วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: The Body Shop - Vibrant Bergamot

The Body Shop - Vibrant Bergamot

ถ้าพูดถึงน้ำหอมจาก The Body Shop แน่นอนว่า White Musk ไม่ว่าจะของผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็มาวินเสมอ เพราะถือเป็นตัวเลือกทางกลิ่นที่ใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน มีความมินิมัล และยังไงก็รอดสูงมาก แบบคิดไม่ออกก็บอก White Musk จนทำให้สายนี้แตกตัวออกรุ่นลูกหลานมาอย่างมากมายก่ายกองจนทุกวันนี้ แต่เอาจริงๆ น้ำหอมของแบรนด์นี้หลายๆ ตัวก็มีดีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่อาจจะออกมาแล้วหายไปตามกาลเวลาและเทรนด์ความหอมที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วก็มีการสร้าง Collection ใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นระยะ ทั้งออกมาแล้วอยู่ไปเรื่อยๆ หรือเป็น Limited Collection ออกมาแล้วหมดก็จบกันไป

แต่มีอยู่หนึ่ง Collection ที่เคยออกมาวางจำหน่ายในช่วงปี 2020 กับการนำเสนอน้ำหอม Unisex เป็นหลักอย่าง Choice Collection ที่มีน้ำหอมออกมาพร้อมกันถึง 5 กลิ่นโดยทุกกลิ่นจะมีคำว่า Choice นำหน้าเสมอและขวดก็แยกกันเรียงเป็นขบวนการ 5 สีเลย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางประการ จึงมีการปรับปรุงและเปลี่ยนกลิ่นใหม่ทั้งหมด แถมออกมาเป็นเซท (Shower Gel, Body Creme, Body Mist และ EDT) ซึ่งนำเสนอความเป็นโทนสบายๆ แบบที่แบรนด์มีความถนัด และปรับขวดให้มีความมินิมัลเข้า Concept รักษ์โลกร่วมด้วย ดังนั้นเมื่อของเก่าจบไปไม่มีโอกาสได้ลอง งั้นหัวหัวเรือมาที่ของใหม่เลยแล้วกันกับ Vibrant Bergamot ซึ่งกลิ่นจะให้ความสดชื่นและสบายขนาดไหน ว่ากันได้ตามนี้

สปอยกันเลยว่ากลิ่นมีความสดชื่น สบายๆ และเรียบง่ายมาก โดยไม่จำเป็นต้องมีความซับซ้อนอะไรให้เยอะสิ่งก็เอาอยู่  โดยช่วงเปิด เนื้อกลิ่นจะมีความสดชื่นติดสว่างๆ ที่แบ่งเค้กกันได้ลงตัวระหว่างโทน Citrus ที่จะมีมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เป็นตัวสร้างบรรยากาศให้ความสดชื่นเปรี้ยวแกมขมปร่าเล็กๆ แบบอากาศยามเช้า แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะว่าจะมีโทนออกทางเลมอนที่สร้างความรู้สึกสดชื่นติดสไตล์ Cologne ใสๆ แกมกลิ่นคล้ายส้มกึ่งใสกึ่งหวานฉ่ำเข้ามาร่วมด้วย แต่เพราะว่าเนื้อกลิ่นไม่ได้เอะอะก็สาดความเป็น Citrus อย่างเดียว เลยมีโทนออกทางกึ่งเปรี้ยวแกมนวลหวานเบาๆ ของดอกไม้ขาวเข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้กลิ่นจะเป็นลูกผสมระหว่างความสดชื่นสว่างๆ และความหอมนวลๆ รื่นรมย์ที่ตีคู่ไปด้วยกันได้พอดิบพอดีไม่ซับซ้อน แบบที่ตีหัวเข้าบ้านให้ชอบในวูบแรกที่ได้รับกลิ่นได้เลย

การเปลี่ยนแปลงจากช่วงต้นสู่ช่วงกลางเรียกว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก แค่สลับความเด่นจากโทน Citrus มาเป็นโทน Floral แทน ซึ่งยังมาแบบเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนเหมือนเดิม แต่คราวนี้จะจับต้องได้มากขึ้นว่าจะมีกลิ่นโทนดอกไม้ติดสดชื่นอย่างแมกโนเลียที่ให้ความเป็นกลิ่นเปรี้ยวเลมอนแกมนวลรื่นรมย์ที่เข้าโซนนวลๆ เสียมากกว่าจะออกทางแว๊กซ์ และกลิ่นออกทางใสๆ เรื่อๆ ของดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) ที่มีลูกเอื้อนของมะลิกึ่งนวลกึ่งใสเป็นลูกคู่อยู่หน่อยๆ ซึ่งทั้งหมดจะให้โทน Floral สดชื่นแกมนวลสบายๆ โดยมีความเป็น Citrus ในตอนต้นซึ่งขนมาหลักๆ คือ Bergamot และเลมอนที่ยังตามมาอยู่ให้ความสว่างสดชื่นเสริมกันอย่างลงตัว ซึ่งเนื้อกลิ่นให้โทนสีเป็นสีขาวสว่างได้พอเหมาะพอเจาะและเรียบง่ายชัดเจน

เมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงโทน Musk ที่มาแบบเบาๆ ไม่ได้มาแบบนุ่มสะอาด แต่มีความโปร่งแกมใสๆ หน่อย ซึ่งน่าจะมีทั้ง White Musk ที่ให้ความเป็นโทนสว่างนวลๆ สะอาดๆ และอนุพันธ์ของ Musk บางอย่างที่เสริมให้กลิ่นมีความโปร่งๆ แต่พื้นฐานกลิ่นคือความสะอาดสบายๆ ที่เข้ามาสอดรับกับกลิ่นโทนดอกไม้ติดเปรี้ยวนวลสดชื่นในช่วงกลาง ก็จะเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวที่ไม่ซับซ้อนเลย ออกแนวกลิ่นสะอาดๆ โปร่งๆ ที่มีความเปรี้ยวหอมนวลเบาๆ เคล้าความนวลสะอาดคลอผิวไปเรื่อยๆ แบบไม่ซับซ้อนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามเวลาเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นไม่ได้มีความซับซ้อน เน้นสดชื่นรื่นรมย์และมีความสบายๆ Refreshing อะไรแนวๆ นี้เป็นสำคัญ ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมาแบบมหาชนพร้อมอ้าแขนรับในความชื่นชอบได้ไม่ยาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่สบายๆ เรื่อยๆ หรือทั่วไปจะดีที่สุด เพราะถ้าเลือกจะใส่ไปปล่อยของ บอกเลยว่าเงียบสนิทแน่นอน

ความทน - อยู่ที่ราว 6 ชม. เป็นสำคัญ แต่มีบวกลบอยู่ราวๆ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์ สภาพอากาศ และสภาพผิวผู้ใช้ด้วย เพราะในวันที่อากาศเย็นๆ กำลังดี ไม่เหงื่อท่วม เจอที่ 8 ชม. ได้สบายมาก แต่วันไหนร้อนจัด เหงื่อซึมตลอดวัน ก็แตะราวๆ 4 - 5 ชม. ก็เรียกว่าแทบจับต้องกลิ่นไม่ได้แล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นราวๆ 5 นาที แล้วจะลดลงมาเรื่อยๆ ตามลำดับจนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อแตะชั่วโมงที่ 3 ส่วนจะกลายเป็น Skin Scent เมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเน้นๆ ว่าจะมาไวที่ประมาณชั่วโมงที่ 4 หรือว่า 5

สรุป - #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ที่ให้ความสดชื่นรื่นรมย์สบายๆ ไม่ซับซ้อน และมีความเป็น Safe Scent สูงมาก แบบที่ใส่ไปก็ไม่มีคนมองว่าฉุน แถมเข้ากับอากาศบ้านเราอีกด้วย ซึ่งถ้ากลัวว่าจะไม่ทน พกไปเติมระหว่างวันสร้างความสดชื่นก็เป็นตัวเลือกที่ดีมากเลยทีเดียวสำหรับกลิ่นนี้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.thebodyshop.com/de-de/duefte/eaux-de-toilette/vibrant-bergamot-eau-de-toilette/p/p094011


Review: Ex Idolo - Thirty Three

Ex Idolo - Thirty Three

จากจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์กลิ่นที่เน้นวัตถุดิบชั้นเยี่ยม หายาก และมีคุณค่ามากกว่าการเป็นวัตถุดิบต่างๆ ทั่วไป หรือสารสังเคราะห์ทดแทนต่างๆ มาสู่การเป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นอะโรม่าเฉพาะและมีเสน่ห์เฉพาะตัวแบบที่ไม่เหมือนใครของ Matthew และ Tanya Zhuk จึงก่อให้เกิดแบรนด์น้ำหอมสาย Art และ Niche Perfume ขึ้นมาในปี 2013 โดยตั้งอยู่ที่ลอนดอนกับการนำเสนอในชื่อแบรนด์ว่า Ex Idolo

แน่นอนว่าแบรนด์นี้ค่อนข้างจะมีความอินดี้สูงพอสมควร เพราะว่าไม่สร้างสรรค์น้ำหอมออกมาอยู่ตลอด และค่อนข้างจะมีน้ำหอมในแบรนด์ไม่ได้มากถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์มาก็มีเพียง 4 รุ่นเท่านั้นที่วางจำหน่าย และก็ยังได้รับคามนิยมมาเรื่อยๆ เช่นนั้น เมื่อได้มาเจอกับแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องขอสัมผัสซักหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะมีความดีงามอย่างไรบ้าง กับกลิ่นแรกที่มีโอกาสได้ลองนั่นคือ Thirty Three

ที่มาที่ไปในการเป็น Thirty Three คือ การนำเสนอกลิ่นอายสไตล์ Vintage Oud ที่เอา Oud ที่กลั่นบริสุทธิ์ออกมาในปี 1980 มาสร้างสรรค์น้ำหอมในปี 2013 สิริโดยรวมก็ 33 ปี พอดีตามชื่อกลิ่น แต่ก็ไม่ได้เอามาแบบเพียวๆ เดี๋ยวจะเสียวในเรื่องราคาเอาได้ถึงมีการผสม Oud ที่มาจากจีนร่วมด้วยในการสร้างสรรค์เนื้อกลิ่นเจาะจงที่ความเป็น Oud ในลักษณะที่น่าสนใจ นั่นก็คือ Soft & Velvet Oud ที่จะอยู่ในทุกๆ ช่วงของน้ำหอม ซึ่งสิ่งที่ได้ในแต่ละช่วงคือ

ช่วงต้น - จะมากับการเป็นกลิ่น Oud ที่มีคู่บุญอย่างกุหลาบมาเสริม และไม่พอยังมีพิมเสนมาทำให้กลิ่นมีลักษณะแบบโทนสไตล์ Classic เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งแน่นอน 3 กลิ่นนี้คือแกนหลักเลย โดย Oud จะมาแบบไม่หนัก ให้ความอวลลึกๆ กำลังดี กุหลาบจะมีความเป็นโทนออกทางแยมหน่อยๆ มีความค่อนไปทางเข้มแต่ไม่หนักและมีลูกผสมติดผลไม้นิดๆ คล้ายแนวลูกพรุน รวมถึงเป็นตัวเชื่อมระหว่าง Oud และพิมเสนได้ลงตัวมาก ซึ่งในมิติการได้กลิ่นกุหลาบจะได้ความเป็นกุหลาบติดอวลลึกมีมิติของ Oud และจะซ้อนด้วยกุหลาบพิมเสนที่มีความ Classic กึ่งกรุยกรายแบบพอดีๆ แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัาได้คือ มีกลิ่นที่ออกทางยางพาราเข้ามาสร้างอารมณ์กลิ่นที่มีความแปร่งๆ หน่อย อันนี้จะมีสะดุดนิดนึงแต่ไม่ถึงกับทำเอาเป๋ แต่ให้ความดาร์กเก่าๆ มากกว่า และมีกลิ่นพริกไทยกับกลิ่นแนวเปลือกส้มเข้ามาเสริมที่ทำให้ช่วงต้นมีความปร่าซ่าๆ เข้ามาด้วย ถือว่าเปิดออกมาได้กำลังดี ทุกอย่างสมดุลย์ลงตัวจับได้ในแต่ละโทนกลิ่นที่มาผสมผสานได้ชัดเจน โดยมีทั้งความ Classic แบบกำลังดีเป็นตัวเดินกลิ่น

