John Varvatos - JV x NJ Crimson
หลังจากที่ Jonas Brothers ได้พักวงแยกย้ายกันไปทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งธงไว้ (และมีดราม่าโน่นนี่ระหว่างพี่น้องเข้ามาร่วมด้วย แต่ก็จบลงด้วยการเปิดอกคุยกัน แล้วเริ่มต้นการเป็น Jonas Brothers ในยุคใหม่) สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยนั่นคือ หนึ่งใน 3 พี่น้องอย่าง Nick Jonas ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการเป็นศิลปินเดี่ยว และได้ทำเพลงในแนวทางที่ตัวเองชอบได้อย่างดีมากเลยทีเดียว (ไม่นับ Joe Jonas ที่ไปดังกับวง DNCE)
แน่นอนว่านอกจากหล่อ ล่ำ ร้องเพลงยอด ทำเพลงดี และมีแฟนๆ ชื่นชอบทั่วโลก การต่อยอดทางด้านแฟชั่นก็ต้องมา เลยทำให้แบรนด์ John Varvatos ได้จับมือร่วมกับ Nick ที่นอกจากจะเป็น Brand Ambassador แล้วยังร่วมเป็นผลักดันหนึ่งใน Collection น้ำหอม โดยการนำเสนอความเป็น JV x NJ ขึ้นมาในปี 2018 จนถึงปัจจุบันนี้ก็มีการปล่อยออกมาแล้ว 3 รุ่น เช่นนั้น ก็ต้องมาพินิจพิเคราะห์กลิ่นกันหน่อยว่าสไตล์เดิมของแบรนด์ เมื่อมาเจอกับความเป็น Nick Jonas จะออกมาเป็นอย่างไรกับรุ่นแรกสุดที่ได้ลองนั่นก็คือ JV x NJ Crimson
ที่มาที่ไปของน้ำหอมค่อนข้างชัดเจนมากกับการนำเสนอความเป็น New York ช่วงกลางคืนในสไตล์ของ Nick Jonas ที่เอาความเป็นโทน Crimson หรือสีแดงเข้มมาเป็นตัวเรียกแขก และแน่นอนก็มาในสไตล์น้ำหอมสายปล่อยของที่เริ่มต้นกับการเป็นโทนกลิ่นอายผู้ชายเจ้าเสน่ห์ที่นิ่งๆ มีลูกขบถแบบ Bad Boy เนียนๆ ในเนื้อกลิ่น กับการเอาโทนกาแฟมาเสริมกับกลิ่นเหล้ารัมที่ให้อารมณ์กลิ่นแนวเย้ายวนอวลที่เป็นตัวรองพื้นที่มานิ่งๆ หน่อย แต่บอกกันอย่างชัดเจนว่า กลิ่นมาสายปล่อยเสน่ห์สไตล์ดึงดูดชัดมาก เพียงแต่ผู้เล่นหลักของช่วงต้นจะเป็นกลิ่นโทนแอปเปิ้ลเขียวที่เด่นออกมา โดยมีกลิ่นออกทางมะกรูดฝรั่งที่ให้ความขมเจือเปรี้ยวเสริมประปรายอยู่ก่อน และแน่นอนว่าไม่ได้มีเท่านี้เพราะกลิ่นไม้ซีดาร์และลาเวนเดอร์จะค่อยๆ เสริมขึ้นมา และมีกลิ่นโทนแอมเบอร์เข้ามาร่วมด้วยอีก ทำให้มิติกลิ่นที่เวลากลิ่นโทน Citrus หรือเปรี้ยวหอม มาเจอกับลาเวนเดอร์และแอมเบอร์ มันจะได้โทนอวลๆ สไตล์ Bad Boy เลย แต่ดีที่ไม้ซีดาร์ติดโปร่งมาเสริมเลยไม่ได้อวลจัดนัก ยิ่งตัวเสริมคือกาแฟกับรัมอีก กลิ่นเลยมาสไตล์หล่ออวลนิ่งและมีความดึงดูดกันชัดเจน
ในการขยับเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นที่เสริมขึ้นมาให้โทนออกทางแปร่งก่งหนังกึ่งขมเจือหวานปลายกลิ่นของหญ้าฝรั่นจะเปิดตัวออกมาทีละนิด ซึ่งมีข้อดีคือกลิ่นจะไม่ได้ไปสายแปร่งออกทางตะวันออกกลาง เพราะโดนเกลาจากช่วงต้นที่เป็นการแท็คทีมของกาแฟ เหล้ารัม และกลิ่นแนว Bad Boy สายนิ่ง เลยเป็นตัวเสริมที่ดีมากในการสร้างสร้างอารมณ์ในการเป็นสีแดงเข้มในกลิ่น รวมถึงการที่มีโทนออกทาง Musky เย้าๆ ดึงดูดของหนังกลับที่เข้ามาเป็นตัวรองพื้นในเนื้อกลิ่น เลยทำให้มิติกลิ่นจะมาแบบปล่อยของและเรียกเรตติ้งในความอวลที่ชัดมากขึ้นด้วย ไล่เรียงจากโทนสไตล์อวลเย้า Bad Boy ที่มีความน่าค้นหาของหญ้าฝรั่น ตามด้วยความอวลแบบชวนคลุกวงในแกมอบอุ่นของหนังกลับ ทุกอย่างสร้างอารมณ์แดงเข้มที่มีเสน่ห์ดึงดูดครบถ้วนแบบสไตล์ Designer Brand ที่เข้าถึงผู้ใช้ได้หลากหลายเต็มๆ
