมีความเป็นแป้งลาเวนเดอร์เสริมให้กลิ่นมีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้กลิ่นมีความสว่างแกมนุ่มนวลและอบอุ่นอวลๆ ที่ชัดเจน ซึ่งแม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ถึงกับซับซ้อนมาก แต่มีความลุ่มลึกที่ให้ความอบอุ่นสว่างนวลกำลังดีที่สร้างความประทับใจได้ไม่ยากเช่นกัน

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีความอวลไม้หอมแกมกลิ่นที่น่าค้นหาและเริ่มแตะในเรื่องความผ่อนคลายที่เข้ามาให้รู้สึกได้ แต่ก็ยังคงมีน้ำหนักในเนื้อกลิ่นในด้านความอบอุ่นอยู่ เนื้อกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้ถึงความเป็น Woody Musky ที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่ Cashmeran กับไม้ซีดาร์และพิมเสนที่ยังคงอยู่เท่านั้น แต่จะมีตัวเสริมชั้นดีอย่าง Ambroxan ที่เข้ามาให้ความอบอุ่นในเนื้อกลิ่น สร้างน้ำหนักในกลิ่นและให้พลังแบบไม่โจ่งแจ้งแบบเนียนๆ ซึ่งจะมีกลิ่นออกทางนุ่มๆ ของ Musk มารองรับในแง่ของกลิ่นโทนสว่าง และมี Oak Moss มาตัดทอนให้กลิ่นออกทางเขียวเข้มแกม Classic ให้มีความน่าค้นหาและแอบมีกลิ่นออกทางติดหวานแกมถั่วที่จะกึ่งวานิลลาก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นของถั่วตองก้าทำให้กลิ่นมีความอบอุ่นแกมหวานแบบกำลังดีมีเสน่ห์แบบที่ได้ความร่วมสมัยในการใช้งาน เป็นการปิดท้ายกลิ่นที่คุมโทนความอบอุ่นนุ่มนวลและมีเสน่ห์ได้อย่างลงตัวตั้งแต่ต้นยันปลายจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดทุกเพศ เพียงแต่เนื้อกลิ่นไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นตัวเจ้าชายน้อย แต่บอกถึงสภาพแวดล้อมบนดารเคราะห์ กลิ่นเลยจะไม่ได้เหมาะกับเด็ก แต่จะแตะตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นค่อนข้างครอบคลุมการใช้งานทั้งกลางวันและกลางคืนได้เลยไม่ว่าจะใส่แบบทางการหรือทั่วไป แต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายนักเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายสดชื่นเท่าไหร่ ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ อันนี้ได้อยู่ รวมถึงใส่ท่องราตรีถ้าอัดสเปรย์ก็ไม่ติด เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายปล่อยพลังรอบทิศหรือเรียกร้องความสนใจก็เท่านั้น

ความทน - เรียกว่าดีงาม เพราะว่าขั้นต่ๆที่เจอก็ 8 - 10 ชม. และยาวนานที่สุดก็ติดผิวจนข้ามไปอีก 1 วัน แม้ว่าจะอาบน้ำล้างตัวจนนอนไปจนถึงเช้าแล้วก็ตาม เรียกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วไม่เกิน 15 นาทีก็จะลดลงมาที่ปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 ก่อนที่จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วคงความเสถียรต่อไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 8 - 10 แล้วแต่บุคคล ถึงลงมาติดผิว

สรุป - ภาพรวมทั้งหมดในเนื้อกลิ่นตั้งแต่ต้นยันจบ สิ่งที่ได้ในความรู้สึกเลยนั่นถือ เหมือนสถานที่อบอุ่นที่มีความนุ่มนวล และโทนสีสว่างในโทนแบบสีเอิร์ธโทนตั้งแต่เฉดขาวครีมยันน้ำตาลอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าจะอบอวลแต่ก็ไม่โฉ่งฉ่างจัดจ้าน ทุกอย่างให้ความสมดุลย์ทางกลิ่นที่พอเหมาะ และถ้าจะต้องนึกถึงสถานที่อย่างดาวเคราะห์ B-612 ที่เจ้าชายน้อยเกิดและเติบโตขึ้นมา ก็เข้าทางที่จะต้องเป็นสถานที่ที่มีความอบอุ่นแบบนี้ได้ไม่ยาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://nishane.com/product/b-612/

 

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

Review: Clean - Classic: Pure Soap

Clean - Classic: Pure Soap

เมื่อ Clean ในสาย Classic เดิมที่เป็น EDT อยู่มาเป็นระยะเวลาพอสมควร การปรับปรุงใหม่ในการเพิ่มทางเลือกในการใช้งานจึงได้เกิดขึ้น โดยอุดช่องโหว่หลายๆ อย่างจากการของเดิม เช่น ความทนและการกระจายที่ผู้ใช้อยากให้มีมากขึ้นมาอีกซักหน่อย เป็นต้น จึงปรับใหม่ในการยกความเป็นกลิ่นอาย Classic แบบเดิมเพิ่มความเข้มข้นสู่ความเป็น EDP จึงได้เกิดขึ้น และแน่นอนมีความน่าสนใจในการมาสัมผัสกลิ่นโทนสะอาดต่างๆ ในความเข้มข้นที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

เช่นนั้นเมื่อเห็นกลิ่นเก่าๆ ได้ปรับปรุงมาสู่การเป็น EDP ความน่าสนใจก็มาแล้วหนึ่ง แต่สิ่งที่ดึงสายตาและความสนใจไปมากกว่านั่นก็คือ มีกลิ่นใหม่ๆ ที่อาจจะเป็นการต่อยอดจากของเดิมเกิดขึ้นมาด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกลิ่น Pure Soap ที่พอเห็นเท่านั้นแหละ เกิดความอยากใช้งาน เพราะอากาศเมืองสารขัณฑ์ทั้งร้อนทั้งฝน ถ้ามีกลิ่นที่สร้างความรู้สึกสบายๆ และให้ความรู้สึกกลิ่นสบู่หลังอาบน้ำเสร็จเติมพลังทางกลิ่นตลอดวันได้ก็คงเป็นเรื่องที่ดีมาก เช่นนั้นจัดไป และสิ่งที่ได้จากการใช้งาน คือ

สบู่สุดๆ ไปเลย แบบที่ให้อารมณ์แบบสบู่ Dove ก้อนสีขาวที่ให้ความครีมมี่แบบกำลังดี (ไม่ได้กลิ่นพุ่งๆ จัดๆ แบบสบู่เหลวหรือครีมอาบน้ำ) ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับตัวสร้างเนื้อกลิ่นโทนสบู่อย่าง Aldehydes ที่ไม่ได้มาแบบคมฟุ้งเลย ซึ่งน่าจะโดนตัดทอนความคมฟุ้งลงไปจากกลิ่นโทนนวลๆ ที่มีความเป็นสมุนไพรหน่อยๆ แกมกลิ่นปร่านวล รวมถึงกลิ่นลาเวนเดอร์ที่มาทำให้เนื้อกลิ่นมีความสะอาดแบบนุ่มนวลเข้ามาร่วมด้วย โดยที่มี Musk อยู่แน่นอนเป็นฉากหลังในเนื้อกลิ่นชัดเจน ผสมผสานจนได้กลิ่นสบู่นวลๆ ในโทนสีขาวตั้งแต่แรกเริ่มได้กลิ่น แต่ไม่ได้จบแค่นี้ เพราะว่าเนื้อกลิ่นมีความสดชื่นประปรายแบบติดหวานอมเปรี้ยวหอมของส้มหน่อยๆ แทรกอยู่ในมิติกลิ่นอีกด้วย เลยทำให้มีความชัดเจนถึงการเป็นสบู่นุ่มนวลก็จริง แต่มีความสดชื่นเหมือนอารมณ์แรกเริ่มฟอกสบู่ที่กลิ่นจะฟุ้งชัดในความรู้สึกนั่นเลย

พอเริ่มเข้าช่วงกลาง ก็ยิ่งชัดเจนถึงศูนย์กลางของกลิ่นเลยว่าจะมี Aldehydes ลาเวนเดอร์ และ Musk เป็นพื้นฐานของกลิ่นในการสร้างโทนสบู่สะอาดๆ ที่มีความอวลๆ เป็นสำคัญ ซึ่งพอเข้าช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะยังมีความสดชื่นประปรายที่ตามมาจากช่วงต้นอยู่ แต่เนื้อกลิ่นจะมีความนวลสะอาดที่มีความหวานอมเปรี้ยวแบบดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) เข้ามาสร้างเนื้อกลิ่นแบบดอกไม้ขาวร่วมด้วย ซึ่งจะมีกลิ่นหวานอ่อนๆ ของมะลิรวมเข้ามาอยู่หน่อยๆ ท่ามกลางการเป็นกลิ่นสบู่ครีมมี่สะอาดๆ นวลๆ ที่เนื้อกลิ่นมีความแห้งมากขึ้นถ้าเทียบกับช่วงต้น

