วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - Lights upon Orange Tree

Strangers Parfumerie - Lights upon Orange Tree

ขอลองจินตนาการก่อนเลยว่า “เรานั่งเล่นใต้ต้นส้มอยู่ในสวนส้ม (จะส้มเกลี้ยงหรือส้มเปลือกร่อนก็ตาม) ในยามเช้าที่พระอาทิตย์ฉายแสงอบอุ่นเคล้าอากาศเย็นสบาย พลางนั่งปอกส้มและกินให้สดชื่น” ความรู้สึกของกลิ่นอายรอบตัวคิดว่าจะเป็นยังไง แล้วทดไว้ในใจ

เพราะว่าแบรนด์ Strangers Parfumerie ได้มีการเปิดตัวกับหนึ่งใน Exclusive Scent ให้กับร้าน Exclusive One ที่วางขายเฉพาะใน Shopee ที่วางจำหน่ายคู่กับรุ่น Summer Peaches by the Tea Room เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในการให้โทนกลิ่นสดชื่นอย่างเป็นธรรมชาติกับการชูโรงสภาพแวดล้อมในยามเช้าที่แสงสาดล่องผ่านต้นส้มและบรรยากาศที่รายรอบ ซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไร มาจับต้องความสดชื่นกันดีกว่าว่ากลิ่นนี้จะให้มิติของกลิ่นในแต่ละช่วงอย่างไรบ้างกับรุ่นนี้เลย Lights upon Orange Tree

เปิดต้นกลิ่นมาความเป็นส้มชัดเจนมาก อารมณ์กลิ่นจะได้หมดในความเป็นผลส้ม ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเปรี้ยวซ่าๆ ติด Spicy เจือเขียวของผลที่ยังดิบอยู่ และกลิ่นที่หอมเปรี้ยวหวานติดขมนิดๆ ของเปลือกส้มที่เริ่มสุกแล้ว รวมถึงกลิ่นกิ่งก้านส้มที่ให้ความเขียวติดเปรี้ยวสดชื่นเคล้ากับกลิ่นใบแบล็คเคอแรนท์ที่สร้างความรู้สึกแบบเขียวเปรี้ยวหอมคมเฉพาะหน่อยๆ และมีกลิ่นหญ้าเขียวๆ ชื้นๆ ติดละอองน้ำค้างคลออยู่ประปรายที่จะวูบขึ้นมาก่อน แล้วตามด้วยกลิ่นของน้ำคั้นผลส้มซ่าที่ให้ความเป็นน้ำส้มใสๆ หอมเปรี้ยวอมหวานที่ตามมาติดๆ สร้างอารมณ์กลิ่นแบบอารมณ์เวลาเราผ่าส้มหรือปลอกเปลือกส้ม รวมถึงคั้นเอาน้ำส้มที่ส่งกลิ่นฟุ้งออกมาสร้างอะโรม่าที่ได้ทั้งความสดชื่น ความรื่นรมย์ และความผ่อนคลายไปในตัวชัดเจนมาก แต่กลิ่นไม่ได้มีเท่านี้ เพราะมิติกลิ่นของความเป็น Citrus ในช่วงต้นมันมีความหลากหลายพอสมควรถ้าพินิจพิเคราะห์กันจริงๆ เพราะนอกจากความเป็นส้มที่เต็มชัดทุกสโตรกกลิ่นแล้ว ยังมีโทนกลิ่นติดแปร่งเปรี้ยวสว่างที่สร้างความสดชื่นรื่นรมย์ของเกรปฟรุตที่แฝงอยู่ด้วย และมีกลิ่นติดปลายเปรี้ยวสแปลชสดชื่นติดหวานปลายกลิ่นของเลมอน รวมถึงกลิ่นเปรี้ยวขมซ่าอ่อนๆ ติดเขียวของ Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) ที่สร้างลักษณะกลิ่นอายได้อารมณ์สไตล์ Citrus Cologne และกลิ่นอายบรรยากาศยามเช้าที่มีความเป็นธรรมชาติรวมอยู่ด้วยแบบสายสนับสนุน เลยทำให้กลิ่นเปิดคือช่วงเวลาที่เป็น Happy Time ชัดเจนมากกับการรับเอาความสดชื่นที่ตรงไปตรงมาในความเป็นธรรมชาติชูโรงความเป็นผลส้มและน้ำส้มท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าที่ชัดเจนและแท้ทรูมากจริงๆ

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นเพราะกลิ่นจะมีโทนออกทางดอกไม้ขาวที่ให้ความเป็นลักษณะแนวเดียวกับดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำ (Neroli) ที่จะมาเสริมกับโทนกิ่งก้านส้มที่ยังตามมาจากช่วงต้น ทำให้ได้อารมณ์เปรี้ยวติดเขียวมีความนวลแบบดอกไม้ขาวปลายกลิ่น ที่มีกลิ่นอายคล้ายดอกมะลิบางๆ เข้ามาเสริมอีกด้วย ทำให้เลเยอร์กลิ่นในช่วงนี้จะได้ 2 มิติเลยคือ กลิ่นโทนส้มใสๆ เปรี้ยวติดขมซ่าหน่อยๆ ซ้อนกับกลิ่นแนวดอกส้มและกิ่งก้านส้มที่ให้ความหอมติดเขียวเจือนวล กลิ่นจะให้อารมณ์สะอาดปลอดโปร่งมีความเรียบง่ายตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นและมีความมินิมัลสูงมาก แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์เนื้อกลิ่นลงไปอีก ช่วงนี้จะมีเลเยอร์ความเขียวที่เป็นสายสนับสนุนแต่ผสมผสานกันหลายมิติพอสมควร เพราะนอกจากเขียวกิ่งก้านส้มกึ่งดอกส้มแล้ว จะมีความเขียวติด Milky หน่อยๆ ทึบอ่อนๆ ลักษณะคล้ายมะเดื่อบางๆ ให้รับรู้ มีความเขียวหญ้าสดเบาๆ ที่ตามมาจากช่วงต้น และมีกลิ่นเขียวแห้งๆ แบบแนวหญ้าแห้งร่วมด้วยแลลพื้นกลิ่นอ่อนๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นตัวเสริมที่ดีมากที่ดันให้กลิ่นโทนส้มเข้ากับกลิ่นแนวดอกไม้ขาวสร้างกลิ่นที่ได้ความรู้สึกนวลสะอาดปนสดชื่นได้ความขาวสว่างได้ดีมาก

จนเมื่อกลิ่นต่างๆ เริ่มผ่อนลงตามลำดับและมีโทน Musk เข้ามาเสริมให้ความนวลสะอาด ก็เปลี่ยนสถานะเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว ซึ่งกลิ่นโทนแนวดอกส้มเคล้ามะลินวลๆ ติดเปรี้ยวปลายกลิ่นจะเริ่มเป็นกลิ่นเบาๆ เคล้ากับ Musk ให้ความสะอาดสบายๆ แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้แห้งๆ กึ่ง Earthy ติดดินหน่อยๆ ที่ไม่ได้ชื้นๆ หรือออกแนวรากใต้ดินเกินไปของหญ้าแฝกเข้ามาเสริมให้มีความเป็นกลิ่นอายไม้หอมติดดินหน่อยๆ ซึ่งจะยังมีกลิ่นฟางตามมาด้วยเบาๆ สร้างภาพรวมของกลิ่นที่ให้ลักษณะกลิ่นคลอผิวกายที่ให้ความหอมเปรี้ยวอมหวานเจือนวลสะอาดที่สร้างมิติตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น คุมโทนสว่างๆ นวลๆ สบายๆ เรียบง่าย ได้อารมณ์แบบช่วงยามสายที่อากาศอุ่นขึ้น แล้วเรายังนั่งอยู่ใต้ต้นส้มที่ชินกับกลิ่นช่วงกลางมาสู่กลิ่นอายสะอาดตามธรรมชาติอ่อนๆ กันไปเรื่อยๆ ปิดท้ายได้อย่างผ่อนคลายและรื่นรมย์

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนได้หมดทุกเพศเพราะเป็นกลิ่นอายสภาพแวดล้อมเป็นหลัก และเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดครอบจักรวาลกันเลยทีเดียวทั้งทางการและทั่วๆ ไป เป็นกลิ่นยังไงก็รอด ยังไงก็สดชื่น และยังไงก็สะอาดแบบเรียบง่าย แต่ก็เรียบหรูและเป็นธรรมชาติ รวมถึงยามค่ำคืนที่เน้นใส่แบบทั่วๆ ไป หรือจะออกงานก็ยังพอได้ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี บอกเลยว่ากริบและโดนกลบแน่นอน

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. เป็นประจำ มีไปถึง 12 ชม. บ้างถ้าอยู่ห้องแอร์ตลอดกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ (รวมฉีดเสื้อที่สวมด้วย)

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนแรก ให้ความเป็นสไตล์แบบ Citrus Cologne ที่กลิ่นเป็นธรรมชาติของส้มแบบชัดเจนกันก่อน แล้วจะดันขึ้นมากระจายดีในช่วงกลางไปราว 3 - 4 ชม. ได้ แล้วถึงผ่อนลงมาปานกลาง เป็นออร่ารอบๆ ตัว จนมาติดผิวเอาราวๆ 6 ชม. ไปแล้ว แต่กลิ่นก็ยังตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัว และมีความ Whispering Scent ที่ให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลายอ่อนๆ จนกว่าจะจางไปในที่สุด

สรุป - กลิ่นให้ความเป็นส้มที่ธรรมชาติมาก มีทั้งความใส มีความสดชื่น มีความผ่อนคลาย แบบที่ส้มพึงจะให้ได้ รวมถึงส่งต่อความสดชื่นได้ดีมาสู่เป็นกลิ่นอายสวนส้มและดอกส้มหอมสดชื่นติดนวลสะอาดและสว่าง (อาจจะได้ความรู้สึกคล้ายกลิ่นสบู่ดอกส้มหรือผงซักฟอกบ้างตามแต่ละประสบการณ์รับรู้กลิ่นของแต่ละคน เพราะสิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานกลิ่นโทนดอกส้มที่สร้างความสะอาดนวลและขาวในความรู้สึกอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) ซึ่งโทนกลิ่นจะไล่เรียงจากยามเช้าสู่ยามสาย คุมโทนความสว่างในเนื้อกลิ่นที่สร้างอารมณ์ Happy Time ได้ดีมากและตรงกับที่ทดเอาไว้ในใจว่ากลิ่นควรจะต้องมีความรื่นรมย์ออกมาแบบนี้ ฟินไปเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - Summer Peaches by the Tea Room

Strangers Parfumerie - Summer Peaches by the Tea Room

Note กลิ่นชาเขียว เป็นอีกหนึ่งโทนที่สร้างความหอมสดชื่นติดฝาดเขียวก็ได้ ให้ความอะโรม่ากลิ่นเขียวใสก็ดี หรือจะให้อารมณ์กลิ่นนวลแนวชาเขียวมัทฉะก็สามารถ ซึ่งเรียกว่าพื้นฐานในโทนกลิ่นจะให้ความรื่นรมย์เป็นสำคัญและเป็นอีกหนึ่งโทนที่เข้ากับกลิ่นอายสายโปร่งที่หลากหลายได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าหลายๆ คนต่างก็ต้องผ่านกลิ่นชาเขียวมาก็ไม่มาก็น้อยล่ะ ยิ่งถ้าเป็นพวกน้ำมันหอมระเหยต่างๆ หรือพวกสาย Bath & Body Care ก็มีเยอะเลยทีเดียว รวมถึงน้ำหอมกลิ่นชาเขียวต่างๆ ที่น่าสนใจก็เพียบไม่น้อยเช่นกัน

และในคราวนี้ก็ขอมาเจอกับการนำเสนอกลิ่นอายชาเขียวเคล้ากลิ่นอายดอกพีชที่ให้ความรื่นรมย์ในความเป็นญี่ปุ่นที่ให้สไตล์มินิมัล ในการเป็น Exclusive ในการสร้างสรรค์กลิ่นของแบรนด์ Strangers Parfumerie ให้กับร้าน Exclusive One ที่วางขายเฉพาะใน Shopee กับการถ่ายทอดกลิ่นอะโรม่าของพิธีชงชาของญี่ปุ่นเคล้ากับกลิ่นอายหอมดอกพีช กลิ่นดอกไม้ดอกหญ้าที่เบ่งบานรับแสงแดดกับชื่อรุ่นว่า Summer Peaches by the Tea Room และสิ่งที่กลิ่นถ่ายทอดออกมาก็เป็นแบบนี้

