วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Zara - Zara Olfactive: Magnificently Dubai

Zara - Zara Olfactive: Magnificently Dubai

จากดวงตะวันฉายแสง สู่ยามตะวันตกดิน ที่อาบไปด้วยการผจญภัย”

นี่คือสิ่งที่ Jo Malone ในนาม Jo Loves ได้ลงเป็นคำโปรยเอาไว้กับการกับ 1 ใน 8 รุ่นของ Collection - Zara Olfactive กับการจับมือกันสร้างสรรค์กลิ่นอายจากเมืองที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Zara ซึ่งในครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวที่ดังที่สุดในโลกอย่างดูไบ ประเทศสหรัฐเอมิเรตส์ กับการให้ชื่อรุ่นที่อวยยศกันขั้นสุดอย่าง Magnificently Dubai ซึ่งจะออกมาแบบไหน และมีความงดงามสมชื่อรุ่นหรือไม่ มาลองกัน

เปิดต้นกลิ่นมาก็ถึงกับอุทานออกมาเลยว่า “Jo Malone มากๆ” เพราะช่วงเปิดคือการสร้างความประทับใจแรกพบทางกลิ่นที่เป็นตัวเรียกเรตติ้งเสมอในการปรุงกลิ่นของ Jo Malone เโดยเริ่มต้นที่ความสดชื่นของโทน Citrus ที่จะค่อนไปทางโทนแห้งแกมชื้นนิดๆ ซึ่งน่าจะเป็นลูกผสมระหว่างมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ให้ความเป็นโทนบรรยากาศกึ่งเปรี้ยวแกมขม และความสว่างสดชื่นเข้าโทน Cologne แต่ไม่ได้สแปลชฉ่ำของเลมอน + กับกลิ่นโทนเผ็ดแกมหวานของขิงที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความฟุ้งกำลังดีจะเข้ามาทักทายก่อนใครเพื่อนเลย แต่แม้ว่าจะมาสายสดชื่น แต่ดันไม่มีความฉ่ำเพราะ Effect ของหญ้าฝรั่นที่มีลูกเอื้อนคล้ายโทนหนัง + กับโทนหนังเองจริงๆ ที่เข้ามาเป็นตัวรองพื้น ทำให้ตัดโทนกันพอดีสร้างอารมณ์กลิ่นสดชื่นเปรี้ยวหอมที่มีความเป็นหนังหน่อยๆ แกมเครื่องเทศที่พอเหมาะ ให้โทนที่สว่างตัดกับสีน้ำตาลผืนหนังได้ลงตัวและมีความดึงดูดสร้างความประทับใจได้ตั้งแต่แรกได้เลย

เมื่อเนื้อกลิ่นโทน Citrus ค่อยๆ ลดทอนตัวเองลงมาเป็นสายสนับสนุน ช่วงนี้กลิ่นหญ้าฝรั่นที่โดนเกลาความแปร่งออกไปเหลือโทนขมหอมที่มีความอาระเบียนแกมกลิ่นหนังบางๆ ก็ยังตามมาจากช่วงต้นอยู่ แต่เนื้อกลิ่นจะมีความครีมมี่มากขึ้น และมีความหนาขึ้นจากช่วงต้น โดยที่เนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้หอมที่คล้าย Oud เข้ามาผสมผสานอยู่ด้วย แต่ไม่ได้มีความเป็น Oud จ๋าขนาดนั้น มีลูกเอื้อนที่ให้ความรู้สึกเป็นกลิ่นอายแบบตะวันออกกลางสไตล์ Modern ที่มีความน่าค้นหาเสียมากกว่า ซึ่งโทนขิงยังมีในช่วงนี้ที่ให้ความปร่าฟุ้งออกมาอยู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือกลิ่นที่มีความกลมและมีความสมูธมากขึ้นจากสายเกลาอย่างเม็ดจันทน์เทศ ที่มาเหลาให้กลิ่นแนว Oud กับหญ้าฝรั่นมีความกลางค่อนเบา สร้างอารมณ์แบบเย้ายวนน่าค้นหาแต่ไม่อวลหนักนัก เสริมด้วยกลิ่นหนังที่มีความ Smoky ที่นุ่มจมูก เลยทำให้ได้ทั้งความอบอุ่น อวลกำลังดี มีเสน่ห์น่าค้นหาแบบที่มีความทันสมัยครบถ้วนมาก ซึ่งแน่นอนว่ายังคุมโทนกลิ่นที่ไม่หนักเกินไปได้ดีเช่นเดิม

เมื่อกลิ่นหนังเริ่มที่จะมีความชัดขึ้นมาอีกสเต็ป และความเป็นไม้หอมที่เข้าทาง Oud เริ่มเบาลงมา แต่มีกลิ่นอายไม้ขรึมๆ โปร่งๆ ซึ่งน่าจะมาจากสารหอมอย่าง ISO E Super และมีกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ให้ความครีมมี่เบาๆ เนื้อกลิ่นจะเด่นที่โทนหนังเสริมด้วยไม้หอมโปร่งๆ ที่มีความ Smoky นุ่มจมูก และมีลูกเอื้อนคล้ายโทนหนังกลับที่สร้างความ Musky อ่อนๆ เจือกลิ่นติดเครื่องเทศหวานขมอุ่นเบาๆ ของหญ้าฝรั่นที่มีบางๆ เลยทำให้ช่วงท้ายเป็นโทน Leather ชัดเจน แต่มีความบิดกลิ่นให้มีลูกเอื้อนอาระเบียนแกมไม้หอมแฝง ที่มีเสน่ห์และเข้าถึงได้ง่ายอารมณ์แบบกลิ่นอายลูกผสมที่มีความเป็นตะวันออกกลาง + กับสไตล์ตะวันตกที่มีความทันสมัย ปิดท้ายได้งามเกินมูลค่าในการสอยมาเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ซึ่งก็ใช่เลย แต่เนื้อกลิ่นจะไพล่ไปทางผู้ชายเสียมากกว่าราว 80% ได้ เช่นนั้นถือว่าตัวนี้มีความ Masculine สูงที่สุดถ้าเทียบจากทั้งหมดใน Collection เลยก็ย่อมได้ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ได้ทั้งทางการ (ที่อาจจะเลือกหน่อยว่าเหมาะสมหรือไม่) และทั่วๆ ไป แต่ให้ข้ามเรื่องการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการและกลิ่นจะกระจายหนักด้วยเวลาร่างกายทำความร้อน เดี๋ยวอึนไปก่อน ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ออกงานหรือว่าเพื่อความมีเสน่ห์ที่บิดโทนด้วยความเย้าแบบอาระเบียนอ่อนๆ ก็ถือว่าลงตัว

ความทน - จัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยทีเดียวเพราะพื้นฐานยังไงก็ผ่าน 6 ชม. ได้ไม่ยาก และสิ่งที่เจอคือ 12 - 15 ชม. เป็นเรื่องปกติกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ เช่นนั้นยังไงก็แตะ 8 ชม. ได้สบายๆ ในหลายๆ สภาพผิว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลงมาที่กลางๆ แบบยาวไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอม แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อแตะชั่วโมงที่ 5 - 6 แล้วมาเป็น Skin Scent เอาราวๆ ชั่วโมงที่ 8

สรุป - นี่คือกลิ่นที่ค่อนข้างชัดเจนในการสื่อถึงความเป็นดูไปที่จะมีกลิ่นอายแบบ Modern Arabian แฝงอยู่ตลอด เพียงแต่ไม่ได้หนักหน่วงอวลจัดจ้าน และคุมโทนสว่างในเนื้อกลิ่นได้ดี ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า Jo Malone ทำกลิ่นนี้ออกมาได้ตรงกับความเป็นดูไบไม่พอ ยังตรงกับการใช้งานที่เน้นเสน่ห์ทางกลิ่นที่มีความหล่อตาคมคมดึงดูดได้ดีอีกด้วย ถือว่าตรงกับคำว่า Magnificently Dubai ที่เป็นชื่อรุ่นได้พอดิบพอดีจริงๆ (ส่วนคำโปรยก็ตามนั้น เพราะว่าดูไบก็แดดจัดเช้ายันเย็นให้อาบเต็มเหนี่ยวจนระอุอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ)  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.zara.com/tr/en/magnificently-dubai-75-ml---2-54-oz-p20110314.html

 

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Pierre Cardin - Rose Cardin

Pierre Cardin - Rose Cardin

ในความเป็นโทน Chypre Rose ที่มีความเป็นกุหลาบแกมพิมเสนเป็นแกนกลางของกลิ่น โดยมีความเป็นโทน Citrus เป็นตัวเรียกแขก สู่ความอบอุ่นลุ่มลึกของยางไม้ที่ให้โทนกึ่งแอมเบอร์อย่าง Labdanum ก่อนจะปิดท้ายด้วยความกรุยกรายมีเสน่ห์ที่คาบเกี่ยวทั้งสไตล์ Classic ที่มีความน่าค้นหาและมีพลังของ Oak Moss ต้องบอกเลยว่ามีกลิ่นอายแบบนี้เยอะมากมาตั้งแต่ช่วงยุค 70 จนถึงปัจจุบัน และมีหลายกลิ่นมากๆ ที่เรียกว่าเป็น Top Class ของน้ำหอมสายนี้

และซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ รุ่น Rose Cardin จากแบรนด์ Pierre Cardin ที่เปิดตัวมาในช่วงปี 1990 ที่ถือเป็นช่วงรอยต่อของน้ำหอมยุค 80 สู่ 90 พอดิบพอดี และที่สำคัญกลิ่นนี้ยังคงความเหนือกาลเวลามาอยู่เสมอจนถึงปัจจุบันแบบที่มีเสน่ห์ในความไม่ธรรมดาให้จับต้องได้ตลอด จนหลายๆ สำนักก็ถือว่ากลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่อย่างน้อยคนที่ชอบน้ำหอมกลิ่นกุหลาบต้องได้สัมผัส เช่นนั้น อยากรู้ว่าจะถ่ายทอดกลิ่นอย่างไร ก็ขอมาสัมผัสให้รู้ ดมให้สุดกันหน่อย ผลที่ได้ก็คือ

Rose Cardin เปิดตัวมาด้วยเนื้อกลิ่นที่มีความเป็นโทนเม็ดผักชีเด่นวูบมาก่อนพร้อมกับกลิ่นไม้หอมติดกุหลาบที่มีความปร่า Spicy สอดรับกับเม็ดผักชี โดยที่มีกลิ่นออกทางกึ่งสบู่คมๆ ฟุ้งๆ ของ Aldehydes เป็นตัวที่ทำให้กลิ่นมีความอวลพุ่งตามแบบฉบับน้ำหอมช่วงยุค 80 ที่มีโทน Classic อวลๆ แต่เนื้อกลิ่นมีโทนกึ่ง Citrus กึ่งผลไม้เข้ามาผสมผสานไปกับกลิ่นของเม็ดกระวานที่ให้ความหวานเย้าร่วมด้วยเลยทำให้ช่วงต้นมีความเป็นกลิ่นที่เข้าโทนสีแดงแบบกุหลาบติดปร่าแกมไม้หอมปนสบู่ที่มีความสดชื่นแบบฟุ้งๆ หอมเย็นๆ ได้ลงตัวมาก ซึ่งจะมีอยู่นิดหน่อยตรงที่จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นดอกไม้แนวดอกไม้หอมเย็นๆ แต่ไม่ได้ฉ่ำ เลยทำให้บางวูบนึกถึงกลิ่นน้ำดอกไม้เทศ (น้ำกระสายยาไทยที่ใช้ดอกไม้ทำ) + กลิ่นยาอุทัยทิพย์แบบที่สกัดจากสมุนไพรจริงๆ กำลังดี (อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว) เลยทำให้รู้สึกถึงความหอมที่ค่อนข้างครอบคลุมแตะความรู้สึกทั้งเทศและไทยได้มีเสน่ห์แบบ Classic จริงๆ