สามเกลอทั้ง Aldehydes ลาเวนเดอร์ และ Musk จะยกพวกมาในช่วงท้ายทั้งหมด เพียงแต่ลาเวนเดอร์จะเบาลงไปให้ความรู้สึกแบบแป้งโทนสะอาดประปราย แต่ Musk เด่นขึ้นมาเสริมด้วยอัตลักษณ์โทนสบู่จาก Aldehydes อยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมที่ดอกส้มกับการขึ้นมาเป็นตัวหลักให้ความหวามแกมเปรี้ยวอ่อนๆ สะอาดๆ สดชื่น โดยที่จะมีกลิ่นไม้หอมนวลๆ ครีมมี่หน่อยๆ เสริมเข้ามาให้เนื้อกลิ่นมีความนวลขาวกึ่งครีมนวลจากไม้จันทน์หอมแบบกำลังดี ทำให้ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะยังคงให้โทนสบู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมความเป็นโทนแป้งความดอกไม้ขาวสดชื่นนวลๆ เข้ามาร่วมด้วย ให้ความรู้สึกแบบกลิ่นสบู่ติดตัวกันยาวๆ ไป แบบที่ยังไงก็สมกับชื่อว่า Clean เต็มๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะพื้นฐานกลิ่นคือโทนสบู่ที่เข้าทางกับทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กน้อยอยู่แล้ว อาจจะมีลูกเอื้อนของกลิ่นที่มีความเป็นโทนแบบผู้หญิงนิดหน่อยก็เพราะว่ามีดอกไม้ขาว แต่ก็ไม่ได้ถึงกับสาวแตกขนาดนั้นเพราะยังไงผู้ชายทุกคนก็ผ่านการใช้สบู่กลิ่นอวลหรือดอกไม้กันมาบ้างแหละ และแน่นอนกลิ่น Cover การใช้งานแบบครอบจักรวาลในยามกลางวัน กวาดหมดยังไงก็รอด รวมถึงถ้าใส่ยามค่ำคืนแบบทั่วๆ ไปหรือว่าออกงานก็สบายมาก แต่ข้ามการใส่ไปปล่อยเสน่ห์ร้อยแรงม้ายามค่ำคืนได้เลย กลิ่นเบาไปสู้เขาไม่ได้แน่ๆ และกลิ่นไม่ใช่ Concept ด้านเย้ายวนอีกด้วย

ความทน - พอเป็น EDP ความทนเลยอัพเกรดขึ้นมาชัดเจนมาก กับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ กลิ่นอาจจะมีบวกลบบ้างขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวจัดไป 6 สเปรย์ (ฉีดทั้งผิวกายและเสื้อที่สวม) กลิ่นทนยาวไปจนถึง 12 ชม. ได้เลย โดยเฉพาะเสื้อที่ติดทนนานมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และคงตัวพอสมควรกับราวๆ 30 นาที ก่อนที่จะลดลวมาปานกลางกันราวๆ 2 ชม. แล้วจะลงมาคงตัวที่การเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบเรื่อๆ อวลๆ ยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 8 แล้วจะติดผิวคงตัวไปจนกว่าจะจางในตามแต่ละผู้ใช้

สรุป - ตรงตัวตามชื่อกลิ่น Pure Soap มากมาย ซึ่งจะได้อารมณ์แบบสบู่ Dove ตัว Original ในระดับที่พอสมควรเลย เพียงแต่จะมีมิติและเลเยอร์กลิ่นที่ให้ความผ่อน ความอวล ความนวลแบบที่มีเสน่ห์แบบในการเป็นน้ำหอมมากกว่าจะตรงๆ แบบสบู่ก้อน และแน่นอนกลิ่นนี้จะให้ความเป็นกลิ่นสบู่ติดผิวกายกันยาวๆ แบบที่ได้ Feel หลังอาบน้ำตลอดวันจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.cleanbeauty.com/products/pure-Seasonal Soap

 

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2566

Review: Amouage - Memoir Man

Amouage - Memoir Man

จากปรัชญาที่เกิดจากการตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของชีวิตและความเป็นปัจเจกของแต่ละตัวบุคคล ที่เรียกกันเป็นศัพท์ยากๆ ว่า “อัตถิภาวนิยม” ที่ไม่ใช่แค่มีด้านดีในแง่การทำอะไรอย่างมีเสรีภาพ แต่มันก็มีด้านมืดด้วยเช่นกัน เพราะถ้าใครเป็นนักอุดมคติที่ตั้งคำถามถึงการมีชีวิตอยู่ตลอดว่าฉันมีชีวิตเพื่ออะไร แล้วรู้สึกถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่าไหร่ วนอยู่ในภาวะ Existential Crisis อาจทำให้เกิดภาวะวิตกกังวล หดหู่ซ้ำซาก จนอาจจะถึงขั้นปิดจ็อบชีวิตตัวเองได้อยู่วนเวียนอยู่ในภาวะแบบนี้นานๆ เข้า

ซึ่งด้านมืดของ “อัตถิภาวนิยม” นี่แหละ ที่ Amouage เห็นถึงเสน่ห์บางอย่างทั้งในแง่ปรัชญาและความน่าค้นหาดึงดูด เลยเป็นที่มาในการสร้างสรรค์กลิ่นที่จะสื่อถึงภาวะสายดาร์กกับการเป็น Memoir ที่ออกมาแบบแพ็คคู่ทั้งฝ่ายชายและหญิง แต่ของผู้หญิงไว้ว่ากันทีหลัง ขอมาเล่ากลิ่นทางฝั่งผู้ชายดีกว่า ว่าจะออกมาเป็นอย่างไรในการสื่อสารตาม Concept ที่วางเอาไว้

กลิ่นเปิดความรู้สึกเป็นโทนสมุนไพรเขียวติดดาร์กจะฟุ้งออกมาชัดเจนมาก ซึ่งจะมีลูกเล่นหลักๆ ที่จับต้องได้คือกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่าง Absinthe ที่จะมีความเขียวขมเข้มๆ ของ Wormwood หรือแนวๆ โกฐจุฬาลัมพา ที่มีความหวานกึ่งเม็ดเทียนสัตตบุษย์แฝง ซึ่งจะมีความปร่าฟุ้งพุ่งออกมาแบบคล้ายเครื่องดื่มที่มีความแรงในฤทธิ์การหมักและแอลกอฮอล์ แต่เนื้อกลิ่นจะแฝงความปร่ามินท์ที่ทำให้กลิ่นมีความเข้าถึงในความอะโรม่ามากขึ้น ซึ่งในความเขียวที่จับต้องได้ มันมีโทนออกทางปร่าสมุนไพรและเครื่องเทศให้รู้สึกอยู่ตลอด จนเมื่อเข้าช่วงรอยต่อก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงกลิ่นถัดไป ก็จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนธูปไม้ที่ทำให้เกิดอารมณ์แบบควันกึ่งไอกลิ่นไม้อวลๆ สร้างอารมณ์แบบห้วงคำนึงที่มีความหนาในเนื้อกลิ่นขึ้นมาทีละหน่อย ทำให้มิติกลิ่นเริ่มมีความซับซ้อนและดึงดูดมากตั้งแต่ต้นแบบที่ไม่เหมือนใครและมีความ Unique เลยทีเดียว

ช่วงกลางความชัดเจนในการเป็นโทน Incense หรือธูปไม้ปร่า ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็น Frankincense ที่จะมีลูกผสมความเป็นโทนไอไม้อวลๆ แกมกลิ่นควันอ้อยอิ่งจะเริ่มชัดเจนจนกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น แต่กลิ่นจะเสริมด้วย 2 ฝั่งหลักๆ ซึ่งฝั่งแรก คือ โทนเขียวแกมอะโรม่าของ Absinthe + สมุนไพรเขียวเข้มดาร์กต่างๆ ที่มีความเขียวกึ่งหวานของลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาแบบสายนุ่มค่อนไปทางกึ่งแป้ง Floral จ๋าๆ แต่เป็นกึ่งกลางที่มีลูกผสมความเขียวกึ่งปร่าหวานผ่อนคลายเข้ามา และมีโทนดอกไม้แนวกุหลาบบางๆ ให้จับต้องได้ + ฝั่งที่ 2 คือ กลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ อวลๆ ครีมมี่เล็กๆ แต่มีความ Smoky แกมไม้แห้งๆ เคล้ากลิ่นหนังที่ไม่ได้ดิบห่ามมาก แต่มีลูกเอื้อนเสริมโทนดาร์กในเนื้อกลิ่นได้เหมาะสม ทำให้ภาพรวมของเนื้อกลิ่นในช่วงกลางอารมณ์แบบอวลเข้มที่ไม่หนักหน่วงข้นคลั่ก แต่ให้อารมณ์แบบความรู้สึกอวลชัดๆ ที่มีความดาร์ก ความเข้มในความรู้สึกให้จับต้องได้ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของกลิ่นเลยที่สื่อสารความรู้สึกออกมาแบบห้วงคำนึงที่ไม่หนักเกินไปได้ลงตัวมากจริงๆ 

