วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Régime des Fleurs - Falling Trees

Régime des Fleurs - Falling Trees

ในการตีความเพื่อสร้างสรรค์กลิ่นอายของการเป็นป่าไม้หรือต้นไม้ในป่า เอาจริงๆ ก็มีมากมายหลากหลายไม่น้อยที่ต่างก็นำเสนอกันมาอย่างมากมาย ซึ่งก็ว่ากันไปตาม Concept ในการนำเสนอว่าจะเป็นป่าประเภทไหนหรือเน้นไม้อะไรในป่านั้น ก็มีทั้งแบบสื่อสารได้ตรงจุดหรือสื่อสารในนามแต่กลิ่นมีความขี่ม้าอ้อมเมืองก็ว่ากันไป

และเมื่อได้มีโอกาสกลับมาเจอแบรนด์น้ำหอมที่ซึ่งเมื่อได้หันมาเจอกับแบรนด์ Niche จากอเมริกาที่เรียกว่าเอาความแท้ทรูของส่วนผสมมานำเสนอในความเป็น Luxury อย่าง Régime des Fleurs ที่ถือว่าในโซน Pure Perfume ของแบรนด์นี้คือมูลค่าพีคจริงอะไรจริง ได้มานำเสนอกลิ่นอายความเป็นต้นไม้ในป่าบ้างจะออกมาในรูปแบบไหน เช่นนั้น ได้เวลามาตกต้นไม้ในป่ากันซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย Falling Trees

เปิดตัวต้นกลิ่นถือว่าเป็นการสร้างบรรยากาศในการเป็นกลิ่นอายชื้นๆ เขียวๆ เคล้ากลิ่นไอระเหยใบไม้ต้นไม้ที่ชื้นๆ แต่เริ่มค่อนไปทางแห้งๆ ซึ่งกลิ่นที่โดดเด่นออกมาเลยคือกลิ่นไม้แห้งๆ ของไม้โอ๊คกับกลิ่นของจูนิเปอร์เบอร์รี่ที่จะให้ความปร่ากึ่งเขียวแต่ไม่ได้แน่นจนฉุนมาก ออกแนวเกลากลิ่นมาให้มีโทนที่ไม่ได้เอาความเป็นน้ำมันหอมระเหยมายัดจมูกเราโต้งๆ เพียงอย่างเดียว ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความสดชื่นอยู่ประปรายให้จับต้องได้ ซึงน่าจะมีกาครผสมผสานโทน Citrus แนวสร้างบรรยากาศอย่างมะกรูดฝรั่งเนียนๆ รวมอยู่ด้วย และตัวช่วยชั้นดีอย่างยางไม้ Elemi ที่ให้กลิ่นโทนแบบไม้สนกึ่งเลมอนที่ไม่ได้ติดเปรี้ยวและมีความสดชื่นแนวสว่างมาทำให้เนื้อกลิ่นมีความปร่าท่ามกลางความชิ้นๆ ของบรรยากาศติดเขียวอวลคล้ายเหล้าจินหน่อยๆ + ไม้หอมแห้งๆ ได้ชัดเจน ซึ่งถือว่าใกล้เคียงอารมณ์เวลาเรานอนอยู่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ในป่าที่ได้กลิ่นไอชื้นๆ ใบไม้แห้งชื้นๆ พืชล้มลุกเขียวๆ ได้อยู่พอสมควร

เมื่อกลิ่นเริ่มลดทอนความชื้นลงไปทีละหน่อยๆ เนื้อกลิ่นจะค่อนข้างมีความเป็นมินิมอลสูงมากในหลังจากนี้ เพราะกลิ่นจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงในโทนหลักเท่าไหร่ แต่เปลี่ยนโทนอ้อบอิ่งรอบข้างที่ช่วยยกระดับให้กลิ่นไปในทิศทางที่ผู้ปรุงกลิ่นต้องการเสียมากกว่า ซึ่งในช่วงกลางเนื้อกลิ่นโทนชื้นๆ ต่างๆ จะจางไปเหลือกลิ่นอายไม้หอมแห้งๆ และใบไม้แห้งกรอบสีนำตาลที่ชัดเจนมาก ที่สำคัญจะมีกลิ่นออกทาง Incense หรือธูปหอมที่ติด Smoky หน่อยๆ เคล้ากับยางไม้ที่เกลาเอาโทนหวานออกไป ให้เป็นกลิ่นยางไม้ที่สนับสนุนของเป็นไม้หอมแห้งๆ ที่เป็นกลิ่นของไม้โอ๊คให้เด่นขึ้นมา สร้างออร่ากลิ่นอายไม้หอมแห้งๆ แบบตรงไปตรงมาและไม่ได้ดาร์ก ออกแนวรื่นรมย์ในความเป็นไม้หอมที่มีความปร่า Spicy หน่อยๆ + กลิ่นปร่าเขียวบรรยากาศปลายกลิ่นอ่อนๆ นั่นเอง

ในช่วงท้ายยิ่งชัดเจนเข้าไปอีก เนื่องจากเนื้อกลิ่นจะเป็นโทนไม้แห้งๆ จากช่วงกลางที่ตามมาทั้งหมดยังคงเด่นคุมโทนหลัก แต่เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความอบอุ่นเข้ามาหน่อยๆ มีลักษณะกึ่งโทนแป้งไม้หอมที่เกลาเอาโทนหวานออกไปของกำยาน Benzoin ให้เหลือแต่กลิ่นอบอุ่นอวลๆ รวมถึงมีความ Earthy หน่อยๆ ที่มีความเข้มเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นของ Oak Moss และ Incense ก็ชัดมากขึ้น เลยทำให้ในมิติของความเป็นไม้หอมแห้งๆ จะมีความอบอุ่น มีอารมณ์กลิ่นแบบออกแคมป์ในป่าเข้ามา และมีความเข้มค่อนหมึกเข้ามาทำให้กลิ่นมีอไะรที่นอกเหนือจากไม้หอมขึ้นมาอีกลำดับ แต่ยังไงก็ตามกลิ่นยังคงมีความเป็นไม้หอมที่มีความตรงไปตรงมา มินิมอล มีความเป็นธรรมชาติ และให้ความรู้สึกแบบไม้หอมแบบชัดเจนจริงๆ ถือเป็นการปิดท้ายการตกต้นไม้มานอนอยู่ตรงโคนต้นแล้วเรียนรู้กลิ่นที่มีรอบตัวให้เข้าใจว่า ครั้งหน้าอยากตกอีกก็มาปีนด้วยการฉีดกลิ่นนี้อีกแล้วกันนะ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้ชายเสียเยอะเพราะความเป็นไม้หอมที่เต็มๆ ชัดเจนแบบที่ผู้หญิงที่ใส่ได้อาจจะต้องลุคลุยๆ หน่อยหรือพื้นฐานเป็นคนชอบกลิ่นไม้หอมแบบตรงไปตรงมาอยู่เป็นทุนเดิมจะอินกับกลิ่นนี้และสร้างเสน่ห์ออกมาได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะกลางแจ้งหรือในร่มได้หมด แต่ถ้าออกกำลังกาย เอาจริงๆ ก็ได้ แต่กลิ่นอาจจะไม่ได้ทำให้สดชื่นเท่าไหร่นัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้ไปทางเน้นปล่อยเสน่ห์อบอวลยามท่องราตรีแต่อย่างใด 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ราวๆ 8 - 9 ชม. เป็นสำคัญ ตามด้วยบวกลบอีกราวๆ 2 ชม. อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอราวๆ 10 - 11 ชม. ในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่เพียงไม่นานก็จะลดลงมาที่ปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 4 ชม. ถึงเริ่งเป็นออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ ก่อนเป็น Scent Scent เมื่อแตะ 6 ชม. เป็นต้นไป

สรุป - ทำให้รู้สึกถึงป่าชื้นๆ ท่ามกลางกลิ่นไม้ได้ดีเลยทีเดียวในช่วงต้น ก่อนที่จะมาเน้นความเป็นไม้หอมแบบตรงไปตรงมา เสริมด้วยมิติกลิ่นที่เป็นบรรยากาศหน่อยๆ แบบไม่ได้เด่นเทียบเท่า ซึ่งถ้ามองกันจริงๆ ในแง่ของกลิ่นไม้หอมทำได้ดีมากเลยทีเดียวในการสื่อสารถึงกลิ่นไม้โอ๊คได้ชัดเจนและสร้างความผ่อนคลายได้ดี มีความมินิมอล โดยมีโทนอื่นเสริมได้อย่างลงตัว ส่วนราคาจะลงตัวหรือไม่ก็ตามแต่บุคคลได้เลยเรื่องนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://regimedesfleurs.com/products/falling-trees

 

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Jacques Fath - Les Frivolites

 

Jacques Fath - Les Frivolites

ถ้าบอกว่าแบรนด์ไหนที่เป็นแบรนด์แฟชั่นของฝรั่งเศสได้รับความนิยมและได้รับคำชื่นชมอย่างมากในช่วงยุค 40 - 50 หนึ่งในนั้นจะต้องมี Jacques Fath รวมอยู่ด้วยแน่นอน เพราะถือว่าได้รับฉายาในการเป็น “เจ้าชายน้อยแห่งวงการแฟชั่น Haute Couture” กันเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายเพราะ Designer เจ้าของแบรนด์นั้นเสียชีวิตเพราะลูคิเมียในปี 1953 และยังคงไปต่อในเรื่องแฟชั่นเครื่องแต่งกายจนถึงปี 1957 ก่อนที่จะมีการหยุดมามุ่งเน้นที่น้ำหอม ถุงมือ ชุดชั้นใน และเครื่องประทับแทน

ซึ่งกว่าจะถึงทุกวันนี้ แบรนด์เองก็เปลี่ยนมือมาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเหลือเพียงน้ำหอมที่ยังได้ไปต่อ เพราะสิ่งเดิมที่ได้สร้างสรรค์มาตั้งแต่ช่วงยุค 40 นั้นถือว่าเป็นระดับตำนานทางด้านกลิ่นในหลายๆ รุ่น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในการสร้างสรรค์น้ำหอมก็ได้มีการยกระดับจากเดิมที่เป็น Designer Brand ขยับขึ้นสู่การเป็น Niche Brand เต็มตัวในปี 2015 โดยเน้น Collection ที่สื่อถึงความเป็นจิตวิญญาณของ Jacques Fath ที่ยังคงเหนือกาลเวลาอยู่เสมอ โดยการสร้างสรรค์ออกมาเป็น Fath Essentials Parfums โดยแยกเป็นผลงานตามแต่ละสุคนธกรที่รับไม้ต่อในการสร้างความหอมอย่าง Cécile Zarokian (Vol.1) และ Luca Maffei (Vol.2) รวมถึงการ Collaboration ร่วมกันของทั้ง 2 สุคนธกร (Vol.3) ที่ทั้งมีการ Tribute ความงดงามทางกลิ่นแบบเดิม และการสร้างสรรค์กลิ่นใหม่ๆ ของแบรนด์ออกมา

และในเมื่อได้มาเจอกับแบรนด์นี้แบบข้ามช็อต เพราะมาเจอที่การเป็น Niche Perfume เลย (อนาคตถ้าได้เจอของเดิมในตอนที่เป็น Designer Perfume ค่อยมาว่ากันอีกที) ดังนั้นจึงมาว่ากันที่กลิ่นอายสายหวานกันซักหน่อยอย่าง Les Frivolites ที่อยู่ใน Vol.2 ซึ่งเนื้อกลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไรว่ากันได้แบบนี้

