วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Amouage - Honour Woman

Amouage - Honour Woman

เรื่องราวของ “โจโจ้ซัง” หรือมาดามบัตเตอร์ฟลาย ถือเป็นอุปรากรชื่อดังที่สร้างเป็นละครเวทีไปทั่วโลก กับการบอกเล่าโศกนาฏกรรมความรักและมั่นคงยืนหยัดในความรักที่มีสาวชาวญี่ปุ่นนามโจโจ้ซังกับนายทหารชาวอเมริกัน ซึ่งขมวดมาจนถึงท้ายเรื่องราวได้อย่างมั่นคง ซื่อสัตย์ และทระนงต่อเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเอง จนเป็นหนึ่งในตัวละครหญิงที่มีคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำและแข็งแรงมากในการเป็นต้นแบบให้กับนิยายและเรื่องราวต่างๆ ที่มาประยุกต์ต่อไม่น้อยเลยทีเดียว รวมถึงมีการนำไปต่อยอดสร้างสรรค์น้ำหอมต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในสาย Niche Perfume ที่ต่างก็ตีความการเป็นโจโจ้ซังออกมาในแนวทางของตัวเองที่ควรจะเป็น ซึ่งถ้ายกตัวอย่างคร่าวๆ ก็มีทั้ง Parfums MDCI, Histoires de Parfums และ Senyoko

แต่ทั้ง 3 แบรนด์ที่อ้างถึงนี้ก็ไม่ใช่ตัวเปิดในการนำเสนอกลิ่นอายสายตั้งมั่นในรักและเกียรติศักดิ์ศรีของโจโจ้ซัง ซึ่งผู้บุกเบิกที่แท้จริงก็ต้องยกให้ Amouage ที่ดึงเอาแก่นของเนื้อเรื่องหลักที่สื่อสารถึงความเป็นมาดามบัตเตอร์ฟลายออกมาแบบแพ็คคู่ชาย-หญิง ซึ่งในรุ่นผู้ชายอย่าง Honour Man เน้นความหนักแน่นทางกลิ่นในสาย Woody Spicy ที่ตราตรึงและเข้มแข็งในเกียรติและศักดิ์ศรีจากการได้สัมผัสอย่างเต็มที่และเต็มตัวมาแล้ว แต่รุ่นผู้หญิงสิ น่าจะชัดเจนมากในการเป็นโจโจ้ซังจริงๆ ดันไม่เคยลองเลย เช่นนั้นเมื่อได้โอกาสก็ต้องเรียนรู้และสัมผัสกลิ่นกันหน่อย และการนำเสนอของแบรนด์ก็ออกมาแบบนี้เลย

จุดเริ่มต้นของกลิ่นค่อนข้างจะมีความคมพอสมควร อารมณ์แบบเบิกจมูกกันนิดนึง เพราะจะมีกลิ่นออกทางเม็ดผักชีที่ให้ความปร่าเผ็ดคมๆ เป็นตัวดันกลิ่นให้พุ่งพอสมควร โดยมีโทนติดเปรี้ยวหอมอ่อนๆ แกมเขียวผักวูบขึ้นมาด้วยจากผักรูบาร์ปแต่ไม่ได้เปรี้ยวนำขนาดนั้นเพราะว่ามีกลิ่นปร่านวลพริกไทยที่มาตัดทอนกลิ่นพอสมควร ซึ่งทั้งหมดนี่เพียงแค่วูบแรกราวๆ 5 วิ ที่จับต้องได้ว่ามีโทนเปิดที่สร้างมิติสดชื่นหน่อยๆ เข้ามาก่อน แต่ก็จะเจอการเทคโอเวอร์ค่อนข้างไวมากจากโทนกลิ่นดอกไม้ขาวที่ชัดเจนเลยอย่างดอกพุด ที่ให้ความครีมมี่นวลติดเขียวตุ่นนิดๆ และซ่อนกลิ่นที่เสริมขึ้นมาให้ความนวลเย้าสร้างจริตแบบสตรีเพศ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายข้นหนักหน่วงแต่อย่างใด เพราะมันมีการตัดทอนจากตัวเปิดอย่างพริกไทยปร่านวลและผักรูบาร์ปเปรี้ยวหอมติดเขียว เลยสร้างสมดุลย์อารมณ์กลิ่นแบบดอกไม้ขาวที่นุ่มนวลปนปร่าฟุ้งแกมเขียวเปรี้ยวอ่อนๆ ปลายกลิ่น โดยที่ใช่เลยกลิ่นชัด จับต้องได้เต็ม แต่ไม่ก็ไม่ได้หนักหน่วงจนแน่นแต่อย่างใด

ช่วงกลางนี่ยิ่งชัดเจนมากถึงการเป็นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่คุมเกมเป็นหลัก และแน่นอนอยู่ถึงช่วงท้ายแน่ๆ เดาได้ไม่ยาก ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการไล่โทนที่น่าสนใจเลยทีเดียวในการเป็นดอกไม้ขาวเพราะว่าจะมีมิติโทนกลิ่นที่ไล่จากใสๆ ของดอกกระดิ่ง ตามด้วยกึ่งใสกึ่งนวลของมะลิ แซมนวลครีมตุ่นเล็กๆ ติดเขียวปนหวานหน่อยๆ ของดอกพุด และมีความครีมมี่เย้าหวานนวลของซ่อนกลิ่น ที่ถือว่าเป็น 3 ประสานเลยก็ย่อมได้ในการสร้างออร่าดอกไม้ขาวออกมา แต่สิ่งที่ดีงามคือ เพราะมีโทนออกทางติดปร่าแกมเขียวเจือเปรี้ยวอ่อนๆ ของผักรูบาร์ปที่ยังตามมาในช่วงนี้ และที่สำคัญมีตัวสร้างโทนออกทางติด Classic ที่มีความปร่าเขียวหน่อยๆ จากคาร์เนชั่นเข้ามาตัดทอนทำให้เป็นดอกไม้ขาวที่มีมิติไล่เรียงจากใสสู่ข้นนวลที่มีความกลางๆ ระเรื่อๆ ให้ความเป็นสไตล์มินิมัลแบบเรื่อยๆ ไม่หนัก ไม่แน่น และไม่ข้นไป แต่กลิ่นยังคงชัดเจนให้จับต้องได้ ความความรู้สึกที่อ่อนโยน สวยสง่าแบบนิ่งๆ ที่เรียบหรูไม่เยอะสิ่งที่มีความ Classic แทรกประปรายอยู่ตลอดอย่างมีเสน่ห์

จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ว่าโทนที่ตัดทอนให้กลิ่นมีความเรื่อยๆ มาเรียงๆ เริ่มจางลงไปและมีโทนอบอุ่นเสริมเข้ามาแทนที่แกมกลิ่นออกทาง Smoky อ้อยอิ่งเล็กๆ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่คราวนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้นถึงโทนกลิ่นที่หนาขึ้นมาอีกสเต็ปในการเป็นดอกไม้ขาว กลิ่นจะมีความนวลข้นแกมกลิ่นออกทางหนังหน่อยๆ ที่สร้างโทน Animalic แบบกึ่ง Classic สอดรับให้กลิ่นดอกไม้ขาวนวลเคล้าผิวกายอบอุ่นที่มีโทนออกทางแอมเบอร์แกมยางไม้ติดหวานลึกเข้ามาเสริมด้วย แต่กลิ่นจะไม่ได้ทื่อๆ แค่นี้เพราะจะมีกลิ่นออกทางนิ่งงันกึ่งควันปร่าอ่อนๆ ที่เป็นลักษณะแบบโทน Incense หรือธูปที่มีความโปร่ง บางวูบก็มีความอวลนิ่งลึกแกมไม้หอมแห้งๆ ให้จับต้องได้เลยทำให้รู้สึกได้ว่ากลิ่นมีอารมณ์ที่ออกทางอาวรณ์และเศร้าสร้อยให้สัมผัสได้ร่วมด้วย ซึ่งเมื่อผสมผสานกันทั้งหมดจะได้อารมณ์เป็นกลิ่นสวยสง่า เรียบหรูอวลนวลดอกไม้ขาวที่มีความหวานอ่อนโยนและนิ่งก็จริง แต่มันจะซ้อนมิติที่หม่นๆ ประปรายให้เข้าใจได้ไม่ยากถึงการเก็บความรู้สึกโหยหา รอคอย และเศร้าสร้อย ในความเป็นโจโจ้ซังที่รอคอยความหวังท่ามกลางความสวยสง่าเรียบหรูและนิ่งแบบกุลสตรีญี่ปุ่นที่เก็บอารมณ์เป็นอย่างไร เป็นการปิดท้ายความเป็น Honour Woman ได้อย่างงดงามมาก ยอมให้เขาตรงนี้เลย

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป กลิ่นค่อนข้างจะเสริมบุคลิกภาพอ่อนโยนปนนิ่งสง่าได้ดีมาก เสริมเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปจะดีกว่า เพราะไม่ใช่ด้วยประการทั้งปวง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปที่สร้างบุคลิกสง่าและเรียบหรูจะดีกว่า เพราะกลิ่นก็ไม่เข้ากับยามท่องราตรีแต่อย่างใด  

ความทน - มากกกกกก 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ และอาบน้ำก็แล้ว กลิ่นยังติดผิวอยู่จนถึงเช้าถัดไปเลย เรียกว่าเรื่องนี้ต้องให้เขาจริงๆ ว่าดีงาม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางแบบเสถียรเลย คงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 10 ชม. ได้ แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - ต้องยอมเขาเลยว่ากลิ่นได้อารมณ์ประยุกต์สไตล์สุภาพสตรีญี่ปุ่นที่นิ่ง งดงาม อ่อนโยน สง่างาม ในสไตล์มินิมัล แต่เสริมด้วยความเข้มแข็งตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวอยู่ภายในที่มาจากโทนยางไม้ ธูปและหนังได้อย่างชัดเจนและมีความ Classic แบบที่มีพลังออกมาให้รู้สึกได้ ซึ่งถือว่าเป็นการตีความที่ขยายความเป็นมาดามบัตเตอร์ฟลายที่ชัดเจน เห็นภาพที่ออกมาโลดแล่นผ่านกลิ่นได้ดีมาก แต่ถ้าไม่ได้สนใจเรื่องการที่จะต้องมีลุคแบบโจโจ้ซังผ่านกลิ่น สำหรับคนที่ชอบโทนดอกไม้ขาวที่ไม่ได้ข้นหนักไป มีความสมดุลย์ปนกลิ่นอายเขียวและมีความเรียบหรูแกมสะอาดที่ชัดเจนเป็นบาเรียล้อมรอบตัว บอกเลยว่าโดนตกได้ไม่ยาก เพราะถือเป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายแต่ไม่ธรรมดาของ Amouage เลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/honour-woman.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Dunhill - Century

Dunhill - Century

สิ่งแรกยามที่ได้เห็นขวดทรงนี้จาก Dunhill รู้สึกได้ว่าสวยดีมีความโค้งเว้าแนวๆ คล้ายเลนส์เว้ากับเลนส์นูน แต่เรียกว่าไม่ได้แตะต้อองเท่าไหร่ เทสกลิ่นแบบผ่านๆ ก็บอกตัวเองในใจว่า “กลิ่นดีเชียว แต่เอาไว้ก่อน” มาตลอด จนเมื่อสบโอกาสเพราะเห็นคำชื่นชมบ่อยเข้าว่ารุ่นนี้ถือเป็นอีกหนึ่งในกลิ่นที่เป็นไม้หอมแนวโปร่งสดชื่นและสะอาดที่ไม่ธรรมดา เช่นนั้น จึงได้กลับมาตั้งเป้าและก็เอาเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกใหม่ของบ้านจนได้

และเมื่อผ่านการใช้งานจนซึมซับได้ที่ ก็ต้องมาเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นแห่งศตวรรษตามชื่อรุ่นว่า Century นี้จะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งก็ว่ากันได้ตามนี้เลย