เนื้อกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงท้ายที่เป็นแกนหลักเลยคือ ฝั่งที่ 2 จากช่วงกลางที่เป็นไม้หอมแกมหนัง แต่ยังมีลักษณะที่มีความเป็น Incense ที่ชัดเจนมากขึ้นจนจับต้องได้ว่า Frankincense นี่แหละที่ตามมาในช่วงนี้ร่วมด้วย ซึ่งคราวนี้ความเป็นไม้หอมจะชัดเจนมาซึ่งจะจับต้องได้ทั้งความเป็นไม้แห้งอวลๆ แกม Smoky ที่เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นหญ้าแฝกและไม้ Guaiac ที่สร้างความอวลไม้ออกมา และยังมีความเป็นหนังที่สอดรับเข้ามาเชื่อมต่อทอเต็มผืนได้พอเหมาะ แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะจะมีกลิ่นเสริมความอวลอย่างสายอบอุ่นที่จะมีแอมเบอร์กึ่งวานิลลาเคล้าความนุ่ม Musk เนียนอยู่แบบเบาๆ มาทำให้กลิ่นไม้แห้งอวลแกม Smoky เคล้าหนังติดดาร์กมีความหนาและมีความอวลที่มีเสน่ห์อย่างเหมาะสมที่ให้ออร่าความกึ่งดาร์กกึ่งอบอุ่นกึ่งมีพลังแบบที่ไม่จัดหนักแต่ให้ความฟุ้งอวลในการรับกลิ่นที่วางตำแหน่งความกลางได้อย่างดีเลยทีเดียว แถมยังปิดท้ายแบบคุมโทนความรู้สึกทางกลิ่นแบบห้วงคำนึงได้ครบถ้วนไม่หลุดไปไหนแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - ใช่ตามที่กลิ่นลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้ชาย ซึ่งเป็นกลิ่นสายดาร์กติดเขียวแกมอวลที่ลงตัวและไม่เหมือนใคร เข้ากับวัยทำงานขึ้นไปและผ่านอาจจะผ่านน้ำหอมสายอวลไม้และ Incense มาบ้างจะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แบบวางตัวหน่อย เพราะกลิ่นมาสายดาร์กที่มีความขรึมและขลังสุขุมแกมอวลแบบที่ไม่ได้เข้าถึงง่ายแม้กลิ่นจะไม่เหมือนใคร แต่มู้ดของกลิ่นไม่ได้เข้ากับสาย Activity ลุยๆ แน่ๆ เช่นนั้นตัดการใส่สำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเหมาะกับการใส่ออกงานเสียมากกว่า แต่ถ้าไม่มายด์จะใส่ไปท่องราตรีก็ได้ เพียงแต่จะไม่ได้เป็นสายปล่อยพลังเรียกแขกแบบสายอวลหวานต่างๆ ก็เท่านั้นเอง

ความทน - อันนี้สิที่จัดจ้าน เพราะพื้นฐานยังไงก็ 8 ชม. แต่ไปต่อไปอีกจนถึง 15 ชม. ก็เรียกว่าเข้าข่ายการเป็นเรื่องปกติ ก็ Amouage นี่เนาะ เรื่องนี้เขาไม่พลาดอยู่แล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นราวๆ 10 นาที ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีต่อราวๆ 1 ชม. ถึงเป็นปานกลางแบบอวลๆ ไปเรื่อยๆ จนแตะชั่วโมงที่ 6 แล้วจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ก่อนจะเป็น Skin Scent อีกทีก็ราวๆ 10 - 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ไม่ธรรมดา กลิ่นไม่ได้เป็นสายหนักหรือเข้มข้นจัดจ้านแบบกลุ่มโทนมีพลัง แต่เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกอวลอ้อยอิ่งแบบมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ถ่ายทอดความดาร์กออกมาได้กลางๆ ที่มีเสน่ห์ในความน่าค้นหาได้ดีมาก และที่สำคัญการสร้างเนื้อกลิ่นที่ให้ความเป็นโทนติดควันๆ มันทำให้เกิดความรู้สึกแบบห้วงคำนึงเสริมความน่าค้นหาของกลิ่นได้ดีมากๆ ด้วยเช่นกัน เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นของ Amouage ที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างเยี่ยมยอดมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://escentials.com/products/amouage-memoir-man

 

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2566

Review: Strangers Parfumerie - Chokedee (โชคดี)

Strangers Parfumerie - Chokedee (โชคดี)

สำหรับกลิ่นนี้ของ Strangers Parfumerie ถือเป็นหนึ่งใน Exclusive Scent ที่วางจำหน่ายเฉพาะที่เว็บไซต์ Luckyscent ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่นำเสนอความไม่ธรรมดาของการเอาความเป็นกลิ่นอายแบบขนมหรืออาหารไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอม และเป็นการนำเสนอสู่ระดับ International ที่ทำให้ผู้เล่นน้ำหอมสาย Niche ต่างๆ จะได้รับรู้ถึงความแตกต่างทางกลิ่นและซึมซับความหอมได้มากขึ้น รวมถึงการ Exclusive เฉพาะเว็บไซต์หรือร้านน้ำหอมนั้นๆ ยิ่งเป็นการเกื้อกูลกันได้เป็นอย่างดีเพราะจะได้ทั้งการซื้อที่ต้องมาซื้อผ่านร้านนั้นๆ เท่านั้น และเป็นจุดขายที่ดีให้กับร้านน้ำหอมนั้นๆ ในการทำการตลาดด้วยเช่นกัน

สำหรับ Chokedee หรือ “โชคดี” ในภาษาไทย จะมีจุดตั้งต้นของกลิ่นที่นำมาสร้างสรรค์น้ำหอมอย่าง “ข้าวเหนียวมูน” ซึ่งคนไทยๆ อย่างเรารู้จักกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจากข้าวเหนียวมะม่วงหรือว่ากลุ่มแนวข้าวเหนียวสังขยาต่างๆ ซึ่งมีกลิ่นที่หอมเฉพาะตัว และให้ความหวานหนึบเวลาเคี้ยวแล้วกลิ่นข้าวเหนียวกับกะทิและน้ำตาลที่มูนข้าวนั่นฟุ้งหอมขึ้นมาให้รู้สึกฟิน อร่อย หรือพึงใจ ซึ่งนี่แหละที่จะกลายมาเป็นกลิ่นหอมที่จะทำให้เราพึงใจและโชคดีตามมา โดยกลิ่นจะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไร ก็ขอเล่าออกมาได้ตามนี้

กลิ่นเปิดให้อารมณ์กลิ่นอายดอกไม้ขาวที่ไม่หนักไปและก็ไม่เบาไปมาทักทายก่อนใครเพื่อนเลย และในเนื้อกลิ่นจะมีลูกผสมของกลิ่นเขียวอะโรม่าติดหวานโปร่งของใบเตยรวมอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณากลิ่นลึกลงไปจะจับต้องได้ถึงกลิ่นดอกชมนาดที่ให้อารมณ์กึ่งข้าวหอมหุงสุก เคล้ากับกลิ่นหอมเย็นๆ ปร่าหวานหน่อยๆ ของลีลาวดี แกมกลิ่นดอกมะลิใสๆ ที่ทำให้เนื้อกลิ่นในช่วงนี้ได้ความหวานโปร่งเย็นๆ กำลังดี และมีลูกเอื้อนกลิ่นข้าวสุกกึ่งใบเตยที่ให้ความอะโรม่าผ่อนคลาย ซึ่งถือว่าช่วงเปิดให้อารมณ์แบบไทยๆ ในช่วงเช้าๆ ที่ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมและเป็นจุดเริ่มต้นของกลิ่นที่ประกอบเข้าด้วยกันจนเป็นการทำข้าวเหนียวมูนใบเตยที่พอเหมาะ และไม่ได้จงใจเกินไปเสียด้วยซ้ำ อารมณ์บรรยากาศประมาณนั้นเลย