ช่วงกลาง - จะเป็นเวลาทองของกุหลาบแล้วที่จะโดดเด่นที่สุด โดยจะมีโทนกุหลาบ 2 สเต็ปคือกุหลาบหวานลึกกึ่งแยมแกมลูกพรุน กับกุหลาบหอมนวลๆ ระเรื่อๆ ที่กำลังดี ตรงนี้แหละที่ให้ความเป็น Soft & Velvet แบบไม่หนักหน่วงและมีเสน่ห์มากในการเสริมโทนให้กลิ่น Oud ที่มีความอวลลึกและมีความดาร์กกำลังดีมีเสน่ห์น่าค้นหาควบคู่ไปด้วย แน่นอนว่ายังมีพิมเสนให้ความระเรื่อๆ ปร่าเร้าจมูกแบบกลางๆ รวมถึงกลิ่นพริกไทยก็ยังทำให้มีความปร่าเผ็ดแฝงอยู่ตลอด แต่สิ่งที่น่าสนใจเลยคือกลิ่นเมทัลลิคที่ออกทางโลหะที่เสริมเข้ามาสอดรับกับความเป็น Oud ที่มีมิติแกมเมทัลลิคหน่อยๆ พร้อมกับกลิ่นออกทางอะโรม่าอ่อนๆ ของแป้งบางๆ แกมกลิ่นชาที่เบาๆ ร่วมด้วยแบบเป็นตัวเสริมเสียมากกว่าที่ทำให้มิติของกิ่นกุหลาบมีตั้งแต่ระเรื่อยันลึกล้ำเย้ายวน โดยที่ยังมีโทนปร่า Classic ประปรายแบบที่เริ่มปูทางเข้าสู่โทนน้ำหอมสไตล์ Modern ที่มี Oud เป็นพื้นฐานตามลำดับประมาณนั้น

ช่วงท้าย - เนื้อกลิ่นจะเริ่มนุ่มมากขึ้นราวกับมีการผสมผสานความเป็น Oud และกุหลาบรวมกันเป็นเนื้อเดียวแล้วเอาโทนแป้งมาตัดทอนให้มีความนุ่มจมูกและนวลเนียนมากขึ้น จนกลายเป็นโทนแป้งหอมกุหลาบแกม Oud ที่มีความปร่าพิมเสนเย้ายวน มีเสน่ห์ และน่าดึงดูดมาก ซึ่งความเป็นแป้งจะมีลูกผสมระหว่างแป้งกึ่งอัลมอนด์วานิลลากับดอกไม้อ่อนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งน่าจะมาจากการรวมตัวระหว่างดอกเฮลิโอโทรเป้ที่ให้โทนกึ่งแป้งวานิลลาอัลมอนด์และไอริสที่ให้ความเป็นแป้งฝุ่นแกมดอกไม้จืดหอมบางเบา เรียกว่าเป็นตัวเข้ามาหักมุมเนื้อกลิ่นให้ไม่ไปทางสายอาระเบียน แต่ให้ความเป็นโทนนุ่มนวลแกมลุ่มลึกน่าค้นหาแบบที่มีเสน่ห์สไตล์ร่วมสมัยได้สมดุลย์และสมูธมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อยเพราะกุหลาบเด่นจริง เด่นกว่า Oud ด้วย แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก และเผลอๆ มีเสน่ห์น่าค้นหามากเสียด้วย ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไปแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม (และระมัดระวังนิดนึงในการใช้งานเพราะน้ำหอมมีความเข้มข้นและสีเข้ม ซึ่งอาจจะทำให้เสื้อที่สวมด่างได้) รวมถึงยามค่ำคืนที่ใส่ออกงานหรือว่าใส่แบบโรแมนติคก็ยังได้ เพราะเนื้อกลิ่นสมูธและมีระดับแกมเย้ายวนได้ลงตัวมากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องข้ามไปได้เลยก็คือ การใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าใส่เพื่อออกกำลังกาย กลิ่นไม่ได้อารมณ์ลุยๆ แบบนี้เลยบอกกันตรงนี้

ความทน - ดีงามเพราะสิ่งที่เจอเกินพื้นฐาน 8 ชม. แน่ๆ แต่จะไปต่อได้ขนาดไหนขึ้นอยู่กับสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. เรียกว่าทำเอาฟินกันยาวๆ เลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น และกลิ่นยังทำให้ในห้องที่ฉีดมีความฟุ้งกระจายอยู่ราวๆ 2 ชม. ได้เลย แต่ไม่ได้คมหรือบาดหนักแต่อย่างใด ออกจะปร่านวลอวลๆ กุหลาบ Oud ลึกๆ ที่มีเสน่ห์ แล้วจะค่อยๆ ลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนมาสิ้นสุดเอาที่ออร่ารอบๆ ตัวเอาในชั่วโมงที่ 4 แล้วจะคงคัวเสถียรกันยาวไปจนถึงราวชั่วโมงที่ 10 ถึงค่อยๆ เป็น Skin Scent ที่มีความน่าซุกมากปิดท้าย 

สรุป - เนื้อกลิ่นนำเสนอในการเป็นลูกผสมของความเป็น Classic Vintage ที่มีความร่วมสมัยกึ่ง Modern มาผสมผสานแบบไล่เรียงโทนกลิ่นในการนำเสนอแต่ละช่วงได้ลงตัวและพลิ้วไหวสมูธมาก ซึ่งกลิ่นเด่นจริงๆ คือกุหลาบที่มี Oud เป็นผู้สนับสนุนหลัก ตามด้วยผู้สนับสนุนรองใจดีอย่างพิมเสน แต่ทุกอย่างจับมาเจอกันตรงกลางได้ลงตัวและมีเสน่ห์มากแบบที่ตราไว้ได้เลยว่าฝีมือของสุคนธกรนั้น ไม่ธรรมดาจริงๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - http://exidolo.com/thirty-three

 

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Strangers Parfumerie - Yuzu Soda

Strangers Parfumerie - Yuzu Soda

ว่ากันด้วยเรื่องของส้ม Yuzu ที่ถือว่าเป็นหนึ่งใน Note กลิ่นสาย Citrus ที่ยอดนิยมไม่ต่างจากฝั่งส้มอื่นๆ ฝั่งมะกรูด มะนาวหรือเลมอน เพราะค่อนข้างให้ความ Refreshing สดชื่นติดขมแกมหวานอมเปรี้ยวหอม ที่เอาข้อดีของโทน Citrus ต่างๆ มาเจอกันที่ส้มชนิดนี้ ไม่ว่าจะความเปรี้ยวของเลมอน ความอะโรม่าติดขมแบบ Bergamot ความสดชื่นมีชีวิตชีวาแบบเกรปฟรุต และความฉ่ำแกมเปรี้ยวอมหวานของโทนส้มต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าเราเจอกลิ่นอายแบบนี้ในน้ำหอมตั้งแต่ Mass Market ยัน Niche Brand กันอยู่เสมอ ซึ่งการทำให้เนื้อกลิ่นมีความแตกต่างและเป็นเอกเทศในการสื่อสารก็มีอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งการจะสร้างสรรค์ให้แตกต่างก็ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายกันพอสมควรได้เลย

และหนึ่งในความท้าทายที่แบรนด์ Strangers Parfumerie ได้เอาความเป็น Yuzu มานำเสนอ ก็ถือเป็นอีกรุ่นที่ให้ความน่าสนใจอย่างมากในการสร้างกลิ่นอายสไตล์เครื่องดื่มแนว Soda ซึ่งถ้ามีความคาดหวังว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นสไปร์ท + Yuzu แบบสไตล์ไทยที่เราคุ้นชิน หรือ Yuzu ใส่โซดา แบบสไตล์อิตาเลี่ยนโซดา หรือจะไพล่ไปทางกลิ่น Yuzu สดชื่นใสๆ ราวกับคั้นจากลูกแล้วดื่มเลย หรือว่าเป็นกลิ่นสดชื่นหอมแบบมหาชนนิยมในสไตล์ Designer Brand ต้องบอกเลยว่าไม่ตรงเลยซักอย่าง เพราะ

Yuzu Soda มากับการเป็นกลิ่นอายแบบน้ำอัดลมญี่ปุ่นอย่าง Ramune ที่จะให้ความฟุ้งซ่ากึ่งครีมโซดาหอมๆ ที่จะมีความเป็น Aldehydes เป็นตัวชูโรงหลักในความให้โทนฟุ้งๆ ปร่าซ่าๆ ค่อนไปทางสบู่ก็ได้หรือจะเป็นแบบตอนเปิดขวด Ramune ก็ดี ซึ่งแน่นอนในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นส้ม Yuzu ที่คล้ายเลมอนแต่มีความขมกว่าที่แฝงความเป็นโทนส้มใสๆ แบบส้มขม (Bitter Orange) และมีความเป็นโทนเขียวเนียนๆ รวมอยู่ด้วยของกิ่งก้านส้ม โดยมีลูกคู่ที่สร้างอารมณ์ปร่าสดชื่นของโทนสมุนไพรต่างๆ เข้ามาเสริมอย่างมีชั้นเชิงทำให้ได้อารมณ์โซดาซ่าๆ Sparkling ที่มีความเป็นสมุนไพรเนียนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อแยกเนื้อกลิ่นก็จะมีทั้งความปร่าโปร่งจมูกของมินต์ ความปร่าสมุนไพรที่เป็นลูกผสมระหว่างมินต์กับการบูรของโรสแมรี่ และแน่นอนมีการบูรมารวมอยู่ด้วย เพราะมี Effect ที่ทำให้ผิวตรงจุดฉีดมีความเย็นวาบสดชื่นขึ้นมาทันทีและเย็นผิวต่อเนื่องไปราวๆ 3 - 5 นาทีได้ รวมถึงความปร่านวลติดเขียวนิดๆ ของโหระพา ซึ่งถือเป็นช่วงเปิดที่ให้พลังความสดชื่นซาบซ่าและที่ชัดเจนมากๆ เลยคือ มีความเป็นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นสูงมาก

และในช่วงกลางนี่แหละที่มีความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแบบครบถ้วนกันเลย เพราะนอกจากกลิ่นออกทางซ่าน้ำ Yuzu Soda แบบ Ramune แล้ว จะมีกลิ่นอายบรรยากาศที่มีกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ที่มีความสดชื่นติดเปรี้ยวเรื่อๆ มีเสน่ห์ของแมกโนเลีย กับกลิ่นหวานโปร่งใสๆ แกมชื้นหอมนิดๆ ของลูกแพร์ แต่ที่น่าสนใจคือ การมีกลิ่นสับปะรดหวานเนียนๆ รวมอยู่กับกลิ่นลูกแพร์ด้วย เลยทำให้ได้อารมณ์แบบกลิ่นผลไม้สดชื่นรวมอยู่ทั้งในความ Sparkling ของโทนโซดาและรวมออยู่ในบรรยากาศแบบกำลังดี และมีกลิ่นติดทึบแป้งอ่อนๆ สบายๆ ที่ทำให้กลิ่นมีมิติมากขึ้น ไม่ได้มีแค่ความใสๆ เรื่อๆ อย่างเดียวเป็นตัวเสริม ซึ่งทำให้ช่วงนี้จะได้ความสบายๆ ของบรรยากาศรอบตัวที่ให้ความรู้สึกแบบญี่ปุ่นแบบชนบท + Yuzu Soda ในขวดที่ดื่มข้างๆ แบบสบายๆ เข้าทางการเป็น Japanese Summer Scent แบบชัดเจนมากจนทำให้ประทับใจเอาได้เลย

