วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Christian Dior - La Collection Privee: Feve Delicieuse

Christian Dior - La Collection Privee: Feve Delicieuse

โดยส่วนใหญ่ Note กลิ่นอย่างถั่วตองก้า มักจะเป็นตัวเสริมชั้นดีให้กับโทนวานิลลาหรือบางคราวก็แทนที่กันได้โดยให้ความครีมมี่นุ่มนมเย้าๆ แกมกลิ่นไส้ในชอคโกแลต Praline หรือบางครั้งก็เสริมให้กลิ่นมีความเป็นโทนติดเขียวกึ่งหญ้าแห้งกึ่งคาราเมลที่ไม่ได้หวานจัดจ้านที่ให้ความเย้าและดึงดูด ซึ่งเรามักจะเจอเป็นสาย Support มาเสมอ จนเมื่อสาย Designer Brand เองก็รับการถ่ายทอดการสร้างสรรค์น้ำหอมสไตล์ชูโรง Note กลิ่นมาจาก Niche Brand โดยมายกระดับกับการเป็น Exclusive Collection ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความ High-End ในการใช้น้ำหอมเข้าไปอีก แน่นอนว่าถั่วตองก้า ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้มาสู่การชูโรงเสน่ห์เฉพาะตัวตามที่ควรจะเป็นด้วยเช่นกัน

และหนึ่งในนั้นก็มี Christian Dior กับการนำเสนอความเป็นถัวตองก้าในรุ่น Feve Delicieuse ในช่วงที่เปิดตัวเป็น La Collection Privee เมื่อปี 2015 และถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงมาตลอด (จนเมื่อมีการเปลี่ยนมาเป็น Collection - Maison Christian Dior ในอีก 3 ปีต่อมารุ่นนี้ก็ตามมาประจำการอยู่เช่นเดิม โดยไม่ได้โดนปิดจ็อบแต่อย่างใด ซึ่งถ้ามีโอกาสจะมาเล่ากลิ่นอีกครั้ง) เช่นนั้น กลิ่นนี้มีดีอย่างไร เราก็ต้องมาพิสูจน์กันหน่อยแล้วกับจุดเริ่มต้นใน Version ของ La Collection Privee

Feve Delicieuse เปิดต้นกลิ่นคือการผสมผสานระหว่างโทนกลิ่นที่มีทั้งความนวลอวลของลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาสายสมุนไพร แต่มาสายนวลแกมหวานคล้ายชะเอมแกล้มไปกับกลิ่นปร่าเพพเพอร์มินต์ ที่แอมมีความติดเปรี้ยวขมอ่อนๆ แนวมะกรูดฝรั่งเจืออยู่ แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนเสริมอย่างวานิลลาติดควัน Smoky หน่อยๆ แกมกลิ่นแนวคล้ายคาราเมลเจือกลิ่นหญ้าแห้งนิดๆ ที่เป็นลักษณะของถั่วตองก้าชัดเจนและเดาไม่ยากว่าถั่วตองก้าจะเป็นแกนนำหบักกันยาวๆ ไป เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาหอมนวลแกมหวานมีเสน่ห์แบบโทนเย้ายวนตั้งแต่ต้นเลย แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะซักครู่เล็กๆ จะมีกลิ่นออกทางคล้ายเหล้ากึ่งเชอร์รี่เสริมเข้ามาด้วย เลยสร้างโทนกลิ่นออกทางดึงดูดเสริมเข้ามาเนียนๆ ซึ่งแน่นอนช่วงเปิดถือเป็นช่วงเรียกแขกอย่างแท้จริงมากๆ เพราะไม่ว่าจะคนที่ชอบกลิ่นแนวขนมแต่ไม่ได้ยัดเยียดความเป็นขนมเดินได้ เน้นความเป็นกลิ่นแกมขนมที่มีมิติดึงดูดน่ากินและหรูหรามีระดับ หรือคนที่ชอบโทนกลิ่นแนว Oriental Vanilla ที่ให้ความเป็นโทนหวานหอมแกม Smoky มีมิติของกลิ่นนวลๆ เย้าอบอุ่น เรียกว่าโดนตกกันได้ไม่ยากและสามารถทำให้ตัดสินใจซื้อได้เลยเพียงแต่ดมช่วงนี้

การเปลี่ยนเข้าช่วงกลางอารมณ์จะเป็นแนวคล้ายเหล้ารัมเชอร์รี่ที่จะเป็นตัวที่ฟุ้งออกมาให้รับรู้ซ้อนไปด้วยกลิ่นโทนถั่วตองก้าที่มีโทนแนวๆ คาราเมลแกมหญ้าแห้งเจือหวานและวานิลลาติดดาร์กที่ติดควัน เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หนามาก เพราะมีโทนออกทางดอกไม้แกมเขียว Spicy หน่อยๆ ที่อาจจะมาจากมินต์แกมลาเวนเดอร์ในช่วงต้น กลิ่นเลยจะให้ความพอดีๆ อวลๆ แบบเย้าๆ ที่แน่ๆ ช่วงนี้ได้อารมณ์เซ็กซี่มีระดับซะด้วย เพราะโทนเหล้ารัมเชอร์รี่นี่แหละที่สร้างสีสันในการดมได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะให้เสน่ห์สไตล์กึ่งนวลกึ่งเย้าแบบนี้ไปซักพัก จนเริ่มจับต้องได้ว่ามีกลิ่นแนวชอคโกแลตพราลีนเข้ามาสร้างความเป็นโทนขนมเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นทีละหน่อยๆ และมีโทนไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ มาเสริมด้วย มิติกลิ่นเลยมีความหลลากหลายเนียนๆ พอสมควร ซึ่งจะได้หมดทั้งโทนดึงดูดจากเหล้าแกมเชอร์รี่ ได้ความอบอุ่นของวานิลลา ได้ความเย้ายวนของถั่วตองก้าที่มี Effect ทั้งโทนออกทางคาราเมลแกมหญ้าแห้งหวาน ทั้งโทนออกทางถั่วนิดๆ โทนออกทางนุ่มครีมสอดรับกับวานิลลาและพราลีน ซึ่งถั่วตองก้านี่แหละที่จะเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะมีกลิ่นออกทางแกมหนังหน่อยๆ สร้างลูกเล่นเซ็กซี่ Animalic และกลิ่นนมที่เข้ามาทำให้มีความน่ากินแกมน่าซุก ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะมีความเป็นโทนครีมนมแกมกลิ่นถั่วตองก้าที่เสริมโทนแนววานิลลาแกมโทนดาร์กควันติดหวานอบอุ่นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกำยาน Benzoin ที่เสริมกลิ่นลักษณะนี้ ทำให้ช่วงท้ายนี่เข้าทางกลิ่นอายชวนกินชวนดมมาก กลิ่นมีความเย้ายวนอวลรุมๆ รอบกายตลอดแบบที่บางวูบจะได้เป็นกลิ่นออกทางนมวานิลลาเจือคาราเมลอ่อนๆ แอบมีโทนแอมเบอร์เนียนๆ บางวูบจะได้กลิ่นแนวชอคโกแลตพราลีนแกล้มนมอุ่นนุ่มๆ บางวูบได้กลิ่นออกทางครีมนมหอมหวานแกมกลิ่นหนังและไม้หอมโปร่งอ่อนๆ เรียกว่าเป็นช่วงที่สร้างโทนกลิ่นชวนอร่อยและน่าซุกไล่สเต็ปได้ดีมากตั้งแต่ช่วงต้นที่เริ่มที่ความอวลดึงดูด ตามด้วยความเซ็กซี่มีระดับในช่วงกลาง และปิดท้ายความหอมน่าซุกชวนอร่อยแบบไม่ต้องยัดเยียดความหวานเชื่อมจัดๆ สไตล์ขนมแต่ก็เอาอยู่และไม่ธรรมดา

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย เพราะโทนกลิ่นมีความ Unisex สูงมาก ซึ่งเสริมบุคลิกเย้ายวนดึงดูดและน่าคลุกวงในแบบมีระดับได้หมด ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไปเดี๋ยวกลิ่นอบอวลจัดจนอึดอัด แต่ถ้าพอดีๆ บอกเลยว่ากลิ่นสร้างความเซ็กซี่น่าเข้าใกล้ส่วนบุคคลได้ดีมากจริงๆ แต่ถ้าจะเอาไปใส่ยามทางการอาจจะต้องเลือกสถานการณ์หน่อย รวมถึงยามกลางคืนที่ใส่ออกงานก็ได้ ใส่โรแมนติคก็ดี หรือใส่ท่องราตรีแบบหรูหราหน่อยก็ย่อมได้ แต่สิ่งที่ควรตัดออกในการใช้งานเลยนั่นคือ การใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกาย เพราะว่าไม่เข้าทุกประการแถมจะตีขึ้นจนอึนเอาได้

ความทน - พื้นฐานคือ 8 ชม. สบายๆ แต่อาจจะมีลบ 2 ชม. แต่บวกได้ถึง 4 ชม. ก็อิงตามสภาพผิวกายผู้ใช้และจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอที่ 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ไม่ได้ถึงกับโฉ่งฉ่างปล่อยพลังพร่ำเพรื่อ ซึ่งต้องยอมรับว่าการกระจายดีของกลิ่นตั้งแต่ช่วงต้นยันปลายช่วงกลางนี่มีความเสถียรมาก คงตัวกันยาวๆ ถึงราวๆ 4 - 5 ชม. กันเลย ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางซักราวๆ 1-2 ชม. แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวราวๆ ชม. ที่ 7 - 8 เป็นต้นไป 

สรุป - ต้องยอมเขาเลยว่าทำกลิ่นและชูโรงความเป็นถั่วตองก้าได้อย่างมีเสน่ห์ มีลูกเล่นที่แตะความเย้ายวน ความดึงดูด ความน่าค้นหา ความเซ็กซี่ และกระตุ้นอารมณ์คลุกวงในแบบที่ไม่ได้จงใจแต่สร้างสเต็ปให้รู้สึกทีละหน่อยๆ จนตกได้เต็มที่ในที่สุด ที่สำคัญคุมโทนความหรูหรามีเสน่ห์ และไม่ธรรมดาในสไตล์ Dior ได้อย่างลงตัวมากๆ เสียด้วย เลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมได้รับความนิยมมากจนมาที่ในการเป็น Maison Christian Dior ก็ยังได้รับความนิยมอยู่เสมอ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sandrascloset.com/tag/feve-delicieuse/

 

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Acqua di Parma - Magnolia Nobile

Acqua di Parma - Magnolia Nobile

ผ่านการลองกลิ่นอายสายดอกไม้ขาวที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างดอกแมกโนเลียมาก็พอสมควรเรียกว่าก็เจอทั้งตัวที่รักมากสุดๆ ไปแล้ว ตัวที่ Happy ที่ได้ดม และตัวที่ก็อาจจะไม่ใช้สไตล์แบบที่เราชอบ แต่กลิ่นก็ไม่ได้เข้าข่ายแย่แต่อย่างใด ซึ่งก็ยังไม่จบ เพราะก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าจะมีแมกโนเลียของแบรนด์ไหนที่น่าสนใจอีกบ้าง

และก็ได้มาเจอกับ Acqua di Parma กับการนำเสนอกลิ่นอายของการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่เอาความเป็นดอกแมกโนเลียมาสร้างกลิ่นอายที่มีความหรูหราและทันสมัย โดยยังคุม Concept ในการเป็นน้ำหอมกลิ่นอายสไตล์อิตาลีที่มีความกระจ่างใสเข้ามาร่วมด้วย เช่นนั้นได้เวลาพิสูจน์แล้วว่ากลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้ Magnolia Nobile 