การเข้าสู่ช่วงกลางยิ่งชัดเจนเข้าไปอีกกับการเป็นโทนกลิ่นข้าวเหนียวที่หุงสุกที่เป็น Effect จากดอกชมนาดร่วมด้วย แต่จะมีมิติอื่นๆ เข้ามาเสริมนั่นคือ กลิ่นกะทิที่ไม่ได้มาแบบข้นในลักษณะแบบซันแทนโลชั่น แต่จะมาแบบกลิ่นน้ำกะทิที่สมดุลย์ให้อารมณ์แบบมะพร้าวกะทิที่มีกลิ่นมะลิและใบเตยรวมอยู่ในนั้น และมีความอะโรม่าของชาให้จับต้องได้ร่วมด้วย ตามด้วยกลิ่นออกทางถั่วหน่อยๆ + ไม้จันทร์หอมที่ให้ความครีมมี่มิลค์กี้ที่ได้อารมณ์กลิ่นไม้ครีมมี่นวลๆ สว่างๆ ที่ชัดเจนพอสมควรและเดาไม่ยากว่าจะเป็นแกนหลักของกลิ่นในช่วงถัดไปแน่นอน รวมถึงบางวูบให้อารมณ์กลิ่นแบบหวดนึ่งข้าวที่ซึมเข้าไปในข้าวที่มีเสน่ห์เฉพาะร่วมด้วย ซึ่งทำให้ภาพรวมของกลิ่นกลายเป็นกลิ่นอายคล้ายข้าวเหนียวมูนที่กำลังดี ไม่ได้หวานเกินไปจนกลายเป็นข้าวเหนียวแก้ว โดยที่จะมีไม้จันทน์หอมสร้างความเป็นโทนสีครีมไม่นวลๆ ตลอดเวลา ทำให้มิติกลิ่นช่วงนี้มีความเป็นโทน Gourmand ที่มีความเป็นไทยแต่ไม่ได้ยัดเยียด เน้นให้ความเป็นบรรยากาศทั้งกลิ่นและภาพที่เราจินตนาการตามได้จากการได้รับกลิ่น แน่นอนว่ามีความ Tropical ในเนื้อกลิ่นในสไตล์เอเซียชัดเจน

ช่วงท้ายของน้ำหอมแกนหลักจะกลายเป็นไม้จันทน์หอมเต็มตัว ที่มีความแห้งและมีลักษณะโทนไม้หอมกึ่งวานิลลาอ่อนๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนไล่เฉดที่มีสีครีมนวลเป็นพื้นฐาน โดยจะมีกลิ่นออกทางจืดหอมแกมครีมมี่มิลค์กี้กึ่งกะทิเบาๆ ให้จับต้องได้ แต่ในเนื้อกลิ่นจะแฝงความโปร่งไม้แกม Earthy กึ่งถั่วติดมันหน่อยๆ ที่เป็นเสน่ห์ของการผสมผสานระหว่างหญ้าแฝก ไม้ซีดาร์ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์  รวมถึงมีความเป็นโทน Musk ติดเขียวเบาๆ ที่ทำให้กลิ่นมีโทนสะอาดๆ สบายๆ ติดเขียวเป็นมิติที่ซ้อนเนียนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นข่วงที่ให้ความผ่อนคลาย สบายๆ ที่ให้ความรื่นรมย์ทางกลิ่นอย่างสมดุลย์ในการเป็นโทนสว่างครีมนวลกึ่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวเหนียวมูนที่เรียกรอยยิ้มในการใช้งานที่สร้างความโชคดีตามชื่อกลิ่นได้แบบไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะกลิ่นข้าวเหนียวมูนไม่ว่าจะเพศไหนก็เข้าถึงได้ไม่ยากอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนไทย ซึ่งกลิ่นไม่ได้หนักไป หรือเบาไป มีความสมดุลย์แบบที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญแต่ให้ความเป็นบรรยากาศ หรืออารมณ์เห็นภาพเหี่ยวกับข้าวเหนียวมูนเสียมากกว่า ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่จะมีการใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ข้ามไปจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปก็พอ เพราะกลิ่นไม่ได้ทรงพลังมากขนาดที่จะเอาไปประชันกับโทนหวานแน่นเท่าไหร่

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และสามารถไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายเอื้อมากพอในการต่ออายุน้ำหอมให้ยาวๆ ไปบนผิวกาย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปราวๆ 2 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป แล้ว Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม. แล้ว

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นที่สื่อสารออกมาแบบที่เรียกว่า Modern Thai Twist เลยก็ย่อมได้ เพราะว่าไม่ได้จงใจเอาความเป็นข้าวเหนียวมูนแบบฉ่ำๆ เต็มเหนี่ยวมาป้อนให้ถึงจมูกขนาดนั้น แต่เอาบรรยากาศ กลิ่นอายที่ลอยมาให้รู้สึกได้ หรืออารมณ์แบบที่เราเห็นภาพข้าวเหนียวมูน แล้วเรานึกถึงกลิ่นมันในความรู้สึกอะไรประมาณนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นการวางสมดุลย์ทางกลิ่นที่ดี เอาทั้งความเป็นข้าวเหนียวมูนมาเจอกับไม้จันทน์หอมที่เป็นพื้นกลิ่นสร้างความครีมมี่มิลค์กี้หอมมีระดับได้อย่างลงตัวและงดงามโดยที่ไม่หนักไป เน้นความผ่อนคลายโทนสว่างและสร้างรอยยิ้มที่ก่อให้เกิดเรื่องดีๆ ที่จะตามมาได้ไม่ยาก สมกับชื่อกลิ่นว่า “โชคดี”

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2566

Review: Kenzo - Flower by Kenzo Poppy Bouquet (EDP)

Kenzo - Flower by Kenzo Poppy Bouquet (EDP)

สำหรับ Kenzo Flower ส่วนตัวถือเป็นหนึ่งในน้ำหอมผู้หญิงที่ยอดฮิตตลอดกาล และมั่นใจว่าจะเป็นหนึ่งใน Timeless Scent หรือเป็นน้ำหอมเหนือกาลเวลาของแบรนด์ Kenzo อย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่ปี 2000 ที่เปิดตัวออกมาก็ยังเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ตอบโจทย์การใช้งานของฝั่งผู้หญิงมาเสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องสารภาพต่อนั่นคือ ไม่เคยได้มีโอกาสได้ใช้งานเต็มๆ เลยไม่ว่าจะกลิ่นไหนก็ตามของการเป็น Kenzo Flower เพราะว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง เลยทำให้ผ่านมาก็ผ่านไป ไว้ถ้าได้ใช้ก็ค่อยว่ากัน 

จนวันหนึ่งได้อุดหนุนน้ำหอมของ Kenzo แล้วพอเปิดออกมาก็ได้เห็น Kenzo Flower by Kenzo Poppy Bouquet ขนาดพกพาเล็กๆ แถมมาให้ด้วย จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจในการเรียนรู้กลิ่นแบบเต็มๆ ซักที แม้ว่าจะไม่ได้เป็นตัว Flower ต้นตระกูล แต่เป็นเหมือนไลน์ย่อยทีเป็นรุ่นลูกอย่าง Poppy Bouquet (EDP) แทน เช่นนั้นได้เวลามาเรียนรู้กลิ่นกันหน่อยแล้วว่าจะออกมาเป็นรูปแบบไหน

บอกก่อน - จะไม่ได้บอกถึงความเชื่อมโยงของกลิ่นกับความเป็นต้นตระกูลอย่าง Kenzo Flower เนื่องจากยังไม่ได้ใช้รุ่นแรกนั้นเต็มๆ ซึ่งจะขอเล่ากลิ่นที่ความเป็น EDP ของ Poppy Bouquet เป็นสำคัญ

กลิ่นเปิดมีความสดใส แต่ไม่ได้กิงก่องแก้ววัยรุ่นจ๋าเกินไป เพราะเนื้อกลิ่นยังให้อารมณ์แบบผู้หญิงที่มีความอ่อนโยนแฝงอยู่ให้จับต้องได้ตลอด ซึ่งช่วงเปิดคือความเป็นโทน Fruity ของลูกแพร์ที่ให้ความฉ่ำแกมสดใสหอมหวานกำลังดี โดยมีตัวสร้างความสดชื่นอย่างสาย Citrus เข้ามาร่วมด้วยซึ่งจับเนื้อกลิ่นแล้วน่าจะเป็นส้มที่เป็นตัวเชื่อมโทนได้ทั้งความสดใสและความหวานในเวลาเดียวกัน แต่กลิ่นสาย Citrus ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงหรือชัดเจนมากนัก เพราะเปิดทางให้กลิ่นลูกแพร์ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการสร้างโทนกลิ่นหวานใสอย่างพอเหมาะและลงตัว รวมถึงจะเริ่มจับต้องถึงกลิ่นอายดอกไม้สีชมพูแกมขาวที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาทีละหน่อยๆ รวมอยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงต้นคือการเป็นโทน Fruity Floral ที่ชัดเจนและมีความสมดุลย์กำลังดีแบบ Feminine Daily Scent เต็มๆ