ช่วงท้ายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงให้รู้สึกได้เลยคือ เนื้อกลิ่นจะกลายเป็นโทน Musky แกมกลิ่นออกทางเสื้อผ้าสะอาดหอมนวลๆ แบบมีกลิ่นไอแดดอบอุ่นหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่เพราะกลิ่นอายแบบบรรยากาศติดหวานอ่อนๆ ของโทนผลไม้ในช่วงกลางและกลิ่นส้ม Yuzu ยังมีอยู่จนถึงช่วงนี้ เลยทำให้ได้ความสะอาดแกมหวานอ่อนๆ ที่มีความอะโรม่าผ่อนคลายแบบเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อจับเนื้อกลิ่นในโทน Musky มีกลิ่นติดเค็มอ่อนๆ ของผิวกายหน่อยๆ ที่ยังมี Effect โทนสบู่ของ Aldehydes ฉาบผิวกายแบบสะอาดๆ รวมอยู่ด้วย รวมถึงมีกลิ่นออกทาง Earthy แบบกลิ่นไม้หอมแห้งๆ แกมดินๆ นิดๆ เนียนรวมในเนื้อกลิ่นเข้าไปอีก เลยทำให้ภาพรวมของกลิ่นเหมือนอารมณ์สวมเสื้อผ้าสะอาดนั่งชิลล์ๆ กับบรรยากาศที่มีความหวานระเรื่อประปรายแกมกลิ่นดินและไม้หอมบางๆ ที่สร้างความหอมผ่อนคลายและมีเสน่ห์แบบเรียบง่ายและเอาอยู่ในการใช้งานสูงมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะไม่ว่าเพศไหนก็จัดไปได้เลย กลิ่นมีความดีงามในการใช้งานที่แตกต่างและไม่ใช่ Yuzu แบบไม่เหมือนใครจริงๆ ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปได้หมด แถมเข้ากับอากาศบ้านเราอย่างที่สุดด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ ผ่อนคลายในยามเย็นหรือค่ำคืนที่อากาศร้อนๆ จะเข้าทีมาก แต่สิ่งที่ข้ามไปได้เลยคือการใส่ไปหวานเสน่ห์ปล่อยพลังยามท่องราตรี อันนี้เขาอะโรม่า เลยไม่ได้มาสายเช็คเรตติ้งรอบทิศขนาดนั้น

ความทน - ดีงามเพราะ 12 ชม. กลิ่นยังอยู่ให้จับต้องได้ตลอด และไปต่อถึง 15 ชม. ก็เจอมาทุกครั้งที่ใช้งาน เช่นนั้นเรื่องนี้หายห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปราวๆ 2 ชม. จนผ่อนลงเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าชั่วโมงที่ 6 ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปยาวๆ 

สรุป - กลิ่นนี้ถอดความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นออกมาชัดเจนมากและเป็นธรรมชาติแบบน้ำอัดลมที่มี Yuzu เป็นกลิ่นและรสชาติหลักและมีบรรยากาศหน้าร้อนแบบญี่ปุ่น ซึ่งตรงนี้แหละที่มีความแตกต่างและมีชั้นเชิงในการนำเสนอกลิ่นอายที่มีความเป็นเชิงสภาพแวดล้อมเข้ามาด้วยอย่างพอเหมาะและลงตัว อีกหนึ่งในความแตกต่างที่ถ้าได้เรียนรู้กลิ่นจากการใช้งานและรู้ที่มาที่ไป มันจะฟินมากในการสร้างอะโรม่าและออร่ากลิ่นหอมรอบตัวที่สร้างความสุขได้ไม่ยาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Aramis - Special Blend

Aramis - Special Blend

ถ้าพูดถึงน้ำหอมชายที่เหนือกาลเวลา ซึ่งแม้ว่าจะเป็นกลิ่นอายโทน Classic แต่ก็ยังร่วมสมัยมากพอในการใช้งานในยุคปัจจุบันที่สามารถสร้างความแตกต่างได้ 1 ในนั้นต้องมี Aramis for Men อยู่ด้วยเสมอ ซึ่งแม้ว่าจะมีการปล่อยน้ำหอมรุ่นต่างๆ ออกมาโดยยังคุมโทนการเป็นน้ำหอมสายผู้ชายร่วมสมัย ที่กลิ่นอายมักจะเสริมบุคลิกและเข้ากับคนอายุ 30 ปี ขึ้นไปเสียส่วนใหญ่ แบบที่สามารถครองตลาดนี้มาได้เสมอจนถึงปัจจุบัน 

แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการต่อยอดความเป็น Aramis for Men เลยซะทีเดียว เพราะในปี 2019 ได้มีการนำมาต่อยอดในการสร้างเป็นรุ่น Special Blend ขึ้นมาแบบ Limited Edition โดยอิงกับลักษณะของการสร้างสรรค์น้ำหอมเฉพาะตัวบุคคลหรือว่า Bespoke ที่เน้นกลิ่นอายที่มีคุณภาพและเฉพาะตัวในการสร้างออร่าความเป็นสุภาพบุรุษที่มีระดับขึ้นมา เช่นนั้นจัดมาได้ก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจะคงความเป็นกลิ่นอายสาย American Gentleman Scent หรือว่าจะฉีกออกไปอย่างไร เล่าต่อได้ตามนี้

Special Blend เปิดกลิ่นมาก็มีความชัดเจนมากเลยว่าไม่ได้มีความเหมือนต้นตระกูลแต่อย่างใด เพราะไม่มีความเป็นโทน Aldehydes ฟุ้งๆ คมๆ อวลๆ แต่กลับให้เนื้อกลิ่นที่มีความร่วมสมัยโดยเอากลิ่นของวิสกี้และอบเชยที่ไม่ได้มาแบบเข้มข้นอุ่นร้อนมาผสมผสานกันเป็นพื้นฐานของกลิ่น แต่จะมีความหวานติดเผ็ดค่อนไปทางอุ่นเย้ากำลังดี + ให้อารมณ์แบบโทน Spicy ปร่าคมๆ ที่มีความเขียวแบบสาย Herbal กึ่งแป้งหน่อยๆ จากต้นตระกูลมาเป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีลูกเล่นแบบกลิ่นอายสไตล์ Classic เข้ามาเคล้ากับกลิ่นติดขมเจือเปรี้ยวปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ทำให้กลิ่นมีมิติที่สดชื่นแบบประปรายให้จับต้องได้ ทำให้ภาพรวมช่วงต้นอารมณ์จะได้แบบกลิ่นแบบเย้ายวนเจ้าเสน่ห์ที่ไม่ได้ดูไก่กา ออกแนวมีมาดแบบผู้ชายเท่ห์ๆ และสมาร์ทที่ร่วมสมัยตั้งแต่เริ่มแรกเลย 

จุดประกายต่อมาก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงกลางนั่นคือ กลิ่นยาสูบซึ่งจะมาแบบยาสูบแห้งๆ ติดหวานโปร่งกำลังดีเสริมเข้ามาเรื่อยๆ เข้ามาผสมผสานกับกลิ่นอายในช่วงต้น จนได้ 3 ประสานที่เป็นทั้งเหล้าวิสกี้กึ่งอบเชยเคล้ากลิ่นใบยาสูบที่มีความเป็นไม้หอมอวลๆ อารมณ์ติดไม้หอมแน่นปร่าหน่อยๆ จนได้ภาพเหมือนกลิ่นอายบาร์ไม้หน่อยๆ ซึ่งทุกอย่างสอดรับกันดีมากกับความคาบเกี่ยวที่เป็นโทน Classic สู่ร่วมสมัยเพราะได้ความย้อนยุคแบบกำลังดีให้ได้กลิ่นอายแบบชิลล์ในบาร์สไตล์ Jazz ที่มีกลิ่นวิสก้เคล้ายาสูบแมนๆ มีความหวานเย้าเครื่องเทศจากอบเชยสร้างอารมณ์เจ้าเสน่ห์ ซึ่งถือว่าช่วงนี้ให้เสน่ห์แบบผู้ชายใส่ชุด Smart Casual ชิลล์จิบวิสกี้พร้อมสูบซิการ์ที่ทำจากยาสูบชั้นดี ที่เห็นแล้วเออ หล่อและเท่ห์แบบมีระดับมาเลยทีเดียวเชียว

ในการเข้าสู่ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะยังคงยกทีมมาจากช่วงกลางอยู่ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นมากขึ้น และจะมีกลิ่นคล้ายโทนหนังที่เป็นหัวใจหลักของ Aramis ต้นตำรับเข้ามาสร้างกลิ่นอายแบบโทนหนังที่มีความเป็นโทนกึ่งอัลมอนด์กึ่้งหญ้าแห้งของถั่วตองก้ามาเสริม ผสมกับความเป็นโทน Musky ที่มีโทนไม้หอมเข้ามาแทรก ซึ่งถ้าเดาน่าจะเป็นตัวสารหอม Cashmeran ที่มาให้มิติกลิ่นลักษณะนี้ + กับ Ambertonic ที่เป็นสารหอมที่ให้มิติของลูกผสมระหว่าง Amber กับไม้แห้งติดหวานที่มีความเป็นแป้งหน่อยๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะให้อารมณ์แบบกลิ่นอายลูกครึ่ง Classic & Modern ที่มีความหวานโปร่งๆ แกมยาสูบ + วิสกี้ประปรายที่มีเสน่ห์มาก ช่วงนี้ถือว่าเป็นโทน Smart & Sensual แบบชัดเจนจริงๆ และให้ความดีงามของกลิ่นกันแบบยาวๆ เสียด้วย ถือว่าเป็น Special Blend ที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ขอยอมเขาเลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เนื้อกลิ่นจะให้อารมณ์สุภาพบุรุษแบบสมาร์ทเจ้าเสน่ห์ที่ให้ความเป็นผู้ใหญ่ในเนื้อกลิ่นร่วมด้วย แต่ถ้าวัยมหาลัยจะมาใช้ก็ไม่ได้ติดอะไรแต่อาจจะทำให้ลุคทางกลิ่นดูเกินกว่าอายุไปได้ โดยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป หรือใส่ทำงาน Office ก็ได้อยู่ แต่ถ้าใส่ไปแบบทางการมากๆ อาจจะไม่เข้าทางเท่าไหร่เพราะว่ากลิ่นวิสกี้ชัดมาก รวมถึงไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายจ๋าๆ เท่าไหร่ ยกเว้นเป็นช่วงท้ายๆ ที่ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเหมาะมากกับการใส่เพื่อไปชิลล์หรือท่องราตรีแบบมีระดับอันนี้จะปล่อยเสน่ห์ได้เต็มที่มาก

ความทน - จัดจ้านเลยทีเดียวเพราะพื้นฐานที่เจอในทุกครั้งที่ใช้คือ 12 ชม. และไปต่ออีกถึง 15 ชม. เป็นประจำ เช่นนั้นเรื่องนี้หมดความกังวลไปได้เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่ช่วงต้นยาวไปจนถึงปลายช่วงกลางเลย ถึงลดลงมาเป็นปานกลางไปซักพัก พอเข้าชั่วโมงที่ 6 เป็นต้นไป ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ พอพ้นซัก 12 ชม. ถึงค่อนๆ ลงมาเป็น Skin Scent เป็นการปิดท้าย  

สรุป - เป็นการรับช่วงมาต่อยอดจากรุ่นต้นตระกูลมาสู่การเป็นเอกลักษณ์ใหม่ในแบบ Aramis for Men ในอีกรูปแบบที่มีแตะความร่วมสมัยได้ทั้ง Classic และ Modern ซึ่งเนื้อกลิ่นถือว่าไม่ธรรมดาในการปรุงเลยทีเดียวที่ยังคงให้มาดผู้ชายสายสมาร์ทแบบ Aramis แบบเดิม + เพิ่มความเย้ายวนเจ้าเสน่ห์ที่ไม่ได้โฉ่งฉ่างแต่มีระดับจับใจเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://ascotcosmetics.co.za/product/aramis-special-blend-eau-de-parfum-spray-110ml/


 

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Tada Parfumeur - Timber Suit


Tada Parfumeur - Timber Suit

หลังจากที่ได้ลองใช้หนึ่งในกลิ่นที่มีเสน่ห์และเป็นกลิ่นอายสไตล์ Niche Perfume ที่เข้าถึงได้ง่ายจากการเป็น Natural Teller ที่เด่นกับโทนไม้สนไพน์ในกลิ่นที่ออกมาเป็น Second Wave ของแบรนด์อย่าง Lamberjack กับอารมณ์มินิมัลของโทนไม้หอมต่างๆ ที่ให้ความน้อยแต่มาก มีความแมนแบบสบายๆ ปลอดโปร่งแบบอารมณ์ผู้ชาย (ที่อาจจะเป็นช่างไม้หรือไม่ก็ได้) ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อต หรือแค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ชิลล์ๆ แน่นอนว่านี่เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ให้ความประทับใจได้สูงมากในการใช้งานยิ่งเฉพาะคนที่ชอบกลิ่นไม้หอมและสนไพน์ปลอดโปร่งเป็นทุนเดิม