ในการเปลี่ยนสถานะเข้าสู่ช่วงกลาง พื้นฐานกลิ่นแนวฟุ้งๆ แกมสบู่กุหลาบไม้หอมติดปร่ายังคงอยู่ แต่จะจับต้องได้ชัดเจนมากขึ้นว่ากุหลาบจะเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น โดยมีความปร่าระเรื่อของพิมเสนที่ให้ความหรูหราติด Earthy กรุยกรายน่าค้นหากำลังดี ซึ่งนอกจากกุหลาบที่ชัดเจนพอสมควรแบบไม่ได้ไปทาง Classic แบบกุหลาบแดงจ๋า ก็จะยังมีตัวเสริมที่ให้ความปร่านวลติดพริกไทยแกมเขียวของคาร์เนชั่นที่เป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความนิ่งหรูมากขึ้น โดยที่จะมีกลิ่นดอกไม้ขาวคลอๆ แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ สร้างอารมณ์แบบสบู่ปร่าฟุ้งดอกไม้หน่อยๆ เป็นพื้นกลิ่นให้ความรู้สึกผ่อนคลายร่วมด้วย และสิ่งหนึ่งที่จับได้แบบเนียนๆ ก็คือ พื้นหลังของกลิ่นที่นอกจากจะมีโทนสบู่ดอกไม้แล้วยังมีโทนอบอุ่นติดแอมเบอร์เคล้า Musk แกมไม้จันทน์หอมครีมนวลอ่อนๆ ที่แฝงรวมอยู่ด้วยเลยทำให้กลิ่นมีความสมดุลย์ที่อยู่ตรงกลางพอดีระหว่างความเป็นโทน Classic ที่เชื่อมต่อกับโทนร่วมสมัยได้ลงตัวมาก นี่แหละพื้นฐานของการเป็น Timeless Scent ที่ชัดเจนมาก

และเมื่อความเป็นโทนไม้หอมเริ่มจะชัดเจนขึ้นตามลำดับ โดยที่โทนกุหลาบเริ่มผันตัวลงเป็นสายสนับสนุน ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมเต็มตัว ซึ่งช่วงนี้ถือว่าเป็นโทนร่วมสมัยเต็มตัวมากขึ้น เพราะเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมติดผ่อนคลายแกมนุ่มของ Musk กำลังดี มีโทนออกทาง Incense ที่ผนวกกับ Oak Moss สร้างความน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทุกอย่างจะเนียนเป็นเนื้อเดียวโดยใน 1 การดมจะจับต้องได้ทั้งความเป็นไม้หอมที่ติดความนุ่มนวลแกมดาร์ก โดยมีปลายกลิ่นเป็นกุหลาบพิมเสนอ่อนๆ ที่มีเสน่ห์ มีระดับแบบกำลังดี และมีความเป็นโทนร่วมสมัยที่ใช้งานได้แบบไม่ต้องใส่ใจว่าจะเป็นปีไหนหรือยุคไหนก็สามารถใช้งานได้ไม่ยากและเป็นการปิดท้ายที่คลอผิวได้อย่างงามๆ กันยาวไปเสียด้วย

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก และที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีความ Unisex ตั้งแต่ช่วงกลางเป็นต้นไป เพราะกุหลาบไม่ได้ไปสาย Classic ที่บานฉ่ำหรือแห้งกรุยกรายแต่อย่างใด เลยทำให้ผู้ชายสามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก และมีเสน่ห์เทียบเท่าผู้หญิงใช้ได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใช้งานเพื่อออกกำลังกายหรือออกกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งไปได้เลย ไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนถือว่าลงตัวกับการใส่ออกงานสร้างออร่านางพญาแบบเบาๆ ได้ก็ดี หรือใส่เพื่อสร้างออร่าโรแมนติคที่ไม่เกี่ยงเพศที่ใช้งานได้ก็เหมาะ

ความทน - พื้นฐานแตะที่ 8 ชม. ได้สบายมากและไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอทุกครั้งที่ 12 - 15 ชม. เรียกว่าคุ้มค่าเลยก็ย่อมได้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าสร้างความรู้สึกสีแดงอมชมพูแบบลึกๆ อารมณ์แบบสีน้ำแดงเลย แล้วจะผ่อนลงมาเป็นกระจายดีไปราว 30 นาที - 1 ชม. ถึงเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 4 ชม. แล้ว ถึงกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวซึ่งตอนนี้จะคงตัวและเสถียรกันยาวๆ ไป จนถึงประมาณชั่วโมงที่ 10 ถึงเป็น Skin Scent   

สรุป - อีกหนึ่ง Masterpiece ของแบรนด์ Pierre Cardin เลย ที่สร้างสรรค์กลิ่นแนวกุหลาบพิมเสนออกมาได้ลงตัว สมดุลย์ และมีเสน่ห์ทางกลิ่นแบบที่อาจจะไม่ได้ถึงกับหวือหวาหรือว้าวจัดจ้าน แต่ให้ความมีเสน่ห์และน่าค้นหาแบบที่ก็ลืมไม่ลงในความเป็นโทนร่วมสมัยและเหนือกาลเวลา ซึ่งไม่แปลกใจเลยนี่กลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่รวมเข้าไปอยู่ในกลุ่ม Top Class ในสาย Chypre Rose ที่มีโอกาสควรจะได้ลองและครอบครอง 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.walmart.com/ip/Pierre-Cardin-Rose-Cardin-by-Pierre-Cardin-Eau-De-Toilette-Spray-1-oz-for-Women/399432217

 

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Montale - Pure Love

Montale - Pure Love

เมื่อเจอคำว่า Pure Love กับการเป็นหนึ่งในรุ่นน้ำหอมของแบรนด์ Montale อย่างแรกที่รู้สึกเลยว่าจะต้องมีพลังมาเต็มตามประสาความทรงพลังที่เน้นกระจายรอบทิศแน่ๆ เพราะสไตล์ของแบรนด์เป็นเช่นนี้มาเสมอ และต้องหวานเพราะน่าจะมีทั้งกุหลาบ และวานิลลา และเผลอๆ จะต้องมี Oud มาเกี่ยวข้องด้วยก็เป็นได้ และหลังจากที่ได้อ่านคำโปรยของรุ่นนี้ ผลที่ออกมาก็คือ

OK ตัด Oud ออกไป ไม่น่าจะมี ไปมุ่งเน้นกันที่วานิลลากับกุหลาบแทน เพราะแบรนด์นี้ก็ปล่อยของกับ 2 โทนนี้เก่งกันจนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะทำออกมาแบบไหน และมีกลิ่นอายแบบที่แบรนด์ดึงเอาความดีงามของเดิมที่ทำมาต่อยอดให้ทรงพลังมากขึ้นหรือไม่ ว่ากันได้ตามนี้เลย

สิ่งแรกที่มาทักทายในแรกสเปรย์เลยคือ ความเป็นกุหลาบกึ่ง Citrus ที่มีลูกผสมกึ่งแยมเล็กๆ แต่ไพล่ออกไปทาง Candy ลูกอมเสียมากกว่า แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้กิงก่องแก้วดู Puppy Love ขนาดนั้น เพราะมีโทนหวานเย้าของเม็ดกระวานที่ไม่ได้มาแบบหนักและหนืดจนเกินไป ให้ความเย้าลึกแบบน่าสนใจ + กับความนิ่งที่แฝงในเนื้อกลิ่นของโทนไม้หอมรองพื้นอยู่ให้รู้สึกได้แบบกำลังดี แถมยังมีกลิ่นหนังที่แอบผลุบๆ โผล่ๆ ให้พอสนุกสนานในการจับกลิ่น เลยทำให้กลิ่นมีความน่ารักแบบค่อนไปทางนิ่ง แต่มีความเย้ายวนแกมหวานที่มีเสน่ห์แบบไม่ได้โฉ่งฉ่าง ที่สำคัญกลิ่นไม่ได้มาถึงก็ปล่อยพลังใส่รอบด้าน แต่ให้ความอวลๆ แบบสีแดงอมชมพูค่อนไปทางสดชื่นแต่มีพลังอยู่ในระดับที่สมดุลย์ดีเลยทีเดียว

การเข้าสู่ช่วงกลางคือการเปลี่ยนสถานะจากกลิ่นที่ค่อนไปทางลูกอมกลิ่นกุหลาบ มากลายเป็นกุหลาบหวานแกมไม้หอมที่อวลสว่างแบบสมดุลย์มาก ซึ่งคราวนี้จะจับต้องได้ 2 โทนคือ กลิ่นออกทางกึ่งหญ้ากรำแดดนิดๆ กึ่งไม้แห้งหน่อยๆ ที่เป็นโทนกลิ่นของหญ้าแฝกที่จะแท็คทีมกับไม้จันทน์หอมสร้างความเป็นโทน Woody ที่มี 2 สถานะคือโทนสว่างครีมมี่อวลกำลังดีและกลิ่นออกทางไม้แห้งขรึมติดเขียวอุ่นปลายกลิ่น โดยที่มีตัวแฝงสำคัญให้เริ่มจับต้องได้ชัดมากขึ้นนั่นคือ วานิลลาและหนังมาเป็นตัวรองพื้่นให้ความอลอุ่นปนน่าค้นหาแถมมีความหวานผ่อนคลายเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งพอมารวมกับกลิ่นช่วงต้นยิ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีความนิ่งอวลหวาน โดยยังมีความหอมกุหลาบติดเปรี้ยวอมหวานคลอเคลียจมูกอยู่ตลอด

เมื่อกลิ่นกุหลาบเริ่มเบาลงตามลำดับ และความเป็นวานิลลาเริ่มกลายเป็นตัวเอกที่รับช่วงในการเดินกลิ่นต่อ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวที่จะเป็นวานิลลามาจับคู่กับไม้จันทน์หอม โดยมีกลิ่นไม้หอมแห้งๆ เคล้าหนังเสริมแรงอยู่ กลิ่นจะให้ความหวานครีมมี่อบอุ่นผ่อนคลายกำลังดี แต่ไม่ได้หนักจนข้นเกินไป เนื้อกลิ่นจะเป็นแบบวานิลลาผสมไม้อยู่ตลอดให้จับต้องได้ รวมถึงจะมีกลิ่นหนังเย้าๆ เคล้ากลิ่นติดอวลเค็มคล้ายผิวกายอ่อนๆ เข้ามาตรึงให้กลิ่นมีเสน่ห์อวลๆ เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งก็คิดว่าน่าจะเป็น Cetalox หรือไม่ก็ Ambroxan ที่เป็นตัวสร้างโทนกลิ่นลักษณะนี้ (แต่คาดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังเพราะสอดรับกับกลิ่นไม้หอมได้พอดิบพอดี) โดยโทนกุหลาบจะยังมีอยู่หน่อยๆ ปลายกลิ่นที่ให้อารมณ์ออกทางกึ่งโทนแป้งเบาๆ แทนแล้ว มิติกลิ่นได้ทั้งอบอุ่น หวานครีมนวลกำลังดีไม่แต่หวานจัดจนเลี่ยนและข้นเกินไป แถมยังมีความระเรื่อนวลๆ โรแมนติคของกุหลาบอ่อนๆ เสริมติดปลายจมูก เป็นการปิดท้ายที่พอเมาะและสมดุลย์ได้ดีและน่าสนใจในทิศทางกลิ่นที่ไม่ได้จัดหนักมาก แต่ยังคงทนยาวนาน แบบที่ไม่ค่อยได้เจอจากแบรนด์นี้ได้น่าสนใจจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะเข้าได้หมดไม่ว่าจะชายหรือหญิง กลิ่นมีเสน่ห์แบบกึ่งกลางที่ผู้ชายใส่ก็อบอุ่นโรแมนติคแกมหวาน และผู้หญิงใส่ก็มีเสน่ห์หวานหอมนวลอวลน่าเข้าใกล้ ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการที่พอได้อยู่พอสมควร แต่อาจจะเลือกนิดนึงว่าถ้าทางการจัดๆ กลิ่นแบบนี้อาจจะหวานไป หรือใส่แบบทั่วๆ ไปที่เน้นสร้างความหวานเย้ามีเสน่ห์แบบนิ่งๆ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวตึ้บเอาได้ เพราะกลิ่นมีพลังอยู่ไม่น้อย ส่วนยามค่ำคืน ชี้ไปที่การใส่เพื่อความโรแมนติคหรือออกงานจะดีที่สุด เพราะเข้าทางม๊ากมาก