ช่วงเปิดคือการสร้างอะโรม่ากลิ่นอายเขียวสดชื่นที่ชัดเจนมากจากกลิ่นหญ้าเขียวหอมที่ให้อารมณ์กลิ่นหญ้ามีหยดน้ำค้างที่ต้องแสงแดดแล้วกลิ่นเขียวฟุ้งลอยอ่อนๆ มาตามลม ซึ่งจับต้องไอความชื้นระเหยอ่อนๆ ติดเขียวได้แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ แกล้มกับกลิ่นอายบรรยากาศติดปร่าเจือเปรี้ยวขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่วูบขึ้นมาสร้างความสดชื่นเจอสว่างในเนื้อกลิ่น แล้ววูบถัดมาก็จะได้กลิ่นออกทางเขียวติดนวลปลายเปรี้ยวของโทนออกทางดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำ (Neroli) เข้ามาเสริมโทนสดชื่นและเป็นตัวเชื่อมที่ดีในการเจอกับ ตัวเอกอย่างชาเขียวที่เริ่มจับต้องได้แบบเป็นนมิติฉากหลังให้ความอะโรม่าเขียวใสๆ เจือหวานหอมรื่นรมย์จมูก เรียกว่าเปิดมาภายในเวลา 3 นาที จับไล่โทนกลิ่นที่สร้างทั้งความสดชื่นและอะโรม่าที่ไล้เรียงต่อเนื่องและผสมผสานกันได้ดีมากเกินคาด โดยที่ไม่ได้ถึงกับพีคหรือดพูพยายาม แต่ให้ความเรียบง่ายอย่างมีเสน่ห์และรื่นรมย์กันอย่างชัดเจน

ในช่วงรอยต่อระหว่างต้นสู่กลาง ตัวเอกหลักอีกหนึ่งกลิ่นอย่างพีช จะเริ่มเปิดตัวออกมาทีละหน่อยๆ จนเริ่มลดทอนความเขียวสดชื่นในช่วงต้นลงตามลำดับมาให้ความหวานหอมแทน แต่ไม่ได้ถึงกับเป็นพีชที่หวานฉ่ำจ๋ามาจากไหน ให้กลิ่นออกทางผลไม้หวานนวลระเรื่อเสียมาก และมีลูกผสมที่เป็นกลิ่นออกทางดอกไม้โทนหวานร่วมด้วย ซึ่งจะมาตีคู่กับกลิ่นชาเขียวแล้วค่อยๆ เปลี่ยนสถานะเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว ซึ่งคราวนี้แหละชัดเจนมากกับการเป็นโทนชาเขียวเคล้าดอกไม้ติดหอมหวานพีชระเรื่อ และมีตัวเสริมชั้นดี 3 โทนเลยคือ โทนแป้งดอกไม้หวานกึ่งน้ำผึ้งของดอกสายน้ำผึ้ง โทนหวานนวลติดน้ำผึ้งกึ่งมะลิเขียวคล้ายไลแลค แต่มีความปร่าให้จับต้องได้อ่อนๆ ของวิสทีเรีย และมีความเป็นชื้นๆ กึ่งแว๊กซ์ติดเปรี้ยวปนนวลบางๆ ติดพริกไทยปนเขียวหน่อยๆ ซึ่งเรียกว่าทุกอย่างเสริมกันจนกลายเป็นโทนดอกไม้เจือพีชที่ผสมผสานกันและต่างกลิ่นต่างให้ความดีงามในตัวเองที่สนับสนุนกันอย่างลงตัว โดยที่มีกลิ่นชาเขียวเป็นตัวแทรกประปรายในเนื้อกลิ่นให้จับต้องได้ตลอด แบบที่ใสๆ แกมนวลหวานกำลังดีเพราะ Effect โทนแป้งที่เข้ามาเสริมด้วย สร้างกลิ่นที่ให้ความหอมหวานที่มั้งมิติที่ใสก็ได้ นวลก็ดี หวานก็ลงตัว โดยที่กลิ่นไม่ได้มาสายเข้มหนักแต่อย่างใด แต่ให้ความหวานละมุนระเรื่อรื่นรมย์เรียบง่ายที่ครบถ้วนได้หมดทั้งความเป็นดอกไม้ที่มีความเป็นพีช และโทนหวานกึ่งสายน้ำผึ้งกึ่งวิสทีเรียเด่น ตีคลอไปกับความอะโรม่าติดเขียวของชา ที่มีลักษณะกลิ่นที่บ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่นที่ชัดเจนเลยทีเดียว

ช่วงท้ายความเป็นชาจะค่อยๆ แผ่วลงมาทีละนิดๆ ความเขียวในช่วงต้นจะจางไปหมด และโทนหวานหอมพีชกึ่งดอกไม้หวานปนน้ำผึ้งก็จะยังคงอยู่แต่ให้ความอ่อนโยนมากขึ้นเป็นสิ่งแรกที่รับรู้ตามด้วยโทนแป้งเคล้าโทน Musky ที่ชัดเจนว่าเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น แน่นอนว่า Musk จะต้องมาและต้องมีให้ความนวลสะอาดอ่อนโยนเป็นพื้นฐานกลิ่น และจะมีกลิ่นออกทางแป้งติดทึบอ่อนๆ สไตล์แนวเดียวกับไอริส แต่มีความ Buttery หน่อยๆ ซึ่งน่าจะมาจากหัวเหง้าออริสที่ให้ความ Earthy ติดดินๆ แต่สะอาดๆ เข้ามาร่วมด้วย เสริมโทนไม้หอมโปร่งๆ มาสร้างมิติที่เรียบหรูและเรียบง่ายเนียนๆ อยู่ รวมถึงให้โทนที่สว่างนวลเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งพอมาสอดรับกับกลิ่นดอกไม้ติดพีชกึ่งหวานนวลน้ำผึ้งในช่วงกลางที่มาแบบหวานอ่อนๆ ทำให้กลิ่นมีความละมุนนวลรื่นจมูกและรื่นรมย์ ซึ่งจะให้ความนิ่งสงบนุ่มนวลอ่อนโยนกำลังดีมีความเซนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามเวลา

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่กลิ่นจะไปทางผู้หญิงมากกว่าพอสมควร เพราะกลิ่นสวยเชียว แต่ถ้าไม่มายด์เรื่องกลิ่นดอกไม้หอมนวลหวาน ผู้ชายก็ใส่ได้สบายมาก ให้ความเรียบหรูหอมนวลหวานลงตัวเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป กลิ่นจะให้ความผ่อนคลายเป็นที่ตั้ง แต่ถ้าใส่เพื่อไปกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายอันนี้ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความอะโรม่าและสร้างความสุขทางกลิ่น หรือใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความเหงื่อไฟลไคลย้อยด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวจัดไป 6 สเปรย์ กลิ่นชัดเจนและอยู่ยาวไปจนถึงราว 10 ชม. ได้สบายมาก  

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ กำลังดีในช่วงต้น ก่อนที่จะมีความอวลขึ้นเป็นกระจายดีในช่วงกลางแบบยาวไปราวๆ 3 - 4 ชม. ก่อนที่จะผ่อนลงมาเป็นปานกลางซักครู่ใหญ่จึงลดลงเรื่อยๆ จนกลายเป็น Skin Scent 

สรุป - อารมณ์กลิ่นใช่เลย ได้ความรู้สึกนั่งจิบชาเขียวแบบใสในห้องสว่างๆ เปิดประตูรับกลิ่นอายสวนที่มีกลิ่นพีช กลิ่นดอกไม้ขาวนวล กลิ่นดอกวิสทีเรีย กลิ่นไอระเหยตามธรรมชาติที่ลอยมาตามลมเข้ามาคลอผิวกายได้ดีมากและชัดเจนมากโดยที่ไม่ได้หนักเกินไป ได้อารมณ์สไตล์ญี่ปุ่นที่ลงตัวและกำลังดี ที่สำคัญถ้า Peaches of Immortality ที่เป็น Eau de Interior ของ PRYN PARFUM (ที่เลิกผลิตไปแล้ว) เป็นกลิ่นดอกพีชเคล้าชาอู่หลงแกมวิสทีเรียให้ความเป็นกลิ่นอายแบบจีนละมุนๆ ปนหวานท่ามกลางอากาศเย็นๆ Summer Peaches by the Tea Room ก็จะเป็นกลิ่นอายพีชและดอกไม้เคล้าชาเขียวใสหอมรื่นรมย์ปนละมุนที่เข้ากับความเป็นหน้าร้อนและเป็นกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นได้สวยมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie/posts/726545864677266

 

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - Burning Ben

Strangers Parfumerie - Burning Ben

Barn Burning หรือ “มือเพลิง” เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นของฮารูกิ มูราคามิ ที่สร้างความเยือกเย็น ความดาร์ก และความไม่น่าไว้วางใจอะไรได้ง่ายในตัวอักษรที่รวมอยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้น “เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้อย่างเงียบงัน - Firefly, Barn Burning and other stories” กลายเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมของผู้กำกับชาวเกาหลีอย่าง Lee Chang-dong กับเรื่อง Burning ที่ทำให้เรื่องนี้เข้าชิงและได้รับรางวัลภาพยนตร์ทางด้านนักวิจารณ์และสายนอกกระแสมามากมาย ซึ่งแน่นอนว่าดึงเอาความดาร์ก ความลึก ความยากแท้หยั่งถึง ความอัดอั้น และความเย้ยหยันเสียดสีสังคมออกมาได้อย่างคมคาย

และหนึ่งในตัวละครสำคัญของเรื่อง Burning อย่าง Ben (ผู้แสดง - Steven Yeun) ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาแบบที่ไม่น่าไว้วางใจ ชวนสงสัย เย้ยหยัน ยากแท้หยั่งถึง และลึกลับจนเราเดาใจไม่ถูก และทำให้เราอึ้งสตันไปจนถึงนาทีสุดท้ายของเรื่องราวที่ทิ้งค้างเป็นตะกอนในใจคนดูให้ตีความตามความเข้าใจของตน เรียกว่าเป็นตัวละครที่ทรงพลังมากในการสร้างความรู้สึกให้กับผู้ชมอย่างเต็มที่ และคาแรคเตอร์นี้ก็มาเป็นหนึ่งใน Collection - LTBGIQ ที่ถอดเอาความเป็น Ben ลงมาเป็นกลิ่นสู่ขวดกับการสร้างสรรค์ของแบรนด์ Strangers Parfumerie ซึ่งจะเล่าคาแรคเตอร์กลิ่นออกมาเป็นอย่างไร ก็ว่ากันตามนี้เลย

แค่กลิ่นเปิดก็สื่อสารออกมาชัดเจนถึงกลิ่นอายที่มีความซับซ้อนมากเลยทีเดียว เพราะผู้เล่นหลักในช่วงนี้จะมีโทนกลิ่นที่ค่อนข้างหลากหลายเลย คือ กาแฟ ยาสูบ ฟรุตตี้ วิสกี้ โทน Smoky และหนัง แต่จะมีเลเยอร์ความเด่นที่ไล่เรียงความเด่นกันเป็นมิติ โดยจะเริ่มความชัดเจนที่โทนออกทางหอมอะโรม่าของกาแฟดำที่สร้างความรู้สึกรื่นรมย์กันก่อนเลย กลิ่นจะวูบขึ้นมาแบบอารมณ์ Shot กาแฟดำที่ชัดเจนมาก แล้วจะตามด้วยกลิ่นยาสูบหอมหวานโปร่งเจือกลิ่นหญ้าแห้งหน่อยๆ กึ่งควันอารมณ์แบบสูบบุหรี่หน่อยๆ แกมกลิ่นออกทางเหล้าคอนยัคที่มีเชอร์รี่แกล้มอยู่ประปราย เสริมด้วยกลิ่นหนังที่ให้อารมณ์แบบนั่งโซฟาหนังได้ความรู้สึกแบบ Nice แกมเย้ายวนมีเสน่ห์ดึงดูดกันช่วง 3-5 นาทีแรก เรียกว่าเป็น 1st Impression เลยก็ว่าได้เพราะกลิ่นมีความเป็นสไตล์เย้ายวนดึงดูดจริงๆ แต่สิ่งที่ค่อยๆ แทรกตัวขึ้นมาคือกลิ่นที่มีความเป็นโทน Smoky ที่ค่อยๆ มาเรื่อยๆ และเริ่มจับต้องได้ชัดถึงกลิ่นออกทางควันไอทีละหน่อยๆ จนเริ่มเดาใจไม่ถูกว่ากลิ่นไม่ได้ Nice อย่างที่คิด เพราะอารมณ์ความ Nice เป็นฉากหน้าที่ซ่อนความคุกรุ่นภายในและทยอยเปิดไพ่เปิดออกมาเรื่อยๆ เลย

