วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Avon - Flourish Peony Rose

Avon - Flourish Peony Rose

หลังจากที่ Avon ได้เปิดตัว Collection - Flourish ในปี 2019 โดยเริ่มที่ Honey Blossom เป็นตัวแรกในการนำเสนอกลิ่นอายสายดอกไม้ต่างๆ โดยการเอาดอกไม้ขาวที่เป็นกลิ่นอายที่แสนถนัดของแบรนด์มาชูโรงอย่างดอกสายน้ำผึ้งกันก่อน โดยมาแบบที่มีความสดชื่นและมีความหอมที่มีความเป็นธรรมชาติเกินคาดมากจริงๆ 

มาในปี 2020 ก็ได้มีการเปิดตัวกลิ่นอายสายดอกไม้โรแมนติคเข้าร่วมเป็นหนึ่งใน Collection นี้อย่าง Peony Rose ซึ่งเมื่อเห็นแบบนี้ก็ชัดเจนว่า Avon ได้ดึงเอาความเป็นกุหลาบสายสดชื่นและอ่อนหวานจากโบตั๋นมาเป็นตัวชูโรง เช่นนั้น ก็ขอมาตามติดกันหน่อยว่ากลิ่นอายแบบสีชมพูอ่อนสไตล์ดอกโบตั๋นที่แบรนด์นี้สร้างสรรค์จะเป็นอย่างไร

อย่างแรกต้องสปอยกันก่อนเลยว่า ความเป็นโบตั๋นที่เป็นกลิ่นอายแบบกุหลาบสดชื่นจะผสมผสานอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบเป็นลักษณะแบบ Main Note ชัดเจนมาก แต่จะมีความเด่นที่แตกต่างกันออกไปตามโทนที่เข้ามาสอดรับ ซึ่งใน Top Notes จะได้อารมณ์เป็นแบบกลิ่นลูกอมแคนดี้เบอร์รี่ปนกลิ่นโบตั๋นที่หอมเปรี้ยวอมหวานกันก่อน เนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์สีแดงที่เป็นลักษณะแบบพวกเรดเบอร์รี่เปรี้ยวๆ ซึ่งน่าจะเป็นเรดเคอร์แรนท์ที่เป็นแกนนำหลักที่ให้โทนเปรี้ยวหอมออกมา แต่จะมีโทนออกทางไซรัปเบอร์รี่แนวกลิ่นอายคล้ายสละไซเดอร์แกล้มสตรอเบอร์รี่เบาๆ ปนกลิ่นวานิลลาครีมมี่อ่อนๆ แบบไลท์เวอร์ชั่นเข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้ได้ความน่ารักในเนื้อกลิ่นแบบสไตล์วัยสะออนกันตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว

เมื่อโทนกลิ่นของลูกอมเริ่มเบาลงไปจนเหลือประปรายหน่อยๆ แต่เริ่มมีโทนออกทาง Aquatic ใสๆ ออกทางน้ำๆ เข้ามามาขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นการเข้าสู่ Middle Notes กันอย่างเต็มตัวเพราะกลิ่นลูกอมจะเหลือปลายกลิ่นหน่อยๆ เท่านั้น โดยที่ความเป็นกุหลาบสดชื่นสีชมพูอ่อนของโบตั๋นยังคงคุมโทนอยู่ แต่จะมีโทน Aquatic ของกลิ่นน้ำใสๆ เข้ามาเสริมทำให้ได้อารมณ์แบบน้ำโบตั๋นปนน้ำกุหลาบใสๆ เป็นตัวยืนหนึ่งเลย เนื้อกลิ่นจะไม้ได้ซับซ้อนอะไรให้ความเป็นน้ำโบตั๋นสีชมพูหอมค่อนข้างชัด และที่แน่ๆ ในช่วงนี้แอบมีโทนกลิ่นดอกไม้ขาวใสๆ เสริมอยู่ด้วย เพราะได้โทนออกทางหวานๆ ใสหน่อยๆ คล้ายโทนมะลิเจือดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) มาผสมผสานอยู่ด้วย เลยทำให้ได้ความรู้สึกสดชื่นแกมอ่อนโยนเคล้าความโีแมนติคใสๆ สีชมพูอ่อนคุมโทนได้ชัดเจนไปกันยาวพอสมควร จนโทนออกทาง Aquatic เริ่มเบาลงไป และโทนลูกอมในช่วงต้นไม่เหลือให้จับต้องได้แล้ว ก็จะเป็นการเข้าสู่ Base Notes ที่เรียกว่าไม่มีความซับซ้อนอะไรให้มากความ เพราะจะมาแบบกลิ่นโบตั๋นเจอ Musk ทำให้ได้ความเป็นกลิ่นหวานชมพูอ่อนเจือขาวนวล สร้างกลิ่นอายกุหลาบติดสะอาดนวลได้ชัดเจน และแอบมีลักษณะคล้ายโทนแป้งหน่อยๆ ที่ได้อารมณ์แป้งเบาๆ นวลๆ เคล้ากรุ่นกลิ่นโบตั๋นที่ให้ความรื่นจมูกหอมเรียบง่ายและมีความรอดสูงมากในการใช้งานแบบที่ไม่ได้ปล่อยพลังมากแต่ได้ออร่าสีชมพูอ่อนนวลตาคลอรอบกายอะไรประมาณนั้น

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก เพราะเนื้อกลิ่นได้ทั้งความเยาว์วัย น่ารักก็ได้ ได้ความสดชื่นปนหวานหอมก็ดี ได้ความหอมหวานระเรื่อสะอาดนวลก็ได้ แบบที่ไม่ต้องคิดมากใส่ไปยังไงก็รอด ยิ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นกุหลาบอยู่เดิม ก็รอดสูงมากจริงๆ ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จะมีก็แต่ออกกำลังกายที่ถ้าใส่ก็รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่าเพราะเอาจริงๆ เนื้อกลิ่นไม่ได้เข้ากับ Activity ออกเหงื่อมากนัก แต่ท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงาน โรแมนติค หรือทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรี บอกเลยว่าสู่ชาวบ้านสายจัดเต็มกลิ่นแน่นๆ ขนมอบอวลทั้งหลายไม่ได้แน่นอน ก็มันเป็น Daily Scent น่ะ    