แม้ว่ากลิ่นในช่วงเปิดจะจับต้องได้ว่าใช่ล่ะมีความเป็น Citrus สดชื่นและเป็นโทนออกทางสว่าง ซึ่งจะจับได้เลยว่ามีกลิ่นโทนใสๆ เปรี้ยวอมหวานติดออกทาง Juicy นิดๆ ของส้ม และมีกลิ่นติดแปร่งหอมของเกรปฟรุตติดปลายขมเจือเปรี้ยวปร่าสร้างบรรยากาศแนวๆ มะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่กลิ่นมันไม่ได้เอะอะก็เปรี้ยวสดชื่น เพราะโทนเปรี้ยวๆ มีเพียงเบาๆ เสียมากอารมณ์แบบเป็นกลิ่นบรรยากาศที่จะจงใจนำเสนอความเป็น Citrus ใสๆ ซึ่งต้องยกให้อิทธิพลหลักเลยที่ทำให้กลิ่นไม่ได้เปรี้ยวสดชื่นพุ่งๆ มาก นั่นก็คือกลิ่นโทนไม้หอมติดจืดหอมและมีโทนเชื่อมอย่างดอกส้มที่มาแบบเขียวบางๆ แกมนวลปลายๆ กลิ่น เมื่อมาสอดรับกับกลิ่นอายสดชื่นออกทางหอมติดหวานเจือเปรี้ยวอ่อนๆ แกมปร่าซ่าเล็กๆ เลยทำให้ช่วงเปิดชัดเจนกับการเป็นกลิ่นอายโทนไม้หอมสดชื่นที่กำลังดี ไม่เปรี้ยวไป ไม่หนักไป ให้ความสดชื่นติดกลิ่นไม้หอมที่สว่างและเรียบหรูเกินคาด และที่สำคัญช่วงนี้ทำให้นึกถึงความเป็นกลิ่นอายช่วงเปิดของ Le Labo - Santal 33 อยู่นิดหน่อย เพียงแต่กลิ่นสดชื่นกว่าและไม่หนาเท่า

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะค่อนข้างชัดเจนเมื่อโทน Citrus ค่อยๆ ลดบทบาทตัวเองลง แต่ยังเป็นตัวสนับสนุนที่ให้ความสดชื่นติดสะอาดในเนื้อกลิ่นอยู่เช่นเดิม กลิ่นไม้หอมจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นและมีโทนออกทาง Earthy ที่ติดเครื่องเทศหน่อยๆ ที่จะเป็น Main หลักในการเดินกลิ่น เพียงแต่ลูกคู่สนับสนุนที่มาตัดทอนกันเป็นอย่างดีและสมดุลย์ต้องยกให้ดอกส้มที่มาให้ความหอมแกมเขียวติดเปรี้ยวนวลอ่อนๆ และเชื่อมกับ Citrus ที่ยังตามมาอยู่ กับกลิ่นโทนยางไม้ติดปร่ามีความหอมแบบโทน Incense หรือธูปที่ทำจากยางไม้อย่าง Frankincense แกมกลิ่นเย้าๆ ติดหวานเล็กๆ ของกระวาน ซึ่งต้องยกให้สุคนธกรเขาเลยที่คุมสมดุลย์ทางกลิ่นได้ดีทำให้กลิ่นมีเสน่ห์ในการเป็นโทนไม้หอมกลิ่นจืดหอมเฉพาะของไม้จันทน์หอมปนปร่ายางไม้แบบที่กำลังดีไม่ได้มาสายควันธูปจัดจ้าน แต่ให้โทนน่าค้นหาสายเครื่องเทศแบบกำลังดี และมีดอกส้มกับ Citrus มาฉาบหน้าตัดทอนและผสมผสานสร้างบรรยากาศที่สดชื่นปนโทนสะอาดเจือ เลยให้โทนที่อวลแบบเรื่อยๆ ที่สร้างอารมณ์คล้ายกลิ่นเสื้อเชิ้ตสีขาวสบายตากับความเป็นผู้ชายที่มีความนิ่งแต่ไม่ได้เข้าถึงยาก เพราะมีออร่าสบายๆ ให้จับต้องได้ เลยสร้างความหยินหยางกำลังดีที่จับต้องได้หมดทุกโทนแบบสายนิ่งขรึมปนสว่าง Nice ในเวลาเดียวกัน

ในช่วงท้ายโทน Citrus จะโบกมือลาไปหมดแล้ว เพราะจะเป็นช่วงไม้หอมที่มีความนวลสะอาดกันอย่างแท้ทรูมากๆ ซึ่งตัวหลักในการเดินกลิ่นจะมีโทนออกทางกึ่งไม้หอมแห้งติดดินๆ ที่น่าจะมาจากกลิ่นแนวๆ Cypriol แนวๆ หัวแห้วหมูที่มีความเป็นโทนกึ่งไม้กึ่งดินๆ ที่มีความปร่าเผ็ดอ่อนๆ มาซ้อนกับกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ให้ความาเป็นไม้หอมติดจืดมีเสน่ห์แบบเนื้อไม้สีครีม แถมตัดทอนด้วย Musk เข้าไปอีก เลยทำให้ได้กลิ่นอายโทนสะอาดแกมหวานอ่อนๆ เย้าๆ ที่ไม่ความเรียบง่ายและมินิมัลเรียบหรูในคราวเดียว โดยมีโทนไม้หอมติดกลิ่นอายนุ่มๆ ปน Earthy ที่กลางๆ กำลังดีเป็นตัวชูโรง ซึ่งกลิ่นไม่ได้ซับซ้อนและไม่ต้องเล่นใหญ่ปล่อยพลัง แต่ให้อารมณ์สะอาดแบบผู้ชายเสื้อเชิ้ตขาวหล่อสมาร์ทแบบนิ่งๆ ที่มีเสน่ห์กลิ่นอายสะอาดน่าซุก ซึ่งเป็นการปิดท้ายที่กำลังดีและลงตัวมากแบบที่ยังไงก็เอาอยู่ได้สบาย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้น้ำหอมตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นไม่ได้ไก่กา มีระดับแบบเรียบหรูเข้าทางโทนสว่างไม่เข้าถึงได้ง่ายแบบไม่ต้องเยอะสิ่ง ซึ่งใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายก็ใส่ได้อยู่ เพียงแต่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นมาสายสมาร์ทนิ่ง ไม่ได้มาสาย Activity จัดๆ นัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าทั่วๆ ไปแกมโรแมนติคจะดีว่า เพราะเนื้อกลิ่นมันเป็นโทนเรียบง่ายที่มีความ Sexy น่าคลุกวงในเนียนๆ เลยไม่เข้าทางการใส่ไปท่องราตรีที่จะเจอแต่คนเล่นใหญ่ทางกลิ่นนัก

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่กลิ่นมีความแกว่งอยู่บ้าง เพราะถ้าวันไหนร้อนจัดๆ เหงื่อออกโทรมกาย บางที 6 ชม. ก็ไม่เหลือแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ร้อนจัดมากนัก 12 ชม. ก็เจอประจำ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ (รวยมฉีดเสื้อที่สวม)

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าเปิดมาก็ไม่ได้เหมือนน้ำหอมท้องตลาดที่จะพยายามยัดเยียดความสดชื่น แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางซักราวๆ 4 ชม. แล้วจะลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึง 8 ชม. จะค่อยๆ ลดลงเป็นติดผิวไปเรื่อยๆ

สรุป - ไม่แปลกใจว่าทำไมคนเอาไปเปรียบเทียบกับ Le Labo - Santal 33 เพราะพื้นฐานกลิ่นมีลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ความเป็น Century จะผันตัวเองไปทางใสและมีความสดชื่นปนพื้นฐานกลิ่นออกทางไม้ติดครีมมี่สะอาดที่มีความ Earthy ซึ่งไม่ได้เหมือนเต็มๆ ขนาดนั้น มีแค่วูบเล็กๆ ในช่วงรอยต่อระหว่างช่วงต้นและกลางเท่านั้น แต่ Century เองมีความดีงามในการใช้งานที่ไม่ธรรมดาในการเป็นสไตล์มินิมัลที่มีเสน่ห์ ทำให้นึกภาพผู้ชายสายสมาร์ทลุคเรียบหรูใส่เชิ้ตขาว ซึ่งถือว่ามีดีและลงตัวมากๆ ในท้องตลาดอีกหนึ่งกลิ่นเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.escentual.com/dunhill/dunhillcentury001/

 

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Rogue Perfumery - Le Canotier

Rogue Perfumery - Le Canotier

ต้องยอมรับเลยว่าหลังจากที่แบรนด์นี้แจ้งเกิดในโลกน้ำหอมโดยนำเสนอ Concept ในการ Tribute กลิ่นอายต่างๆ ในอดีตแล้วมาต่อยอดสร้างสรรค์กลิ่นที่งดงามสไตล์งานศิลปะ Timeless เหนือกาลเวลาที่ยังคงชื่นชมความงามของเดิมและเพิ่มเติมความสดใหม่ได้อย่างมีชั้นเชิง และไม่พอยังไม่สนกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มาจำกัดในเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานที่เข้าทางอินดี้ชัดเจน จนทุกวันนี้แบรนด์ Rogue Perfumery ก็กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ดาวรุ่งในสาย Indie และ Niche Perfume ไปเป็นที่เรียบร้อย และมีน้ำหอมต่างๆ สร้างสรรค์ออกมาให้คนรักกลิ่นได้สัมผัสก็เริ่มมากขึ้นตามลำดับ

แต่ในการสร้างสรรค์กลิ่น มันก็ต้องมีกิมมิคในการนำเสนออะไรที่เป็นกลิ่นอาย Limited Edition กับเขาด้วย ซึ่งก็ได้มีอยู่ 1 รุ่นที่มาในลักษณะนี้ และปัจจุบันก็ไม่ได้มีผลิตแล้ว เช่นนั้นคว้ามาได้ทันก็ต้องเอามาเล่ากันหน่อย เผื่อในอนาคตกลับมาอีกครั้งอย่างน้อยก็มีสารบัญกลิ่นรองรับไว้อยู่ ซึ่งนั่นก็คือรุ่น Le Canotier

เปิดตัวกันด้วยโทน Citrus ที่มีความนวลปนหวานดอกไม้รองพื้นที่แอบมีโทนติดทาง Ozonic แกมชื้นๆ เนียนอยู่ประปรายซึ่งวูบแรกกลิ่นออกทางส้มใสๆ ซ้อนกับกลิ่นออกทางดอกไม้หวานนวลกึ่งจะค่อนไปทางดอกไม้ขาวที่ติดนวลหวานแกมยาสูบที่มีโทนเขียวคล้ายหญ้าแห้งอ่อนๆ เจืออยู่ด้วย แต่ที่สัมผัสได้คือกลิ่นออกทางชื้นๆ อารมณ์แบบเขียวกึ่งแตงกวาติดหวานที่เป็นลักษณะของใบไวโอเล็ตที่แทรกซึมคลอกลิ่นอยู่ตลอด และเมื่อดมลึกลงไปใกล้ผิวจะแอบจับได้ว่ามีโทนแนวๆ กึ่งไม้หอมแห้งๆ รองพื้นตรึงกลิ่นไว้อยู่ ซึ่งใช่เลยกลิ่นเปิดแนวนี้มันเป็นกลิ่นอายแนวน้ำหอมชายแนวๆ จะยุค 70 ก็ได้ จะต้น 90 ก็ดี ได้เลยแบบที่ให้อารมณ์สุภาพบุรุษสมาร์ทกึ่ง Casual ใส่หมวก Flat Cap หรือหมวกวินเทจแนวหมวก Fedora แต่มันไม่ได้มาสายฟุ้งบาด เพราะมีความนุ่มนวลเจอหวานเย้าที่มีเสน่ห์ขับความสมาร์ทออกมาได้ดีมาก เรียกว่าเปิดมาก็สร้างภาพให้เห็นถึงคาแรคเตอร์แบบที่เข้ากับน้ำหอมกลิ่นนี้กันตั้งแต่แรกเริ่มได้เลย