เมื่อเข้าสู่การเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางที่คราวนี้จะกลายเป็นกลิ่นโทน Smoky ปนเขม่า และมีความเป็นกลิ่นไหม้ที่ชัดมากที่แผ่ออกมาเต็มตัวแล้ว เรียกว่าช่วงนี้ความ Smoky จัดเต็มจริงๆ ได้ความดาร์ก ความไหม้ ความเขม่าเผาที่มาเต็ม แต่ไม่ได้หนักหน่วง อารมณ์ได้กลิ่นเผาไหม้ที่ลอยมาให้รับรู้ได้ชัดๆ แต่ไม่ขัดเคืองจมูกจนทำให้เรารู้สึกสำลักควันแบบของจริงขนาดนั้น ซึ่งมิติในเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ถึงกลิ่น Burn เผาชัดเจน มีความอุ่นร้อนเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นอารมณ์แบบกลิ่นโทนสาย Amber ต่างๆ เคล้ากับ กลิ่นเขม่า Birch Tar ที่ให้ความรู้สึกแบบไม้ไหม้เกรียมๆ กลิ่นยางไหม้ กลิ่นหนังเข้มๆ ติดโทนไหม้ กลิ่นไม้เก่าๆ ไหม้ กลิ่นดาร์กชอคโกแลตกลั้วกลิ่นกาแฟไหม้ที่เข้มมากจนรู้สึกได้ถึงความขมดาร์กจัดๆ แฝง และมีกลิ่นที่เป็นโทนออกทาง Incense ควันไอที่เป็นตัวปรับโทนให้มีความสมูธมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้กลิ่นเมนหลักคือโทนเผาไหม้โดนกลบ ซึ่งนอกจากโทนไหม้ควันเผาจะชัดเจนมากแล้ว ยังมีตัวเสริมที่ดีมากอย่างโทนเครื่องเทศที่สร้างความปร่ามีมิติและมีความเผ็ดลึกปนหวานขมในเนื้อกลิ่นเหมือนกลิ่นเครื่องเทศพวกนี้โดนเผา ซึ่งน่าจะมีหญ้าฝรั่นอยู่ด้วยเพราะกลิ่นมีความหวานแกมขมหอมลึกให้รู้สึกได้เนียนๆ ไปกับกลิ่นไหม้ แถมมีกลิ่นหญ้าแห้งที่ฟุ้งออกมาอารมณ์แบบหญ้าแห้งโดยไอร้อนก่อนจะโดนเผาก็มีร่วมอยู่ด้วย เรียกว่าเป็น Plot Twist หักมุมจากความ Nice และดูมีเสน่ห์ของกลิ่นในตอนแรกกันอย่างชัดเจนมาก เนื้อกลิ่นมีความดาร์ก ร้าย นิ่ง ลึก และมืดมิดที่ระอุออกมาชัดแบบที่มันเหมือนระเบิดเอากลิ่นช่วงต้นออกไปเกือบหมด เหมือนเปลี่ยนคนไปเลยจนเราเดาไม่ได้จริงๆ มารู้ก็เมื่อกลิ่นมันระอุอารมณ์และโทนไหม้ทั้งหมดออกมานี่แหละ แต่แปลกมาก เพราะกลิ่นมีความน่าค้นหาให้เราเสาะต่อว่าตกลงมันเป็นยังไงกันแน่อยู่ตลอด

เมื่อโทนไหม้ต่างๆ เริ่มลดทอนลงมาให้ความกรุ่นหน่อยๆ แบบเป็นกลิ่นควันที่มีความเบาขึ้นแบบเหมือนเผาอะไรจนเรียบร้อยแล้วหรือไอร้อนจางๆ จากการเผาพร้อมควันอ้อยอิ่งลอยมา และกลิ่นเริ่มมีความหวานลึกๆ เนียนๆ ปนความดารก์เข้มติดเขม่าหน่อยๆ ก็จะเริ่มเป็นการเข้าช่วงท้ายเต็มตัว ซึ่งจะจับมิติกลิ่นได้ชัดถึงกลิ่นแนวไม้จันทน์หอมที่มีความเป็นโทนหนังติดสาบ Animalic ไหม้ (ซึ่งน่าจะเป็นกลิ่นจากต่อมเพศตัวบีเวอร์ - Castoreum) ที่สร้างมิติกึ่งดาร์กกึ่งนุ่มนวล มีความคุกรุ่นกำลังดี และมีกลิ่นหวานลึกๆ กึ่งน้ำผึ้งหน่อยๆ ปนหญ้าฝรั่นที่ให้มิติความหวานปนขมลึกเสริมอีก ให้มิติอารมณ์กลิ่นที่กึ่งหวานลึกปิติหน่อยๆ ผสมผสานอยู่ในความดาร์กติดระอุๆ อารมณ์กลิ่นให้ภาพเหมือนเห็นคนยิ้มหวานปิติในความมืดท่ามกลางกลิ่น Smoky ติดควันอ้อยอิ่ง อารมณ์กลิ่นแบบที่ไม่น่าไว้วางใจ มีความร้าย นิ่ง อวล ลึก ดาร์ก เย้า หวาน แบบที่เราก็เดาทางยากว่าคนๆ นั้นต้องการอะไร มาดีหรือร้าย ปิดท้ายการเป็น Burning Ben ได้ครบถ้วนและตรงตามคาแรคเตอร์ชัดเจน

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน สร้างคาแรคเตอร์คนใช้ให้มีออร่าความดาร์กอย่างมีมิติได้ดีมาก และไม่ง่ายที่จะใช้กลิ่นนี้ อย่างน้อยผ่านน้ำหอมสาย Smoky มาก่อนพอสมควรจะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไปอาจจะมีการโดนทักได้ว่า เหมือนเราไปเผาอะไรมา (ซึ่งก็ตรงตามคาแรคเตอร์กลิ่นว่า “มือเพลิง” เลยนะ) ซึ่งอาจจะไม่เข้ากับยามทางการกับพวกออกกำลังกายเท่าไหร่ แต่ถ้าทั่วๆ ไปแบบสร้างอารมณ์กลิ่นแบบสายดาร์กน่าค้นหาและลึกลับอันนี้เข้าทีมากๆ ส่วนยามค่ำคืน ถ้าอยากได้ออรา Last Boss แบบมีความเฉพาะตัว ก็จัดไป ใส่ได้หมดทั้งออกงานและท่องราตรีได้เลย Unique ชัดเจน

ความทน - มากมาย เรียกว่าประทับใจกันเลยกับ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้จับต้องได้ อาบน้ำแล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอยู่ เรียกว่าเรื่องนี้หายห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ อารมณ์ ควัน เผา แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบกรุ่นๆ เดาทางไม่ถูกในช่วงท้าย แล้วลดลงไปเรื่อยๆ จนถึงติดผิวหลังจากผ่านราวๆ 12 - 13 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ไม่ได้สปอย แต่กลิ่นนี่การไล่เรียงมิติความเป็น Ben ได้ครบถ้วนมากๆ เพราะเริ่มจากที่เป็นผู้ชาย Nice รวยและมีเสน่ห์ แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เชื่อมโทนที่เปิดตัวมาเรื่อยๆ ให้เห็นความดาร์ก เดาทางไม่ถูก ก่อนจะเป็นความเผาไหม้ที่ชัดเจนแบบหักมุม ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มในความมืดท่ามกลางควันไอแบบที่เราสัมผัสได้ว่าคนๆ นี้ไม่น่าไว้วางใจ มีอะไรที่คาดเดาไม่ได้ และเป็นคาแรคเตอร์ที่ทำให้เราจดจำในความยากแท้หยั่งถึงดาร์กไหลลึกได้แบบยอดเยี่ยมมากจริงๆ ยอม 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - So Fetch!

Strangers Parfumerie - So Fetch!

อีกหนึ่งตำนานในการเป็นภาพยนตร์สาย Teen/Tween ที่ตีแผ่สังคมวัฒนธรรมแบบวัยรุ่นอเมริกา ที่ต้องมี Teen Queen ประจำโรงเรียน แบ่งชนชั้นวรรณะ เหยียด Bully การให้ค่านิยมกับการเป็น Somebody ที่ให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าหน้าผมมากกว่าความเป็นตัวเองอย่าง Mean Girls ซึ่งเสียดสีได้สนุกสนานมาก และยังมีบทที่ลงตัว มีที่มาที่ไป และบทสรุปขมวดท้ายได้อย่างสวยงาม ถือเป็นอีกหนึ่งหนังวัยรุ่นในตำนานที่ไม่ควรพลาดที่จะได้ชม และที่สำคัญเรื่องนี้แจ้งเกิดนักแสดงชั้นนำต่างๆ ทั้งสายฝีมืออย่าง Rachel McAdams และ Amanda Seyfried และสายที่มาๆ หายๆ งงๆ อย่างหนูหลิน Lindsey Lohan (ที่พีคสุดจริงๆ ในช่วงเวลานั้น) ส่วนที่เหลือก็เป๋จนต้องประคองสติกันเลยทีเดียว (เสียดายมากกับฝีมือ)

และแน่นอนหนึ่งในคาแรคเตอร์ที่เด็ดดวงที่สุดของ Mean Girls ก็ต้องยกให้แกงค์สาวพลาสติคที่น่าหมั่นไส้และชวนเบ้ปากมองบนใส่ที่มียัย Regina George (Rachel McAdams) เป็นแกนนำ ที่ต้องเป็นสาว Hot เป็น Teen Queen หนุ่มๆ ต้องห้อมล้อม เสื้อผ้าหน้าผมต้องเริ่ด ต้องมีจริตมารยาจีบปากจีบคอสะตอสุดติ่ง ต้องมีสีชมพูบ่งบอกถึงความเป็นสาวน้อย มีความไร้สติและร้ายกาจสาย Bitch! เรียกว่านี่แหละคือสีสันของเรื่องอย่างแท้จริงๆ และคาแรคเตอร์นี้ก็ไม่พลาดที่จะมาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นของแบรนด์ Strangers Parfumerie กับการเอาวลีเด็ดในเรื่องว่า So Fetch! (ที่เป็นการนิยามศัพท์แสลงใหม่ขึ้นมา จริงๆ ความหมายของมันก็คือ Cool สุดๆ อะไรประมาณนี้) มาเป็นชื่อรุ่น งานนี้ได้เวลาเข้าแกงค์พลาสติคผ่านกลิ่นกันหน่อยแล้ว ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นมาก็แบบว่า “ใช่ เสียยิ่งกว่าใช่” มันคือจริตสาววัยทีนที่พยายามเบ่งรัศมีความเป็นางพญาออกมาแบบให้เด่นสุดๆ เพราะกลิ่นจะได้อารมณ์สีแดงที่ให้ความวัยรุ่นแต่เพิ่มความกร้านเนียนๆ ลงไปชัดเจน ซึ่งต้องยกให้โทนกลิ่นเชอร์รี่เลย ที่ให้ความหวานสไตล์เชอร์รี่เชื่อมผสมกับกลิ่นน้ำพันช์ผลไม้สีส้มอมแดงที่ให้ความเปรี้ยวอมหวานเรียกร้องความสนใจ แถมด้วยกลิ่นหวานน้ำตาลเคล้าเบอร์รี่เปรี้ยวๆ สีแดง ซึ่งเปิดมาอารมณ์กลิ่นก็บอกชัดเจนว่านี่แหละวัยรุ่นสาย Teen Queen Lolipop Bubblegum ที่ใช่เลยว่ากลิ่นมีความลั่นล้าสวยๆ ใสๆ แบบวัยรุ่นก็จริง แต่ใส่ความกร้านยั่วเนียนในจริตจัดเต็มทุกเม็ดมากมาย และแน่นอนกลิ่นกระจายดีงามแบบสไตล์เรียกร้องความสนใจเหมือนตะโกนออกมาเลยว่า “Look at me Now, Look at Me! (มองกรูเดี๋ยวนี้ค่า มองที่กรูค่าาาา!)” ซึ่งเรียกว่าเป็นช่วงเปิดที่ได้อารมณ์กลิ่นที่สนุกมากกับคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนกับการเป็นสาวพลาสติคสไตล์ Regina George & the Gangs จริงๆ และถ้ากลิ่นแบบนี้พุ่งมาจากทางไหน ก็จะคิดก่อนเลยว่ามันต้องมีแกงค์ผู้หญิงวัยรุ่นเชิ่ดๆ ร้ายๆ เปรี้ยวๆ จีบปากจีบคอกำลังตรงมาทางนี้แน่ๆ  