ความทน - เกินคาดมาก เพราะ 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ และติดผิวอ่อนๆ ยาวไปถึง 12 ชม. ก็เจอมาแล้ว ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยทุกสภาพผิวก็ให้เลยที่ราว 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วผ่อนลงมากระจายปานกลางคงตัวพอสมควรราว 3 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้ความหอมหวานนวลกำลังดีไปเรื่อยๆ แล้วจะเปลี่ยนเป็น Skin Scent ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นต้นไป 

สรุป - บอกกันตรงๆ ว่า #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ในสายน้ำหอมผู้หญิงเต็มๆ เพราะเป็นกลิ่นแนวกุหลาบสดชื่นที่ใช้ง่ายมาก และเป็นกลิ่นที่ Can’t Go Wrong จริงๆ ใส่เถอะยังไงก็รอดสูง เพราะให้ความเป็นโบตั๋นหอมหวานแบบกึ่งลูกอมไซรัปเบอร์รี่ โบตั๋นสดชื่น และโบตั๋นนุ่มนวลที่ให้ความอ่อนหวานและน่ารักในเวลาเดียวกันได้ดีมาก ซึ่งถ้าต้องการความแหวกแนวหรือหวือหวาบอกเลยว่าตัวนี้ไม่มีให้ แต่ถ้าต้องการความหอมแบบที่ยังไงก็น่ารัก โรแมนติค และอ่อนโยนแบบสีชมพูอ่อนแกมสดชื่น บอกเลยว่าตัวนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/421790321352630726/

 

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Pepe Jeans - Celebrate for Him

Pepe Jeans - Celebrate for Him

Pepe Jeans ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์สายยีนส์เดนิมจากอังกฤษที่เรียกว่าได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะสไตล์ของยีนส์มีความหลากหลายและมีคุณภาพสูงมาก แถมยังตอบสนองความต้องการของผู้คนในแต่ละยุคในการสวมใส่ยีนส์มาตั้งแต่ปี 1973 จนถึงปัจจุบันกับการต่อยอดความเป็นยีนส์ที่คงเสน่ห์มาตลอดจนถึงทุกวันนี้

ซึ่งแน่นอนการเป็นแบรนด์สายแฟชั่นยีนส์แบบนี้ ก็ต้องมีการเข้ามาจับตลาดน้ำหอมอยู่บ้าง ซึ่งเดิมทีเปิดตัวน้ำหอมของแบรนด์กันครั้งแรกในช่วงปี 2000 มาก่อน แต่ไม่นานก็ดรอปไป จน 18 ปีต่อมาแบรนด์จึงได้กลับมาจับตลาดน้ำหอมที่จะมาเป็นหนึ่งในการสนับสนุนความเป็นยีนส์ของแบรนด์ โดยเจาะตลาดเต็มๆ กันที่วัยรุ่น Gen Z แบบตรงไปตรงมา (แต่ Gen อื่นก็ใช้งานได้นะเออ เพราะความ Cool มันอยู่ในหัวใจไม่ใช่ร่างกายและช่วงวัย) และเมื่อห่างมานานการเปิดตัวกับการนำเสนอความสนุกสนานกับสไตล์กลิ่นที่ Trendy กับทรวงขวดสไตล์แก้วค็อกเทลของผู้หญิง และขวดทรงเชคเกอร์ผสมเครื่องดื่มของผู้ชาย ที่จะต้องออกมาคู่กันแบบสไตล์ Duos ก็เรียกว่าสร้างความฮือฮาและน่าสนใจมาก ดังนั้นเราใจเราได้ไม่สนช่วงวัย ก็เลยจัดเอามาซักหน่อยเพื่อมาเรียนรู้กลิ่น แต่ไม่ได้มาเป็นรุ่นเปิดตัวช่วงปี 2018 (ถ้ามีโอกาสค่อยกลับไปว่าที่รุ่นหลัก) เพราะจะมาสัมผัสกับรุ่นลูกที่แยกเป็น Collection แทนอย่าง Celebrate Collection ในฝั่งน้ำหอมชาย ซึ่งกลิ่นจะถ่ายทอดออกมาอย่างไร ว่ากันแบบนี้เลย

Celebrate for Him มาแบบกลิ่นอายสไตล์หนุ่มเจ้าเสน่ห์สมัยนิยมแบบน้ำหอม Trendy ชัดเจนมาก เพราะ Top Notes ก็เปิดมากับโทนกลิ่นสาย Citrus ที่รองพื้นด้วยกลิ่นอบอวลอุ่นเย้าเร้าใจที่มีความเป็นโทนเจ้าเสน่ห์ที่พร้อมปล่อยของชัดเจนมาก กับการเป็นโกโก้และอบเชยที่ on Top ด้วยการเป็นโทน Citrus เปรี้ยววาบพุ่งหน่อยๆ ของมะนาวติด Fruity กึ่งเขียวกึ่งเบอร์รี่สีเข้มที่ค่อนไปทางแอมโมเนียเล็กๆ ปนกลิ่นเปรี้ยวเคล้าความปร่ากึ่งมินต์ ซึ่งนี่แหละแบล็คเคอแรนท์เต็มๆ ซึ่งแน่นอนว่ามีกลิ่นปร่าออกทางเหล้าจินแทรกมาด้วย ซึ่งทุกอย่างจะฉาบความเป็นโทนอบอุ่นอวลเย้าเร่าร้อนกันมาเลยทีเดียวด้วยการผสมผสาน 2 โทนระหว่างเครื่องเทศสายอบอุ่นเย้าเร้าอวลอย่างอบเชย และกลิ่นโกโก้ที่ให้ความดาร์กเย้าเร้าชวนชิมที่เป็นฐานกลิ่นที่ให้ความรู้สึกแบบสายเจ้าเสน่ห์อบอวลกันให้รู้สึกได้ เรียกว่าเปิดมาก็ปล่อยของกันเต็มๆ กับการเป็นกลิ่นอายสไตล์ Playboy แบบไม่เม้มเลยแม้แต่นิดเดียว

