BeauFort London - Vi Et Armis
BeauFort London เป็นหนึ่งแบรนด์ Niche จากเมืองผู้ดีที่เปิดตัวในปี 2015 ด้วยการนำเสนอกลิ่นอายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเครือจักรภพอังกฤษ กับการสื่อสารที่ทั้งจินตนาการออกมาว่าควรจะเป็นแบบนั้นๆ หรือกลิ่นอายจริงๆ ที่เป็น โดยดึงเอาความเป็นยุคต่างๆ ตามประวัติศาสตร์มาร้อยเรียงเป็นกลิ่นต่างๆ โดยมีพื้นฐานจาก Event สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นการรบ การค้าขาย และการสำรวจต่างๆ
แต่เอาจริงๆ ไม่ได้มีแค่นั้น เพราะเจ้าของแบรนด์เองอย่าง Leo Crabtree เองก็มาสายนักดนตรีและนักเขียนที่เอาความดาร์กเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างผลงานตัวเองอีกด้วย เช่นนั้นเมื่อจับเอาทั้ง Concept ของแบรนด์และความเป็นตัวต้นของเจ้าของแบรนด์ เลยได้อารมณ์กระทำความอาร์ตแบบเต็มตัวในการเป็น Niche Perfume ที่คุณภาพกลิ่นไม่เป็นสองรองใคร เช่นนั้น เมื่อได้โอกาสมาเจอกับแบรนด์นี้เป็นครั้งแรกในการเอามาเล่ากลิ่น ก็ขอมากับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอังกฤษในทางด้านการค้าระหว่างประเทศกันหน่อย ซึ่งจะสื่อสารออกมาอย่างไรนั่นว่ากันเลยที่รุ่นนี้ Vi Et Armis
บอกก่อน - เดิมทีรุ่นนี้เปิดตัวมาในรชื่อรุ่นว่า East India ในปี 2015 แต่ก็มาปรับเปลี่ยน Package พร้อมกับเปลี่ยนชื่อรุ่นใหม่เป็น Vi Et Armis ในปี 2016
เปิดต้นกลิ่นถึงกับอึ้งไปเลย เพราะว่าเนื้อกลิ่นมีความชัดเจนมากับการเป็นโทน Smoky ที่เข้มมาเชียว อารมณ์เผาไหม้เขม่า+ควันมาแบบเข้มๆ แต่ไม่ได้ระคายจมูกแบบควันจริงๆ และเนื้อกลิ่นมีความดาร์กชัดเจนจริงๆ แบบที่เดาได้ไม่ยากว่านี่แหละคือกลิ่นของ Birch Tar ที่จะเป็น Center Note หลักที่อยู่ยงคงกระพันชาตรีไปจนถึงช่วงท้ายเลย แต่ในความ Smoky ที่มาเต็มนั้นจะมีเลเยอร์ On Top ที่น่าสนใจมากกับกลิ่นออกทางใบชาที่ออกทางใบชาบ่ม มันจะมีความเขียวเข้มๆ ให้อารมณ์แบบใบชาที่บ่มกึ่งหมาดกึ่งแห้ง มันจะมีความเข้มในโทนเขียวแกมอะโรม่าแฝงชัดเจน เสริมด้วยกลิ่นกึ่งหนืดกึ่งติดหวานเย้าอ่อนๆ ของกระวานและมีความปร่าของพริกไทยที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีมิตืเครื่องเทศเข้ามา ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความหนาก็จริง แต่มีความโปร่งอยู่ในระดับที่ไม่ได้ทึบหรือตึ้บเกินไป อารมณ์เหมือนเรายืนงงในดงควันเขม่าที่มีกลิ่นชาและเครื่องเทศเข้ามาให้รู้อยู่ตลอด แต่ไม่ใช่แค่นี้
เพราะเพียงวูบถัดมาก็จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นเขียวติดขื่นแกมขมติดยางๆ และมีความเป็นลักษณะคล้ายแป้งด้วยหน่อยๆ แบบที่ในชีวิตประจำวันเราจะไม่ได้กลิ่นอะไรลักษณะนี้ แต่ถ้าเคยผ่านการดมกลิ่นจริงๆ มาก่อนก็จะจับได้เลยว่าคือกลิ่นฝิ่นล่ะ และนี่แหละคือตัวดีเลยที่พาเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม โดยจะมาหมดเด่นแบบเท่าเทียมคือทั้งโทนไหม้เขม่าแกมควันที่จับได้เพิ่มมาอีกกับโทนออกทางควันธูปยางไม้หรือ Incense ที่ติดเข้มแกมกลิ่นโทนยาสูบที่ติดควันไอที่มีความหวานอ่อนๆ มา + กับกลิ่นเขียวขื่นกึ่งยางของฝื่นที่รับพอดีกับกลิ่นเขียวเข้มกึ่งหมาดอะโรม่าของชา และไม่พอมีกลิ่นออกทางเหล้าหมักแบบวิสกี้เข้ามาเสริมสร้างอารมณ์กลิ่นเหล้าที่แทรกประปรายได้ปลายกลิ่นอยู่ตลอด เลเยอร์กลิ่นจะมีมิติที่น่าสนใจมาก เพราะมันเหมือนศูนย์รวม Note กลิ่นของดียามค้าขายในยุคล่าอาณานิคมมารวมกันเลย ไม่ว่าจะชา ฝิ่น เครื่องเทศอ่อนๆ เหล้าวิสกี้ ยาสูบ และมีโทนไม้หอมลึกๆ เนียนๆ รวมอยู่เป็นฉากหลังท่ามกลางกลิ่นควันเขม่าเข้มๆ ของ Birch Tar เรียกว่าเป็นช่วงที่สนุกมากในการจับโทนกลิ่นที่ซ้อนและซ่อนอยู่ในความ Smoky ได้แบบนัวจริงๆ