เพียงไม่นานกลิ่นดอกส้มที่ให้ความเปรี้ยวติดเขียวเจือนวลกับโทนออกมาหอมหวานกึ่งเหล้าที่มีกลิ่นอัลมอนด์ ซึ่งน่าจะจะเป็น Amaretto ที่มักมาผสมเป็น Cocktail หรือไม่ก็ทำขนมสไตล์อิตาลีจะค่อยๆ เปิดตัวออกมาผสมผสานกับโทนกลิ่นเชอร์รี่และน้ำพันช์ในช่วงต้น และเปิดทางในการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะมีตัวเสริมออกทางกลิ่นคล้ายลิปสติกออกทางเนื้อ Butter กึ่งแป้งทึบของหัวเหง้าออริสที่มาเสริมสอดรับพอดีกับกลิ่นเชอร์รี่และน้ำพันช์ เลยทำให้ได้อารมณ์ลิปสติกสีแดงให้รู้สึก พร้อมกับมีโทนดอกไม้ต่างๆ ที่มีความเขียวเจือนวลปร่าอวลเคล้ากลิ่นโทนแป้งหวานดอกไม้ที่มีกุหลาบ ดอกสายน้ำผึ้ง และดอกส้มเป็นตัวยืนพื้นสร้างลักษณะกลิ่นแบบแป้งหอมอวลๆ แอบมีความซับซ้อนของกลิ่นโทน Animalic หน่อยๆ ที่เสริมความเซ็กซี่ โดยมาเชื่อมกับกลิ่นออกทางวานิลลากึ่งถั่วๆ ที่มาเสริมกับฝั่งเหล้าอัลมอนด์เลยให้อารมณ์แบบขนมอบกึ่งคุกกี้ถั่วร่วมด้วยที่สร้างโทนเรียกร้องความสนใจแบบปล่อยของ ตอบโจทย์ 4 สเต็ปอารมณ์กลิ่นเลยคือ กลิ่นแบบแป้งหอมดอกไม้สไตล์ผู้หญิงมีจริต แกมกลิ่นออกทางขนมถั่วอบเคล้ากลิ่นหวานอัลมอนด์ ที่ทำให้กลิ่นมีความเย้ายวนแบบจงใจ “แบบว่าเริ่ดไหมล่ะ ตัวฉันหอมน่ากินน่าดมสินะ” และมีกลิ่นลิปสติกเชอร์รี่ที่มีกลิ่นน้ำพันช์เปรี้ยวหวานเคล้าดอกส้มที่ก็ช่วยสนับสนุนตรงนี้อยู่ด้วย ก็เลยเข้าทางการเป็นกลิ่นแบบสไตล์ลั่นล้า วี้ดว้าย มั่นไปอี๊ก! ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้ก็ยังคุมโทนการเป็นกลิ่นสไตล์วัยทีนที่พยายามใส่ความสาวสะพรั่งและอัดเสน่ห์ของตัวเองเข้าไป แล้วปล่อยมันออกมาแบบตรงๆ แบบที่ไม่ได้ซ่อนจริตอะไร คือ ชัดเจนว่าชั้นมาเพื่อสวย หอม เริ่ด และร้ายแบบหน้าตาเฉยสไตล์ Bitchy ซึ่งตอบโจทย์มากมายกับการเป็นสไตล์สาวพลาสติคกลุ่มนี้มาก โดยเฉพาะตัว Regina George เอง

จนเมื่อกลิ่นผ่านไปจนเข้าสู่ช่วงท้าย ตอนนี้จะมีอารมณ์กลิ่นที่ค่อนข้างยืนพื้นที่โทน Musky ปนกับกลิ่นออกทาง Woody ที่มีความอวลๆ อารมณ์คล้ายกลิ่นแนวไม้ซีดาร์กึ่งแอมเบอร์ โดยมีกลิ่นโทน Animalic ที่ชัดขึ้น แต่ก็ไม่ได้มาแบบสาบปลุกเร้าสไตล์ Classic แต่อย่างใด เพราะมีโทนออกทางคล้ายขนมถั่วอบ (ถ้าให้เดา น่าจะเป็น โปรตีนบาร์ ตามที่แบรนด์ลงไว้) ที่มีวานิลลาอัลมอนด์หน่อยๆ มาตัดทอนให้กลิ่นสร้างความเย้าอวลดึงดูดและเซ็กซี่ทันสมัยเสียมาก สอดรับกับกลิ่นในช่วงกลางที่ตามมาแบบกำลังดี ยังคงให้ลูกเล่นโทนกลิ่นสีแดงเหลือบไล่โทนสีลงมาชมพูได้ชัดเจนจากเชอร์รี่ เบอร์รี่ ดอกส้ม และโทนแป้ง เพียงแต่มีความหนาของกลิ่นที่พอสมควรจนเป็นกลิ่นสไตล์อวลเรียกแขกให้มาชื่นชม ถ้าถูกใจก็คลุกวงในก็ได้เช่นกัน เรียกว่าปิดท้ายแบบที่ทิ้งรอยทางเอาไว้ให้จำได้ว่านี่แหละ Regina George แห่ง Mean Girls ที่เห็นแบบนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป (เอาตามวัฒนธรรมแบบไทยนะ ถ้าเป็นตะวันตกหรือฝรั่ง High School ก็โตเกินวัยปล่อยของไม่ยั้งได้แล้ว) ซึ่งกลิ่นนี้ให้ตัดการใส่ยามทางการและออกกำลังกายไปได้เลย เพราะไม่เข้าทางทุกประการ แต่ถ้าใส่ทั่วๆ ไป ใส่ทำงาน ใส่ช้อปปิ้ง จัดไป อันนี้เรียกร้องความสนใจได้ดีมาก แต่ถ้าอากาศร้อนๆ แนะนำเบาสเปรย์หน่อยจะได้กำลังดีไม่อึดอัด ส่วนยามค่ำคืนใส่ไปท่องราตรีจัดไป มาเด่น มาชัด ยืนหนึ่งในกลุ่ม หรือถ้าใส่มาทั้งกลุ่ม ก็ยืนหนึ่งในงานกันได้เลย นอกจากนี้ถ้าผู้ชายจะใช้งานน้ำหอมกลิ่นนี้บอกเลยว่าไม่เสียหาย เพราะช่วงท้ายมีลูกกลิ่นที่ Unisex พอตัวเลยทีเดียว อีกอย่างกลิ่นแบบนี้เวลาดูบนตัวผู้ชายมันก็มีเสน่ห์อีกแบบที่สร้างแรงดึงดูดได้ด้วยนะ (ได้รับคำชมจากผู้หญิงมาแล้วกับการใช้กลิ่นนี้ด้วยล่ะ)

ความทน - มากกกกกก เรียกว่า 15 ชม. ยังคงความปล่อยของอยู่ไม่ลดราวาศอก ก็ไม่ได้มาเล่นๆ So Fetch! ขนาดนี้จะแผ่วได้อย่างไร จริงไหม? เช่นนั้นถ้าตีค่าเฉลี่ยก็ว่ากันที่ราวๆ 8 ชม. ขึ้นไปได้สบายมาก

การกระจาย - ดีมากกกกก เรียกว่าเปิดมาก็ปล่อยพลังรอบทิศกันเลยทีเดียว มาแบบให้รู้ว่าชั้นมีเสน่ห์ ชั้นฮอต ชั้นเริ่ด แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปยาวๆ จนถึงราวๆ 5 ชม. ได้แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ คงตัวไปจนถึง 10 ชม. ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว คงตัวไปจนกว่าจะอาบน้ำล้างตัว ซึ่งขนาดอาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่เลย เช่นนั้นไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้

สรุป - กลิ่นนี้สร้างความสนุกสนานมากจริงๆ ในการจับกลิ่นแล้ว Link กับภาพยนตร์ที่เคยดูมา ซึ่งกลิ่นตรงตามคาแรคเตอร์ Regina George & the Gangs ที่จะต้องใส่อะไรเหมือนๆ กันแบบเป๊ะมาก มีทั้งความลั่นล้า การปล่อยของ การสร้างออร่า Teen Queen และความ Bitchy ที่ชัดเจน แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองมาเป็นแบบคนที่ไม่เคยดูภาพยนตร์นี้มาก่อน ถือเป็นกลิ่นสายยั่วและเปิดตัวให้ทุกคนหันมองได้อย่างชะงัดมากๆ แบบว่ามีความจงใจ ไม่เม้ม ก็สวยและเริ่ดมากอ่ะ รวมมีความวัยรุ่นบับเบิ้ลกัมเข้ามาผสมผสานให้มีความเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์การใช้งานในช่วงอายุที่กว้างขึ้น ทั้งยังเข้าทางเทรนด์กลิ่นที่ต้องมีความเซ็กซี่แบบมีเสน่ห์และปล่อยของแบบที่ไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ แต่อย่างใด นี่แหละเข้าทาง So Fetch! เต็มๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Centauri Perfumes - C2

Centauri Perfumes - C2

จากความรักในกลิ่นน้ำหอมต่างๆ สู่การเป็น Youtuber ที่เป็นนักรีวิวน้ำหอมที่มีคุณภาพสูงมากๆ คนหนึ่งของโลกกับ Channel - FragranceView ก็ได้ขยับขยายมาสู่การเป็น Perfumer เองของ Peter Carter หนุ่มชาวอังกฤษ ในการสร้างสรรค์กลิ่นอายเฉพาะต่างๆ ออกมาแบบ Small Batch ที่เปรียบเสมือนเป็น Limited Edition กลายๆ ที่มีแรงบันดาลใจการสร้างสรรค์กลิ่นตามช่วงเวลาเช่น อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในการเป็นแบรนด์ Centauri Perfumes  ผ่านกลิ่นอายต่างๆ ที่เปิดตัวออกมาแล้วถึง 3 รุ่น กับขวดและฝาที่สวยมาก และชัดเจนว่ามีอิทธิพลจากศิลปะอิยิปต์โบราณมาเกี่ยวข้องเต็มๆ แต่

ไม่ได้มากับ 3 รุ่นที่ออกมาวางจำหน่ายอยู่ในขณะนี้แต่อย่างใด (ซึ่งในอนาคตจะมาเล่ากลิ่นอีกที) เพราะการมาเจอกับแบรนด์นี้่ครั้งแรกก็ขอมาที่ตัว Exclusive ที่สร้างขึ้นมากับการระดมทุนเพื่อบริจาคให้กับองค์กรการกุศลอย่าง CTC The Gathering Place ที่เป็นธนาคารอาหารและที่พักหลับนอนชั่วคราวให้กับผู้ยากไร้ที่หิวโหยต่างๆ ซึ่งมีขวดเดียวซะด้วยในโลก และเมื่อได้รับการแบ่งปันมาจากผู้ชนะที่ได้รับขวดนี้มา แล้วมาตกผลึกทุกทุกช่วงกลิ่นจนได้ที่แล้ว ก็ต้องมาถ่ายทอดกันหน่อยว่ากลิ่นของรุ่นพิเศษที่ให้ชื่อรุ่นว่า C2 จะเป็นอย่างไรบ้าง

C2 เปิดตัวมาแบบอารมณ์ลูกผสมโทนกลิ่นที่มีทั้งความหวานติดเอียนเล็กๆ แบบโทนคาราเมลกึ่งน้ำผึ้ง แต่ก็ไม่ได้หวานแหลมจัดหนักคลอไปด้วยกลิ่นกุหลาบที่มีลูกโทนกึ่งหวานกึ่งแยมหน่อยๆ และมีลูกโทนแบบผลไม้แห้งๆ แกล้มวานิลลาบางๆ รวมอยู่ด้วย แต่มันไม่ได้จบแค่นี้เพราะสายหวานเหล่านี้เป็นเป็นฉากหน้าเท่านั้น โดยในวูบถัดมาจะมีกลิ่นชอคโกแลตที่ไม่ได้ถึงกับดาร์กมาก ตามด้วยการแทรกตัวของกลิ่นออกทาง Animalic ที่แทรกขึ้นมาที่จับได้ถึงกลิ่นคล้ายยางไม้ และกลิ่นคล้าย Musk ติดดิบบางๆ เนียนๆ อยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงต้นมันมีอะไรหลากหลายมากเลยทีเดียวที่ทำให้สนุกในการจับกลิ่น ซึ่งแน่นอนว่าตามสไตล์ Niche Perfume กลิ่นแบบนี้อาจจะทำให้รู้สึกงงๆ กันก่อนว่าตกลงมันคืออะไร เพราะมันจะมีความมะรุมมะตุ้มนิดนึง