แค่กลิ่นเปิดก็บอกชัดเจนเลยว่านี่คือน้ำหอมผู้หญิงที่ให้ลุกโทนกลิ่นแบบ Floral Fruity เด่นขึ้นมาเลย ซึ่งกลิ่นเด่นจะมีโทนออกทางราสเบอร์รี่กึ่งแยมที่ออกทางโปร่งๆ เคล้าผลไม้รวมแนวๆ ลูกฝรั่งกึ่งเกรปฟรุต ที่จะเด่นออกมาทักทายก่อนเพื่อนให้อารมณ์หวานอมเปรี้ยวหอมออกมาแบบที่ไม่ได้หนักเกินไปนัก แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะว่ามีโทนที่เป็นลูกผสมระหว่างแอปริคอตกับดอกไม้หวานระเรื่อของหอมหมื่นลี้มาทำให้กลิ่นมีลูกเล่นที่หวานอมเปรี้ยวเข้าทางดอกไม้มากขึ้น รวมถึงมีกุหลาบมาเสริมเป็นฉากหลังแบบกุหลาบแห้งเคล้าความปร่าฝาดหน่อยๆ ของพริกไทยสีชมพู เลยทำให้ช่วงต้น เนื้อกลิ่นไพล่ไปทางสีชมพูกึ่งบานเย็นที่ให้ความสดชื่นและความหวานหอมในเวลาเดียวกัน โดยที่มีความ Feminine มาแบบเต็มตัวตั้งแต่แรกเริ่มเลย

การเข้าสู่ช่วงกลาง สิ่งที่ยังคงตัวและคงที่คือกลิ่นโทน Fruity ที่เด่นด้วยราสเบอร์รี่ที่ติดออกทางแยมโปร่งๆ เคล้ากลิ่นหามอมเปรี้ยวกึ่งแอปริคอตกึ่งดอกไม้ของหอมหมื่นลี้ แต่สิ่งที่จะเด่นขึ้นมาแบบตีคู่กันทำให้กลิ่นมีลักษณะเป็นสีชมพูกึ่งบานเย็นชัดขึ้นไปอีกคือ กุหลาบ ทำให้กลิ่นยังคุมโทนการเป็นโทน Fruity Floral อยู่เช่นเดิม โดยเนื้อกลิ่นจะมีความชัดเจน เพียงแต่จะไม่ได้หนักหน่วงหรือมาสายอวลแน่นเท่าไหร่นัก ซึ่งนอกจากการเป็นโทนกุหลาบแกมราสเบอร์รี่ที่มีลูกเอื้อนของหอมหมื่นลี้แล้ว ตัวสำคัญอีกหนึ่ง นั่นก็คือโทน Gourmand ที่จะมีกลิ่นออกทางกึ่งแป้งอัลมอนด์ที่มีกลิ่นคล้ายแยมกุหลาบหน่อยๆ เสริมเข้ามาด้วย ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นแนวขนมที่ทำจากแนวๆ อัลมอนด์บดผงและมีไส้แยมหอมแกมเปรี้ยวกลิ่นกุหลาบ ซึ่งเข้าเค้าการเป็นกลิ่นของ Macaron ค่อนข้างมาก เลยทำให้เนื้อกลิ่นจะมีเลเยอร์ที่ทั้งหวามอมเปรี้ยว นวลระเรื่อ ที่เป็นฉากหน้า + ตัวเชื่อม ก็จะมีฉากหลังที่เป็นโทนอวลหน่อยๆ กำลังดีสร้างความเย้ายวนเข้ามาร่วมด้วยและค่อนข้างชัดเจนไม่น้อยเลย

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้ายจะเริ่มจับต้องได้ถึงโทนแป้งที่แฝงตัวอยู่กับกลิ่นออกทางขนมมาอยู่เดิม ได้เปิดตัวออกมามากขึ้นซึ่งเนื้อกลิ่นจะออกทางแป้งติดทึบหน่อยๆ เนื้อ Butter ที่เป็นลักษณะของกลิ่นหัวเหง้าออริส และมีโทนอบอุ่นที่มีความอวลๆ เสริมเข้ามาด้วยซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับกลิ่นของสารหอมอย่าง Ambroxan ที่มาให้ความเป็นลูกผสมของโทนแอมเบอร์กึ่งไม้หอมอวลๆ ที่ให้ความทันสมัยเข้ามาร่วมด้วย โดยทุกอย่างจะปูทางไปสู่ช่วงท้าย โดยที่จะมีปลายกลิ่นที่รู้สึกได้แบบแยมกุหลาบกึ่งราสเบอร์รี่บางๆ สู่กลิ่นกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์ที่มีความอวลอบอุ่นกึ่งไม้หอมติดครีมมี่จืดกอมนวลๆ แต่สิ่งที่มีให้จับต้องได้อีกหนึ่งอย่างก็คือ มีกลิ่นออกทาง Musky กึ่งผิวกายที่ให้อารมณ์เดียวกับหนังกลับเข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้เลเยอร์กลิ่นในช่วงท้ายค่อนข้างชัดเจนในการเป็นโทนออกทางเย้ายวนทันสมัยที่ให้ความเป็นแป้งกึ่ง Musky แกมอบอุ่นอวลๆ เป็นตัวเดินกลิ่นโดยมีโทนแยมราสเบอร์รี่กุหลาบเป็นตัวเรียกความสนใจเป็นโทนที่ปิดท้ายกันไปยาวๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่มหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้แล้ว เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทน Feminine ชัดเจน แม้จะมีลูก Unisex อยู่บ้าง แต่รอนานหน่อยกว่าจะเจอ ซึ่งถ้าผู้ชายอยากจะใช้ก็ได้อยู่แต่จะเป็นสายลั่นล้าแทน ซึ่งถ้าไม่มายด์ก็จัดไป โดยกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่เป็นแบบทั่วๆ ไปหรือใส่ไปเรียน หรือใส่ทำงาน Office เป็นหลัก แต่ถ้าจะใส่รับแขกบ้านแขกเมืองกลิ่นจะดูลั่นล้ายั่วเย้าวัยสะออนไปนิด ที่สำคัญตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกกรณี ส่วนยามค่ำคืนจัดได้ทั้งใส่ทั่วไป โรแมนติค หรือว่าท่องราตรีที่เพิ่มสเปรย์หน่อยก็ได้ เพราะกลิ่นชี้ทางไปลักษณะสนุกสนานและลั่นล้าทันสมัยเลยทีเดียว

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้างราวๆ 1 - 2 ชม. ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และค่อนข้างคุมโทนการกระจายดีไปราวๆ 1 - 2 ชม. ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางไปจนถึงชั่วโมงที่ 4 แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ ก่อนแตะที่ Skin Scent ปิดท้ายหลังผ่านไปแล้วประมาณ 6 - 8 ชม.    

สรุป - กลิ่นน่ารักและมีเสน่ห์แบบกึ่งวัยรุ่นกึ่งวัยทำงานได้ดีเลยในการใช้งานโดยเฉพาะฝั่งผู้หญิงที่ชอบเนื้อกลิ่นที่สร้างออร่าสีชมพูให้กับตัวเอง รวมถึงถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นของกุหลาบแกมราสเบอร์รี่ยังไงก็เข้าทางและอาจจะถูกสเปกมากได้ไม่ยากเสียด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.jacques-fath-parfums.com/product/les-frivolites/

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Lucky Brand - Lucky You for Men

Lucky Brand - Lucky You for Men

จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งแบรนด์สายยีนส์สุดฮิป เริ่มมาจากการการจับมือกันของเจ้าของแบรนด์ 2 คน อย่าง Gene Montesano และ Barry Perlman ในการสร้างสรรค์ยีนส์ในแต่ละรูปแบบออกมา โดยมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นร็อคแอนด์โรลเข้าไปอยู่ในการนำเสนอแฟชั่นยีนส์ของแบรนด์เป็นสำคัญ ซึ่งแน่นอนได้รับความนิยมอย่างมากเพราะมีเอกลักษณ์และความสนุกสนานแฝงอยู่เสมอในการสวมใส่ ซึ่งแน่นอนว่าแบรนด์ไม่ได้มีดีแค่เรื่องยีนส์ Denim แต่ก็มีเสื้อผ้าแบบอื่นๆ เช่น Sportwear เสื้อยืด หรือพวก Activewear ก็มี ซึ่งก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน

แต่เหมือนเดิมโอโจ้ด้วย คือ จะมาเน้นที่เรื่องน้ำหอม ซึ่งเพราะ Lucky Brand เป็นแบรนด์แฟชั่น แน่นอนว่าก็ต้องมีน้ำหอมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบในการสื่อสารให้ครบถ้วนกระบวนความรวมอยู่ด้วย ซึ่งก็มีทั้งน้ำหอมผู้หญิงและน้ำหอมผู้ชายที่มาในการเป็นสไตล์ Cologne ที่เข้ากับการใส่สไตล์แบบยีนส์ Denim ในรูปแบบองค์รวมได้ดีมาก และในครั้งนี้การเล่ากลิ่นก็ขอมารุ่นผู้ชายหนึ่งเดียวของแบรนด์กันหน่อยว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไร และทำไมในทุกๆ วันนี้ กลิ่นนี้ยังคงความนิยมมาได้อย่างยาวนานเสมอ ซึ่งกลิ่นนั้นก็คือ Lucky You for Men

เนื่องจากเป็น Eau de Cologne ช่วงเปิดเลยค่อนข้างจะมีความเป็นแอลกอฮอล์ชัดเจนซักครู่เล็กๆ แล้วก็จะเริ่มได้กลิ่นติดเขียวใสแกมหวานหน่อยๆ ของ Clover ที่จะให้โทนกึ่งหญ้าติดหวานสบายผ่อนคลายจมูก กับกลิ่นโทนสมุนไพรติดเขียวหญ้าที่ไม่คม แกมกลิ่นปร่ากึ่งสบู่หน่อยๆ โดยมีกลิ่นออกทางเปรี้ยวของมะขามที่เป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีมิติความเป็นโทน Spicy เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งโดยรวมช่วงต้นคือ โทนเขียวสดชื่นที่มีความเป็นโทนสมุนไพรแกม Spicy อ่อนๆ ของมะขามที่ติดเปรี้ยวแฝง และแน่นอนว่าน่าจะมีกลิ่นออกทาง Citrus เข้ามาร่วมด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นมาสายการเป็น Cologne ผู้ชายสดชื่นเข้าถึงได้ง่ายแบบที่เป็นสไตล์ Fresh Green Cologne  ฉีดแล้ว เออ เนื้อกลิ่นมีความพิมพ์นิยมในสไตล์น้ำหอมชายสดชื่นที่ยังไงก็รอดและมหาชนชอบสูงมาก รวมถึงเข้าทางการเป็นของดีเทคนิคไม่ต้องได้อย่างชัดเจน

