Regime des Fleurs - Freeworld
ครั้งแรกที่เห็นแบรนด์ Regime des Fleurs กับราคาน้ำหอมใน Collection โซน Pure Parfum หรือ Extrait de Parfum ต่างๆ เรียกว่ามีความขนลุกกับราคาที่สูงมากจนแบบว่าเกินเอื้อมเลยก็ว่าได้ แต่พอเป็นโซน EDP ปกติ เอาจริงๆ ก็ยังถือว่าราคาสูงอยู่เพียงแต่ยังพอเอื้อมไปจับต้องได้ ก็เลยมีความสงสัยใครรู้นักว่าทำไมแบรนด์นี้ถึงได้มีความมาดมั่นในการวางตำแหน่งของแบรนด์และการกำหนดราคาที่สูงสะใจได้ขนาดนี้ (สูงสุดที่เจอคือ 995 USD/8 ml) ซึ่งเมื่อได้ศึกษาเลยได้รู้ว่า
แบรนด์นี้ก่อตั้งมาจากความสนใจในเรื่องดอกไม้และน้ำหอมของคน 2 คนอย่าง Alia Raza และ Ezra Woods ซึ่งก็เลยมาจับมือกันในการสร้างสรรค์แบรนด์ที่เน้นกลิ่นอายสาย Luxury คัดเลือกส่วนผสมที่ดีที่สุดในการสร้างสรรค์น้ำหอม และทำออกมาอย่างประณีตโดยมีแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และงานศิลปะในยุคต่างๆ เช่นนั้น ก็อยากรู้แล้วว่ากลิ่นจะออกมาขนาดไหน และเมื่อจัดมาให้รู้กับการได้หนึ่งใน Collection - The Lyrics สาย Pure Parfum กับรุ่น Freeworld ที่มีที่มาจากคำว่า American Oriental แนวๆ การประยุกต์เอาสิ่งต่างๆ ที่มาจากทั่วโลก (เน้นทาง Asia) มาเป็นสไตล์แบบ American ที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนไปแล้วในทุกวันนี้ เช่นนั้น กลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหน ก็ว่ากันได้ตามนี้
กลิ่นเปิดเรียกว่าหวานกึ่ง Classic ที่มีน้ำผึ้งเป็นตัวเปิด มีอบเชยคลอๆ ตามด้วยกลิ่นโทน Citrus แกมกลิ่นดอกส้มเบาๆ กับโทนเขียวติดกุหลาบแนวๆ น้ำในแจกันดอกกุหลาบที่เป็นสไตล์กลิ่นแบบเจอราเนียม อารมณ์ออกทางไซรัปแต่มีความเป็นโทน Classic แบบฟุ้งๆ หวานติดเอียน ที่เป็นสไตล์น้ำผึ้งแบบน้ำหอมสไตล์ Classic กรุยกรายพอประมาณ แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะเมื่อจับต้องลงไปอีกก็จะจับได้ว่ามีโทนสมุนไพรที่เป็นกลิ่นอายแบบพื้นเพของสไตล์น้ำหอมฝรั่งเศสอยู่ด้วย เพราะจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายของสารหอมที่ให้ความฟุ้งเจอกลิ่นออกทางสบู่อย่าง Aldehydes และมีตัวเสริมอย่างเม็ดผักชีที่ให้ความเผ็ดซ่าเนียนๆ เลยทำให้ได้อารมณ์กลิ่นอายออกทางสไตล์น้ำหอมฝรั่งเศสรวมอยู่ด้วย เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางหยินหยางพอสมควร เพราะจะมีวูบอารมณ์กลิ่นหวานอบอุ่น และมีความเย็นๆ ตีคู่เนียนๆ รวมอยู่ ซึ่งอารมณ์กลิ่นจะแบบกึ่งย้อนยุคที่เป็นแนวๆ กึ่งอเมริกันกึ่งยุโรปชั้นสูงที่มาในโทนเย้ายวนพอสมควร
และการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าหักมุมเลยก็ว่าได้ เพราะกลิ่นอายสไตล์หวาน Classic จะเบาลงมาเรื่อยๆ แล้วเปลี่ยนโทนชัดเจนมากในการเข้าช่วงกลางกับการเป็น “รูทเบียร์” เพราะจะจับต้องเนื้อกลิ่นได้เลยว่ามีความปร่าซ่าปนอวลๆ แบบสไตล์คล้ายยาหม่องแบบที่เราได้กลิ่นเวลาดื่มรูทเบียร์ชัดเจนมาก เพียงแต่กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงจนเป็นรูทเบียร์เดินได้ ซึ่งกลิ่นจะเด่นที่ Aldehydes เลยที่จะให้ความฟุ้งแบบรูทเบียร์ ตามด้วยกลิ่นน้ำผึ้งหน่อยๆ กลิ่นอบเชย กลิ่นน้ำมันระกำ กลิ่นชะเอม กลิ่นเม็ดจันทน์เทศ และวานิลลา ที่เป็นกลิ่นพื้นฐานในการเป็นรูทเบียร์มาหมดเลย แต่จะมีกลิ่นโทนออกทาง Citrus เจือดอกส้มที่ให้ความสะอาดแกมนวลกึ่งสดชื่นมาตัดทอน ทำให้ได้อารมณ์แบบสดชื่น สะอาด สบาย มีโทนอบอุ่นหน่อยๆ เจือให้พอรู้สึกได้ตีคู่ไปกับโทนของรูทเบียร์ที่ได้กลิ่นแบบกำลังดี ไม่หนักหน่วงเกินไป แต่ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะเมื่อผ่านไปพอประมาณ จะได้กลิ่นออกทางไอติมวานิลาที่มาแบบหอมๆ เย็นๆ อ่อนๆ ไม่หนักมาเข้ามาร่วมด้วย อารมณ์เลยจะได้เป็นแบบรูทเบียร์โฟลตโปะด้วยไอติมวานิลลาที่มีพื้นฐานกลิ่นสะอาดแกมอบอุ่นหน่อยๆ ซึ่งอันนี้เรียกว่าเกินคาดจากช่วงต้นไปเยอะมากจริงๆ และกลิ่นให้ความดีงามในการจับต้องความรู้สึของอารมณ์จิบรูทเบียร์เย็นๆ ตักไอติมวานิลลาหอมหวานเข้าปาก ที่มีความหอมอวลกำลังดีพอเหมาะไปตลอด
ในการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมกลิ่นโทนรูทเบียร์จะเบาลง แต่จะให้กลิ่นอายของไม้หอมโปร่งๆ มีสีโทนออกทางไม้สีสว่าง มีความติดจืดหอมหน่อยๆ ปนกับกลิ่นไม้ขรึมๆ อารมณ์บ้านไม้ที่มีกลิ่นไม้อ่อนๆ ลอยออกมาเบาๆ เป็นเหมือนฐานในการเดินกลิ่น และวานิลลาจะค่อนข้างชัดในตอนนี้อารมณ์กลิ่นนวลอ่อนๆ สนับสนุนกลิ่นไม้หอมได้ความรู้สึกผ่อนคลายกำลังดี ซึ่งกลิ่นโทนรูทเบียร์ยังคงอยู่ แต่จะไม่ได้เด่นเท่าช่วงกลางแล้ว เน้นมาแบบตีคู่ไปกับโทนกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ที่มีความสะอาดไปเรื่อยๆ มากกว่า แต่เนื้อกลิ่นยังมีความเย็นๆ ให้จับต้องได้อยู่ตลอด กลิ่นไม่ได้มีความรู้สึกอวลอุ่นแล้ว ปิดท้ายด้วยสไตล์สบายๆ มีความมินิมัลที่กำลังดีไปเรื่อยๆ ประมาณนี้ ทำให้ภาพรวมการใช้น้ำหอมที่บอกว่าเป็น American Oriental ค่อนข้างตอบโจทย์ เพราะทุกอย่างมันคือการรับเอาสิ่งต่างๆ จากทั่วโลก เข้ามาสู่การเป็นวิถีชีวิตแบบอเมริกันได้ดีแบบที่ตรงไปตรงมาและอิงพื้นฐานที่ควรจะเป็นได้ลงตัวมาก
เหมาะสำหรับ - Unisex เลย แม้กลิ่นเปิดจะหวานออกทาง Classic ปนติดเอียนหน่อยๆ และมีความเป็นสไคล์เหมือนจะเข้าทางผู้หญิง แต่พอเข้าช่วงกลางมันคือความกลางๆ ที่ได้หมดทุกเพศชัดเจน ซึ่งกลิ่นถือว่าเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันเน้นแบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า แต่เอาจริงๆ ใส่ทางการได้อยู่บ้าง แต่ต้องไม่หนักมือ ไม่งั้นอารมณ์รูทเบียร์หกใส่ตัวเอาได้ แต่ถ้าใส่ออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่แบบชิลล์ๆ ทั่วไป หรือ Party กลางแจ้งอะไรแบบนี้ลงตัวมากกว่าใส่ไปท่องราตรีที่จะโดนคนอื่นกลบ
ความทน - เกินคาดเพราะ 12 ชม. กลิ่นก็ยังมีอยู่ให้จับต้องได้ ซึ่งก็มาจากความเข้มข้นระดับ Pure Parfum ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้ไม่ยาก
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แบบว่าอาจจะตะลึงในโทนหวานค่อนไปทางเอียนๆ อยู่บ้างล่ะ แต่พอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะลดลงมาปานกลางอวลแบบมีเสน่ห์ที่เป็นรูทเบียร์กับโทนสบายๆ ผ่อนคลายชัดเจน ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. ไปแล้ว และปิดท้าย Skin Scent กันยาวๆ
สรุป - ส่วนตัวมองว่ากลิ่นนี้ราคาแรงไป ถ้าเทียบกับพื้นฐานกลิ่นที่ไม่จำเป็นถึงกับต้องราคาสูงขนาดนี้ (395 USD/30 ml) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณภาพกลิ่นถือว่ามีดีอยู่มากและเนื้อกลิ่นให้ความเป็นวิถีชีวิตแบบอเมริกันที่เอาความ Oriental ต่างๆ มาจากดินแดนอื่นแล้วมาประยุกต์เป็นสิ่งของ อาหาร เครื่องดื่ม และวิถีชีวิตแบบอเมริกันที่มีความอิสระเสรี ที่แน่ๆ สิ่งหนึ่งที่ชอบจริงๆ กับน้ำหอมกลิ่นนี้นั่นก็คือ การทำให้รู้สึกเหมือนเห็นรูทเบียร์โฟลทที่ on top ด้วยไอติมวานิลลามาวางอยู่ตรงหน้า แบบไม่ได้จงใจให้มีความเป็นขนมราดตัว นี่แหละถอดสถานการณ์และความรู้สึกในพื้นฐานความเป็นจริงได้ดีมากเลยทีเดียว
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://www.pinterest.com/pin/552324341801330085/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น