ความทน - หายห่วงในเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะว่า 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ ขนาดใช้ที่ 5 สเปรย์ เช่นนั้นวางใจได้ Montale ไม่ทำให้ผิดหวัง ยังไงก็แตะและไปต่อได้มากกว่า 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายตีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเสถียรกันยาวพอสมควรที่เป็ยบาเรียรอบตัวแบบกลางๆ ตีไปประมาณ 1 ช่วงแขนราวๆ นั้น พอผ่านไปซักราวๆ 5 ชม. กลิ่นเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวแทน แล้วจะคงที่กันยาวๆ ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - หักมุมจากความคาดการณ์และความรู้สึกที่คิดว่าจะทรงพลังมาเต็มไปเลย เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายลักษณะนี้นัก เพราะมาแบบอวลๆ กำลังดี มีพลังแบบบาเรียรอบกายกลางๆ ไม่ได้เปล่งพลังหมื่นลี้มาจากไหน แต่ให้ความนิ่งและลุ่มลึกเข้ามาผสมผสานโดยดันโทนได้ดีในการเป็นกุหลาบ วานิลลา และไม้จันทน์หอมที่ลงตัวแทน ซึ่งถ้ามองตามชื่อรุ่นว่า Pure Love ก็ถือว่าเหมาะสมเพราะถือเป็นรักที่อบอวลแบบนิ่งๆ และมีเสน่ห์ยามอยู่ใกล้แบบไม่ต้องโฉ่งฉ่างเล่นใหญ่ได้ลงตัวมากๆ อีกหนึ่งกลิ่นเลยทีเดียว 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.4doutfitters.com/frauen/beauty-parfum/parfum/16353/pure-love-eau-de-parfum-100ml

 

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Reminiscence - Patchouli Homme

Reminiscence - Patchouli Homme

ต้นกำเนิดน้ำหอมที่โดดเด่นกับความเป็นพิมเสนหรือ Patchouli ทำให้กลิ่นนี้กลายเป็นหนึ่งในกลิ่นที่น่าจดจำจนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นรุ่น Patchouli ของ Reminiscence ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ยุค 70 กับกลิ่นที่ตราตรึงเหนือกาลเวลาเสมอในโลกน้ำหอม แต่แม้ว่าเนื้อกลิ่นจะมีความ Unisex แต่การวางตำแหน่งน้ำหอมตอนนี้คือสำหรับผู้หญิงนี่สิ

เช่นนั้นเมื่อมีการต่อยอดมาเรื่อยๆ ในการเป็น Patchouli ของแบรนด์ เพื่อให้เนื้อกลิ่นนี้ตอบโจทย์ทางฝั่งของผู้ชายที่อาจจะเกรงใจในการไปใช้น้ำหอมผู้หญิงด้วย เลยได้สร้างสรรค์กลิ่นอายที่จะดึงลูกค้าผู้ชายโดยตรงขึ้นมาในปี 2000 ด้วยกับการเป็น Patchouli Homme แบบเต็มตัว และที่สำคัญเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมมาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้อีกด้วย เช่นนั้นเนื้อกลิ่นจะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไร มาลงรายละเอียดกันหน่อยดีกว่า

พิมเสนจะเป็นหัวใจหลักที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ โดยที่จะยังมีลายเซ็นของการเป็นลักษณะแบบ Patchouli ที่เป็นสไตล์ Earthy + แอมเบอร์ก็ยังเป็นลายเซ็นหลักของ Patchouli ของแบรนด์นี้อยู่ ซึ่งนี่คือสิ่งที่จะจับต้องได้ในทุกช่วงของน้ำหอม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมและทำให้เกิดความแตกต่าง คือ

Top Notes - คือ Fresh Patchouli ที่จะมีกลิ่นพิมเสนที่แตะความเป็นสไตล์สากปร่าจมูกติดเขียวเข้มที่มีลูกโทนกลิ่นแบบ Earthy ติดกลิ่นชอคโกแลตนิดๆ แนวสมุนไพรแต่ไม่ได้เป็นโทนแห้ง ที่มีลายเซ็นกลิ่นอวลเข้าโทนแอมเบอร์หน่อยๆ จะโดยโทน Citrus เป็นตัวเกลากลิ่นทั้งหมดและให้ความชื้นๆ ในเนื้อกลิ่นเข้ามาร่วมด้วย อย่างแรกเลยนั่นคือกลิ่นมะนาวที่จะให้ความเปรี้ยวสดชื่นแบบกลางๆ ไม่ได้เปรี้ยวเด่นเพราะไปตัดทอนกับพิมเสน แต่จับต้องได้ว่าเป็นวูบกลิ่นติดมะนาวมาก่อนวูบแรกสุด แล้วจะตามด้วยกลิ่นออกทางส้มที่ให้ความเปรี้ยวอมหวานเสริมให้กลิ่นพิมเสนเป็นโทนสดชื่นที่เข้าทางแบบสมุนไพรที่มีความชื้นแกมสะอาด แต่มีความ Dirty เนียนๆ แฝงแบบที่ควรจะเป็น ซึ่งถือว่าเปิดมาก็ได้เลยนี่แหละกลิ่นอายแบบที่เป็นพิมเสนแบบสุภาพขึ้น แต่แฝงความเป็น Patchouli ในสไตล์ Hippie บุปผาชนแบบเดียวกับต้นตระกูลได้เนียนได้ดีแท้

Middle Notes - โทนกลิ่นของสาย Citrus ต่างๆ จะเริ่มจางตามลำดับ เนื้อกลิ่นจะเริ่มแห้งมากขึ้น ซึ่งทำให้กลิ่นพิมเสนกลายเป็นโทนสมุนไพรแห้งๆ ที่กลางๆ กำลังดี ไม่ได้แห้งจนกลายเป็นยาจีน เพราะยังมีลูกเอื้อนโทน Citrus ประปรายที่ทำให้รู้สึกได้ว่ายังมีโทนสว่างอยู่ แต่ความแห้งที่ว่ามีโทนติดเขียวที่มีปลายกลิ่นเป็นกุหลาบอ่อนๆ อารมณ์น้ำในแจกันกุหลาบที่แห้งๆ แล้วจนมีกลิ่นเขียวกึ่งกุหลาบแห้งอ่อนๆ วูบมาแต่ไม่ได้ไปสาย Dirty และที่สำคัญมีโทนไม้แห้งๆ โปร่งๆ สว่างๆ ที่เป็นกลิ่นอายสไตลไม้ซีดาร์เข้ามาเสริมด้วย เลยทำให้กลายเป็น Woody Patchouli ที่ให้โทนกลิ่นแบบ Earthy แห้งๆ ติดหวานปร่าระเรื่อที่มีลูกโทนแบบแอมเบอร์แกมอบอุ่นเนียนๆ รองพื้นอยู่ ซึ่งนี่แหละคือความเป็นพิมเสนที่ให้โทนน่าค้นหาตามที่ควรจะเป็น กลิ่นเลยมาทางสายกลางชัดเจนที่ให้ความสว่างรื่นรมย์ก็ได้ น่าค้นหาก็ดี และสมาร์ทอบอุ่นหน่อยๆ ก็สามารถ

Base Notes - ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว ในการเป็นรอยต่อระหว่างช่วงกลิ่นจะเริ่มสัมผัสได้เลยว่าความเป็น Patchouli แบบสไตล์ต้นตระกูลเริ่มชัดขึ้นตามลำดับ เพราะความเป็นโทนแนวแอมเบอร์ที่มีความเป็นยางไม้ที่ให้ความอบอุ่นต่างๆ เริ่มเสริมเข้ามาชัดขึ้นตามลำดับ จนเมื่อได้ที่ก็เป็นช่วงท้ายเต็มตัว ซึ่งอย่างแรกเลยคือกำยาน Benzoin ที่ให้ความเป็นโทนอบอุ่นติดหวานแหลมวานิลลา แต่มีลูกผสมของกลิ่นโทนกึ่งหญ้าแห้งกึ่งยางไม้ที่มีอบเชยอ่อนๆ เนียนรวมอยู่ของ Tolu Balsam และกลิ่นแบบแอมเบอร์ที่ติดโทนหนังและมีความลึกในเนื้อกลิ่นอย่าง Labdanum ที่จะมาแท็กทีมกันทำให้ความเป็นพิมเสนมีความรุ่มรวยและอวลแอมเบอร์แบบสไตล์ต้นตระกูลมากขึ้น แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายฮิปปี้จ๋าๆ แต่จะเป็นการผสมผสานจนให้ความอบอุ่นอวลหวานปร่าแกมน่าค้นหามีเสน่ห์แบบสุขุมแทน เพราะความเป็นไม้หอมในช่วงกลางยังตามมาและมีกลิ่นกึ่งอัลมอนด์กึ่งยาสูบติดเขียวของถั่วตองก้าเข้ามาเสริมให้กลิ่นมีความรื่นรมย์อยู่ด้วย ทำให้ช่วงท้ายได้ความมีเสน่ห์ หรูหราแบบสุขุม และเป็นเอกเทศแบบที่คงความเป็นพิมเสนได้ครบถ้วนและสมดุลย์ในแบบที่ผู้ชายใช้แล้วเป็นสุภาพบุรุษที่ร่วมสมัยและมีเสน่ห์ได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เพราะเนื้อกลิ่นสไตล์นี้จะมีความร่วมสมัยมากกว่าจะทันสมัย แต่จะให้ออร่าที่มีเสน่ห์และแตกต่างแบบที่ไม่ได้ดู Modern จ๋า แต่ชวนพิศและสร้างความน่าสนใจรู้สึกได้เรื่อยๆ ที่เข้าทางกับการใช้งานในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ในแบบทางการหรือทั่วๆ ไปที่เน้นการสร้างบุคลิกที่สุขุม Nice และมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ ไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ รวมถึงถ้าจะใส่ท่องราตรีกลิ่นอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องความเย้ายวนเซ็กซี่นัก เพราะกลิ่นมาสายแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้มาแบบดมแล้วต้องมีความฟูพร้อมรบทันที เช่นนั้นข้ามไปน่าจะดีกว่า

ความทน - ลงตัวที่พื้นฐาน 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ โดยส่วนตัวเจอบ่อยมากที่ 12 ชม. กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นสร้างบาเรียบร้อบตัวในระดับหนึ่ง แล้วจะลดลงมาปานกลางแบบยาวพอสมควรราวๆ 4 ชม. ถึงจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่ก็เสถียรไปต่อถึงชั่วโมงที่ 8 ได้เลย แล้วจะผ่อนลงตามลำดับจนเป็น Skin Scent