ในการเปลี่ยนสถานะเข้าสู่ช่วงกลางสิ่งที่โดดเด่นออกมาเลยต้องยกให้การผสมผสานระหว่างโทนออกทางดอกไม้ขาวที่คราวนี้เริ่มชัดมากขึ้นเพราะกลิ่นอายดอกไม้ขาวที่มีลูกผสมความหอมแบบยาสูบแกมหวานเย้า นั่นก็คือ ดอกยาสูบ ที่จะกลายเป็นตัวเดินกลิ่นเสริมด้วยโทนดอกไม้หอมนวลสว่างอย่างมะลิเข้ามาร่วมด้วย แต่กลิ่นที่มาเสริมให้เนื้อกลิ่นมีน้ำหนักมากขึ้นนั่นคือหญ้าแฝกและโทนไม้หอมติดโปร่งต่างๆ ที่ทำให้เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางดอกไม้แกวหวานนวลตัดด้วยไม้หอมที่มีเสน่ห์สไตล์สุภาพบุรุษ โดยยังมีความชื้นแนวใบไวโอเล็ตกับโทน Citrus ที่แทรกเนียนๆ ปลายกลิ่นอยู่ เลยทำให้มิติกลิ่นได้ความสุภาพนุ่มนวลและสมาร์ทอวลๆ ในเวลาเดียวกัน โดยที่มีลูกเอื้อนเป็นกลิ่นโทนสดชื่นประปรายสร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ยังให้ภาพสุภาพบุรุษแนวสมาร์ทสวมหมวก Vintage เท่ห์ๆ อยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมตรงเสน่ห์กลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่ปรับโทนเข้ากับไม้หอมสร้างเสน่ห์ให้เข้ากับผู้ชายชัดเจน

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้าย จะเริ่มจับต้องได้ก่อนเลยคือเนื้อกลิ่นมีโทนออกทางคล้ายผิวกายสะอาดติดเค็มอ่อนๆ ที่สร้างความอวลทีละหน่อยเสริมขึ้นมาเรื่อยๆ และมีโทนออกทางเขียวเข้มแกมดาร์กนิดๆ ของ Oak Moss ค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละนิดๆ แล้วเริ่มลดบทบาทความเป็นโทนดอกไม้ขาวลงเป็นสายสนับสนุนที่ให้ความหวานแกมนวลในเนื้อกลิ่นแทน ซึ่งแน่นอนว่าโทน Citrus แกมชื้นๆ หายไปหมดแล้ว ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายที่เนื้อกลิ่นจะมีความอวลอ่อนๆ แบบผิวกายติดเค็มสะอาดเจือดาร์กเขียวแกมแมนๆ แกล้มฉาบหน้าด้วยโทนไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝก โดยมีโทนหวานนวลติดโปร่งเล็กๆ ของโทนดอกยาสูบตามมาจากช่วงกลางแบบกำลังดี ให้ความเย้าหน่อยๆ เสริมความเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่คุมโทนแนวสมาร์ทกึ่ง Casual ที่มีอารมณ์ Classic แกม Modern เนียนๆ ไปเรื่อยๆ มีความเรียบหรูแกมเรียบง่ายและเข้าถึงง่ายแบบที่มีชั้นเชิงปิดท้ายในเสน่ห์ของการเป็น Le Canotier กันไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจ    

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้สบายมาก กลิ่นมีอารมณ์สไตล์ดอกไม้นวลแต่ไม่สาวให้อารมณ์สุภาพบุรุษสไตล์ Vintage แนว 90 ได้ดีเลย ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แค่ออกกำลังกายที่ไม่โดนเท่าไหร่ แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามกลางคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่ากิจกรรมโรแมนติคจะเข้าทางมากที่สุดเลยล่ะ

ความทน - ดีงามเชียวเพราะสิ่งที่เจอส่วนตัวคือราวๆ 12 - 15 ชม. แทบทุกครั้งที่ใช้งาน เรียกว่าประทับใจในเรื่องความทนเลยล่ะ โดยถ้าตีค่าเฉลี่ยก็ยังไงแตะ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะคงตัวกันยาวๆ เลยแถมกลิ่นจะมีความอวลชัดขึ้นมาอีกสเต็ปในช่วงกลางอีกด้วยกันยาวๆ จนถึงราวๆ 5 ชม. กลิ่นจะเริ่มผ่อนลงมาเป็นปานกลางอยู่ซักพัก ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปเรื่อยๆ จนติดผิวเมื่อผ่านซัก 10 ชม. ไปแล้ว แต่กลิ่นจะตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวอยู่ให้รับรู้ได้เรื่อยๆ อยู่

สรุป - มันได้ Feel แนวน้ำหอมยุค 90 ที่ได้ความรู้สึกหล่อๆ มาดสุขุมนุ่มลึก แต่มีความนวลเย้าเร้าเสน่ห์สไตล์ผู้ชายสายสุภาพบุรุษมาดสมาร์ทและมีความ Nice สูงมาก เรียกว่าสร้างกลิ่นอายสาย Classic บรรจบกับความ Modern ได้อย่างลงตัว ซึ่งตอบโจทย์คนชอบความรู้สึกสไตล์ร่วมสมัยที่ทั้งเคยหรือไม่เคยผ่านช่วงวัยในยุค 90 มาก่อนชัดเจน ซึ่งเสียดายจริงๆ ที่ตอนนี้ปิดจ็อบไปแล้ว รอดูในอนาคตอีกทีว่าจะเอากลับมาทำอีกไหม ส่วนขวดที่มีตอนนี้บอกเลยว่าเก็บแน่นแน่นอน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - เข็มขัดสั้น

 

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfum Satori - Mizunara

Parfum Satori - Mizunara

สิ่งหนึ่งที่มักจะได้รับมาเสมอในการสัมผัสกลิ่นอายน้ำหอมจากแบรนด์ Parfum Satori นั่นคือ ความประณีตในการสร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นที่ดูเผินๆ เหมือนจะเรียบง่าย แต่มีความซับซ้อนและสามารถจำลองภาพเสมือนจริงเสมือนเราไปอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ หรือสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ที่แฝงจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ลงลึกถึงแก่นให้เราจับต้องได้อยู่เสมอ ซึ่งไม่ว่าจะผ่านกลิ่นไหนมาก็ไม่หลุด Concept เลยแม้แต่นิดเดียว

และกลิ่นล่าสุดที่ได้จับต้องและเรียนรู้อย่าง Mizunara นี้ก็เช่นกัน เพราะแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่น คือ ท่ามกลางต้นโอ๊คญี่ปุ่นและต้นบีชที่รายล้อยกระจายไปทั่วริมทะเลสาบในป่าลึก ซึ่งแน่นอนเรื่องของต้นโอ๊คญี่ปุ่นกับต้นบีชเนี่ย เป็นหนึ่งในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของญี่ปุ่นที่มีความนิ่งสงบและงดงามมาก ซึ่งนี่แหละทำให้สิ่งแรกก่อนที่จะเจอกับกลิ่นจริงๆ ต้องคิดตามและทดในใจไว้ก่อนว่ากลิ่นนี้จะทำให้เราเสมือนยืนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมตามที่มาของกลิ่นได้หรือไม่ แล้วค่อยมาว่ากันเมื่อถึงปลายทางของกลิ่นอีกที

แรกสเปรย์เมื่อฉีดออกมานั่นคือกลิ่นอายติดเขียวคมหน่อยๆ แต่ไม่ได้พุ่งจัดจ้าน แอบมีกลิ่นโทนแกมลูกพรุนเล็กๆ ซึ่งเป็นลักษณะของยางไม้สายเปรี้ยวเขียวพุ่งอย่าง Galbanum จะมาให้สัมผัสได้ก่อนโดยมีกลิ่นอายสดชื่นติดบรรยากาศอย่างโทนแนว Citrus แฝงอยู่เนียนๆ คล้ายดอกส้มแกมกลิ่นคล้ายๆ โทน Aquatic ที่เป็นโทนน้ำแทรกซึมประปรายให้จับต้องได้ก่อนในวูบแรก ก่อนที่จะตามติดต้วยโทนออกทางคล้ายสมุนไพรที่มีความปร่าเจือเขียวมินต์เล็กๆ เฉพาะตัวของโรสแมรี่และกลิ่นที่ค่อนไปทางลาเวนเดอร์ติดเขียวสมุนไพรหน่อยๆ (แบบที่ไม่ใช่ลาเวนเดอร์แบบนวลสะอาด กลิ่นค่อนเป็นทางต้นลาเวนเดอร์ที่มีโทนเขียวสมุนไพรมากกว่าดอก) อารมณ์แนวๆ กลิ่นอายคล้ายใบไม้และกิ่งไม้แกมสมุนไพรล้มลุกที่พื้นดินเสียมากกว่า ซึ่งไม่พอยังมีโทนกลิ่นไม้โอ๊คออกทางติดเปียกๆ กึ่งกลิ่นไม้สนที่ติดออกทางเปียกชื้นๆ จะเข้ามาผสมผสานด้วย ซึ่งเพียงแค่นี้ต้องบอกเลยว่าเลเยอร์กลิ่นมีความซับซ้อนมาก เพราะจะจับได้อารมณ์แบบเราอยู่ในจุดที่มีกลิ่นอายเขียวๆ เจือกลิ่นออกทางเนื้อไม้ที่มีกลิ่นเขียวตุ่นแกมเปรี้ยวสดชื่นเล็กๆ ตามธรรมชาติ และล้อมกรอบด้วยสมุนไพรเคล้ากลิ่นแหล่งน้ำลอยตามลม ซึ่งแค่ช่วงนี้ก็เรียกว่า สร้างภาพในหัวได้เลยเสมือนเรายืนรับลมที่มีกลิ่นแอ่งน้ำ กลิ่นใบไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้แก่นไม้ สมุนไพรและอากาศดีๆ ตามธรรมชาติที่ฟุ้งมาให้จับต้อง เรียกว่าเปิดมาก็ชัดเจนจับต้องได้หมดเลยสร้างภาพในหัวชัดเจนมากแบบอารมณ์ยืนท่ามกลางต้นโอ๊คและต้นบีชริมน้ำรอบกายเป็นเขตป่าธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่น

เมื่อโทนช่วงกลางการเปลี่ยนแปลงเริ่มให้จับต้องได้เพราะกลิ่นไม้โอ๊ตติดชื้นๆ จะมีโทนออกทางเหล้าคอนยัคเสริมอยู่ในเนื้อกลิ่น ที่มีความหอมเฉพาะตัวแต่ไม่ได้ถึงกับเป็นถังไม้บ่มเหล้าขนาดนั้น อารมณ์กลิ่นออกทางเนื้อไม้โอ๊คธรรมชาติแต่เอาความเป็นคอนยัคมาเสริมให้กลิ่นมีลูกเล่นเย้าๆ เนียนๆ เสียมากกว่า และแน่นอนว่ากลิ่นใบบีชติดเขียวยังมีประปรายให้จับต้องได้อยู่ด้วย แต่สิ่งที่เสริมขึ้นมาแบบกำลังดีคือกลิ่นออกทางเขียวปร่ากึ่งจะค่อนไปเหล้าจินของจูนิเปอร์ก็เพราะมีความเขียวชื้นๆ อารมณ์แบบกลิ่นไม้สนเข้ามาร่วมด้วย เลยได้ความเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นปร่าเขียวลอยมาเจือปนกับกลิ่นไม้โอ๊คแทน แถมมีกลิ่นพิมเสนที่ปร่าอ่อนๆ ไม่ได้ดิบเกินไปจนกลายเป็นสาบพิมเสนเขียวเฝื่อน และไม่ได้แห้งจนกลายเป็นยาจีน แต่ให้อารมณ์ปร่าเขียวเบาๆ คลอเคลียอยู่ในกลิ่นด้วย โดยที่เนื้อกลิ่นภาพรวมจะแห้งขึ้นอีก 1 สเต็ปจากช่วงต้นแต่ไม่ได้แห้งผาดแบบโทนแห้งแล้งแต่อย่างใด แต่มีความเป็นกลิ่นอายชื้นๆ ที่เป็นไอระเหยกลิ่นเนื้อไม้ กลิ่นปร่าบรรยากาศแบบที่เหมือนชินกลิ่นในช่วงต้นแล้วจมูกปรับสภาพได้แล้วราวๆ นั้น เลยทำให้ได้มิติที่ให้ความเป็นสภาพแวดล้อมที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมอีก (แบบที่ไม่ได้อยู่แถวๆ แหล่งน้ำแล้วเพราะโทน Aquatic จางไปแล้วราวๆ นั้น)