การเข้าสู่ช่วงกลางจะชัดเจนมากขึ้นนั่นคือ โทนดอกไม้แบบใสๆ จะเสริมเข้ามาตีคู่กับกลิ่นลูกแพร์แบบคนละครึ่ง แต่สนับสนุนซึ่งกันและกันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งนั่นก็คือกุหลาบ ที่จะมาแบบใสๆ ให้ความโรแมนติคแบบกำลังดี แต่มีความนวลละมุนที่เชื่อมโยงกับโทนดอกไม้ขาวที่ให้ความนุ่มนวลอย่างดอกพุดที่เป็นโทนหวานหอมนวลสร้างความอ่อนโยนแบบกำลังดี ซึ่งช่วงนี้เอาจริงๆ แทบไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก เพราะเนื้อกลิ่นเป็นโทนที่เข้าถึงง่ายและมีความหวานหอมแบบน้ำหอมผู้หญิงที่กึ่งสดใสกึ่งนุ่มนวลอ่อนโยนไปพอเหมาะ แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือ เนื้อกลิ่นมีลักษณะแบบอวลๆ กึ่งอบอุ่นกึ่งไม้หอมแฝงอยู่ เลยทำให้กลิ่นมีความหนาอวลแบบเนียนๆ แต่ยังไงก็ยังให้ความพอเหมาะและเข้าถึงง่ายมากเช่นเดิม และมีความ Feminine ชัดเจนแบบไม่ต้องเสาะหาเลยแม้แต้นิดเดียว

ช่วงท้ายคือไม้หอมติดอบอุ่นที่จับต้องได้เลยว่ามี Ambroxan หรืออาจจะเป็น Cetalox สารหอมที่ให้ความอบอุ่นแกมไม้หอมกึ่งผิวกายติดเค็มหน่อยๆ แบบ Ambergris เป็นแกนหลักในการสร้างความอบอุ่นติดอวลๆ เพียงแต่มีการเกลากลิ่นมาอย่างดีทำให้โทน Animalic ติดเค็มๆ มาให้รู้สึกเท่าไหร่ แต่จะเป็นกลิ่นไม้หอมติดอบอุ่นกำลังดี ที่มีความหวานหอมของดอกพุดมาทำให้กลิ่นมีความหวานแกมอ่อนโยนแบบสบายๆ ไม่ได้หนักหน่วงเกินไป ซึ่งทำให้ช่วงท้ายจะมีความดึงดูดแบบเข้าถึงได้ง่ายและยังไงก็รอดในการใช้งานสูงมาก เป็นการปิดท้ายแบบไม่ต้องเล่นใหญ่เล่นเยอะแต่ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็สามารถใช้งานกลิ่นนี้ได้แล้ว ซึ่งกลิ่นเข้าถึงง่าย มีความหอมหวานสดใสและอ่อนโยนที่เข้าทางการเป็น Daily Scent แบบชัดเจนและเต็มตัว ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่ถ้ารจะใส่ออกกำลังกาย แนะนำรอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือชิลล์ๆ ทั่วไปจะดีกว่า เพราะถ้าจะใส่ไปแข่งกับชาวบ้านแบบโปรยเสน่ห์ยามท่องราตรี โดนกลบเอาง่ายๆ เลยล่ะ

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นค่าเฉลี่ยของกลิ่นนี้เลย และสามารถไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมและสภาพผิวเอื้อมากพอ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และจะลงมาที่ปานกลางไปราวๆ 2 - 3 ชม. ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป จนเมื่อแตะราวๆ 6 - 7 ชั่วโมงแล้วจะค่อยๆ ลงมาเป็น Skin Scent   

สรุป - #ของดีเทคนิคไม่ต้อง กลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นที่ยังไงก็หอม ยังไงก็รอด ได้ใจการใช้งานแบบไม่ต้องพยายามอะไรมากในการแสดงความแตกต่าง เน้นการใช้งานที่วันนั้นยังไงเราก็หอมได้สบายมาก ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีในการใช้งานแบบไม่จำเป็นต้องซับซ้อนแต่อย่างใด แต่ก็ให้ความหวานโปร่งและอ่อนโยนได้กำลังดี และที่สำคัญกลิ่นลูกแพร์ พันธุ์นาชิ ในน้ำหอมกลิ่นนี้หอมจริงอะไรจริง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.kenzoparfums.com/fr/en/fragrance/femme/flower-by-kenzo-femme/flower-by-kenzo-poppy-bouquet/K10100134.html

 

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2566

Top 10 - My Favorite Newcomer Fragrances of 2022

 

Top 10 - My Favorite Newcomer Fragrances of 2022

ยังคงเป็นเหมือนเดิมเพราะสถานการณ์ Covid-19 เองก็ลุ่มๆ ดอนๆ จึงเป็นอีกปีที่ค่อนข้างยากมากในการได้น้ำหอมใหม่ๆ มาเป็นหนึ่งในสมาชิก เช่นนั้น ปีนี้เลยเป็นอีกปีที่ซื้อน้ำหอมได้น้อยลง ตามข้อจำกัดของสถานการณ์ที่มีอยู่ เลยทำให้ตัวเลือกต่างๆ ลดลงไปมาก แต่

เมื่อได้เวลาของการเลือกน้ำหอมที่ได้มาใหม่ในปี 2022 จำนวน 10 กลิ่นที่สร้างความประทับใจ ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก แม้ตัวเลือกจะลดลงก็ตาม เพราะทุกกลิ่นต่างคิดมาแล้วว่า “ต้องใช่แน่ๆ” และยอมที่จะเสียเงินเพื่อครอบครอง เช่นนั้นกว่าจะเลือกได้ เล่นเอาเครียดกันเลยทีเดียว ซึ่งก่อนที่จะเข้าเรื่อง Top 10 ก็มีกลิ่นที่จำใจต้องยอมที่จะเอาออกจาก List ไปไปน้อย ซึ่งก็ขอให้เครดิตโดยการระบุชื่อบางส่วนไว้ที่นี้เลย

Strangers Parfumerie - Autumn Tea & Yuzu Vanilla, Tada Parfumeur - Semishigure, Dior - Sauvage Elixir, Elizabeth And James - Nirvana Amethyst, Elizabeth And James - Nirvana French Grey, Etro - Rajasthan, Halston Z-14, Parfum d'Empire - Corsica Furiosa และ Perry Ellis - Oud Black Vanilla Absolute  เป็นต้น

เช่นนั้นก็ขอเข้าสู่ 10 กลิ่นน้ำหอมที่ได้มาแล้วประทับใจ โดยไม่ได้เรียงลำดับตามความชอบและไม่ได้สนใจว่าจะผลิตหรือวางจำหน่ายปีไหนเน้นเฉพาะที่ได้มาในปี 2022 เพียงอย่างเดียวของเข็มขัดสั้น เริ่มที่

Lempicka - Green Lover 

น้อยครั้งมากๆ ที่จะเจอการจับเอาโทนกลิ่นเขียวๆ ออกทางปร่ามินต์มาเจอกับความเป็นวานิลลาที่หอมหวานอุ่นเย้าน่าซบ ซึ่งนี่คือความประทับใจอย่างแท้ทรูเลยที่เปิดตัวมาด้วยอารมณ์กลิ่นแนวเครื่องดื่มค็อกเทลมินต์สดชื่นที่มีความเขียวแกมปร่าจินโทนิคและมีความเป็นส้มแซมๆ โดยมีความเป็นโทนเผ็ดนวลๆ คลอให้กลิ่นมีน้ำหนักแต่ก็ยังคงความใสอยู่ แต่พอเริ่มเปลี่ยนเข้าช่วงกลางกับท้ายจะกลายเป็นค็อมเลมินต์วานิลลา และวานิลลาอบอุ่นหอมหวานน่าซบที่สุดของแจ้ เรียกว่าเปิดกับปลายกลายเป็นคนละอย่าง แต่เชื่อมโยงกันได้โคตรจะลงตัวจริงๆ กด Love ทันทีไม่มีข้อแม้  

Etat Libre d’Orange - Une Amourette 

กลิ่นสะอาดมีระดับแบบเก๋ๆ ที่มีการซ่อนกลิ่นอายแนว Dirty Earthy เนียนๆ เข้าไปร่วมด้วย ซึ่งเป็นการเจอกันระหว่างดอกส้ม Neroli พิมเสน กับโทน Fresh Spicy แกมไม้หอมที่ให้ความสะอาดก็ได้ เนียนหวานเย้าก็สามารถ และให้ความปร่าระเรื่อมีเสน่ห์ก็ได้ด้วย ก่อนจะเสริมด้วยโทนกลิ่นแนวดินๆ ชื้นๆ แกมแป้งที่ได้ความ Contrast กัน ก่อนจะสมทบด้วย Oud เบาๆ ที่ไม่ได้ข้นอวลกับกลิ่นไม้แกมพริกไทยแห้งๆ ซึ่งทุกอย่างแม้มีเอกเทศในการเป็นกลิ่นของตัวเอง แต่มาเจอกันได้อย่างสมดุลย์ เก๋ ซึ่งจะกรุยกรายก็ได้ จะมีเสน่ห์เรียบง่ายแต่มีชั้นเชิงก็สามารถ เป็นหนึ่งกลิ่นที่ดมแล้วรักเลย   