สรุป - เป็นการปรับในเนื้อกลิ่นสไตล์ Patchouli กรุยกรายเดิม ให้มีเสน่ห์และมีโทนสว่างมากขึ้น โดยใส่โทนสุภาพบุรุษร่วมสมัยด้วยโทนสดชื่นและไม้หอมโปร่งๆ เข้าไป โดยไม่ทิ้งลายเซ็นเดิมที่ยังมีให้จับต้องได้ตลอด ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เป็นเสมือนตัวเชื่อมให้กับคนที่จะเข้าสู่การใช้น้ำหอมกลิ่นพิมเสนที่รุ่มรวยเสน่ห์แบบดั้งเดิมที่มีความ Classic เก๋ๆ ได้มาลองจับต้องเป็นเสต็ปแรกๆ ก่อนไปสู่ความเข้มข้นที่มากขึ้นในอนาคตได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนตัวได้รับความกลางๆ ที่ให้ได้ทุกอารมณ์ทั้งพิมเสนแบบแตะโทนสมัยใหม่และโทนพิมเสนอวลกรุยกรายแบบย้อนยุคที่ดึงดูดความสนใจกำลังดี เลยมีความสุขกับการใช้กลิ่นนี้มากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.ajhvipshop.top/ProductDetail.aspx?iid=174313631&pr=58.88

 

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565

Review: 4160 Tuesdays - Freeway

4160 Tuesdays - Freeway

ถ้าพูดถึงร้านน้ำหอม Niche Perfume ชื่อดังระดับโลกแน่นอนว่าหนึ่งในนั้น Luckyscent ต้องเป็นอันดับต้นๆ แน่นอน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในร้านน้ำหอมที่มีความหลากหลายทางแบรนด์ในการเลือกซื้อหาสูงมาก และยังมีขายเป็น Sample ขนาดจิ๋วในลักษณะแบบแบ่งขายให้ลองอีกด้วย (แม้ว่าจะจิ๋วมากไปหน่อยก็เถอะ) ซึ่งเมื่อเป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับความนิยม แน่นอนว่าในหลายๆ โอกาสก็ได้มีการร่วมกับแบรนด์ Niche หรือ Indie ในหลายๆ แบรนด์ สร้างสรรค์กลิ่นที่มีความเฉพาะเจาะจงเป็น Exclusive เฉพาะของร้านเข้ามาร่วมด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือ 4160 Tuesdays

ที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์กลิ่น มาจากการที่ Sarah McCartney ที่เป็นทั้งเจ้าของแบรนด์และสุคนธกรได้ไปเยือนที่ Luckyscent ในช่วง Summer เมื่อปี 2015 และได้เริ่มที่จะทำน้ำหอมขึ้นมาเป็น Exclusive ในการครบรอบ 15 ปีของร้านนี้ ด้วยแรงบันดาลใจที่มาจาก LA ล้วนๆ ทั้งการนั่ง/ขับรถหรูชมวิวสูดอากาศที่ทั้งมีกลิ่นอายน้ำมันเชื้อเพลิง ไอถนน กลิ่นอายเครื่องยนต์จากรถหรู ดอกส้มที่หอมรวยรินตามลม และขนมหวานต่างๆ รวมถึงการเดินเล่นบนฟุตบาทที่ Hollywood Boulevard ซึ่งทุกอย่างนำเสนอออกมาเพื่อเปรียบเสมือนเป็นกลิ่นอายของ LA ในอนาคต เช่นนั้น มาจับต้องกับเนื้อกลิ่นกันหน่อยดีกว่าว่าจะสร้างสรรค์ออกมาเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้ Freeway

เปิดกันเต็มๆ ด้วยความเป็นดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) ที่จะให้ความหอมนวลหวานแกมเปรี้ยวอ่อนๆ ที่มีความสะอาด แต่จะมีลักษณะเนื้อกลิ่นที่แปลกอยู่อย่างคือมีกลิ่นโทนออกทางคล้ายเหล้ารัม ทำให้ได้อารมณ์รัมดอกส้มนวลๆ หอมหวานโปร่งๆ มีเสน่ห์ดึงดูดเข้ามาร่วมด้วย และที่สำคัญการที่เสริมกลิ่นโทนติดเขียวของกิ่งก้านส้ม ที่ดึงเอาโทนเข้มติดที่ให้อารมณ์ของกลิ่นคล้ายยางแกมน้ำมันปิโตรเลียมเติมรถเป็นลูกเอื้อนเข้ามา โดยที่ยังมีความเขียวเปรี้ยวหอมสว่างกำลังดี มันเสริมกับกลิ่นของดอกส้มได้ยอดเยี่ยมไม่พอ ยัง + กลิ่นโทนแนวดาร์กที่ให้อารมณ์ยางรถยนต์แกมน้ำมันเชื้อเพลิงแฝงเนียนๆ บางๆ ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดสร้างภาพในหัวเหมือนนั่งรถเปิดประทุนสูดบรรยากาศรายรอบที่ให้โทนสีส้มสว่างแกล้มความเป็นโทนหวานโปร่งได้ดีจนเกินคาด

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มปูทางเข้าสู่ช่วงกลาง ที่กลิ่นจะมีความหวานที่แตกต่างมากขึ้นเพราะนอกจากดอกส้มแกมรัมจะตามมาในช่วงนี้ ก็จะมีความหวานโปร่งแห้งๆ ของยาสูบที่มาสอดรับ และมีมะลิมาเสริมให้กลิ่นดอกส้มมีความระเรื่อแกมนวลมากขึ้น ทุกอย่างยังคุมโทนผสมผสานระหว่างโทนสีส้มแกมนวลหวานโปร่งๆ อยู่ตลอด โดยที่เริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นวานิลลาที่เข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนสีครีมอ่อนๆ สร้างความสว่างนวลแกมหวานที่ไม่ได้หนักข้นเกินไป โดยโทนหวานแต่ละมิติสอดรับกันเป็นอย่างดีมากจนได้ความรื่นรมย์แบบวันฟ้าใสแสงแดดอบอุ่นที่มีความหวานหอมโปร่งให้จับต้องได้รอบๆ แบบลักษณะคล้ายวานิลลาดอกส้มที่กำลังดี ได้ความเป็นกึ่งๆ ขนมกึ่งไอศครีมที่ค่อนไปทางเจลาโต้หรือเชอร์เบท โดยที่มีความเป็นกลิ่นติดเปรี้ยวแกมเขียวติด Dirty ขื่นเย้าๆ นิดๆ ผลุบโผล่ๆ ให้รู้สึกตื่นเต้นในการจับกลิ่นเป็นระยะ เลยทำให้ได้อารมณ์ที่ไม่ใช่แค่ขนมแล้ว เพราะมีลูกเล่นความเก๋ๆ ดึงดูดแฝงเข้ามาร่วมด้วย

เมื่อกลิ่นโทนหวานเริ่มเบาลงมาอีกสเต็ป และเริ่มมีกลิ่นไม้หอมแห้งๆ เข้ามามากขึ้นจนกลายเป็นตัวเมน ซึ่งช่วงนี้จะมีความ Dirty นิดๆ แกม Smoky ติดเขียวขื่นบางๆ ที่จะเริ่มจับได้ว่านี่น่าจะเป็นกัญชาที่เกลาให้กลิ่นเขียวเปรี้ยวฉุนจัดๆ หายไป ทำให้ได้อารมณ์แบบไม้แห้งๆ ค่อนไปทางกลิ่นกระดาษหนังสือที่ค่อนข้างชัด โดยที่กลิ่นโทนวานิลลากับยาสูบจะยังคงตามมาในช่วงนี้อยู่ แต่พอมาเจอกับกลิ่นเหล้าบรั่นดีที่ให้อารมณ์แบบเหล้าที่มีกลิ่นไม้โอ๊ค ทำให้เนื้อกลิ่นวานิลลาจะยังคงมีความโปร่งแกมกลิ่นหวานระเรื่อของยาสูบที่ติดโทนเหล้าที่ on Top กลิ่นกระดาษหรือหนังสือแห้งๆ แบบเบาๆ ให้ลักษณะที่ Contrast แต่มีความ Mix & Match แบบเก๋ๆ ที่จะได้ความขรึมแบบหนังสือหรือกระดาษเก่าๆ ก็ได้ จะได้ความเป็นกลิ่นเหล้าวานิลลาแกมยาสูบที่มีลูกเอื้อนแบบไอศครีมเปรี้ยวหอมอ่อนๆ ปลายกลิ่นก็ได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เรียกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ  

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เข้าได้กับทุกเพศ เพราะเนื้อกลิ่นมีความกลางๆ กำลังดี แต่มีความเก๋แฝงเป็นระยะให้รู้สึกไม่เหมือนใครที่แตะได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ที่ชอบกลิ่นอายหวานโปร่งที่ให้โทนสีส้มไล่โทนไปนวลครีมติดไม้หอม ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะกลิ่นไม่ได้หนักข้นเกินไปด้วย เลยทำให้ใส่ได้หลายหลายไม่ว่าจะแบบทั่วไป เฮฮา ลั่นล้า ปาร์ตี้ จะเป็นกิจกรรมกลางแจ้งก็พอได้ หรือใส่ทำงาน Office ก็มีเสน่ห์ แต่ถ้ายามทางการอาจจะเลือกดูความเหมาะสมนิดนึง ส่วนออกกำลังกายข้ามจะดีกว่าเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายนี้

ความทน - พื้นฐานคือ 8 ชม. ที่ไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับการใช้งาน 6 สเปรย์เป็นเรื่องปกติของการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางประมาณ 3 ชม. ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป แบบเข้ามาอยู่ใกล้ๆ จะได้กลิ่นหวานมีเสน่ห์เข้าโทนสีส้มอ่อนๆ แล้วเริ่มเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปราว 8 ชม. ไปแล้ว     

สรุป - กลิ่นนี้ให้อารมณ์แบบท่อง LA ชานเมือง นั่งรถเปิดประทุนสัมผัสอากาศที่กำลังดี ไม่ร้อนเกินไป และมีกลิ่นอายหอมหวานโปร่งๆ อบอวลอยู่ในอากาศผสมผสานกันด้วยกลิ่นของดอกส้มให้ความสะอาดนวล วานิลลาให้ความอบอุ่น เหล้ารัมให้ความลุ่มลึกมีเสน่ห์ ยาสูบให้ความหวานโปร่ง ไม้หอมแห้งๆ ที่ให้ความผ่อนคลาย กลิ่นเขียวติดขื่นของกัญชาที่มาอ่อนๆ และกลิ่นออกทางยางผสมน้ำมันรถยนต์นิดๆ ทุกอย่างคือการถอดเอาการนั่งรถชิลล์ๆ ท่องเที่ยว Happy ลงขวดและเป็น Exclusive เฉพาะเว็บไซต์ Luckyscent ที่ทำออกมาได้มีเสน่ห์ หอมหวานโปร่งรื่นรมย์และดีต่อใจมาก อันนี้โดนตกเต็มๆ จริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.4160tuesdays.com/freeway.html

 