การเปลี่ยนแปลงของเนื้อกลิ่นจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อโทนเขียวเข้มอะโรม่าของชาเริ่มเบาลงไป และเครื่องเทศแทบไม่มีแล้ว แต่ควันเขม่าของ Birch Tar ยังเต็ม และกลิ่นยาสูบแกมควันอ่อนๆ ที่มีความหวานหน่อยๆ อารมณ์ซิการ์ที่ไม่ได้มีความหวานกำลังเผาไหม้แบบเบาๆ สร้างมิติให้กลิ่นเขม่ายังจับต้องได้ชัดอยู่ เสริมด้วยกลิ่นฝิ่นที่ตามมาอยู่แต่รวมเป็นเนื้อเดียวกับกลิ่นเขม่าที่จะติดปลายเขียวกึ่งยางขื่นบางๆ แต่สิ่งที่เด่นออกมาแบบค่อยเป็นค่อยไปดันกลายเป็นโทนไม้หอม อีกหนึ่งของดีช่วงค้าขาย นั่นก็คือ ไม้กฤษณาหรือ Oud ที่จะไม่ได้มาแบบสายอวลแบบตะวันออกกลางเลย แต่มาแบบกลิ่นไม้อวลลึกที่ติดไหม้ Smoky สายแฝงเสียมากกว่า เรียกว่าสร้างความน่าค้นหาในเนื้อกลิ่นเข้าไปอีกสเต็ปกันอย่างชัดเจน ซึ่งทุกอย่างจะผสมผสานกันจนได้เป็นกลิ่นเขม่าควันไม้ที่มีโทนยาสูบกับฝิ่น ที่ปลายกลิ่นมีวูบบางๆ ของวิสกี้ ให้ความชัดเจนในการเป็นโทน Smoky ที่คุมโทนได้ดีมากตั้งแต่ต้นที่เข้มยันปลายที่ให้ความดาร์กกำลังดี ปิดท้ายการเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่ให้คุณภาพกลิ่นแบบไม่ธรรมดา
เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ที่อย่างน้อยพื้นฐานชอบกลิ่นอายแบบควันไอหรือ Smoky เข้มๆ หรือผ่านน้ำหอม Niche มาก่อน จะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่ากลิ่นแปลกกลิ่น Unique แต่ถ้าใส่มากไปคนอาจจะคิดว่าไปเผาอะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าเอาได้ ซึ่งยามทางการกับสายออกกำลังกายแนะนำให้ข้ามจะดีกว่า แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปหรือใส่แบบเน้นความแตกต่างแบบเฉพาะตัว และเน้นออร่าติดดาร์กขรึมอันนี้เข้าทาง แต่เอาจริงๆ กลิ่นนี้ใส่แบบกิจกรรมลุยๆ ได้อยู่บ้าง แต่ก็ดูความเหมาะสมประกอบตามการพิจารณา ส่วนยามค่ำคืน อันนี้ไม่ว่าจะใส่แบบทั่วไป หรือท่องราตรี ได้หมด ซึ่งแน่นอนว่านำเสนอความแตกต่างเน้นๆ
ความทน - 8 ชม. คือพื้นฐานของน้ำหอมรุ่นนี้ และไปต่อได้อีกถึง 12 - 15 ชม. ตามจำนวนสเปรย์ โดยส่วนตัว 12 ชม. ก็เริ่มจางไปแล้ว แต่ก็มีกลิ่นติดเสื้อยาวไปถึง 15 ชม. ก็บ่อยครั้ง
การกระจาย - ดีมากจนแบบว่า อื้อหือ กันเลย กลิ่นเข้มข้นจริงจัง แล้วถึงมาแบบเขม่า+ควันเข้มมาเชียว ก่อนจะลดลงมาที่กระจายดีราวๆ 1 ชม. ถึงแผ่วลงมาปานกลางอีกประมาณ 4 ชม. ที่เหลือจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว และลดลงไปเรื่อยๆ จนติดผิวเมื่อผ่านซัก 8 - 9 ชม. ไปแล้ว
สรุป - ต้องยอมรับเลยว่าเป็นการเอา Notes กลิ่นที่เป็นสินค้าในช่วงยุคทองของอังกฤษที่มีการออกสำรวจล่าอาณานิคมและทำการค้ากับต่างประเทศเน้นมาทางเอเซียเป็นสำคัญ โดยอังกฤษเอาวิสกี้กับศาสนาที่เป็นตัวแทนของอังกฤษ แลกเปลี่ยนสินค้าอย่างฝิ่น ชา เครื่องเทศ ไม้หอม และยาสูบ ทั้งเอากลับประเทศและไปต่อยอดแลกเปลี่ยนอื่นๆ แต่สิ่งที่มีความเด็ดดวงคือการดึงเอาความดาร์กแบบ Smoky จัดๆ นี่แหละ ที่เป็นจุดตั้งต้นมันเลยทำให้กลิ่นเปิดตัวลักษณะเนื้อกลิ่นที่ได้อารมณ์แบบ Flashback แบบดาร์กจ๋ามาเลย (ซึ่งมันก็สมควรอยู่นะ เพราะฝิ่นเองก็อังกฤษนี่แหละ ที่ไปเอาต่อยอดจนเกิดเรื่องราวสงครามฝิ่นกับจีนขึ้นมา) เช่นนั้นเรียกว่าไม่ธรรมดา มีความเรียล บนพื้นฐานความดาร์กได้แบบเต็มเหนี่ยวจริงๆ
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://www.cherrygarden.hu/beaufort-london-vi-et-armis-ferfi-1413
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น