เมื่อไปต่อที่ช่วงกลางคราวนี้จะเป็นการผสมผสานที่มีลูกโทนที่มีความซับซ้อนมาก โดยยืนพื้นที่กลิ่นอายสายติดดาร์กอยู่เช่มเดิม ซึ่งกลิ่นชอคโกแลต โทนหวานคาราเมล และโทนกุหลาบติดวานิลลาก็ยังคงเป็นเมนเช่นเดิม แต่จะเพิ่มเอากลิ่นคล้ายเหล้ารัมผลไม้เข้ามาสร้างมิติความน่าค้นหา และจะมีกลิ่นโทนสมุนไพรแห้งๆ หน่อยๆ เข้ามาคลอ รวมถึงแอบมีโทนเหล้ารัมเข้ามาหน่อยๆ ด้วย แน่นอนว่าจับต้องได้ถึงโทน Animalic ที่แทรกตัวอยู่ตลอดอารมณ์กลิ่นจะกึ่ง Musk กึ่งกลิ่นนมๆ กึ่งกลิ่นหนัง ซึ่งภาพรวมของกลิ่นจะได้ความหวานปะแล่มๆ ของกุหลาบติดวานิลลา มีความนัวของชอคโกแลตที่ไม่ได้ข้นจัดแต่แกมกลิ่นออกทางคาราเมลกึ่งน้ำผึ้งหน่อยๆ และมีกลิ่นออกทางยางไม้แปร่งๆ มาสร้างอารมณ์น่าค้นหา มีกลิ่นออกทางกึ่งจะคลาสสิคหน่อยๆ ที่ให้ความร่วมสมัยที่ Mix & Match และปิดท้ายด้วยโทนสาน Animalic ที่เซ็กซี่ดึงดูดแกม Dirty ซึ่งแน่นอนว่าความซับซ้อนยังคงชัดเจนมีเลเยอร์อะไรให้จับต้องได้แบบหลากหลายและมีความเก๋อยู่ในตัวเองสูงมาก

และเมื่อกลิ่นดำเนินไปจนโทนหวานๆ ออกทางคาราเมลเริ่มหายไป และกลิ่นชอคโกแลตเริ่มลดทอนตัวเองลงไปพร้อมกับกลิ่นโทน Animalic ต่างๆ ติดสวาบปลุกเร้าเริ่มที่จะเบาลง ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความโดดเด่นของกลิ่นโทนนุ่มนวลจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะมีลูกผสมของโทนแป้งติด Buttery เนยๆ จืดๆ ของหัวเหง้าออริส กลิ่น Musky นวลๆ กลิ่นนมอุ่นๆ ที่ให้ความนวลละมุนแบบกลิ่นกายอาบนมสด และกลิ่นไม้จันทน์หอมที่สร้างความในวลครีมมี่ไม้หอมสอดรับกับกลิ่นอายสายนวลได้อย่างลงตัว โดยที่จะยังมีกลิ่นชอคโกแลตติดหวานกึ่งกุหลาบแกล้มวานิลลาบางๆ มีโทนไม้หอมยางไม้อ่อนๆ สร้างความดึงดูดหน่อย ซึ่งเลเยอร์กลิ่นจะมีอารมณ์คล้ายชอคโกแลตลาเต้ที่จะมีกลิ่นออกทางนวลนมนุ่มละมุนแกม Animalic หน่อยๆ ตามธรรมชาติของกลิ่นนม เคล้าชอคโกแลตที่มีลูกเย้าหน่อยๆ มีความหวานกุหลาบบางๆ ระเรื่อๆ ให้มีลูกเล่น เป็นเลเยอร์ที่ลงตัวไม่ได้ข้นและดาร์กเท่ากัยช่วงต้นและกลางแล้ว ปิดท้ายการเปลี่ยนกลิ่นอายที่ให้อารมณ์แบบร่างกายกลิ่นหอมนมนวลๆ น่ากินแกมหวานสะกิดปลายจมูกเคล้าความหอมชอคโกแลตบางๆ เรียกว่าสร้างความรื่นรมย์ปนน่ากินได้ดีมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เข้าได้กับทุกเพศ เพียงแต่กลิ่นจะมีความซับซ้อนและเปิดมาอาจจะดูงงๆ กันก่อน ซึ่งถ้าไม้ชินอาจจะตบไปได้เลย อย่างน้อยผ่านน้ำหอมเชิง Niche หรืออินดี้มาก่อนบ้างจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งเข้ากับกลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่เบามือนิดนึงกับอากาศเมืองสารขัณฑ์บ้านเรา ซึ่งไม่เข้ากับยามทางการรับแจกบ้านแขกเมืองเท่าไหร่ รวมถึงการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย แต่ถ้าใส่ทั่วๆ ไป อันนี้ได้เลย สร้างออร่ากลิ่นที่ไม่ธรรมดาและไม่เหมือนใครได้ดีมากอ ส่วนยามค่ำคืนใส่ทั่วๆ ไป ใส่กึ่งโรแมนติค หรือใส่ท่อราตรีก็ได้อยู่ แต่กลิ่นอาจจะไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังจัดจ้านนัก เน้นคลุกวงในเสียมากกว่า

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกตามสภาพผิวกายและจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. ที่ยังจับต้องกลิ่นได้อยู่ชัดๆ ส่วนที่เหลือจะเป็นติดผิวที่ต้องดมใกล้ๆ จนค่อยๆ จางไป 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางคงตัวราวๆ 4 ชม. แล้วถึงค่อยลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนเผื่อผ่าน 8 ชม. ไปแล้วก็จะเป็น Skin Scent

สรุป - มันมีความซับซ้อนในโทนหวาน ที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนเราอาบขนมมาจากไหน แต่ให้อารมณ์ที่หลากมิติในการรับรู้ที่เติมเต็มกันได้ดีพอตัวเลย ไม่ว่าจะหวาน จะเข้มหอม จะแปร่งเก๋ๆ จะดึงดูดเย้ายวน จะ Dirty ซึ่งถ้าในอนาคตตัวนี้ได้ไปต่อ (ซึ่งอาจจะมีการปรับปรุงอะไรอีก) บอกเลยว่าน่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก โดยส่วนตัวชอบกลิ่นช่วงท้ายจริงๆ อารมณ์กลิ่นนมคลอผิวกายแกมกลิ่นชอคโกแลตติดหวานปลายกลิ่นสร้างความฟินมากเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/fragranceview/posts/883669452171200

 

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Smell Bent - Brussels Sprouted

Smell Bent - Brussels Sprouted

Smell Bent เป็นอีกหนึ่งแบรนด์สายอินดี้จาก LA ที่มากับความเก๋ ซึ่งแน่นอนว่า Concept ของแบรนด์เน้นความ Contrast กัน คือ ตั้งชื่อให้มันดูบ้าบอ แต่เรื่องกลิ่นมีความดีงามในฝีมือแบบที่ปรามาสไม่ได้นะ เพราะไม่ได้มาเล่นๆ

และแน่นอนตามสไตล์แบรนด์อินดี้อเมริกัน ก็ต้องทำใจกันนิดเพราะว่าไม่เน้นเรื่องความสวยของขวด แต่เน้นกลิ่นเป็นหลัก เช่นนั้น เป็นสิ่งที่ดีมากที่จะทำให้มา Focus กันอย่างจริงจังว่าจะทำกลิ่นออกมาอย่างไร ซึ่ีงไม่ว่าชื่อรุ่นแต่ละรุ่นมันจะแบบว่า นี่น้ำหอมจริงๆ เหรอ? แต่ก็นะ ได้รับความนิยมและหลายๆ ตัวได้สร้างการยอมรับจากหมู่ผู้ใช้น้ำหอมเลยว่าไม่ธรรมดาในการสื่อสารกลิ่น เช่นนั้นเมื่อได้มีโอกาสจัดแบรนด์นี้มาครอบครอง 1 กลิ่น ก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจที่ชื่อกลิ่นมันบ้าบอ เนื้อแท้ของกลิ่นจริงๆ เป็นเช่นไรกับรุ่นนี้เลย Brussels Sprouted

อย่างแรกต้องบอกก่อนว่า ชื่อรุ่นที่น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Brussels Sprout ที่แปลออกมาว่า “กะหล่ำดาว” หรือกระหล่ำลูกจิ๋วๆ ที่เป็นผักประเภทหนึ่งที่นำมาประกอบอาหารสไตล์ฝรั่งกันมานักต่อนัก มันทำเอา “เอ๋อ” และคิดไปต่างๆ นานาเลยว่ากลิ่นมันจะเป็นกะหล่ำเดินได้หรือเปล่า แต่มันกลับกลายเป็นว่ากลิ่นมีความมินิมัลที่เป็นธรรมชาติมาในการเป็นกลิ่นโทนเขียวปนชื้นอารมณ์แบบกลิ่นป่าแบบแถวภูมิอากาศแบบยุโรปหรืออเมริกันที่จะมีความเป็นป่าโปร่งๆ หลังฝนตก ซึ่งกลิ่นที่ฟุ้งออกมาเลยจะเป็นกลิ่นไม้เปียกๆ ติดหวานหอมธรรมชาติ กลิ่นเขียวใบไม้เปียกๆ ดินเปียกๆ อากาศชื้นๆ คือมาหมดเลย เรียกว่าสร้างบรรยากาศกันอย่างชัดเจนเหมือนเดินในป่าหลังฝนตก ซึ่งในบางวูบจะได้กลิ่นเขียวๆ แบบติดผักหน่อยๆ ซึ่งก็ใช่แหละกลิ่นกะหล่ำแบบเขียวๆ แต่มันก็ไม่ได้เด่นเท่ากับกลิ่นไม้เปียกๆ กับไอชื้นระเหยที่สร้างสรรค์ออกมาได้น่าประทับใจมาก

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะจับต้องได้คือ ไม่มีช่วงกลางที่เด่นชัด แต่เป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเสียมากกว่า เพราะเนื้อกลิ่นจะค่อยๆ แห้งขึ้นตามลำดับ ลดบทบาทกลิ่นออกทางไม้เปียกหอม กลิ่นเขียวติดเปียกชื้น ดินเปียก และอารมณ์ความชื้นหลังในตกไปเรื่อยๆและเป็นการค่อยๆ สลับเอาโทน Musky ไม้แห้งๆ ดิน Earthy แห้งๆ ที่รู้สึกได้ว่ามี Oakmoss ด้วย ค่อยๆ ขึ้นมาตามเวลาที่ผ่านไปจนกลายเป็นโทนเด่นนำกลิ่นในช่วง Dry Down ที่จะได้อารมณ์บรรยากาศที่แห้งมากขึ้นแอบมีความเขียวปลายกลิ่นบางๆ แต่ที่มีทั้งหมดจะให้กลิ่นที่ไม่ได้ถึงกับสะอาดนวลแบบเกลามาเป็นอย่างดีนัก แต่จะมีความเป็นกลิ่นกึ่งสะอาดกึ่ง Dirty ที่เป็นธรรมชาติ อารมณ์แบบกลิ่นกายที่ไม่ได้ใส่น้ำหอมแต่มีกลิ่นอายของบรรยากาศมาติดผิวกายที่มีความ Animalic เบาๆ จาก Musk โดยจะได้ทั้งกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ที่มาจากไม้ซีดาร์ กลิ่นไอดินระเหย กลิ่นแบบพืชล้มลุกเรี่ยดินเขียวเข้มๆ อวลอ่อนๆ ติดปลายเขียวอมหวาน อารมณ์เสมือนโลชั่นเคลือบกายที่มีกลิ่นธรรมชาติโคตรๆ และมีโทนติดทาง Classic เพราะพื้นฐานกลิ่นช่วงนี้เป็น Musky Earthy ที่ได้อารมณ์เท่ห์ๆ แบบไม่ได้เกลากลิ่นให้เป็นสายทันสมัยหรือเนี้ยบ แต่ให้อารมณ์สบายๆ กึ่งลุยๆ อารมณ์ป่าๆ ธรรมชาติในบรรยากาศแห้งๆ ได้ดีมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่กลิ่นอาจจะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าก็จริง แต่เพราะเป็นกลิ่นแนวสภาพแวดล้อม เช่นนั้นผู้หญิงใส่ได้สบายมาก แต่จะออกแนวกลิ่นอายธรรมชาติลุยๆ ประมาณนี้ ซึ่งกลิ่นนี้จัดได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จะมีก็แต่ยามทางการจัดๆ ที่ไม่เข้าทางนัก เพราะดูลุยป่าไปนิดนึง ส่วนยามค่ำคืนก็เช่นกัน เน้นใส่ทั่วๆ ไปจะลงตัวที่สุด เพราะใส่ไปท่องราตรี นอกจากกลิ่นจะไม่ได้มาสายเย้ายวนแล้ว ยังจะโดนกลบเอามิดได้ง่ายๆ เลย 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวกับพื้นฐานค่าเฉลี่ยที่ 8 ชม. และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะลดลงมาที่ปานกลางไม่ถึง 2 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะให้โทนที่กึ่งออร่าเบาๆ กึ่งติดผิวไปเรื่อยๆ คงตัว แล้วจะลดลงมาติดผิวเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. แล้ว 