เมื่อกลิ่นเริ่มลดทอนและเบาลงมาเรื่อยๆ จนเหลือเพียงกลิ่นออกทางไม้หอมอ่อนๆ มีความเป็นโทนติดจืดหอมปนสว่างนวลเล็กๆ ที่เป็นโทนของไม้จันทน์หอมแกมกลิ่นติดเขียวแห้งเบาๆ กึ่งปร่าบางๆ ของคาโมมายด์ที่ออกแนวโทนกลิ่นติดระเรื่อนิ่งสุภาพให้รู้สึกได้ ซึ่งเมื่อดมใกล้ผิวจะได้กลิ่นออกทางติดอบอุ่นลึกๆ เนียนๆ เบาๆ อารมณ์แบบค่อนไปทางผิวกายที่อบอุ่นอ่อนๆ มีโทนติดหวานนิดๆ ซึ่งน่าจะมาจากยางไม้บางประเภทที่มีโทนหวานผสมผสานเข้ามาอยู่ ก็เข้าสู่โทนกลิ่นในช่วงท้ายเต็มตัวที่เริ่มปรับเปลี่ยนจากช่วงกลางค่อนข้างชัดมากขึ้นมาเป็นโทนเรียบง่ายและเรียบหรูแทน เนื้อกลิ่นอารมณ์แบบมีกลิ่นไม้หอมกับสมุนไพรอ่อนๆ ติดผิวกายแนวๆ นั้น ซึ่งแน่นอนมีความมินิมัลและเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นที่ไม่ได้ดูพยายามให้จัดจ้าน แต่ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ มีเสน่ห์แบบตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นปิดท้ายการท่องป่าไม้โอ๊คและบีชกับ Mizunara กันไปเรื่อยๆ จนจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่จริงๆ ค่อนไปทางผู้ชายมากกว่านิดหน่อย เพราะโทนออกทางไม้หอมเด่นกว่า แต่ยังไงผู้หญิงก็ใส่ได้สบายมาก เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่มายด์กลิ่นไม้หอมแบบเนื้อไม้ชื้นๆ เด่นก็จัดได้เลย ไม่แน่มีเสน่ห์มากกว่าผู้ชายใช้ก็เป็นได้ ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ซึ่งกวาดหมดได้อยู่ แต่ราคาสูงนะ เอาไปใช้กับออกกำลังกายก็จะเปลืองไปนิด แต่ยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือออกงานจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เน้นปล่อยพลังอยู่แล้วเลยไม่เข้าทางการใช้เพื่อท่องราตรีแน่นอน

ความทน - อยู่ที่ราว 6 ชม. เป็นสำคัญ แต่ไปต่อได้อีกถ้าฉีดเสื้อที่สวมร่วมด้วยและได้ถึง 10 ชม. เลยก็ยังได้ ซึ่งเข้าใจได้ไม่ยากว่ากลิ่นมีความเป็นธรรมชาติสูง ความทนมันก็จะด้อยหน่อยประมาณนั้น

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในเบื้องต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางราวๆ 1 ชม. แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 5 ชม. แล้วก็จะเริ่มเป็น Skin Scent แล้วจางลงไปตามเวลา

สรุป - แน่นอนว่าจิตวิญญาณกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นแบบถอดเอาความเป็นธรรมชาติมาแบบที่ได้กลิ่นใบบีช ต้นบีช ต้นโอ๊ค และต้นสน และสภาพแวดล้อมมาครบเลย แถมมีกลิ่นคอนยัคเนียนๆ สร้างความดึงดูดอีกด้วย กลิ่นเลยกลายเป็นลักษณะแบบ Japanese Forest View ที่ให้ความลงตัวและเสมือนจริง ต้องยกให้เขาเลยว่าแบรนด์นี้ถ่ายทอดความนิ่งและเสน่ห์แบบญี่ปุ่นได้มีชั้นเชิงและมีเสน่ห์มาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://thescentofman.wordpress.com/2018/12/04/parfum-satori-mizunara-may-2018/

 

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - Iridescent Sky


Strangers Parfumerie - Iridescent Sky

เวลาที่เราเจอน้ำหอมกลิ่นอาย Summer ต่างๆ เรามักจะเจอกลิ่นอายแบบทะเล สดชื่น แบบคิดอะไรไม่ออกก็บอกโทน Aquatic หรือไม่ก็ Citrus Sea Breeze ต่างๆ แต่เอาจริงๆ ความเป็น Summer มันก็ไม่ได้เอะอะก็ต้องทะเล เพราะมีอีกหลายสภาพแวดล้อมในฤดูร้อนที่สามารถเอามาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นได้ ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้า สวน ชมดอกไม้ รีสอร์ท วิวทิวทัศน์ของเมือง ค็อกเทลปาร์ตี้ ท่องเที่ยวเทศกาลต่างๆ ท้องฟ้าอันสดใสเคล้าปุยเมฆของฤดูร้อน และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งก็เอามาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์น้ำหอมได้หมด และหลายๆ แบรนด์ก็ได้ทำมาแล้วนักต่อนักที่เจาะจงไม่ได้เป็นเพียงแค่ Summer ที่ทะเล โดยเฉพาะแบรนด์ Niche Perfume ต่างๆ

และ Strangers Parfumerie ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ดึงเอาความเป็น Summer ออกมาในรูปแบบต่างๆ แล้วสร้างสรรค์กลิ่นลงสู่ขวดถึง 5 กลิ่น ซึ่งได้มีการเล่ากลิ่นไปแล้ว 1 รุ่นกับการเป็นฤดูร้อนแบบญี่ปุ่นอย่าง Kira Kira และคราวนี้ก็ได้เวลาของตัวที่ 2 ที่พร้อมเล่ากับการเป็นกลิ่นอายสาย City View เขตเมืองใหญ่กับท้องฟ้าอันสดใสเคล้าปุยเมฆ ซึ่งกลิ่นจะถ่ายทอดออกมาอย่างไร ว่ากันกับรุ่นนี้เลย Iridescent Sky

เปิดมาก็เริ่มกันกับความ Juicy แบบน้ำผลไม้กันเลย ซึ่งได้ความสดใสมาแบบเต็มๆ โดยจะแยกกลิ่นออกมาได้เป็น 3 ส่วน คือ

  • โทนผลไม้ เด่นที่สับปะรดหอมหวานแต่ไม่ได้ถึงกับฉ่ำมากที่มีโทนออกทางบลูเบอร์รี่ติดเปรี้ยวอมหวานหน่อยๆ อารมณ์แบบน้ำบลูเบอร์รี่สับปะรด
  • โทน Citrus ที่เด่นเชียวกับส้มโอที่วูบขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นติดฉ่ำเปรี้ยวสดชื่นน้ำเลมอน
  • โทนออกทางเมทัลลิคโลหะแกม Smoky ที่แทรกเนียนเสมือนฐานกลิ่นของน้ำหอม

ซึ่งทั้งหมดจะผสมผสานกันแบบที่ได้อารมณ์สดชื่นออกทางแนวพันช์สดชื่นกับผลไม้ที่ได้ทั้งความเปรี้ยว หวาน และสดใส แต่มีกิมมิคที่ทำให้ไม่ได้ดูเป็นน้ำผลไม้เกินไปจากโทนโลหะแกมกลิ่นควันเนียนๆ เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างชัดเจนเข้ามาร่วมด้วย ถือว่าเป็นการเปิดต้นกลิ่นที่สร้างความสดใส สดชื่น และมีความเป็นเมืองสไตล์ City View ได้ชัดเจนเลย

สิ่งหนึ่งต้องยอมรับเลยว่ากลิ่นโทนสไตล์น้ำผลไม้ Juicy ต่างๆ จะยังคงตัวในการเป็นตัวหลักเดินกลิ่นกันแบบยาวๆ เพียงแต่เนื้อกลิ่นในช่วงกลางจะลดทอนความฉ่ำลง มาเป็นโทนที่ติดฝาดอมเปรี้ยวคล้ายมะขามป้อมแกมกลิ่นฝาดดาร์กซีทรูของชาดำที่เข้ามาตัดทอนสร้างความอะโรม่าให้กลิ่นมีโทนที่ไม่ได้เป็นน้ำผลไม้เพียงอย่างเดียว แต่มีอย่างอื่นมาผสมผสานและมีสเต็ปการเดินทางของกลิ่นที่มีสไตล์ฉีกออกมาจากกความ Juicy ที่มีอยู่เดิม ซึ่งเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนแป้งติดทึบที่ให้วูบกลิ่นออกทาง Earthy บางวูบได้อารมณ์แบบกลิ่นคอนกรีตต้องแดดหน่อยๆ แกมกลิ่นกุหลาบนวลเรื่อๆ ให้รู้สึก และจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นหญ้าแฝกที่ให้ความ Earthy ติดไม้แห้งๆ เสริมขึ้นมาร่วมด้วย เลยทำให้มิติกลิ่นจะมีหลากหลายพอสมควรยืนพื้นที่กลิ่นออกทางเป็นผลไม้แกม Citrus ที่อยู่บนสุด ตามด้วยกลิ่นออกทางคล้ายแร่ธาตุแกมกลิ่นแป้งทึบออกทางคอนกรีตหน่อยๆ เคล้ากลิ่นเมทัลลิคออกทางโลหะแต่เย็นๆ และรองพื้นด้วยกลิ่นโทน Earthy ของหญ้าแฝกที่ให้โทนไม้แห้งๆ ที่กลิ่นชัดเจน มีพลังกำลังดีแบบสร้างบาเรียรอบตัวผู้ใช้ในเรื่องของกลิ่นที่สดชื่นก็ได้ เป็นสภาพแวดล้อมอวลๆ ก็ดีประมาณนั้น

ในช่วงท้ายการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะชัดเจนพอสมควร เพราะว่าโทนน้ำผลไม้ Juicy จะเริ่มเบาลงไปเหลือประปรายแล้วแต่เนื้อกลิ่นจะมีความชัดเจนมากขึ้นในการเป็นโทน Metallic Smoky Musky ที่จะมี 3 โทนนี้ให้จับต้องได้ทั้งหมด เพราะกลิ่นจะมีความนิ่งมากขึ้น เนื้อกลิ่นมีความสะอาดนวลติดโปร่งหน่อย เพราะ Musk ที่จับต้องได้จะมีอารมณ์แบบติดเขียวหน่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็นตัว Ambrette ที่จะให้โทน Musk กึ่งเขียวผัก ซึ่งพอเจอกับโทนเมทัลลิคที่เย็นๆ และมีกลิ่นอาย Smoky และเสริมโทนด้วยกลิ่นที่ตามมาจากช่วงกลางแนวกึ่งแป้งกึ่งแร่ธาตุแนวคอนกรีตและไม้แห้งๆ เลยทำให้ได้ความรู้สึกแนวนิ่งๆ แกมสะอาดเคล้ากลิ่นโลหะแบบกำลังดี และมีกลิ่นอายสภาพแวดล้อมของเมืองเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นช่วงปิดท้ายที่ให้ความเรื่อยๆ นิ่งๆ ชิลล์ๆ สบายๆ แบบที่เป็น Summer แบบที่มีลมโกรกสบายๆ ลอยมาปะทะร่างกายตลอด แบบที่ไม่ใช่ Summer ณ กรุงเทพ แต่เป็น Summer ของเมืองนอกแถวอเมริกาหรือยุโรปอะไรประมาณนั้น 

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่ค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย เมื่อผ่านช่วงต้นไปแล้ว ซึ่งถ้าสาวๆ ไม่มายด์ใส่ได้สบายมาก เพราะกลิ่นมีความเก๋ๆ เข้ากับไลฟ์สไตล์คนเมืองพักผ่อนเพลินๆ ชิลล์ๆ กับน้ำผลไม้หรือน้ำพันช์แนวๆ นั้น ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการก็ใช้ได้สบายมาก แต่ให้ผ่านช่วงต้นไปนิดนึงจะเวิร์คกว่า แต่ทั่วๆ ไปที่ใส่ได้แบบสไตล์ Daily Scent ที่มีความเก๋และ Unique ก็ยังได้ ซึ่งเนื้อกลิ่นอาจจะไม่ค่อยเข้ากับใส่เพื่อออกกำลังกายนัก แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็พอได้อยู่ ส่วนถ้าจะเอากลิ่นนี้ไปใส่เพื่องานปาร์ตี้แบบ Outdoor ไม่ว่าจะยามไหน บอกเลยใส่ได้หมดลงตัวมากๆ ด้วย แต่ถ้าจะใส่ท่องราตรีเน้นขับเสน่ห์ อันนี้จะไม่ได้ชัดในสายนั้นนัก ข้ามไปน่าจะดีกว่า

ความทน - อันนี้ก็เด็ดไม่แพ้เรื่องอื่น เพราะว่า 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้จับต้องได้ตลอด และยาวไปถึง 15 ชม. ซึ่งยังไงก็แตะที่ 8 ชม. ได้สบายมาก  

การกระจาย - ดีมากในช่วงต้น แล้วจะผ่อนมาที่กระจายดีแบบคงตัวยาวไปราว 4 ชม. ถึงค่อยลงมาปานกลางกันไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 7 ชม. แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ

สรุป - Iridescent Sky ทำให้นึกถึงกลิ่นนึงที่เคยผ่านมาแบบ Limited Edition ของแบรนด์ PRYN PARFUM อย่างรุ่น Indium B.o.B (สุคนธกรคนเดียวกัน) ที่เนื้อกลิ่นไล่สเต็ปใกบ้เคียงกัน เพียงแต่กลิ่นของ Iridescent Sky จะมีเนื้อกลิ่นโทนผลไม้มีความแตกต่างเพราะความเป็น Citrus ค่อนข้างคุมเนื้อกลิ่นภาพรวมแนวสดใสได้ชัดเจนกว่า และมีความเป็น City View มากกว่ารุ่น Indium B.o.B ที่จะเหมือนเราอยู่ในสถานที่เปิดแบบเก๋ๆ ชิคๆ คูลๆ มีตกแต่งด้วยโลหะเคล้าค็อกเทลชิลล์ๆ ที่ไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าเพราะเขาตอบโจทย์กลิ่นที่สอดรับ Project: Boys of Bangkok เช่นนั้น โทนกลิ่นมีความใกล้เคียง แต่ต่างอารมณ์กันออกไปและเก๋ไปคนละแบบ แต่ก็พอทดแทนกันได้อยู่นะ เพราะว่าตอนนี้ Indium B.o.B ไม่มีจำหน่ายอีกแล้ว 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.prinlomros.com/collections/strangers-parfumerie/products/iridescent-sky 

Review: Halston Classic for Women

Halston Classic for Women

หลังจากที่ได้ชม Mini Series ที่เล่าชีวประวัติของ Designer ที่เปรียบเสมือนเป็นพระเจ้าในการสร้างสรรค์แฟชั่นของฝั่งอเมริกาในยุค 70 อย่าง Halston ใน Netflix ที่ได้เห็นที่มาที่ไป จุดรุ่งโรจน์ของชีวิตที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ทางด้านแฟชั่นสาย Pop Culture ไปตลอดกาล และมาสู่จุดร่วงโรยของชีวิต ซึ่งใน Mini Series ก็มีการเล่าถึงการออกแบบน้ำหอมของแบรนด์นี้อยู่ด้วยใน EP3 ในชื่อตอน The Sweet Smell of Success ที่บอกเล่าถึงที่มาที่ไปที่ทำให้ Halston เองก็แจ้งเกิดบนโลกน้ำหอมได้อย่างยอดเยี่ยมและไก๋เก๋มากทั้งกลิ่นและรูปทรงขวด จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นอายสาย Classic ที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลด้วยเช่นกัน 

และแน่นอน การเขียนครั้งนี้คือการเล่ากลิ่น เช่นนั้นจึงต้องมาว่ากันที่น้ำหอมรุ่นแรกสุดของแบรนด์นี้กันดีกว่า ซึ่งต้องบอกกันก่อนว่าจะไม่ได้แตะที่ความเป็นรุ่น Vintage ของกลิ่นนี้ (เพราะหาไม่ได้) แต่ก็ขอมาจับต้องความเป็นปัจจุบันของกลิ่นนี้แทนซึ่งจะยังคงความดีงามหรือไม่ มาว่ากันเลยตามนี้

Halston Classic เรียกว่าเปิดมาก็ใช่เลยนี่แหละกลิ่นอายสาย Vintage เพราะมาสายกลิ่นอายสไตล์ Aldehydes ที่เป็นแบบสบู่อวลเด่นออกมาพร้อมกับกลิ่นออกทางสมุนไพรหน่อยๆ ที่มีโทนปร่าอวลเพพเพอร์มินต์แกมมะกรูดฝรั่งที่มาเปิดให้กลิ่นสดชื่น แต่ความดีงามคือ กลิ่นไม่ได้พยายามเล่นใหญ่เล่นหนัก แต่ให้ความพอดีๆ แทน และความเก๋มันอยู่ที่การเอากลิ่นเมล่อนหอมกับพีชนวลมาเป็นตัวแต่งแต้มสีสันทางกลิ่นให้มันมีความขี้เล่นและดึงดูดแบบพอเหมาะ เคล้าไปกับกลิ่นออกทางดอกไม้แนวกุหลาบและกระดังงาเย้าๆ ที่ใส่เข้ามาแบบผู้สนับสนุนรองใจดีนี่แหละ เรียกว่ากลิ่นเปิดใช่เลยว่าพื้นฐานมันคือขนบน้ำหอมสไตล์ยุค 70 แหละ แต่มันแฝงความทันสมัยและตอบโจทย์อารมณ์กลิ่นแนว Playful ที่เข้ากับผู้ดีเที่ยวกลางคืนแนวๆ Studio 54 ในยุค 70 ไม่พอยังเป็นกลิ่นที่เอามาใช้ในปัจจุบันได้อย่างไม่ขัดเขินอีกด้วย นี่แค่ช่วงเปิดเองนะ ก็สามารถทำให้เห็นถึงความเหนือกาลเวลาของกลิ่นนี้กันได้ชัดเจนจริงๆ

เมื่อผ่านไปซักพัก โทนกลิ่นสายผลไม้จะเริ่มจางไปเหลือเพียงปลายกลิ่นเล็กๆ แต่ยังมีความเป็นโทนดอกไม้อยู่แต่กลิ่นจะมีความสมดุลย์มากขึ้นในการเอาโทนแป้งมาเป็นตัวช่วยสร้างความนวลอวลกำลังดีในกลิ่น เพียงแต่เป็นแค่สายสนับสนุนเช่นเดิม เพราะว่าจะมีกลิ่นโทนติดปร่าแกมเผ็ดเจือเขียวของคาร์เนชั่นและกลิ่นออกทางสมุนไพรที่ติดแห้งหน่อยๆ ของดอกดาวเรืองที่ให้โทนสมุนไพรรุ่มรวยกำลังดีจะเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปกลิ่นอาย Vintage ที่เรามักจะพบความแน่นฟุ้ง แต่อันนี้จะไม่ได้ฟุ้งมาก ให้ความเรียบหรูมีเสน่ห์ที่จับต้องได้ทั้งความเป็นแป้งดอกไม้อ่อนๆ และความเป็นโทนสมุนไพรติดอวลกึ่งสบู่ที่ตามมาจากช่วงต้นกำลังดี อารมณ์กลิ่นบางวูบทำให้นึกถึงน้ำหอม 2 ตัวที่โด่งดังพอๆ กันอย่าง Revlon - Charlie และ Chanel No.5 แบบสายเบาๆ ซึ่งเพียงไม่นานก็จะจับได้ถึงกลิ่นออกทางติดอบอุ่นออกทางแอมเบอร์ แกมพิมเสนหน่อยๆ และมี Oak Moss ที่ชัดเจนขึ้นมาแบบเนียนๆ ร่วมด้วย เลยทำให้ฟันธงได้ไม่ยากเลยว่านี่มันโทน Floral Chypre ที่มีความเรียบหรูแบบมีชั้นเชิงเพราะกลิ่นไม่หนัก ซึ่งยังไม่ทิ้งลายในช่วงต้นที่ให้ความเก๋ๆ อยู่

ในช่วงท้ายการเปลี่ยนแปลงจะชัดเจนเพราะโทนผลไม้กับดอกไม้จะหายไปแล้ว เหลือเพียงแป้งอ่อนๆ กับสมุนไพร ที่เหลือเพียงปลายกลิ่น แต่จะให้กลิ่นไม้หอมแกมอบอวลอ่อนๆ ของ Oak Moss ที่ให้ความเขียวเข้มแกมหมึกซ้อนไปกับโทน Animalic หน่อยๆ ที่น่าจะมาจาก Musk ทำให้มีความกรุยกรายกำลังดีซ้อนไปกับกลิ่นโทนหญ้าแฝกแห้งๆ และไม้จันทน์หอมที่ให้ความเป็นไม้แห้งกึ่งนวลหน่อยๆ สร้างอารมณ์กลิ่นที่เป็นไม้หอมแกมน่าค้นหา ที่มีความกรุยกรายมีระดับแบบรุมๆ รวมถึงโทนอบอุ่นแนวแอมเบอร์ที่มาแบบกลางๆ ก็สนับสนุนให้กลิ่นมีโทนที่อวลกำลังดีเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าอารมณ์กลิ่นชัดเจนว่าเป็นโทนสไตล์ Classic นี่แหละ แต่พอไม่ได้แน่นมากไป หรือหนักไป เลยกลายเป็นกลิ่นที่มีความเรียบหรูที่มีระดับแบบร่วมสมัยแบบมีชั้นเชิงแทน นี่แหละ Halston Classic ล่ะ 

เหมาะสำหรับ - ใช่เลยที่บอกว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่จริงๆ ถ้าผ่านช่วงต้นไปแล้วมันคือโทน Unisex ที่ชัดเจนมากและไม่ฟุ้งปล่อยพลังเกินไป จนผู้ชายใช้งานได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่าเป็นสาย Classic ที่ใช้งานง่ายและมีระดับมากพอกับหลายๆ สถานการณ์ รวมถึงพอใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายก็พอได้อยู่ แต่กลิ่นมันไม่ใช่ขนบตามเทรนด์ในปัจจุบัน เว้นตรงนี้ไปน่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานได้สบายมาก แต่ถ้าใส่ท่องราตรีอาจจะต้องรัวสเปรย์หน่อย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ด้านนี้เท่าไหร่ในปัจจุบัน

ความทน - ตกอยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ซึ่งสำหรับความเป็น Eau de Cologne แล้วทำได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว ซึ่งส่วนตัวจัดไป 7 สเปรย์ อยู่ถึง 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วก็จะคุมโทนที่ออร่ารอบๆ ตัวกันต่อถึงราวๆ 4 ชม. แบบเรื่อยๆ เบาๆ ในความเป็นโทน Classic ที่เหลือก็จะเริ่มติดผิวรุมๆ ไปจนกว่าจะจางไปจากผิว 

สรุป - นอกจากกลิ่นนี้จะบ่งบอกถึงความเก่งของ Roy Halston ที่มีเซนส์ทางอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ฉกาจมาก + ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ขวดน้ำหอมที่กลายเป็นสัญลักษณ์อันยอดเยี่ยมของแบรนด์อย่าง Elsa Peretti และเสริมด้วยความเก๋าทางกลิ่นจากสุคนธกรระดับปรมาจารย์อย่าง Bernard Chant จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Halston Classic ถึงได้เป็นหนึ่งในน้ำหอมสาย Classic ที่ได้รับการยอมรับในความไม่ธรรมดาจนมาถึงทุกวันนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.allbeauty.com/im/en/140963-halston-classic-eau-de-cologne-spray-100ml

 

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Lush - American Cream

Lush - American Cream

จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาสร้างสรรค์เป็นน้ำหอมของ Lush ในกลิ่น American Cream เริ่มต้นมาจากการเป็นหนึ่งในกลิ่นอายสาย Conditioner บำรุงผมกันมาก่อน ซึ่งพอเป็นที่นิยมก็เลยมีการต่อยอดสร้างผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็น Shower Gel และก็น้ำหอมในที่สุด

ซึ่งกลิ่นนี้มีดีอย่างไง และทำไมถึงได้เป็นที่นิยมจนต้องต่อยอดมาจนเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ได้รับความนิยม ลองแล้วบอกต่อได้แบบนี้เลย

“My milkshake brings all the boys to the yard” เรียกว่าเปิดเพลง Milkshake ของ Kelis รอเลยก็ว่าได้ เพราะกลิ่นนี้มันคือ Strawberry Vanilla Milkshake ชัดๆ ในภาพรวม แต่จะมีช่วงเปิดที่อาจจะเป็นเสมือนการเริ่มต้นผสมสผสาน เพราะกลิ่นที่เปิดตัวออกมาจะได้อารมณ์แบบครีมนมที่พุ่งขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นโทน Fruity หน่อยๆ ของสตรอเบอร์รี่ ที่จะไม่ได้มาแบบกลิ่นเปรี้ยวอมหวานใสๆ แต่มาแนวๆ กึ่งนมรสสตรอเบอร์รี่ที่เนียนไปกับกลิ่นครีมนมแล้ว แต่ก็มีโทนติดเปรี้ยวเจือหวานหน่อยๆ ของส้มเข้ามาเสริมประปราย บางวูบอาจจะได้กลิ่นแนวๆ คล้ายยางแกมพลาสติกเล็กๆ แต่เป็น Effect แต่ช่วงต้นๆ แต่ที่แน่ๆ จับต้องกลิ่นดีๆ จะมีโทนสมุนไพรหน่อยๆ ที่เข้าทางโทนลาเวนเดอร์ที่ทำให้มีโทนติดหวานแกมชะเอมเล็กๆ เลยทำให้อารมณ์กลิ่นช่วงต้นคือโทนกลิ่นแบบครีมนมมาชัดเจนแกล้มส่วนประกอบอื่นหน่อยๆ ที่เสริมมิติกลิ่นก่อนประมาณนั้น

