Review: Hermes – Eau d’Hermes
Hermes – Eau d’Hermes
เดิมทีมองข้ามตัวนี้ของ Hermes ไปเพราะเห็นว่าน้ำหอมค่อนข้างจะคลาสสิคมากเพราะปลิตมาตั้งแต่ปี 1951 จนถึงปัจจุบันก็ยังผลิตอยู่ เลยคิดว่าจะลองเมื่อไหร่เดี๋ยวค่อยว่ากัน
แต่เพราะว่ามีโอกาสแลกเปลี่ยนน้ำหอมกับผู้อื่นแบบแลกกันลองเลยได้ตัวนี้มา ก็เลยต้องลองซะหน่อยเพราะเท่าที่รู้ กลิ่นนี้ก็ใช่ย่อยไม่น้อยกับ Eau
d’Hermes
~You don’t get anything
clean without getting something else dirty. (Cecil Baxter)~
ประโยคข้างบนเจอมาจาก
Fragrantica เลยขอพ่วงมาเต็มๆ
เพราะว่า Top Notes ของตัวนี้เล่นเอาตะลึงพึงเพริดไปเลย
กับกลิ่นอายเครื่องเทศของอบเชย ยี่หร่า และเม็ดกระวานที่จะมาเต็มที่มากมายก่ายกอง
โดยมีกลิ่นโทนนุ่มของลาเวนเดอร์และโทนซิตรัสของมะกรูดเข้ามาผสมผสานจนออกมาเป็น
“กลิ่นตัวแขก” ที่แบบว่ามาเต็มทั้งเครื่องเทศที่ซึมออกมาตามกลิ่นเหงื่อกลั้วกับกลิ่นแนว
Dirty ตามธรรมชาติในแบบของแขกอินเดียหรือตะวันออกกลาง
เรียกว่า #อึ้งกิมกี่ พลางหัวเราะไม่หยุด
กลิ่นมันสะเทือนใจดีแท้ 555555 แต่เพราะว่าน้ำหอมมันตัดสินกันที่ช่วงแรกไม่ได้เช่นนั้น
มาเผชิญหน้ากันต่อที่ Middle Notes ที่กลิ่นเริ่มจะปรับโทนลงมาเพราะกลิ่นโทน
Dirty แบบธรรมชาติเกินไปนั้น เริ่มมีความนุ่มขึ้นจากกลิ่นครีมมี่นวลๆ
และมีกลิ่นอายของโทนดอกไม้จางๆ ติดแป้งนุ่มๆ มาปรับโทนให้ลดความแรงแบบที่ทำให้เราสะเทือนใจลงไปได้
แม้จะยังมีพื้นฐานของกลิ่นที่เป็นลักษณะแบบช่วงต้นอยู่ แต่เริ่มเหมือนมีอะไรมาชะล้างกลิ่นให้รู้สึกได้ถึงความเป็นเครื่องเทศติดซิตรัสแบบที่มีความสะอาดขึ้นในอีกระดับ
และเพียงไม่นานกลิ่นอายของความเป็น Smoky
กลั้วอบอุ่นจะดันขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้า Base Notes กับพระเอกของงานพร้อมลูกคู่อย่าง “หนังและไม้หอม”
กลิ่นในช่วงนี้จะได้ความดิบแบบ Animalic ของหนังแบบกระเป๋าหนังชั้นดี
ล้อมไปด้วยกลิ่นของไม้หอมซึ่งนำเด่นด้วยเปลือกเบิร์ธที่จะมาให้ความ Smoky
กับกลิ่นอายอบอุ่นของไม้หอมอื่นๆ ที่ล้อมไว้ กลิ่นอายแบบ Dirty
เริ่มหายไป เหมือนโดนชะล้างออกไปหมด เหลือแต่กลิ่นตามธรรมชาติที่สะอาดและเท่ห์แบบดิบๆ
เรียกว่าช่วงท้าย คนรักกลิ่นหนังจะฟินกันไปข้างนึงเลย
เพราะกลิ่นหนังของตัวนี้จะผุดขึ้นมาอย่างงดงามหลังจากที่เราได้ผ่านช่วงสะเทือนใจไปแล้ว
และเข้ากับประโยคที่โปรยเอาไว้ข้างต้นอย่างชัดเจน นี่แหละ Eau
d’Hermes ที่เขาร่ำลือกัน
เหมาะสำหรับ – ทุกเพศตั้งแต่วัยทำงานขึ้นไป
กลิ่นนี้อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมกลิ่นเครื่องเทศแรงๆ
และกลิ่นหนังมาก่อนจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เอาจริงๆ ทุกคนก็เข้าถึงได้แหละเพราะต้องเคยผ่านช่วงของการสะเทือนใจยามยืนใต้ลมแล้วกลิ่นแขกที่อยู่เหนือลมมันลอยมา
Smell Welcome กับเรา อยู่ที่ว่าจะเห็นว่ามันเป็นเสน่ห์หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึงไป
ซึ่งกลิ่นนี้เอาเข้าจริงๆ กับจมูกคนไทยและอากาศเมืองไทย มันก็ใช้ยากเลยล่ะ
แต่ถ้าจะใช้จริงๆ ก็สามารถใช้ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน
ซึ่งงานทางการก็ได้อยู่ แต่จำกัดจำนวนสเปรย์จะดีที่สุด นอกนั้นใส่ชิลล์ๆ
สบายๆ ถือว่าใส่ได้เลยล่ะ อากาศเย็นๆ ยิ่งเหมาะ แต่อากาศร้อนหรือออกกำลังกาย
จงหยุด! ส่วนยามค่ำคืนถือว่าใส่ได้เพราะกลิ่นท้ายๆ มันเท่ห์จริงอะไรจริง
ความทน – 8 ชม. ได้แบบไม่ต้องบิลด์
มากกว่านั้นด้วยซ้ำไป
การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากกกกกกกกกในช่วงต้น
ตีขึ้นซะจนรู้สึกเหมือนโดนน้ำหอมแกล้ง แล้วจึงลดมากระจายกลางๆ
ก่อนจะปิดท้ายด้วยออร่ากลิ่นหนังเท่ห์ๆ ดิบๆ อย่างมีเสน่ห์ในช่วงท้าย
ทิ้งท้าย – กลิ่นนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าจมูกคนไทยกับฝรั่ง
รวมถึงแขก ความชอบและประสบการณ์รับรู้กลิ่นมันแตกต่างกันจริงๆ
ซึ่งเป็นอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เห็นความงามทางด้านกลิ่นในอีกรูปแบบที่ทั้งพึงประสงค์และไม่พึงประสงค์
มันเท่ห์ดีนะ 55555555
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง
ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน
ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ
Credit ภาพ
- http://media.hermes.com/media/wysiwyg/prehome-eau-dH.jpg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น