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2565

Review: CoSTUME NATIONAL - Scent Intense Parfum Red Edition

CoSTUME NATIONAL - Scent Intense Parfum Red Edition

จากต้นตระกูลที่ให้ความเป็นน้ำหอมกลิ่นชบา ที่ผสมผสานกลิ่นออกมาได้อย่างมีคลาส หรูหรา สว่างแต่เย้ายวนแฝงได้บาดจิตไม่เหมือนใครจนได้รับความนิยมเป็นตัว Top ของ CoSTUME NATIONAL อย่าง Scent EDP ที่มีแตกแขนงทั้งล่างที่เป็น Scent Sheer และเหล่า Scent Gloss ต่างๆ และบนที่มี Scent Intense และ Scent Intense Parfum ที่เพิ่มความดาร์กและซับซ้อนเย้ายวนโดดเด่นเข้าไปอีก ที่สำคัญหลายๆ รุ่นของสายนี้ แม้จะลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิงแต่จริงๆ Unisex แบบงดงามที่ผู้ชายใช้ก็มีเสน่ห์อย่างมาก เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งสายที่ยากที่จะโค่นได้ลงจริงๆ ในการเป็นหนึ่งในกลิ่นโทน Amber ที่ไม่ธรรมดามาเสมอ

และในปี 2018 การต่อยอดสายบนอย่างโซน Intense ก็ได้เปิดตัวความเป็น Scent Intense Parfum Red Edition ออกมา ซึ่งคราวนี้ไม่มาเจาะแค่การเป็นน้ำหอมผู้หญิงแล้ว แต่มากับการเป็นน้ำหอม Unisex กันอย่างเต็มๆ โดยแบรนด์ลงเอาไว้ว่าความเข้มข้นจะมากกว่าความเป็น Scent Intense ปกติจาก 23% มาเป็น 25% ที่เป็น Parfum โดยนำเสนอความแข็งแกร่ง แซ่บ และขบถที่ชัดเจนลุ่มลึกมากขึ้น เช่นนั้น ขอมาลองความขบถที่ว่ากันหน่อยว่าจะออกมาเป็นแบบไหน

Scent Intense Parfum Red Edition คงพื้นฐานเดิมแบบเดียวกับ Scent Intense ที่และมีลายเซ็นแบบที่เป็นตระกูล Scent ให้จับต้องได้ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีโทนที่ให้ความรู้สึกสีแดงชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นเป็นตัวขับเคลื่อนกลิ่นกันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้าย จุดเริ่มต้นก็จะเป็นโทนกลิ่นชาเขียว + เม็ดกระวาน ที่เป็นลายเซ็นแบบบอกเลยว่านี่แหละตัวเปิดเสมอของ Scent เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความเข้มชัดแต่ไม่ถึงกับหนักหน่วง และมีความลึกของกลิ่นที่จับมิติความชัดในโทนต่างๆ ได้ครบถ้วนเลย เพราะจะได้ความฝาดกึ่งอะโรม่าติดเขียวของชา ที่มีความปร่าขมเปรี้ยวของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เนียนๆ ผสมผสานกับความเผ็ดหวานเย้าปร่าแต่ไม่ถึงกับหนักข้นของเม็ดกระวานที่เรียกว่าช่วงนี้คือตัวเด่นเลย แถมเนื้อกลิ่นยังได้โทนกุหลาบหน่อยๆ เสริมอีก เลยทำให้ช่วงต้นเป็นโทนสีแดงโปร่งที่ดึงดูดและมีความเก๋ในเนื้อกลิ่นแบบที่ให้อารมณ์คงเดิมแบบ Scent Intense แต่เพิ่มความรู้สึกสีแดงเข้าไปนั่นเอง

เมื่อได้เวลาของช่วงกลาง สิ่งที่จะชัดเจนมากขึ้นคือ ความเป็นโทนดอกไม้ที่ให้สีแดงแบบไม่หนักข้น ซึ่งแน่นอนว่ากุหลาบกับชบาเป็นตัวแปรสำคัญและเป็นตัวเด่นสุดในช่วงนี้เลย โดยเนื้อกลิ่นในช่วงต้นต่างๆ จะยังตามมาอยู่แต่จะลดระดับเป็นสายซับที่ดี ซึ่งกระวานจะเป็นตัวเสริมให้มีความเป็นกุหลาบแกมเครื่องเทศโปร่งๆ และชาจะเสริมตัวชบาให้มีความแกมหวานระเรื่อที่ชัดขึ้น แล้วดอกไม้ทั้ง 2 ก็เลยกลายเป็นโทนเด่นที่แบบตีคู่กัน + ผสมผสานกันให้ความรู้สึกแบบสีแดงเต็มๆ ฟุ้งขึ้นมาให้รับรู้ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับได้มากกว่าความเป็น Scent Intense เดิมนั่นคือกลิ่นออกทางกึ่งเมทัลลิคที่ทำให้รู้สึกอารมณ์แบบกลิ่นเลือดสีแดงขึ้นมาหน่อยๆ ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นหญ้าฝรั่นที่เข้ามาสร้าง Effect ลักษณะนี้ โดยมีเลเยอร์ตรงกลางเป็นดอกไม้ขาวแนวมะลิที่มีความ Indolic หรือตุ่นนิดๆ ที่เป็นตัวเสริมความเร้าใจให้กลิ่นหน่อยๆ + ความอบอุ่นที่จะเริ่มชัดขึ้นในเนื้อกลิ่นตามลำดับ ทำให้ไล่โทนกันชัดจากสีแดงของกุหลาบชบากึ่งเมทัลลิค สู่ความนวลระเรื่อเย้าๆ และความอุ่นอวลชวนดึงดูด เรียกว่าเป็นช่วงที่น่าค้นหาและมีความเก๋ ชิค และใช่เลยขบถแบบฉีกตัวเองออกมาเป็นอีกเวอร์ชั่น โดยไม่ทิ้งความเป็น Scent Intense เดิม 

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มกลับเข้าสู่การเป็น Scent Intense ลักษณะเดิมมากขึ้นกับการเป็นโทนแอมเบอร์เด่น แต่จะไม่ได้โฉ่งฉ่างแบบใส่แอมเบอร์มาเต็มๆ ซึ่งจะให้ความเป็นแอมเบอร์ในลักษณะแบบแบบกึ่งผิวกายติดเค็มอ่อนๆ ที่เป็นโทนกลิ่นแบบ Ambergris ที่มีโทนวานิลลาอยู่อ่อนๆ ซ้อนประปรายผสมผสานกับโทนครีมมี่ไม้หอมของจันทน์หอมหน่อยๆ แกมยางไม้ที่เป็นลักษณะกลิ่นแบบแอมเบอร์ปกติรวมอยู่ด้วย แต่สิ่งที่สะกิดจมูกเพิ่มก็คือ มีโทนหนังเข้ามาตัดทอนให้ได้ความรู้สึกห่ามเบาๆ และมีความเป็นกุหลาบแกมชบาบางๆ ที่ตามมาซึ่งสร้างความเซ็กซี่เย้ายวนร่วมด้วย นี่แหละลายเซ็นของความเป็น Scent Intense ล่ะ เพียงแต่กลิ่นไม่ได้โฉ่งฉ่างทรงพลัง แต่ผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผิวกายที่สร้างเสน่ห์ในมิติเชิงลุ่มลึกมากขึ้นในลักษณะการเป็น Parfum ถือว่าเป็นการปิดท้ายกลิ่นที่ยังเคารพที่มาที่ไป แต่เพิ่มความเร้าใจในโทนสีแดงออกมาได้อย่างไม่ธรรมดาและน่าสนใจมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมาก แม้จะเด่นที่ดอกไม้แต่ก็ยังคุมโทนที่ใช้ได้ทุกเพศ แบบที่สร้างความเก๋ ความแซ่บขบถประมาณนั้น ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป หรือใส่ทำงานเน้นความเก๋และมีสไตล์ทางกลิ่นที่มีคลาสประมาณนั้น แต่ถ้าใส่ยามทางการอาจจะต้องพิจารณาสถานการณ์นิดนึง แต่ที่ข้ามไปได้เลยคือการใส่เพื่อออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืน ได้หมดทั้งทั่วไป ใส่ออกงาน หรือท่องราตรีแบบไม่ได้เต้นรากแตก เน้นเก๋ๆ ส่วนถ้าจะใส่เพื่อโรแมนติคก็พอได้อยู่ แต่มันจะ Unique นิดนึง

ความทน - อันนี้แหละที่เรียกว่ามาเต็ม เพราะความเข้มข้นสูงระดับ Parfum แม้กลิ่นอาจจะไม่ได้ถึงกับทรงพลังแต่มันฝังลงไปในจุดฉีดแบบยาวนานมาก อาบน้ำล้างตัวก็ไม่ออกไปง่ายๆ ซึ่งถ้าวัดความทนที่กลิ่นกระจายได้นานขนาดไหนก็ตีไปที่ 8 ชม. กำลังดี แต่ถ้าวัดการติดทนบนผิวกายอันนี้ขอให้ที่ 18 ชม. ไปเลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และค่อนข้างคงตัวยาวไปประมาณ 3 ชม. ก่อนที่จะลงมาเป็นปานกลางแล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวตั้งแต่ชั่วโมงที่ 5 - 6 เป็นต้นไป เรียกว่าไม่ได้ปล่อยพลังมาก แต่มีดีเรื่องออร่าสีแดงรอบตัวประมาณนั้น

สรุป - เนื้อกลิ่นยืนพื้นที่การเป็น Scent Intense ชัดเจน เพียงแต่กลิ่นจะมีความมิติเชิงลึกมากขึ้นและเสถียรบนผิวได้ยาวนานขึ้น รวมถึงฉีกตัวเองออกมาเป็น Red Edition ได้อย่างสวยงามโดยไม่ทิ้งลายเซ็นเดิม เพิ่มเติมความขบถที่ทันสมัย ที่สำคัญใครที่ชอบกลิ่นแอมเบอร์ อย่าได้พลาดแบรนด์นี้เชียวเพราะเขาเก่งโทนนี้มากจริงๆ และทำได้แตกต่างมากเสียด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://en.costumenationalscents.com/products/intense-red-edition

 

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565

Review: Skylar - Vanilla Sky

Skylar - Vanilla Sky

จากจุดเริ่มต้นที่เป็น Working Woman และต้องเสริมบุคลิกตัวเองในด้านต่างๆ รวมถึงกลิ่นน้ำหอมที่สร้างออร่าในด้านต่างๆ ของ Cat Chen จนมาวันหนึ่งพบว่าลูกสาวตัวเองมีอาการภูมิแพ้ที่กระทบกับการใช้น้ำหอม และอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับสารเคมีที่อาจจะไม่เป็นมิตรต่อร่างกายและก่อให้เกิดการแพ้ เลยปิ๊งแว้บในการค้นหาว่าจะมีน้ำหอมที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือมีสารเคมีอันตรายหรือไม่ ซึ่งคำตอบคือ “ไม่เจอ”

ในเมื่อไม่เจอชิมิ คุณแม่ก็เลยตัดสินใจในการจะสร้างแบรนด์น้ำหอมขึ้นมาเอง โดยที่น้ำหอมที่ทำต้องไม่มีการไปทดลองกับสัตว์ ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ใดๆ และปลอดภัยแต่การใช้บนผิวกาย เช่นนั้นเลยเกิดเป็น Skylar ขึ้นมาในที่สุด กับการนำเสนอการเป็น Clean Beauty ทางด้านกลิ่นและปลอดภัยต่อการใช้งาน เช่นนั้นอยากรู้แล้วว่าแบรนด์นี้จะทำกลิ่นออกมาอย่างไร และจะลงตัวขนาดไหน เช่นนั้นมาเจอกันครั้งแรกกับแบรนด์นี้ ก็ขอมาเล่ากลิ่นในรุ่นที่เข้าตาและน่าสนใจอย่าง Vanilla Sky เป็นตัวเปิดแล้วกัน ส่วนในอนาคตจะได้เจอกับตัวไหนอีกว่ากันอีกที