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง จะสัมผัสได้ก่อนเพื่อนเลยคือ Musk ที่จะเป็นตัวแฝงให้ความสะอาดเป็นพื้นหลังแบบนวลๆ อันนี้จะรู้สึกได้เลย แล้วถึงจะมาจับต้องได้ว่ากลิ่นในช่วงต้นทั้งหมดก็จะยังตามมาในช่วงนี้ โดยให้ความเขียวติดหวานโปร่งสบายๆ และมีความสดชื่นอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมคือกลิ่นเขียวติดสดชื่นแกมผลไม้เล็กๆ แต่เนื้อกลิ่นจะมีความหนามากขึ้นหน่อย เพราะจะมีกลิ่นติดหวานเย้าของเม็ดกระวานที่มาแบบกำลังดี คาบเกี่ยวระหว่างความเขียวนิดๆ และมีความหวานเย้าเผ็ดแบบกลางๆ ที่มีเสน่ห์แบบไม่ได้หวือหวาแต่เอาอยู่เป็นสายสนับสนุนรวมอยู่ด้วย รวมถึบมีกลิ่นปร่าไม้หวานหอมนุ่มแต่ไม่ได้มาแบบเต็มๆ มาเสริมแบบกำลังดี เลยทำให้เนื้อกลิ่นมรมิติที่ให้ความเป็นน้ำหอมชายที่ไม่ได้พึ่งพาแค่ความเขียว แต่มีความนุ่มนวลปร่าระเรื่อแฝงที่เข้าถึงได้ง่ายและมีเสน่ห์แบบเรียบง่ายได้ดีอีกด้วย

ในการเปลี่ยนแปลงก่อนเข้าสู่ช่วงท้าย สิ่งที่จะชัดเจนขึ้นมาเลย คือ โทนไม้หอมที่จะมาแบบกึ่งนวลติดครีมมี่บางๆ ที่สอดรับกับความเป็น Musk นุ่มๆ และมีกลิ่นไม้หอมสะอาดๆ ของไผ่เข้ามาผสมผสานประปราย จึงทำให้เนื้อกลิ่นเริ่มเปลี่ยนเป็นโทนสะอาดแบบสบายๆ มากขึ้น และเมื่อเข้าช่วงท้ายเต็มตัว Musk จะยืนหนึ่งในการให้ความนุ่มสะอาดแบบผ่อนคลาย มีลูกผสมความเป็น Green Musk ที่ให้โทนนุ่มนวลติดเขียวอมหวานแฝงความเป็นไม้หอมครีมมี่อ่อนๆ แบบที่เข้าถึงได้ง่ายมาก และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูงแบบที่ใส่แล้วก็ผ่าน อย. ด้านกลิ่นได้สบายมาก

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยตั้งแต่ ม.ต้น ขึ้นไปก็สามารถใส่ได้แล้ว เนื้อกลิ่นมีความสดชื่นติดเขียวและมีความเป็นผู้ชายสบายๆ อารมณ์แบบ Safe Scent ที่จัดได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดและครอบจักรวาลสูงมาก แต่ถ้าใส่ยามค่ำคืน เน้นออกแนวชิลล์ๆ หรือสบายๆ จะดีที่สุด เพราะว่ากลิ่นไม่ได้ไปสายปล่อยของหรือปล่อยพลังนัก ซึ่งถ้าใส่ไปท่องราตรีก็โดนกลิ่นอื่นกลบน่ะ เน้นใส่เพื่อความเรียบง่ายสบายๆ แบบทั่วไป ให้ึความเป็นผู้ชายสดชื่นสู่ความหอมนวลๆ สะอาดๆ เป็นสำคัญน่าจะลงตัวกว่า

ความทน - แม้ว่าจะเป็น Eau de Cologne แต่ความทนถือว่าทำได้ดีไม่น้อย เพราะค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะไปต่อได้อีกก็ว่ากันที่สภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง เพราะบางครั้งใส่อยู่ในห้องแอร์ไม่ได้ไปไหน ก็ยาวไปถึง 9 - 10 ชม. ได้เลย แต่ถ้าอากาศร้อนมากๆ เหงื่อโทรมไหลย้อยตลอดวันก็อาจจะจอดไว เพราะวันที่ไปสู้อากาศร้อนเหงื่อโทรมกายเจอไปที่ราวๆ 4 ชม. ก็เริ่มจางตามเหงื่อ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แต่จะลดเพดานลงมาไวที่การเป็นออร่ารอบๆ ตัวตั้งแต่ช่วงกลางเป็นต้นไป แบบที่เดินสวนกันก็พอยังได้กลิ่นอยู่ และเมื่อแตะที่ 4 - 5 ชม. ไปแล้วก็จะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ยังได้ความรู้สึกหอมสะอาดๆ ติดหวานแกมเขียวอ่อนๆ ตีขึ้นมาเวลาขยับเนื้อตัว

สรุป - Safe Scent ชัดเจนมากๆ แบบที่ใส่แล้วยังไงก็รอดแบบ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง เน้นที่ความสดชื่นเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวาล้ำมาจากไหนก็เอาอยู่ และมีเสน่ห์แบบไม่ต้องดูพยายาม ที่สำคัญกลิ่นนี้เข้ากับการใส่แบบเสื้อยืดกางเกงยีนส์ หรือใส่แบบสบายๆ ในวันที่ไม่ต้องกายความหนักหน่วงทางกลิ่นได้เป็นอย่างดีอีกด้วยเช่นกัน เลยถือว่าไม่แปลกใจที่เป็นตัวหลักในการเป็นน้ำหอมชายหนึ่งเดียวของแบรนด์มาอย่างยาวนาน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.luckybrand.com/mens-3.4oz-cologne-spray/840030.html?dwvar_840030_color=000

 

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Guerlain - Eau de Cashmere

Guerlain - Eau de Cashmere 

Cashmere เป็นผ้าชนิดหนึ่งที่เส้นใยมีน้ำหนักเบาและมีความยืดหยุ่นสูงมาก แถมยังให้ความอบอุ่นได้ดีแม้ว่าอากาศจะหนาวแค่ไหน ซึ่งถือว่าเป็นผ้าที่มีความแพงในระดับต้นๆ เลยทีเดียว โดยเฉพาะเส้นใย Cashmere ธรรมชาติที่ต้องทอจากขนแพะอารมณ์กว่าจะได้เสื้อ 1 ตัว อาจจะต้องใช้ขนแพะถึง 6 ตัวเลยทีเดียว ซึ่งในความมีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ของ Cashmere ที่นอกจากจะเป็นผ้าคุณสมบัติดีระดับต้นๆ แล้ว ความเป็น Cashmere ยังถูกถอดออกมาเป็นกลิ่นน้ำหอมแบบที่ไม่ได้เอาขนแพะมาประเคนตรงถึงจมูก แต่เอาความรู้สึกของการสวมใส่ที่ได้ความนุ่มนวลแกมละมุนผิวกายมาถอดออกมาเป็นกลิ่น โดยเน้นที่ความเป็น Soft Musky Powdery เป็นหลักนั่นเอง ซึ่งแน่นอนมีหลากหลายแบรนด์ที่เอาไปนำเสนอซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี Guerlain รวมอยู่ด้วย

ในการนำเสนอกลิ่นอาย Cashmere ของ Guerlain เดิมทีจะเริ่มต้นจากการเป็นหนึ่งใน Collection - Eaux de Rituel ก่อนที่จะถูกรวบเอามารวมใน Collection - L’Art & La Matiere ภายหลัง โดยแยกออกมาเป็น Collection ย่อยของย่อยลงไปอีก เป็น Les Matieres Confidentielles (ยกมาแบบแทบทั้งหมดจาก Eaux de Rituel) ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว ความเป็น Eau de Cashmere ทั้งก่อนและหลังย้ายไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างใด เช่นนั้น จึงมาว่ากันที่เรื่องกลิ่นดีกว่าว่าจะออกมาอย่างไรบ้าง

โทนแป้งมาทักทายก่อนใครเพื่อนเลยโดยเฉพาะไอริสที่จะเป็นแกนหลักให้จับต้องได้ตั้งแต่ต้นยันจบในน้ำหอมกลิ่นนี้ โดยจะมีความเป็นโทน Musky สะอาดๆ คลอตีคู่ไปด้วยตลอด เพียงแต่ในช่วงต้นจะออกแนวที่ความสดชื่นติดขมอ่อนๆ แกมเปรี้ยวสว่างๆ มีความสดชื่นแบบติดเย็นๆ แนวอากาษยามเช้าที่มาจากเลมอนกับมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ซึ่งมีกลิ่นติดฝาดแกมปร่านวลนิดๆ เชื่อมโทนไปเนื้อเดียวกันระหว่างความสดชื่นกับโทนแป้ง เลยจะได้ความเป็น Fresh Powdery แบบ Powdery Cologne มาเลย ถือว่าเปิดตัวได้มินิมอลและโดนใจคนชอบโทนแป้งที่เรียบหรูได้ไม่ยาก

ไม่นานก็จะเข้าสู่ช่วงกลางซึ่งตอนนี้ความมินิมอลจะมาเต็มเพราะเนื้อกลิ่นจะเป็นโทน Musky Powdery เต็มตัวมาก เพราะโทนแป้งของไอริสจะผสมผสานกับ White Musk เต็มทตัวได้ความเป็นโทนแป้งนวลๆ ติดสะอาด และมีความหวานหน่อยๆ ที่เป็นตัวเสริมชั้นดีให้กับไอริส คือ ดอกเฮลิโอโทรเป้ที่ให้ความเป็นแป้งกึ่งดอกไม้กึ่งแป้งอัลมอนด์กดึ่งวานิลลาบางๆ ที่มีความนุ่มนวลเคล้ากับลาเวนเดอร์ที่มาในโทนติดหวานอ่อนๆ สะอาดๆ เชื่อมไปสู่ White Musk ได้อย่างพอดิบพอดี แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัมผัสได้เลยว่าทำไมกลิ่นแป้งถึงไม่ทึบหน้าแน่นเกินไป เพราะมีโทนไม้หอมติดปร่าโปร่งๆ หน่อยๆ ที่มาตัดทอนเนียนๆของไม้ซีดาร์รวมอยู่ด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นไม่แน่นเกินไป คงความเป็นแป้งที่มีความนุ่มสะอาดเป็นพื้นฐานส่งกลิ่นระเรื่อออกมาแบบเหมาะสมและสมดุลย์ในสไตล์เรียบหรูและเรียบง่ายเป็นแกนหลักคุมโทนกันไปยาวๆ

ในช่วงท้ายจะเป็นการปล่อยของเต็มตัวของ White Musk ที่มีลูกเอื้อนเป็นโทนแป้งเบาๆ ชัดเจนมาก แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์กลิ่นลงไปถึงรายละเอียด นอกจากโทร Musky ที่นุ่มนวลติดหวานมีเสน่ห์ตามที่ควรจะเป็น และกลิ่นแป้งติดปลายหวานที่มีทั้งเฮลิโอโทรเป้สร้างอารมณ์แป้งนวลกึ่งวานิลลาอัลมอนด์ + ไอริสแกมลาเวนเดอร์ที่ให้ความเป็นแป้งระเรื่อสะอาดๆ เนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้หอมแห้งๆ แต่ติดโทนสว่างและมีความ Earthy ที่แห้งๆ เบาๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งถ้าเดาน่าจะเป็นการผสมผสานของไม้ซีดาร์และหญ้าแฝกที่มาให้มิติกลิ่นไม้หอมสว่างๆ แฝงโดยที่ไม่แย่งซีนความมินิมอลของ Musk ที่คุมโทนแต่อย่างใด กลับให้ความมีมิติที่สร้างความเรียบหรูสบายๆ แบบที่มีทั้งความเป็นกลิ่นผิวกายสะอาดนุ่มนวลแกมกลิ่นไม้อ่อนๆ สลับกับกลิ่นแป้งหอมเบาๆ ระเรื่อๆ ซึ่งถือว่าตรงตามความเป็นกลิ่นของ Cashmere ในการเป็น Soft Musky Powdery ได้ตรงตัวและเข้าถึงได้ง่าย โดยที่มีเสน่ห์ในความเรียบง่ายแกมเรียบหรูได้ลงตัว       

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย เพราะโทน Floral กึ่งแป้งชัดเจนพอตัว แต่ถ้าไม่มายด์ผู้ชายก็ใส่ได้สบายมากกับกลิ่นแนวมินิมอลแบบนี้ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะใส่ไปออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ น่าจะลงตัวที่สุด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือว่าใส่แบบโรแมนติคสร้างความหอมนุ่มนวลอ่อนโยนน่าจะดีที่สุด ซึ่งชัดเจนเลยว่าตัดการใส่เพื่อท่องราตรีออกไปได้เลย ไม่เข้าทาง

ความทน - กลิ่นทนอยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ที่จะจับต้องกลิ่นที่ตีขึ้นมาได้ แต่จะไปต่อได้มากกว่านี้ไหมขึ้นอยู่กับเคมีของคนนั้นๆ กับน้ำหอมด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 - 10 ชม.