สรุป - ไม่ได้เป็นกะหล่ำดาวเดินได้แน่ๆ เพราะอันนี้เป็นแค่ชื่อกลิ่นที่สร้างความเฮฮาบ้าบอไปตาม Concept แบรนด์ แม้จะมีกลิ่นกะหล่ำปลีให้จับต้องได้อยู่บ้างก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ากลิ่นนี้คือการเอาความเป็นธรรมชาติของป่าจากชุ่มฉ่ำสายฝนสู่ความแห้งที่ให้ความเป็นธรรมชาติและมีความ Classic ในเนื้อกลิ่น ถือว่าทำกลิ่นออกมาให้ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาได้ดีมากจริงๆ ยอมมมม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.smellbent.com/products/brussels-sprouted

 

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Comme des Garcons - Scent One: Hinoki

Comme des Garcons - Scent One: Hinoki

ในเรื่องความเก๋ล้ำๆ ที่ไม่ว่าจะแฟชั่นหรือการสร้างสรรค์กลิ่นแบรนด์ที่มาเป็นลำดับต้นๆ ในสายนี้หนึ่งในนั้นต้องมี Comme des Garcons อยู่เป็นลำดับแรกๆ มาเสมอ แต่ในมวลหมู่น้ำหอมทั้งหลายของแบรนด์นี้ก็ไม่ได้ล้ำเว่อร์วังเสมอไป ก็มีหลายๆ Collection ที่เข้าถึงได้ง่ายก็มี และครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้งานได้หลากหลายไม่น้อยเลย

ซึ่งนอกจากที่จะมี Collection ต่างๆ มากมายแล้ว แบรนด์เองก็ไปจับมือร่วมสร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์ Collaboration โดยจะเน้นไปที่นิตยสารหรือศิลปินดังๆ กับเขาด้วยไม่ว่าจะเป็น Pharrell Williams นิตยสาร Vouge และนิตยสารทางด้าน Lifestyle ชื่อดังอย่าง Monocle เองก็มาจับมือสร้างสรรค์กลิ่นอายแบบสายเรียบง่ายแต่มีสไตล์และเอกลักษณ์เฉพาะโดยเจาะจงที่ความพิเศษของ Notes กลิ่นเฉพาะต่างๆ ที่เป็นเฉพาะเจาะจงแบบสไตล์มินิมัล ซึ่งในการเล่ากลิ่นครั้งนี้จะมาแตะที่รุ่นหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ กับการสื่อสารถึงอารมณ์กลิ่นเวลาอาบน้ำร้อนที่เกียวโต โดยเจาะไปที่กลิ่นไม้ Hinoki ที่เป็นไม้สนประเภทหนึ่งที่มีบทบาทต่อสิ่งก่อสร้าง รวมถึงเครื่องใช้ต่างๆ ของชาวญี่ปุ่นมาอย่างช้านาน รวมถึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในห้องอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่นอีกด้วย มา มาดมกันผ่านตัวอักษรดีกว่า

Scent One: Hinoki จะมาแบบชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นในการเป็นน้ำหอมโทนกลิ่นไม้หอมที่ชะอุ่มๆ เขียวปนปร่าเผ็ดสไตล์ไม้สนที่สร้างอะโรม่าชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มเลย แถมได้อารมณ์กันเต็มๆ ถึงความเป็นไม้สนแบบไม้ Hinoki โดนที่มีกลิ่นปร่าสะอาดของสนไซเปรสเนียนๆ ผสานรวมอยู่ โดยในช่วงต้นจะมีองค์ประกอบกลิ่นที่น่าสนใจอย่างกลิ่นการบูรที่ให้อารมณ์เมนทอลตีคู่ไปด้วย และจะมีกลิ่นออกทาง Incense ยางไม้กึ่งพริกไทยที่มีความสดชื่นเจือๆ อย่าง Frankincense ที่จะตัวเชื่อมโทนตรงกลาง เลยจะทำให้อารมณ์กลิ่นไม้อะโรม่าติดปร่าเผ็ดฟุ้งๆ ชัดนิดนึง แต่ไม่ได้ถึงกับคมบาด เพราะในเนื้อกลิ่นจะจับได้ถึงกลิ่นอายชื้นๆ แบบไม้เปียกน้ำมากล่อมให้กลิ่นได้อารมณ์แบบห้องน้ำพื้นไม้และอุปกรณ์ในห้องน้ำเป็นไม้ที่เปียกๆ หน่อยๆ แอบมีโทน Earthy นิดๆ เสียด้วย เรียกว่า เออ กลิ่นแบบแช่น้ำร้อนในอ่างไม้ฮิโนกิที่กลิ่นอะโรม่าไม้สนปร่าเผ็ดชัดๆ ประมาณนั้น แล้วการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้นเมื่อเข้าช่วงถัดไป

ช่วงกลางกลิ่นจะลดทอนความเผ็ดปร่าชัดๆ มาจากตอนต้นลงมาพอสมควร ซึ่งแน่นอนกลิ่นไม้ Hinoki ยังคงเป็นตัวเด่นอยู่ และแน่นอนว่ากลิ่นสนไซเปรสยังคงให้อารมณ์ปร่าติดเขียวชะอุ่มเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นสร้างอะโรม่าของความเป็นไม้สนหอมที่ติดปร่ากำลังดี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเข้าโทนแห้งมากขึ้นและมีความปลอดโปร่งร่วมด้วยแนวไม้ซีดาร์หน่อยๆ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดมีกลิ่นสารหอมอย่าง ISO E Super แน่นอนที่มาสร้างอารมณ์กลิ่นไม้สว่างๆ โปร่งๆ สไตล์ไม้ซีดาร์ รวมถึงจะมีกลิ่นติดเขียวปร่าสะอาดกึ่งยางสนหน่อยๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์แบบกลิ่นไม้สนไพน์ที่เข้ามาเสริมให้ความเป็นอะโรม่าไม้หอมมีครบเครื่องมากในการเป็นกลิ่นโทนสนต่างๆ มารวมกันได้เป็นอย่างดี โดยที่กลิ่น Frankincense ยังคงเป็นตัวเสริมที่ดีให้อารมณ์ปร่าเผ็ดลุ่มลึกเจือสดชื่นสว่างๆ ทำให้ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะเป็นโทนไม้สนหอมที่ชัดเจนมากและตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมให้ความอะโรม่าของไม้หอมชัดเจนทุกสโตรกและไม่หนักหน่วงจนเกินไป คลอด้วยโทน Incense ที่ทำให้กลิ่นมีความชัดเจนคงตัวอยู่ได้ดีตลอด จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปจนสมควรแก่เวลาในการเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงท้าย ที่จะเป็นโทนไม้หอมแห้งๆ ที่ชัดเจนขึ้นแน่นอนช่วงนี้ไม้ซีดาร์จะ Tag Team กับหญ้าแฝกให้โทนออกทางไม้แห้งๆ ให้กับโทนไม้ Hinoki กลิ่นจะมีโทนสว่างๆ คุมโทนความเป็นไม้หอมปร่าๆ ติดเขียวที่รื่นรมย์ โดยมีกลิ่น Incense อ่อนๆ คลออยู่ติดควันเล็กๆ สร้างอะโรม่าหน่อยๆ และที่สำคัญมีโทนกลิ่นติด Earthy เขียวการ์กอ่อนๆ ของ Oak Moss ให้จับได้เบาๆ สร้างความลุ่มลึกปนนิ่งสงบได้ดีมาก กลิ่นจะไม่ได้หวือหวาโหวกเหวกเลย ให้ความอะโรม่าเรื่อยๆ มาเรียงๆ มีเสน่ห์สไตล์มินิมัลที่ลงตัวและสร้างความรื่นรมย์ได้ดีจนถึงปลายทางเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะว่าเป็นกลิ่นสภาพแวดล้อม ที่ไม่ว่าเพศไหนก็สามารถพึงใจกับกลิ่นอะโรม่าหอมไม้สนแบบนี้ได้ไม่ยาก แต่จะมีช่วงท้ายๆ ที่จะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อยราว 75% ได้ แต่ถ้าผู้หญิงไม่มายด์ก็จัดไป ได้ความรู้สึกขรึมขลังนิ่งเรียบมีเสน่ห์อีกต่างหาก ซึ่งกลิ่นสามารถใช้ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมีความอะโรม่าปนสุภาพเป็นทุนเดิมที่เข้าได้หมด จะมีก็แต่การใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายจะไม่เข้าทางเท่าไหร่ รวมถึงยามค่ำคืนที่กลิ่นนี้ก็ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเพื่อเน้นปล่อยของด้วยเช่นกัน เพราะเบาไป แต่ถ้าใส่เพื่อความอะโรม่าบอกเลยดีงาม

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีไปต่อได้อีกก็ว่ากันที่สภาพผิวคนนั้นๆ ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. กำลังดีกับ 7 สเปรย์ แล้วจะค่อยๆ จางไป

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในวูบแรกๆ แล้วจะลงมาเป็นปานกลางไม่ถึง 1 ชม. ที่เหลือก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ เรียกว่าเป็นกลิ่นอายอะโรม่าสไตล์ที่ปุ่นที่ไม่เน้นโฉ่งฉ่างได้ชัดเจนจริงๆ

สรุป - เนื้อกลิ่นมีความมินิมัลสูงมากและให้อารมณ์สภาพแวดล้อมกันอย่างชัดเจนในการสื่อถึงความเป็นไม้ Hinoki ที่นำทีมกลิ่นไม้สนที่มีความอะโรม่าในตัวมานำเสนอ ส่วนตัวเรียกว่าชอบช่วงต้นมากที่มันจะมีความชื้นๆ แบบกลิ่นห้องน้ำไม้ Hinoki ที่มีสีนวลตาได้ดีมาก ที่เหลือคือความอะโรม่าของไม้หอมเน้นๆ ที่ทำเอาคนที่ชอบโทนแบบไม่โฉ่งฉ่างผ่อนคลายเอาได้เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.comme-des-garcons-parfum.com/perfumes/monocle-scent-one-hinoki

 

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: 4711 - Acqua Colonia Lychee & White Mint

4711 - Acqua Colonia Lychee & White Mint

เมื่ออยู่กับกลิ่นน้ำหอมสายแน่นๆ ดาร์กๆ บ่อยครั้งเข้า การหันมาใช้กลิ่นอาย Cologne ที่สบายๆ สดชื่น ผ่อนคลายมักเป็นทางเลือกที่ดีเสมอที่ให้จมูกเองก็ได้พักผ่อน และหลายๆ ครั้งผู้เขียนเองก็จะกลับมาที่ 4711 เพราะเรียกว่ายังไงก็รอดเสมอในการใช้งาน ยิ่งอากาศบ้านนี้เมืองสารขัณฑ์นี้ช่างร้อนสุดๆ ขนาด ซึ่งเมื่อกลับไปชะม้อยชะม้ายชายตามักจะไปเจอตัวออกใหม่ที่น่าสนใจทุกที และเมื่อต้นปี 2020 ก็จัดตัวที่ออกมาล่าสุดในตอนนั้นขึ้นมาซะเลย เพราะรู้สึกได้ว่าจะต้องถูกโฉลก