แต่เมื่อแบรนด์นี้ได้จบลงและมีการเปลี่ยนแปลงใหม่มาเป็น Tada Parfumeur ก็มีตัวแทนใหม่ที่ให้ความเป็นกลิ่นสนไพน์เข้ามารับช่วงต่อ เพียงแต่ไม่ได้มาซ้ำรอยเดิม เพราะมีการเปลี่ยนแปลง Concept ในการสื่อสารกลิ่นที่จะเป็นในอีกรูปแบบที่บอกถึงความเป็นผู้ชายในอีกสไตล์ที่แตกต่าง เช่นนั้นกลิ่นจะเป็นอย่างไร และสื่อสารออกมาอย่างไรนั้นมาว่ากันเลยที่กลิ่นนี้ Timber Suit

สนไพน์จะเป็นแกนหลักของกลิ่นที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบให้ความเป็นโทนไม้หอมติดปร่าแกมสะอาดได้ความเป็นอารมณ์ Cool ที่ชัดเจนมาก ซึ่งในช่วงเปิดกลิ่นของสนไพน์จะให้อารมณ์แบบกึ่งความเป็นเดทตอลนิดๆ ในทางที่ดี เพราะการมีโทน Citrus ที่เข้ามาแฝงสร้างโทนติดเปรี้ยวอ่อนๆ เนียนๆ และให้ความเป็นสไตล์ Cologne หน่อยๆ ของเลมอน เคล้าความเป็น Herbal ปร่ารื่นจมูกของมินต์ประเภทสเปียร์มินต์ที่จะให้ความปร่าเขียวรื่นจมูก เลยทำให้ได้ความรู้สึกเป็น Woody Cologne กับการเป็นโทนกลิ่นไม้สนไพน์เด่น เสริมด้วยความสดชื่นต่างๆ ทั้งจาก Citrus และสมุนไพร แต่เนื้อกลิ่นก็จะมีความหนาในระดับหนึ่งเพราะมีโทนออกทางอวลนัวแต่ไม่ข้นเกินไปของเม็ดกระวานเข้าร่วมด้วย เลยทำให้กลิ่นมีเลเยอร์ความเป็นกลิ่นไม้หอมติดปร่าที่อวลที่มีความแน่นขึ้นมาในระดับที่พอสมควรและมีความสดชื่นในเวลาเดียวกัน ซึ่งเปิดมาก็บอกชัดเจนเลยว่ากลิ่นเข้าทางการเป็นน้ำหอมผู้ชายสาย Smart Casual แบบเต็มตัว เพราะเนื้อกลิ่นสไตล์นี้จะมีความกึ่งทางการกึ่งแมนนิ่งขรึมสายคูลให้จับต้องได้ตลอด

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง และความเป็นกลิ่นสนไพน์ก็ยังโดดเด่นไม่หนีไปไหนและเรียกว่าเป็นช่วงที่ความเป็นไพน์เด่นที่สุดแล้ว ตัวช่วยต่างๆ ที่ทำให้ความเป็นกลิ่นไม้หอมติดปร่าต่างประดากันเข้ามาอย่างมีชั้นเชิงไม่ว่าจะเป็นจูนิเปอร์เบอร์รี่ที่ให้ความปร่าเขียวมีความเป็นโทนกึ่งเหล้าจินและกลิ่นของสนไซเปรสที่มาสายคนละครึ่ง เพราะมีความเป็นไพน์ครึ่งนึงและมีความเป็นซีดาร์ครึ่งนึง ทำให้ความเป็นโทน Woody สายกลิ่นไม้สนมีความชัดเจนในทุกๆ สโตรกกลิ่นทั้งความปร่าไม้หอมแกม Spicy สะอาดๆ ที่มีความติดเขียวแกมปร่าและมีความเป็นโทนไม้หอมสะอาดๆ ซ้อนอยู่ โดยเนื้อกลิ่นมีความมินิมอลแบบให้ความน้อยไม่ซับซ้อนแต่มีความมากในการสร้างอารมณ์โทนไม้หอมให้น่าจดจำในการเป็นโทนกลิ่นสายสุภาพบุรุษแบบที่มีความ Smart ที่แตะได้ทั้งความร่วมสมัยก็ได้ Classic เนียนๆ ก็ดีและ Modern แบบคูลๆ ก็ชัดเจน อารมณ์กลิ่นแบบเสริมคาแรคเตอร์การใส่สูทแนว Smart Casual แบบผู้ชายที่สร้างลุคเท่ห์ๆ ก็ได้ หรือจะ Smart Business ก็ลงตัวด้วยเช่นกัน ถือว่าครอบคลุมการใช้งานได้ชัดเจนขึ้นในหลายๆ สถานการณ์อีกด้วย

รอยต่อระหว่างช่วงกลางกับท้ายที่นอกจากจะสัมผัสได้ถึงความเป็นไม้หอมที่ยังชัดเจนอยู่ แต่ความเป็นสนไพน์จะค่อยๆ ลดทอนตัวเองลงไปทีละนิด และจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นกึ่งอวลไม้อบอุ่นที่เป็นลักษณะของ Ambroxan ได้ชัดเจนขึ้นจากที่ช่วงอื่นเป็นฉากหลังที่โทนสนไพน์กลบไป แต่ก็ไม่ทิ้งลายให้ความอวลกับเนื้อกลิ่นในช่วงนั้นๆ รวมกับกลิ่นติดปร่าขรึมนิ่งๆ ที่เป็นไม้หอมโปร่งๆ ของไม้ซีดาร์ที่เข้ามาทำให้ความเป็น Woody ยังมีความชัดเจนอยู่ และก็จะมีกลิ่นออกทางกึ่ง Musky กึ่งหนังที่เป็นลักษณะของหนังกลับเสริมเข้ามาให้มีความนวลเย้าแบบที่ไม่ได้ดิบห่าม ซึ่งเมื่อความอวลชัดในช่วงกลางเริ่มเบาลงและสนไพน์กลายเป็นตัวเสริมอ่อนๆ ให้กลิ่นโทนไม้หอมกึ่งแอมเบอร์ หรือ Woody Ambery เป็นตัวเด่นขึ้นมาแบบกำลังดี โดยมีกลิ่นหนังกลับที่ให้ความนวลเย้า และมีไอกลิ่นไม้หอมโปร่งที่มีความปร่าอ่อนๆ ประปรายให้จับต้องได้ ก็จะเป็นช่วงท้ายของกลิ่นที่จะให้ความคลอผิวไปเรื่อยๆ ปิดท้ายได้อย่างมีเสน่ห์และมีสไตล์แนว Smart & Cool ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เพราะกลิ่นมาสายสร้างออร่าแบบ Smart ทั้ง Casual และ Business ก็ได้หมด เอาจริงๆ น้องๆ มหาลัยก็สามารถใช้ได้ ถ้าแต่งตัวเนี้ยบสไตล์ผู้ชายดูแลตัวเองก็เข้าทีไม่น้อย ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายสถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางเท่าไหร่ และเนื้อกลิ่นมีความแน่นอยู่พอสมควรในช่วงต้นเดี๋ยวพอร่างกายฮีทขึ้นตอนบึ้ดจ้ำบึ้ดจะตีจนตึ้บเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานหรือใส่ท่องราตรีก็ได้อยู่ เพียงแต่ว่าจะไม่ได้มาสายเซ็กซี่ปรอทแตกบอกทุกคนว่าพร้อมรบ เพราะเน้นมาสาย Cool & Smart ที่มีเสน่ห์ดึงดูดแบบเนียนๆ ไม่โจ้งแจ้ง มากกว่า

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่พื้นฐานราว 8 ชม. ได้สบายมาก รวมถึงสามารถไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 - 15 ชม. เวลาใส่อยู่ในห้องแอร์ตลอด แต่ถ้าวันไหนอยู่กับอากาศร้อนเหงื่อซึมตลอดวัน ก็ราวๆ 8 - 10 ชม. ที่ยังจับต้องกลิ่นได้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีใน 5 นาทีแรก แล้วจะขยับสเต็ปขึ้นมาดีมากเพราะความแน่นของกลิ่นชัดเจนมากขึ้นไปราวๆ 1 - 2 ชม. ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงมาที่ละสเต็ป จนเมื่อผ่านไปประมาณ 4 ชม. ถึงผ่อนลงมาปานกลางสร้างเสน่ห์แบบกำลังดี ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวเอาราวๆ ชั่วโมงที่ 6 - 7 ไปเรื่อยๆ จนแตะความเป็น Skin Scent เอาในชั่วโมงที่ 9 เป็นต้นไป แต่สิ่งหนึ่งต้องบอกเลยว่า กลิ่นถ้าติดเสื้อจะคุมการกระจายของกลิ่นได้คงทนมากกว่าเดิม อันนี้เจอกับตัวหลังจากที่ฉีดแล้วใส่เสื้อผ้าเลยไม่ได้รอสักครู่ให้กลิ่นเบลนด์ไปกับผิว

สรุป - เป็นน้ำหอมผู้ชายเต็มตัวไม่ได้แตะความเป็น Feminine ใดๆ ให้รู้สึกได้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งถือเป็นอีกก้าวที่แตกต่างจากตัว Lamberjack ของแบรนด์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีกขั้น มาเป็นผู้ชายสาย Smart ที่ดูแลตัวเองและมีความ Cool เป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิต นี่แหละเข้ากับ Timber Suit มากเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/TadaParfumeur

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Tada Parfumeur - Rose & Thorns

Tada Parfumeur - Rose & Thorns

ดอกไม้ที่มักจะเป็นตัวแทนของผู้หญิงแบบที่เป็นสากลโลกเลย คงหนีไม่พ้น “กุหลาบ” แน่นอน ซึ่งกุหลาบก็เป็นหนึ่งใน Note อมตะนิรันดร์กาลของโลกน้ำหอมเลยก็ว่าได้ และก็ผ่านการตีความลงสู่กลิ่นน้ำหอมกันมามากมายหลากหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

และจากเดิมที่เคยติดตามผลงานของสุคนธกรกับการปล่อยของกลิ่นกุหลาบในตอนเป็น Natural Teller ก็ได้เห็นความน่าทึ่งและน่าสนใจในการใส่เต็มกับงานศิลปะที่เอาความเป็นกุหลาบมาเจอกับหนังเข้มๆ ดิบห่ามแบบใส่เต็ม สื่อถึงการเป็นตัวแทนการพบเจอกันระหว่างหญิงและชาย และเมื่อเขากลับมากับการเป็นแบรนด์ Tada Parfumeur และนำเสนอความเป็นกุหลาบ สิ่งที่น่าลุ้นต่อคือ จะทำออกมาในลักษณะไหน และสื่อความออกมาอย่างไร ก็ขอสัมผัสกันซักหน่อยกับกุหลาบที่มีหนามแหลมคมกลิ่นนี้ Rose & Thorns

สิ่งที่มาทักทายก่อนใครเพื่อนเลยนั่นคือโทนแป้ง ที่มีลูกเอื้อนของความเป็นโทน Buttery แบบลิปสติกตีคู่กัน เนื้อกลิ่นค่อนข้างมีเลเยอร์ที่น่าสนใจมากเลย 3 โทนหลักๆ คือ แป้งติดหวานโปร่งของไวโอเล็ตที่มีโทนออกทางติดหวานแบบกลางๆ กำลังดีแกมกลิ่นแป้งฝุ่นหน่อยๆ ที่จะเป็นโทนเด่น ตามด้วยกลิ่นของลิปสติกที่เป็นแนวๆ ติดทึบเนื้อครีมกึ่งเนย (แต่ไม่ใช่กลิ่นเนย) ซึ่งอันนี้เดาไม่ยากว่ามาจากหัวเหง้า Orris  ที่แอบมีความปร่า Spicy คล้ายพริกไทยหน่อยๆ และปิดท้ายด้วยตัวแทรกซึมสำคัญอย่างกุหลาบที่มาแบบเป็นสายสนับสนุนให้เนื้อกลิ่นทั้งโทนแป้งและโทนลิปสติกต่างก็มีความเป็นกุหลาบเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของกลิ่นทั้งคู่ โดยที่กุหลาบจะไม่ได้โดดเด่นออกมาแบบบอกทั้งโลกให้รู้ แต่มาแบบเอื้อนๆ ให้เห็นถึงความลุ่มลึกทางกลิ่นที่เข้าได้กับทั้งแป้งและลิปสติก รวมถึงเป็นตัวเชื่อมโทนที่สร้างออร่าความ Feminine แบบซึมลึกราวกับไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนมากแต่เสน่ห์มันเด่นชัดออกมาให้รู้สึกเอง โดยที่เนื้อกลิ่นไม่ได้มาในโทนสว่างแต่ดาร์กแบบน่าค้นหาเสียมากในการเป็นจุดเริ่มต้น