Vanilla Sky เปิดตัวมาก็ครีมมี่กันมาเลย แน่นอนว่าวานิลลาจะเป็นตัวหลักให้จับต้องได้กันตั้งแต่แรกสุด และไปจนถึงช่วงท้ายเลย ซึ่งในช่วงแรกอารมณ์จะได้เป็นลักษณะแบบนมอุ่นวานิลลาครีมมี่ที่มีกลิ่นกาแฟหน่อยๆ และมีปลายกลิ่นเป็นโทนส้มที่ให้ความสดชื่น และมีโทนเบาๆ แบบอากาศแบบสดชื่นแกมปร่าขมบางๆ ที่น่าจะเป็นแนวๆ มะกรูดฝรั่งติดปลายกลิ่นของส้มอีกที เลยทำให้เลเยอร์กลิ่นจะเป็นวานิลลาครีมมี่นมๆ ที่หวานกำลังดี มีความหอมกาแฟเบาๆ เคล้าความสดชื่นของส้มที่ให้ลูกเล่นหน่อยๆ โดยไม่ทำให้เนื้อกลิ่นไปสายขนมหรือของกินจัดๆ เกินไป อารมณ์ว่าหอมนุ่มหวานแบบมีความสดชื่นที่กลางๆ ไม่เข้มหรือเบาโหวงจนเกินไป

ในการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลางสิ่งที่จะเริ่มจางหายไปเลยนั่นคือสาย Citrus ไม่ว่าจะส้มหรือความปร่าอ่อนๆ ที่น่าจะเป็นมะกรูดฝรั่ง เรียกว่าไม่ได้รู้สึกอะไรถึงกลิ่นเหล่านี้เท่าไหร่แล้ว แต่จะกลายเป็นวานิลลาที่มีความครีมมี่อยู่เช่นเดิม แต่จะมีความอบอุ่นมากขึ้นจากโทนหวานเผ็ดอุ่นของอบเชย และความหวานหอมคาราเมลที่เข้ามาเสริมด้วย และมีกลิ่นระเรื่อบางๆ ให้โทนสว่างหน่อยๆ ของมะลิแบบประปรายอ่อนๆ ซึ่งอันนี้ถือว่าไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เพราะจะเริ่มเป็นกลิ่นวานิลลาที่มีความอวลกำลังดี มีความครีมมี่ของนมที่ติดกาแฟอ่อนๆ และมีความหอมหวานเครื่องเทศอุ่นๆ ของอบเชย ซึ่งถ้าตีโจทย์กันง่ายๆ นี่เหมือนวานิลลาคาราเมลแมคคิอาโต้ทีครีมมี่นมๆ ผสมกาแฟนิดๆ โรยด้วยผงอบเชยประมาณนั้น แต่ที่น่าสนใจคือ ไม่หนักไป ไม่พยายามที่จะทำให้อวลจนกลายเป็นขนมหรือของกินเดินได้ เลยถือว่าให้ความอวลๆ มุ้งมิ้งกำลังดีมีความอบอุ่นผ่อนคลายกำลังงามแทน

ในช่วงรอยต่อระหว่างกลางกับท้าย จะสัมผัสได้เลยคือโทนไม้หอมที่จะเสริมขึ้นมาแบบเบาๆ ไม่ได้เด่นจนกลบวานิลลา หรือไม่ได้เบาจนแทบไม่รู้ว่ามี แต่จะมาแบบ 2 โทน คือ ความเป็นไม้หอมโปร่งๆ แนวๆ ไม้ซีดาร์ที่มีความปร่าแกมไม้แห้งสว่างๆ และมีกลิ่นโทนไม้จันทน์หอมครีมมี่อ่อนๆ สว่างๆ ซึ่งทั้ง 2 โทนนี้จะมาแบบเป็นตัวเสริมที่ดีมากกว่าให้โทนวานิลลาคาราเมลติดหวาน มีโทนไม้หอมเจือๆ ลดความหนักไปได้มาก รวมถึงความครีมมี่นุ่มนมเลยเบาลงตามลำดับ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายเต็มตัว ก็กลายเป็นโทนไม้หอมที่มีกลิ่นคาราเมลวานิลลาแบบเบาๆ โดยมีความสุภาพ เรียบง่าย และอบอุ่นกำลังดี ซึ่งแอบจับได้ว่ามีกลิ่นแนวคล้าย Amberwood อ่อนๆ เป็นตัวตรึงกลิ่นเสริมโทนไม้หอมให้ชัดเจนกว่าวานิลลาอยู่ด้วย ซึ่งกลิ่นถือว่าให้ความผ่อนคลายสบายๆ อวลเรื่อยๆ ที่ไม่ซับซ้อนเข้าทางมินิมัลเสียด้วยซ้ำในแบบที่ไม่ปล่อยพลังหรืออัดหนักเกินไป

เหมาะสำหรับ - Unisex แบบสบายๆ เลย ไม่ว่าเพศไหนก็จัดกลิ่นนี้ได้ เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้หนักเกินไป ให้ความครีมมี่หวานนวลที่ใช้ง่าย ผ่อนคลาย อบอุ่นและเรียบหรูเรื่อยๆ ได้ไม่ยาก ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ซึ่งกลิ่นไม่ได้เบ่งพลังซูเปอร์ไซย่าเลยทำให้ใส่ได้หลากหลายช่วงเวลา จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายอาจจะรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นแนวนี้ไม่เข้าทางกับเหงื่อนัก ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อโรแมนติคหรือออกงานจะดีที่สุด

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไป 8 ชม. กำลังดีเสมอในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นวูบนึง แล้วจะลงมาปานกลางราวๆ 1 ชม. ถึงจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนถึงราวชั่วโมงที่ 6 แล้วจะเป็น Skin Scent จนกว่าจะจางไป

สรุป - ตอนแรกที่ใช้นึกถึง Pinrose - Secret Genius พอสมควรเพราะ Notes กลิ่นใกล้เคียงกัน แต่พอจับต้องไปเรื่อยๆ  Vanilla Sky จะมาสายครีมมี่มากกว่า และไม่มีชอคโกแลตขาวแต่อย่างใด อันนี้เลยถือว่าไม่ได้เหมือน จะมีแค่พื้นฐานที่เป็น Gourmand เหมือนกันเท่านั้น แต่ในภาพรวม นี่คืออารมณ์วานิลลาคาราเมลแมคคิอาโต้ที่โรยอบเชยแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ อวลๆ มุ้งมิ้งกับตัวเอง + กลิ่นสถานที่แนว Cafe ที่มีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ แต่ชัดเจนมาเจอกัน ซึ่งถือว่าเป็นวานิลลาที่ใช้ง่ายและเป็นสาย Lighter ที่เข้าถึงง่ายอีกหนึ่งกลิ่นเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://skylar.com/products/vanilla-sky


 

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2565

Review: Molton Brown - Milk Musk

Molton Brown - Milk Musk

ถ้าว่ากันถึงแบรนด์ที่เน้นในเรื่องความหอมที่มาในสาย Body & Hair Care ที่เรียกว่ามีเจลอาบน้ำกลิ่นหอมหลากหลายมากๆ และมีความ Luxury ไม่น้อย จนต่อยอดมามีน้ำหอมที่ได้รับความนิยมมาเสมอตั้งแต่ยุค 70 จนถึงปัจจุบัน แถมถ้าได้ไปนอนโรงแรมระดับ 5 ดาวหลายๆ แห่งใน UK เขาก็ใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำของแบรนด์นี้เป็นหลักเสียด้วย ซึ่งนั้นก็คือ Molton Brown ที่สร้างความประทับใจมาอย่างยาวนาน

แต่เพราะเน้นในเรื่องของน้ำหอมเลยขอมาป้วนเปี้ยนทางนี้แทน ซึ่งเมื่อได้เห็นว่า Molton Brown มีการทำน้ำหอมออกมาเป็น 2 โซนที่มักจะเป็นชื่อกลิ่นเดียวกัน แต่ต่างกันที่ความเข้มข้นนั่นคือ Eau de Toilette และ Eau de Parfum ซึ่งพอแบ่งออกมาแบบนี้ คาดเดาได้ไม่ยากว่าพื้นฐานกลิ่นจะเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ความรู้สึกในการใช้งานและโทนเสริมต่างๆ ที่เข้าทางกับความเข้มข้นในแบบนั้นๆ แน่ๆ (แนวๆ เดียวกับสาย Designer ที่มีรุ่น EDT EDP และ Parfum ในชื่อรุ่นเดียวกันประมาณนั้น) ดังนั้นเมื่อได้มาเจอกับแบรนด์นี้ครั้งแรก ก็ขอมาลองความหอมของโทนเรียบง่ายนุ่มนวลอย่าง Musk ซะหน่อยกับการเป็นสาย EDT ดูสิว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไร

Milk Musk EDT เปิดตัวมาได้น่าสนใจมากกับสิ่งที่รู้สึกได้เลยว่าจะมีและจะมีกันยาวๆ ไปอยู่ในทุกช่วงนั่นก็คือ Musk แต่กลับไม่ได้เด่นมากนักในช่วงต้น เพราะว่าเป็นเสมือนพื้นกลิ่นที่รอการเปิดตัวเสียมากกว่า แต่จะให้โทนสดชื่นติดหวานอมเปรี้ยวแกมเขียวนิดๆ ขึ้นมาเป็นตัวเรียกความสนใจก่อน ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนผลไม้ที่มีความหอมติดฉ่ำเล็กๆ ของลูกแพร์ที่มีความหวานเจือแกมกลิ่นพีชที่ให้ไม่ได้ออกทางหวานนวลแต่มีความหอมแกมเปรี้ยวสดชื่นเล็กๆ ที่คาดว่าน่าจะมีตัวเสริมสำคัญอย่างมะกรูดฝรั่งที่ให้ความเป็น Citrus ติดปร่าอ่อนๆ แกมเขียวนิดที่สร้างบรรยากาศ แน่นอนว่าได้ความสดชื่นรื่นจมูกหวานอมเปรี้ยวใสๆ ที่มีความเขียวประปรายมาดึงจมูกแบบเรื่อๆ ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงความสะอาดนวลอ่อนๆ ที่เป็นฉากหลังซึ่งเป็นการปูทางในช่วงต้นที่สร้างความประทับใจแบบไม่โฉ่งฉ่างได้น่าสนใจในการติดตามกลิ่นต่อ

เมื่อเนื้อกลิ่นโทนสดใสและสดชื่นหวานผมเปรี้ยวอ่อนๆ เริ่มเบาลง ก็เปิดทางให้ Musk กลายเป็นผู้เล่นที่ดันตัวเองขึ้นมาเป็นตัวเอกหลักในที่สุด เนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นเข้ามาร่วมด้วยแบบค่อยเป็นค่อยไปและค่อยๆ พลิกเนื้อกลิ่นจากช่วงต้นสู่การเป็นโทนอบอุ่นผ่อนคลายในที่สุด แต่ก็ยังมีกลิ่นโทนสดชื่นประปรายแบบบางๆ อยู่ให้พอรู้สึกได้ ซึ่งเนื้อกลิ่นในช่วงนี้จะมีความมินิมัลสูงมากในการนำเสนอโทน Musky ที่อบอุ่นนุ่มนวลและกรุ่นรื่นรมย์จมูกมาก ซึ่งแน่นอนว่า Musk ให้ความนุ่มสะอาดนวลแบบที่ยังไงก็รอด แต่ตัวเสริมแรกนั่นคือวานิลลาที่มาในโทนแป้งอบอุ่นทำให้เนื้อกลิ่นติดหวานอุ่นอ่อนๆ กำลังดี ตามด้วยกลิ่นอวลไม้หอมที่สว่างๆ กึ่งผิวกายติดเค็มเล็กๆ ของโทนกลิ่นแนวสารหอมอย่าง Ambroxan ที่เข้ามาเป็นตัวตรึงให้เนื้อกลิ่นมีมิติออกทางสีไม้สว่างๆ เลยทำให้ช่วงนี้ได้ความเป็นโทน Musky ที่มีความครีมมี่นวลๆ หอมนุ่มๆ ละมุนๆ ได้ทั้งความเป็นแป้งหน่อยๆ ก็ได้ ความเป็นกลิ่นอวลผิวกายนุ่มสะอาดก็ดี แบบที่ไม่โฉ่งฉ่างเน้นเรียบหรูนุ่มนวลผ่อนคลายที่น่ากอดไม่ใช่น้อยอีกด้วย