จนเมื่อโทนกลิ่นเริ่มลดทอนความเป็น Fruity Citrus ลงไปจนเหลือบางๆ ก็จะเป็น Middle Notes ที่ปล่อยของเต็มๆ กับความอวลที่จะเป็นการรวมตัวของโกโก้และอบเชย แถมจับกลิ่นอายถั่วตองก้าที่เป็นตัวสนับสนุนด้านหลังได้ชัดอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าความปล่อยพลังมาเต็ม ให้กลิ่นอายอบอวลปล่อยพลังด้วยความหวานอุ่นของอบเชย และมีกลิ่นเครื่องเทศที่ให้โทนหวานกึ่งลาเวนเดอร์กึ่งแอมเบอร์หน่อยๆ ปนโทนสมุนไพรนิดๆ ของ Clary Sage แกมกลิ่นโกโก้หอมซ้อนด้วยกลิ่นแกมครีมมี่กึ่งวานิลลาติดเขียวหญ้าแห้งของถั่วตองก้าที่ให้ความนวลและมีเสน่ห์สไตล์น้ำหอมผู้ชายท่องราตรีที่จัดเต็มความเย้ามาเลย แต่กลิ่นจะไม่ได้มีแค่นี้ เพราะจะมีอารมณ์กลิ่นอายสไตล์ค็อกเทลมาล้อมกลิ่นที่จะเป็นมิติต่อเนื่องซ้อนอยู่ให้พอรับรู้ได้จากเหล้าจิน ทำให้อารมณ์กลิ่นช่วงนี้คือเพลย์บอยจิบเหล้าจินปล่อยของตรงๆ ชัดๆ แมนๆ เย้าๆ ปล่อยความอวลให้ชัดและดึงดูดให้เต็ม ให้รู้กันไปเลยว่า “ข้ามาแล้ว” และกลิ่นค่อนข้างชัดมาในการสร้างอารมณ์มั่นใจมากๆ เสียด้วย

ผ่านไปพอสมควร กลิ่นเริ่มลดทอนการกระจายลงมาอีกสเต็ป และเริ่มมีโทนไม้หอมติดแอมเบอร์อุ่นๆ อวลๆ แกมกลิ่นผิวกายติดเค็มเริ่มเสริมขึ้นมา ซึ่งชัดเจนเลยว่าเป็นสไตล์กลิ่นแบบ Ambroxan ที่ใส่โทนไม้หอมแน่นหน่อย หรืออาจจะเรียกว่า Amberwood ก็ได้ ซึ่งนี่แหละอารมณ์กลิ่นอายที่เป็น Trend ในยุคที่จะต้องมีโทนอบอวลยวนเย้าเคล้ากลิ่นแอมเบอร์กึ่งไม้หอมแน่นๆ ที่เรียกแขกชัดๆ ซึ่งก็กลายเป็น Base Notes เต็มตัว โดยที่กลิ่นในช่วงกลางจะลงมาเสริมทัพด้วย ซึ่งยังมีอยู่ชัดเจนถึงกลิ่นโกโก้เคล้าอบเชย แต่ไม่ได้หนักและเด่นแล้ว ออกแนวสร้างความอวลเย้าให้รู้สึกได้มากกว่า แต่ตัวที่มาและยังชัดเจนต้องยกให้ถั่วตองก้าเพราะตัวนี้เมื่อมาเจอกับ Amberwood จะเสริมเสน่ห์กลิ่นอายแบบน้ำหอมผู้ชายอวลๆ ที่ให้ความเย้า ความเร้า แะความมั่นใจได้ชัดมาก เพราะจะมีกลิ่นโทนไม้หอม กลิ่นอบอุ่น กลิ่นกึ่งวานิลลาเจือเขียวแห้งอ่อนๆ รวมตัวกันสร้างออร่ากลิ่นอบอุ่นชวนคลุกวงในได้ไม่ยาก และอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ กลิ่นพิมเสน ที่จะมาแบบระเรื่อปลายกลิ่นสร้างเสน่ห์หวานติดปร่ารื่นจมูกได้ดีแบบสไตล์ Aftertaste ที่จะค้างในจมูกหน่อยๆ ซึ่งถือเป็นช่วงปิดท้ายที่เป็นกลิ่นสไตล์แบดบอยติด Cool ที่รู้ตัวเองดีในการปล่อยเสน่ห์แบบเต็มๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นมาสายทันสมัยชัดเจนและไม่ต้องมาเม้มอะไรให้มากความ ปล่อยเสน่ห์กันให้เต็มที่ ซึ่งกลิ่นนี้อาจจะค่อนไปทางน้ำหอมกลางคืนมากหน่อย ซึ่งใส่เลยใสน่ท่องราตรี ใส่แบบออกปาร์ตี้ เน้นปล่อยเสน่ห์อันนี้ยังไงก็รอดและเด่นอีกด้วย แต่ถ้าใส่ยามกลางวันก็เบาๆ มือลงมาหน่อย ก็จะให้ความทันสมัยและดูเป็นแบดบอยติดเมโทรเย้ายวนได้ดีเลยทีเดียว เพียงแต่ให้ตัดการใส่ออกกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย เพราะตีขึ้นหนักหน่วงจนตึ้บและมึนรอบทิศแน่นอน

ความทน - กลิ่นทนจัดจ้านมาก 15 ชม. ยังรับรู้ได้อยู่ และติดผิวอ่อนๆ หลังอาบน้ำล้างตัวเสียด้วย (ซึ่งก็สมควรเพราะมาในความเข้มข้นแบบ EDP) ซึ่งยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้ไม่ยากแน่นอน

การกระจาย - มากกกกกและเสถียรเสียด้วย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับทิ้งบอมส์ขนาดนั้น คือ กระจายดีมากแบบที่เห็นอบอวลชัดๆ รอบตัวมากกว่าจะแผ่พลังซูเปอร์ไซย่ารอบทิศ ซึ่งราวๆ 4 ชม. ไปแล้วถึงลดลงมากระจายดี ก่อนจะผ่อนไปเป็นปานกลางราวชั่วโมงที่ 6 พอผ่านไปซัก 8 - 9 ชม. ถึงเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวคงที่ยาวไปถึง 14 ชม. เลนย ถึงค่อยผ่อนลงมาเป็น Skin Scent 