การกระจาย - กลิ่นเปิดกระจายดีซักราวๆ 10 นาที ก่อนจะลดลงมาที่ปานกลาค่อนออร่ารอบๆ ตัวไปประมาณ 3 ชม. ที่เหลือจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อแตะ 6 ชม. ขึ้นไป ก็จะแตะความเป็น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - แม้จะโทน Musky เด่น แต่ยังคงลายเซ็นลูกเอื้อนแบบแป้งวานิลลาที่เป็น Signature ของแบรนด์ได้อย่างลงตัวมากๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นทั้งโทน Safe Scent ที่ปลอดภัย ไม่รบกวนใคร และยังมีความเรียบหรูแบบไม่เยอะสิ่งได้เป็นอย่างดีในฝีมือของความเป็น Guerlain 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Guerlain/Eau_de_Cashmere

 

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Juliette Has A Gun - Moon Dance

Juliette Has A Gun - Moon Dance

นอกจากที่พื้นฐานจะเป็นน้ำหอม Niche Perfume มาตั้งแต่ต้น และออกน้ำหอมเก๋ๆ ต่างๆ มาก็มากมายจนได้รับความนิยมกันอย่างต่อเนื่อก็จริง แต่สิ่งหนึ่งคือ ถ้ายังอยู่กัยความเป็น Collection เดิม มันก็อาจจะมีอะไรที่แปลกใหม่ในระดับหนึ่ง แต่ไม่น่าจะเทียบเท่าการสร้าง Collection ใหม่ออกมาที่จับตลาดที่แตกต่างมากขึ้นได้

เช่นนั้น Juliette Has A Gun จึงได้ต่อยอดกลิ่นหอมของแบรนด์ตัวเองสู่การเป็น Luxury Collection ที่ใช่ทริคในการสร้างคุณค่าของน้ำหอมขึ้นมาอีกระดับ (แนวเดียวกับแบรนด์ High-End ต่างๆ ที่จะมี Exclusive Collection อะไรประมาณนั้น) โดยทยอยปล่อยน้ำหอมออกมาปีละ 1 กลิ่นตั้งแต่ปี 2013 ถึงล่าสุดคือ ปี 2019 เช่นนั้น ได้เวลาข้ามมาสู่ความ Luxury ก็ต้องมาเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นแรกของสายนี้ที่มีโอกาสได้ลองจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

Moon Dance เปิดตัวมากับความเป็นโทนแป้งโปร่งหวานของไวโอเล็ตที่เรียกว่าเป็นตัวหลักจริงจังกันยาวๆ โดยที่จะมีความปร่าระเรื่อแกมสดชื่นที่เป็นลูกผสมระหว่างความเขียวปนเปรี้ยวขมสร้างบรรยากาศที่ออกเย็นๆ วิบวับนิดๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ทำให้ได้ความรู้สึกสดชื่นเย็นๆ แต่ไม่ได้ออกทางสว่าง และก็มีกลิ่นออกทางเขียวที่ค่อนจะไปกึ่งแตงกวาหน่อยๆ เสริมให้ไม่ได้เป็นแป้งหนักเกินไปของใบไวโอเล็ตร่วมด้วย ซึ่งก็ตอบโจทย์กลิ่นอายเย็นๆ และมีความชื้นน้ำค้างหน่อยๆ ยามค่ำคืน ท่ามกลางความหวานหอมแป้งโปร่งที่ระเรื่อคลอเคลียในช่วงเวลาสั้นๆ ของการเป็นต้นทางของกลิ่นแบบนี้

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มสัมผัสได้เลยว่ามีความครีมมี่เย้ายวนอวลหลงใหลเสริมขึ้นมาแบบชัดเจน และให้ความเป็นโทน Classic สายดอกไม้ขาวที่มีเสน่ห์ของซ่อนกลิ่นแบบเต็มๆ แต่กลิ่นไม่ได้มาแค่นี้แต่มีความเป็นน้ำผึ้งที่มีความกลางๆ ไม่ได้ออกทาง Dirty หรือใสเกินไป ให้ความความลึกและระเรื่อแบบที่จะน่ารักก็ได้ จะเย้าลึกก็ดี หรือจะหวานซึ้งก็มาเต็ม เรียกว่าโทนน้ำผึ้งคือตัวแย่งซีนที่ทำให้กลิ่นมีความหอมนวลหวานแบบมีมิติที่น่าประทับใจมาก ตามด้วยความนวลกุหลาบที่มาสอดรับกับไวโอเล็ตกับความเป็นโทนแป้ง ยิ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีเลเยอร์ที่น่าสนใจเข้าไปอีก เพราะเสริมความโรแมนติคได้อย่างพอดิบพอดีและส่งเสริมกันอย่างลงตัวในทุกๆ ช่วงกลิ่นที่ให้เลเยอร์ความเป็นโทนแป้งดอกไม้ขาวที่มีความหวานรื่นรมย์ ผ่อนคลาย มีเสน่ห์ แกมอบอุ่นหน่อยๆ แฝง และมีความงดงามในตัวสูงมาก ที่สำคัญแตะความเป็นโทนแนว Classic เข้ามาร่วมด้วยอย่างพอดิบพอดีสร้างความร่วมสมัยในกลิ่นเข้าไปอีก

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนโทนแป้งลงตามลำดับแต่ยังคงมีอยู่แบบเป็นผู้สนับสนุนรองที่มีความสำคัญ ความเป็นกลิ่นโทน Musk ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทเด่นจนกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักในช่วงท้าย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีลูกผสมของความหอมนุ่มนวลแต่มีความลึกที่เย้ายวนเนียนๆ แกมน่าค้นหาติดดาร์กแฝง ซึ่งจับต้องได้เลยว่ามี Oak Moss เป็นหนึ่งในตัวสร้างออร่ากลิ่นลักษณะนี้ กับกลิ่นโทนกึ่งแอมเบอร์ที่เป็นตัวช่วยให้เนื้อกลิ่น Musk และโทนแป้งดอกไม้ขาวแกมหวานน้ำผึ้งที่เบาลงมามีความอบอุ่นน่าซุกให้จับต้องได้ แต่ที่ไม่เล่าไม่ได้ก็คือ พิมเสน ซึ่งอันนี้เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญไม่น้อยให้การสร้างความปร่าหวานระเรื่ออ่อนๆ วิบวับในปลายกลิ่นให้รู้สึกรื่นรมย์และเพลิดเพลินในการรับรู้ ซึ่งช่วงท้ายคือว่าเป็นการเดินเข้าสู่โทนนุ่มนวลรื่นรมย์ในสไตล์แบบโทน Modern แบบชัดเจนมากขึ้น โดยที่ยังมีความเป็นลูกเอื้อน Classic หน่อยๆ สร้างความร่วมสมัยอยู่ตลอด ปิดท้ายการเป็น Moon Dance ได้นวลนุ่มน่าซุกแบบโรแมนติคได้อย่างสมูธกันเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป ซึ่งเนื้อกลิ่นมีความ Feminine ชัดเจนในการสื่อสารโทนดอกซ่อนกลิ่น แป้งหอม และน้ำผึ้ง ซึ่งอย่างน้อยถ้าผู้ใช้ผ่านกลิ่นแนวดอกไม้ขาว Classic มาบ้างจะอินกับตัวนี้ได้แบบฟินไปได้เลย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยสามารถใส่ได้หมดทั้งทางการ (แบบเน้นความเหมาะสม) และทั่วๆ ไปที่เน้นความหวานแนววางตัวดีมีความโรแมนติคแนวๆ นั้น รวมถึงยามค่ำคืนที่เหมาะมากกับการใส่แบบเน้นการแสดงความรู้สึกหวานหอมและความรัก หรือใส่ออกงาน โดยเฉพาะงานแต่ง อันนี้เข้าทางสุดๆ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเท่าไหร่ เพราะกลิ่นไม่ได้เป็นเทรนด์เย้ายวนชวนโต้งๆ แบบสายขนมทั้งหลาย รวมถึงตัดออกไปได้เลยก็คือการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกาย

ความทน - อันนี้ต้อยกให้เขาเลยเพราะสิ่งที่เจอคือ 18 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ เรียกว่ามีความเป็นเลิศในด้านนี้ได้เลย และยังไงก็สบายใจได้ว่า 8 ชม. เป็นพื้นฐานแน่นอนในความยาวนานของกลิ่น

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีไปราวๆ 3 ชม. หลังจากที่ฉีด ถึงค่อนลงมาเป็นปานกลางที่ล้อมเป็นบาเรียรอบกาย ตีขึ้นให้รู้สึกหอมตลอด จนเมื่อเข้าชั่วโมงที่ 8 ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกัน จนถึงราวๆ 12 ชม. ถึง Skin Scent ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว

สรุป - Moon Dance มีแรงบันดาลใจมาจากแสงจันทร์นวลผ่องที่มีความงดงามระยิบระยับสบายตาแกมอบอุ่นในความรู้สึก ซึ่งอันนี้ใช่เจอมาหลายแบรนด์ที่ได้แรงบันดาลใจมาในลักษณะนี้ และนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เอาความเป็นกลิ่นอายแสงจันทร์มานำเสนอกับการเป็นโทนแป้งหอมแกมหวานซึ้งแกมน้ำผึ้งที่มีความคาบเกี่ยวระหว่างแนว Classic ไปสู่โทนทันสมัยที่มีความนุ่มนวลแบบที่หอมชวนประทับใจมาก แม้ว่าจะเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่ความงดงามที่มีของกลิ่นไม่ว่าเพศไหนก็จับต้องและมีความสุขได้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://us.juliettehasagun.com/products/moon-dance

 

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Francesca Bianchi - Sex & the Sea Neroli

Francesca Bianchi - Sex & the Sea Neroli

จากการได้สัมผัสความสุดยอดของการสื่อสารทางกลิ่นแบบไม่มีกั๊กและให้อารมณ์บรรเจิดไม่น้อยกับการเป็น Sex & the Sea เดิมที่มีกลิ่นอายจากสเต็ปสู่สเต็ปในสไตล์ของชาติตะวันตก ที่มีทั้งความนัว ความอับ ความชื้น ความรัญจวนที่อีโรติคมากริมทะเล ในแบบที่ถอดกลิ่นออกมาได้ไม่ธรรมดาของ Francesca Bianchi ในปี 2016 การต่อยอดเพื่อสร้างสรรค์กลิ่นอายที่ยังคุมโทนการเป็นสไตล์อีโรติคแบบเดิม แต่เพิ่มเติมความน่าสนใจก็ได้มีขึ้นในอีก 3 ปีต่อมากับการนำเสนอความเป็น Sex and the Sea + Neroli (ดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ) ซึ่งสุคนธกรก็ได้บอกเอาไว้โดยสรุปว่า