แต่การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะเริ่มชัดเจนกับการเป็นโทนออกทาง Milkshake มากขึ้น เพราะกลิ่นจะมีโทนที่ไล่เลเยอร์กันเนียนๆ ได้น่าสนใจมาก นั่นคือกลิ่นนมกับวานิลลาจะมา Tag Team เข้าด้วยกันโดยมีโทนติดหวานนุ่มๆ กำลังดี ซึ่งแน่นอนว่ายังมีกลิ่นสตรอเบอร์รี่อยู่หน่อยๆ รวมถึงโทนออกทางสมุนไพรเป็นสายเนียนๆ ที่ค่อนไม่ทางแกมอบอุ่นเล็กๆ กึ่งโทน Musky แกมลาเวนเดอร์ซึ่งน่าจะเป็น Clary Sage ที่ให้โทนประมาณนี้ และจะมีกลิ่นออกทางวิปครีมแกมกลิ่นออกทางครีมนมหน่อยๆ เข้ามาเสริมสไตล์กึ่ง on Top ทำให้กลิ่นช่วงกลางค่อนข้างชัดเจนอารมณ์กลิ่นแบบไล่จากกลิ่นครีมนมแกมวิปครีมไปสู่กลิ่นนมสตรอเบอร์รี่ผสมวานิลลาที่ Mix รวมกัน โดยมีโทนลายเซ็นแกมสมุนไพรแฝงแบบสไตล์ Lush แฝงเนียนๆ อยู่ ซึ่งมันใช่เลย Strawberry Vanilla Milkshake แบบพอดีๆ ไม่เย็นและไม่อุ่น

ช่วงท้ายโทนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงกลางมากเท่าไหร่ แต่เนื้อกลิ่นจะมีโทนที่นุ่มนวลแกมอบอุ่นมากขึ้น ซึ่งโทนหวานจะมาแบบเรื่อยๆ ค่อยๆ มาไม่ได้เร่งไม่ได้รีบ กลิ่นจะค่อนไปทางนมวานิลลาที่มีความครีมมี่ของวิปครีมผสมกันเป็นเรียบร้อยแล้ว แต่กลิ่นจะค่อนไปทางแห้งแกมแป้งเสียมากกว่า เนื้อกลิ่นมีโทน Musky หน่อยๆ ที่ไปเชื่อมโทนทำให้อารมณ์กลิ่นจะเป็นคล้ายๆ กึ่งแป้งกึ่งโลชั่นกลิ่นครีมมี่นมๆ ปนวานิลลาแกมนุ่มอุ่นอวลหน่อยๆ คลอผิวและมีความอวลกำลังดีลอยขึ้นมาให้รับรู้ ซึ่งถือเป็นช่วงปิดท้ายที่ให้ความหอมนุ่มๆ กรุ่นครีมมี่กันไปยาวๆ แกมน่าซุกน่าคลุกวงในไปเรื่อยๆ แบบที่ใช่เลยกลิ่นพร้อมให้ซุก บิด ชิมครีม จุ่มนมสูงมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่จะค่อนทางไปผู้หญิงมากกว่านิดนึง แต่เอาจริงๆ ไม่ต้องใส่ใจ ยังไงผู้ชายก็ใส่กลิ่นนี้ได้สบายมาก และเผลอๆ ดึงดูดมากๆ เสียด้วยซ้ำไปกับกลิ่นโทนครีมแบบนี้ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่ให้ตัดช่วงทางการหรือจริงจัง รวมถึงออกกำลังกายออกไปจะดีกว่า แต่ถ้าใส่ทำงาน Office หรือว่าทั่วๆ ไป อันนี้ใช้ได้สบายมาก รวมถึงใส่ชิลล์ๆ ทั่วไปก็ได้ กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงมากเท่าไหร่นัก ส่วนยามค่ำคืนก็เน้นทั่วๆ ไป หรือโรแมนติคก็ได้อยู่ แต่ถ้าท่องราตรีกลิ่นเบาไปนิด ต้องอัดเยอะหน่อยถึงจะพอฟัดพอเหวี่งได้ 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. กำลังดี มีลบราวๆ 2 ชม. แต่บวกไปอีกตามแต่สภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนเจอใช้ไป 6 สเปรย์ ไปได้ถึงราวๆ 12 ชม. ก็เจอมาแล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซักพักนึง พอเข้าช่วงโมงที่ 4 ถึงจะเริ่มลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว  แล้วเป็น Skin Scent ก็ 6 - 8 ชม. ไปแล้ว  

สรุป - เนื้อกลิ่นมันจะมาแนวครีมจริงๆ คือในทุกๆ ช่วงจะจับต้องได้ถึงความครีมอยู่ตลอด โดยที่มีโทนแบบ Strawberry Vanilla Milkshake มาเป็นตัวเสริมที่สร้างกลิ่นโทนดึงดูดสไตล์เครื่องดื่มนมๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความหวานนวลอวลกำลังดีไม่ได้แหลมไปหรือหวานเลี่ยนไป ถือว่าทำกลิ่นออกมาได้คุมโทนตามชื่อกลิ่นได้ลงตัวมากๆ และที่สำคัญกลิ่นนี้มีความ Good Enough to Eat ในระดับที่ไม่ธรรมดาอีกหนึ่งกลิ่นเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://th.lush.com/products/perfumes/american-cream

 

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Guerlain - Mitsouko Extract

Guerlain - Mitsouko Extract

ผ่านการเรียนรู้กลิ่นอายสาย Classic เหนือกาลเวลาของ Guerlain อย่าง Mitsouko มาพอสมควรไม่ว่าจะทั้งรุ่น EDP และ EDT ที่มีความงดงามทางกลิ่นที่ลุ่มลึก นิ่งงัน อบอุ่น และเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึก ที่ประปรายอยู่ในน้ำหอมกลิ่นนี้ แต่ยังไม่จบ

เพราะขาดตัวสำคัญของสายนี้ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงนั่นก็คือรุ่น Pure Parfum หรือ Mitsouko Extract ที่เป็นอีกหนึ่งในความงามทางกลิ่นที่เล่าขานและชื่นชมกันมาอย่างยาวนานตั้องแต่มีรุ่นนี้จวบจนปัจจุบัน ว่าเป็นการถ่ายทอดกลิ่นที่ยอดเยี่ยมมาในความเป็น Mitsouko กับความเข้มข้นสูงสุด เช่นนั้น ได้รับการแบ่งปันมาจากกัลยาณมิตรทางด้านน้ำหอม เราก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยล่ะว่าจะเป็นอย่างไร

เปิดตัวคือจับต้องได้เลยว่าโทนกลิ่นที่จะอยู่เด่นเป็นสง่าและยืนยาวไปจนถึงช่วงท้ายก็คือ Oak Moss เพราะกลิ่นจะชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปลายทางของกลิ่นเลย ซึ่งในช่วงแรก Oak Moss จะเป็นเสมือนตัวคุมเกมที่ให้ผู้เล่นอื่นๆ เฉิดฉายฉาบหน้าอย่างโทนดอกไม้และสาย Citrus ซึ่งเป็นตัวปล่อยของหลัก โดยมีโทนกลิ่นแนวผลไม้ของพีชเป็นตัวสร้างซีนแบบงามๆ กันก่อน ซึ่งพอจับกลิ่นก็แยกส่วนออกมาได้ โทนเด่นคือ มะลิที่จะมีความหวานหอมของพีชและกุหลาบนวลแกมกลิ่นคล้ายไลแลคคลออยู่แบบมีความหนาในเนื้อกลิ่นพอประมาณ เสริมด้วยกลิ่นออกทาง Citrus ที่ติดขมหน่อยๆ ซึ่งเดาไม่ยากว่าเป็นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และมีโทน Citrus อื่นๆ คล้ายเลมอนหน่อยๆ แบบเนียนๆ ให้มีมิติความสดชื่นอ่อนๆ อยู่บนความเป็นโทนดาร์กลึกกรุยกรายและมีความน่าค้นหาของ Oak Moss ซึ่งช่วงเปิดเรียกว่าสร้างออร่าความสูงศักดิ์นิ่งๆ หวานหอมสไตล์ Feminine แกมลุ่มลึกท่ามกลางบรรยากาศติดสดชื่นอ่อนๆ ซึ่งมีความงดงามในการเป็นโทนกลิ่นสไตล์ Chypre หรูหรากันตั้งแต่แรกพบสบจมูกดมเลยทีเดียว

เมื่อกลิ่นโทน Citrus เริ่มเบาลง คราวนี้จะได้เวลาของการเป็นโทนโดยไม้ที่สื่อถึงความเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์ต่างๆ ซ้อนกันอยู่ในนั้น ซึ่งจะมีโทนกลิ่นมะลิที่ให้ความนุ่มนวลอ่อนโยนแกมกลิ่นกุหลาบที่ให้ความเป็นผู้หญิงโรแมนติค เสริมด้วยกลิ่นไลแลคที่ให้ความหวานติดโทนแป้งอวล ซ้อนด้วยกลิ่นกระดังงาที่ให้จริตเย้ายวนแบบอิสตรี และมีโทนกลิ่นคล้ายไอริสที่ให้ความนิ่งงันในกลิ่นเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทั้งหมดที่จับต้องได้นี้จะเป็นแค่ในส่วนของโทนดอกไม้เท่านั้น เพราะยังมีตัวเด่นอีกตัวคือคือ พีช นี่แหละที่เป็นตัวเชื่อมโทนดอกไม้ต่างๆ ให้มีลักษณะกลิ่นที่หวานมีมิติแบบกลิ่นออกทางผลไม้ที่ติดแป้งหวานนวล โดยมีเลเยอร์ผู้คุมเกมอย่าง Oak Moss ที่เริ่มชัดขึ้นมากว่าตอนช่วงต้นอีกสเต็ป ทำให้กลิ่นมีความเป็นหยินหยางที่สมดุลย์มีความเป็นโทนคลาสสิคติดมีจริตแบบอวลแป้งดอกไม้แกมพีชที่ให้ฟากนึงเป็นโทนออกทางสีนวลอ่อนซ้อนด้วยความนิ่งดาร์กน่าค้นหาแบบลุ่มลึกที่อารมณ์กลิ่นจะให้โทนแบบที่เวลาเราเห็นใครซักคนที่สวยสง่าละเมียด แต่มีออร่าความรู้สึกนิ่งงันและเก็บซ่อนอารมณ์ภายในต่างๆ ให้เรารู้สึกได้ว่าคนๆ นี้มีอะไรอยู่ โดยที่มีความกรุยกรายและหรูหราห้อมล้อมกลิ่นอย่างมีเสน่ห์ในความเป็นโทนแนวคลาสสิคได้งดงามจริงๆ ซึ่งในช่วงนี้จะสัมผัสความรู้สึกอบอุ่นแนวๆ กึ่งโทนแอมเบอร์ลึกๆ ที่ติดเครื่องเทศอวลอ่อนๆ ปนไม้หอมให้รู้สึกได้ด้วย แบบอารมณ์เนียนๆ แทรกตัวมาผสมผสานเรื่อยๆ ถือว่าชัดเจนในการเป็นกลิ่นอายสาย Chypre และส่งต่อไปยังช่วงท้ายที่จะจับต้องได้ชัดเจนเลยถึงโทนเครื่องเทศเย้าๆ แกมไม้หอมติดแห้งๆ หน่อยโดยมีโทนออกทางแอมเบอร์ที่ค่อนข้างชัดตีคู่ไปกับอบเชยที่ให้ความหวานเย้าอบอวล เสริมกันได้เป็นอย่างดีมาก ซึ่งแน่นอนเลยว่า Oak Moss ยังคงคุมโทนอยู่ เพียงแต่จะเริ่มกลับไปสู่การเป็นโทนแนวๆ พื้นหลังที่ให้ความเป็นโทนน่าค้นหาปนกรุยกรายหรูหราอยู่เช่นเดิม แต่จะเพิ่มอารมณ์กลิ่นจะอบอุ่นแกมลึกลับน่าค้นหาเข้าไปสร้างออร่ากึ่งนางพญาร่วมด้วย แต่ไม่ได้ไปทางเริ่ดเชิด เพราะจะได้อารมณ์สูงศักดิ์ที่วางตัวนี้มีความนิ่งน่าค้นหาท่ามกลางอารมณ์ที่ไหลลึกอยู่ภายใน