ในการเข้าสู่ช่วงท้าย เนื้อกลิ่นจะเอาจากช่วงกลางมาทั้งหมด เพียงแต่จะเพิ่มลูกเล่นทางกลิ่นที่ให้ความรู้สึกแบบครีมมี่นุ่มนมเข้ามาด้วยจากความเป็นถั่วตองก้า เลยจะได้วูบกลิ่นทั้งความรู้สึกแบบติดแป้งนมกึ่งวานิลลาที่มี Musk นุ่มๆ สะอาดๆ คลอ แต่ก็ยังมีความอบอุ่นจากตัว Ambroxan เสริมตรึงกลิ่นไม้อยู่เช่นเดิม และมีลูกเอื้อนกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ จรึมๆ หน่อยๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นไม่ได้หวือหวาหรือว่าโฉ่งฉ่างแต่อย่างใด แต่ให้ความนุ่มละมุนเรื่อยๆ มาเรียงๆ ที่มีความเรียบหรูมินิมัลแบบไม่ต้องเยอะสิ่งได้อย่างลงตัวและผ่อนคลายน่าเข้าใกล้ได้ดีจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมากแบบที่ไม่ว่าเพศไหนก็รับเอาความนุ่มในเนื้อกลิ่นแล้วมีความสุขได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบครอบจักรวาล ใส่ไปเหอะรอดและผ่อนคลายจริงๆ แต่จะมีนิดนึงคือ ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกาย ควรจะรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า เพราะมันจะสร้างความรู้สึกนุ่มสะอาดได้ดีกว่าอวลอุ่นกระจายออกรอบตัว ส่วนยามค่ำคืนได้หมดทั้งการใส่ออกงาน ใส่ทั่วๆ ไป ใส่ยามโรแมนติค หรือว่าใส่นอนแบบเบาๆ ก็ยังได้ เพราะกลิ่นชวนซุกกอดได้ไม่ยากเลย

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างก็ราว 2 ชม. ซึ่งส่วนตัวเจอที่ราวๆ 10 ชม. เสมอกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในช่วงต้น เนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังแต่ให้ความเพลินจมูกกับตัวผู้ใช้เองแทน แต่พอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะมีความอวลหนาขึ้นมาอีกสเต็ปมาเป็นกระจายดีซักครู่ ก่อนที่จะผ่อนลงมาที่ปานกลางแล้วลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันตั้งแต่ราวชั่วโมงที่ 3 ของการใช้งาน แล้วก็จะยาวๆ ไปจนกลายเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปประมาณ 6 ชม. ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าผิวผู้มช้คนนั้นจะกักน้ำหอมต่อได้นานขนาดไหน

สรุป - กลิ่นไม่ได้หวือหวา กลิ่นไม่ได้ถึงกับแหวกแนว และกลิ่นก็ไม่ได้มาสายกระจายจัดจ้าน “แต่” Milk Musk EDT กลับให้ความเรียบง่ายที่หอมสดชื่นส่งต่อที่ความนุ่มละมุนและอบอุ่นแบบผ่อนคลายกับตัวผู้ใช้ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบไม่ร้อน โดยที่ยังคุมโทนกลิ่นสไตล์มินิมัลเรียบหรูไม่เยอะสิ่งได้ลงตัวมากมาย ที่แน่ๆ ส่วนตัวบอกเลยว่ากลิ่นนี้ใส่แล้วมันมีความน่าซุกมากๆ เพราะกลิ่นหอมนุ่มนวลครีมมี่อ่อนๆ แบบชวนซุกและชบจุดที่ซุกกันยาวๆ จริงๆ   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.moltonbrown.co.uk/store/fragrance/eau-de-toilette/milk-musk-eau-de-toilette-100ml/NMP262

 

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2565

Review: Chanel - Le Exclusifs de Chanel: Jersey (Eau de Toilette)

Chanel - Le Exclusifs de Chanel: Jersey (Eau de Toilette)

จากจุดเริ่มต้นของการเป็นผ้าที่ผลิตขึ้นมาเฉพาะที่บนเกาะเจอร์ซีย์ (ที่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในดินแดนปกครองตนเองที่ขึ้นอยู่กับอังกฤษ) ด้วยการทอจากขนแกะที่มีลักษณะอ่อนนุ่มเก็บความอบอุ่นโดยมักเอามาทำชุดชั้นใน แต่ผ้าชนิดนี้ก็ได้แจ้งเกิดประจักษ์แก่สายตาชาวโลกด้วยฝีมือของ Coco Chanel ที่เอาผ้าประเภทนี้มาต่อยอดในการทำเสื้อสเวตเตอร์แบบกะลาสีให้ผู้หญิง รวมถึงต่อยอดในเรื่องของแฟชั่นเครื่องแต่งกายอื่นๆ ตามมาอีกมาก จนทำให้เป็นหนึ่งในความนิยมอย่างต่อเนื่องจนมาถึงปัจจุบัน โดยต่อยอดเป็นเทคโนโลยีทางสิ่งทอต่างๆ อีกมากมายอีกด้วย

และนี่แหละที่เป็นหนึ่งในความสำเร็จทางหน้าประวัติศาสต์ของ Coco Chanel ที่ได้กลายเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจกับการสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมใน Collection - Le Exclusifs de Chanel ตั้งแต่ตอนเปิดตัวออกมาเป็น Eau de Toilette จนปัจจุบันอัพเกรดทั้งหมดมาเป็น Eau de Parfum เรียบร้อยแล้ว (ซึ่งก็เลิกผลิตแบบ EDT ไปทั้งหมดด้วย) + มีเป็นรุ่น Parfum เข้มข้นขวดขนาด 15 ml ด้วยที่ยังมีจำหน่ายอยู่ แต่การจะไปที่ EDP กับ Pure Parfum มันคงผ่านจุดเริ่มต้นไปไม่ได้ เช่นนั้น การเรียนรู้ทางกลิ่นและเล่าต่อว่าต้นทางอย่างรุ่น EDT เป็นอย่างไรจึงต้องมี เช่นนั้นว่ากันเรื่องกลิ่นต่อที่ย่อหน้าถัดไปได้เลย

Jersey จะยืนพื้นหลักเลยที่กลิ่นลาเวนเดอร์ ที่จะเนียนอยู่ในทุกช่วงกลิ่นแบบจากเด่นสู่การเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ขาดไปเสียไม่ได้เลย ซึ่งช่วงเปิดจะเป็นลาเวนเดอร์สดชื่นแบบแนวสมุนไพร ซึ่งอารมณ์กลิ่นจะได้ลาเวนเดอร์ที่มีความนวลละมุนชัดเจนแต่ไม่หนักออกแนวเรื่อยๆ มาเรียงๆ ที่มีความเรียบหรู เสริมด้วยความสดชื่นติดคมหน่อยๆ จากกลิ่นหญ้าเขียวๆ กลิ่นแนวสมุนไพรสดค่อนแห้งที่ให้อารมณ์กึ่งหญ้าแห้ง (Hay) ที่มีอารมณ์ติดขมแบบอัลมอนด์ดิบหน่อยๆ อยู่ด้วย (คิดว่าน่าจะมาจาก Coumarin ที่มาจากถั่วตองก้า) เลยทำให้อารมณ์กลิ่นค่อนข้างมีความมินิมัลแบบที่เรื่อยๆ มาเรียงๆ ได้ความผ่อนคลายและสดชื่นแกมสะอาดในเวลาเดียวกัน

เมื่อเนื้อกลิ่นโทนเขียวสดชื่นกึ่งสมุนไพรเริ่มเบาลง และโดนแทนที่ด้วยกลิ่นออกทางโทนแป้งที่น่าจะเป็นไวโอเล็ตกับไอริสมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นกึ่งแป้งกึ่งทึบหน่อยๆ สอดรับกับลาเวนเดอร์เองที่มีลูกเอื้อนทางกลิ่นเป็นโทนแป้งหอมผ่อนคลายสะอาดๆ นวลอยู่ด้วย และไม่พอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นกึ่งแป้งนิดๆ ที่น่าจะมาจากวานิลลาเป็นหนึ่งในพื้นกลิ่น และมีความหวานนวลๆ มะลิอ่อนๆ มีความนวลกุหลาบบางๆ รวมอยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงนี้จะมี 2 ความรู้สึกหลักๆ เลย คือ กลิ่นจะเป็นโทนแป้งลาเวนเดอร์ผ่อนคลายที่มีทั้งแป้งติดหวานดอกไม้ แป้งอบอุ่น และแป้งฝุ่นแบบแป้งเครื่องสำอางค์หน่อยๆ ก็ได้ หรือจะเป็นกลิ่นที่ออกทางกลิ่นผ้าสะอาดนวลที่มีกลิ่นลาเวนเดอร์กับดอกไม้อ่อนๆ แทรกอยู่ในนั้น ซึ่งอันนี้แหละที่เข้าทาง Concept ที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์กลิ่นที่สุดแล้ว

ในช่วงท้ายจะเปลี่ยนแปลงจากช่วงกลางอยู่พอสมควรโดยจะลดทอนโทนแป้งติดทึบออกไป แต่จะมีความนุ่มนวลของ Musk เข้ามาสร้างความหอมติดหวานอ่อนๆ นุ่มๆ อารมณ์แบบกลิ่นติดผิวกายนวลๆ แกมความอบอุ่นของวานิลลาที่เข้าทางโทนแป้งที่จะมีกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อนๆ ประปราย และมีกลิ่นโทนไม้หอมครีมบางๆ ที่คิดว่าน่าจะต้องมีไม้จันทน์หอมอยู่ในนี้ด้วยล่ะ ซึ่งก็ถือว่าครบเครื่องในการสร้างสรรค์กลิ่นโทนนุ่มสะอาดที่เชื่อมโยงกับกลิ่นผ้านุ่มสะอาดแบบสไตล์ผ้าเจอร์ซีย์กลิ่นลาเวนเดอร์อ่อนๆ ได้อยู่ ถือเป็นการปิดท้ายที่ผ่อนคลายและรอดทางกลิ่นในการใช้งานสูง แถมมินิมัลมีระดับในการเป็นสไตล์แนว Chanel ที่เด่นเรื่องโทนแป้งได้อย่างลงตัว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศ แต่ไพล่มาทาง Unisex อยู่บ้าง เลยทำให้ผู้ชายก็ใช้ได้ เพียงแต่ช่วงกลางจะออก Feminine มากหน่อยประมาณนั้น ซึ่งเข้าได้กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่าใช้แล้วยังไงก็รอดสูงแถมมีระดับในเนื้อกลิ่นอีกด้วย แต่จะมีก็การใส่เพื่อออกกำลังกาย ซึ่งไม่ได้มาสายนี้ แต่ก็ฑอได้อยู่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ไปแล้ว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ผ่อนคลายสบายๆ หรือออกงานจะลงตัวที่สุด