สรุป - จับมาเป็นหนึ่งในกลุ่มสายปล่อยพลังเย้ายวนจัดจ้านชัดเจนร่วมกับ Paco Rabanne - Pure XS หรือ Carolina Herrera - Bad Boys ได้เลย คือ โทนใกล้เคียงกันพอสมควร (ก็สไตล์น้ำหอมยุค 2018 - 2021 นี้น่ะ) แต่ตัวนี้จะต่างออกมาไปนิดนึงตรงที่มีโทนออกทางค็อกเทลของเหล้าจินฉาบหหน้าโกโก้และอบเชยที่มีเสน่ห์ในการชูโรงกลิ่นพอสมควร ซึ่งถือว่าแตกต่างและมีเสน่ห์เป็นของตัวเองได้อยู่ถ้าเทียบกับพื้นฐานกลิ่นของแบรนด์อื่นในโทนเดียวกัน     

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pepejeans.com/en_int/pepe-jeans-celebrate-men-parfum--PMF100080AA.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - Kira Kira きらきら

Strangers Parfumerie - Kira Kira きら きら

จากที่ผ่านการใช้งานน้ำหอมมาเวลาที่เจอว่าน้ำหอมกลิ่นนั้นๆ สื่อสารถึงความเป็นญี่ปุ่นทีไร มันมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดเสมอ ทำให้อยากลอง อยากรู้ อยากซึมซับในความเป็นญี่ปุ่นในแง่มุมต่างๆ ผ่านกลิ่น เพราะเราก็อยู่กับความเป็นญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งก็ได้ความเป็นญี่ปุ่นที่แตกต่างกันไปตามแต่การนำเสนอที่ทั้งทันสมัย ร่วมสมัยแบบอินเตอร์ในสาย Designer กลิ่นอายล้ำๆ กลิ่นอายสายมินิมัล วัฒนธรรม วิถีชีวิต และสภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงการตีความญี่ปุ่นตามความต้องการของสุคนธรกรนั้นๆ แบบที่เราต้องคิดตาม จนเรียกว่าเป็นการเที่ยวญี่ปุ่นผ่านกลิ่นที่สนุกในประสบการณ์มากเลยทีเดียว

และคราวนี้ก็ได้มาเจอกับความเป็นญี่ปุ่นอีกครั้ง ในกลิ่นอายที่สื่อสารถึงฤดูร้อน แสงพระทิตย์ที่พาดผ่านขอบฟ้า ประกายแสงตามธรรมชาติ และทิวทัศน์ Landscape จากการมองออกมาจากหน้าต่างที่มีความสวยงามเรียบง่ายตามวิถีของญี่ปุ่น กับหนึ่งในการสร้างสรรค์ของแบรนด์ Strangers Parfumerie ที่เอาคำว่า Kira Kira อารมณ์เป็นประกายแสงวิบวับสะท้อนเหมือน Gliter ตามธรรมชาติมานำเสนอเป็นชื่อรุ่น เช่นนั้นได้เวลามาซึมซับกันหน่อยแล้วว่าจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

เปิดตัวกลิ่นออกมาก็มาสายรื่นรมย์กันอย่างชัดเจน เพราะเนื้อกลิ่นจะมีความปร่าเขียวของมินต์วูบขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นของแอปเปิ้ลเขียวที่เนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติพอสมควร (ไม่ได้มาแบบไซรัปแอปเปิ้ลเขียวแต่อย่างใด) ทำให้ได้ความสดชื่นแบบกำลังดี มีความเปรี้ยวเจือปร่าหอม แต่ไม่ได้จบแค่นี้เพราะวูบถัดมาเนื้อกลิ่นจะมีความหวานสดชื่นมีความกึ่งแห้งกึ่งฉ่ำหน่อยๆ ของลูกแพร์เข้ามาเสริม และมีกลิ่นออกทางดอกไม้บางๆ ระเรื่อๆ ลอยมาให้จับต้องได้เบาๆ เลยทำให้ช่วงต้นจะมาแบบกลิ่นอายหอมสดชื่นที่มีความอมหวานกึ่งใสกึ่งแห้งกำลังดี เข้าทางสไตล์มินิมัลที่สร้างความรื่นรมย์ทางกลิ่นแบบที่ไม่ว่าใครๆ ได้กลิ่นก็เป็น 1st Impression ได้เลยและโดนตกได้อย่างเต็มๆ 

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางจะค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทิ้งเอาความดีงามในช่วงต้นไปแม้แต่นิดเดียว เสมือนเป็นการเสริมโทนในช่วงต้นให้มีมิติกลิ่นอื่ๆ เข้ามาร่วมด้วย นั่นก็คิอกลิ่นออกทางดอกไม้ขาวใสๆ ที่เป็นโซนดอกไม้ขาวแบบกึ่งมะลิ ที่มีลิลลี่หน่อยๆ รวมถึงมีโทนไม้หอมที่อวลกำลังดี มีความโปร่งกึ่งอบอุ่นที่ได้ความรู้สึกแบบผิวกายต้องแดดอบอุ่นหน่อยๆ เข้าทางลักษณะสารหอมอย่าง Ambroxan ที่มาเสริมให้เกิดโทนลักษณะนี้ คลอกับกลิ่นในช่วงต้นที่เป็นโทนผลไม้ใสๆ หอมหวานรื่นรมย์ปลอดโปร่ง เรียกว่ามิติกลิ่นจะไล่เรียงค่อนข้างชัดเจนจากกลิ่นผลไม้หวานใสโปร่ง กลิ่นปร่ามินต์กึ่งเขียวอ่อนๆ กลิ่นดอกไม้นวลๆ กึ่งใสกึ่งนวลหวานเบาๆ และกลิ่นไม้หอมเจือผืวกายอวลๆ ที่มีความอบอุ่น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ครบถ้วนพอสมควรแบบถอดจากพื้นฐานความเป็นจริงของสภาพแวดล้อมที่เป็นโทนสว่างและมีมิติกลิ่นเรื่อๆ ตามธรรมชาติทุกอย่างมาคลอเคลียรวมผสมผสานเข้าด้วยกัน