ซึ่งนั่นก็คือรุ่นที่กำลังจะเล่ากลิ่นในครั้งนี้อย่าง Acqua Colonia Lychee & White Mint นั่นเอง ซึ่งกลิ่นพอได้พินิจพิเคราะห์คลอผิวแล้ว ก็เล่าต่อได้เลยแบบนี้ว่า

เป็นการจับคู่ที่ลงตัวและให้อารมณ์กลิ่นที่สดใสก็ได้ น่ารักก็ดี เรียบหรูในโทนผลไม้ติดฉ่ำหวานอมเปรี้ยวก็สามารถ เพราะเปิดต้นกลิ่นมาพร้อมกับความรู้สึกเย็นผิวจากโทนเมนทอล Icy ที่เป็นอยู่ Cologne ออกมาก่อนพร้อมกับกลิ่นเปรี้ยวอมหวานฉ่ำเฉพาะตัวของลิ้นจี่ ที่มีกลิ่นเขียวสดชื่นอ่อนๆ รองพื้นคลออยู่ เนื้อกลิ่นจะไม่ได้มาแบบลิ้นจี๋แบบจ๋าๆ แบบน้ำหอมผู้หญิงที่เรามักจะเจอ แต่จะได้อารมณ์แบบน้ำลิ้นจี่ใสๆ หอมเปรี้ยวเจือฉ่ำปนน้ำแข็งเย็นๆ อะไรประมาณนั้น ซึ่งเป็นการเปิดต้นกลิ่นที่น่ารัก เรียบง่าย และสดใสมากเลยทีเดียว

เพียงไม่นานจากวูบสดใสและสดชื่นของกลิ่นน้ำลิ้นจี่ ก็จะเริ่มจับได้ถึงกลิ่นเขียวอ่อนๆ สุภาพติดปร่ากำลังดี มี Effect ของกลิ่นที่เย็นๆ รับช่วงต่อจากเมนทอลในช่วงต้นที่ให้ความปร่าเขียวอ่อนเย็นๆ เข้ามาเพิ่ม ซึ่งก็คือ White Mint ที่เกลากลิ่นมินต์ปกติให้มีความ Icy เย็นๆ ผลึกๆ อะไรประมาณนี้เข้ามาเสริม แต่ก็ไม่ได้มาแย่งซีนกลิ่นลิ้นจี่แต่อย่างใด เพราะมาเป็นตัวเสริมให้มีโทนเขียวปร่าอ่อนๆ ในเนื้อกลิ่น และทำให้กลิ่นลิ้นจี่มีอะไรมากกว่าความเป็นโทนน้ำผลไม้ทั่วๆ ไปได้ดีมากด้วย ที่สำตัญแอบจับได้ถึงกลิ่นอายคล้ายๆ กุหลาบนวลบางๆ ในเนื้อกลิ่นอยู่ด้วย เลยทำให้อารมณ์กลิ่นได้โทนออกทางสีชมพูเปลือกลิ้นจี่แกมเขียวอ่อนปนขาวสว่างและมีความสดใสได้พอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะดำเนินไปยาวพอสมควร จนโทนลิ้นจี่เริ่มที่จะจางลงไป เหลือเพียงปลายกลิ่นที่อารมณ์ติดหวานกึ่งลิ้นจี่กึ่งกุหลาบบางๆ และมีอะไรซักอย่างที่ให้ความเบาๆ สะอาดๆ แนวสไตล์สารหอมบางอย่างที่คล้ายโทน Musky ให้รู้สึกอยู่หน่อยๆ และผลุบๆ โผล่ๆ จนไม่ได้รู้สึกว่าเป็นนัยยะสำคัญอะไร เพราะน่าจะเป็นสารหอมตรึงกลิ่นบางอย่าง แต่มาสนที่ความเด่นของโทนออกทางเย็นๆ แกมมินต์แทน เพราะช่วงนี้จะได้ความรู้สึกหอมเย็นๆ Icy บางๆ เจือเขียวอ่อนๆ เด่นเสียมากกว่า ที่จะเป็นตัวคุมโทนที่จะคลอผิวไปเรื่อยๆ แบบมีปลายหวานลิ้นจี่ไปตลอด ซึ่งแน่นอนกลิ่นให้ความเรียบง่ายและสดใสที่ให้โทนสีสีเนื้อลิ้นจี่ขาวแกมนวลอ่อนๆ แถมยังพกเอาความเรียบหรูมีระดับแบบสไตล์มินิมัลที่ไม่ต้องเยอะสิ่งได้ลงตัวและ Nice มากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงนิดหน่อย แต่ถ้าไม่มายด์ผู้ชายก็ใส่ไปเถอะ เพราะมันสดชื่นหอมมีความสุขแบบกลิ่นเปรี้ยวอมหวานลิ้นจี่เจือปร่ามินต์เย็นๆ ได้ดีมาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดเกลี้ยงใส่ได้เลยยังไงก็รอด (แบบกลิ่นโทนผลไม้นิดนึงนะ) แต่จะมีก็ช่วงกลางคืนที่เหมาะสำหรับใส่แบบสบายๆ เน้นสดชื่นผ่อนคลายน่ารักอะไรแบบนี้เสียมากกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรี บอกเลย โดนกลบมิด

ความทน - อันนี้คือเกินคาดมาก เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. แบบที่ถึงกับอึ้งว่า Eau de Cologne ของ 4711 ก็ทำได้กับการใช้งานที่ 7 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวมด้านหน้าด้วย ซึ่งถ้าตีค่าเฉลี่ยก็ 6 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไวพอสมควร แต่ก็คงตัวกันยาวๆ ไปนะ จนเมื่อผ่านไปซัก 4 - 6 ชม. (ตามสภาพผิวผู้ใช้) กลิ่นก็จะเริ่มเป็น Skin Scent แล้วจางไปตามเวลาและตามเคมีของแต่ละผู้ใช้

สรุป - เป็นตัวที่เซอร์ไพร์สสุดๆ ไปเลย เพราะกลิ่นหอมสร้างความอะโรม่าและเป็นธรรมชาติได้ดีจริงๆ แบบได้อารมณ์น้ำลิ้นจี่เย็นๆ มีน้ำแข็งใสๆ อะไรประมาณนี้เลย ซึ่งเข้าทางจริงๆ กับฤดูร้อนที่ต้องการกลิ่นอะไรที่สดชื่น แต่แตกต่างจากคนอื่นแบบที่ได้ความสดใสก็ได้ สร้างความรื่นรมย์ก็ดี นี่แหละ Lychee & White Mint ล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/4711-Acqua-Colonia-Lychee-White-Mint-13254.html

 

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: 4711 - Acqua Colonia Intense: Floral Fields of Ireland

4711 - Acqua Colonia Intense: Floral Fields of Ireland

สิ่งนึงที่เป็นความรู้สึกที่อยากให้เกิดขึ้นเสมอยามเมื่อใช้ Cologne ของ 4711 คือ เมื่อไหร่จะมีความเข้มข้นที่มากขึ้นและมีความทนมากขึ้น เพราะกลิ่นอายสไตล์สดชื่นของ Cologne ถ้าต่อยอดได้มันจะเจ๋งมาก แม้ของเดิมที่ดำเนินมาตั้งแต่อดีตยันปัจจุบันในเรื่องกลิ่นมีความดีงามเสมอต้นเสมอปลายและใช้ง่ายสร้างความรื่นรมย์มาเสมอ รวมบางกลิ่นอาจจะความทนดีงามอยู่บ้าง แต่ก็อยากให้มีอะไรที่มันมากขึ้นอยู่ดี

และความคิดนี้ก็ได้รับการเติมเต็ม เพราะว่า 4711 ได้ออก Collection - Cologne Intense ออกมาซะที ซึ่งแน่นอนว่าชูโรงที่จุดเด่น คือ ความทน และก็เอา Concept การสร้างสรรค์กลิ่นของสถานที่สวยงามต่างๆ บนโลกมาเป็นกลิ่นที่จะสร้างความรื่นรมย์ในการใช้งาน เช่นนั้น มาพิสูจน์กันหน่อยว่ากลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง กับรุ่นแรกของ Collection นี้ที่มีโอกาสได้ลอง นั่นคือ Floral Fields of Ireland

เปิดต้นกลิ่นมาก็เรียกว่าสร้างกลิ่นอายหวานหอมดอกไม้ท่ามกลางสดชื่นมาเลย ซึ่งจะจับได้เต็มๆ ถึงกลิ่นดอกไม้ที่ให้ความหอมหวานกึ่งโทน Fruity ที่ให้ความเย้าอ่อนๆ และมีความรุ่มรวยรื่นรมย์อย่างดอกหอมหมื่นลี้ที่จะไม่ได้มาแบบติดโทนข้นกึ่งนมแบบน้ำหอมหลายๆ รุ่น แต่จะมาแบบใสๆ กลิ่นอายสดชื่นสไตล์ Cologne ที่มี Citrus เย็นๆ สร้างบรรยากาศอย่างส้มที่ให้ความเปรี้ยวอมหวานและมีความสแปลชอ่อนๆ ที่สดชื่นของเลมอนเคล้ากับโทนเย็นๆ ผิวออกทางเมนทอล ซึ่งต้องชมเลยเลยเนื้อกลิ่นแม้จะจับต้อง Note กลิ่นต่างๆ ที่บอกไปมันไม่น่าจะไปในอารมณ์กลิ่นที่สร้างเฉดสีชมพูได้ แต่กลับทำได้ ทำให้เปิดมาก็ได้อารมณ์สีชมพูอ่อนหอมหวานสดชื่นกันแบบเต็มๆ แบบที่ออร่าชมพูหวานใสฟุ้งออกมารอบตัวกันเลยทีเดียว

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนกลิ่นโทน Citrus ลงมาพอประมาณ เพราะเริ่มมีโทนดอกไม้ต่างๆ เข้ามาเสริมมากขึ้น ก็จะเป็นการเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว ที่แน่นอนยังมีความสดชื่นอยู่ปลายกลิ่น แต่หังวใจหลักเลยคือกลิ่นดอกไม่นานาพันธุ์ที่ยืนพื้นกับการเป็นโทนหวาน ซึ่งแน่นอนว่าหอมหมื่นลี้ยังตามมาในช่วงนี้ให้ความหวานหอมติดกลิ่นแอปริคอตแบบใสๆ แต่จะเสริมด้วยกลิ่นออกทางหวานหอมติดเขียวปนแห้งนวลหน่อยๆ ของดอกกะถินเทศหรือ Mimosa ที่สอดรับพอดีกับกลิ่นดอกส้มที่ให้กลิ่นนวลเปรี้ยวอมหวานสะอาดๆ และมีกลิ่นมะลิที่ให้ความหวานปนนวลแป้งหน่อยๆ เรียกว่ามารวมตัวกันจนกลายเป็นกลิ่นดอกไม้รวมที่ยืนพื้นที่ความหวาน และไม่ได้มีเฉดสีในเนื้อกลิ่นที่เป็นแค่โทนสีชมพูแล้ว แต่มีความหลายหลานยืนพื้นที่โทนหวานหอมดอกไม้ติดแป้งนวลกำลังดี และมีความสดชื่นปลายกลิ่นที่ลงตัว คุมโทนได้ดีทั้งความเป็นสไตล์ Cologne และการเป็นโทนแป้งนวลหอมดอกไม้ที่ตีคู่ไปอย่างงามๆ ได้ทั้งสีชมพูอ่อน สีเหลือง สีขาวนวล ตอบโจทย์การเป็น Floral Fields ได้เหมาะเลย ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรจนกลิ่นเริ่มลดทอนความหวานลงมาอีกสเต็ป และเริ่มมีมิติกลิ่นอายไม้หอมเข้ามาสอดรับแบบเบาๆ ไม่ได้เข้มข้นหนักหน่วง ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่ตอนนี้จะเป็นกลิ่นคลอผิวที่ให้ความหวานอ่อนๆ ละมุนๆ เจือกลิ่นไม้อบอุ่นเบาๆ และมีความสะอาดนวลกรุ่นๆ ซึ่งจะได้กลิ่นอายไม้โปร่งๆ เจืออวลบางๆ ที่ซ้อนไปกับกลิ่นดอกไม้เจือแป้งที่ตามมาจากช่วงกลาง เลยจะได้อารมณ์คล้ายๆ กลิ่นดอกไม้กับไม้หอมโปร่งๆ ติดผิวกาย อารมณ์แบบกลิ่นโลชั่นดอกไม้รวมกลิ่นธรรมชาติติดผิวให้ความหอมน่ารัก อ่อนโยน และละมุนกำลังดีไปเรื่อยๆ ปิดท้ายแบบสไตล์มินิมัลที่เรียบหรูและรื่นรมย์แบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่ง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่ม.ต้นขึ้นไปก็ใส่ได้แล้ว กลิ่นมีความหอมหวานสดใสได้ความเป็นสีชมพูอ่อนที่มีความหวานแบบลงตัวมาก และให้ความรื่นรมย์แบบที่ใช้ง่ายแต่มีระดับอีกด้วย จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ไปเถอะยังไงก็รอดสูงมาก แถมยังสามารถใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งแบบที่ไม่ได้เป็นสายบู๊ก็ได้ด้วย แต่ถ้าจะใส่ไปออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่าเพราะกลิ่นจะไม่ได้ดูดอกไม้จ๋าๆ เกินไปแล้ว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อได้ความหวานดอกไม้สดชื่น น่ารัก และอ่อนหวาน หรือใส่ออกงานจะดีกว่า แต่ให้ตัดการใส่เพื่อไปท่องราตรีได้เลย กลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง โดนกลบมิดแน่นอน