ถ้าคิดว่าเนื้อกลิ่นจะมาแบบกลิ่นแนวแป้งและลิปสติกกุหลาบ อันนี้คงไม่ใช่ เพราะในช่วงกลางแม้ว่าโทนลิปสติกกับความเป็นแป้งฝุ่นแกมแป้งหวานโปร่งกุหลาบลึกๆ จะยังเป็นแกนหลักในการเดินกลิ่นอยู่ก็จริง แต่จะมีตัวแปรสำคัญเข้ามานั่นคือโทนหนังที่จะมาแบบติดห่ามหน่อยๆ อย่างสมดุลย์ และมีโทนเครื่องเทศที่ให้ความเผ็ดปร่านวลติดหวานเย้าซ่อนเนียนรวมอยู่ด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นเริ่มมีอะไรมากกว่าเดิมด้วยการเพิ่มอารมณ์ความมั่นใจในตัวเอง เซ็กซี่และเย้ายวนเนียนๆ เข้ามาให้จับต้องได้ ซึ่งช่วงนี้เนื้อกลิ่นมีความชัดเจนมากกับการสร้างภาพให้เห็นถึงผู้หญิงในชุดสีดำและทาปากด้วยลิปสติกสีแดงกุหลาบที่สวยในสไตล์ของตนเอง และมี Sex Appeal ที่แฝงความมั่นใจออกมาให้ชวนมอง และรับรู้ได้เลยว่าคนนี้ไม่ธรรมดา มีของในตัว โดยไม่จำเป็นต้องโปรยความเป็นนางพญาออกมาแต่อย่างใด ถือเป็นไฮไลท์ที่ชัดเจนและบ่งบอกเปรียบเปรยถึงความเป็น Rose & Thorns กับความเป็นสตรีเพศได้ชัดเจนมาก 

เมื่อโทนกลิ่นแนวแป้งเครื่องสำอางค์เริ่มเบาลงเป็น Improvise ที่มีให้รับรู้ปลายกลิ่น และกลิ่นลิปสติกเริ่มเบาลงแต่ยังคงกลิ่นโทนเนื้อลิปสติก Buttery อยู่ โดยที่มีความเผ็ดปร่านวลติดเอื้อนหวานนิดๆ ให้รับรู้แบบเบาๆ สิ่งที่จะชัดเจนขึ้นมาในการเป็นช่วงท้ายคือโทน Musky ที่จะมี Musk กับหนังที่ตอนแรกติดห่ามๆ แต่เบาลงมาผสมผสานทำให้ได้ความนวลสะอาดแต่มีความเย้าลึกที่เซ็กซี่เนียนๆ แฝงอยู่ โดยเนื้อกลิ่นจะมีโทนอบอุ่นทำให้ได้ความรู้สึกแบบกลิ่นผิวกายนวลสะอาด แต่มีความ Dirty เซ็กซี่ซ้อนเนียนๆ อารมณ์ไม่ใช่นุ่มนวลอ่อนโยน แต่เป็นนุ่มนวลที่มีความน่าค้นหาแบบไม่โจ่งแจ้ง โดยที่ยังมีความมั่นใจจากความเป็นลิปสติกกึ่งแป้งเป็นเลเยอร์แรกอยู่ เรียกว่าเป็นอีกช่วงที่ให้ความเป็น Sex Appeal ที่ชัดเจนแบบขยับอีก 1 สเต็ปมาเป็นรู้ที่จะผ่อนและรู้ที่จะปล่อยแบบค่อยเป็นค่อยไปให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาที่คลอผิวไปเรื่อยๆ อย่างมีเสน่ห์และมีชั้นเชิง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป จะเข้าทางกับน้ำหอมกลิ่นนี้มาก เพราะมีสเต็ปที่รู้ทิศทางมากพอในการนำเสนอคาแรคเตอร์ตัวเองควบคู่กับกลิ่นได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ ไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกกรณี ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะดีที่สุด และแม้ว่าจะใส่ท่องราตรีแบบชิลล์เก๋ๆ ได้ แต่กลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังคลื่นเต่านัก เช่นนั้นถ้าคิดจะเอาไปปล่อยเสน่ห์ยั่วยวนอาจจะไม่ได้ดังหวังก็เท่านั้นเอง

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชั่วโมงเป็นสำคัญ แต่ไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมหรือสภาพผิวเอื้อได้มากพอ ซึ่งส่วนตัวเจอที่ระหว่าง 8 - 12 ชม. อยู่เสมอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและคงที่ไปราวๆ 1 ชม. ก่อนที่จะลดลงมาที่ปานกลางที่จะยาวไปพอสมควร และเมื่อแตะชั่วโมงที่ 4 - 5 ก็จะเริ่มลดทอนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วติดผิวเอาราวๆ ผ่านไปแล้วประมาณชั่วโมงที่ 6 - 7 เป็นต้นไป

สรุป - “เพราะกุหลาบเป็นดอกไม้ที่ตีความเสมือนเป็นสตรีเพศ และสิ่งที่เราปรามาสไม่ได้เลยนั่นคือ กุหลาบมักจะมีหนามแหลมซ่อนอยู่เสมอ ไม่ระวังจับต้องดีๆ ก็จะเจอหนามทิ่มแทงมือเอาได้” นี่แหละที่เป็นเสมือนภาพรวมของกลิ่นที่ทำออกมาให้เห็น ซึ่งนี่ก็คือ Rose & Thorns แบบที่ไม่จำเป็นต้องยัดความเป็นกุหลาบจ๋าๆ แต่เล่าออกมาแบบเปรียบเปรยให้เห็นถึงผู้ใช้ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายที่มีความมั่นใจ ทันสมัย มีชั้นเชิงที่ซ่อนความแซ่บ และไม่ธรรมดาในความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ แบบเจาะจงก็ เหมือนเห็นผู้หญิงสวยและมีเสน่ห์ในชุดสีดำทาปากสีแดงกุหลาบ ที่แตะได้ทั้งความมั่นใจที่ใช้อย่างถูกที่ถูกทางและมีมุมที่แซ่บลึกแบบไม่ธรรมดา อันนี่แหละชัดเจนในความรู้สึกจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/TadaParfumeur

 

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Pierre Guillaume - Monsieur

Pierre Guillaume - Monsieur

จากจุดเริ่มต้นของการแยก Collection ต่างๆ รวมถึงแยกแบรนด์อย่างชัดเจน โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ Perfumer สุดหล่ออย่าง Pierre Guillaume หลักๆ คือ Pierre Guillaume, Parfumerie Generale และ Phaedon ซึ่งต่อมาได้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นว่าควรควบรวมให้มีความชัดเจนมากขึ้นแต่เป็น Collection ที่สามารถบริหารจัดการได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันจึงเหลือเพียง 2 แบรนด์หลักๆ ที่ต่างก็มีดีในตัวสูงแบบที่เรียกว่าไม่ธรรมดาทั้งคู่อย่าง Pierre Guillaume (ที่เอา Parfumerie Generale เข้ามารวมอยู่ด้วยและเปลี่ยนเป็นหนึ่งใน Collection - Number กับอีกแบรนด์สาย Exclusive มากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปอย่าง Phaedon

เกริ่นการรวม การแยกกันมาพอสมควรมาว่ากันในเรื่องของน้ำหอมที่จะเล่ากลิ่นอย่างรุ่น Monsieur ซึ่งเดิมทีก่อนมีการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นหนึ่งใน Collection - Huitième Art ของแบรนด์หลักอย่าง Pierre Guillaume มาก่อน ซึ่งขวดจะมีความเฉพาะมากๆ อย่างกับโล่ห์ที่ใช้ในการรบเลย และหลังจากที่มีการปรับกระบวนท่ากันใหม่ของแบรนด์ก็มีการยกเลิก Collection เดิมออกไป ปรับ Collection ใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนรูปแบบขวดมาเป็นแบบเดียวกันทั้งแบรนด์แยกกันที่สีด้านในของขวด สีน้ำหอม และหมายเลขรุ่น (อันนี้คือฝั่ง Parfumerie Generale เดิม) ซึ่ง Monsieur เองก็เลยมารวมอยู่ในการเป็น Black Collection ของ Pierre Guillaume ในที่สุด ที่สำคัญรุ่นนี้อยู่ในกลุ่มที่ไม่ธรรมดาและได้รับการยอมรับอย่างสูงในเนื้อกลิ่นที่มีเสน่ห์และมีระดับมากๆ อีกด้วย เช่นนั้น ได้เวลาลองแล้วสิ ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

จุดเริ่มต้นของกลิ่นเริ่มที่โทนกึ่ง Earthy กึ่งชื้นๆ ปร่าๆ ของพิมเสนที่มีลักษณะคล้ายโทนสารหอมอย่าง Clearwood ที่เป็นลูกผสมในความเป็นพิมเสนใสๆ กึ่งไม้ซีดาร์โปร่งๆ แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้ทื่อขนาดนั้น เพราะว่ามีความ Earthy แบบพิมเสนติดเขียวที่ไม่ได้มาสายดาร์กหรือสาบ รวมถึงมีกลิ่นหญ้าแฝกที่ไม่ได้ให้โทน Smoky แต่มาแบบแนว Rooty รากชื้นๆ ที่มีลูกเอื้อนของความเป็นโทนกลิ่นแบบละอองหรือไอน้ำแบบที่มีกลิ่นแร่ธาตุหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่ทั้งหมดจะเป็นตัว On Top อยู่บนพื้นฐานความเป็นกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ อย่างไม้ซีดาร์เอาไว้ ทำให้กลิ่นจะมาเป็นสาย Fresh Woody ที่เกลาออกมาอย่างกลมกล่อมและเป็นธรรมชาติแบบที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นไม้สดชื่นแกมชื้นๆ ของบรรยากาศที่มีละอองน้ำหรือไอน้ำเย็นๆ อยู่ใกล้ๆ ประมาณนั้น

การเปลี่ยนแปลงของเนื้อกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้เมื่อโทนชื้นๆ ต่างๆ ลดลงและแห้งลงมาในระดับหนึ่ง และเพิ่มเติมด้วยโทนจืดแกมครีมมี่หวานมีเสน่ห์ของไม้จันทน์หอมที่เข้ามาพร้อมกับกลิ่นออกทางยางไม้ติดเขียวๆ ที่มีความขมๆ ติดหวานแต่ไม่ได้ทึบ ค่อนไปทางกลิ่นแนวๆ Evergreen แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นโทนคล้ายไม้สนมากขนาดนั้น อารมณ์แบบกลิ่นคล้ายยางไม้สนแต่มีความเป็นเขียวใบไม้อะไรทำนองนั้น ทำให้การนำเสนอความเป็นไม้หอมมีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ โดยมีทั้งกลิ่นไม้ซีดาร์จากช่วงต้นที่ให้ความปร่าขรึม มีความนุ่มนวลอวลครีมมี่ของไม้จันทน์หอมที่ให้มิติกลิ่นไม้หอมนวลๆ มีระดับแบบพอดีๆ และมีกลิ่นหญ้าแฝกที่ให้ความเป็นกึ่งไม้แห้งกึ่งราก Rooty ที่มีความชื้นๆ ดินกึ่งไม้แห้งๆ ประปราย ซึ่งทำให้เลเยอร์ความเป็นกลิ่นไม้หอมจะเริ่มจากเขียวกึ่งใบไม้ สู่กลิ่นเปลือกไม้ เนื้อไม้ปร่าแกมนวล  ยางไม้ปร่าที่มีความแน่นของเนื้อกลิ่นในระดับที่พอดี โดยมีพิมเสนรายล้อมให้ความเป็นสภาพแวดล้อมที่มีทั้งต้นไม้และพืชล้มลุกต่างๆ แบบไม่ได้ไปสายดิบดาร์ก ซึ่งถือเป็นช่วงที่นำเสนอความเป็นไม้หอมได้ครอบคลุมมาก