จนเมื่อโทนกลิ่นใช่วงต้นเริ่มเหลือเพียงอ่อนๆ ประปราย และเนื้อกลิ่นดอกไม้เริ่มเบาลงตามลำดับ เปิดทางให้โทนกลิ่น Musky หน่อยๆ ที่มีความเขียวบางๆ กึ่งผักเล็กๆ ของ Ambrette แกมกลิ่น Musky เจือไม้หอมอ่อนๆ ติดครีมมีจืดหอมเบาๆของไม้จันทน์หอมที่จะเริ่มชัดเจนขึ้นมา ที่ให้โทนสว่างออกทางสีแสงแดด แกมกลิ่นออกทางเหล้าหวานหมักผลไม้แกมกลิ่นไม้หอมที่ชัดเจนอารมณ์แบบเหล้าสาเกของ Juyondai เข้ามาผสมผสานให้จับต้องได้ เลยจะได้อารมณ์ที่ละเมียดละไมแกมรื่นรมย์ที่เป็นกลิ่นสาย Musky สะอาดๆ แกมอบอุ่นเบาๆ On Top ด้วยกลิ่นสาเกหอมเจือหวานระเรื่อที่สร้างความรู้สึกผ่อนคลายสไตล์ Happy Time ที่จะเป็นตัวปิดท้ายกลิ่นไปเรื่อยๆ ไม่หนักหน่วงแต่จับต้องได้แบบอ่อนๆ กันยาวๆ ไปจนกว่าจะจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่กลางๆ กับทุกเพศ กลิ่นให้ความรื่นรมย์และเป็นสาย Happy Time Scent ได้ไม่ยาก รวมถึงเข้าถึงได้ง่ายเกินคาดในการเป็นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นโทนสว่าง ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางหรือหรือทั่วๆ ไป รวมถึงการออกกิจกรรมกลางแจ้งและลามไปออกกำลังกายก็ยังได้ (เพียงแต่กลิ่นมันจะออกแนวเรียบร้อยรื่นรมย์มากกว่าจะลุยๆ ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายก็รอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบผ่อนคลายสบายๆ ให้ความเพลิดเพลินจะดีกว่า หรือถ้าใส่ออกงานก็พอได้อยู่ จะมีก็แต่การใส่เพื่อท่องราตรีที่ข้ามไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นเบาไป

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่เพราะพื้นฐานกลิ่นมาแบบกลิ่นเบาๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ สำหรับบางสภาพผิวเช่น ผิวแห้ง อาจจะไม่ได้ทนถึง 8 ชม. ซึ่งก็ช่วยด้วยการเพิ่มสเปรย์ลงไปในเสื้อผ้าที่สวมก็จะพอช่วยได้ แต่สำหรับสภาพผิวชุ่มน้ำที่เอื้อมากพอกลิ่นนี้ลากยาวไปถึง 15 ชม. ได้เลย (ง่ายๆ คือพึ่งเคมีนั่นเอง)

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 10 นาทีหลังจากนั้นคงที่ไปพอสมควรราว 3 ชม. ถึงลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะเป็นติดผิวเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. ไปแล้ว ที่กลิ่นจะตีขึ้นให้รู้สึกได้กับตัวคนใช้เองเบาๆ

สรุป - พื้นฐานกลิ่นมีความเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา เพราะดึงสื่อสารถึงกลิ่นอายไตลสภาพแวดล้อมแบบญี่ปุ่นในเขตที่ไม่ใช่เขตเมือง โดยให้มิติกลิ่นเรียบง่ายแต่มีความรื่นรมย์มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว แถมยังให้ความรู้สึกแบบกลิ่นอายแสงแดดที่อบอุ่นเคล้าอากาศดีๆ (แบบที่ไม่ใช่แบบแดดเมืองไทย) ได้อย่างน่าสนใจ ไล่โทนตั้งแต่แสดงยามเช้า ยามเที่ยง และยามเย็นได้ในแต่ละช่วงได้ลงตัว ซึ่งกลิ่นนี้มีลักษณะเป็นกลิ่นอายที่เป็นน้องคลานตามกันมาของ PRYN PARFUM - Hikari ที่เลิกผลิตไปแล้ว (สุครธกรคนเดียวกัน) เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มีอารมณ์แบบแสงไฟนีออนในช่วงท้ายๆ มากเท่า เพราะออกแนวกลิ่นอายเชิงรื่นรมย์กับบรรยากาศแสงส่องประกายยามหน้าร้อนมากกว่า เรียกว่าถ้าหา Hikari ไม่ได้ ตัวนี้ใช้แทนได้ในลักษณะแบบ Lighter Version ได้เลยล่ะ  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Frederic Malle - Eau de Magnolia

Frederic Malle - Eau de Magnolia 

แมกโนเลีย หนึ่งในดอกไม้สีขาวสัญลักษณ์แห่งความสง่างาม ที่จะส่งกลิ่นหอมติดเปรี้ยวคล้ายเลมอนแต่จะมีความปร่า Spicy เจือๆ และมีโทนออกทางแว๊กซ์หน่อยๆ รวมถึงมีความหวานนวลเนียนๆ รวมอยู่ซึ่จะได้อารมณ์ลูกครึ่งดอกไม้ขาวนวลแตะความครีมมี่กำลังดี + กลิ่นโทน Citrus ที่ให้โทนเปรี้ยวอมหวานปร่าหน่อยๆ ที่ให้ความสดชื่นรื่นรมย์และสร้างรอยยิ้มได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นนี้ถือเป็นอีกหนึ่งในกลิ่นโทนดอกไม้ขาวสายสดชื่นที่ลงตัวมากๆ ในการเชื่อมโยงกับกลิ่นอายโทน Citrus และดอกไม้ขาวได้ดีมาเสมอ และหลายๆ ครั้งก็เป็นตัวเอกหลักในการชูโรงของหลายๆ แบรนด์น้ำหอมมานักต่อนัก

และเมื่อมาเจอว่า Frederic Malle กับ Perfumer ระดับปรมาจารย์ชื่อดังของ USA อย่าง Carlos Benaim ได้ตกลงในการสร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์ Cologne โดยการชูโรงดอกแมกโนเลียให้มีกลิ่นที่สดชื่น ใสกระจ่าง และรื่นรมย์ อย่าง Eau de Magnolia จนเป็นหนึ่งในกลิ่นอายสาย Floral Citrus ที่ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก แน่นอนว่ามีหรือที่จะพลาดที่จะต้องเอามาลองให้รู้ และดมให้ชัวร์ ซึ่งกลิ่นก็ถ่ายทอดออกมาแบบนี้เลย