เปิดมาก็เรียกว่าสร้างรอยยิ้มในการรับกลิ่นได้เลยในครั้งแรก กับความสดชื่นติดเปรี้ยวหอมที่รองพื้นด้วยโทนที่นวลๆ ดอกไม้กึ่งแว๊กซ์หน่อยๆ ซึ่งต้องมาว่ากันทีละสเต็ปก่อนเลย โดยเริ่มที่โทน Citrus กับการผสานกันมาอย่างสมดุลย์และดีมาก ทุกอย่างไม่คมเกินไป ไม่เปรี้ยวแหลมเกินไป ให้ความเป็นธรรมชาติแบบกำลังดีที่มีความเป็นโทนออกทางเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวหอมมากกว่าจะมาเป็น Splash แนวโคโลญจน์ เสริมด้วยความติดขมเปรี้ยวสร้างบรรยากาศกึ่งปร่าของมะกรูดฝรั่ง และไม่พอมีโทนติดเปรี้ยวหอมซ่าๆ เฉพาะตัวแนวส้มโอมือแต่ไม่มาแบบคมฉุนเข้ามาเป็นตัวช่วยด้วย แต่เพราะมีความนวลกึ่งดอกไม้และมีความเป็นโทนแว็กซ์เมือกๆ ติดเปรี้ยวนวลหอมแกมกึ่งดอกไม้ขาวนวลแนวมะลิ เลยเกลากลิ่นสาย Citrus ให้ไม่คมเกินไป รักษาสมดุลย์และสร้างความสดชื่นเรียบหรูได้ดีมาก รวมถึงให้ความรู้สึกเป็นกลิ่นแนวแมกโนเลียที่ติดนวลมากกว่าจะใสได้ชัดเจน เรียกว่าเปิดมาคะแนนความชอบก็มาท่วมท้นเลย

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจะเริ่มมีในช่วงกลางอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยังคุมสมดุลย์กลิ่นโทนสดชื่น Happy และเรียบหรูอยู่เหมือนเดิม เพิ่มความหนาของกลิ่นขึ้นมานิดนึง เพราะโทนดอกไม้ขาวจะชัดเจนขึ้นมาหน่อยมีโทนหอมเปรี้ยวอมหวานแว็กซ์แบบแมกโนเลียแน่ล่ะ เป็นตัวเด่นเลย แต่จะมีมะลิที่ให้ความหอมระเรื่อติดปลายหวาน มีความหอมโรแมนติตให้ความ Feminine ของกุหลาบคลอๆ และแฝงความครีมมี่เย้าๆ มีจริตนิดๆ ของซ่อนกลิ่นที่ซ้อนแบบเบาๆ ติดเขียวเล็กๆ อยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นจะมีความนวลหอมละมุนติดเปรี้ยวอมหวานสไตล์แมกโนเลีย ที่แน่นอนช่วงนี้มีความเป็นโทนน้ำหอมผู้หญิงที่ให้ความพอดีๆ กึ่งกลางระหว่างความสดชื่นหอมนวลกับความโรแมนติคได้อย่างชัดเจนมาก เรียกว่าเป็นดอกไม้ขาวที่ไม่หนักแต่ให้เสน่ห์ที่ครบถ้วนแบบสายสว่างและมีความเรียบหรูในทีได้อย่างชัดเจน

จนกระทั่งเข้าช่วงท้ายที่กลิ่นหลักจะกลายเป็นโทนไม้หอมติดครีมมี่อ่อนๆ ที่คลอผิว มีความอบอุ่นเบาๆ แบบอารมณ์แป้งวานิลลาบางๆ และกลิ่นจะมีความแห้งมาขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป เพราะโทนไม้หอมที่จับต้องได้จะเป็นแนวหญ้าแฝกที่ติดไม้แห้งสะอาดและสว่างมากกว่าจะไปสาย Dirty แถมเจือความเป็นไม้ครีมมี่จากจันทน์หอมอีก ซึ่งกลิ่นแมกโนเลียเปรี้ยวหอมอมหวานติดแว๊กซ์นิดๆ ในช่วงกลางยังตามมาอยู่แบบปลายกลิ่นที่ให้ความระเรื่อของกลิ่นแบบเบาๆ เจือปร่าอ่อนๆ คลายพิมเสนรื่นจมูกเข้ามาร่วมด้วย เป็นการปิดท้ายสไตล์คลอผิวกายที่ให้ความเรียบหรู สะอาด และเข้าทางกลิ่นอายสไตล์มินิมัลได้ดีในโทนสว่างแกมมีเสน่ห์เย้าๆ แบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่เอาอยู่ สร้างออร่าที่ไม่ธรรมดาและเป็นธรรมชาติได้ดี อันนี้ยอม

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นไม่ได้เข้าถึงยากเลย เป็นธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ ในการเป็นแมกโนเลียสายนวลระเรื่อ และมีความเป็นโทนที่ใครได้กลิ่นก็ชอบได้ไม่ยาก เลยเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ได้ แต่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะมันจะออกแนวเรียบร้อยมีระดับไปนิด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปวันอากาศร้อนๆ สร้างอะโรม่าความหอมที่สดชื่นติดนวลมีเสน่ห์จะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะโดนกลบแน่นอน และฝั่งผู้ชาย เอาจริงๆ ใช้กลิ่นนี้ได้ เพราะกลิ่นไม่ได้จัดจ้านในการเป็นดอกไม้หวานอวลนัก เผลอๆ ถ้าใส่กับพวกชุดสีขาวเนี่ย จะเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะ

ความทน - ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ราวๆ 2 ชม. ได้ ตามสภาพผิวผู้ใช้และจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กลิ่นก็เริ่มเบาลงจนจางไปราวๆ 10 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกความสดชื่นแกมนวลระเรื่อด้วยรอยยิ้มเปื้อนใบหน้ากันเลยใน 10 นาทีแรก แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายราวๆ 5 ชม. กลิ่นจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ ก่อนเป็น Skin Scent ราวๆ 7 ชม. แล้วค่อยๆ จางไปตามเวลา

สรุป - นี่คือกลิ่นแมกโนเลียที่หอมนวลแกมสดชื่นที่ดีและไม่น้อยหน้าใครเลย ซึ่งส่วนตัวจากที่รัก Frederic Malle - Eau de Magnolia มาก ในความเป็นแมกโนเลียธรรมชาติติดใสๆ พอมาเจอรุ่นนี้มันคือการเพิ่มความนวลสไตลดอกไม้ขาวเข้าไป และใส่ความเป็นโทนน้ำหอมดอกไม้ที่ให้ออร่า Feminine ลงไปได้ครบถ้วนสร้างความมีเสน่ห์เรียบหรูดูมีระดับได้ลงตัวมาก ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นแมกโนเลียที่ดีมากอีกหนึ่งกลิ่นจากที่เคยได้ลองมาเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.escentual.com/acqua-di-parma/pp-11556/

 

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Mandarina Duck - Resort Lovers

Mandarina Duck - Resort Lovers

จาก Freedomland ที่เน้นกลิ่นอายการท่องเที่ยวไปยังเทศกาลดนตรีต่างๆ มีความเป็นฟรุตตี้ค็อกเทลที่เข้าทางกลิ่นอายสายปาร์ตี้ ก็ได้เวลาของการเข้าสู่การท่องเที่ยวในรูปแบบอื่นๆ ที่แบรนด์ Mandirina Duck จะมานำเสนอใน Collection - The Duckers เพิ่มเติมซึ่งคราวนี้เราจะไม่เน้นที่ท่องปาร์ตี้ เพราะเอาจริงๆ การไปเที่ยวไม่ใช่ก็เอะอะก็ออก Activities แต่จะมาเน้นการพักผ่อนและความผ่อนคลายอยู่ในแต่ Resort เข้าสปา รับความอะโรม่า และชมนกชมไม้นอนนิ่งๆ อ่านหนังสือแทน

เช่นนั้น กลิ่นอายที่มีแรงบันดาลใจจากการไปท่องเที่ยวแล้วพักผ่อนอยู่กับ Resort ในการทำสปา การชิลล์นอนเล่นท่ามกลางต้นไม้ดอกไม้ในที่พักในบาฮามาสอย่าง Resort Lovers ที่แบรนด์ได้สร้างสรรค์ขึ้น จึงได้มาเป็นหนึ่งใน Collection - The Duckers ที่พร้อมจะเล่ากลิ่นในครั้งนี้นั่นเอง

Resort Lovers เปิดตัวมาในแบบที่ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มในการเป็นกลิ่นโทน Woody Floral Musk ที่มีพื้นฐานกลิ่นในการเป็นโทน Powdery - แป้ง Soapy - สบู่ และ Musky - สายนุ่ม ชัดเจนมากตั้งแต่แรกเริ่มอารมณ์แบบสบู่อบอวลกึ่งโลชั่นกึ่งแป้งหอมนวลฟุ้งจะเข้ามาทักทายก่อนเลยและจะเป็นโทนกลิ่นที่อยู่กันอย่างยาวๆ ยั้งยืนยงตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งในช่วงเปิดแน่นอนความเป็นโทนกึ่งสบู่แกมโลชั่นกลิ่นชัดๆ ที่ฟุ้งออกมาก่อนเลย กับการเป็นโทนแนว Aldehydes แต่โดนเกลากลิ่นจากใบไวโอเล็ตให้มีความเขียวติดหวานกึ่งแตงกวาที่มีความเป็นโทนค่อนไปทาง Aquatic หน่อยๆ เสริมด้วยกลิ่นออกทางสร้างบรรยากาศเปรี้ยวเจือขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เลยจะได้อารมณ์แบบสบู่ฟุ้งอวลกึ่งโลชั่นแนวเขียวเจือน้ำแตงกวาเล็กๆ ติดขมหอมที่สว่างๆ รองพื้นด้วยความนวลแบบโลชั่นที่กลิ่นชัดๆ พอสมควร ซึ่งช่วงนี้อาจจะไม่ได้ถึงกับนุ่มจมูกนัก เพราะยังมีความประดังประเดดันอยู่พอสมควรแบบอารมณ์คล้ายเราได้กลิ่นวูบแรกจากพวกโลชั่นทาตัวครั้งแรกเวลาเรากดมาใช้แล้วลูบไล้ตามตัวกลิ่นมันจะฟุ้งชัดกว่าปกติ แล้วซักพักเราจะปรับจมูกได้แล้วชินกับมันประมาณนั้น

ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนลดทอนความประดังประเดลง โทนกลิ่นติด Aquatic ของใบไวโอเล็ตจะเหลือประปรายที่ยังให้โทนสว่างแกมสดชื่นติดชื้นๆ เล็กๆ ซึ่งภาพรวมกลิ่นจะมาสาย Powdery แป้งหอมนวลมากขึ้น ซึ่งจะมีความหวานของโทนดอกไม้เข้ามาสอดรับพอดีซึ่งมีกลิ่นออกทางกึ่งมะลิใสๆ ของดอกกระดิ่งหรือ (lily-of-the-valley) เคล้ากับกลิ่นติดหวานหอมปร่ารื่นจมูกนิดๆ มีความอวลกำลังดีที่เป็นลูกผสมระหว่างกลิ่นออกทางกุหลาบและดอกไม้เหลืองหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้กลิ่นจะมีโทนขาวสว่างรื่นรมย์นุ่มเจือหวานให้ความเป็นโทนที่เรียบง่ายไม่ได้จัดจ้านนัก และยังมีลักษณะแบบกึ่งสบู่กึ่งโลชั่นอยู่บ้าง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลในช่วงนี้ได้อารมณ์แนวๆ สปากลิ่นดอกไม้ผ่อนคลายแบบที่ลดความชัดเจนจากช่วงต้นลงมาให้เราจับความหอมนวลหวานแกมกลิ่นแป้งที่สร้างความละมุนจมูกที่กำลังดี แน่นอนไม่ได้หวือหวาแต่มีความรอดและหอมอวลที่กำลังดีไปตลอดแบบที่คนที่ชอบโทนออกทางแป้งและโลชั่นหอมดอกไม้กึ่งสปาโดยตกได้ไม่ยากเลย

