Montblanc - Legend Night
ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2011 จนปัจจุบันกับน้ำหอมรุ่นยอดนิยมอย่าง Legend ของ Montblanc (แบรนด์เปลี่ยนจากเดิม Mont
Blanc มาเป็น Montblanc มาระยะหนึ่งแล้ว)
ซึ่งการส่งต่อความเป็น Legend ยังไม่จบสิ้นจนถึงล่าสุดในช่วงกลางปี 2017 ที่ได้ออกน้ำหอมรุ่นใหม่ในไลน์นี้ออกมาแถมอัพเกรดเป็น Eau de Parfum เสียด้วยอย่าง
Legend Night ซึ่งได้เวลาของการแตะโทนยามค่ำคืนของหนุ่มๆ สไตล์ Montblanc กันแล้ว
เช่นนั้นได้เวลาของการบอกเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นอายจะมาในลักษณะไหนบ้าง
เป็นอีกหนึ่งรุ่นของสาย
Legend เลยด็ว่าได้ที่ทำโทนกลิ่นออกมาได้อย่างมีสเต็ป
ปูทางเป็นอย่างดีในการใช้งานกลิ่นที่ไม่ได้โผงผาง โฉ่งฉ่าง
หรือเอาให้หนักไปข้าง แต่มีลำดับขั้นของโทนเหมือนช่วงเย็นที่ยังมีความสว่างอยู่นำไปสู่ช่วงกลางคืนที่เย้ายวน
โดยที่ยังคงความเป็น Legend แบบต้นฉบับได้ดีจากกลิ่นอาย Aromatic ที่นวลๆ เด่นด้วยลาเวนเดอร์ได้ดีอยู่
ซึ่งความเป็น Legend Night จะเริ่มที่การเปิดตัวของ Top
Notes ที่กลิ่นอายจะมาแบบสดชื่นกันก่อน ด้วยความเป็นโทนสาย Fresh
Aromatic จากความหอมเขียวติดเผ็ดปร่าจางๆ
โปร่งจมูกของมินต์และใบ Clary Sage (ซึ่งกลิ่นจะให้โทนคล้ายลาเวนเดอร์ผสมผสานกับหนังและมีกลิ่นอุ่นกำลังดี
แต่ยังโปร่งออกทางสมุนไพรอยู่) ที่เป็นเหมือนโทนกลิ่นหลักในช่วงต้น
และจะมีกลิ่นอาย Citrus ติดแห้งปนขมนิดๆ จากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot)
เป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความสดชื่นเขียวกำลังดี ที่สำคัญจะจับได้ถึงกลิ่นอายติดผลไม้ปน
Citrus ของแอปเปิ้ลเขียวด้วยที่เนียนไปกับกลิ่นให้ความรู้สึก
Fruity ลั่นล้าเบาๆ ก่อน ซึ่งช่วงนี้จะมาในโทนสว่างแบบที่อาจจะเผลอคิดได้ว่ามันใช่น้ำหอมสาย
Night หรือกลางคืนเหรอนั่น แต่สิ่งที่ปูทางเข้าสู่ความเป็น
Night ตามชื่อรุ่นคือ เม็ดกระวาน ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาท่วมมาเต็มอะไรนัก
ออกแนวเนียนๆ ในกลิ่นให้มีความเป็นโทนเย้ายวนเจือไปด้วยตลอด
ไม่พอจะมารวมตัวกับกลิ่นโทนแอปเปิ้ลเขียวดึงเข้าสู่ช่วงถัดไปอย่าง Middle
Notes นั่นเอง
ซึ่งในช่วงกลางจะแบ่งออกมาเป็น
2 กลุ่มที่มาเจอกัน นั่นคือ
1. ความเป็นแอปเปิ้ลเขียวแม้จะเด่นขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ไปสาย Fruity ลั่นล้ามากนัก
ซึ่งเพราะความเป็นลาเวนเดอร์ที่ให้ความนุ่ม Aromatic ก็จะตีคู่ขึ้นมารับช่วงต่อจาก
Clary Sage และกระวานที่มาผสมผสานวางสมดุลย์ได้เหมาะพอดี
แอปเปิ้ลเขียวเลยเป็นตัวเสริมมิติโทนผลไม้ที่ให้ความสว่างติดขี้เล่นบางๆ
แทน
2. จะมีกลิ่นออกโทนแป้งหวานโปร่งของดอกไวโอเล็ตที่ให้ความนวลเพิ่มเข้าไปอีก
เคล้ากับกลิ่นโทนเขียวโปร่งติดไม้หอมขรึมๆ และมีความอุ่นนวลที่เนียนๆ
กับเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัวจากวานิลลา
ซึ่ง 2 โทนนี้จะมาเจอกันคนละครึ่งทางให้กลิ่นอายที่มีทั้งความสดชื่นติดลั่นล้าบางๆ
ก็ได้อยู่ ขรึมสมาร์ทเท่ห์ก็ลงตัว เย้ายวนดึงดูดแบบไม่โจ่งแจ้งแบบบอกทั้งโลกก็เข้าที
ถือว่าช่วงนี้คือหัวใจหลักของ Legend Night เลย
ที่ผสมผสานโทนออกมาแบบกำลังดี ไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป
ทำให้คนใช้ปรับตัวไปกับกลิ่นแบบที่ไม่รู้ตัวได้ง่ายและสบายมากด้วย
จนกระทั่งกลิ่นของวานิลลาที่มาลักษณะแบบอุ่นขรึมกำลังดี
จะเริ่มผันตัวมาเป็นตัวเด่นที่ชัดเจนมากขึ้น ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นวานิลลาแบบค่อนไปทางโทนอบอุ่น
(ที่ไม่ได้มาสายขนม) จะเป็นพื้นฐานของกลิ่นทีี่ให้ความนวลกำลังดี
ที่สำคัญจะมีกลิ่นอายออกทางไม้หอมแห้งๆ ที่มีความ Spicy ติดพริกไทยหน่อยๆ และพิมเสนที่มาแบบอ้อยอิ่งกำลังดีมาผสมผสานทำให้กลิ่นมีความดาร์กน่าค้นหา
โดยที่กลิ่นอายในช่วงกลางก็ตามมาให้โทนเขียวโปร่งหวานจางๆ
ติดแป้งในกลิ่นอยู่สร้างความดึงดูดทำให้เนื้อกลิ่นมีความเซ็กซี่แบบลงตัวกำลังดี
และยังมีความเป็นผู้ชายขรึม Cool เท่ห์ๆ มีระดับ
และซ่อนความน่าค้นหาแอบเร้าใจอยู่ชัดเจน ทั้งนี้ทั้งนั้นถือว่าเป็นการไล่เรียงสเต็ปจากสดชื่นสู่นัวน่าค้นหาได้น่าสนใจมาก
และยังคงคุมโทนความเป็นกลิ่นอายสาย Legend ได้ลงตัวไปตลอด รวมถึงยังกวาดคนรักไลน์ Legend ให้เก็บตัวนี้มาครอบครองได้อย่างสบายๆ
เหมาะสำหรับ -
ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายๆ
ยิ่งถ้าใส่กับการแต่งตัวแบบติดเนี้ยบ หรือกึ่งเนี้ยบกึ่งสบายแบบมีรสนิยมจะเข้าทีอย่างมาก
และแม้ว่ากลิ่นจะชื่อว่า Night แต่เอามาใส่ยามกลางวันได้ไม่ยากเสียด้วย
เพราะกลิ่นมันยังมีความสดชื่นเจืออยู่ให้เรียนรู้ก่อนเจอความน่าค้นหาติดเย้ายวน
ซึ่งเข้าได้กับการใส่ทำงาน ออกงาน หรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่แบบออกงานทางการจัดๆ
ออกไปจะดีกว่า กลิ่นมันแม้จะมีเสน่ห์แต่เพราะมีความขี้เล่นอาจจะไม่เข้าทีนัก
ไปใช้ Legend Spirit แทนน่าจะดีกว่า ส่วนออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งก็ข้ามไปได้เลย
และในยามค่ำคืนจัดไป ไม่ว่าจะใส่ออกงาน ปาร์ตี้ หรือว่าท่องราตรีใส่ได้หมด
เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ปล่อยพลังรอบทิศมากนัก เน้นให้มาใกล้ๆ
คลุกวงในอย่างมีระดับจะลงตัวกว่า
ความทน -
ลงตัวและดีงามกับ 8 ชม. สบายๆ
แถมมากกว่านี้ได้ด้วย อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด
การกระจาย -
กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางกำลังดีไปตลอดจนถึงช่วงท้าย
ซึ่งถือว่ามีความเสถียรในการปล่อยพลังแบบสมดุลย์ไม่หนักไปไม่เบาไป
พอพ้นซัก 6 - 8 ชม.
กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิว
ทิ้งท้าย -
แม้ว่ารุ่นนี้ตอนใช้อาจจะมีวูบไปนึกถึง Armani
Code Profumo อยู่บ้างเพราะกลิ่นมีโทนที่ใกล้ๆ กันพอสมควร
แต่สิ่งที่ Montblanc ทำได้คือการไปสายนวลที่วางสมดุลย์กลิ่นได้ดี
โดยที่ไม่ได้ไปทับไลน์ของ Armani ที่ไปสายครีมมี่อบอุ่นนัว
ซึ่งถือว่าลงตัวและคง Concept น้ำหอมผู้ชายสไตล์ Montblanc
Legend ได้ดีอยู่นั่นเอง
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!!
ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว
ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ
ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”
Photo Credit – Reastars.com
--> http://www.reastars.com/wp-content/uploads/2017/09/MontBlanc-Legend-Night--1024x554.jpg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น