เปิดตัวกับกลิ่นอายสาย Citrus ที่ค่อนข้างชัดเจนมาก แต่จะมีกลิ่นออกทางติด Spicy ซ่าปร่าเจือความเขียวติด Stem แว๊กซ์หน่อยๆ คลออยู่ รวมถึงมีอารมณ์กลิ่นออกทางชื้นๆ Aquatic แนวๆ คล้ายพวกน้ำค้างผสมผสานอยู่ด้วยตามด้วยปลายกลิ่นจะให้ความสดชื่นติดเปรี้ยวอมหวาน โทนกลิ่นที่เด่นมาเชียวต้องยกให้มะกรูดฝรั่งที่ให้ความเปรี้ยวเจือขมปร่าซ่าสดชื่นกับเลมอนเลยที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่นติดหวานปลายกลิ่นแบบสไตล์ Cologne จะเป็นตัวเด่นนำ เพียงแต่จะไม่ได้โดดจนเกินความควบคุม เพราะว่าโทนกลิ่นออกทางแว็กซ์ติดเขียวมีความเป็น Stem แกมมีความนวลเบาๆ และกลิ่นออกทางชื้นน้ำใสๆ มาตัดทอนและส่งเสริมกันได้อย่างลงตัวในการสร้างกลิ่นอายแบบอากาศดีๆ ชื้นน้ำค้าง มีกลิ่นนวลเปรี้ยวสดชื่นเคลาความเขียวที่มีความสะอาดรองพื้น สร้างความเป็นโทนกลิ่นแบบบรรยากาศธรรมชาติที่สว่างและสดใสขึ้นมาอย่างชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางจะชัดเจนเมื่อกลิ่นออกทางชื้นน้ำค้างต่างๆ เริ่มจางไป กลายเป็นกลิ่นที่มีความแห้งมากขึ้นและมีความนวลเบาๆ แทรกตัวขึ้นมาเป็นโทนที่เด่นเทียบเท่ากับ Citrus อยู่พอสมควร ซึ่งช่วงนี้จะได้อารมณ์แบบกลิ่นโทนแมกโนเลียที่มาแบบใสๆ ระเรื่อๆ ติดนวลปลายกลิ่น ไม่ได้มาแบบครีมมี่หวานอมเปรี้ยวจัดๆ แบบจงใจให้เป็นแมกโนเลียแบบเต็มๆ ซึ่งการมาแบบใสๆ เบาๆ มาสาย Lighter แบบนี้ เรียกว่าตอบโจทย์ตามชื่อรุ่นชัดเจน เนื้อกลิ่นมีความปร่าหวานรื่นจมูกของพิมเสนแกมไม้หอมโปร่งๆ อย่างไม้ซีดาร์แนวกลิ่นออกทางคล้ายสารหอมแนว Clearwood ที่ให้ลูกผสมกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ติดพิมเสนใสๆ ปร่าหวานอ่อนๆ สะอาดๆ รวมถึงมีกลิ่นออกทางไม้แห้งๆ โปร่งๆ ที่มีความติดดินสะอาด Earthy นิดๆ แนวๆ หญ้าแฝกเข้ามาเสริมให้มีมิติครบถ้วนทั้งความสดชื่นจาก Citrus ที่ตามจากช่วงต้น มีความอะโรม่าจากกลิ่นเขียวแว๊กซ์ติด Stem อ่อนๆ มีความรื่นรมย์จากกลิ่นดอกแมกโนเลียเบาๆ มากับความสดชื่นติดแห้งๆ ในอากาศ และโทนผ่อนคลายจากกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ เจือปร่าพิมเสนที่มีโทนติดดินเจือความสะอาดๆ ชัดเจน ถือเป็นช่วงที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ในความครบถ้วนทางกลิ่นที่มีความเป็นธรรมชาติและสร้างกลิ่นอายสไตล์สภาพแวดล้อมได้ดีเลยทีเดียว

ช่วงท้ายของน้ำหอมความเป็นโทนไม้หอมจะชัดขึ้นมาอีกสเต็ป แต่ก็ไม่ได้เด่นจนกลบโทนหลัก เพราะว่ากลิ่นจากช่วงกลางยังคงเป็นตัวเดินกลิ่นแบบกำลังดีอยู่ เลยทำให้กลิ่นออกทางไม้หอมติดโปร่งๆ สว่างๆ แนวกลิ่นออกทางไม้ซีดาร์หอม (หรืออาจจะเป็นสารหอมอย่าง ISO E Super) มาเป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความเป็นโทนผ่อนคลายกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ  ที่คงตัวและเสถียรให้การคุมโทนให้เบาอย่างมีชั้นเชิงอยู่ตลอด รวมถึงจะมีกลิ่นออกทางเขียวเข้มแต่ไม่ได้เข้มจัดจ้าน แต่ให้อารมณ์ Earthy แนวๆ กลิ่นพืชล้มลุกเบาๆ ซึ่งมาเต็มๆ จาก Oak Moss ที่ให้กลิ่นลักษณะนี้ ซึ่งสร้างมิติความเป็นกลิ่นอายสภาพแวดล้อมปนกลิ่นโทน Cologne ได้ครบถ้วน นอกจากนี้พอย้อนกลับไปดูจนถึงช่วงแรก นี่เป็นการเป็นท้ายกลิ่นอายสไตล์ Chypre ที่ควรจะต้องหรูหรา แต่ปรับเปลี่ยนมาสู่ความเรียบหรูในเนื้อกลิ่นแทนได้อย่างลงตัว ปิดท้ายกลิ่นได้อย่างเรียบหรู มินิมัล และสร้างความพึงใจได้ไม่ยากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน กลิ่นมาสายสดชื่นแบบสภาพแวดล้อมและมีโทน Cologne เป็นพื้นฐานแบบว่ายังไงก็เข้าได้หมดถ้าต้องการความสดชื่นเรียบหรูแบบมีระดับ ซึ่งไปได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบครอบจักรวาลเลยทีเดียว (เพียงแต่ถ้าเอาไปใส่ออกกำลังกายแอบเปลืองตังค์ไปนิด) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปในวันร้อนๆ สร้างความสดชื่นและความรื่นรมย์ทางกลิ่นให้กับตัวเองและผู้อื่น รวมถึงใส่ออกงานน่าจะดีกว่า เพราะไม่เข้ากับการใส่ไปปล่อยเสน่ห์ท่องราตรีแต่อย่างมด 