การเข้าสู่ช่วงท้ายจะลดทอนกลิ่นโทนแป้งกึ่งโลชั่นในช่วงกลางลงไปมากเลยทีเดียว จนกลายเป็นกลิ่นอายโทน Musky กับ Woody เป็นตัวเดินกลิ่นแบบที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก เนื้อกลิ่นจะมีพื้นฐานของการเป็นโทน Musk ที่สะอาดรองพื้นชัดเจน แต่มีมิติกลิ่นที่ออกทางกึ่งนวลครีมมี่แกมกลิ่นกึ่งแป้งวานิลลาอ่อนๆ ที่เป็นสไตล์ของถั่วตองก้าเข้ามาร่วมด้วย แต่จะมีไม้หอมแห้งๆ มาตัดทอนให้กลายเป็นโทน Woody แบบตีคู่กันไป เรียกว่าคุมสมดุลย์ตรงกลางพอดีที่จะได้โทนไม้หอมแกมกลิ่นพิมเสนหน่อยๆ เคล้าโทนแป้งหอมอ่อนๆ และ Musk ที่นุ่มนวลสะอาดกำลังดี กลิ่นจะให้ความตรงไปตรงมาแบบที่ให้ความเรียบง่ายและผ่อนคลายแบบที่มีระดับและเรียบหรูในทีอยู่ด้วย ถือเป็นการปิดท้ายกลิ่นอายสไตล์พักผ่อนชิลล์ๆ ไม่ต้องเยอะสิ่งได้อย่างลงตัว  

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ซึ่งก็ใช่เลย แต่จะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อยนึงเพราะโทนแป้งที่ออกทางกลิ่นติดหวานอวล แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้ได้สบายมาก เพราะช่วงท้ายมันคืความเป็นกลางอย่างมากที่สุดจริงๆ ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะเป็นกลิ่นสายนวลอวล้อมกรอบรอบตัวแบบไม่หนักหน่วง แต่ให้ตัดการใส่แบบกิจกรรมลุยๆ และออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะว่ากลิ่นไม่ได้เข้าทางกิจกรรมพวกนี้ (ก็มาสายพักผ่อนทำสปาชิลล์ๆ นี่นะ) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีที่สุด รวมถึงใส่ออกงานพอได้อยู่

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. มีบวกลบราว 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนเจอเป็นเรื่องปกติกับ 8 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายปานกลางราวๆ 2 ชม. ที่เหลือคือมุ้งมิ้งกับตัวเองแบบออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่องๆ จนเมือ่ผ่านชั่วโมงที่ 6 ไปแล้ว คือ Skin Scent ชัดเจน 

สรุป - การใช้กลิ่นนี้ต้องตัดความรู้สึกแนวสปาแบบไทยหรือแบบพวกบาหลีไปเสียก่อน เพราะมันจะไม่ได้ออกแนวอัดยัดดอกไม้ขาวและมีพวกมะพร้าวซันแทนมาก่อกวนอะไรเลย แต่จะออกทางกลิ่นอวลๆ ติดแป้งกึ่งโลชั่นดอกไม้เสียมากกว่าที่อารมณ์แบบนวดตัวด้วยโลชั่น หรือน้ำมันหอมระเหยที่ไม่ได้แรงมากแนวๆ นั้น และเอาจริงๆ กลิ่นนี้มันไม่ได้หวือหวานะออกแนวจะเรียบง่าย ซึ่งเป็นเรื่องดีมากกับการจับเอากลิ่นนี้เข้าในโซน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ในการเป็นน้ำหอมโทนแป้งแกมโลชั่นหอมนวลหวานได้เลยล่ะ  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Mandarina-Duck-The-Duckers-Into-The-Jungle-Resort-Lovers-and-Freedomland-13704.html

 

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: House of Sillage - Emerald Reign

House of Sillage - Emerald Reign

ว่ากันในเรื่องของแบรนด์ที่ราคาน้ำหอมไม่เคยลดราวาศอก พร้อมกับขวดที่มี 2 เลเวลให้เรื่องว่าอยากจะเอาแบบปกติ หรือมีงานศิลปะคริสตัลงามๆ พ่วง ซึ่งราคาก็พุ่งแรงมากจริงๆ ไม่ว่าจะแบบไหน ก็คงต้องยกให้ House of Sillage กับแบรนด์ Niche Luxury ของอเมริกาเขาล่ะ กับขวดทรงคัพเค้กที่มีความน่ารักและงดงามจากคริสตัลประดับในการเป็นขวดทรง Signature ปกติ กับงานศิลปะคริสตัลที่ประดับเสริมเข้าไปให้ High-end ขั้นสุดกับการเป็น Limited Edition ซึ่งกลิ่นเหมือนกัน ความเข้มข้นระดับ Extraits de Parfum เหมือนกัน ขวดก็พื้นฐานเหมือนกันต่างแค่สิ่งที่มาประดับเพิ่มมูลค่าให้ขวดอย่างคริสตัลที่ทำออกมาจนกลายเป็นเครื่องประดับชั้นงามกันได้เลยทีเดียว

แน่นอน เราไม่ได้มาวิจารณ์งานขวด แต่เราจะมาที่กลิ่นที่ 2 ของแบรนด์นี้ที่มีโอกาสได้สัมผัส นั่นก็คือ Emerald Reign กับที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์น้ำหอมคือ ความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งก็พยายามจะ Link กับชื่อรุ่นว่ามันเกี่ยวกันยังไง ก็ยังค้นไม่เจอ แต่ก็ช่างมัน มาว่ากันที่เรื่องกลิ่นดีกว่า

Emerald Reign เปิดตัวมาก็ชัดเจนกับการเป็นกลิ่นอายสายอบอุ่นที่มีพลังกับการสื่อสารภาพรวมกลิ่นอายสไตล์แอมเบอร์ชัดเจน ซึ่งกลิ่นหลักที่จะสร้างอารมณ์อบอุ่นในเนื้อกลิ่นคือโทนเครื่องเทศและกำยาน Benzoin ที่จะให้โทนยางไม้ที่ค่อนไปทางวานิลลา แต่ดันไม่หวานแหลมเพราะเครื่องเทศนี่แหละตัวเกลาให้กลิ่นมีลักษณะออร่าอบอุ่นแบบยางไม้รุ่มรวยกรุยกรายและนางพญาได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งแรกที่ฟุ้งกระจายออกมาต้องยกให้เม็ดผักชีที่ให้ความเผ็ดซ่าวูบออกมาแต่ไม่คมเกินไปนักเพราะว่ามีตัวที่ให้ความหวานเจือเผ็ดเย้าอย่างกระวานจะเข้ามาเสริมให้มีโทนหวานแบบสมดุลย์กำลังดี ไม่ได้มาเพื่อแท็คทีมกันคมพุ่งทะลุจมูกแต่อย่างใด และที่สำคัญมีตัวแปรสำคัญเลยอย่างเม็ดจันทน์เทศที่ให้ความเผ็ดนวลกลมกล่อมกึ่งไม้หอมหน่อยๆ ที่จะเป็นตัวกล่อมเกลาชั้นดีให้กลิ่นมีความกลมและมีมิติที่ลงตัวไม่หนักหน่วงเกินเหตุ ซึ่งทุกอย่างจะอยู่บนพื้นฐานของกลิ่นกำยาน Benzoin จนทำให้รู้สึกว่ามันคือโทนกลิ่นสไตล์แอมเบอร์ที่ฉาบหน้าด้วยเรื่องเทศที่ไม่หนักเกินไป แต่ให้ความหรูหราและปล่อยเสน่ห์แบบกำลังดีแทน

การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางจะเริ่มได้กลิ่นออกทางกึ่งมินต์หน่อยๆ กึ่งน้ำในแจกันดอกกุหลาบที่เป็นลักษณะของเจอราเนียมที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาพร้อมกับเอาโทนไม้หอมติดครีมมี่จืดหอมนวลอย่างไม้จันทน์หอมเข้ามาด้วย โดยที่กลิ่นช่วงต้นทั้งหมดก็ยังตามมาอย่างชัดเจน ซึ่จะให้ออร่ากลิ่นอายโทนอบอุ่นหรูหรามีระดับและมีพลังออกมาไล่เลเยอร์จากกลิ่นปร่าซ่าเครื่องเทศเจือสมุนไพร ที่แฝงด้วยโทนเย้าหวานในความอบอุ่น แต่มีกลิ่นไม้จันทน์หอมมาเสริมเลยทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลจมูกมากขึ้น แถมด้วยกลิ่นออกทางดึ่งมินตี้กึ่งกุหลาบติดเขียวของเจอราเนียมก็มาสอดรับพอดีกับความปร่าซ่าเลยมีมิติกลิ่นเขียวติดมินต์กึ่งกุหลาบเข้ามาร่วมผสมผสานกับโทนสไตล์แอมเบอร์ด้วย แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะสิ่งหนึ่งที่จับต้องได้คือ มันมีโทนแป้งแฝงอยู่ เพราะมีกลิ่นโปร่งหวานหน่อยๆ เคล้าแป้งอบอุ่นของวานิลลาเข้ามาด้วย เลยมานั่งแยกส่วนกลิ่น ก็รับรู้ได้ว่า เป็นการผสมผสาน 4 โทนกลิ่นสำคัญเลย คือ เครื่องเทศสมุนไพรหวานเจือปร่า ไม้หอม แป้งหอม และโทนอบอุ่นแนวแอมเบอร์ ทุกอย่างจะไม่ได้มาแบบหนักหน่วง แต่ให้ความกำลังดีที่มีเสน่ห์แต่มีพลัง ทุกอย่างไล่เลเยอร์กันมีมิติและผสมผสานกันจนได้ลักษณะกลิ่นแอมเบอร์เคล้าไม้หอมเจือหวานเย้าปร่าสมุนไพรที่มีโทน Feminine แบบมีพลังสไตล์นางพญาที่นิ่งๆ ให้จับต้องได้ตลอดเวลา ก่อนที่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเพราะเนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนความเป็นเครื่องเทศลงไป จนเหลือความอบอุ่นของโทนกำยาน Benzoin แต่มาแบบออกทางยางไม้เจือแป้งหอมที่ไม่ได้หวานจนกลายเป็นโทนขนม แต่ให้ความเป็นกลิ่นอายยางไม้สีเหลืองอมส้มอมทองที่มีความเป็นโทนแป้งสนับสนุน และปลายกลิ่นมีความปร่าระเรื่อของพิมเสนที่เสริมให้กลิ่นหรูหรามีระดับที่ชัดเจนมากขึ้นออกมาให้รู้สึกได้เลยในการเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมกลิ่นนี้

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เนื้อกลิ่นชัดเจนพอสมควรเพราะมาในโทนหรูหรามีระดับแต่ไม่ได้แบบโจ่งแจ้งหรือจงใจในการโชว์เหนือ แต่ให้ความเป็นสไตล์ผู้ดีที่มั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง เช่นนั้นกลิ่นเลยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป กับจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม จะสร้างออร่าที่มีเสน่ห์ สไตล์นางพญามาดนิ่งและมีระดับได้ดีเลยทีเดียว รวมถึงยามค่ำคืนที่ใส่ออกงานนี่เรียกว่าเข้ากันได้ดีมาก รวมถึงจะใส่แบบโรแมนติคก็ได้อยู่ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ

ความทน - กลิ่นทนลงตัวราวๆ 8 - 12 ชม. เป็นสำคัญ เรียกว่าเรื่องนี้ไม่น่าห่วง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ยังได้กลิ่นอยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีซักราวๆ 1 ชม. ที่เหลือ จะเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ คงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 6 ชม. ถึงค่อยลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อผ่าน 10 ชม. ไปแล้วก็จะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - เป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์สูงศักดิ์และนางพญาที่มีเสน่ห์และมีความมั่นใจในตัวเองว่าหรูหรามีระดับมากพอชัดเจน โดยเอาโทนอบอุ่นสไตล์แอมเบอร์มาเป็นตัวตั้ง ซึ่งนอกจากขวดสวยแล้วน้ำหอมเองก็ไม่ธรรมดาตอบโฌจทย์ความ Luxury ได้ชัดเจน อันนี้ก็ต้องยอมเขาจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - http://royalperfumery.cz/eshop/en/women-s-fragrances/363-house-of-sillage-emerald-reign-limited-75ml-857956003087.html และ https://www.bloomingdales.com/shop/product/house-of-sillage-emerald-reign-signature-edition?ID=1652439

 

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Next - Urban Elements: Marble

Next - Urban Elements: Marble

เป็นคำว่า Next ที่เป็นลักษณะชื่อแบรนด์ครั้งแรกหลายๆ คนอาจจะคิดว่าเป็น App ธนาคาร อันนั้นก็ใช่อยู่ แต่ถ้า Scope ให้แคบขึ้นว่าเป็นในด้านแฟชั่นล่ะ อันนี้เริ่มจะชี้ชัดมากขึ้นว่า Next ก็เป็นแบรนด์หนึ่งที่มาสายแฟชั่นของ UK ที่ค่อนข้างมีความหลากหลายทางประเภทธุรกิจไม่น้อยเลย โดยเริ่มต้นจากสิ่งหลักก่อนอย่างเครื่องแต่งกายครอบคลุมทุกเพศและช่วงวัย และก็แตกแขนงประเภทธุรกิจออกไปหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจของแต่งบ้าน ธุรกิจ e-Commerce ที่รวมการจำหน่ายสินค้าหลากหลายแบรนด์ และธุรกิจดอกไม้ รวมถึงอื่นๆ และมีการต่อยอดไปยังหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย

และแน่นอนเราไม่ได้มาว่ากันในเรื่องของความสำเร็จทางธุรกิจ เพราะเราเน้นเรื่องกลิ่น เช่นนั้นเมื่อ Next เองมีน้ำหอมเพื่อเป็นหนึ่งในองค์ประกอบให้ครบถ้วนในสายแฟชั่น และไม่ได้มีแบบกระจุ๋มกระจิ๋มด้วย มีให้เลือกแบบจุใจตอบโจทย์ให้กับทุกเพศ ที่สำคัญถือเป็นโซนน้ำหอมราคาไม่ได้แพงมาก (ลักษณะสไตล์เดียวกับ Zara) เช่นนั้นมีหรือที่จะไม่หาโอกาสมาลองน้ำหอมของแบรนด์นี้ เช่นนั้นก็มาว่ากันในกลิ่นแรกที่ปัจจุบันได้มีโอกาสลองอย่าง Collection - Urban Elements กันหน่อยที่ได้ฉวยเอา 1 ใน 3 รุ่นในไลน์อย่าง Marble มา และกลิ่นที่จับต้องได้ก็เป็นแบบนี้

เนื้อกลิ่นเปิดมาก็มีลายเซ็นความฮิตติดตลาดสไตล์ Aventus แบบที่ชัดเจนมาเลย แต่อาจจะไม่ได้เหมือนมากแบบเป๊ะๆ เพราะว่าเนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้หอมโปร่งๆ มาเจือรวมกับกลิ่นอายสาย Citrus เลยทำให้นึกถึง Zara Vibrant Leather ร่วมด้วยเสียมาก กับกลิ่นเปิดที่ให้อารมณ์ในความเป็นสาย Citrus ติดขมปร่าเจือเปรี้ยวของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และมีความ Splash ออกทางเปรี้ยวสดชื่นติดหวานปลายของเลมอน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ถึงโทนกลิ่นแนวแบล็คเคอแรนท์ที่ให้ความเปรี้ยวกึ่งแอมโมเนียเล็กๆ เจือกลิ่นไม้หอมโปร่งหน่อยๆ แบบที่ใช่เลยคุ้นเคยสุดๆ

ในช่วงกลางความเป็น Citrus ของมะกรูดฝรั่งและเลมอนก็ยังอยู่ มาครบถ้วน แล้วความเป็นโทนออกทาง Fruity ที่ติดเปรี้ยวที่มีโทนแอปเปิ้ลเขียวแกมกลิ่นออกทางสับปะรดเบาๆ ที่ได้ความเมทัลลิคเปรี้ยวๆ ก็จะชัดมากขึ้นมาอีกสเต็ปแต่ก็ยังเป็นกลิ่นโทนสนับสนุนเสียมาก ที่ให้มิติกลิ่นที่สดชื่นอยู่ และที่สำคัญกลิ่นออกทางไม้หอมโปร่งๆ กึ่งกลิ่นอายไม้ซีดาร์หน่อยๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็น ISO E Super ก็มาทำให้มีวูบกลิ่นที่เป็นไม้หอมโปร่งๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่สิ่งที่สะดุดจมูกอย่างหนึ่งคือ กลิ่นโทนหนังติดออกทาง Smoky หน่อยๆ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นโทนของ Birch Tar จะเข้ามาสะกิดให้รู้สึกได้ แต่จะออกแนวติดผิวไม่ได้เด่นแย่งซีนกลิ่น Citrus ที่สดชื่นและมีระดับตามสไตล์ที่ควรจะเป็น เลยทำให้รู้สึกชัดเจนว่ามีความเป็นสาย Lite Version ของสไตล์แบบ Aventus + กลิ่นอายที่ชัดกว่า Vibrant Leather กึ่งๆ 2 รุ่นนี้เลย

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปถึงเวลาที่พอเหมาะก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่คราวนี้โทน Smoky ที่จะมีความนวลเข้มและมีความดาร์กขึ้นมาหน่อยแต่มีความนวลในเนื้อกลิ่นเพราะมีลักษณะของ Musk มาตัดทอนให้กลิ่นมีความนุ่มนวลและติดผิวอวลๆ กำลังดี โดยที่จะยังมีโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่มีไอดาร์กบางๆ ให้รู้สึกได้ โดยปลายกลิ่นจะมีโทนพิมเสนที่ให้ความระเรื่อกำลังดี ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายกลิ่นที่คุมโทนกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ กึ่ง Smoky ติดนวล และมีโทนสดชื่นให้รู้สึกได้ ซึ่งแน่นอนตรงนี้ก็ยังมีความก้ำกึ่ง 2 รุ่นที่เคยอ้างอิงไว้อยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นให้ง่าย สมัยนิยม และยังไงก็รอด แถมมีระดับแบบที่พื้นฐานดีมีชัยไปกว่าครึ่งนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศ วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นใช้ง่าย เข้าถึงง่าย หอมง่าย มีเสน่ห์ง่ายตามขนบยอดฮิตชัดเจน ซึ่งจัดไปได้หมดทั้วทางการและทั่วๆ ไป ลามไปถึงใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายก็ยังได้ ส่วนยามค่ำคืนจะค่อนไปทางใส่ออกงานหรือว่าทั่วๆ ไปน่าจะลงตัวกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้หนักนัก ใส่ไปกะปล่อยเสน่ห์ท่องราตรีเกรงว่าจะเงียบกริบเพราะชาวบ้านปล่อยพลังกลบเอามากกว่า 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ราวๆ นี้ ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผลซึ่งในการใช้งานบางครั้งก็ 6 ชม. ถ้าอากาศร้อนจัดๆ แล้วหายไปกับเหงื่อ แต่ถ้าอยู่ในห้องแอร์จะไปที่ 8 ชม. อาจจะมีต่อไปอีกหน่อยก็พอได้อยู่ถ้าฉีดเสื้อที่สวมร่วมด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราว 4 ชม. ก่อนจะลงเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็น Skin Scent ปิดท้ายราวๆ 6 ชม. ไปแล้ว ซึ่งจะตีขึ้นเบาๆ เวลาร่างกายขยับเนื้อตัว ก่อนจะจางไปตามเวลา

สรุป - ไม่ใช่ว่ากลิ่นไม่ดี ก็ต้องยกให้ว่ากลิ่นดีเลยล่ะ เพราะมาตรฐานตั้งต้นไม่ว่าจะร่มชายคาใหญ่อย่าง Aventus กับการแตกหน่อมาให้มีอะไรที่แตกต่างให้โทนสดชื่นโดดเด่นกว่าอย่าง Vibrant Leather ต่างก็มีพื้นฐานที่ดีทั้งคู่ เลยทำให้กลิ่นนี้ได้รับอานิสงค์ไปด้วยแบบที่ยังไงก็หอม ยังไงก็รอด ยังไงก็ตอบ Trend การใช้น้ำหอม และยังไงก็สร้างเสน่ห์ทางกลิ่นในแบบที่ราคาไม่แรง แต่กลิ่นให้ความหอมที่มีระดับได้สบาย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Next/Urban_Elements__Marble

 

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Bottega Veneta pour Homme

Bottega Veneta pour Homme

เป็นการวนการใช้กลิ่นอายสาย Bottega Veneta pour Homme ที่น่าจะงงไปนิดนึงเพราะเริ่มที่รุ่น Extreme ตามด้วย Parfum โดยที่ข้ามรุ่นต้นตระกูลมาตลอดจนแบบว่า นี่เราจะไม่ได้แตะรากเหง้าของมันใช่ไหม เพราะกลิ่นนี้เลิกผลิตแล้วด้วย เช่นนั้นจึงได้ขวนขวายหามาจนได้กับกลิ่นอายที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเท่ห์และ Cool อย่างมีเสน่ห์ในการเป็นน้ำหอมชายที่ควรค่าต่อการลงคำว่า pour Homme ของแบรนด์

เช่นนั้น ก็ได้เวลามาพินิจพิเคราะห์กลิ่นซักทีว่าจุดตั้งต้นนี้เป็นอย่างไร

Bottega Veneta pour Homme เปิดตัวออกมาด้วยกลิ่นอายโทนสนไพน์ที่ชัดเจนและให้ความเป็นธรรมชาติสูงมาก เนื้อกลิ่นจะให้อารมณ์ไม้สนที่มีความสะอาดเจือความ Evergreen หรือความเขียวติดชะอุ่มๆ แบบเวลาริดกิ่งสนแล้วกลิ่นเขียวติดปร่าชื้นเจือหวานที่แทรกแกล้มไปกับความหอมตามสไตล์เนื้อไม้+ยางสนหอม (อารมณ์กลิ่นแบบเดทตอลที่ไม่ได้เข้มข้นมาก มันเลยรู้สึกสะอาดมีอนามัยให้จับต้องได้แนวๆ นั้น) และจะมีกลิ่นอายติดปร่าเขียวซ่าหน่อยๆ ของจูนิเปอร์เบอร์รี่ที่ให้อารมณ์กึ่งเหล้าจินที่สอดรับพอดี แถมตบท้ายปลายกลิ่นติดขมปนเปรี้ยวซ่าเบาๆ แบบสร้างบรรยากาศเย็นๆ ของมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) เลยทำให้เนื้อกลิ่นเป็นสไตล์กลิ่นอายอะโรม่าไม้สนไพน์ที่ค่อนข้างชัดเจน เจือความร่วมสมัยที่มีความสดชื่นล้อมกรอบประปรายกำลังดี แอบมีกลิ่นติดดาร์กแบบหนังหน่อยๆ รองพื้นเนียนๆ ให้พอรู้สึกได้ถึงความดารก์เบาๆ รวมอยู่ด้วย เลยให้อารมณ์กลิ่นแบบป่าสนหน่อยๆ เย็นๆ เท่ห์ๆ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นมีความแมนชัดเจน แต่ไม่ได้มาสายตะบี้ตะบันสร้างความแมนยัดเยียด เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติมากในการเป็นสนไพน์นี่แหละ เลยยกระดับเนื้อกลิ่นที่เป็นอีกเลเวลของกลิ่นอายสไตล์ผู้ชายสาย Cool นิ่งมีเสน่ห์ได้ตั้งแต่ช่วงเปิดเลยทีเดียว

