วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2565

Review: CoSTUME NATIONAL - Scent Intense Parfum Red Edition

CoSTUME NATIONAL - Scent Intense Parfum Red Edition

จากต้นตระกูลที่ให้ความเป็นน้ำหอมกลิ่นชบา ที่ผสมผสานกลิ่นออกมาได้อย่างมีคลาส หรูหรา สว่างแต่เย้ายวนแฝงได้บาดจิตไม่เหมือนใครจนได้รับความนิยมเป็นตัว Top ของ CoSTUME NATIONAL อย่าง Scent EDP ที่มีแตกแขนงทั้งล่างที่เป็น Scent Sheer และเหล่า Scent Gloss ต่างๆ และบนที่มี Scent Intense และ Scent Intense Parfum ที่เพิ่มความดาร์กและซับซ้อนเย้ายวนโดดเด่นเข้าไปอีก ที่สำคัญหลายๆ รุ่นของสายนี้ แม้จะลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิงแต่จริงๆ Unisex แบบงดงามที่ผู้ชายใช้ก็มีเสน่ห์อย่างมาก เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งสายที่ยากที่จะโค่นได้ลงจริงๆ ในการเป็นหนึ่งในกลิ่นโทน Amber ที่ไม่ธรรมดามาเสมอ

และในปี 2018 การต่อยอดสายบนอย่างโซน Intense ก็ได้เปิดตัวความเป็น Scent Intense Parfum Red Edition ออกมา ซึ่งคราวนี้ไม่มาเจาะแค่การเป็นน้ำหอมผู้หญิงแล้ว แต่มากับการเป็นน้ำหอม Unisex กันอย่างเต็มๆ โดยแบรนด์ลงเอาไว้ว่าความเข้มข้นจะมากกว่าความเป็น Scent Intense ปกติจาก 23% มาเป็น 25% ที่เป็น Parfum โดยนำเสนอความแข็งแกร่ง แซ่บ และขบถที่ชัดเจนลุ่มลึกมากขึ้น เช่นนั้น ขอมาลองความขบถที่ว่ากันหน่อยว่าจะออกมาเป็นแบบไหน

Scent Intense Parfum Red Edition คงพื้นฐานเดิมแบบเดียวกับ Scent Intense ที่และมีลายเซ็นแบบที่เป็นตระกูล Scent ให้จับต้องได้ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีโทนที่ให้ความรู้สึกสีแดงชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นเป็นตัวขับเคลื่อนกลิ่นกันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้าย จุดเริ่มต้นก็จะเป็นโทนกลิ่นชาเขียว + เม็ดกระวาน ที่เป็นลายเซ็นแบบบอกเลยว่านี่แหละตัวเปิดเสมอของ Scent เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความเข้มชัดแต่ไม่ถึงกับหนักหน่วง และมีความลึกของกลิ่นที่จับมิติความชัดในโทนต่างๆ ได้ครบถ้วนเลย เพราะจะได้ความฝาดกึ่งอะโรม่าติดเขียวของชา ที่มีความปร่าขมเปรี้ยวของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เนียนๆ ผสมผสานกับความเผ็ดหวานเย้าปร่าแต่ไม่ถึงกับหนักข้นของเม็ดกระวานที่เรียกว่าช่วงนี้คือตัวเด่นเลย แถมเนื้อกลิ่นยังได้โทนกุหลาบหน่อยๆ เสริมอีก เลยทำให้ช่วงต้นเป็นโทนสีแดงโปร่งที่ดึงดูดและมีความเก๋ในเนื้อกลิ่นแบบที่ให้อารมณ์คงเดิมแบบ Scent Intense แต่เพิ่มความรู้สึกสีแดงเข้าไปนั่นเอง

เมื่อได้เวลาของช่วงกลาง สิ่งที่จะชัดเจนมากขึ้นคือ ความเป็นโทนดอกไม้ที่ให้สีแดงแบบไม่หนักข้น ซึ่งแน่นอนว่ากุหลาบกับชบาเป็นตัวแปรสำคัญและเป็นตัวเด่นสุดในช่วงนี้เลย โดยเนื้อกลิ่นในช่วงต้นต่างๆ จะยังตามมาอยู่แต่จะลดระดับเป็นสายซับที่ดี ซึ่งกระวานจะเป็นตัวเสริมให้มีความเป็นกุหลาบแกมเครื่องเทศโปร่งๆ และชาจะเสริมตัวชบาให้มีความแกมหวานระเรื่อที่ชัดขึ้น แล้วดอกไม้ทั้ง 2 ก็เลยกลายเป็นโทนเด่นที่แบบตีคู่กัน + ผสมผสานกันให้ความรู้สึกแบบสีแดงเต็มๆ ฟุ้งขึ้นมาให้รับรู้ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับได้มากกว่าความเป็น Scent Intense เดิมนั่นคือกลิ่นออกทางกึ่งเมทัลลิคที่ทำให้รู้สึกอารมณ์แบบกลิ่นเลือดสีแดงขึ้นมาหน่อยๆ ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นหญ้าฝรั่นที่เข้ามาสร้าง Effect ลักษณะนี้ โดยมีเลเยอร์ตรงกลางเป็นดอกไม้ขาวแนวมะลิที่มีความ Indolic หรือตุ่นนิดๆ ที่เป็นตัวเสริมความเร้าใจให้กลิ่นหน่อยๆ + ความอบอุ่นที่จะเริ่มชัดขึ้นในเนื้อกลิ่นตามลำดับ ทำให้ไล่โทนกันชัดจากสีแดงของกุหลาบชบากึ่งเมทัลลิค สู่ความนวลระเรื่อเย้าๆ และความอุ่นอวลชวนดึงดูด เรียกว่าเป็นช่วงที่น่าค้นหาและมีความเก๋ ชิค และใช่เลยขบถแบบฉีกตัวเองออกมาเป็นอีกเวอร์ชั่น โดยไม่ทิ้งความเป็น Scent Intense เดิม 