ความทน - กลิ่นทนเกินคาดมากๆ เพราะว่าส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่แม้ว่าจะเหงื่อซึมตลอดวันที่อากาศร้อนๆ ก็ตาม ซึ่งตีไปได้เลยว่าพื้นฐานอย่างน้อยก็ 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 4 ชม. แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนราวๆ 8 ชม. เป็นต้นไป ถึงจะค่อยๆ ลงเป็น Skin Scent 

สรุป - หนึ่งในกลิ่นที่ให้ความเป็นโทนดอกแมกโนเลียลอยตามลมสดชื่นยามเช้าได้อย่างเป็นธรรมชาติและดีงามมากเกินคาด มีความใส Transparent และมีความเป็นโทนสว่างที่ดีมากแบบที่ใช้กับช่วงอากาศร้อนๆ ก็ไม่อึดอัดและเติมความสดชื่นรื่นรมย์ได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งแน่นอนว่าขออวยยศกันตรงนี้ เพราะนี้เป็น 1 ใน Top 25 น้ำหอมที่บอกความเป็นตัวเข็มขัดสั้นในสายรื่นรมย์นั่นเอง 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://m.fredericmalle.eu/media/images/products/630x615/fm_sku_H3WF01_630x615_0.jpg

 

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Guerlain - Aqua Allegoria: Orange Soleia

Guerlain - Aqua Allegoria: Orange Soleia

อากาศร้อนๆ ถ้าเล่นกลิ่นขนมหวานๆ หรือสายอบอุ่นอวลแน่นๆ อาจจะมีอาการจุกคอหอยเอาได้ (ยกเว้นกรณีจมูกคนนั้นๆ ตายไปจากโลกนี้ไปแล้วหรือติด Covid-19 ไม่ได้กลิ่นน้ำหอมตัวเอง) เช่นนั้นกลิ่นอะไรล่ะที่จะสร้างความสดชื่นและความรื่นรมย์ได้ ก็คงจะหนีสาย Citrus และกลิ่นเขียวๆ ไม่น่าพ้น และถ้าอยากได้แบบผ่อนคลายด้วย “กลิ่นส้ม” น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ เลยทีเดียว

และเมื่อเห็นว่า Guerlain ได้เปิดตัวน้ำหอมในสาย Collection - Aqua Allegoria ออกมาใหม่ โดยเอากลิ่นส้มมาเป็นตัวชูโรงอย่าง Orange Soleia ที่จะสร้างความสดชื่นเมื่อปี 2020 เช่นนั้น รักกลิ่นส้มก็ต้องเอามาลองมห้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้างหน่อยว่าตกลงจะทำกลิ่นออกมาแบบไหน

กลิ่นเปิดมันคือส้มที่มีความเปรี้ยวติดเขียวและมีความขมเจือในเนื้อกลิ่นชัดเจนมาก เนื้อกลิ่นจะมีลูกผสมระหว่างโทน Citrus ติดหวานมีความฉ่ำอารมณ์แบบน้ำส้มที่มาจากส้มสีเลือด แต่มีความเขียวติดปร่ามีความฝาดเล็กๆ อารมณ์แบบคล้ายเปลือกส้ม ปนกลิ่นปร่าซ่ามีความเปรี้ยวเจือขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ซึ่งเรียกว่าช่วงเปิดคือการทำหน้าที่เสริมกันและสอดรับกันอย่างดีมากของทั้ง 2 Notes ที่เป็นสาย Citrus เลย เพราะเสริมให้ได้กลิ่นส้มที่เป็นธรรมชาติอารมณ์แบบผ่าส้มออกมาแล้วกลิ่นฟุ้งของเปลือกส้มที่มีความหอมปร่าปนเปรี้ยวขมเจือฝาดบางๆ ฟุ้งออกมาพร้อมกับกลิ่นเนื้อและน้ำส้มข้างใน อารมณ์สดชื่นและรื่นรมย์ปนผ่อนคลายเลยมาเต็มมาก ถือว่าเป็นการเปิดตัวกลิ่นส้มได้อย่างงดงามและสดชื่นมากเลยทีเดียว

เมื่อกลิ่นฉ่ำส้มสีเลือดเริ่มเบาลงไป เหลือแบบหอมสดชื่นเจือฉ่ำอ่อนๆ ประปราย แต่กลิ่นเปรี้ยวเจือขมของมะกรูดฝรั่งยังทำหน้าที่อยู่ แล้วมีกลิ่นอายออกทางกิ่งก้านส้มที่เข้ามาสร้างอารมณ์กลิ่นติดเขียวแบบเวลาเราขยี้หรือหักกิ่งอ่อนของต้นส้มเริ่มฟุ้งเข้ามารับลูกพร้อมกับกลิ่นออกทางเผ็ดเจือเขียวมีความแน่นอวลเล็กๆ ของเพพเพอร์มินต์เข้ามาสร้างอะโรม่าทางกลิ่นเสริมความเขียวเจือกลิ่นสดชื่นในสไตล์ Fresh Spicy ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว ซึ่งอารมณ์กลิ่นจะออกทางคล้ายเปลือกส้มปนกลิ่นเขียวเปรี้ยวสดชื่นที่มีไอเมนทอลติดเผ็ดบางๆ ของโทนเพพเพอร์มินต์ และช่วงนี้กลิ่นจะเข้าโทนแห้งมากขึ้นไม่ได้ฉ่ำแบบตอนแรกแล้ว แต่ยังจับต้องความเป็นส้มได้อยู่ ซึ่งสร้างให้มีความรื่นรมย์ของกลิ่นโทนเขียวอะโรม่าและเป็นธรรมชาติเข้ามาร่วมด้วย แบบใต้ต้นส้มเนียนๆ ประมาณนี้ จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความหวานอวลบางๆ กึ่งเขียวหญ้านิดๆ ปนอบอุ่นเบาๆ ที่เป็นลักษณะของถั่วตองก้าที่ไม่ได้มาสายครีมมี่ แต่เป็นลักษณะแบบกลิ่น Coumarin สารหอมที่ได้จากถั่วตองก้าที่ให้โทนออกทางกึ่งหญ้าเขียวแห้งซ้อนด้วยกลิ่นออกทางกึ่งวานิลลาแบบอ่อนๆ เสริมเข้ามาตามลำดับจนเหลือเพียงกลิ่นส้มปลายกลิ่นเบาๆ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นกลิ่นออกทางเขียวแห้งๆ บางๆ มีความนวลเบาๆ มีความสะอาด และมีกลิ่นไม้โปร่งๆ สบายๆ เข้ามาคลอๆ ให้ความอบอุ่นบางๆ โดยที่ปลายกลิ่นยังมีความเป็น Citrus อ่อนๆ อยู่ เพียงแต่จะเป็น Bergamot มากกว่าส้ม แต่ก็ยังให้อารมณ์และอะโรม่าที่เป็น Effect ของเปลือกส้มอยู่ ผสมผสานปิดท้ายแบบติดผิวกันไปเรื่อยๆ จนจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นนอกจากสดชื่นแล้ว ความเป็นส้มยังกลางๆ ได้หมดถ้าสดชื่นไม่ว่าจะเพศไหนก็ตามได้สบายมาก แถมกลิ่นที่ได้ยังเป็นธรรมชาติ มีความเรียบง่ายและเรียบหรูไปในทีอยู่ตลอดตามสไตล์กลิ่นอายสาย Aqua Allegoria ซึ่งกลิ่นนี้กวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปได้หมด ยังไงก็รอดสูงมาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วไปเพื่อเพิ่มความสดชื่นจะดีกว่า เพราะใส่ไปท่องราตรี ความไร้ตัวตนทางกลิ่นจะมาเยือนทันทีแน่นอน