เป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง ที่เอาความเปิดเผยในสไตล์ของ Sex & the Sea เดิม มาเพิ่มเติมอะไรเข้าไปให้มีเสน่ห์ที่แตกต่างมากขึ้น ก็เลยเอามาเจอกับ Neroli ที่จะให้ความใสๆ ขี้อาย แบบมีความคมของกลิ่นดึงความสนใจ และมีเสน่ห์สะกดอารมณ์ให้อยู่ในภวังค์เข้ามาร่วมด้วย” เมื่ออกมาเป็นเช่นนี้ จากที่เคยได้สัมผัส Sex & the Sea ต้นแบบมาก่อน มีหรือที่จะพลาดในการมาลองความรัญจวนทางกลิ่นในอีกรูปแบบ เช่นนั้น ใช้จนตกผลึกก็บอกเล่าต่อได้แบบนี้

Sex & the Sea Neroli กลิ่นเปิดจะแตกต่างจากรุ่นต้นตระกูลชัดเจนมาก เพราะว่าจะมาแบบคมๆ ที่มีความเปรี้ยวเขียวหอมแกมนวลดอกไม้ขาวใสๆ แฝง รวมถึงมีความปร่าซ่าหน่อยๆ ที่เป็นลักษณะกลิ่นของดอกส้ม + กิ่งก้านส้มร่วมด้วยหน่อยๆ แต่นี่แค่วูบแรกในไม่กี่วินาทีเท่านั้น เพราะว่าจะมีความนวลหวานอมเปรี้ยวหอมที่ให้ความสะอาดแกมเย้าหน่อยๆของ Orange Blossom (ดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย) เข้ามาเสริมทัพด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นจะได้ทั้ง 2 มิติเลยในการเป็นดอกส้ม โดยมีความปร่าซ่าติดขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ทำให้กลิ่นมีความเป็นบรรยากาศที่มีลูกโทนสดชื่นกึ่ง Vintage เข้ามาร่วมด้วย แต่ไม่ได้จบแค่นี้เพราะเลเยอร์ของกลิ่นมีความซับซ้อนมากกว่านั้น และมีความหนาในเนื้อกลิ่นอีกด้วยจากโทนออกทางแอมเบอร์หน่อยๆ และมีความออกทางกึ่งโลชั่นซันแทน แกมกลิ่นออกทางติดเค็มผิวกายที่ชัดๆ พอสมควรแบบอารมณ์กลิ่นเค็มทะเลคลอผิวที่เป็นสไตล์หลักเดิมของรุ่นตั้งต้นอีกด้วย ซึ่งแม้ว่าฐานกลิ่นจะยังไม่ได้ปล่อยของเปิดตัวออกมาเต็มที่ก็จริง แต่จับต้องได้เลยว่ามาแน่ๆ

เรียกว่าถ้าซื้อหวย ก็คือถูกรางวัลไปแล้ว เพราะว่าเนื้อกลิ่นแบบรุ่นต้นตระกูลจะเริ่มทยอยๆ เปิดตัวเข้ามาในช่วงกลาง ซึ่งขนความนัวมาเต็มๆ และเข้าสู่การเป็นอีโรติคริมหาดที่เป็นการผสมผสานของโทนสับปะรดที่ไม่ได้ถึงกับฉ่ำมาก แต่มีความหวานหอม + ดอกกระถินเทศที่ติดเขียวแกมน้ำผึ้ง และก็มีน้ำผึ้งติดหวานลึกตบท้ายเข้ามาอีก แถมยังมีกลิ่นดอก Immortelle กับกุหลาบแห้ง กลิ่นยางไม้ที่หวานเย้าเข้ามาสมทบ ทำให้ได้กลิ่นหวานติดเขียวระเรื่อแกมชื้นลื่นๆ ติดเค็ม กลิ่นเหงื่อ กลิ่นสารคัดหลั่งหนืดบางอย่าง กลิ่นผิวกายอับนัว โดยมีกลิ่นของมะพร้าวที่ให้อารมณ์แบบโลชั่นซันแทนหรูๆ เข้ามา รวมถึงจับต้องได้ว่ามีความ Animalic ติด Dirty แฝงอยู่ตลอด แถมมีความดึงดูดแกมเรียกร้องความสนใจด้วยการผสมผสานทุกอย่างเข้าด้วยกันอย่างมีชั้นเชิง และปล่อยพลังออกมาชัดเจนมาก เลเยอร์ในการแผ่ไพศาลทางกลิ่นจะเริ่มที่ความปร่าเขียวของช่วงต้นที่เด่นกับดอกส้ม ตามด้วยความนัวอับชื้น Sexy + หวานครีมมี่แกมผลไม้และโลชั่นซันแทนที่อบอวล ก่อนจะปิดท้ายด้วยกลิ่นผิวกายติดเค็มที่มีความ Animalic เย้าดึงดูดความสนใจเคล้ากับโทนอบอุ่นติดแอมเบอร์แกมกลิ่นแป้งอับหน่อยๆ ที่ลึกล้ำ เรียกว่ากลิ่นนี้คุมโทนจริงๆ กับการเป็น Sex & the Sea ที่บวก Neroli ให้ดูเอียงอายและสะกดล่อลวงให้เหมือนจะ Innocent ในความปร่าสว่างก่อนจะเป็นความ Sexy Sweet Dirty ได้ชัดเจนมาก

ช่วงท้ายเรียกว่ายังคงถอดความเป็นรุ่นต้นตระกูลมาเป็นแกนหลักของเนื้อกลิ่นเช่นเดิม คือ การเป็นโทนผิวกายอบอุ่นเต็มเค็มแกมหวานวานิลลาที่ติดหวานแหลมนิดนึงที่เป็นสไตล์ของกำยาน Benzoin และมีความอุ่นลึกๆ ของโทนแนวแอมเบอร์ที่น่าจะมาจาก Labdanum ที่มีความเป็นลูกผสมคล้ายโทนหนังรวมอยู่ด้วย แต่จะมีความครีมมี่ไม้หอมหน่อยๆ มาตัดทอนให้กลิ่นมีความนุ่มแบบกำลังดีและมีความเป็นไม้หอมที่ให้ความนวลผ่อนคลาย ซึ่งนี่แค่ฝั่งอบอุ่นเท่านั้น เพราะยังมีอีก 2 ฝั่งอย่างโทน Animalic สาบเร้าอวลแกมกลิ่นเหงื่อและกลิ่นสารคัดหลั่งในจุดอับหน่อยๆ ติดเขียวนิดๆ และโทนหวานที่ยังมีอยู่แต่จะเบาลงมาจากช่วงกลาง ไม่ได้เข้มข้นมากจนทำให้นัวจัดจ้าน ซึ่งทั้งหมดจะผสมสานกันอย่างสมดุลย์ ทำให้ได้ทั้งความอบอุ่นแบบอารมณ์ตระกรองกอดซบกันหลังเสร็จภารกิจเพื่อโลกให้ความอบอุ่นแกมหวาน โดยที่ยังมีกลิ่นแนวสาบเร้าอยู่บ้างให้รู้สึกวาบหวาม เป็นการปิดท้ายที่มีลายเซ็นต้นตระกูลอยู่ชัดล่ะ แต่ยังยืดอายุความเซ็กซี่วาบหวานของช่วงกลางเป็นรอยทางทิ้งไว้ยาวกว่าประมาณนั้น

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดเพราะกิจกรรม Sex & the Sea เนี่ย มันก็คือทุกเพศที่ต้องจับคู่ 2 คนขึ้นไปอยู่แล้ว เช่นนั้นเลยจะแตะได้หมด แต่กลิ่นนี้ถือว่าเป็นกลิ่นทรงพลังเลยทีเดียวและให้ระวังการใช้กับเสื้อขาวเพราะสีน้ำหอมเข้มข้นมาก เช่นนั้นตัดทิ้งไปได้เลยกับการใส่ยามทางการ กลิ่นไม่ได้เข้าเลยแม้แต่น้อย อาจจะใส่ได้ แต่ต้องระวังความทรงพลังและยั่วเย้าของกลิ่นให้ดีนิดนึง ส่วนทั่วๆ ไปจัดไปแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม (มากเกิน 2 - 3 สเปรย์อาจจะตึ้บเอาได้) ส่วนยามค่ำคืนถ้ามั่นใจก็จัดไป ไม่ว่าจะท่องราตรีหรือว่าเน้นเซ็กซี่ส่วนบุคคล แต่ให้ตัดไปได้เลยว่าไม่ควรใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ  (ยกเว้นไปทะเลที่จะให้ Feel แบบชาวต่างชาติ) หรือออกกำลังกาย เพราะบอกเลยกลิ่นตีขึ้นจนเมาได้ไม่ยากจริงๆ   

ความทน - มากที่สุด และที่สุดของแจ้ง เพราะเจอแบบข้ามคืนทุกครั้งที่ใช้แม้ว่าจะอาบน้ำล้างตัวไปแล้ว 2 รอบคือ ก่อนนอนกับเช้าวันถัดไปแล้วก็ตาม ซึ่งก็แน่นอนล่ะ Pure Parfum มันเข้มข้นมากจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากและยาวนานราวๆ 3 ชม. ได้เลย คือ มาสุดในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ถึงจะค่อยๆ ผ่อนลงเป็นกระจายดีไปซัก 2 - 3 ชม. ต่อมา แล้วจะลดลงไปเรื่อยๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวเหยียด ซึ่งถ้าข้ามวันไปแล้วก็จะเป็น Skin Scent จนกว่าจะจางไป

สรุป - เนื้อกลิ่นเรียงสเต็ปต่างจากต้นตระกูล โดยนำเสนอเอาความสดชื่นมาเป็นตัวเรียกความสนใจ อารมณ์มาสายสว่างก่อนไปทำกิจกรรม ซึ่งถือว่าเนื้อกลิ่นยังมีความสว่างอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงท้ายแต่จะลดบทบาทลงไปตามสเต็ป โดยที่พื้นฐานสำคัญยังคงเป็น Sex & The Sea แบบที่ให้ความอบอวล ซับซ้อน และมีเลเยอร์กลิ่นที่หลากหลาย แถมสื่ออารมณ์เกี่ยวกับความ Sexy และ Sex ริมหาดได้อย่างชัดเจน ไม่ธรรมดาเลยไม่ว่าจะทั้งรุ่นปกติและ Neroli

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.tradeling.com/ae-en/product-details/francesca-bianchi-sex-and-the-sea-neroli-extrait-de-parfum-30-ml-6045c1018cfcfa9a6faa76ac-5efb4bc4c5b0cc001b34186c

 

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Imaginary Authors - Cape Heartache

Imaginary Authors - Cape Heartache

ในน้ำหอมหลายๆ รุ่นของ Imaginary Authors ที่จะต้องมีเรื่องราวและเรื่องเล่าบางอย่างที่เป็นที่มาที่ไปของน้ำหอม มักจะมีการกล่าวถึงบุคคลสมมติคนหนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือ Philip Sava ที่เป็นนักเขียนเรื่องราวแนวสำรวจและเดินทางไปยังที่ต่างๆ และเขียนเรื่องราวออกมาโน้มน้าวจนทำให้ผู้อ่านสามารถตีความไปได้เลยว่านี่น่าจะเป็นเรื่องจริง เลยทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในความแตกต่างที่สร้างสรรค์ออกมาผ่านงานเขียน ซึ่งบุคคลสมมติคนนี้เรียกว่าโลดแล่นไปในน้ำหอมหลายรุ่นเลยทีเดียวของแบรนด์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีหนึ่งในรุ่นที่ไม่ธรรมดาในการสร้างสรรค์กลิ่นอย่าง Cape Heartache รวมอยู่ด้วย ซึ่งเรื่องราวเป็นยังไง ไหนเล่าอาการมาหน่อยซิ  