จากทั้งหมดทั้งมวลเมื่อเอาไปเทียบกับที่มาที่ไปของกลิ่นอย่างตัวละคร Mitsouko ในนิยายเรื่อง La Bataille ที่เป็นผู้หญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่แต่งงานแล้วกับนายทหารชาวญี่ปุ่น แต่ก็มีความรักต้องห้ามกับทหารหนุ่มชาวอังกฤษในช่วงระหว่างสงครามรัสเซียกับญี่ปุ่น โดยที่ต้องซ่อนงำความรักนี้ไว้ในความลับ แต่เพราะอยู่ในช่วงรบเธอจึงตั้งมั่นให้ทั้งสามีตนเองกับคนที่ตนรักอีกคนกลับมาจากสงครามได้อย่างปลอดภัย เรียกว่าตัว Extract นี้สามารถถ่ายทอดกลิ่นออกมาได้ชัดเจนคงคาแรคเตอร์หญิงสูงศักดิ์ที่มีอารมณ์ซ่อนลึกไว้ภายใน โดยยังคงวิถีความนิ่งงันและงดงามอยู่ หรือถ้ามองอีกแง่จะมองว่าเป็นกลิ่นอายสไตล์แบบคุณหญิงกีรติ ในนิยาย “ข้างหลังภาพ” ก็ย่อมได้ เพราะคาแรคเตอร์กลิ่นสื่อสารไปในทิศทางเดียวกันกับ Mitsouko ชัดเจนจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป อย่างน้อยต้องมีพื้นเพผ่านกลิ่นอายสาย Classic มาบ้าง จะเข้าถึงและเข้าใจกลิ่นนี้ แล้วจับเอาคาแรคเตอร์กลิ่นไปเสริมบุคลิกของตัวเองในด้านกลิ่นอายวางตัวที่สง่างามและน่าค้นหาได้ดีมากขึ้น ซึ่งกลิ่นนี้เข้าทางการใช้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แบบที่เน้นเสริมบุคลิกให้มีความงดงามลุ่มลึกที่ไม่ธรรมดา รวมถึงสามารถนำไปใช้ยามค่ำคืนแบบแนวออกงานก็ยังได้ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้ง ออกกำลังกาย และท่องราตรีปล่อยเสน่ห์ไปได้เลย กลิ่นไม่ได้ไปสายเหล่านี้เลย ที่สำคัญกลิ่นนี้มีโทนลักษณะที่มีความเป็น Unisex พอสมควรในช่วงท้าย เช่นนั้นถ้าไม่มายด์กลิ่นอายดอกไม้กึ่งพีชในช่วงกลาง ผู้ชายก็ใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งสามารถไปต่อได้พอสมควรถึง 12 ชม. ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมาที่ปานกลางแบบค่อนข้างคงตัวไปราวๆ 4 ชม. ก่อนจะลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วคงที่ไปยาวๆ จนเมื่อพ้น 8 ชม. จะเริ่มแผ่วลงไปติดผิว ซึ่งพอเข้าใจได้ว่ากลิ่นมาสาย Pure Parfum หรือ Extract แบบนี้ ตัวนำพากลิ่นให้ฟุ้งอย่างแอลกอฮอล์จะน้อยมาก กลิ่นเลยจะค่อนข้างคงที่และซึมลึกกับผิวพอสมควร ซึ่งอาจจะไม่ได้กระจายจัดจ้าน แต่ความงามของกลิ่นนั้นครบถ้วนไม่ลดราวาศอกเลย

สรุป - Mitsouko Extract ถือเป็นอีกหนึ่งในใต้หล้าในการเป็นน้ำหอมที่ Deep ลงไปกว่าความเป็น Mitsouko ปกติ เพราะความเข้มข้นจะชัดเจนมาก และนำเสนอความลึกลับน่าค้นหาและมีความซับซ้อนโดยมีจริตของกลิ่นโทนผลไม้แนวคลาสสิคเป็นตัวดึงเข้ามาให้เจอกับความดาร์ก และนิ่งงันอย่างมีชั้นเชิงน ซึ่งบอกเลยไม่ธรรมดาและงดงามมากจริงๆ ในการสร้างโทนกลิ่นสไตล์ Classic สูงศักดิ์ที่วางตัวดีมีความนิ่ง ลุ่มลึก และซับซ้อนในเนื้อกลิ่นสูงมาก ถือเป็นอีกหนึ่งที่ต้องยกให้เลยว่านี้คือ Masterpiece เคียงคู่กับ Mitsouko ในทุกความเข้มข้นเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.guerlain.com/me/en-me/p/mitsouko-extract-P015117.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Memo Paris - Kedu

Memo Paris - Kedu

การเก็บกลิ่นอายที่มาจากการได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ สู่การเป็นน้ำหอมลงขวดที่มีแผ่นโลหะสวยงามแปะด้านหน้าของแบรนด์ Memo Paris เรียกว่ามี Collection ต่างๆ ที่แยกกันไปอย่างมีเอกลักษณ์และชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น Cuirs Nomades ที่เน้นการเอากลิ่นอายหนังมาผสมผสานกับกลิ่นอายจากสถานที่ต่างๆ Art Land กับสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรขึ้นและประทับตราไว้เป็นหนึ่งในความงามบนผืนแผ่นดิน Les Echappées กับการเจาะจงสถานที่พิเศษที่ที่ความเฉพาะเหมาะแก่การหลบลี้โลกในปัจจุบันไปท่องเที่ยวเพื่อซึมซับความสวยงาม และสุดท้ายอย่าง Graines Vagabondes ที่เน้นกับพืชพรรณต่างๆ ที่เป็นของดีของเด่นประจำท้องถิ่นที่ได้ไปทางท่องเที่ยวนั้นๆ มากลายเป็น Notes หลักในการสื่อสาร

และเมื่อได้ผ่านมาหลากหลาย Collection มาพอสมควรแล้วแต่เมื่อหลับไปนั่งพิจารณาดูกลุ่ม Graines Vagabondes ได้สัมผัสไปแค่ 1 กลิ่นเอง เช่นนั้นจึงเป็นที่มาในการขวนขวายหากลิ่นใหม่ในสายนี้มาลอง และหวยก็ออกที่ Kedu กับการไปที่อินโดนีเซีย ที่เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ที่เป็นเต็มด้วยเทือกเขาและดินภูเขาไฟที่มีคุณค่าต่อการเพราะปลูก โดยเจาะไปที่เกรปฟรุตและเม็ดงา ซึ่งกลิ่นจะสื่อสารออกมาเป็นแบบไหนว่ากันได้ตามนี้เลย

กลิ่นเปิดเรียกว่าสร้างความสดชื่นกึ่งสว่างได้ดีเลยทีเดียวกับการเป็นกลิ่นอายสาย Citrus อย่างเกรปฟรุต แต่กลิ่นไม่ได้ฟุ้งหรือแหลมคมเกินไปเพราะมีโทนดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำ (Neroli) เข้ามาเป็นตัวเสริม และมีความติดหวานอมเปรี้ยวของส้มที่เข้ามาเจือจางความเปรี้ยวแปร่งที่เกรปฟรุตมักจะมี เลยทำให้กลิ่นค่อนข้างเป็น Citrus ที่สดชื่นติดสว่างเปรี้ยวหอมแบบสร้างบรรยากาศเสียมากแต่ไม่กี่วินาทีต่อมาความรู้สึกจะเปลี่ยนไปเพราะว่าจะได้กลิ่นงาที่เสริมขึ้นมาไวพอสมควรเลย แถมมีกลิ่นออกทางกึ่งดอกไม้กึ่งพริกไทยติดเขียวหน่อยๆ ที่น่าจะเป็นโทนกลิ่นของดอกฟรีเซียที่เสริมขึ้นมา และยังไม่พอยังมีกลิ่นที่ติดโทนสมุนไพรเขียวแห้งๆ อารมณ์แบบชามาเตที่ค่อยๆ เปิดตัวเข้ามาอีกด้วย เลยทำให้โทนกลิ่นในภาพรวมช่วงต้นมีความเป็นลูกผสมระหว่างความเป็น Citrus ที่เป็นสายสดชื่นกับกลิ่นแนวธัญพืชและสมุนไพรติดเขียวกึ่งดอกไม้ปร่านวลที่เป็นสายอะโรม่ากึ่งอวลกำลังดี ซึ่งถือว่าเปิดตัวออกมาก็เรียกว่าให้ความสมดุลย์ในการเป็นโทนกลิ่นหลักที่ควรจะเป็น ให้ได้หมดทั้งความสดชื่นก็ได้ ความอวลแกมอุ่นของงา ความปร่าเผ็ดกึ่งเขียวอะโรม่าที่สอดรับกันอย่างดีของ Mate และกลิ่นออกทางเครื่องเทศอ่อนๆ แกมดอกไม้ ทำให้บางวูบแอบนึกถึงโทนออกทางขนมที่มีงาเข้ามาร่วมด้วย เรียกว่ามีความน่าสนใจมากที่เกลี่ยเนื้อกลิ่นให้ความสอดรับที่แตะได้ทุกความรู้สึกแบบนี้ และยังสอดรับกันได้ดีโดยไม่แย่งซีนกัน ให้ความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ที่สร้างความรื่นรมย์ได้ดีตั้งแต่เริ่มต้นเลย

จนเมื่อการเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นเพราะโทน Citrus จะสลับไปอยู่เป็นปลายกลิ่นแทนให้ความรู้สึกติดสดชื่นประปราย แต่กลิ่นของชามาเตเป็นตัวหลักแทน ซึ่งช่วงนี้แหละที่เรียกว่าดึงเอาความเป็นกลิ่นอายสไตล์ชาประเภทนี้ออกมาได้ชัดมาก เพราะเนื้อกลิ่นของชามาเตชงร้อนจะมีอารมณ์กลิ่นแบบชอคโกแลตอ่อนๆ เข้ามาร่วมด้วย พอมาเจอกับความเขียวอะโรม่าแบบสมุนไพรแห้งมันจะให้ความกลมกล่อมนุ่มจมูก ที่ได้ทั้งอารมณ์ชาสมุนไพรติดเขียวก็ได้ กลิ่นให้ความละมุนแกมเย้าแบบชอคโกแลต ซึ่งกลิ่นจะชัดเจนมากสร้างความรื่นรมย์แบบแกมอบอุ่นสไตล์ชาร้อนได้เลย แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้มีแค่ความเป็นชามาเตเท่านั้น เพราะโทนแนวกึ่งเขียวกึ่งพริกไทยปร่านวลค่อนสบู่แบบดอกฟรีเซียก็ยังมีอยู่ แถมมีกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ มาร่วมแจมอีกด้วย ซึ่งช่วงนี้จะจับกลิ่นงาแบบเนียนๆ คลอเคลียกลิ่นชามาเตเสียมากกว่า เพราะเนื้อกลิ่นเหมือนจะดรอปลงไปเลยถือว่าช่วงกลางคือความอะโรม่ากึ่ง Fresh Spicy และ Floral ได้ดีมาก โดยเฉพาะคนที่ชอบกลิ่นชามาเตและชอบดื่มชาแบบนี้ กลิ่นช่วงนี้คือ ใช่เลย