Atelier des Ors - Pomelo Riviera 

อาจจะไม่ได้เป็นกลิ่นที่ลองครั้งแรกแล้วเกิดความประทับใจ ก็เพราะว่าผ่านน้ำหอม Citrus แกมเค็มทะเลมาก็เยอะ แต่พอได้ใช้มากครั้งเข้า เราก็เริ่มเห็นถึงเสน่ห์ในการจับคู่ความหอมที่เอากลิ่นแนวคล้ายๆ ส้มโอ (ซึ่งเป็นการผสมผสานเกรปฟรุตกับ Citrus อื่นๆ) มาเจอกับกลิ่นเค็มเกลือที่ได้อารมณ์แบบไอทะเลแกม Aquatic แฝง ปรุงแต่งความกลมกล่อมที่ยังมีความสดชื่นของกลิ่นด้วยดอกส้ม ซึ่งโทน Citrus หอมแกมหวานสดชื่นจะอยู่ยงคงกะพันไปจนถึงช่วงท้ายให้ความเป็น Woody Musky ที่ติดเปรี้ยวอมหวานผ่อนคลาย นั่นไงในที่สุดก็โดนตกเข้าด้อมเรียบร้อย

Siam 1928 - Rasvika 

ดมครั้งแรกแล้วหยุดไม่ได้ที่จะวนกลับไปดมซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะสัมผัสความเป็นโทนปร่าสมุนไพรที่มีความ Spicy แกม Aromatic แฝงความนวลอวลรองพื้นแล้วเกิดความประทับใจ จึงไม่ลังเลที่จะเอากลับเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัว ก็ยิ่งทำให้สัมผัสได้ถึงความสุขในการรับกลิ่น เพราะเนื้อกลิ่นแยกเป็นฝั่งสมุนไพร + เครื่องเทศแบบไทยกับกลิ่นดอกไม้ขาวแกม Powdery Woody Musk ที่ทอต่อเนื่องกันอย่างสมบูรณ์ให้ความหอมปร่าสดชื่นแบบไทยก็ได้ มีความสะอาดละมุนแกมหวานแบบ Modern ก็สามารถ ถือเป็นกลิ่นอายแบบไทยที่แตะความเป็น Niche Inter ได้อย่างไม่ธรรมดาจริงๆ 

Yves Rocher - Nouveau Genre

กลิ่นอายพิมเสนที่ให้เสน่ห์แบบหาตัวจับได้ยาก กับการเป็นตัวเมนยาวๆ กับการใช้ลูกเอื้อนกลิ่นค่อนไปทางชอคโกแลตที่มีในพิมเสนมาผสมผสานกับกลิ่นถั่วตองก้าที่ให้ความเป็นกึ่งยาสูบกึ่งอัลมอนด์ที่แฝงความครีมมี่เนียนๆ ใส่ความเป็นไม้แห้งแกมดินลงไปให้กลิ่นมีเสน่ห์ในการเป็นโทน Woody Earthy Patchouli อย่างสมดุลย์ ก่อนจะเสริมด้วยวานิลลาอ่อนๆ แกมแป้งอบอุ่นกับการเพิ่มความกระจ่างหวานปร่าระเรื่อในเนื้อกลิ่น เอาตรงๆ นี่คือ Mugler - Angel Muse ที่เกลาโทนขนมออกไปพอสมควร คงเหลือเพียงเสน่ห์พลิ้วๆ ที่ใช่แล้วดึงดูดน่าค้นหา นี่แหละที่ประทับใจมาก 

Fragonard - Fleur d’Oranger Intense  

กลิ่นดอกส้มที่เรียกว่าโคตรที่จะธรรมชาติเลย และในทุกๆ ครั้งที่ได้กลิ่นจะมีความสุขในจิตใจให้รู้สึกได้เสมอ ซึ่งชัดเจนมากว่าต้องเป็น 1 ใน 10 ขวดแน่นอนสำหรับกลิ่นนี้ เพราะให้ความเป็นดอกส้มที่ไล่เรียงจากติดเขียวแกม Citrus ของ Neroli สู่การเป็น Orange Blossom ที่ให้ความหอมระเรื่อมีความใสกระจ่างและธรรมชาติมากกว่าจะไพล่ไปนวลสะอาดหวานอมเปรี้ยว ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยความรื่นรมย์ของความเป็น Musk อ่อนๆ ติดหวานแกมน้ำผึ้งเล็กๆ ที่ชูโรงให้กลิ่นดอกส้มมีความหอมแกมหวานรื่นรมย์แบบกำลังดีคลอผิว ทุกอย่างเป็นกลิ่นแห่งความสุขโดยแท้

by Kilian - Angels’ Share  

แน่นอนว่า by Kilian ไม่เคยทำให้ผิดหวังในเรื่องความเซ็กซี่มีระดับและหรูหราผ่านกลิ่นมาเสมอ และกลิ่นนี้ก็เช่นกัน เพราะเนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นเหล้าคอนยัคหวานอบเชยที่คาบเกี่ยวระหว่างความโปร่งและความอวลได้อย่างพอดี กลิ่นมีความเย้ายวนรัญจวนที่แม้กว่ากลิ่นจะไม่ได้แน่นแต่มีความชัดเจนในการแผ่พลัง แล้วจะทิ้งท้ายด้วยกลิ่นอายไม้หอมแกมกลิ่นพราลีนวานิลลาที่ก็ไม่ได้ไปสายข้น มีความอบอุ่นกำลังดี แต่หอมหวานลึกที่มีเสน่ห์และชวนชิมมาก เรียกว่าใช้แล้วมีความหวานเย้าๆ เจ้าเสน่ห์ตลอดเวลาแบบที่ได้กลิ่นแล้วเผลอเป็นไม่ได้ต้องหาเรื่องดมซ้ำไปซ้ำมาตลอด 

AJMal - Musk Silk Supreme

ชีวิตเราต้องการความซับซ้อนทางกลิ่นมากขนาดไหนกันเชียว? แต่ถ้าได้กลิ่นนุ่มๆ หอมนวลๆ สะอาดแกมหวานหน่อยๆ มีความเป็นไม้หอมแห้งๆ คลอตลอด มีความสว่างในกลิ่น ให้ความรื่นจมูกแบบไม่ซับซ้อน ไม่ได้มีโทนแปลกๆ เฉพาะตัวอะไรมาให้ตกใจ ใช้ง่าย ความทนดีงาม เป็นหนึ่งในของดีเทคนิคไม่ต้อง และเป็น Signature Scent ประจำตัวได้ไม่ยาก รวมถึงสามารถใช้ได้แบบ Daily Scent ที่ได้รับคำชมจากคนอื่นได้ไม่ยากอีกด้วย แบบนี้ก็ตอบโจทย์ด้วยเช่นกันนะ เพราะชีวิตก็ต้องมีความมินิมัลบ้าง ซึ่ง Musk Silk Supreme ก็เป็นหนึ่งในกลิ่นประเภทนี้เลย ไม่ซับซ้อน แต่เอาอยู่

Woods of Windsor for Men  

British Gentleman” คือทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกถึงความเป็นกลิ่นนี้ ซึ่งแม้ว่าจะมาในลักษณะกลิ่นอายแนว Classic Cologne แต่สิ่งที่ได้คือ ความไม่หนักหน่วงเกินไป ง่ายๆ คือให้ความเป็นผู้ดีสไตล์ Classic และที่เกินคาดไปมากคือ เนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติสูงมากจนเรียกว่าเกินคุ้มก็ว่าได้ในการได้มาครอบครอง ซึ่งแกนหลักของกลิ่นคือ กานพลู Citrus และ Oak Moss ที่ทำหน้าที่เป็นอย่างดีในการให้ความสดชื่น ไล่เรียงสู่ความเผ็ดปร่าที่สมดุลย์ และเป็นกลิ่นเขียวเข้มกึ่งหมึกแมนๆ สไตล์ Retro ในช่วงท้าย ซึ่งไม่แปลกใจว่าทำไมกลิ่นนี้อยู่ยงคงกะพันมาตั้งแต่ปี 1981 จนถึงทุกวันนี้  