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - เป็นเรื่องราวในนวนิยายสำรวจที่ได้รับความนิยมอย่างมากของ Philip Sava ที่ Based on การเขียนมาจากการสำรวจทางฝั่งแปซิฟิคตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาในปี 1881 สมัยที่ยังเป็นวัยสะออนอยู่ ซึ่งสถานที่จะเป็นบ้านริมชายฝั่งที่มีต้นไม้เก่าแก่มากมาย (เอาเป็นว่าบ้านติดทะเลและป่าเก่าแก่) กับความรักที่เกิดขึ้นกับสาวชาวอินเดียนแดง โดยมีธีมหลักของเนื้อเรื่องคือการทิ้งสิ่งสถานที่ที่จากมา แล้วมาเจอกับความผ่อนคลายสบายใตและความปลอบประโลมจากสถานที่ใหม่ๆ คนใหม่ๆ ให้กับชีวิต

และทุกอย่างในการเป็น Cape Heartache ก็ขมวดมารวมกันทั้งหมดในการสร้างสรรค์กลิ่นออกมาในรูปแบบนี้เลย

ความโดดเด่นจะมาแบบเต็มที่และคงอยู่อย่างยาวนานเลยของการเป็นกลิ่นโทนไม้สนไพน์ที่เป็นแกนหลักยาวไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอม โดยจะเริ่มต้นที่กลิ่นอายไม้สนติดสดชื่นหน่อยๆ โดยจะมีความเป็นกลิ่นโทนไม้สนต่างๆ ที่มีทั้งความเขียวกึ่งยางไม้สนของสน Fir หรือต้นสน Christmas ที่มีความปร่าติด Spicy แกมเขียวหน่อยๆ วูบขึ้นมา และมีกลิ่นของไม้สนไพน์ที่ให้ความหวานหน่อยๆ ติดกลิ่นไม้สนที่มีความเขียว แต่ก็จะมีความตุ่นๆ เล็กๆ แฝงที่ให้ความเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นไพน์จริงๆ ไม่ได้มาแบบผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อหรือทำความสะอาด เลยจะได้กลิ่นแนวป่าสนแบบสดชื่นแห้งๆ มากกว่าจะเย็นๆ ชื้นๆ เพียงแต่สิ่งที่เสริมขึ้นมาไวมากคือกลิ่นของสตรอเบอร์รี่ที่มาแบบแนวน้ำสตอร์เบอร์รี่มากกว่าจะเป็นกลิ่นผลสด ซึ่งตอนแรกคิดว่ามันจะไปด้วยกันรอดเหรอ แต่

เป็นการผสมผสานกับแบบสตรอเบอร์รี่ + สนไพน์ ที่ออกมาเก๋มากเกินคาด ซึ่งจะได้กลิ่นยางสนติดปร่าหวานหอมสตรอเบอร์รี่แบบชัดเจนมากจริงๆ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่คิดว่าจะเจอและทำเอาประทับใจได้มากเลย และนี่แหละคือการปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่จะเป็นกลิ่นสนไพน์ที่มีความเป็นยางสนแกมสตรอเบอร์รี่กันไปยาวๆ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางวานิลลากึ่งใบไม้แห้งเข้ามาร่วมด้วยหน่อยๆ ทำให้กลิ่นมีลักษณะแบบสภาพแวดล้อมมากขึ้นด้วย เนื้อกลิ่นมีความคาบเกี่ยวระหว่างโทนหวานหอมสตรอเบอร์รี่ที่ไม่ได้สาว แต่มีความหวานแบบแตะน่ารักก็ได้ สดใสหน่อยๆ แบบที่แอบมีความแมนของสนไพน์ร่วมด้วย มันเลยดูเป็นกลิ่นที่แตะอารมณ์แบบวัยรุ่นที่มีความกุ๊กกิ๊กแฝงเนียนๆ ไล่เฉดจากแดงใสๆ สู่สีน้ำตาลหรือเอิร์ธโทนผสมผสานกัน ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดูว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรในการสร้างสรรค์กลิ่นเลยถึงบางอ้อ เพราะเป็นเรื่องราวความรักในช่วงวัยรุ่นของนาย Philip Sava นักผจญภัยกับสาวชาวอินเดียนแดง สตรอเบอร์รี่เลยเป็นเสมือนตัวแทนความหวานสดใสท่ามกลางกลิ่นอายไม้สนและความอบอุ่นของกลิ่นกึ่งวานิลลากึ่งใบไม้แห้งของสภาพแวดล้อมนั่นเอง

เมื่อกลิ่นของสตรอเบอร์รี่เริ่มเบาลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงบางๆ เปิดทางให้กลิ่นไม้หอมแบบแห้งๆ เก่าๆ เริ่มขึ้นมาผสมผสานกับกลิ่นอายสนไพน์ และบรรยกาศอบอุ่นแบบติดกึ่งวานิลลากึ่งใบไม้แห้งมากขึ้น ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวที่เป็นโทนไม้หอมนำทางสุดสิ่งอย่าง แบบมีลูกเอื้อนกลิ่นออกยางสนหน่อยๆ ที่มีความเป็นโทนแห้งๆ มากขึ้น กลิ่นอายจะเป็นลักษณะแบบป่าแห้งๆ ที่ไม่ได้มีโทนเขียวแล้ว แต่จะมีความเป็นบรรยากาศที่มีกลิ่นไม้แห้งๆ ประปรายอวลๆ โดยที่มีกลิ่นสตรอเบอร์รี่บางๆ ผลุบๆ โผล่ๆ บ้างเล็กน้อยแต่ไม่นานนักก็จะจมลงไปกับกลิ่นไม้ จนได้อารมณ์แบบนั่งอยู่ในป่าโปร่งๆที่มีต้นไม้เก่าๆ แห้งๆ เคล้ากลิ่นไม้สนไพน์อวลๆ รายล้อมแบบชัดจัดเต็มกันแบบยาวนานเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ใช้งานได้ทุกเพศ เพราะเป็นกลิ่นที่ออกทางสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเลยทำให้เพศไหนก็จับต้องได้ เพียงแต่พื้นฐานผู้ใช้ถ้าชอบกลิ่นไม้หอมหรือกลิ่นสนไพน์เป็นทุนเดิม จะปลื้มปริ่มเอาได้แบบสุดๆ เลย ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นมีพลังในระดับที่ไม่ธรรมดา และไม่ได้เข้ากับอากาศร้อนๆ มากนัก ซึ่งใส่กับยามทางการได้อยู่ และทั่วๆ ไปอันนี้สบายมาก แต่ถ้าใส่ไปออกกำลังกายบอกเลยอาจจะตึ้บและอึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือเน้นชิลล์ๆ แบบจิบๆ ในบาร์กลางแจ้งแบบเน้นความแตกต่างไม่เหมือนใครดีกว่า เพราะกลิ่นมันมีความเป็นธรรมชาติของความเป็นไม้ มันอาจจะดูจริงจังมากกว่าที่จะเย้ายวน   

ความทน - ยกให้เขาเลย เพราะเจอสูงสุดที่ 20 ชม. คือ อาบน้ำแล้ว 2 รอบกลิ่นก็ยังติดอยู่แบบจริงจังมาก เช่นนั้นยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้แน่นอน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเสมอต้นเสมอปลายยาวนานตั้งแต่ช่วงต้นยันปลายช่วงกลางเลย (นี่แหละถึงต้องใช้แบบจำนวนสเปรย์ให้เหมาะสม) แล้วจะเริ่มลดลงตามลำดับ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายไปซักราวๆ 2 ชม. ก็จะคงที่กับการเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่กลิ่นตีขึ้นให้คนใส่รับรู้อยู่ตลอดเวลากันให้สุดไปข้าง

สรุป - ไม่ธรรมดาเลย กลิ่นมีความเป็นสภาพแวดล้อมตามเรื่องเล่าและการปูทางสู่ภาพในหัวในการใช้งานได้ดีมาก แถมใส่ความน่ารักแบบวัยรุ่นลงแบบแนบเนียนด้วยสตรอเบอร์รี่ได้อย่างน่าสนใจจริงๆ ต้องบอกเลยว่านี่เป็นหนึ่งในกลิ่นที่มีความ Unique และที่สำคัญให้ความเป็นกลิ่นไม้และกลิ่นสนไพน์ที่เป็นธรรมชาติได้ดีมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.com/Imaginary-Authors-Cape-Heartache-50mL/dp/B0773CLL81

 

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Yves Saint Laurent - Nu (Vintage)

Yves Saint Laurent - Nu (Vintage)

ถ้าว่ากันในเรื่องความเก๋ของขวดที่สร้างความน่าสนใจและรู้สึกไม่ธรรมดาขึ้นมาได้ทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องเยอะสิ่งและมานิ่งๆ ก็กินขาด หนึ่งในนั้นต้องมีน้ำหอมกลิ่นนี้ของแบรนด์ Yves Saint Laurent ที่วางจำหน่ายมาในปี 2001 กับรูปทรงขวดที่เหมือนตลับแป้งฝุ่นเครื่องสำอางค์ที่เรียบหรูมีระดับในความเป็นเมทัลลิคที่มีความ Chic ให้รู้สึกได้รวมอยู่แน่ๆ และกลิ่นที่ว่านี้ก็คือ Nu

แม้ว่าทุกวันนี้กลิ่นนี้จะปิดจ็อบในการเป็นขวดทรงตลับแป้งไปแล้ว แถมยังเมื่อทำออกมาใหม่เป็นหนึ่งใน La Collection ที่ปลุกเอากลิ่นงดงามของแบรนด์ต่างๆ ที่เป็นกลิ่นนำเทรนด์ในช่วงนั้นมาปรับปรุงใหม่ ที่ยังคงลายเซ็นความงามเดิมๆ แต่กลิ่นอาจจะไม่ได้เหมือนเสียทั้งหมด ก็ดันปิดจ็อบเลิกผลิตไปด้วย ไปเจาะตลาดในมุมใหม่ๆ ตามเวลาที่ผ่านไปมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนใจคนที่ได้ใช้ไปได้เลยนั่นคือ ความงดงามทางกลิ่นที่เหนือกาลเวลาของกลิ่นนี้ เช่นนั้น ของดีเราก็ต้องเล่ากลิ่นเก็บไว้เพื่อเป็นสารบัญสิ จะพลาดได้อย่างไรกัน

ช่วงเปิดความเป็นเม็ดกระวานจะเด่นชัดให้จับต้องได้เลย แม้ว่าจะมีความกลิ่นเผ็ดเจือหวานที่มีความคมอยู่บ้าง เพราะมีโทน Citrus ติดเปรี้ยวขมอย่างมะกรูดฝรั่งเป็นตัวเสริมที่ทำให้กลิ่นพุ่งออกมา แต่ก็ไม่ได้คมบาดหรือพยายามยัดเยียดความเซ็กซี่ปรอทแตกมาจากไหน เน้นออกทางดาร์กกำลังดีและมีความเซ็กซี่ที่ดูร้อนแรงแบบไม่โจ่งแจ้ง อารมณ์มีความซับซ้อนที่ให้จับต้องได้ทางกลิ่นที่มีความเย้ายวนแฝงเสียมากกว่าอย่างมีชั้นเชิง ที่สำคัญเพราะการที่มีโทนแป้งเข้ามารองรับแกมกลิ่นออกทางเผ็ดนวลหน่อยๆ ที่มีความอบอุ่นเนียนๆ ยิ่งทำให้กลิ่นนี้มี Sex Appeal เข้าไปอีก กับการเกลากลิ่นให้มีลูกเล่นที่ดึงดูดและมีเสน่ห์ ซึ่งบอกเลยว่าเปิดมาก็เห็นลูกเล่นที่ไม่ธรรมดาของกลิ่นนี้แล้วล่ะนะ