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มกลับเข้าสู่การเป็น Scent Intense ลักษณะเดิมมากขึ้นกับการเป็นโทนแอมเบอร์เด่น แต่จะไม่ได้โฉ่งฉ่างแบบใส่แอมเบอร์มาเต็มๆ ซึ่งจะให้ความเป็นแอมเบอร์ในลักษณะแบบแบบกึ่งผิวกายติดเค็มอ่อนๆ ที่เป็นโทนกลิ่นแบบ Ambergris ที่มีโทนวานิลลาอยู่อ่อนๆ ซ้อนประปรายผสมผสานกับโทนครีมมี่ไม้หอมของจันทน์หอมหน่อยๆ แกมยางไม้ที่เป็นลักษณะกลิ่นแบบแอมเบอร์ปกติรวมอยู่ด้วย แต่สิ่งที่สะกิดจมูกเพิ่มก็คือ มีโทนหนังเข้ามาตัดทอนให้ได้ความรู้สึกห่ามเบาๆ และมีความเป็นกุหลาบแกมชบาบางๆ ที่ตามมาซึ่งสร้างความเซ็กซี่เย้ายวนร่วมด้วย นี่แหละลายเซ็นของความเป็น Scent Intense ล่ะ เพียงแต่กลิ่นไม่ได้โฉ่งฉ่างทรงพลัง แต่ผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผิวกายที่สร้างเสน่ห์ในมิติเชิงลุ่มลึกมากขึ้นในลักษณะการเป็น Parfum ถือว่าเป็นการปิดท้ายกลิ่นที่ยังเคารพที่มาที่ไป แต่เพิ่มความเร้าใจในโทนสีแดงออกมาได้อย่างไม่ธรรมดาและน่าสนใจมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมาก แม้จะเด่นที่ดอกไม้แต่ก็ยังคุมโทนที่ใช้ได้ทุกเพศ แบบที่สร้างความเก๋ ความแซ่บขบถประมาณนั้น ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป หรือใส่ทำงานเน้นความเก๋และมีสไตล์ทางกลิ่นที่มีคลาสประมาณนั้น แต่ถ้าใส่ยามทางการอาจจะต้องพิจารณาสถานการณ์นิดนึง แต่ที่ข้ามไปได้เลยคือการใส่เพื่อออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืน ได้หมดทั้งทั่วไป ใส่ออกงาน หรือท่องราตรีแบบไม่ได้เต้นรากแตก เน้นเก๋ๆ ส่วนถ้าจะใส่เพื่อโรแมนติคก็พอได้อยู่ แต่มันจะ Unique นิดนึง

ความทน - อันนี้แหละที่เรียกว่ามาเต็ม เพราะความเข้มข้นสูงระดับ Parfum แม้กลิ่นอาจจะไม่ได้ถึงกับทรงพลังแต่มันฝังลงไปในจุดฉีดแบบยาวนานมาก อาบน้ำล้างตัวก็ไม่ออกไปง่ายๆ ซึ่งถ้าวัดความทนที่กลิ่นกระจายได้นานขนาดไหนก็ตีไปที่ 8 ชม. กำลังดี แต่ถ้าวัดการติดทนบนผิวกายอันนี้ขอให้ที่ 18 ชม. ไปเลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และค่อนข้างคงตัวยาวไปประมาณ 3 ชม. ก่อนที่จะลงมาเป็นปานกลางแล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวตั้งแต่ชั่วโมงที่ 5 - 6 เป็นต้นไป เรียกว่าไม่ได้ปล่อยพลังมาก แต่มีดีเรื่องออร่าสีแดงรอบตัวประมาณนั้น

สรุป - เนื้อกลิ่นยืนพื้นที่การเป็น Scent Intense ชัดเจน เพียงแต่กลิ่นจะมีความมิติเชิงลึกมากขึ้นและเสถียรบนผิวได้ยาวนานขึ้น รวมถึงฉีกตัวเองออกมาเป็น Red Edition ได้อย่างสวยงามโดยไม่ทิ้งลายเซ็นเดิม เพิ่มเติมความขบถที่ทันสมัย ที่สำคัญใครที่ชอบกลิ่นแอมเบอร์ อย่าได้พลาดแบรนด์นี้เชียวเพราะเขาเก่งโทนนี้มากจริงๆ และทำได้แตกต่างมากเสียด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://en.costumenationalscents.com/products/intense-red-edition

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น