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะน้อยกว่านี้หรือไปต่อได้มากกว่านี้ได้ทั้ง 2 อย่าง ตีไปที่ลบ 2 ชม. แต่บวกเกิน 2 ชม. ไปอีกแล้วแต่สภาพผิวผู้ใช้และจำนวนสเปรย์ โดยส่วนตัวเจอที่ 8 - 10 ชม. เป็นประจำในการใช้งาน  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางกันไปซักราว 4 ชม. ถึงจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวและเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปซักราวๆ 6 ชม. ไปแล้ว

สรุป - หนึ่งในกลิ่นลาเวนเดอร์ที่มีความสมดุลย์กำลังดี ให้อารมณ์กลิ่นลาเวนเดอร์ติดผ้าเจอร์ซีย์สะอาดนุ่มนวลที่อ่อนโยนก็ได้ น่ารักก็ดี คุมโทนเนื้อกลิ่นที่มีเสน่ห์แบบน้ำหอม Chanel คือโทนแป้งได้ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นกลิ่นที่ยังไงก็ตามคนชอบลาเวนเดอร์ดมแล้วโดนตกได้ไม่ยากเลยยามได้ดมครั้งแรก เช่นนั้นเนื้อกลิ่นเป็นแบบนี้ในการเป็น EDT เลยอยากรู้ต่อเลยว่ารุ่น EDP ที่อัพเกรดแล้วจะเป็นอย่างไรขึ้นมาเลย ไว้มีโอกาสคงต้องไปต่อที่รุ่นนั้นเพื่อเติมเต็มให้ครบถ้วนซะแล้ว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ถือเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.ca/Chanel-Jersey-Toilette-Bottle-200ml/dp/B00A5MP9IQ

 

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565

Review: Memo Paris - Lalibela

Memo Paris - Lalibela

Lalibela ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ในเขตที่ราบสูงของเอธิโอเปีย และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนเป็นอันมาก ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแวะพักยอดนิยมเลยก็ว่าได้ เพราะมีสถานที่ที่เป็น Signature สำคัญอย่างโบสถ์ Bet Giyorgis ที่เป็นการสกัดหินภูเขาไฟลงไปราว 15 เมตร แล้วสลักเป็นโบสถ์ที่หลังคาจะเป็นรูปกากบาทไม้กางเขนอยู่ใจกลาง ซึ่งแน่นอนว่าไม่เหมือนวัฒนธรรมการสร้างโบสถ์แบบนี้จากที่ไหนในโลก จนได้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในทุกวันนี้ ที่สำคัญเมืองนี้ชาวคริสต์ในแถบนั้นถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์อีกด้วย

และเมื่อแบรนด์ Memo Paris ได้แรงบันดาลใจจากการไปท่องเที่ยวที่ Lalibela และเอามาสร้างสรรค์กลิ่นรวมเป็นหนึ่งใน Collection - Les Echappees ที่เป็นการเจาะจงสถานที่พิเศษเฉพาะที่เหมาะกับการไปเยือนเพื่อลบลี้หนีหายไปจากโลกปัจจุบัน (แต่ปัจจุบันโดนย้ายมาอยู่ใน Collection - Fleurs Bohèmes ที่เน้นชูโรงความเป็นดอกไม้กับสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว) แน่นอนว่าความน่าสนใจก็มีไม่น้อยเลยทีเดียวว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไร และสิ่งที่ได้คือ

การปูทางที่เริ่มต้นก่อนใช้กลิ่นนี้คือคำโปรยที่มีความน่าสนใจมากอย่างคำว่า The Mystical Rose ทำให้รู้ในเบื้องต้นก่อนเลยว่าจะได้เจอกับความเป็นกุหลาบแน่แท้ และก็ใช่เลย กุหลาบเป็นผู้เล่นหลักที่จะมีกลิ่นอายให้จับต้องได้ตั้งแต่ต้นยันจบ โดยให้ความชัดเจนในมุมที่น่าค้นหาแบบไม่โฉ่งฉ่าง แต่อ้อยอิ่งอย่างมีเสน่ห์และลึกลับสมชื่อรุ่นมาก

เริ่มต้นที่จุดแรกของกลิ่นอายกึ่งมะพร้าวที่ไม่ได้ครีมมี่แต่ค่อนไปทางแป้งที่ให้ความจืดหอมแกมหวานอ่อนๆ แบบกล้วยไม้ที่ออกจะค่อนไปทางกึ่งทึบเล็กๆ โดยจะมีพิมเสนให้ความปร่าระเรื่อวูบขึ้นมาก่อนที่จะจับต้องได้ถึงกลิ่นกุหลาบที่เข้าทางโทนกุหลาบที่แตะกุหลาบแห้งนิดๆ ค่อนไปทางติดฝาดหน่อยๆ ซึ่งใช่เลยเนื้อกลิ่นให้ความลึกลับแบบกุหลาบพิมเสนที่เสริมด้วยโทนค่อนไปทางแป้งกึ่งมะพร้าวที่ไม่ได้ครีมมี่จ๋าแต่ค่อนไปทางน้ำมะพร้าวเสียมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ลึกมากเกินไปเพราะว่าในเนื้อกลิ่นกุหลาบมีความสดชื่นอยู่ เลยทำให้บรรยากาศของกลิ่นโดยรวมได้ความเป็นกุหลาบน่าค้นหาและมีเสน่ห์ที่มีมิติทั้งสดชื่น ฝาดนวล และปร่าระเรื่อเป็นช่วงเปิดที่ลงตัวและดึงดูดความสนใจตั้งแต่เริ่มต้นจริงๆ

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นถึงความเป็นกุหลาบที่เริ่มยืนหนึ่งแถวหน้า เสริมด้วยความปร่ามีเสน่ห์ของพิมเสน ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัวโดยจะมีตัวเชื่อมกลิ่นคือโทนแป้งแกมดอกไม้เคล้ามะพร้าวจากช่วงต้น + ความนวลแกมอุ่นหน่อยๆ ที่เป็นวานิลลาที่เข้าโทนแป้งเบาๆ เลยทำให้กลิ่นจะมีเลเยอร์ที่น่าสนใจ 3 สเต็ป คือ กุหลาบติดฝาดปร่าระเรื่อมีเสน่ห์ที่ให้โทนสีแดงเข้มลึกกึ่งนวลกึ่งใส วานิลลาแกมกล้วยไม้ที่เข้าโทนแป้งติดหวานนวลดอกไม้ขาวเล็กๆ มีโทนมะพร้าวอ่อนๆ และกลิ่นอายอบอุ่นอ่อนๆ ที่มีโทนคล้ายหนังบางๆ กึ่งกลิ่นออกทางไม้หอมค่อนไปทางคล้ายยางไม้หน่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ให้ความครบถ้วนสมชื่อรุ่นมาก เพราะกลิ่นมีโทนดึงดูดน่าค้นหาและมีเสน่ห์แบบกุหลาบที่มีสีแดงเข้มกึ่งโปร่งกึ่งนวลล้อมกายตลอด โดยที่ไม่ได้ไปทางเย้ายวนจัดจ้านแต่อย่างใด 

สิ่งที่เริ่มเด่นขึ้นมาในช่วงรอยต่อระหว่างกลางกับท้าย คงต้องยกให้ Frankincense ที่เป็นโทนยางไม้กึ่งธูปที่มาแบบอ้อยอิ่งและแฝงเข้ามาเรื่อยๆ จนทำให้เนื้อกลิ่นกลายเป็นโทนกุหลาบ Incense ในช่วงท้าย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมติดขรึมๆ ที่มีความดาร์กน่าค้นหาหน่อยๆ ของโทน Oak Moss และมีความเป็นไม้แห้งๆ และมีลูกโทนไม้ซีดาร์ติดขรึมๆ เข้ามาร่วมด้วยทำให้ได้ความรู้สึกแบบกลิ่นโบสถ์คริสที่มีควัน Incense เจือกลิ่นกุหลาบลอยอ้อยอิงแบบมีความหนากำลังดี ไม่ได้หนักหน่วงหรือเข้มข้นจัดๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นมีตัวแปรสำคัญอีก 1 อย่างนั่นคือ ยาสูบ ที่มาให้ความหวานโปร่งอะโรม่ากึ่งสมุนไพรที่มีลูกโทนกึ่งหญ้าแห้งกึ่งวิสกี้อ่อนๆ เลยทำให้กลิ่นนี้แตะความน่าค้นหามากขึ้นอีก 1 สเต็ปในการสร้างออร่าลึกลับแต่ไม่ได้ดาร์กดำดิ่ง ทำให้การผสมผสานเป็นโทนกุหลาบพิมเสนกึ่งควันธูปที่มีความเป็นไม้หอมแกมหวานยาสูบแทรกในเนื้อกลิ่นอย่างมีชั้นเชิง ได้ลักษณะที่ขลัง นิ่งสุขุม อ้อยอิ่ง ลึกลับ แต่มีออร่าที่มีเสน่ห์น่าค้นหาปิดท้ายได้อย่างงามๆ เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่านิดนึงเพราะความเป็นกุหลาบพิมเสนเด่น แต่เอาจริงๆ ผู้ชายใส่ได้สบายมาก ให้ความรู้สึกแบบผู้ชายสมาร์ทนิ่งลึกลับถือช่อดอกกุหลาบแดงก็ยังได้ ซึ่งเข้าทางกับการใช้งานในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการ ออกงาน หรือทั่วๆ ไป แบบที่ต้องวางตัวดี เน้นความสุขุมนิ่งน่าค้นหามากกว่าที่จะลั่นล้า เพราะกลิ่นมีความขรึมขลังเป็นที่ตั้งด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะลงตัวที่สุด แต่ถ้าจะใส่แบบยามโรแมนติคก็พอได้ แต่มันจะมีความขลังเลยมันอาจจะไม่ได้แตะอารมณ์นี้มากเท่าไหร่ แต่ที่ให้ตัดออกไปได้เลยก็คือ ใส่ออกกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย นี่แหละควรอย่างยิ่งที่จะข้ามไป เพราะไม่เข้าทางทุกประการ

ความทน - จัดไปที่ยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้สบายมาก เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เข้าทางความดีสิคงทนเต็มๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแบบดึงความสนใจเนื้อกกลิ่นได้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มเลยแล้วจะลงมาปานกลางแบบยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 แบบคงตัว ก่อนที่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนราวๆ 12 ชั่วโมงถึงเป็น Skin Scent

สรุป - เนื่องจากไม่เคยไปที่นี่เลยขอข้ามการเชื่อมโยงกลิ่นกับสถานที่ไป แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เต็มๆ เลยคือ นี่คืกลิ่นกุหลาบพิมเสนที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างสมดุลย์มาก ทำให้เกิดความลึกลับได้แบบที่ไม่จำเป็นต้องดาร์กจ๋า หรือถ้าดาร์ก ก็ออกแนวดาร์กแบบบรรยากาศเสริมเสียมากกว่า ซึ่งถ้าอ้างอิงตามแรงบันดาลใจของกลิ่นที่มาจากการสร้าง Bet Giyorgis เสร็จในช่วงเวลาข้ามคืนจากเหล่าเทวดาลึกลับจนกลายเป็นสถานที่สำคัญที่ศักดิ์สิทธิ์ + กับหินที่ออกทางสีแดงชมพู อันนี้ถือว่าตอบโจทย์เลยทีเดียว เพราะได้อารมณ์ยามค่ำคืนในเนื้อกลิ่นให้จับต้องได้ในความเป็นกุหลาบลึกลับ + ความเป็นกลิ่นออกแนวโบสถ์ผ่าน Incense ได้ชัดเจนและมีเสน่ห์มากจริงๆ สำหรับกลิ่นนี้จาก Memo Paris 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ถือเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.memoparis.com/products/lalibela-eau-de-parfum