เมื่อกลิ่นโทนชามาเตเริ่มที่จะเบาลงตามลำดับ จนเหลือเพียงความอะโรม่าอ่อนๆ กึ่งชอคโกแลตเบาๆ กลิ่นจะเริ่มเข้าสู่ช่วงนุ่มนวลเพราะ White Musk จะเป็นตัวหลักที่แทรกตัวขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นงาที่เรียกว่ามาเป็นแบบ Combination แพ็คคู่ ที่จะให้กลิ่นอายสะอาดนวลปนครีมมี่อ่อนๆ แบบธัญพืชกลิ่นมีความนวลกำลังดี เรียบง่ายและผ่อนคลายสบายๆ ชัดเจน โดยที่ยังมีชามาเตอ่อนๆ แกมกลิ่นเขียวติด Earthy เบาที่แรกในกลิ่นอยู่นิดหน่อย ซึ่งทำให้มิติของกลิ่นไม่ได้เอะอะก็นุ่มนวลสะอาดเพียว มีความเย้าบางๆ ที่ Contrast บ้างเล็กน้อยให้มีเสน่ห์ ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายความเป็น Kedu ในรูปแบบที่ให้ความมินิมัลได้ทั้งความนวล ความอะโรม่าของงาติด Soft ครีมมี่นิดๆ และชามาเตบางๆ แบบที่ให้ความผ่อนคลายสบายรื่นรมย์และเรียบหรูได้ดีจริงๆ ต้องยอมเขาล่ะ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เข้าได้กับทุกเพศ มีความเป็นเอกลักษณ์และมีเสน่ห์แบบไม่ได้เข้าถึงได้ยาก ซึ่งถ้าเคยดมกลิ่นงากับกลิ่นชาสมุนไพรอวลๆ มาก่อนได้ ยังไงตัวนี้ก็ใช้งานได้สบายมาก แถมมีระดับในความเรียบหรูอีกด้วยนะ ซึ่งกลิ่นให้อะโรม่าผ่อนคลายเป็นพื้นฐานเดิม และกลิ่นชาสมุนไพรบางทีให้ความอวลขรึมได้ดีเลยสอดรับได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย จะมีก็แต่ที่ไม่เข้าท่ามากนักก็ใส่ออกกำลังกาย เพราะกลิ่นมีโทนกึ่งชอคโกแลตด้วยเลยไม่ซิงค์กันเท่าไหร่กับเหงื่อ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือผ่อนคลายสบายๆ จะดีที่สุด

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. มีบวกลบที่ราวๆ 2 ชม. ก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 3 ชม. ก่อนจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวผ่อนลงไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เผื่อผ่านไป 6 ชม. แล้วไปต่อได้มากแค่ไหนก็ว่ากันตามสภาพผิว

สรุป - ส่วนตัวอย่างแรกเกินคาดมากกับกลิ่นของชามาเต (เพราะดื่มชานี้อยู่แล้ว) เพราะกลิ่นมาชัดมาให้จับต้องได้จนเกิดความอะโรม่าเต็มๆ แบบที่นึกถึงชาแก้วโปรดที่ 1 ซองชา เติมน้ำร้อนกันได้ยาวๆ เลย แต่ก็เกินคาดอีกอย่างคือ การสร้างสมดุลย์ทางกลิ่นที่เบลนด์ออกมาได้ดีมากได้หมดทั้งอบอุ่น ทั้งสดชื่น ทั้งอะโรม่า ทั้งนุ่มนวลทุกอย่างไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างลงตัว เรียกว่ามองข้ามไม่ได้จริงๆ Kedu ขวดนี้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://stock3en.top/products.aspx?cname=kedu+perfume&cid=153

 

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Sucreabeille - Atlantis

Sucreabeille - Atlantis

Sucreabeille ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์น้ำหอมในสายอินดี้ที่เรียกว่าความสร้างสรรค์มาอย่างต่อเนื่องไม่มีวันหมดจริงๆ เพราะมี Collection และกลิ่นใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ แถมมีความน่าสนใจมากจริงๆ ถึงที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์กลิ่นที่มีความหลากหลายมากๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อม ดินแดนในตำนาน ตัวละครในภาพยนตร์หรือซีรี่ย์ รวมถึงความเป็นแฟนตาซีแบบเรื่องเล่าต่างๆ ซึ่งเรียกว่ามีความหลากหลายอย่างมากจริงๆ ทำให้แน่นอนว่าคนที่ชอบน้ำหอมจะสนุกไปด้วยไม่ยากกับการเชื่อมโยงประสบการณ์ทางกลิ่นของตัวเอง

และเมื่อโอกาสมาถึงกับการได้สัมผัสหนึ่งใน Collection - Ancient Teas (ที่เน้นนำเสนอความเชื่อมระหว่างกลิ่นชากับดินแดนต่างๆ ในตำนาน เรื่องเล่า หรือสถานที่ตามเค้าโครงความจริงต่างๆ) อย่างรุ่น Atlantis ที่เอาความเป็นชาเขียวมาผสมผสานกับความเป็นดินแดนในตำนานกลิ่นจะออกมาในลักษณะไหน เช่นนั้นได้เวลาเล่า

บอกก่อน - ที่มาที่ไปของน้ำหอมกลิ่นนี้ค่อนข้างจะตอบโจทย์ในเรื่องเพื่อนหญิงพลังหญิงพอสมควร เพราะว่าที่มาของ Atlantis ตามที่โปรยเอาไว้ของแบรนด์ นั่นคือ เกาะกลางทะเลที่เฟื่องฟูทางความรู้และวิทยาศาสตร์ต่างๆ มีความเป็นธรรมชาติที่สงบสุข โดยมีผู้หญิงเป็นผู้ปกครอง และเมื่อมีการรุกรานจากภายนอกเข้ามาจึงได้มีการตัดสินใจออกมาไม่ว่าจะเปิดศึกกับผู้รุกรานหรือยอมที่จะให้คนกลุ่มนี้เข้ามา ก็สามารถทำให้ชีวิตที่สงบสุขนั้นๆ มันไม่มีอีกเป็นแน่แท้ เช่นนั้นสิ่งที่ควรทำก็คือ ทำให้หายไปซะ แล้วอยู่กันอย่างสงบสุขเท่าที่ควรจะเป็น เช่นนั้น Concept ที่รับรู้จากเรื่องโปรยนั่นก็คือ กลิ่นอายธรรมชาติ ความ Feminine และความสงบสุข ซึ่งกลิ่นเองก็ตอบโจทย์เรื่องนี้ไม่ใช่น้อยเลย เพราะ

ช่วงเปิด - เนื้อกลิ่นจะให้อารมณ์ชาเขียวที่ค่อนไปทางกลิ่นติดหญ้าเขียวสดที่มีกลิ่นอายออกทางติดโทนพิมเสนกึ่งเมนทอลฝาดซ่าๆ เลยจะมีความรู้สึกไปในทิศทางแนวมินิมัลชัดเจนมาก เนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติแบบที่เราจะได้กลิ่นเวลาเรากำขยี้ต้นหญ้าแล้วมีกลิ่นฟุ้งออกมา แต่เพราะมันมีโทนชาเขียวกลิ่นออกทางติดเขียวเจือฝาดทึบอ่อนๆ เลยจะเป็นตัวแฝงในความเขียวของหญ้าที่ชื้นๆ พอควรเลย ซึ่งกลิ่นโทนนี้จะอยู่กันได้ราวๆ 3 - 5 นาทีได้เลย ก่อนที่เริ่มมีกลิ่นโทนดอกไม้ติดหวานอ่อนๆ เสริมขึ้นมาทีละนิดๆ และก็เปลี่ยนเข้าสู่

ช่วงกลาง - จะมีโทนกลิ่นหวานอ่อนๆ ค่อนออกทางกลิ่นแนวดอกซากุระที่ให้ความหวานแกมใสอ่อนๆ ระเรื่อๆ เสริมเข้ามาเรื่อยๆ และมีโทนกลิ่นออกทางติดแป้งที่มีความจืดปนหวานบางๆ และมีความชื้นๆ แกมสะอาดซึ่งน่าจะมาจากดอกกล้วยไม้ที่ให้โทนประมาณนี้ เลยทำให้ช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะได้คล้ายกลิ่นพวกเจลอาบน้ำกลิ่นซากุระติดเขียวกึ่งชากึ่งหญ้าก็ได้ หรือแชมพูกลิ่นดอกไม้ใสๆ กลิ่นไม่โดดแหลมจัดจ้านก็ดี แต่ยังมีพื้นฐานกลิ่นอายที่ติดโทนแป้งรองพื้นอยู่ ซึ่งถือว่าในช่วงนี้ลูกเล่นในตอนต้นในโทนเขียวหญ้าแกมชาฝาดและมีความปร่าก็ยังทำหน้าที่ส่งเสริมได้ดี เพียงแต่จะมีลูกผสมโทนกลิ่นที่เป็นสายดอกไม้ที่ให้ความหวานอ่อนๆ กำลังดี เข้ามาเป็นตัวหลักแทนเลยเป็นเลเยอร์กลิ่นแบบได้โทนดอกไม้หวานใสอ่อนๆ ตามด้วยเขียวติดทึบฝาดปนปร่าหน่อยๆ ตามด้วยโทนแป้งติดชื้นๆ ที่ค้างอยู่ในจมูก ได้ความ Feminine ในเนื้อกลิ่นชัดพอสมควรเลย

ช่วงท้าย - เนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนความชื้นลงไปเรื่อยๆ และเป็นโทนแป้งที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้จะสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นปร่าระเรื่อพิมเสนแกมกลิ่นแป้งติดหวานดอกไม้อ่อนๆ อยู่ เนื้อกลิ่นมีความสะอาดแกมชื้นเล็กๆ และมีโทนไม้หอมอ่อนๆ คลออยู่อารมณ์ลูกผสมระหว่างพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อกับไม้ซีดาร์โปร่งๆ หน่อยๆ กลิ่นเลยมีโทรสะอาดปร่าให้จังต้องได้ตลอดโดยที่ยังเป็นโทนแป้งชื้นบางๆ หวานอ่อนๆ แกมเขียวเล็กๆ อารมณ์แนวกึ่งสบู่อวลหน่อยๆ อยู่เช่นเดิม โดยกลิ่นจะให้ความนิ่งๆ เรื่อยๆ ไม่โฉ่งฉ่างปิดท้ายแบบเรียบหรูและเรียบง่ายสไตล์มินิมัล

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าราว 75% เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนดอกไม้ช่วงกลางที่มีความ Feminine หวานระเรื่อแกมใสปลายนวลแป้งที่ค่อนข้างชัด เพียงแต่ถ้าผู้ชายไม่มายด์บอกเลยว่าใส่ได้เพราะกลิ่นไม่ได้มาแนวปล่อยพลัง ซึ่งถ้าใส่กับเสื้อผ้าสีโทนอ่อนอย่างขาว ครีม ชมพู จะเข้ากันมากและเผลอๆ หอมอ่อนๆ มีเสน่ห์อีกด้วย ซึ่งกลิ่นเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่ออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่สบายๆ หรือโรแมนติคก็พอ เพราะใส่ไปยั่วบดใครก็คงขึ้นยากหน่อย เพราะกลิ่นเบา

ความทน - เห็นกลิ่นเบาๆ แบบนี้ความทนเกินคาด เพราะว่าเจอที่ 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ และยาวไปถึง 12 ชม. ก็เจอมาแล้ว ถือเป็นกลิ่นอ่อน กลิ่นเบาที่ทนดีเกินคาดมากๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางราวๆ ซักพักใหญ่ๆ แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. ก็จะคงที่ที่การติดผิวกันยาวๆ ไปแล้ว ซึ่งแม้ว่าการกระจายจะไม่ได้มาสายปล่อยพลังรอบทิศ แต่ให้ความระเรื่อๆ ติดผิวได้ดีจริงๆ อันนี้ต้องขอชม

สรุป - จากทั้งหมดตั้งแต่กลิ่นช่วงต้นสู่ท้าย กลิ่นมาในแนวที่ให้ความเป็นโทนเขียวธรรมชาติได้ดีเลย แล้วมาต่อกันที่โทนกลิ่นสไตล์ Feminine ที่เสริมเข้ามา ก่อนปิดตัวที่กลิ่นโนเรียบหรูสะอาดๆ สงบๆ ไม่ได้ปล่อยพลังอะไรจัดจ้าน ซึ่งกลิ่นไม่ได้สื่อสารถึงเกาะกลางทะเลอะไรเลย แต่สื่อสารถึงลักษณะภาพรวมของผู้หญิงที่อยู่ใน Atlantis ตามการตีความของสุคนธกรเสียมากกว่า ซึ่งบอกเลยว่าเป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายและได้อารมณ์สะอาดติดหวานระเรื่อใสแกมนวลได้ดีแบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่ง เน้นเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ และมีเสน่ห์ตามพื้นฐานกลิ่นที่ควรจะเป็นได้น่าสนใจเลยทีเดียว    

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Sucreabeille/Atlantis_Eau_de_Parfum