ในช่วงท้ายเอาจริงๆ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ชัดแจ้งมากเท่าไหร่ เพราะกลิ่นในช่วงกลางยังคงเป็นตัวหลักในการสร้างออร่าทางกลิ่นอยู่ แต่มันจะมีความซับซ้อนหน่อยๆ ในการเอาโทนแนว Incense แกมไม้หอมแห้งๆ แกม Amberwood เข้ามาสร้างมิติแบบกลิ่นน่าค้นหาในอีกโทน ทำให้จะได้อารมณ์น่าค้นหาแบบที่ได้ความเซ็กซี่แบบผู้ชายนิ่งๆ แอบขนบนิดๆ ได้อารมณ์อบอุ่นแกมอบอวลชวนคลุกวงในที่มีโทน Musk มาร่วมเกลาให้หนังกลับที่ยังเด่นอยู่มีความนวลๆ เข้ามาหน่อย และกลิ่นรัมกับกาแฟสร้างอารมณ์เย้ายวนแบบระเรื่อๆ และปลายกลิ่นมีความเป็นหญ้าฝรั่นที่สร้างโทนสีแดงเข้มเรียกร้องความสนใจ ซึ่งทั้งหมดจะรวมกันสร้างคาแรคเตอร์กลิ่นที่ชัดมากกับการเป็นผู้ชายนิ่งๆ ที่มีเสน่ห์ดึงดูดและปล่อยของแบบจงใจสไตล์กึ่ง Daily กึ่ง Nightlife ที่ทันสมัยอารมณ์ Cool ก็ได้ หล่อเย้าเร้าใจ แกมสมาร์ท ที่แอบแซ่บก็ดี ถือว่าสร้างสรรค์ออกมาแบบกระทำความ Mass ได้ครบถ้วนจริงๆ
เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็สามารถจัดตัวนี้ได้สบายมาก เพราะมันเป็นโทนสายทันสมัยสร้างความน่าสนใจอยู่ตามสไตล์กระแส Trendy ในช่วง 2015 จนถึง 2021 ในปัจจุบันนี้อยู่แล้ว (และคิดว่าไปต่ออีกนาน) ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์โดยในช่วงกลางวันอาจจะเบามือนิดนึง ไม่งั้นจะตึ้บเอาได้ ซึ่งกลิ่นไม่เข้ากับช่วงทางการเท่าไหร่ แต่ถ้าใส่ทำงาน Office หรือทั่วๆ ไปออกแนวสมาร์ทเย้าเร้าใจอันนี้ได้เลย รวมถึงยามค่ำคืนที่ใส่ท่องราตรีหรือออกงานได้สบายมาก กลิ่นอาาจะไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังรอบทิศจัดจ้าน แต่เข้ามาใกล้ๆ ก็เอาอยู่ แต่ที่ให้ตัดไปเลยคือใส่แบบทางการและกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกาย เดี๋ยวขาดออกซิเจนกันก่อนเพราะเวลากลิ่นตีขึ้นก็ไม่ธรรมดาเลยนะ
ความทน - พื้นฐานที่ 8 ชม. แน่นอน แต่ว่าจะไปต่อหรือด้อยลงมา อันนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นประจำกับการใช้ที่ 5 สเปรย์ (เอาจริงๆ กลางวัน 5 สเปรย์ก็แน่นไม่น้อย ถ้ากลัวตึ้บก็ลดลงมาที่ 4 ก็ถือว่าเหมาะสม)
การกระจาย - กลิ่นช่วงต้นมีความหักมุมกันพอสมควร เพราะกลิ่นกระจายกลางๆ เหมือนจะไม่ได้เด่นอะไรนัก แต่จะมาพลิกเกมกันในช่วงกลางที่จะฟุ้งออกมากระจายดี และจะกระจายดีมากถ้าอากาศร้อนมีร่างกายทำความร้อนทำให้กลิ่นตีขึ้นมากกว่าเดิม แล้วจะเริ่มดรอปลงเป็นปานกลางและออร่ารอบๆ ตัวอีกทีในช่วงท้าย
สรุป - อย่างแรกกลิ่นนี้จับรวมเป็นโซนเดียวกันกับน้ำหอมเรียกเรตติ้งอย่าง Armani Code Profumo, Polo Red หรือ Carolina Herrera 212 VIP ก็ยังได้ เพราะมาสไตล์ลักษณะเจ้าเสน่ห์แบบเดียวกัน ซึ่งคนที่ผ่านน้ำหอมมาหลากหลายหรือเล่นแต่สาย Niche มารัวๆ อาจจะแบบว่ากลิ่นมันไม่ได้ถึงกับว้าวในการสร้างความแตกต่าง แต่เพราะมีการชูโรงที่หญ้าฝรั่น เหล้ารัม กาแฟ และหนังกลับมาชูโรง + เอาความเป็นโทนขนบ Bad Boy นิ่งๆ แกมไม้หอมอวลๆ ทันสมัยมาเสริมให้มีความครบเครื่อง รวมถึงเอาเสน่ห์ของคาแรคเตอร์ของ Brand Ambassador มาใช้ มันเลยได้สไตล์ที่มีเอกลักษณ์และนึกถึงตัว Nick Jonas แบบท่องราตรีมีสไตล์ขึ้นมาในทันที ถือว่าเป็นกลิ่นที่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสามารถนำไปประยุกต์เสริมบุคลิกผู้ใช้ในการใช้เรียกเรตติ้งได้ไม่ยากด้วย
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://www.davidjones.com/brand/john-varvatos/22483076/JVxNJ-Crimson-EDT-125ml.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น