Nobile 1942 - Il Sentiero degli Dei

Il Sentiero degli Dei แปลว่า “ทางเดินของพระเจ้า” ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญในการ Hiking Trail เลียบเลาะตามหน้าผาเพื่อชมทะเลเมดิเตอร์ราเนียนก่อนไปสิ้นสุดที่ Amalfi Coast ซึ่งแบรนด์นี้ถอดเอาความงามของสภาพแวดล้อมมาเป็นกลิ่นหอมได้อย่างสวยงาม โดยไม่ต้องมีกลิ่นไอทะเล แต่เน้นที่กลิ่นดอกไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ ระหว่างทาง ทำให้ได้กลิ่นอาย Citrus ที่ติดหวานดอกไม้แกมเขียวที่มีความหวานผลไม้หน่อยๆ ที่บางวูบมีอารมณ์เหมือนกลิ่นน้ำผึ้งใสๆ แล้วจะปิดท้ายที่กลิ่นนวลสะอาดสบายๆ มีความอบอุ่นแกมหวานปลายที่รื่นรมย์ เรียกว่าใช้ทีไร รอยยิ้มบังเกิด แถมเวลากลิ่นตีขึ้นรอยยิ้มก็บังเกิดอีก ความสุขชัดๆ    

ทั้งหมด ถือเป็นสมาชิกใหม่ของเข็มขัดสั้นในปี 2022 ที่สร้างความประทับใจในเนื้อกลิ่นอย่างมากกับการได้มาครอบครองและสร้างความสุขในการเติมเต็มสีสันของชีวิตในแต่ละวันมาเสมอ และสุดท้าย

Happy New Year ขอให้มีความสุขกับกลิ่นหอมรายล้อมรอบตัวกันตลอดทั้งปีนะครับ


วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: Etat Libre d’Orange - Une Amourette

Etat Libre d’Orange - Une Amourette

จุดเริ่มต้นจากความต้องการต่อยอดทางด้านน้ำหอมของ Fashion Designer ชื่อดังอย่าง Roland Mouret ด้วยการมาพบเจอกับเจ้าของแบรนด์ Etat Libre d’Orange จนก่อให้เกิดการ Collaboration ร่วมมือกันในการสร้างสรรค์น้ำหอมออกมาที่ตอบโจทย์ทั้งสไตล์แฟชั่นของ Roland Mouret เอง + กับความเก๋ไก๋ที่ไม่เหมือนใครในสไตล์น้ำหอมของ Etat Libre d’Orange และสิ่งที่ได้ออกมานั้นก็คือ

Une Amourette ที่มาจากการสร้างสรรค์ของ Perfumer มากฝึมืออย่าง Daniela Andrier ที่มาผนวกเอาความเก๋ไก๋กับความเป็นแฟชั่นที่หรูหราและมีเสน่ห์เฉพาะตัวออกมา และเนื้อกลิ่นจะสื่อสารออกมาอย่างไรนั้นว่ากันได้ตามนี้

ช่วงเปิดคือการสร้างความประทับใจออกมาชัดเจนมากกับการจับคู่ความหอมที่ลงตัวระหว่าง โดยเริ่มจากฝั่งลูกผสมของการเป็นโทน Citrus อย่าง Neroli หรือดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ ซึ่งถ้าเอาตัวนี้เป็นหลักก็จะได้กลิ่น Citrus เปรี้ยวติดเขียวปร่าแกมนวลปลายกลิ่น แต่สำหรับกลิ่นนี้ไม่ใช่แบบนั้น เพราะอีกฝั่งที่มาผสานด้วยจะเป็นสายเครื่องเทศอย่างพริกไทยสีชมพูที่ให้ความฝาดปร่านวลและมีลูกเอื้อนกุหลาบบางๆ เคล้ากับความหวานเย้าเผ็ดหน่อยๆ ของเม็ดกระวานที่เสริมเข้ามา ทำให้เนื้อกลิ่นในช่วงต้นกลายเป็นกลิ่นดอกส้มติดเขียวที่ไม่ได้มีความเปรี้ยวเขียวเด่นเลย แต่จะเป็นดอกส้มที่มีความเป็นปร่านวลแกมหวานกระวานที่สมดุลย์มาก เนื้อกลิ่นแม้จะมีโทนสะอาดให้พอจับต้องได้ แต่จริงๆ มี Hint ซ่อนอยู่หน่อยๆ ที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นเหงื่อที่ไม่ได้ Dirty แฝง เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเย้าเซ็กซี่เข้ามาร่วมด้วย

เมื่อเนื้อกลิ่นเข้าสู่ช่วงกลาง ก็จะเปิดตัวแกนหลักของกลิ่นอย่างพิมเสนที่ให้ความปร่าหวานระเรื่อแกม Earthy ดินๆ ที่ลดทอนความ Dirty ลง มาเป็นเลเยอร์ที่ฟุ้งออกมาพร้อมกับความเป็นโทนแป้งฝุ่นของไอริส โดยจะเอากลิ่นในช่วงต้นทั้งหมดมาผนวกด้วย ทำให้ช่วงกลางอารมณ์กลิ่นจะเป็นแป้งฝุ่นที่มีความปร่าซ่าระเรื่อๆ แกมหวานเครื่องเทศแบบสมดุลย์ โดยมีกลิ่นดอกไม้ขาวสดชื่นหน่อยๆ ของดอกส้ม และที่สำคัญมีกลิ่นของพีชเข้ามาสร้างมิติแบบผลไม้หวานเข้ามาเนียนๆ ในกลิ่นด้วย เลยทำให้ช่วงนี้ชัดเจนมากจริงๆ กับการเป็นกลิ่นอายโทน Unisex ที่แตะได้ทุกเพศ และมีเสน่ห์ติดปร่าระเรื่อที่ผสานกันได้อย่างลงตัวมาก ต้องยอมเลยว่าเป็นไฮไลท์จริงๆ

ในช่วงเปลี่ยนถ่ายสิ่งหนึ่งที่เริ่มจับต้องได้มากขึ้นตามลำดับคือกลิ่นอายไม้หอมที่มีความติดพริกไทยแกมกลิ่นค่อนไปคล้าย Oud เบาๆ ที่มาแบบไม่ได้เย้า ไม่ได้อวลลึก ไม่ได้ดาร์ก อารมณ์ Oud แบบอ่อนๆ ที่ยังไม่ได้เข้ม ซึ่งพอมาเจอกับพิมเสน เลยทำให้นึกถึงกลิ่นของสารหอมอย่าง Akigalawood ที่ค่อนๆ เปิดตัวออกมาชัดเจนมาก ทำให้โทนกลิ่นยังคงให้อารมณ์ปร่าระเรื่อพิมเสนที่มีเสน่ห์ของไม้หอมติดพริกไทยได้ชัดและมีเสน่ห์มากเช่นเดิม พ่วงด้วยความเป็นแป้งปร่าในช่วงกลางแกมหวานยางไม้หน่อยๆ ที่มาเป็นลูกเอื้อน แต่เพิ่มเติมความอบอุ่นเข้ามาอ่อนๆ ของวานิลลาที่มาทำให้กลิ่นมีมิติที่ดึงดูดและหวานอ่อนโรแมนติค โดยเนื้อกลิ่นไม่ได้ไปสายข้นหนักแต่อย่างใด ออกทางแห้งโปร่งๆ ที่มีความอวลกำลังดีเสียมาก เรียกว่าปิดท้ายได้มีเสน่ห์ครบเครื่องและไม่เหมือนใครได้งดงาม

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนกวาดหมดทุกเพศ เพราะพื้นฐานคือพิมเสนแกมไม้หอมที่มีความปร่าหวานกำลังดีแตะได้ทุกเพศ ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบให้อารมณ์วางตัวดี มีเสน่ห์ และมีความเก๋ไปในตัว แต่ไม่ค่อยเข้าทางการใส่ออกกำลังกายเท่าไหร่ ให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืรนเข้าทางการใส่ออกงานมาก ยิ่งกับเสื้อผ้าแนวทักซิโด้หรือชุดเดรสราตรีนี่เรียกว่าเหมาะจริงอะไรจริง รวมถึงการใส่เพื่อความโรแมนติค แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีท่ามกลางผู้คนที่อัดหนักความแน่นของกลิ่น อันนี้สู้เข้ายากนิดนึง

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน ซึ่งสามารถไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมและสภาพผิวเอื้อ เพราะส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 15 ชม. เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาในช่วง 10 นาที แรก ก่อนที่จะลดลงมาที่กระจายดีไปต่อราวๆ 1 ชม. แล้วจะผ่อนลงมาเป็นปานกลางไปจนถึงชั่วโมงที่ 4 ถึงลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ ซึ่งจะเป็น Skin Scent จริงจังเมื่อผ่านไปราวๆ 8 - 10 ชม. ไปแล้ว