ในช่วงกลางโทนกลิ่นจะมีความเป็นสไตล์ไม้หอมอะโรม่าที่มีความดาร์กซ้อนอยู่รองพื้นชัดเจนมากขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ป เพราะมีกลิ่นโทนหนังที่ชัดเจนมากขึ้นขึ้นมาตีคู่กับโทนกลิ่นสนไพน์ ซึ่งจะรักษาสมดุลย์กันได้ดีมาก อารมณ์กลิ่นหนังที่ไม่ได้ออกทาง Animalic มากเท่าไหร่ (มีบ้างแต่ให้เป็นลักษณะลูกเย้าจมูกที่ให้ดูเท่ห์มีเสน่ห์มากกว่าจะมาสายกลิ่นสาบเย้า) ซึ่งแน่นอนว่าจะมีกลิ่นออกทางเขียวติดปร่าเผ็ดหน่อยๆ แบบเนื้อไม้สนเหมือนกัน แต่มีลักษณะที่แตกต่างสร้างมิติเข้ามาเสริมจากกลิ่นของสนคริสต์มาส โดยที่มีกลิ่นติดโทนเผ็ดสดชื่นให้รู้สึกได้แกมกลิ่นออกทางติดหวานอ่อนๆ สมุนไพรนิดๆ แกมลาเวนเดอร์เนียนๆ ที่ทุก Notes กลิ่นจะสอดรับกันอย่างลงตัวส่งเสริมกันให้ได้ความเป็นกลิ่นไม้สนแกมหนังที่มีความเย็นๆ มีความแมนแกมสะอาดแบบมีเสน่ห์กับพื้นฐานกลิ่นที่เป็นไม้หอมแกมดาร์กที่น่าค้นหา โดยคุมโทนความสดชื่นล้อมกรอบได้อย่างเนียนๆ และมีความเป็นธรรมชาติ ซึ่งช่วงนี้จะได้อารมณ์กลิ่นแบบผู้ชายใส่เสื้อแจ็คเกตหนังกลิ่นอ่อนๆ ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศเย็นๆ เคล้ากลิ่นไม้สนแกมเขียวปร่าจูนิเปอร์ แบบที่มีการตัดต้นสนกองๆ อะไรประมาณนั้น

ในการส่งต่อในช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มลดโทนสดชื่นลงตามลำดับ จนกลิ่นหนังเริ่มกลายเป็นตัวเด่นขึ้นมาแต่กลิ่นไม้สนก็ไม่ได้หนีไปไหน เพราะจะผสมกับกลลิ่นหนังจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ก็จะเป็นการเป็นช่วงท้ายเต็มตัว โดยให้อารมณ์กลิ่นหนังปนกลิ่นสนที่มีมิติซ้อนกันได้อย่างสมดุลย์ โดยที่จะมีพิมเสนเข้ามาเสริมให้ความปร่าระเรื่อซ่อนด้วยกลิ่นปร่าเขียวอ่อนๆ ของจูนิเปอร์ที่ตามมาในช่วงนี้แบบเหลือบางๆ และมีความอบอุ่นลึกๆ เป็นฐานกลิ่นล่างสุด ซึ่งเนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นโทนหนังเจือปร่าเย็นๆ แกมไม้หอมที่มีลูกผสมโทนอบอุ่นให้พอรู้สึกได้ สร้างเสน่ห์ทางกลิ่นที่คุมโทนความเท่ห์ นิ่ง น่าค้นหา และ Cool แบบที่มีความร่วมสมัยแบบชัดเจนปิดท้ายสร้างออร่าคลอผิวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามเวลาที่สมควรตามสภาพผิว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว ซึ่งพื้นฐานกลิ่นจะมีความเป็นโทน Classic กับกลิ่นแนวสนแกมกลิ่นหนังก็จริงๆ แต่เนื้อกลิ่นก็ไม่ได้จัดจ้านในด้านนี้นัก เพราะความเป็นโทนอื่นๆ ที่มาผสมผสานมันสร้างความร่วมสมัยสไตล์ Contemporary ได้อย่างลงตัว จนทำให้อารมณ์กลิ่นเป็นแมน เท่ห์ นิ่ง ที่มีระดับ เลยตอบโจทย์การใช้งานแบบเน้นความเท่ห์มีเสน่ห์เสียมาก ซึ่งได้กับทั้งทางการและทั่วๆ ไปแบบกวาดหมดในยามกลางวัน ส่วนกลางคืนจะเน้นแบบกิจกรรมแบบ Outdoor หรือว่าเน้น Cool ออกงานหรือโรแมนติคก็ยังได้ แต่ถ้าไปท่องราตรีไปที่ตัว Extreme หรือ Parfum ดีกว่า ชัดเจนกว่า

ความทน - ลงตัวที่พื้นฐานกลิ่นราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้ตามแต่สภาพผิวที่เอื้ออำนวย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้จับต้องได้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปราวๆ 3 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อย แล้วเป็น Skin Scent เอาตอนราวๆ 6 - 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - สมแล้วที่เป็นรุ่นตั้งต้นที่มีความดีงามสูงมากและเป็นกลิ่นอายสไตล์ Timeless ที่ดึงความดีงามของกลิ่นสนไพน์และโทนหนังออกมาเพื่อเป็นน้ำหอมชายได้อย่างลงตัวและมีเสน่ห์มากแบบที่แตะความ Classic ก็ได้ ความ Modern ก็ดีเป็นพื้นฐานหลัก ในการส่งต่อลายเซ็นเดียวกันให้กับรุ่นต่อเนื่องอีก 2 รุ่น ซึ่งถ้าสรุปการไล่เรียงโทนกลิ่นก็จะบอกได้แบบนี้เลย

Original = สนไพน์และหนังที่สมดุลย์และมีความ Cool และมีเสน่ห์ที่ลงตัว

Extreme = ต่อยอดจากรุ่นตั้งต้น แต่เพิ่มความอบอุ่นแกมหนัง Animalic เข้ามาเสริมให้แมนจัดชัดเจนขึ้น

Parfum = ต่อยอดจาก Extreme กับความเข้มข้นของโทนหนัง เครื่องเทศ และไม้ติดดาร์กที่ให้ความทันสมัยมากขึ้น

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://perfumeuae.com/shop/eau-de-toilette-spray/bottega-veneta-pour-homme-edt-90ml/

 

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Tauerville - When We Cuddle and I Can Smell Your Perfume on My Clothes

Tauerville - When We Cuddle and I Can Smell Your Perfume on My Clothes

เราจะรู้สึกยังไงเวลาเรากอดแฟน คนที่เราปิ๊งปั๊ง หรือคนรักของเราแล้วกลิ่นน้ำหอมของเขาติดเสื้อเรามาแล้วส่งกลิ่นให้เรารับรู้เรื่อยๆ?

ซึ่งถ้าใครประทับใจคนที่กอดมากๆ ไม่ว่าจะเป็นคนรักหรืออนาคต (ทั้งแบบมโนและที่จะเกิดขึ้นจริง) รวมถึงชอบน้ำหอมอยู่แล้วด้วย บอกเลยนี่คือสวรรค์ที่สร้างความสุขในการรับรู้กลิ่นได้ยอดเยี่ยมมากและยังเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ประทับเอาไว้ในความทรงจำเลยได้เสมอเสียด้วยซ้ำ เวลาที่เราได้กลิ่นน้ำหอมแบบนี้ขึ้นมาในเวลาใดเวลาหนึ่งว่านี่แหละกลิ่นจากคนที่เรามีความสุขมากเวลาที่เราได้กอดเขา ฮิ้วววววว~ ในใจกันได้เลย

และนี่แหละที่เป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นของสุคนธกรมือฉกาจอย่าง Andy Tauer กับการสร้างเป็น The Stories Collection ออกมาเพื่อเป็นหนึ่งในการฉลองครบรอบ 15 ปี ของร้านน้ำหอมชื่อดังก้องโลกอย่าง Luckyscent และกลิ่นที่ถ่ายทอดของฝากจากการกอดที่อยู่บนเสื้อผ้าของเราก็เลยรังสรรค์ออกมาเป็นหนึ่งใน Collection นี้ กับชื่อที่ยาวมากอย่าง When We Cuddle and I Can Smell Your Perfume on My Clothes เช่นนั้นกลิ่นที่แถมมาจากการกอดให้มีความสุขนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ว่ากันได้ตามนี้เลย

เปิดมากับโทนกลิ่นปร่าแนวๆ กึ่งพิมเสนกึ่งสมุนไพรซ่าๆ ที่คลุกเคล้าเข้าด้วยกันกับการเป็นกลิ่นอายโทนวานิลลาที่ค่อนข้างจะมีความเป็นยางไม้ปนกลิ่นออกทาง Earthy หน่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะกลิ่นที่เป็นโทนเดียวกับกำยาน Benzoin เพียงแต่อารมณ์กลิ่นจะมาแบบตัดทอนกลิ่นหวานแหลมออกไป หรือเพียงโทนกึ่งวานิลลา กึ่งยางไม้ กึ่งปร่าซ่า Spicy ที่มีโทนสมุนไพรเจือๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นนอกจากที่จะเป็น Benzoin มาแบบชัดๆ เต็มๆ แล้ว ยังมีโทน Citrus ติดขมปร่าหน่อยๆ เจืออยู่ด้วย ซึ่งเปิดมาอาจจะทำให้รู้สึก งงๆ กันก่อน ว่านี่กลิ่นที่เราได้แถมมาจากการกอดคนที่เราประทับใจมันแบบนี้เหรอ แต่จะบอกว่าว่าพึ่งตัดสินเพียงแค่ช่วงต้นของน้ำหอม เพราะมันเป็นการการเปิดทางให้เกิดความวาบเข้ามาให้รู้สึกถึงกลิ่นที่แตกต่างจากปกติกันก่อน อารมณ์ตอนได้กอดมันมีความสว่างวาบและมันยังรู้สึกไม่ได้คุ้นในความรู้สึกของกลิ่นที่รับรู้ในแรกเริ่มใช่ไหม? ถ้าใช่ก็แนวนั้นเลย

