วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Bogue Profumo - Maai

Bogue Profumo - Maai

จากจุดเริ่มต้นของการเป็นสถาปนิกที่มีความชื่นชอบและหลงใหลในน้ำหอมของ Antonio Gardoni ทำให้เกิดแรงผลักดันในการสร้างสรรค์ทางกลิ่นและมีการเปิดตัวน้ำหอมแบรนด์ของตัวเองในปี 2012 ที่นำเสนอความเป็น Niche Perfume + Natural Perfumery แบบเต็มตัวด้วยการให้เทคนิคการสร้างสรรค์ Notes กลิ่นต่างๆ จากทั้งเทคนิคแบบโบราณที่ได้กลิ่นที่เป็นเนื้อแท้ให้มากที่สุด + กับกลวิธีสมัยใหม่ต่างๆ ในการเข้ามาผสมผสานกันในแนวคิดแบบสถาปนิก จนกลายเป็นน้ำหอมที่มีมิติที่หลากหลายโดยเน้นกับความเป็นโทนร่วมสมัยที่แตะได้ทั้งสาย Classic จ๋าๆ และใช้ในยามปัจจุบันได้ไม่ยาก ซึ่งแบรนดนี้ก็คือ Bogue Profumo หรือเรียกสั้นๆ ได้ว่า Bogue

และเมื่อได้โอกาสที่ได้มาเจอกับแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องมาเจอกับของจริงกันเสียหน่อยกับการได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่า นี่คือหนึ่งใน Animalic ที่ไม่ธรรมดา เช่นนั้น เลยขอลองความจัดเต็มทางกลิ่นนี้ซักหน่อยว่าจะออกมาเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้ Maai

เปิดต้นกลิ่นมาความเป็นโทน Vintage Classic มากันแบบเต็มๆ ก่อนเลย กับการเป็นโทนสบู่ปร่าฟุ้งๆ ของ Aldehydes ที่เป็นตัวคุมโทนกลิ่นในช่วงแรกเคล้าไปกับกลิ่นอายโทน Oak Moss เขียวเข้มกำลังดี เสริมด้วยความนุ่มนวลของโทนดอกไม้ขาวที่ไม่ข้นจัดมากอย่างซ่อนกลิ่น และมีกลิ่นโทนแนวกุหลาบอ่อนๆ เสริมอยู่ ซึ่งทุกอย่างค่อนข้างมาตัดทอนกันและส่งเสริมกันในด้านดีที่ทำให้เนื้อกลิ่นได้ความเป็น Vintage แบบไม่ได้คมพุ่ง แต่มีความสมดุลย์ปร่าฟุ้งกำลังดีค่อนไปทางโทนสบู่ที่มีความเป็นธรรมชาติแบบสไตล์ย้อนยุค แต่ในช่วงถัดไปจะเริ่มจับต้องได้ถึงโทน Animalic ที่มาทำให้กลิ่นมีความสาบปลุกเร้าเนียนๆ และเริ่มชัดเจนมากขึ้นตามลำดับในการเปลี่ยนสถานะเข้าสู่ช่วงถัดไป 

ช่วงกลางนี่แหละ ที่แบบว่าความเป็น Animalic คล้ายสาบสัตว์ที่มาจากหนัง Musk และกลิ่นจากชะมดเช็ด ที่มีกลิ่นโทนคล้ายยางไม้เรซิ่นปร่าแกมอุ่นจะผสมผสานกันจะเข้ามาเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น ซึ่งความ Animalic จะให้ความสาบที่โดดเด่นเลยทีเดียวและมีความดิบห่ามแบบที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติของกลิ่นสาบสัตว์แนวๆ นี้ แต่เอาจริงๆ สุคนธกรก็ยังปราณีอยู่พอสมควร เพราะว่ากลิ่นในช่วงต้นยังมาสนับสนุนในช่วงนี้ทำให้ความสาบเย้าแม้จะชัด แต่จะมีลูกเอื้อนกลิ่นออกทางกึ่งสบู่ Oak Moss และดอกไม้ที่นอกจากซ่อนกลิ่นและกุหลาบ ก็จับได้ถึงมะลิรวมอยู่ด้วยซึ่งกลิ่นของมะลิตามธรรมชาติจะมีมิติกลิ่นตุ่ยๆ Dirty ไม่พึงประสงค์เนียนๆ อยู่ในนั้น นี่แหละสอดรับกับโทน Animalic ได้ดีมากด้วย รวมถึงแอบมีกลิ่นหวานติดน้ำผึ้งเนียนๆ เบาๆ อยู่ในกลิ่น เลยทำให้จะได้ความรู้สึกแนวๆ Skanky Dirty Scent แบบ Vintage Animalic ก็จริง แต่ยังแทรกความเป็นมิติของน้ำหอมที่มีกลิ่นปร่าอวลแกมดอกไม้ ซึ่งส่วนตัวเห็นภาพเป็นแบบ Beauty & The Beast ในระดับหนึ่งได้เลย เพียงแต่ Beauty จะเบากว่าประมาณนั้น

เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนความเป็นสาบ Animalic ลงไปพอสมควร แต่ไม่ได้หายไป ซึ่งจะให้เนื้อกลิ่นที่มีความอบอุ่นมากขึ้นมาอีกระดับของแอมเบอร์กึ่งเรซิ่นยางไม้ทำให้มีความลึกในเนื้อกลิ่นไล่เลเยอร์กันได้อย่างน่าสนใจและแตะความร่วมสมัยได้ดีมาก โดยจะจับได้ถึงกลิ่นโทน Oak Moss แกม Musky ที่มีกลิ่นสาบเย้า Dirty หน่อยๆ ที่มีกลิ่นติดแป้งดอกไม้อ่อนๆ ที่ตัดทอนความสาบลงไปอีกหนึ่งสเต็ป มีความเป็นลักษณะสบู่กึ่ง Musky ที่แอบมีโทนไม้หอมหน่อยๆ ที่สมดุลย์กำลังดี โดยที่มีลูกเล่นความ Skanky Dirty เนียนๆ เรียกความสนใจเบาๆ แตะความ Classic ก็ได้ ความร่วมสมัยแนว Comtemporary Scent ก็ดี ซึ่งไม่ธรรมดาในคุณภาพของกลิ่นและเนื้อกลิ่นที่ผ่านการกลั่นกรองและคิดมาอย่างดีในการวางตำแหน่งกลิ่นที่เสริมและตัดทอนกันได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน แม้กลิ่นสาย Animalic แบบนี้จะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าก็จริง แต่เพราะโทนดอกไม้แฝงที่อยู่ตลอด และ Musky ที่รองพื้นก็เปิดทางให้ผู้หญิงใช้ได้สบายๆ เช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่จะใช้กลิ่นนี้อย่างน้อยต้องผ่านโทน Vintage มาก่อน หรือไม่ก็รับได้กับกลิ่นแนว Animalic Vintage จะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้มาก ซึ่งได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบคำนึงถึงความเหมาะสม เพราะเนื้อกลิ่นแบบ Animalic ถ้าอัดมากไป อาจจะไม่ได้สร้างความประทับใจได้ เน้นพอดี กลิ่นจะทำหน้าที่ได้ดีมาก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืน อันนี้ใส่ได้อยู่ในหลายๆ สถานการณ์ขึ้นอยู่กับการอยากพรีเซนต์ตัวเองของผู้ใส่ เพราะเนื้อกลิ่นแนวนี้มันดึงดูดความสนใจอยู่แล้วและกลิ่นเตะจมูกผู้คนได้ดีจริงๆ

ความทน - พื้นฐานที่ 8 ชม. และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอไป 12 ชม. ถือว่าเรื่องนี้หายห่วงได้เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และค่อนข้างคงตัวยาวไปราว 3 ชม. ได้ ก่อนที่จะลดลงมาที่ปานกลางกำลังดีไปเรื่อยๆ จนถึงราวๆ 6 ชม. ก็จะค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วปิดท้ายที่ Skin Scent เมื่อเข้า 8 ชม. ไปแล้ว  

สรุป - นี่คืองานศิลป์ที่ให้อารมณ์เหมือนเราสัมผัสเนื้อกลิ่นแบบ 4D กับเวลาเราดูภาพไม่ว่าจะนิ่งหรือเคลื่อนไหว อารมณ์แบบมีสตรีนักรบขี่สัตว์ดุร้าย เพราะมาหมดทั้งกลิ่นโทนที่แตะความเป็นผู้หญิงในสาย Floral Musk ติดดิบหน่อยๆ และกลิ่น Animalic แบบสาบสัตว์ที่มีความเป็นธรรมชาติมาเลย รวมถึงเนื้อกลิ่นจัดวางตำแหน่งการส่งเสริมและตัดทอนกันให้ได้ความดีงามในสไตล์เหมือนจะเป็นมินิมัลในความเป็นโทน Vintage แต่จริงๆ มีความซับซ้อนและผ่านการคิดมาเป็นอย่างดีจนได้เนื้อกลิ่นที่เหมือนจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาออกมาเช่นนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/517351075940715367/

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น