การเข้าสู่ช่วงกลางยิ่งชัดเพราะช่วงนี้จะนำเสนอความเซ็กซี่แบบมีระดับไม่ได้ไก่กาปล่อยของเรี่ยราดจนดูเผือ แต่ให้ความเป็นสไตล์ที่วางตัวอย่างมีชั้นเชิงเสียมากกว่าในการผสมผสานกลิ่นโทนเครื่องเทศ Spicy กับโทนแป้งที่จะสอดรับกันเป็นอย่างดีจนเป็นแป้งที่มีความอวลติดเผ็ดเย้าที่มีเสน่ห์ชัดเจนมาก ซึ่งความเป็นกระวานยังคงอยู่มีความเผ็ดหวานเย้าที่ให้ความรัญจวนแต่มีความเผ็ดนวลของพริกไทยมาตัดให้มีความอวลเชื่อมต่อกับโทนแป้งที่มาแบบกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์ที่มีความเป็นโทนหวานดอกไม้หน่อยๆ อารมณ์ Feminine เบาๆ ที่สำคัญกลิ่นไม้จันทน์หอมที่แทรกขึ้นมาไวพอสมควรสร้างมิติความเป็นกลิ่นไม้หอมที่เสริมให้กลิ่นน่าค้นหาเข้าไปอีก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความหนาประมาณหนึ่งแต่ไม่หนักหน่วง ทำให้ภาพรวมของกลิ่นในช่วงนี้จะเป็นกลิ่นแป้งอบอุ่นที่มีความหวานเผ็ดเย้าที่มีความเป็นไม้หอมที่นวลๆ ให้ความเซ็กซี่น่าค้นหาและทันสมัยได้ลงตัวมาก ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ที่ให้เห็นคาแรคเตอร์ผู้ใช้เลยว่าไม่ธรรมดาและมีของในการนำเสนอความเซ็กซี่ของตัวเอง

ถ้าคิดว่าช่วงกลางคือไฮไลท์แล้ว ช่วงท้ายคือ The Best Part เอาได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นจากช่วงกลางที่แม้จะแผ่วลงมาหน่อยแต่ไม้จันทน์หอมยังคงอยู่และเป็นตัวเด่นที่จะเข้ามาเป็นตัวเดินกลิ่น เสริมด้วย Musk กับวานิลลาที่มาสายโทนแป้งอบอุ่น ยิ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีความนวลอวลเย้าแบบมีระดับและมีความกรุยกรายเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วย และที่สำคัญการมีโทนนยางไม้ติดปร่าหน่อยๆ แทรกเนียนในเนื้อกลิ่นยิ่งทำให้กลิ่นมีความลึกล้ำแฝงชวนน่าค้นหาอยู่ตลอด โดยที่ยังคงความรู้สึกของความเป็นโทน Spicy ที่เป็นลูกเอื้อนให้จับต้องได้ เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีลักษณะใกล้เคียงโทนแอมเบอร์ร่วมด้วย ทำให้ได้ความเซ็กซี่เย้ายวนและมี Sex Appeal ชัดเจนมาก

เหมาะสำหรับ - กลิ่นเจาะไปที่ตลาดผู้หญิงก็จริง แต่มีความ Unisex ในเนื้อกลิ่นสูงมากพอจนทำให้เพศไหนก็ใช้ได้และสร้างเสน่ห์ส่วนตัวออกมาได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมาสายมั่นใจชัดเจน เพียงแต่ว่าไม่เข้ากับการใส่เพื่ออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งข้ามไปจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคื่นเน้นใส่แบบทั่วไป โรแมนติค หรือว่าท่องราตรีแบบไม่ได้เน้นรั่ว เน้นความเก๋ความชิคจะลงตัวที่สุด

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นพื้นฐานหลัก โดยสามารถไปต่อไปราว 2 - 4 ชม. หลังจากนั้นได้อีก ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาปานกลางไปราวๆ 3 ชม. ถึงจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยที่มาอยู่ใกล้ๆ จะสัมผัสถึงเสน่ห์เย้าๆ กำลังดี และเป็น Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป -  เรียกว่านี่เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ทำให้รู้สึกได้ถึง Concept ของแบรนด์ที่ให้เสน่ห์ในทุกๆ มิติในความมั่นใจและเซ็กซี่แบบมีคลาสไม่ว่าจะแฟชั่น เครื่องสำอางค์ และน้ำหอมได้เลย ซึ่ง Nu นำเสนอได้ดีมากๆ ในด้านการนำเสนอความ Sexy และ Sex Appeal ส่วนบุคคลที่มีจังหวะและมีเสน่ห์ท่ามกลางความมั่นใจและมีคลาสได้ดีมาก ซึ่งเสียดายเลยที่รุ่นนี้ปิด Job ไปเสียแล้ว รวมถึงขวดน้ำหอมแบบตลับแป้ง เก๋ได้ใจจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.duftwelt-hamburg.de/en/yves-saint-laurent-nu-eau-de-parfum-spray-50-ml-ysl/a-6711/ & https://www.pegasusaerogroup.com/ & https://www.fragrantica.com/perfume/Yves-Saint-Laurent/Nu-95.html

 

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Maison Incens - Santal Tislit

Maison Incens - Santal Tislit

การตีความในเรื่องความรักผ่านกลิ่นลงมาสู่ขวดน้ำหอมในแต่ละแบรนด์ ต่างก็มีความเฉพาะเจาะกันกันไปในการนำเสนอกรุ่นกลิ่นความรัก หลายๆ แบรนด์ว่ากันที่กลิ่นโทนหวานล้ำลึกต่างๆ หรือโทนออกทางขนม หลายๆ แบรนด์เจาะจงที่ความเป็น Floral โดยเน้นที่กุหลาบหรือโบตั๋นเป็นตัวแปรสำคัญ หรืออาจจะแนวไปเลยในการนำเสนอกลิ่นอายไม้หอมในสไตล์อาระเบียนเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเมื่อได้ผ่านกลิ่นอายที่ Tribute ความรักต่างๆ ก็มีอยู่ 1 โทนที่เจออยู่บ้าง แต่ก็เป็นเสมือนตัวเสริมเสียมากในกับความเป็นโทนหวานนั่นคือ โทนแป้งแบบตรงๆ ที่ยังไม่ค่อยได้เห็นความโดดเด่นในเรื่องของการสื่อความกลิ่นอายด้านความรักเท่าไหร่ 

และก็ได้มาถึงเวลาของการได้เจอแบรนด์ที่เอาความเป็นโทนแป้งมานำเสนอกลิ่นอายในความเป็นไม้หอมซักทีกับแบรนด์ Niche Perfume จากฝรั่งเศสอย่าง Maison Incens กับการเอาเรื่องของความเย้ายวนและเกี่ยวของกับความปรารถนาลึกล้ำทั้งทางกายและทางใจเข้ามาผนวกกันจน Tribute ให้กับความรักแบบไม่ยั้ง เช่นนั้น มาเจอกันหน่อยว่าจะเย้ายวนชวนจินตนาการได้มากขนาดไหน กับกลิ่นนี้เลย Santal Tislit

การเปิดตัวทางกลิ่นจะยังไม่ได้ถึงกับมีความโดดเด่นอะไรออกมาชัดเจนมากนัก นอกจากโทนขมติดเปรี้ยวปร่าสว่างๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่จะวูบขึ้นมาโดยมีกลิ่นไม้จันทน์หอมเป็นตัวรองพื้น ให้ความครีมมี่ที่ตัดทอนกับโทนสดชื่นกำลังดี และมีกลิ่นไม้หอมหน่อยๆ ที่มาเป็นโทนโปร่งๆ แฝงอยู่ ซึ่งเหมือนจะไม่ได้มีความหวานหรืออะไรออกทางเป็น Fresh Woody สว่างๆ ที่วางสมดุลย์กลิ่นได้กำลังดีระหว่าง Citrus และไม้จันทน์หอม แต่เพียงไม่เกิน 5 นาที ก็จะเริ่มเห็นความซับซ้อนบางอย่างเข้ามามากขึ้นนั่นก็คือ กลิ่นออกทางน้ำผึ้งที่มาแบบกึ่งข้นกึ่งใสกำลังดี ไม่ได้มีโทน Animalic ที่ออกทางกลิ่นยูรีนหน่อยๆ แต่อย่างใด ทำให้เนื้อกลิ่นเริ่มปูทางไปสู่การเป็นโทนหวานที่มีไม้หอมเป็นฐานกลิ่นมากขึ้นตามลำดับ

แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ต้องยกให้ช่วงกลางเขาล่ะ เพราะตอนนี้จะมีความชัดเจนมากกับกลิ่นอายที่เป็นลักษณะโทนแป้งกึ่งอัลมอนด์กึ่งดอกไม้ของดอกเฮลิโทรเป้แกมแป้งวานิลลาที่จะดันขึ้นมาแบบไวพอสมควร ทำให้เนื้อกลิ่นหลักเปลี่ยนจากไม้หอมมากลายเป็นโทนแป้งที่ติดหวานแกมอบอุ่นแทน โดยที่กลิ่นไม้จันทน์หอมก็ยังไม่ได้ถูกด้อยค่าลงไปเป็นตัวสำรองที่ไหน แต่ร่วมไม้ร่วมมือกันในการผสมผสานกลายเป็นโทนแป้งอบอุ่นกึ่งครีมมี่ไม้จันทน์หอมแทน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นออกทางน้ำผึ้งที่ให้ความหวานเคล้ากับกลิ่นอบเชยที่ให้ความหวานเผ็ดอุ่นเย้ายวนและดึงดูด โดยมีตัวเสริมที่ดีอย่างโทนดอกไม้คือกุหลาบที่ให้ความโรแมนติคหวานนวลๆ และความระเรื่อดอกมะลิหน่อยๆ สร้างมิติของโทนดอกไม้ แต่ภาพรวมของกลิ่นไม่ได้เป็นสายข้นนวลหนักนัก แม้จะมีความเป็นแป้งที่เย้ายวนดึงดูดและหวานก็จริง แต่มีตัวตัดทอนที่ดีอย่างไม้ซีดาร์ที่มาให้ความปร่าและโปร่งไม้หน่อยๆ เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนแป้งหวานอบอุ่นอวลๆ กำลังดี มีความครีมมี่หรูหราก็ได้ และมีความเซ็กซี่เย้ายวนชวนซุกแบบปล่อย Sex Appeal เต็มที่ โดยที่ไม่ได้ดูโฉ่งฉ่างหรือโจ่งแจ้ง ซึ่งอันนี้สร้างมิติและอารมณ์ทางกลิ่นได้ไม่ธรรมดาเลย