ช่วงท้ายก็จะยังนำเสนอสิ่งที่เป็นช่วงกลางทั้งหมด เพียงแต่จะมีกลิ่นที่ลึกมากขึ้น และมีความหยินหยางกำลังดีเพราะมีโทนสว่างของไม้จันทน์หอมและไม้ซีดาร์ที่ตามมาในช่วงนี้ รวมถึงมีกลิ่นปาปิรัสที่ให้ความเป็นไม้แห้งๆ โปร่งๆ เสริมเข้ามาในฝั่งของไม้หอมโทนสว่าง โดยที่ยังมีอารมณ์กึ่งปร่ายางไม้ค่อนไปทางไม้สนหน่อยๆ อยู่เช่นเดิมเป็นตัวกลางที่เชื่อมโทนกับโทนดาร์กน่าค้นหาเนียนๆ ที่มาจากไม้หอมกึ่งโทนธูป Incense ที่มีความ Smoky นวลเนียน เคล้าหญ้าแฝกที่มีความเป็นไม้แห้งๆ มากขึ้นกับ Oak Moss ที่ให้ความเป็นโทนเขียวเข้มๆ ค่อนไปทางกลิ่นน้ำหมึกอ่อนๆ แบบสไตล์ Earthy ที่มีความ Classic ก็ได้และร่วมสมัยก็ดี ทำให้ช่วงท้ายคือกลิ่นสุภาพบุรุษที่มาในแบบสไตล์ Modern ที่มีความสมดุลย์ในการเป็นโทนไม้หอมแบบตรงกลางพอดี ทุกอย่างจะให้ความเป็นโทนสุภาพบุรุษที่สมาร์ทก็ได้ สบายๆ แบบ Casual ก็เอาอยู่ โดยที่ทุกอย่างสอดรับกันอย่างดีตั้งแต่ต้นยันจบเลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เนื้อกลิ่นมีความเป็น Daily Scent ที่สร้างออร่าความเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่แตกต่างโดยมีลูกเอื้อนความ Classic แบบ Tribute ให้หน่อยๆ แต่ที่เหลือคืออวลไม้หอมที่ทันสมัยได้เลย จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ที่เน้นสร้างกลิ่นอายผู้ชายที่มีออร่าความสุขุมแลได้ทั้งความหยินหยางระหว่างโทนสว่างและดาร์กน่าค้นหาในเวลาเดียวกันแบบไม่หนักหน่วง แต่ถ้าจะใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ได้อยู่ แต่อาจจะไม่ได้เสริมบุคคลิกในยามแบบนั้นเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานสร้างออร่าความสมาร์ทให้ตัวเองจะลงตัวที่สุด

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ ก่อนจะลงเป็นติดผิวไปจุดสุดท้ายของการอยู่บนผิวตั้งแต่ชั่วโมงที่ 8 เป็นต้นไป   

สรุป - Monsieur มากับ Concept ที่ชัดเจนมากกับการนำเสนอกลิ่นอายสายไม้หอมแบบเต็มๆ 8 ชนิดที่เอามาผสมผสานกัน ซึ่งมาทุกช่วงทุกสโตรกกลิ่นแบบต้องมีไม้หอมที่ผสมผสานกันอย่างมีเสน่ห์มาก โดยจะมีความสดชื่นไล่เรียงสู่ความเป็นไม้หอมที่สร้างความเคร่งขรึมแต่ปลอดโปร่งไม่หนักไม่แน่นเกินไปจนได้ความเป็นสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์แบบที่เฉพาะตัว อันนี้แหละที่ต้องยอมเข้าจริงๆ ว่าไม่ธรรมดาและดีงามมากๆ ด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pierreguillaumeparis.com/en/perfume/monsieur/

 

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Pierre Guillaume - PG 4.1 Le Musc & La Peau

Pierre Guillaume - PG 4.1 Le Musc & La Peau

Minimal ในความเป็นน้ำหอมในหลายๆ ครั้ง คำนี้มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดในความน้อยไม่ได้เยอะสิ่ง ออกไปทางเรียบง่ายเสียด้วยซ้ำ แต่ในความน้อยๆ นั้น ดันมีเสน่ห์ที่ให้ความเป็นธรรมชาติแบบตรงไปตรงมา และให้ความเรียบหรูในทีอยู่ตลอด แบบที่ไม่ต้องประโคมไม่ต้องเล่นใหญ่ แต่จับใจและจับจมูกได้อยู่หมัด เรียกว่าได้ความมากในอารมณ์ที่จับต้องได้แบบไม่ต้องพยายาม ซึ่งหลายๆ แบรนด์เองก็ทำได้ดีมากและกลายเป็น Signature ของแบรนด์นั้นๆ ไปเลยก็มี

และจับผลัดจับผลูมาได้เจอกับแบรนด์ Pierre Guillaume โดยเฉพาะในโซน Numbers Collection หรือ Parfumerie Generale เดิม ที่มักจะได้เจอความเป็นโทนที่หลากหลายและแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น ก็ไปพบเข้าให้กับหนึ่งในความมินิมัลที่ Perfumer ได้แสดงฝีมือออกมา เช่นนั้นความน่าสนใจบังเกิดก็ต้องลองให้รู้และดูหน่อยสิว่าความเป็น PG ที่มีความมินิมัลจะออกมาในรูปแบบไหน กับกลิ่นนี้ PG 4.1 Le Musc & La Peau

แค่ช่วงเปิดก็บอกอะไรได้มากมายแล้วว่านี่คือมินิมอลจริงจังมาก เนื้อกลิ่นไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไร แต่ให้ความเป็นโทน Musky แกมไม้หอมอบอุ่นเป็นพื้นฐานของกลิ่นกันแบบชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่จะมีโทนออกทางกึ่งสบู่กึ่ง Citrus มาให้ความสดชื่นพอประมาณในช่วงต้น ซึ่งนั่นก็คือการผนวกกันของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และ Aldehydes ที่จะให้ความเป็นสบู่ปร่าสดชื่นหน่อยๆ โดยมีปลายกลิ่นเป็นกลิ่นติดสมุนไพรนิดๆ ของโรสแมรี่ ซึ่งโดยทั่วไปถ้า Citrus มาเจอกับ Aldehydes มักจะจะมีโทนกลิ่นที่คมพุ่ง แต่เพราะว่าโดนโทน Musk ทั้งหลายเข้ามาตัดทอน แถมมีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ โปร่งๆ ที่น่าจะเป็น ISO E Super แกมกลิ่นอวลๆ กึ่งไม้หอมกึ่งแอมเบอร์ของ Ambroxan เข้ามาสมทบเข้าไปอีก เลยทำให้ได้ความสมดุลย์กำลังดี มีลูกผสมที่มีความเป็นกึ่งสบู่สดชื่นเบาๆ กึ่ง Musk กึ่งไม้หอมอบอุ่นสบายๆ กันตั้งแต่เริ่มต้นเลย

ในช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะยังคงธีมเดิมในการเป็น Woody-Ambery-Musky อยู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือโทนกลิ่นที่มีโทนดอกไม้อ่อนๆ เข้ามาที่ติดหวานหน่อยๆ แต่ไม่ใช่ดอกไม้ขาวที่มาเสริมความข้นนวลแต่อย่าใด เพราะเป็นกระดังงาที่ให้ความหวานเย้ากำลังดีและเช่อมโทนได้ดีกับโทนไม้หอมต่างหากที่เป็นตัวสร้างความละมุนเย้ากำลังดี แถมมีไม้จันทน์หอมเข้ามาให้ความครีมมี่นวลๆ ติดกลิ่นไม้สว่างๆ ที่เป็นลูกผสมของ ISO E Super ที่ให้โทนไม้ซีดาร์ขรึมๆ ผสมผสานอยู่ในนั้น เลยโทนกลิ่นแบบสีครีมแบบผิวกายทำให้เนื้อกลิ่นปูทางไปค่อนข้างชัดเจนถึงการเป็นโทนคลอผิวที่มีความนวลสะอาดแกมไม้หอมอวลๆ ที่มีความนุ่มนวลปนเรียบง่ายให้ออร่าในลักษณะโทนสว่างระหว่างสีครีมกับเอิร์ธโทนอ่อนๆ ได้อย่างพอดิบพอดี

ในช่วงท้ายยิ่งชัดเจนเข้าไปอีกเพราะจะมาแบบการเป็น Woody-Ambery-Musky ที่เต็มตัว โดยมีโทนออกทางกึ่งวานิลลาติดครีมมี่นุ่มๆ ค่อนไปทางอัลมอนด์หน่อยๆ ที่เป็นลักษณะของถั่วตองก้าเข้ามาร่วมด้วยกลิ่นเลยยิ่งมีความอวลอบอุ่นขึ้นมาอารมณ์แบบผิวกายที่นุ่มนวลที่มีกลิ่นอวลๆ ไม้หอมกึ่งวานิลลากึ่งนมกึ่งอัลมอนด์ติดหวานเรื่อยๆ มาเรียงๆ ซึ่งต้องบอกว่าเนื้อกลิ่นมีความเรียบง่ายสูงมาก แต่ก็มีความเย้ายวนอวลละมุนที่ชวนซุก มีความเซ็กซี่แอบแฝง ที่ชวนให้ดมและสัมผัสความอบอุ่นของผิวกายอยู่ตลอดเป็นการปิดท้ายกลิ่นกันไปยาวๆ 

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่แตะได้หมดทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งแม้ว่ากลิ่นจะมีโทนไม้หอมโดดเด่นจนเข้าทางผู้ชายอยู่มากกว่าหน่อย แต่ก็ถือว่าใช้งานได้หมดทุกเพศที่ต้องการความเรียบง่ายที่แฝงความเซ็กซี่ชวนซุกชวนกอดชวนสัมผัสได้ไม่ยาก อารมณ์คือผลพลอยได้ประมาณนั้น ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้กระตุ้นในเรื่องความสดชื่นนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วไป หรือใส่นอน ยิ่งถ้านอนกับคนที่รัก แล้วใส่แบบเบาๆ บอกเลยอบอุ่นเพราะโดนกอดทั้งคืนได้ไม่ยาก 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นหลัก แต่ไปต่อได้อีกซึ่งก็ว่ากันไปตามสภาพผิวกายและจำนวนสเปรย์ร่วมด้วย โดยส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. อยู่ประจำกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - อันนี้ต้องบอกก่อนว่ากล่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง เช่นนั้นพื้นฐานจะมีความเป็นโทน Skin Scent ที่เริ่มจากกระจายปานกลางประมาณ 5 นาที แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ แบบเรื่อยๆ ยาวไปประมาณ 4 - 5 ชั่วโมง แล้วจะเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นตามการขยับเนื้อตัว เช่นนั้นอย่าได้คาดหวังความพีคในเรื่องนี้ แต่คาดหวังเรื่องการใส่แล้วหอมน่ากอดแทนน่าจะดีกว่า

สรุป - ถือว่าเป็นสุคนธกรที่สร้างสรรค์กลิ่นได้มีความหลากหลายมากๆ ได้ทั้งปล่อยพลัง ได้ทั้งความลุ่มลึก ได้ทั้งความชิลล์ และเป็นเอกในด้านโทนหวานหรือแนวขนมที่ทำออกมาได้มีชั้นเชิงเสมอ เช่นนั้น พิสูจน์ได้เลยว่าความมินิมอลของกลิ่นใน PG 4.1 Le Musc & La Peau นั้น Pierre Guillaume ก็ก็ทำออกมาได้อย่างดีงามเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pierreguillaumeparis.com/en/perfume/le-musc-la-peau/

 

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Giorgio Armani - Armani Privé: Pivoine Suzhou

Giorgio Armani - Armani Privé: Pivoine Suzhou

ผ่าน Collection ที่เป็น Exclusive ของแบรนด์ High-End ต่างๆ มาก็พอสมควร แต่พอดูไปดูมา ยังไม่เคยที่จะได้เข้าสู่การเล่ากลิ่นในสายการเป็น Exclusive ของ Giorgio Armani เลยซักครั้ง เพราะวนเวียนอยู่แต่กลับกลิ่นสาย Mass Market ของแบรนด์นี้มาตลอด เช่นนั้นสบโอกาสจึงขอมาเจอความโอกูตูร์กับความเป็น Armani Prive กันซักหน่อย เพราะขึ้นชื่อว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน

ก่อนจะเข้าเรื่องน้ำหอม มาท้าวความกันนิดนึงว่า Armani Prive ถือเป็น Line ที่แยกออกมาเน้นความ High-End ขั้นสุดแบบที่เน้นแฟชั่นโอกูตูร์หรูหราจัดเต็ม และแน่นอนว่ามาในด้านน้ำหอมด้วย โดยถือว่าเป็นอีกหนึ่งในความดีงามทางด้านกลิ่นที่หลายๆ สำนักยกย่องเทียบชั้นในคุณภาพกลิ่นที่ Luxury มากมาย เช่นนั้น ขอมาเบิกทางที่ได้มีโอกาสสัมผัสกลิ่นนี้เป็นตัวแรกในสายนี้โดยมาแตะที่ความเป็นตระกูล EDT หรือ Les Eaux Collection กับกลิ่นอายที่เอาแหล่งมรดกโลกอย่าง Suzhou Garden ณ ประเทศจีน ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยสามก๊ก โดยเอาความเป็นกลิ่นอายสไตล์สวน + กับดอกโบตั๋นมานำเสนอ เช่นนั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกันว่ากลิ่นจะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไร

Pivoine Suzhou เพียงแค่กลิ่นเปิดก็บอกถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้เลยว่า กลิ่นนี้มีความเป็นสีชมพูอ่อนมาเต็ม และจะเป็นสีชมพูที่ยาวไปแน่นอนแบบไม่ต้องเดาอะไรให้มากความ แบบที่เห็นถึงความเป็นสไตล์มินิมัลกันยาวๆ ไปแน่ๆ ซึ่งช่วงเปิดจะให้อารมณ์ 3 โทนหลัก + 1 โทนเสริมได้อย่างน่าสนใจมาก ซึ่งใน 3 โทนหลักจะเป็นกลิ่นโทนผลไม้ที่ให้ความหวานหอมติดใสๆ ของราสเบอร์รี่ ที่มีโทนติดเปรี้ยวเจือหวานในสาย Citrus ที่เป็นกลุ่มโทนที่ 2 ของส้มเคล้าโทนติดขมหน่อยๆ ที่คาดว่าต้องมีมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) รวมอยู่ด้วยเพราะว่ามีกลิ่นออกทางเปรี้ยวติดขมที่มีความเขียวหน่อยๆ แฝงแบบกลิ่นอายบรรยากาศ ตามด้วยโทนที่ 3 ที่เรียกว่าเป็นตัวเอกแบบมานิ่งๆ เอาเอาจริงในการอยู่ยาวๆ นั่นคือดอกไม้หอมหวานแกมสดชื่นโปร่งๆ ค่อนไปทางกุหลาบสีชมพูซึ่งเดาไม่ยากว่าลักษณะกลิ่นของโบตั๋นที่เข้ามาผนวกได้พอดิบพอดีกับกลิ่นโทนผลไม้ โดยที่จะมีโทนแฝงแบบแอบชัดเป็นในการเป็นฉากหลังที่สร้างมิติกลิ่นได้น่าสนใจมากนั่นคือโทนพริกไทย แต่เพราะมีความติดฝาดแกมปร่านวลหน่อยๆ แกมกลิ่นกุหลาบบางๆ เลยเป็นลักษณะของการเป็นพริกไทยสีชมพูที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนค่อนไปทางโบตั๋นชัดเจนขึ้นไปอีก เรียกว่าเปิดมาก็สร้างอารมณ์กลิ่นเฟมินีนเต็มตัวเลย

ช่วงกลางถือว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ เพียงแต่จะลดทอนบทความของการเป็นโทน Citrus ลง เหลือเพียงประปราย แต่เพิ่มความเป็นโทนดอกไม้แนวกุหลาบสดชื่นเข้ามามากขึ้น ตามด้วยกลิ่นของผลไม้หวานหอมของราสเบอร์รี่และกลิ่นปร่าเผ็ดนวลรองพื้นของพริกไทยสีชมพูที่ทำให้กลิ่นมีน้ำหนักในระดับที่กำลังดี โดยยังมีความนวลแกมโปร่งอยู่ตลอด ซึ่งแน่นอนเนื้อกลิ่นคือหวานหอมดอกโบตั๋นที่ไม่ได้ยัดเยียดจนดูเหมือนงงในดงโบตั๋นจากไหน แต่ให้ความสดชื่นแกมนวลระเรื่อ หวานแบบได้ทั้งสดใสก็ได้ อ่อนโยนก็ดี โดยเนื้อกลิ่นไล่สเต็ปการรับรู้เป็นโทนสีไล่เฉดจากชมพูอ่อนโปร่งๆ สู่ชมพูอ่อนนวลๆ ได้ลงตัวมาก โดยมีความมินิมัลที่ไม่ซับซ้อน แต่เอาอยู่ในแง่ของการเป็นน้ำหอมผู้หญิงสีชมพูที่มีระดับแบบเป็นธรรมชาติกำลังดี แม้ว่าจะมีลูกเอื้อนแบบโทนกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงสาย Mass Market อยู่บ้างก็ตาม

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นก่อนเข้าสู่ช่วงท้ายจะเริ่มลดทอนความเป็นโทนผลไม้ออกไปจนเหลือเพียงประปราย และกลิ่นสาย Citrus ไม่ต้องพูดถึงจากลาไปเรียบร้อยแล้ว แต่กลิ่นโทนดอกโบตั๋นแกมกุหลาบจะยังมีอยู่เพียงแต่จะลดทอนความสดชื่นลงมาเป็นกลิ่นนวลๆ หมอหวานสีชมพูอ่อน โดยมีตัวเข้ามาสอดรับให้ได้ความนุ่มนวลเรียบหรูกำลังดีนั่นก็คือ Musk ที่มีความอบอุ่นหน่อยๆ ของแอมเบอร์อ่อนๆ เนียนอยู่ภายในนั้น ทำให้ได้ความเป็นโทน Musky ที่มีมีความอบอุ่นแกมหวานอ่อนๆ กำลังดี ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แถมมีกลิ่นพิมเสนให้ความปร่าระเรื่อประปรายเนียนๆ ผสมผสานกับกลิ่นราสเบอร์รี่บางๆ รวมอยู่ด้วย ถือเป็นการปิดท้ายที่เรียบง่าย ไม่ปรุงแต่งหรือจงใจให้กลิ่นมีลูกเล่นที่จัดจ้าน แต่เอาความเรียบง่ายที่มีเสน่ห์และเรียบหรูในทีเป็นออร่าห่อรอบกายได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้สบายมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นไม่ได้มีความซับซ้อน เพียงแต่มีความละเอียดของเนื้อกลิ่นที่มีคุณภาพดีเลยทีเดียว เลยสร้างออร่าความเป็นผู้หญิงที่หวานสดใสและอ่อนโยนในทีกันแบบยาวๆ ถึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมียกเว้นก็คือใส่ออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางตรงๆ เท่าไหร่ ยกเว้นรอช่วงท้ายนั่นก็จัดไป ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่ออกงานหรือโรแมนติคจะเข้าทางมากที่สุด

ความทน - เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้ซับซ้อน ก็เดาไว้ก่อนว่าความทนอาจจะไม่ได้เป็นตัวเมนนัก “แต่” ดันไม่ใช่ เพราะว่ากลิ่นทนดีงามเลยทีเดียวกับพื้นฐานแตะที่ 8 ชม. แล้วไปต่อได้อีกตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ที่ใช้ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติมากๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปราวๆ 4 ชม. ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปราวๆ 4 ชม. แล้วถึงเป็น Skin Scent

สรุป - ความหวือหวาจัดจ้านทางกลิ่นแบบมาเหนือเมฆจากไหนคงไม่ได้มี แต่สิ่งที่มีในน้ำหอมกลิ่นนี้คือเนื้อกลิ่นที่มีคุณภาพและมีความชัดเจนในการสื่อสารกลิ่นอายสวนที่มีดอกโบตั๋นส่งกลิ่นหอมระเรื่อแกมความสดชื่นและอ่อนโยนที่คุมความสมดุลย์ได้ดีทั้งตัวโบตั๋นเอง และกุหลาบที่สร้างมิติกลิ่นสีชมพูได้มีเสน่ห์แบบไม่ต้องเยอะสิ่ง โดยที่เอาความเป็นสาย Mass Market มาอัพเกรดให้มีอารมณ์เรียบหรูมีระดับได้สมกับการเป็น High-End นี่แหละ Pivoine Suzhou ล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เข็มขัดสั้นเขียนไว้ เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”


Photo Credit - https://www.zhpays.ml/ProductDetail.aspx?iid=110145759&pr=89.88

 

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Nasomatto - Black Afgano

Nasomatto - Black Afgano

อาจจะเป็นเพราะผู้เขียนมีนิสัยอยู่แปลกๆ อย่างหนึ่งคือ เมื่อได้ดมน้ำหอมที่มีความโดดเด่นในโทนกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งแล้ว ยกตัวอย่างเช่่น มินต์ ก็จะอยากหากลิ่นมินต์อื่นๆ นอกจากที่มี มาคราอบครองและดมเพิ่มให้ได้ จนกลายเป็นมีกลิ่นมินต์เต็มบ้านแบบ “อ้าว! ซื้อมินต์มาอีกแล้วเหรอ” ซึ่งเป็นนิสัยที่ยังหาทางลงไม่เจอว่าจะเบรกๆ อย่างไง และก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่มินต์ หรือ Note อื่นๆ ที่ชอบเป็นการส่วนตัวเท่านั้น เพราะมี Note กลิ่นที่ความพิเศษและไม่เหมือนใครอย่างกัญชาด้วยที่ขวนขวายหาดมไม่น้อยเลยทีเดียว

และหนึ่งในกลิ่นกัญชาที่เรียกว่าได้รับเสียงเล่ามาหนาหูไม่น้อยว่ามีความแปลก เก๋ และค่อนข้างมี่ความอินดี้สูงในการใช้งาน โดยเน้นกลิ่นของ Hashish หรือยางของกัญชาที่มีกรรมวิธีทำแบบดั้งเดิมมานำเสนอ นั่นก็คือรุ่น Black Afgano ของ Nasomatto ที่เน้นทำน้ำหอมที่ความเข้มข้นระดับ Extrait de Parfum หรือ Pure Parfum โดยมีจุกหรือฝาขวดเป็นไม้งามๆ เรียกสายตาได้เป็นอย่างดี เช่นนั้นได้เวลามาเรียนรู้กันหน่อยว่าจะนำเสนอความเป็น Hashish ออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นมาอารมณ์แบบกลิ่นเขียวเข้มๆ ที่ไม่ได้ขื่นแต่มีความเป็นหนืดๆ ยางๆ ชื้นๆ จะมาก่อนเพื่อนเลย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะไม่ได้มาแบบเป็นกัญชาเพียวๆ ตรงๆ แบบเขียวเปรี้ยวฉุนแต่อย่างใด ซึ่งวูบถัดมาจะกลายเป็นโทน Smoky ที่เข้ามาผสมผสานกับโทนเขียวเข้มและมีกลิ่นกาแฟขมๆ เสริมเข้ามาด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นมาสายดาร์กกันแบบเต็มตัว แม้ว่าจะมีกลิ่นออกทางติดหวานหน่อยๆ คล้ายผลไม้แนวๆ กึ่งยาสูบเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เนื้อกลิ่นมีความสว่างขึ้นแต่อย่างใด เพราะความเขียวเข้มดารก์ แกมควันเนียนๆ คุมโทนเด่นชัดเจนมาก