ความทน - อันนี้แหละที่เป็นข้อดีที่เติมเต็มจริงๆ เพราะเจอที่ 8 ชม. สบายมาก และไปต่อได้อีกถึง 12 ชม. ก็เจอมาแล้ว ก็ต้องยอมให้เขาเลยว่าทำ Intense ออกมาแล้วไม่ผิดหวังเรื่องนี้ แต่ถ้าตีค่าเฉลี่ยสภาพผิวจริงๆ ก็ขอวางไว้ที่ 6 - 8 ชม. ไว้ก่อน เพราะถ้าผิวแห้งอาจจะไม่ได้ลากถึง 8 ชม. ได้ง่ายๆ  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ได้อารมณ์ Cologne ดอกไม้กันอย่างชัดเจน แล้วจะลดลงมาปานกลางซักราวๆ 2 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายหรือราวๆ 5 ชม. ก็จะเป็น Skin Scent คลอผิว

สรุป - เป็นกลิ่นดอกไม้สดชื่นที่ให้ง่าย มินิมัล และเรียบหรูเป็นธรรมชาติมากกว่าที่คิดมาก และที่สำคัญการชูโรงเรื่องความทน ถือว่าตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ได้ดี โดยที่คุมความเป็น Cologne ได้งามเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งใช้ในช่วงกลางวันยังไงก็รอดและกลิ่นหอมแบบสวยๆ กันเลยล่ะ คนชอบโทนดอกไม้ใสๆ หอมอ่อนหวานแกมสดชื่น โดนตกกันได้ง่ายๆ เลยล่ะ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://4711online.com/products/cologne-intense-floral-fields-of-ireland

 

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Peck Palitchoke - Colour Soul Breath

Peck Palitchoke - Colour Soul Breath 

จากความสำเร็จของ Colour Soul Secret ที่เปิดตัวออกมาเป็นหนึ่งในน้ำหอม Celebrity เมืองไทยที่มีแฟนๆ หรือนุชผู้น่ารักทั้งหลายให้การสนับสนุนมากที่สุดของ “เป็ก ผลิตโชค” แบบ Limited Edition กลับกลิ่นอายสบายๆ จากไอทะเลในปี 2019 ก็กวาดคำชมกันอย่างมากในการสร้างสรรค์กลิ่นและก็ได้ใจคนชอบน้ำหอมกันจนตอนนี้ Sold out ไปแล้ว

และในปี 2020 ก็ได้เวลาของการต่อยอดในการเป็น Colour Soul ที่จะมาให้ความหอมกันต่อการสื่อสารผ่านกลิ่นที่มี Keyword สำคัญอย่าง “ลมหายใจ” ที่เป็นกลิ่นหอมดังสื่อกลางให้สื่อถึงกันได้ระหว่างตัวเป็กกับแฟนคลับ เช่นนั้น กลิ่นลมหายใจนี้จะเป็นอย่างไร และเชื่อมโยงกับตัว Secret หรือไม่ก็มาว่ากันเลยที่รุ่นนี้ Colour Soul Breath

โทน Citrus จะมาทักทายกันก่อนเลยในช่วงแรกสเปรย์ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีการผสมผสานกลิ่นอายกึ่งๆ สไตล์ Cologne ที่สดชื่น และเข้าถึงได้ง่ายแบบที่ไม่ได้คมบาดจนเกินไป ที่จะจับต้องได้ชัดๆ เลยคือ เลมอนเพราะจะมีความเปรี้ยวสดชื่นติดหวานปลายกลิ่น แต่ก็จะมีโทนติดเปรี้ยวขมที่สร้างบรรยากาศ เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีโทนติดเขียวปนเมือกอ่อนๆ กลิ่นคล้ายดอกไฮยาซินท์แบบที่ไม่ได้เขียว Oily เมือกๆ จัดๆ ขนาดนั้น แต่จะให้อารมณ์แบบกลิ่นเมือกเขียวๆ ที่มีความอะโรม่าเบาๆ กำลังดี ซึ่งเป็นลักษณะแบบดอกไม้ในสวนแนวๆ พวก Bluebell หรือว่า Bellflower อะไรประมาณนี้ เลยจะทำให้ความรู้สึกของโทนกลิ่นจะได้ความสว่างสดชื่นแบบที่ให้ความสมดุลย์ได้ความสดชื่นติดเขียวอ่อนๆ สบายๆ และมีเฉดสีในโทนกลิ่นที่เป็นฟ้าอมเขียวสว่างที่พอเหมาะและลงตัวมาก บอกเลยว่าถ้าพื้นฐานคนชอบกลิ่นสดชื่นติดเขียวที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่เอาอยู่ในเรื่องความหอมสามารถโดนตกได้เลยในทันที

เมื่อกลิ่นผ่านไปไม่เกิน 10 นาที ก็เป็นการเข้าช่วงกลางที่จะจับต้องได้ว่าเนื้อกลิ่นมีการ Twist หักมุมหน่อยๆ เพราะว่าจะเริ่มมีกลิ่นออกทางโกโก้ที่ให้ความอวลแห้งฟุ้งออกมาเพียงแต่ไม่ได้หักมุมจัดๆ จนกลายเป็นกลิ่นโทนแบบเข้มหนักแต่อย่างใด กลับให้มิติของกลิ่นที่มีมากกว่าความสดชื่นติดเขียว ซึ่งแน่นอนว่าในเนื้อกลิ่นโทนโกโก้เมื่อจับต้องดีๆ กลิ่นจะไม่ได้ไปสายขนม แต่ให้ความเย้าน่าค้นหาโดยยังมีกลิ่นอายโทนสดชื่นติดเขียวเจือเปรี้ยวปนสะอาดที่เป็นลักษณะโทน Citrus และมีปร่าหน่อยๆ คล้ายเหล้าจินที่น่าจะมาจากจูนิเปอร์เบอร์รี่ เลยทำให้เลเยอร์กลิ่นจะมี 3 สเต็ป คือ Citrus สดชื่นที่ตามมาจากช่วงต้นเคล้ากับติดเขียวปนสะอาด กลิ่นโทนปร่าออกทางเหล้าจินที่มีความเขียวหน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นเขียวใบไม้ ซึ่งจะฉาบเลเยอร์ที่ 3 ที่ให้ความอวลกำลังดี ไม่ได้หนักมากเกินไปอย่างโกโก้ที่ได้อารมณ์สีน้ำตาลเข้ม เรียกว่าไล่เฉลดสีในโทนกลิ่นได้ดีจากสีฟ้า ตามด้วยเขียว และปิดท้ายด้วยน้ำตาล ได้ภาพต้นไม้กับท้องฟ้าชัดเจนเลย ซึ่งอย่างหนึ่งคือ เนื้อกลิ่นช่วงกลางจะขยับจาก Unisex มามีโทนน้ำหอมผู้ชายที่เป็นโทนสดชื่นแต่มีมิติกลิ่นที่มีเสน่ห์แบบไม่ได้ต้องบิลด์หรือพยายาม ซึ่งจะถ้าเป็นผู้หญิงใช้จะได้ความรู้สึกเหมือนมีกลิ่นน้ำหอมผู้ชายติดผิวกายให้รู้สึกดีอะไรประมาณนั้นได้ไม่ยาก

จนเมื่อโทนกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะว่ากลิ่นโทน Citrus ต่างๆ กับโทนเขียวเริ่มจางไปเรื่อยๆ จนจับต้องไม่ค่อยได้แล้วก็จะเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะมีโทนกลิ่นติดอวลไม้หอมที่ค่อนไปทางติดแอมเบอร์อบอุ่นและมีความเค็มอ่อนๆ คลออยู่ ซึ่งถ้าจะมองว่าเป็นการรับช่วงลายเซ็นต่อมาจากรุ่น Secret เลยก็ย่อมได้ที่จะมีโทนลักษณะนี้อยู่ ซึ่งจับต้องได้ชัดเจนถึงกลิ่นโทนไม้หอมที่มีความโปร่งหน่อยๆ แนวไม้ซีดาร์ และจะมีกลิ่นอวลติดแอมเบอร์ปนเค็มนิดๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นสารหอมอย่าง Ambroxan ที่มาสร้างออร่าความอวลเย้าทันสมัยเข้ากับเทรนด์น้ำหอมยุคนี้ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้อบอวลสร้างบาเรียหนักหน่วงอะไรนัก ให้ความเรื่อยๆ คุมโทนเพราะมี Musk มาเสริมให้ความนวลๆ เรื่อยๆ คลอๆ เกลาจนทำให้ได้กลิ่นอวลๆ แบบไม้หอมมีความอุ่นติดเค็มหน่อยๆ ที่มีความนวลสะอาดรองพื้นอยู่ ซึ่งกลายเป็นข้อดีที่ทำให้กลิ่นให้ความเรื่อยๆ อวลอย่างมีเสน่ห์และไม่โฉ่งฉ่าง ให้ลักษณะกลิ่นแบบสไตล์มินิมัลปิดท้ายการเป็น Breath ที่เข้าถึงง่าย ทันสมัยและลงตัวเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นเป็น Unisex อันนี้ใช่เลย ตรงตาม Concept ของน้ำหอม แต่จะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าผู้หญิงจะใช้ก็ได้เพราะมันได้อารมณ์สบายๆ กึ่งทะมัดทะแมง หรืออารมณ์แบบน้ำหอมผู้ชายติดผิวกายที่มีเสน่ห์ได้ Contrast ดีเลยทีเดียว ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่ากวาดหมดเลยก็ย่อมได้ในการใช้งาน แถมมีระดับในเนื้อกลิ่นอีกด้วย ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเน้นปล่อยพลังและเซ็กซี่แบบจัดจ้านเรียกแขกนัก

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. ตีบวกลบไว้ที่ 2 ชม. ส่วนจะไปได้เกินกว่านี้ไหม ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. สบายๆ กับ 6 สเปรย์ในห้องแอร์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้น แล้วจะพีคขึ้นมากระจายดีกันราวๆ 3 ชม. ที่เหลือจะลงมาปานกลางอีกทีแล่้วคงตัวกันไปเรื่อย จนถุงช่วงท้ายที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัว พ้นราว 6 ชม. ไปแล้วจะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ชอบโทนกลิ่นตรงที่สื่อสารได้ดีมากกับสีฟ้าแบบท้องฟ้าสดชื่น สีเขียวแบบอารมณ์กลิ่นอายต้นไม้ใบไม้ จะแตะความเป็นกลิ่นสวนโปร่งๆ ก็ได้ และสีน้ำตาลที่เป็นโทนที่ได้อารมณ์ต้นไม้และพื้นดินได้ดี ก่อนที่จะเป็นกลิ่นอายไม้หอมอวลๆ เย้ายวนที่เอาอยู่และรอดได้สบาย หนึ่งใน Daily Scent ที่ทำออกมาได้ลงตัวและพร้อมสูดลมหายใจดมได้อย่างเพลินจมูกมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.vogue.co.th/beauty/coloursoulbreathbypeck