เมื่อกลิ่นเริ่มปรับโทนก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะเริ่มมีความกลมกล่อมที่เริ่มเซทตัวอย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนแกนกลางหลังของน้ำหอมยังคงเป็นกลิ่น Benzoin (ที่อยู่ถึงช่วงท้ายเลย) เช่นเดิม เพียงแต่กลิ่นโทนปร่าซ่าๆ ชัดๆ แบบสมุนไพรในตอนแรกที่วาบๆ ฟุ้งๆ จะเริ่มเบาลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เหลือติดปร่าซ่าระเรื่อเจือหวานปลายกลิ่นแทน โดยที่ขะมีตัวเสริมให้กลิ่นมีโทนที่ออกทางอบอุ่นนวลๆ และผ่อนคลายมากขึ้นจากวานิลลา ทำให้กลิ่นมีอารมณ์ติดออกทางหวานคล้ายขนมหน่อยๆ และอบอุ่นแบบโทนวานิลลาติดแป้งที่สอดรับเข้ากันได้ดีกับ Benzoin เลยทำให้กลิ่นช่วงกลางจะมีเฉดของโทนสีนวลครีมสู่เฉดเอิร์ธโทนที่มีพื้นฐานกลิ่นที่อบอุ่นนวลหวานติดแหลมแบบกำลังดีสู่หวานอุ่นนวลที่มีปร่าระเรื่อของพิมเสนที่ยังตามมาให้ความเย้ายวนอยู่ด้วย เรียกว่าคุมโทนอารมณ์แนวกอดที่อบอุ่นหอมนวลหวานทั้งเย้าดึงดูดและพึงใจผ่อนคลายในเวลาเดียวกันชัดเจน ซึ่งช่วงนี้จะค่อนข้างคงตัวกันยาวพอสมควรเกินกว่าช่วงกลางทั่วๆ ไป ก่อนที่จะเริ่มมีกลิ่นออกทาง Musky เข้ามาแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับกลิ่นออกทางวานิลลาเจือไม้หอมค่อนติดไปทางแอมเบอร์ที่มีความสะอาดมากกว่าจะเป็นยางไม้จ๋าๆ อวลๆ กรุยกราย ซึ่งจะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะให้ความนุ่มนวลเจือหวานปลายกลิ่นบนพื้นฐานของความอบอุ่นที่ไม่ได้เท่ากับช่วงกลาง แต่จะเป็นความอ้อยอิ่งแบบที่จับต้องได้แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ สร้างความพึงใจ ซึ่งช่วงนี้แหละที่บอกชัดเจนที่สุดตรงตามชื่อรุ่นของน้ำหอมที่จะเสมือนเป็นกลิ่นที่ติดเสื้อมาแบบนุ่มๆ หวานหอมอบอุ่นอ่อนๆ มีความมุ้งมิ้งแบบที่จับต้องได้ และสร้างกลิ่นที่อ่อนโยนผ่อนคลายกำลังดี ถือว่าปิดท้ายการกอดที่เก็บอารมณ์กลิ่นความประทับใจไว้ได้อย่างน่าทึ่งและสร้างรอยยิ้มได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เป็นกลิ่นกลางๆ แตะได้หมดทุกเพศ โดยเฉพาะถ้าใครชอบโทนวานิลลาบอกเลยว่าหลังจากผ่านช่วงต้นไปแล้วมันคือความหอมที่ลงตัวและงดงามจนทำเอาฟินเอาได้ในความเรียบง่ายสไตล์กอดอันอบอุ่น ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ซึ่งเอาจริงๆ ใส่ยามทางการก็ได้อยู่ เพราะกลิ่นมีความรื่นรมย์อบอุ่นที่เข้าถึงได้ไม่ยากและไม่ได้ถึงกับยั่วยวนจัดจ้านเกินไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือโรแมนติคจัดไป เพราะเข้าทางมากจริงๆ 

ความทน - กลิ่นทนดีงามกีบพื้นฐานที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้ถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว เรียกว่าตรงนี้หายห่วง กอดนี้จะอยู่กับเราได้ยาวนานเลยล่ะ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาที่ปานกลางยาวประมาณ 4 ชม. ถึงค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่จะให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ เบาๆ แต่ตีขึ้นอ่อนๆ ให้เรารู้สึกได้ตามชื่อรุ่นน้ำหอม พอพ้นไปซัก 10 ชม. ถึงจะค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัว

สรุป - เป็นการบ่งบอกถึงการกอดที่เป็นสเต็ปมากจากจุดเริ่มต้นที่ยังวูบวาบอยู่ สู่ความอบอุ่นที่นุ่มนวลและเย้ายวนแบบที่ไม่ได้พยายามต้องเป็น Sex แต่เป็นความพึงใจที่ได้อยู่กับอ้อมกอดแบบนี้และเย้ายวนใจเบาๆ และปิดท้ายกลิ่นติดเสื้อผ้าตีขึ้นอ่อนๆ ให้รู้สึกประทับใจและมีความสุขเวลาได้กลิ่น โดยไม่เยอะสิ่งและไม่ดูพยายามยัดเยียดให้เซ็กซี่จ้ดจ้าน นี่แหละ When We Cuddle and I Can Smell Your Perfume on My Clothes ล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - เข็มขัดสั้น

 

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Regime des Fleurs - Freeworld

Regime des Fleurs - Freeworld

ครั้งแรกที่เห็นแบรนด์ Regime des Fleurs กับราคาน้ำหอมใน Collection โซน Pure Parfum หรือ Extrait de Parfum ต่างๆ เรียกว่ามีความขนลุกกับราคาที่สูงมากจนแบบว่าเกินเอื้อมเลยก็ว่าได้ แต่พอเป็นโซน EDP ปกติ เอาจริงๆ ก็ยังถือว่าราคาสูงอยู่เพียงแต่ยังพอเอื้อมไปจับต้องได้ ก็เลยมีความสงสัยใครรู้นักว่าทำไมแบรนด์นี้ถึงได้มีความมาดมั่นในการวางตำแหน่งของแบรนด์และการกำหนดราคาที่สูงสะใจได้ขนาดนี้ (สูงสุดที่เจอคือ 995 USD/8 ml) ซึ่งเมื่อได้ศึกษาเลยได้รู้ว่า

แบรนด์นี้ก่อตั้งมาจากความสนใจในเรื่องดอกไม้และน้ำหอมของคน 2 คนอย่าง Alia Raza และ Ezra Woods ซึ่งก็เลยมาจับมือกันในการสร้างสรรค์แบรนด์ที่เน้นกลิ่นอายสาย Luxury คัดเลือกส่วนผสมที่ดีที่สุดในการสร้างสรรค์น้ำหอม และทำออกมาอย่างประณีตโดยมีแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และงานศิลปะในยุคต่างๆ เช่นนั้น ก็อยากรู้แล้วว่ากลิ่นจะออกมาขนาดไหน และเมื่อจัดมาให้รู้กับการได้หนึ่งใน Collection - The Lyrics สาย Pure Parfum กับรุ่น Freeworld ที่มีที่มาจากคำว่า American Oriental แนวๆ การประยุกต์เอาสิ่งต่างๆ ที่มาจากทั่วโลก (เน้นทาง Asia) มาเป็นสไตล์แบบ American ที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนไปแล้วในทุกวันนี้ เช่นนั้น กลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหน ก็ว่ากันได้ตามนี้

กลิ่นเปิดเรียกว่าหวานกึ่ง Classic ที่มีน้ำผึ้งเป็นตัวเปิด มีอบเชยคลอๆ ตามด้วยกลิ่นโทน Citrus แกมกลิ่นดอกส้มเบาๆ กับโทนเขียวติดกุหลาบแนวๆ น้ำในแจกันดอกกุหลาบที่เป็นสไตล์กลิ่นแบบเจอราเนียม อารมณ์ออกทางไซรัปแต่มีความเป็นโทน Classic แบบฟุ้งๆ หวานติดเอียน ที่เป็นสไตล์น้ำผึ้งแบบน้ำหอมสไตล์ Classic กรุยกรายพอประมาณ แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะเมื่อจับต้องลงไปอีกก็จะจับได้ว่ามีโทนสมุนไพรที่เป็นกลิ่นอายแบบพื้นเพของสไตล์น้ำหอมฝรั่งเศสอยู่ด้วย เพราะจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายของสารหอมที่ให้ความฟุ้งเจอกลิ่นออกทางสบู่อย่าง Aldehydes และมีตัวเสริมอย่างเม็ดผักชีที่ให้ความเผ็ดซ่าเนียนๆ เลยทำให้ได้อารมณ์กลิ่นอายออกทางสไตล์น้ำหอมฝรั่งเศสรวมอยู่ด้วย เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางหยินหยางพอสมควร เพราะจะมีวูบอารมณ์กลิ่นหวานอบอุ่น และมีความเย็นๆ ตีคู่เนียนๆ รวมอยู่ ซึ่งอารมณ์กลิ่นจะแบบกึ่งย้อนยุคที่เป็นแนวๆ กึ่งอเมริกันกึ่งยุโรปชั้นสูงที่มาในโทนเย้ายวนพอสมควร

และการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าหักมุมเลยก็ว่าได้ เพราะกลิ่นอายสไตล์หวาน Classic จะเบาลงมาเรื่อยๆ แล้วเปลี่ยนโทนชัดเจนมากในการเข้าช่วงกลางกับการเป็น “รูทเบียร์” เพราะจะจับต้องเนื้อกลิ่นได้เลยว่ามีความปร่าซ่าปนอวลๆ แบบสไตล์คล้ายยาหม่องแบบที่เราได้กลิ่นเวลาดื่มรูทเบียร์ชัดเจนมาก เพียงแต่กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงจนเป็นรูทเบียร์เดินได้ ซึ่งกลิ่นจะเด่นที่ Aldehydes เลยที่จะให้ความฟุ้งแบบรูทเบียร์ ตามด้วยกลิ่นน้ำผึ้งหน่อยๆ กลิ่นอบเชย กลิ่นน้ำมันระกำ กลิ่นชะเอม กลิ่นเม็ดจันทน์เทศ และวานิลลา ที่เป็นกลิ่นพื้นฐานในการเป็นรูทเบียร์มาหมดเลย แต่จะมีกลิ่นโทนออกทาง Citrus เจือดอกส้มที่ให้ความสะอาดแกมนวลกึ่งสดชื่นมาตัดทอน ทำให้ได้อารมณ์แบบสดชื่น สะอาด สบาย มีโทนอบอุ่นหน่อยๆ เจือให้พอรู้สึกได้ตีคู่ไปกับโทนของรูทเบียร์ที่ได้กลิ่นแบบกำลังดี ไม่หนักหน่วงเกินไป แต่ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะเมื่อผ่านไปพอประมาณ จะได้กลิ่นออกทางไอติมวานิลาที่มาแบบหอมๆ เย็นๆ อ่อนๆ ไม่หนักมาเข้ามาร่วมด้วย อารมณ์เลยจะได้เป็นแบบรูทเบียร์โฟลตโปะด้วยไอติมวานิลลาที่มีพื้นฐานกลิ่นสะอาดแกมอบอุ่นหน่อยๆ ซึ่งอันนี้เรียกว่าเกินคาดจากช่วงต้นไปเยอะมากจริงๆ และกลิ่นให้ความดีงามในการจับต้องความรู้สึของอารมณ์จิบรูทเบียร์เย็นๆ ตักไอติมวานิลลาหอมหวานเข้าปาก ที่มีความหอมอวลกำลังดีพอเหมาะไปตลอด

ในการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมกลิ่นโทนรูทเบียร์จะเบาลง แต่จะให้กลิ่นอายของไม้หอมโปร่งๆ มีสีโทนออกทางไม้สีสว่าง มีความติดจืดหอมหน่อยๆ ปนกับกลิ่นไม้ขรึมๆ อารมณ์บ้านไม้ที่มีกลิ่นไม้อ่อนๆ ลอยออกมาเบาๆ เป็นเหมือนฐานในการเดินกลิ่น และวานิลลาจะค่อนข้างชัดในตอนนี้อารมณ์กลิ่นนวลอ่อนๆ สนับสนุนกลิ่นไม้หอมได้ความรู้สึกผ่อนคลายกำลังดี ซึ่งกลิ่นโทนรูทเบียร์ยังคงอยู่ แต่จะไม่ได้เด่นเท่าช่วงกลางแล้ว เน้นมาแบบตีคู่ไปกับโทนกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ที่มีความสะอาดไปเรื่อยๆ มากกว่า แต่เนื้อกลิ่นยังมีความเย็นๆ ให้จับต้องได้อยู่ตลอด กลิ่นไม่ได้มีความรู้สึกอวลอุ่นแล้ว ปิดท้ายด้วยสไตล์สบายๆ มีความมินิมัลที่กำลังดีไปเรื่อยๆ ประมาณนี้ ทำให้ภาพรวมการใช้น้ำหอมที่บอกว่าเป็น American Oriental ค่อนข้างตอบโจทย์ เพราะทุกอย่างมันคือการรับเอาสิ่งต่างๆ จากทั่วโลก เข้ามาสู่การเป็นวิถีชีวิตแบบอเมริกันได้ดีแบบที่ตรงไปตรงมาและอิงพื้นฐานที่ควรจะเป็นได้ลงตัวมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย แม้กลิ่นเปิดจะหวานออกทาง Classic ปนติดเอียนหน่อยๆ และมีความเป็นสไคล์เหมือนจะเข้าทางผู้หญิง แต่พอเข้าช่วงกลางมันคือความกลางๆ ที่ได้หมดทุกเพศชัดเจน ซึ่งกลิ่นถือว่าเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันเน้นแบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า แต่เอาจริงๆ ใส่ทางการได้อยู่บ้าง แต่ต้องไม่หนักมือ ไม่งั้นอารมณ์รูทเบียร์หกใส่ตัวเอาได้ แต่ถ้าใส่ออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่แบบชิลล์ๆ ทั่วไป หรือ Party กลางแจ้งอะไรแบบนี้ลงตัวมากกว่าใส่ไปท่องราตรีที่จะโดนคนอื่นกลบ

ความทน - เกินคาดเพราะ 12 ชม. กลิ่นก็ยังมีอยู่ให้จับต้องได้ ซึ่งก็มาจากความเข้มข้นระดับ Pure Parfum ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แบบว่าอาจจะตะลึงในโทนหวานค่อนไปทางเอียนๆ อยู่บ้างล่ะ แต่พอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะลดลงมาปานกลางอวลแบบมีเสน่ห์ที่เป็นรูทเบียร์กับโทนสบายๆ ผ่อนคลายชัดเจน ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. ไปแล้ว และปิดท้าย Skin Scent กันยาวๆ 

สรุป - ส่วนตัวมองว่ากลิ่นนี้ราคาแรงไป ถ้าเทียบกับพื้นฐานกลิ่นที่ไม่จำเป็นถึงกับต้องราคาสูงขนาดนี้ (395 USD/30 ml) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณภาพกลิ่นถือว่ามีดีอยู่มากและเนื้อกลิ่นให้ความเป็นวิถีชีวิตแบบอเมริกันที่เอาความ Oriental ต่างๆ มาจากดินแดนอื่นแล้วมาประยุกต์เป็นสิ่งของ อาหาร เครื่องดื่ม และวิถีชีวิตแบบอเมริกันที่มีความอิสระเสรี ที่แน่ๆ สิ่งหนึ่งที่ชอบจริงๆ กับน้ำหอมกลิ่นนี้นั่นก็คือ การทำให้รู้สึกเหมือนเห็นรูทเบียร์โฟลทที่ on top ด้วยไอติมวานิลลามาวางอยู่ตรงหน้า แบบไม่ได้จงใจให้มีความเป็นขนมราดตัว นี่แหละถอดสถานการณ์และความรู้สึกในพื้นฐานความเป็นจริงได้ดีมากเลยทีเดียว  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/552324341801330085/

 

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Lush - Ginger

Lush - Ginger

กล้าขิงไหมล่ะ?

แค่เห็นชื่อรุ่นก็เรียกว่าคงไม่กล้าขิงใส่ เพราะบอกกันอย่างชัดเจนว่านี่คืกลิ่นขิง และเมื่อความเป็นขิงมาอยู่ในมือของ Lush ที่มากับความเก๋ กับการนำเสนอความเฉพาะตัวจนสร้างสรรค์ออกมาเป็นน้ำหอมจะออกมาแบบไหน เช่นนั้นได้เวลาขิงกันหน่อยแล้วว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

Ginger เปิดตัวมาได้แบบทำเอาอึ้งไปได้เลย กับการนำเสนอกลิ่นอายขิงที่มีความเป็นธรรมชาติชัดเจน ไม่ใช่มาแบบน้ำขิง หรือกลิ่นขิงปร่าเผ็ดหวานแบบที่น้ำหอมที่มักชูโรงขิงนำเสนอแต่อย่างใด เพราะจะมาแบบขิงแก่ที่แง่งอยู่ใต้ดินที่มีความชื้นๆ อยู่ประปรายปนกับกลิ่นเนื้อขิงที่แทรกเนียนๆ แบบเบาๆ ให้จับต้องได้พร้อมกับกลิ่นเขียวเข้มๆ จนค่อนไปทางขมของโทน Earthy ติดพืชล้มลุกดินๆ อย่าง Oak Moss ปน Citrus ติดขมเปรี้ยวเบาๆ อย่างมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เป็นตัวสร้างอารมณ์ชื้นๆ กึ่งขมเข้มดินๆ ตามด้วยผู้เล่นเสริมตัวสำคัญที่ให้โทนเขียวๆ เข้มๆ แบบน้ำในแจกันกุหลาบของเจอราเนียมที่ทำให้รู้สึกมีความเขียวเข้มไปอีกสเต็ป โดยที่ให้เนื้อกลิ่นที่เป็นธรรมชาติแบบดินที่มีกลิ่นเขียวเข้มทับถมกัน ผสมผสานจนได้ความรู้สึกจะมาแบบแง่งขิงใต้ดินกึ่งชื้นหน่อยๆ ชัดเจน แล้วในวูบต่อมาโทนกลิ่นจะเริ่มออกทางแห้งขึ้นตามลำดับ จนได้อารมณ์แบบแง่งขิงที่ผ่านการขุดเก็บเกี่ยวขึ้นมาวางกองๆ รวมกัน โดยที่กลิ่นชื้นๆ ในตอนแรกจะระเหยไปแล้ว แต่จะจับต้องได้ว่ามีกลิ่นอายสดชื่นติดขมเขียวปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เริ่มเปลี่ยนไปเป็นโทนสร้างบรรยากาศสดชื่นเบาๆ รายล้อม และกลิ่นเขียวเข้มก็เริ่มแห้งลงตามลำดับอารมณ์จนความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนเป็นเหมือนเราไปอยู่แถวๆ กองแง่งขิงแก่ที่ขุดออกมาวางกองกันตากแดดที่มีกลิ่นดินแห้ง เปลือกแง่งขิง กลิ่นเผ็ดเจือกลิ่นอุ่นหวานเล็ดลอดออกมา แบบว่าเออ แค่ช่วงต้นก็เก๋มากที่ถอดเอากลิ่นที่เป็นธรรมชาติแบบนี้ออกมาได้

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะเริ่มลดทอนโทนดินแห้งๆ ลงไป กลิ่นออกทาง Dirty และ Earthy แบบเหง้าขิงแห้งติดดินกับกลิ่นสมุนไพรเขียวเข้มๆ ที่ได้อารมณ์เปลือกขิงเริ่มจะเบาลงไปตามลำดับ แต่คราวนี้แหละจะให้โทนขิงที่ชัดเจนมากขึ้น แบบโทนกลิ่นขิงที่หวาดเผ็ดคาบเกี่ยวกลิ่นโทนอุ่นกึ่งปร่าสดชื่นปลายกลิ่นแบบที่เป็นธรรมชาติของเนื้อขิง ซึ่งจะมีกลิ่นออกทางติดหวานหน่อยๆ กึ่งแป้งนิดๆ คล้ายกลิ่นของดอกกระถินเทศหรือ Mimosa แกมกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อนๆ ปูพื้นกลิ่นให้มีความนวลสะอาดหน่อยๆ แอบมีกลิ่นที่ตามมาจากช่วงต้นอยู่บ้างแต่เหลือเพียงประปราย โดยที่ยังคุมโทน Earthy ดินๆ คลอไปกับกลิ่นคล้ายไม้จันทน์หอมที่ให้ความจืดหอมเนื้อไม้ และมีกลิ่นออกทางกึ่ง Citrus ค่อนไปทางส้มกึ่งสะอาดๆ ที่ให้ปลายกลิ่นที่สดชื่นเนียนๆ มาเข้ารวมอยู่ เลยทำให้มิติกลิ่นช่วงกลางจะได้อารมณ์กลิ่นเนื้อขิงสะอาดๆ แบบไม่ใช่ขิงอ่อนนะ เป็นขิงแก่ที่มีความหวานเผ็ดอุ่นเด่นออกมาคลอด้วยความสดชื่นและโทนแป้งติดสะอาดๆ มีความเป็นโทนดินๆ หน่อยๆ ให้รู้สึกได้ เรียกว่ากลิ่นปรับโทนจากช่วงต้นมาเป็นสายสมุนไพรอวลสะอาดแบบมีมิติเจือ Dirty หน่อยๆ ให้ความรื่นรมย์ในการใช้งานได้ดีมาก

ช่วงท้ายของน้ำหอมโทนกลิ่นต่างๆ ในช่วงกลางจะเริ่มลดบทบาทลงตามลำดับ เพียงแต่จะเหลือความเป็นขิงเบาๆ ให้ยังรู้สึกได้โดยมีความอวลอุ่นเจือหวานเผ็ดอ่อนๆ อยู่ ฉาบเป็นตัว on top ให้กับตัวเดินกลิ่นหลักอย่าไม้จันทน์หอมที่จะให้กลิ่นที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติอารมณ์แบบเนื้อไม้ติดจืดมีความหอมนวลๆ เบาๆ กำลังดี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทน Earthy ติดเขียวแต่ไม่ได้เข้มจัดจ้านจนออกทางดาร์กดินๆ แบบช่วงต้นของ Oak Moss เข้ามาร่วมด้วยแบบเบาๆ เลยทำให้เนื้อกลิ่นยังมีความน่าค้นหาในความเรื่อยๆ มาเรียงๆ และมีความเป็นสไตล์มินิมัลที่ให้ความมีระดับแบบไม่ต้องพีคจัดจ้านได้ดี ทำให้กลิ่นเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆ ถ้าดมใกล้ๆ มีเสน่ห์และให้ความเป็นธรรมชาติสูง ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายการเป็น “ขิง” ของ Lush ได้มีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ได้หมดทุกเพศ ถ้าต้องการความเป็นขิงที่มาจากต้นกำเนิดสู่การเอามาแปรรูปทางกลิ่นออกมาเป็นขวดนี้ ซึ่งสามารถใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการ (แบบให้ผ่านช่วงต้นไปก่อน) และทั่วๆ ไป รวมถึงกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะว่ากลิ่นไม่เข้าทางการใส่ไปท่องราตรีเลย เพราะโดนกลบแน่นอน  

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างที่ราวๆ 2 ชม. ตามแต่ละสภาพผิวผู้ใช้และสภาพอากาศที่เอื้อด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นเรียกว่า มาแบบเต็มๆ เหมือนกำลังขุดแง่งขิงกันเลย แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเป็นกระจายดี > ปานกลาง ที่ประมาณ 4 ชม. ถึงค่อยๆ ลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเป็น Skin Scent ในที่สุด