ในช่วงรอยต่อก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มสัมผัสได้ว่ามีโทนออกทางอบอุ่นค่อนไปทางแอมเบอร์ที่เป็นเรซิ่นกึ่งยางไม้ จะค่อยๆ มาให้รู้สึกได้ รวมถึงมีโทนไม้หอมขรึมๆ แกมอวลๆ ไหม้ๆ เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเมื่อมาเจอกับความเขียวเข้มกึ่งควันในช่วงต้น ยิ่งชี้ชัดไปมากกว่าเดิมว่าเป็นโทน Hashish Incense ในการปูทางเข้าช่วงกลาง โดยจะมีกลิ่นควันบุหรี่กับไอกาแฟขมๆ ที่เสริมให้กลิ่นมีโทนดาร์ก + กับกลิ่น Oud ที่เริ่มปล่อยความอวลแกล้มควันที่ทำให้กลิ่นมีความดาร์กลึกเข้าไปเสริมความขรึมด้วยไม้ซีดาร์มาร่วมอีกสเต็ป ซึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจคือ เนื้อกลิ่นไม่ได้ไปสายหนืดอวลหนักดาร์กเข้มลึกแต่อย่างใด ค่อนข้างมีความสมดุลย์ในความอะโรม่าเขียวเข้มดาร์กอวลที่กำลังดี และช่วงนี้แหละที่ให้ความรู้สึกแบบกลิ่นควันที่มาจากใบกัญชาแห้งที่ถูกสูบอยู่เข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้ช่วงนี้ได้ความเป็นกัญชาจริงๆ เคล้ากับกลิ่น Hashish Incense ที่เป็นไอควัน โดยมีพื้นกลิ่นเป็นโทนอบอุ่นลึกๆ ค่อนไปทางแอมเบอร์ เรียกว่าไม่ธรรมดาเลย

การเดินทางของกลิ่น เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้รู้สึกได้ว่าโทนเขียวเข้มไอควันกัญชาต่างๆ จะเริ่มเบาลง แต่กลิ่นที่เด่นขึ้นมาแทนกลายเป็นแอมเบอร์ที่มีความเป็นเรซิ่นยางไม้แปร่งๆ + กำยาน Benzoin ที่ให้ความเป็นโทนออกทางวานิลลาที่ตัดทอนความหวานแหลมออกไปเหลือเพียงออกทางวานิลลาติดยางไม้ที่สอดรับกับกลิ่นแอมเบอร์พอดิบพอดี แต่แอบมีกลิ่นโทน Animalic ที่สร้างออร่า Dirty หน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นพิมเสนคลอๆ อยู่ประปราย โดยที่ความเป็นควันไอกึ่งยางหนืดๆ เขียวแปร่งที่มาจากช่วงกลางก็ยังตามมาผสมผสานกับโทนแอมเบอร์อยู่ เลยทำให้กลิ่นมีลูกผสมของความเป็นแอมเบอร์ที่มีโทนแปร่งๆ หน่อยที่ไม่ได้ดูพยายามที่จะเกลาหรือปรุงแต่งจนให้ดูกลิ่นสวยเกินไป แต่ให้ความเป็นธรรมชาติที่ควรจะเป็น ซึ่งถือว่าเป็นตัวปิดท้ายที่มีความน่าค้นหาแบบดาร์กแกม Dirty ได้น่าสนใจและมีความเฉพาะตัวเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความ Unisex แต่จะไปทางผู้ชายมากกว่า ให้อารมณ์ผู้ชายในชุดสีดำที่มีออร่าสีเขียวเข้มค่อนดำ แบบที่น่าค้นหาและดูไม่น่าไว้วางใจได้ดี  แต่ถ้าผู้หญิงใส่ก็ให้อารมณ์อวลนางพญาที่มีกลิ่นกัญชาเป็นองค์ประกอบได้น่าสนใจเช่นกัน ซึ่งเนื้อกลิ่นไม่ได้เข้าทางกับการใส่ยามทางการเท่าไหร่ เพราะกลิ่นกัญชาก็ชัดอยู่ รวมถึงการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย ก็ควรข้าม แต่ถ้าใส่ทั่วๆ ไปเน้นไม่เหมือนใคร หรือมาสาย Unique โชว์กลิ่นอายที่เป็นความอาร์ตเฉพาะของตัวเองอันนี้จะเหมาะสุด ซึ่งอันนี้ได้หมดไม่ว่าจะกลางวันกลางคืนเลย 

ความทน - สุดติ่ง เพราะทนยาวนานแบบว่าข้ามคืนเลย แถมอาบน้ำไปแล้วกลิ่นยังคงติดผิวอยู่อย่างต่อเนื่องไปอีก ตีไปยาวๆ ได้ราว 24 ชม. ก็เจอมาแล้ว เช่นนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และค่อนข้างคงตัวไปยาวพอสมควรราว 3 ชม. เลย ก่อนที่จะค่อยๆ ลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะ 8 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันอย่างยาวๆ ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ  

สรุป - ต้องบอกเลยว่า ไม่ได้มีความสว่างใดๆ มาให้สัมผัส เพราะชื่อรุ่นบอกกันอย่างชัดเจนมากว่า Black Afgano ซึ่งขนความเขียวเข้มขม Smoky ที่เข้าทางการเป็น Incense ที่ผสมผสานความดาร์กจากโทนต่างๆ มาได้น่าสนใจและชัดเจนจริงๆ เลยทำให้มีความดาร์กในทุกๆ สเต็ปของการใช้งาน ซึ่งกลิ่นไม่ได้มีความ Nice นักแต่มีความแนวสูง เช่นนั้นเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ถ้าใครสนใจอยากลองกลิ่นแนวยางกัญชาแบบ Incense มีโอกาสควรจะได้สัมผัส

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sprayparfums.com/en/prodotto/black-afgano-en/

 

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Bond No.9 - West Side

Bond No.9 - West Side

ท่องเที่ยวผ่านกลิ่นต่างๆ มากันพอสมควรในการ Tribute สถานที่ต่างๆ ใน New York City ผ่านการสร้างสรรค์กลิ่นของแบรนด์ Bond No.9 กันมาก็มาก แต่ก็มีหลายๆ กลิ่นที่ไม่ได้เจาะจงสถานที่มากนัก ออกแนวเอามาเป็น Background แต่เน้นการ Tribute ความโดดเด่นต่างๆ ที่มีในเมืองนี้เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีอยู่หนึ่งกลิ่นที่ให้คุณค่ากับความรื่นเริงและสนุกสนานของดนตรี ภาพยนตร์ และการแสดง ที่อยู่ในโซนต่างๆ ของ New York ที่เรียกว่ามี Hall และสถาบันทางด้านศิลปะและดนตรีต่างๆ มากมาย และแน่นอนที่สุดเป็นหนึ่งในที่ตั้งของ Studio 54 อันโด่งดังในอดีตเสียด้วย

เช่นนั้น เมื่อว่ากันในเรื่องของดนตรี งานศิลปะ และการแสดงในด้านต่างๆ การ Tribute กลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหนได้เวลามาเรียนรู้กันซักหน่อยซึ่งนั่นก็คือ West Side

เปิดต้นกลิ่นขึ้นมา ถึงกับ เอ๊ะ! กลิ่นคุ้นๆ อารมณ์แบบเนื้อกลิ่นของไวน์แดงผสมผสานกับรัมเรซิ่น ที่ความหวานเย้ามีเสน่ห์เฉพาะออกมาแบบทำให้รู้สึกได้ในทางที่ดีและดึงดูดความสนใจได้เต็มๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะกลิ่นของกุหลาบที่ออกทางแยมแบบกำลังดี มีเครื่องเทศหวานลึกหน่อยๆ และมีเหล้ากลิ่นวานิลลามาเสริมด้วย จนทำให้ภาพรวมของทั้งหมดได้ความเป็นกุหลาบที่ไม่เหมือนกุหลาบกลิ่นไหนในท้องตลาดเท่าไหร่ กับการให้ลักษณะกลิ่นอายแบบไวน์กุหลาบเคล้ารัมเรซิ่น ที่มีความเปรี้ยวอมหวานแกมคมๆ เรียกความสนใจได้ดีไม่พอ ยังให้ความเย้ายวนและมีเสน่ห์ที่แตกต่างอีกด้วย ต้องขอชมเลยว่ากลิ่นเปิดทำออกมาได้เก๋มาก

อารมณ์แบบเครื่องดื่มแบบแนวแอลกอฮอล์ระหว่างแนว Liquor กลิ่นต่างๆ กับไวน์แดงกุหลาบก็ยังคงมีความชัดเจนอยู่ในการปูทางเข้าสู่ช่วงกลาง แต่เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความนวลและมีความอุ่นแบบไม่ข้นเข้ามาร่วมด้วย จนเมื่อเป็นช่วงกลางเต็มตัวก็ชัดเจนเลยว่า เลเยอร์กลิ่นหลักๆ จะมี 3 โทน คือ กลิ่นกุหลาบที่มีความเป็นโทนสีแดงหวานลึกโดยไม่ได้มีความเป็นกุหลาบเอียนแบบสไตล์กุหลาบแห้ง + มีลูกสดใสโปร่งๆ ที่น่าจะมีโบตั๋นเข้ามาผสมผสานรวมอยู่ด้วย เคล้าไปกับกลิ่นแนวไวน์แดงกึ่ง Liqour วานิลลาที่ทำให้กลิ่นยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดอยู่เช่นเดิม และปิดท้ายด้วยความอบอุ่นเย้ายวนแกมนวลของไม้จันทน์หอมที่ให้ความครีมมี่เนียนๆ ที่มีระดับ เรียกว่าช่วงกลางคือการเจอกันอย่างสมดุลย์เลยทั้งโทนดอกไม้ โทนเครื่องดื่ม และโทนอบอุ่นไม้หอมนวลๆ ที่แบ่งเค้กกันส่งเสริมทางกลิ่นได้อย่างงาม + สร้างกลิ่นอายในโทนสีแดงกุหลาบที่ดึงดูด มีระดับ และเก๋ได้ลงตัว

ในการเข้าสู่ช่วงท้าย เนื้อกลิ่นสายเครื่องดื่มเริ่มเบาลงไปตามลำดับ แต่จะให้ความเป็นโทน Musky มากขึ้น ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมี Musk เป็นตัวหลักเลย  + กับกลลิ่นวานิลลาอบอุ่นที่มีโทนแอมเบอร์แบบไม่ข้นมารวมอยู่ด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นให้โทนออกทางสีแดงที่ตามมาจากช่วงกลาง แบบมาเจอกับความครีมมี่ Musky เบาๆ กำลังดี ได้ความเป็นสีแดงที่บางๆ มีความนวลมากขึ้น โดยที่ไม่ได้มีความซ้บซ้อน เน้นความรื่นรมย์ทางกลิ่นที่เรื่อยๆ มาเรียงๆ เป็นหลัก เสริมด้วยความโรแมนติค ความผ่อนคลาย ความหวานอ่อนๆ ที่มีเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายาม 

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงนิดนึง แต่ยังไงก็ตามผู้ชายใช้ได้สบายมาก แถมกลิ่นมีเสน่ห์สร้างออร่าสีแดงที่เย้าและไม่ธรรมดาในเวลาเดียวกันได้เลย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป หรือว่าใส่ทำงานก็พอได้ แต่ถ้าจะใส่แบบทางการจริงๆ ต้องเลือกดูความเหมาะสมนิดนึง เพราะกลิ่นแนวไวน์แดงมันอาจจะไม่ได้เหมาะกับความทางการจ๋าๆ นัก แน่นอนตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายออกไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืน จัดไป ไม่ว่าจะออกงานหรือไปนั่งจิบเก๋ๆ เพราะกลิ่นมีเสน่ห์ในความเป็นโทนสีแดงกุหลาบที่แตกต่างและดึงดูดความสนใจได้ดีจริงๆ

ความทน - อยู่ที่ราว 8 ชม เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติของการใช้งานกลิ่นนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปราวๆ 4 ชม. ถึงค่อนลดลงมาปานกลาง ตามด้วยออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อผ่านไป 8 ชม. แล้วถึงจะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - กลิ่นเปิดแม้จะคมหน่อยแต่ก็ยอมในความเก๋มากจริงๆ ที่เอาโทนกลิ่นกุหลาบและโบตั๋นมาดัดแปลงให้เป็นกลิ่นคล้ายไวน์แดงผสมกับพวก Liquor วานิลลาได้ดีมาก แล้วค่อยๆ ให้เสน่ห์ที่แตกต่าง เก๋ และมีความหรูหราอยู่ในทีไปตลอดโดยที่ไม่หลุดภาพรวมของโทนสีในกลิ่นคือ สีแดงกุหลาบที่มีเสน่ห์และไม่เหมือนใคร ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ไม่ธรรมดาเลยของ Brand นี้ แม้ว่าขวดจะ Screen ไม่ค่อยสวยนักก็ตามที 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.bondno9.com/west-side.html#