ในช่วงท้ายความเย้ายวนที่นอกจากโทนแป้งหวานมีความหนักลึกกำลังดีแล้ว ยังจะมีตัวเสริมชั้นดีอย่างยางไม้ที่ให้ความ Smoky แกมหวานติดขมหน่อยๆ ของ Myrrh เข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นจะมีความน่าค้นหาแกมอวลมีมิติยางไม้ซ้อนอยู่ในความเป็นโทนวานิลลาแบบแป้งอบอุ่นแกมไม้จันทน์หอมครีมมี่ที่ตามมาจากช่วงกลาง เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความลึกมากขึ้นในโทนหวานเพราะมียางไม้แกม Smoky มาเสริม + กับความเป็นอบเชยแกมน้ำผึ้งจากช่วงกลางที่ยังมาหวานอยู่ แต่กลิ่นก็ไม่ได้หนักมากให้ความนวลกลางๆ กำลังดี เพราะมีความเป็น Musk มาเสริมความนุ่มนวลและเข้าทางโทนแป้งไปอีกสเต็ปอีกด้วยทำให้ภาพรวมของช่วงท้ายทั้งหมดกลิ่นจะข้นขึ้นอีกสเต็ปแต่ไม่หนักหน่วงเกินไปจนดูพยายามโชว์ออฟ แต่ให้ความเป็นแป้งกึ่งไม้หอมอวลหวานเย้าที่มีความดึงดูดแกมอบอุ่นที่ชวนอยู่ใกล้ๆ ดมไปเรื่อยๆ แบบที่สร้างความประทับใจได้ไม่ยากเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าราวๆ 70% เพราะพื้นฐานกลิ่นมีความ Feminine ค่อนข้างเด่นกับโทนแป้งแกมดอกไม้ที่มีความหวานต่างๆ แต่ผู้ชายใช้งานได้สบายมากแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม กลิ่นจะให้เสน่ห์ดึงดูดแบบที่เหมือนเป็นแป้งแกมไม้หอมเคลือบหวานปกติ แต่มันจะค่อยๆ ซึมลึกจนมีความเย้ายวนรัญจวนจิตให้คนรับกลิ่นได้ไม่ยาก ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการ (แบบดูความเหมาะสมนิดนึงว่าใส่โทนหวานได้หรือไม่) หรือทั่วไป รวมถึงการใส่ยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือโรแมนติคต่างๆ แต่ที่ควรตัดออกไปได้เลยคือ การใส่ออกกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย มันไม่ใช่เลย และกลิ่นตีขึ้นเอาตึ้บได้

ความทน - กลิ่นทนได้ลงตัวมากกับพื้นฐานราวๆ 8 - 10 ชม. ซึ่งก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลาง ค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวในตอนต้น ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจไปว่ากลิ่นมันเบา จนเพิ่มสเปรย์ไม่รู้ตัวเอาได้ แล้วกลิ่นจะขยับมากระจายดีในช่วงกลางแบบเสถียรกันยาวๆ พอสมควรตีไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 5 ได้เลย ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงตามลำดับไปอยู่ที่ออร่ารอบๆ ตัวอีกทีจนเมื่อผ่านราวๆ 8 ชม. ไปแล้วถึงเป็น Skin Scent ปิดท้าย

สรุป - ในความรู้สึก เข้าทางการ Tribute เรื่องความรักในระดับที่กำลังดีเลยทีเดียว เพราะมาสายหวานแกมอบอุ่นที่แฝงความเย้ายวนในเรื่องความปรารถนาในการเข้ามาดมกลิ่นกันยาวๆ อยู่ไม่น้อย โดยเอาโทนแป้งแกมไม้หอมครีมมี่เป็นพื้นฐาน ซึ่งแน่นอนมีความแตกต่างจากเนื้อกลิ่นสายความรักต่างๆ อยู่พอสมควร ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ที่น่าสนใจและลงตัวในการเอาไม้จันทน์หอม แป้งวานิลลา และโทน Smoky มาสร้างความลงตัวได้แบบหวานก็ดี น่ารักก็ได้ เย้ายวนอวล Sex Appeal ก็สามารถ นี่แหละ Santal Tislit ล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.maison-incens.com/products/eau-de-parfum-santal-tislit

 

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: AJMal - Xtreme

AJMal - Xtreme

หลายๆ คนที่ผ่านการใช้น้ำหอมของ AJMal แบบที่ไม่ใช่เป็นสาย Exclusive ขวดสวยงามต่างๆ มักจะสัมผัสได้อยู่พอสมควรว่าในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็น Modern Arabian ที่แฝงอยู่แบบทั้งชัดเจนและเนียนๆ อยู่ตลอด แน่นอนว่าเป็นกิมมิคที่น่าสนใจในการเสริมคาแรคเตอร์กลิ่นให้จับต้องได้ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหน แต่เอาจริงๆ ก็มีหลายกลิ่นไม่น้อยที่เจาะตลาดสาย Mass Market โดยที่ไม่ได้เอาความเป็นสายอาระเบียนมาแฝงแบบเข้าถึงง่าย ใช้ง่าย มีเสน่ห์ และมีระดับอยู่ไม่น้อย แถมคุ้มค่าอย่างมากถ้าเทียบกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

และหนึ่งในนั้นก็มีกลิ่น Xtreme รวมอยู่ด้วย โดยมีที่มาที่ไปของกลิ่นเน้นกลิ่นอายแบบหนุ่มๆ แมนๆ สายผจญภัยที่มีเสน่ห์แบบทันสมัยประมาณนั้น และก็มาในขวดสไตล์เดียวกับรุ่นดังอย่าง Silver Shade เช่นนั้นจะวางเนื้อกลิ่นออกมาเป็นลักษณะไหนว่ากันได้ตามนี้

Xtreme จะเปิดตัวมาแบบน้ำหอมผู้ชายมากมาย กับกลิ่นโทน Citrus ที่จะมีความขมเจือเปรี้ยวสดชื่นของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เคล้ากับกลิ่นเขียวแมนจัดๆ กันเลย และมีความปร่ากึ่งไม้หอมกึ่งเครื่องเทศของเม็ดจันทน์เทศที่มาทำให้กลิ่นมีความแน่นกำลังดีแบบสมดุลย์ร่วมด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นแอบค่อนไปทางแนว Body Spray แมนๆ อยู่บ้างและมีความคมอยู่พอสมควรในช่วงต้น แต่ก็ไม่ได้ไพล่ไปทางสายพวกสเปรย์ดับกลิ่นกายแมนๆ ขนาดนั้น เพราะมีความเป็นธรรมชาติเนียนๆ ของโทนไม้หอมรองพื้นอยู่ รวมถึงมีความปร่าปลายกลิ่นหน่อยๆ ของมินต์ที่พอรับรู้ได้ เลยถือว่าช่วงต้นเป็นกลิ่นน้ำหอมผู้ชายสายลุยแมนๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายและเป็นกลิ่นที่สร้างความคุ้นเคยได้ไม่ยาก 

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางเรียกว่าค่อยเป็นค่อยไปในการพลิกเนื้อกลิ่นแมนๆ แบบ Mainstream ในช่วงต้นมาเป็นกลิ่นกึ่งไม้หอมปร่ารื่นจมูกแกมกลิ่นนวลดอกไม้อ่อนๆ แต่ไม่ได้ไฟล่ไปทางผู้หญิงแน่นอน ซึ่งพื้นกลิ่นหลักจะเป็นกลิ่นออกทางไม้ซีดาร์ที่มีความปร่าแกมขรึมกำลังดี และมีความติดถั่วเล็กๆ กึ่ง Smoky หน่อยๆ ที่น่จะมาจากหญ้าแฝกร่วมด้วย ฉาบหน้าด้วยกลิ่นของเม็ดจันทน์เทศที่ให้ความปร่านวล เคล้ากับกลิ่นลาเวนเดอร์สะอาดๆ ซึ่งโทนไม้หอมกับลาเวนเดอร์นี่แหละที่ลดทอนเอาความเขียวแมนๆ ตอนต้นออกไปได้เยอะเลย ทำให้กลิ่นช่วงนี้กลายเป็นโทนไม้หอมที่มีความปร่าเผ็ดอ่อนๆ เป็นธรรมชาติแกมรื่นจมูกนวลๆ และมีความสบายๆ ในเนื้อกลิ่นมากกว่าที่คิด โดยที่ยังให้ความแมนแบบลุยๆ ประปรายอยู่เพราะมีลูกเอื้อนจากช่วงต้นตามมาอยู่แบบกำลังดี ซึ่งจากตอนแรกที่คิดว่าน่าจะเป็นกลิ่นแมนๆ สายลุยทั่วไป กลายเป็นต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เลยว่า เนื้อกลิ่นไม่ธรรมดานำเสนอความหอมได้สมดุลย์เกินคาด 

เมื่อความเป็นไม้หอมเริ่มมีความครีมมี่อ่อนๆ นวลๆ ที่มีความจืดหอมเป็นเอกลักษณ์ของไม้จันทน์หอมเข้ามาเสริม และเริ่มมีความอบอุ่นหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วยจากโทนกลิ่นแนวแอมเบอร์ ก็เข้าสู่ช่วงท้ายแบบที่เนื้อกลิ่นให้โทนสะอาดๆ เพราะมี Musk เป็นฐานกลิ่น แล้วมีความเป็นไม้หอมที่ได้ทั้งความปร่าสุขุมและความนวลหน่อยๆ ที่รวมเป็นเนื้อเดียวกันเป็นตัวให้เสน่ห์กลิ่นอายไม้หอมสบายๆ แมนๆ และที่สำคัญปลายกลิ่นจะได้ความระเรื่อของพิมเสนหน่อยๆ ที่ให้กลิ่นมีความครบถ้วนในการให้เสน่ห์แบบพิมพ์นิยมที่ทำให้ใครได้กลิ่นช่วงนี้ก็จะไม่ยี้ เพราะเป็นกลิ่นกึ่งไม้กึ่งนวลอวลอุ่นๆ แกมระเรื่อ แถมยัง Cover การใช้งานแบบน้ำหอมผู้ชายที่ยังไงก็รอดสูงมาก

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยตั้งแต่ ม.ปลายขึ้นไป ก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก เข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ที่ได้หมดทั้งสายลุยและสายชิลล์ เพราะกลิ่นมาสายมหาชนเข้าถึงไม่ยากจริงๆ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้จัดเต็มในเรื่องของพลังที่จัดจ้านจนสู่กับความแน่นอวลต่างๆ ของสายหวานแน่นได้ 

ความทน - แตะที่พื้นฐานราวๆ 8 ชม. ได้เลยและไปต่อได้อีก โดยขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. แทบทุกครั้งในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าเปิดมาก็ส่งต่อความแมนทางกลิ่นมาให้ชัดเจนจริงราวๆ 15 นาที ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายดีไปซักราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วผ่อนลงตามลำดับไปแตะที่การเป็นออร่ารอบๆ ตัวเอาตอนชั่วโมงที่ 6 ไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เอาตอนชั่วโมงที่ 8 - 9 เป็นต้นไป 

สรุป - เนื้อกลิ่นมาแบบพิมพ์นิยมที่แฝงความเป็นธรรมชาติของกลิ่นไม้หอมได้ดีเกินคาดมาก ทำให้ยกระดับจากกลิ่นที่ดูเป็น Mainstream กลายเป็นกลิ่นที่มีมิติลุ่มลึกและผ่อนคลายมากขึ้นกว่าที่คิด เข้าทางการเป็น #ของดีเทคนิคไม่ต้อง โดยที่ยังแฝงความลุยๆ แมนๆ ทางกลิ่นอยู่ในทุกๆ ช่วงของน้ำหอมได้อย่างลงตัวมากและยังไงก็รอดในการใช้งานสูงจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://shop.ajmalperfume.com/uae_en/for-men.html