สรุป - หนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นที่กลับสู่รากเหง้าจริงๆ ที่ควรจะเป็นของขิงเลย เพราะเร่มตั้งแต่การเป็นแง่งขิงที่อยู่ใต้ดิน ขุดออกมา ผึ่งแดดผึ่งลมวางกอง แล้วนำมาทำอย่างอื่นต่อ จนเป็นกลิ่นขิงที่ให้อะโรม่าเบาๆ อย่างมีระดับในท้ายที่สุด ถือว่าต้องยอมเขาเลยที่สร้างสรรค์โทนกลิ่นขิงที่มีความเป็นธรรมชาติได้ดีมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - เข็มขัดสั้น

 

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Amouage - Figment Man

Amouage - Figment Man

จากการที่ได้สัมผัสกลิ่นที่มีคุณภาพสูงและมีเสน่ห์เฉพาะตัวของแบรนด์ Amouage มาพอสมควร ในแต่ละปีแบรนด์จะสร้างสรรค์น้ำหอมผู้ชายออกมาเป็นตัวหลักที่มีความไม่ธรรมดามาอยู่เสมอ จนมาในปี 2015 ก็เริ่มที่จะสัมผัสได้ว่าแบรนด์คงจะ Niche จ๋าๆ อย่างเดียวไม่ได้ เลยเริ่มจะมีแนวที่ใช้ง่ายมากขึ้นกว่าที่เคยทำโดยเริ่มจาก Sunshine ในปี 2015 เปิดตัว มาสู่ความเป็น Myths และ Bracken ที่รักษาสมดุลย์กันเป็นอย่างดีแบบ Niche ที่มีเสน่ห์คุมความเป็นแบรนด์ได้อยู่โดยไม่ได้เข้าถึงได้ยากจัดๆ นักในปี 2016 ก่อนจะตามด้วย Beach Hut ในปี 2017 ที่ย้ำเข้าไปอีกว่ากลิ่นเริ่มมีความ Lite มากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งก็ทำให้เริ่มเห็นว่าแบรนด์เริ่มที่จะเปลี่ยนทิศทางน้ำหอมมาเป็นอะไรที่เข้าถึงง่ายขึ้นกว่าของเก่าๆ ที่จัดเต็มเรื่องความเข้มข้นและความลุ่มลึก แม้จะมีลายเซ็นอยู่ให้จับต้องได้ก็ตาม

และเมื่อรุ่นต่อมาอย่าง Figment ได้เปิดตัวออกมา ก็คิดหวังในใจว่าจะคุมโทนที่เอาใจทุกฝ่ายหรือจะเอาใจตลาดมากขึ้น เช่นนั้น ได้จัดมาให้รู้กันซักหน่อยจะได้รู้ซะทีว่า Amouage จะเป็นยังไงในรุ่นนี้ สิ่งที่ได้จากการสัมผัสกลิ่นนั่นคือ

Figment Man เปิดตัวมาแบบได้ทำเอานิ่งอึ้งไปพอสมควร เพราะว่ากลิ่นมันไม่ได้มาสายเอาใจตลาดเท่าไหร่เลย เพราะถอดความเป็นกลิ่นอายแบบสภาพแวดล้อมมาแบบได้ชัดเจนมาก เพราะจะได้กลิ่นดินชื้นๆ ที่จับได้เลยว่ามีกลิ่น Geosmin ที่ให้โทนกลิ่นสาย Earthy ดินชื้นๆ เย็นๆ กลิ่นเขียวๆ แบบน้ำแช่ก้านกุหลาบหรือเขียวแบบปร่าตุ่นๆ แนวพืชล้มลุกของเจอราเนียม และมีแนวๆ คล้าย Oak Moss ให้รู้สึกแกมกลิ่นออกทางไม้ติดตะไคร่มอสชื้นๆ อะไรแนวๆ นี้ที่จะชัดเจนวูบขึ้นมาก่อนเลย อารมณ์แบบเดินในป่าเย็นๆ มีไอชื้นกึ่งแห้งที่ตีขึ้นมาจากพื้น รวมถึงมีกลิ่นอายติดสดชื่นเปรี้ยวติดหวานปลายของเลมอนที่สร้างบรรยากาศสดชื่นติดเย็นๆ เข้ามาร่วมด้วย เลยเรียกว่าค่อนข้างเปิดออกมาได้น่าสนใจมากในการสร้างโทนคล้ายพื้นป่าในเขตเย็นๆ มีหมอกอะไรแนวๆ นี้

แต่เพียงไม่นานกลิ่นออกทาง Animalic คล้ายโทนยูรีนปนกลิ่นแนวชะมดเช็ดตุ่ยๆ ที่มีโทนเผ็ดปร่าหน่อยๆ จะเริ่มแทรกตัวเข้ามาไวมาก จนเปลี่ยนความรู้สึกใน 1 นาทีแรกที่คิดว่าน่าจะเป็นโทนติดเขียว กลายเป็นโทนที่มีความเป็นสาบปลุกเร้าแนว Animalic อารมณ์แบบแนวๆ กลิ่นสาบเฉพาะคล้ายสัตว์มีขนตัวเปียกน้ำกลิ่นตุ่ยๆ กึ่งยูรีน ที่จะค่อยๆ มาแบบคืบคลาน และเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางที่อารมณ์เหมือนเราไปเที่ยวป่ากึ่งโปร่งธรรมชาติที่มีกลิ่นแบบธรรมชาติจริงๆ เพราะจะมีกลิ่นชื้นๆ ดิน กลิ่นพืชพรรณล้มลุก กลิ่นใบไม้ชื้นๆ หมักหมมหน่อยๆ กลิ่นสดชื่นอากาศเย็นๆ กึ่งหมอก กลิ่นแบบยูรีนแบบฉี่สัตว์ต่างๆ กลิ่นสาบสัตว์ที่มีให้จับต้องได้ คือ ตรงๆ คือ อันนี้มาแบบเกินคาด คือ ไม่เม้มในเรื่องที่ตรงไปตรงมาแบบกลิ่นที่ควรจะเป็นจริงๆ แม้ว่าจะจับได้บ้างว่ากลิ่นมันมีความเป็นงานศิลปะที่ถอดสภาพความเป็นจริงออกมาโดยเอากลิ่นสังเคราะห์มาช่วยอยู่บ้างก็จริง แต่มันก็สภาพแวดล้อมม๊ากมาก แต่ไม่ได้มีแค่นี้ เพราะว่าจะจับต้องได้ถึงโทนไม้หอมที่เนียนๆ อยู่ที่จะเริ่มต้นจากกลิ่นออกทาง Rooty หรือรากไม้ที่มีความชื้นที่มาจากหญ้าแฝก แถมมีกลิ่นที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นไม้โปร่งกึ่งพิมเสนใสๆ เข้ามาสร้างความประปรายในกลิ่นแบบที่เชื่อมโทนไม้หอมเข้ามาด้วยหน่อยๆ จนแบบว่าเออ ตรงตัวจริงๆ Earthy & Animalic มาชัดมาก มีหมดในความเป็นสภาพแวดล้อม ความ Animalic ในมุมที่เป็นธรรมชาติจริงๆ แบบที่ไม่ได้เข้าถึงได้ง่ายนัก แต่มันก็มีมุมที่เรียกร้องความสนใจสไตล์ปลุกเร้าได้ดีด้วยเช่นกัน ถือเป็นช่วงที่ปล่อยเสน่ห์ทางการถอดกลิ่นอายธรรมชาติที่เป็นงานศิลปะเลยก็ว่าได้ 

เมื่อกลิ่นต่างๆ เริ่มเบาลงสิ่งที่เริ่มสัมผัสได้คือ กลิ่นอายออกทางไม้หอมติดแป้งที่มีความอวลลึกคล้ายโทนแอมเบอร์ติดสาบ Animalic กึ่งยูรีนหน่อยๆ ที่มาจากช่วงกลาง ซึ่งกลิ่นที่จับต้องได้เลยคือ ไม้จันทน์หอม ที่มีลักษณะแบบแป้งผงไม้แกมอวลติดอุ่นเนียนๆ ของโทนกึ่งแอมเบอร์กึ่งหนังติด Musk กึ่งสาบเร้าความสนใจ และไม่พอยังมีกลิ่นแบบไม้เก่าๆ ผนังเก่าๆ แต่ไม่ได้อับทึบหรือชื้นแฉะ เลยทำให้คิดไพล่ไปว่ามันน่าจะเป็นอารมณ์แบบสิ่งปลูกสร้างที่เก่าๆ อะไรประมาณนั้น โดยยังมีกลิ่นติดดินแห้งๆ อยู่บ้างที่คุมโทน Earthy ประปราย ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะมาสไตล์ Animalic ติดไม้แห้งแกมอุ่นหน่อยๆ ที่มีความสาบเร้าเฉพาะตัวในสไตล์แบบกึ่ง Vintage แบบที่มาแบบเกินคาด มีความแปลก และเป็นงานศิลปะทางกลิ่นที่ต้องเรียนรู้กันพอสมควร ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ตอบได้เลยนี่แหละ Amouage’s Style แบบที่ไม่ได้ง่ายแต่มีเสน่ห์ในรูปแบบ Unique เฉพาะตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้ แต่อย่างน้อยต้องผ่านกลิ่นอายสายธรรมชาติหรือผ่านการใช้น้ำหอม Niche Perfume ที่มีความเฉพาะมาบ้าง รวมถึงพื้นฐานชอบกลิ่นแนว Animalic กับสายดินๆ Earthy เป็นทุนเดิม จะเข้าถึงตัวนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งต้องเรียนรู้กันหน่อยแนวๆ นั้น โดยกลิ่นสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไปกลิ่น Animalic กึ่งยูรีนเนียนๆ มันอาจจะทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่มาจากผู้อื่นมองและพึมพำบ่นเอาได้ แต่ถ้าลงสเปรย์แบบพอดีๆ กลิ่นมันมีเสน่ห์ที่ธรรมชาติแบบแท้ทรูกึ่งปลุกเร้าเรียกความสนใจได้ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าจะใส่แบบทางการอาจจะต้องพิจารณากันหน่อยว่ามันพอไหวหรือเปล่า แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไป มีความเก๋ งานศิลปะ และ Unique อันนี้จัดไป ซึ่งแนะนำให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน ก็เน้นทั่วไปแบบไม่เหมือนใครนี่แหละ น่าจะเข้าทีสุด แต่ถ้ามั่นใจจะจัดไปท่องราตรีหรือออกงานก็ได้ เพราะกลิ่นนี้อิงเคมีที่จะส่งเสริมคนใช้ไม่น้อยด้วยเช่นกัน    

ความทน - มากกกกกกก 15 ชม. ก็แล้ว อาบน้ำก็แล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่ ตรงนี้ก็ต้องยกให้เขาเลยว่ามาเต็ม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก ช่วงเปิดให้อารมณ์เดินป่าที่มีความโปร่งแต่มีกลิ่นไอชื้นติดเขียวได้ชัดเชียว แล้วจะลงมากระจายดีกันยาวๆ ไปราว 7 ชม. ได้ ก่อนจะผ่อนลงมาปานกลางราว 3 ชม. ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป  

สรุป - มาอ่านภายหลังว่ากลิ่นนี้มีแรงบันดาลใจประเทศภูฏาน ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นการถอดกลิ่นออกมาได้แท้ทรูได้เลย และที่สำคัญเปลี่ยนความคิดกันแทบไม่ทัน เพราะคิดว่าแบรนด์จะปูทางเข้าสู่กลิ่นอายใช้ง่าย แต่กลายเป็นดึงเอาความเป็นสไตล์ Amouage ออกมาในรูปแบบเดิมๆ ที่มีความเฉพาะตัวลักษณะแบบงานศิลปะออกมาได้ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นี่แหละเสือไม่สิ้นลาย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/catalog/product/view/id/828/category/276