สรุป - เนื้อกลิ่นมีเสน่ห์มาก แถมมีอะโรม่าที่กำลังดีของพิมเสนแกมไม้หอมติดเผ็ดปร่านวลที่ลงตัวมากๆ อีกหนึ่งกลิ่น ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ออกมาได้เข้ากับสไตล์ของการเป็น Roland Mouret ที่มีความกรุยกรายเก๋ๆ ก็ได้ และเข้ากับกลิ่นอายสายเย้ายวนมีเสน่ห์ที่แตกต่างในสไตล์ของ ELDO ส่วนตัวถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ให้ความประทับใจมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.etatlibredorange.com/products/une-amourette

 

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: 4160 Tuesdays - Be Careful What You Wish For

4160 Tuesdays - Be Careful What You Wish For

สำหรับแบรนด์ 4160 Tuesdays แรกเริ่มสุคนธกรอย่าง Sarah McCartney เองถือว่าเป็นหนึ่งในสายอินดี้ที่ไม่ได้จะลงมาแย่งกับตลาดสาย Oud เพราะว่าสามารถครีเอทกลิ่นอายที่มีความเก๋ไก๋ตามสไตล์ของแบรนด์โดยไม่จำเป็นต้องพึ่ง Note นี้ อีกอย่าง Oud ก็มีเยอะแล้ว ไปเจาะด้านอื่นน่าสนใจกว่า จะมีก็มาแตะบ้างก็เพราะเอามาเป็นองค์ประกอบในการสร้างสรรค์อย่างกลิ่น Lion Cupboard ที่ให้กลิ่นไม้ที่มีความลุ่มลึก แต่เพราะยังไม่ได้อินมากและยังไม่ได้เจอแบบที่ถูกใจด้วยส่วนหนึ่ง

จนเมื่อสุคนธกรได้มีโอกาสไปเที่ยวดูไบ และลองซื้อ Oud ที่แตกต่างกัน 5 ประเภทมาสัมผัสด้วยตนเอง และก็ได้พบว่าได้เวลาเปลี่ยนใจมาลองทำกลิ่น Oud ดูบ้างแล้ว เพราะเจอกลิ่น Oud ที่ถูกสเปคจึงได้เป็นที่มาในการมาผนวกกับสไตล์กลิ่นเก๋ๆ ของแบรนด์ และในที่สุดก็ออกมาเป็นกลิ่น Be Careful What You Wish For ในที่สุดกับการสร้างสรรค์กลิ่น Oud ที่แตกต่างเกินคาด จนสามารถเล่าออกมาได้แบบนี้ว่า

นี่คือ Fresh Fruity Oud ที่ให้ทั้งเสน่ห์แบบมีสไตล์เฉพาะตัวมากเลยทีเดียว เพราะกลิ่นที่เป็นแกนหลักเลยต้องยกให้สายผลไม้ที่ให้ความหวานเย้าและให้ความรู้สึกเข้าโทนสีม่วงอย่างพลัม ที่จะมีกลิ่นโทนเบอร์รี่ที่ดึงเอาด้านหวานดาร์กออกมามากกว่าจะมาแบบใสๆ เป็นตัวสนับสนุนที่จะพุ่งออกมาแรกสุดโดยจะมีกลิ่นปร่าหน่อยๆ ที่ให้อารมณ์คล้ายเหล้าจินมาเสริมพร้อมด้วยกลิ่นหอมพีชที่หวานกำลังดีและมีความ Citrus หน่อยๆ เสริม โดยที่ะจับต้องกลิ่นกลิ่น Oud ที่มีความอวลลึกแบบกำลังดี ไม่ได้มีความอาระเบียนมาทำให้เนื้อกลิ่นเปลี่ยนโทน แต่ดึงเอาความเย้าน่าค้นหาของ Oud มาเสริมแบบฉากหลังเสียมากกว่า ซึ่งถือว่าช่วงเปิดให้อารมณ์สีม่วงที่มีความหวานแกมใสแกมอวลกลางๆ อารมณ์เกิอบจะไซรัป แต่ยังคุมโทนธรรมชาติได้ดีให้อารมณ์เย้าๆ แกมสดชื่นหน่อยๆ ดึงความน่าค้นหาในเนื้อกลิ่นได้ดีมากตั้งแต่แรก 

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มปรับโทนจนทำให้สัมผัสได้ว่า กลิ่น Oud ที่มีความอวลเย้าลึกๆ กำลังดีชัดเจนมากขึ้นตีคู่กับกลิ่นผลไม้ที่คราวนี้จะเป็นลูกผสมพลัมกับเบอร์รี่เลย ซึ่งจะจับความเย้าหวานลึกสีม่วงของพลัมชัดเจน โดยที่มีความหวานหอมราสเบอร์รี่ที่มีปลายกลิ่นเป็นกลิ่นสตรอเบอร์รี่ ทำให้เนื้อกลิ่นได้อารมณ์แบบสีม่วงผสานกับสีแดงทำให้มีความเข้มลึกเย้ามากขึ้น โดยที่มี Oud มาเสริมแถมมีกลิ่นออกทาง Smoky กำลังดีเข้ามาร่วยมด้วย โดยที่บอกเลยว่าไม่แขก ไม่อาหรับ แต่ให้อารมณ์โทนกลิ่นผลไม้ที่มีความเป็นสีม่วงแกมแดงเข้มที่มีความดาร์กหวานน่าค้นหาและดึงดูดสูงมาก ซึ่งช่วงนี้ต้องยอมเขาเลยว่าเอา Oud มาเกลาให้กลิ่นมีความอวลลึกเย้าแกมนุ่มนวลได้ลงตัวมาก ไม่แย่งซีนแต่มีความเด่นที่สนับสนุนโทนผลไม้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีความดาร์กมากขึ้นแต่ไม่ได้ข้นหนักเกินไป และมีความปร่าระเรื่อหวานอ่อนๆ ของพิมเสนเสริมเข้ามาทีละหน่อย ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวที่ตอนนี้เนื้อกลิ่นของพลัมกับ Oud จะเป็นเนื้อเดียวกันแล้วอย่างชัดเจน ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นแบบ Oud ที่ฝังความเป็นผลไม้เข้าไปทุกอณู โดยที่จะมีความนวลๆ วานิลลาเข้ามาเกลาให้กลิ่นที่แม้จะดาร์กจะมีความควันๆ หน่อยๆ มีความนุ่มนวล ซึ่งเนื้อกลิ่นในภาพรวมทั้งหมดยังคงให้ความหวานเย้าลึกและให้โทนสีม่วงเข้มแต่ไม่แน่นอวลหนักได้พอเหมาะ แถมที่สำคัญตัวแย่งซีนที่ส่งเสริมให้กลิ่นมีเสน่ห์มาอกอย่างพิมเสนก็ทำหน้าที่ให้ความปร่าระเรื่อได้ดีมาก เป็นการปิดท้ายได้ลงตัว มีเสน่ห์น่าค้นหาครบถ้วนมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เข้ากับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งแม้จะมีความหวาน แต่พอตัดด้วย Oud แล้วมันดันมีเสน่ห์น่าค้นหาในความเป็นโทนสีม่วงเข้มได้ดีจนเข้าได้หมดกับทุกเพศ ซึ่งลงตัวกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบใส่ทั่วไป หรือใส่ทำงาน Office แต่ถ้าใส่ออกงานทางการจัดๆ อาจจะไม่ได้เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงาน ใส่โรแมนติค หรือว่าใส่ท่องราตรีแบบหรูๆ มีระดับอันนี้ลงตัวมาก ส่วนการออกกำลังกายหรือใส่กิจกรรมลุยๆ กลางแจ้ง เว้นไปเถอะ ไม่เข้ากันเท่าไหร่

ความทน - ดีงามมากกับ 10 ชม. เป็นพื้นฐานในการใช้งาน ซึ่งไปต่อได้อีกเสียด้วยถ้าจำนวนสเปรย์กับสภาพผิวเอื้อมากพอ ซึ่งส่วนตัวเจอไป 15 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนแรก และคงที่ไปราวๆ 15 นาทีได้ ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายดีไปพักใหญ่ ถึงลงมาเป็นปานกลางๆผเรื่อยๆ จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 4 ก็จะเริ่อมผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว และพอผ่านไป 8 ชม. แล้ว ก็เข้าสู่การเป็น Skin Scent แบบค่อยเป็นค่อยไป

สรุป - เป็นโทนพลัมเบอร์รี่ Oud ที่ทำออกมาได้ดีมาก เกินความคาดหวังในด้านดีไปเยอะเลยกับเนื้อกลิ่นที่ให้ความหวานลึกในโทนสีม่วงเข้มได้งดงามและหวานเย้าจริงๆ เรียกว่าสมกับชื่อกลิ่นด้วยเช่นกัน เพราะเดาทางกลิ่นมาอีกแบบ พอมาเจอจริงกลายเป็นอีกแบบที่ลงตัวมาก ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่แบรนด์นี้ปล่อยของได้เก๋และมีเสน่ห์มาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ 

Photo Credit - https://www.4160tuesdays.com/becareful.html