ความทน - อยู่ที่ราว 4 - 6 ชม. เป็นสำคัญ เพราะเนื้อกลิ่นเป็นธรรมชาติ มีความเป็นสไตล์ Aqua หรือ Cologne กลิ่นเลยจะไม่ได้พีคในเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนตัวเจอที่ 6 ชม. เลยไปหน่อยๆ เกือบ 7 ชม. ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนแรก ให้ความสดชื่นชัดเจน แล้วจะลดลงมาปานกลางราวๆ 1 ชม. ที่เหลือจะแผ่วลงไปที่ออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อผ่านไปซัก 4 ชม. ก็จะเริ่มติดผิวแล้ว แล้วก็จางไปตามเวลา

สรุป - กลิ่นส้มที่ได้ความรู้สึกผ่าส้มมากๆ และมีบรรยากาศรายล้อมแบบกลิ่นเขียวๆ อารมณ์ต้นส้มหรือสวนส้มเบาๆ คลออยู่ ซึ่งก็ต้องยอมรับเลยว่าทำกลิ่นได้ธรรมชาติมาก แม้ความทนและการกระจายจะด้อยไปนิดก็ตาม พกไปเติมระหว่างวันจะดีที่สุด

หมายเหตุ

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Guerlain-Aqua-Allegoria-Granada-Salvia-Orange-Soleila-13581.html

 

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Sonoma Scent Studio - Amber Incense

Sonoma Scent Studio - Amber Incense

หลังจากที่มีผู้มารับช่วงต่อหลังจากที่แบรนด์ไปปิดตัวลงไปซักระยะ สู่เปิดตัวแบรนด์กลับมาอีกครั้งของ Sonoma Scent Studio ที่คุณภาพกลิ่นอันยอดเยี่ยมก็ไม่ได้จางหายไปไหน แม้ว่าจะมีหลายๆ รุ่นที่ไม่ได้ไปต่อในยุคใหม่ของแบรนด์ แต่รุ่นเด่นต่างๆ ก็ยังกลับมาอย่างครบครัน โดยเฉพาะ Collection ที่เรียกว่าเอาความเป็นธรรมชาติมานำเสนออย่างเต็มๆ คุ้มค่าเกินราคาในสาย Sonoma Naturals Collection ที่เอาความแท้ทรูของโทนกลิ่นต่างๆ ที่ไม่ได้สังเคราะห์มานำเสนอ ซึ่งก็กลับมาอย่างสวยงามกันถึง 4 รุ่นในปัจจุบันนี้

และแน่นอนเมื่อผ่านหลายๆ กลิ่นของแบรนด์นี้มา ก็เริ่มจับทางได้ว่าสุคนธกรเก่งในเรื่องโทน Incense มากเหลือเกิน เช่นนั้นเมื่อมือดีด้านนี้เราก็ต้องหารุ่นที่เป็นโทน Incense ดีๆ ของแบรนด์มาลองเพิ่มเติมหน่อยเพื่อได้เรียนรู้กลิ่น เช่นนั้นจึงได้เจอกับหนึ่งใน Sonoma Naturals Collection อย่าง Amber Incense แน่นอนต้องมาลองกันหน่อยแล้วว่าจะออกมาเป็นยังไง

เปิดตัวกันอย่างชัดเจนกับการเป็นโทนกลิ่นสไตล์แอมเบอร์ตั้งแต่เริ่มแรก แต่ไม่ได้แสดงความเป็นแอมเบอร์โต้งๆ อย่างเดียว เพราะจะเป็นการผสมผสาน Notes กลิ่นเข้าด้วยกันของวานิลลา อบเชย กำยาน Benzoin (โทนวานิลลาติดหวานแหลม) โกโก้ ยางไม้ของ Labdanum ที่ให้โทนแอมเบอร์เจือหนังลึกๆ แกมกลิ่นออกทางหวานอุ่นเจือไม้หอมของ Myrrh และมีโทนออกทางผลไม้สร้างความเย้าของแอปริคอตเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเมื่อมาเจอกับสายโมเลกุลหนักเหล่านี้และโทนยางไม้เหล่านี้ ก็แอบได้กลิ่นแนวคล้ายลูกพลัมเข้ามาให้รู้สึกได้ด้วยเช่นกัน เสริมด้วยโทนพริกไทยหมาล่ามาให้ความปร่าเบาๆ อย่างมีมิติ ซึ่งทำให้ช่วงต้นเป็นลักษณะโทนแอมเบอร์ที่มีความโดดเด่นของแต่ละกลิ่นมารวมกัน มีมิติกลิ่นที่ชัดเจนในการจับต้องเริ่มจากโทนผลไม้หวานลึกที่กึ่งแอปริคอตกึ่งพลัมตีคู่กับอบเชยที่ให้ความหวานเย้าเร้าอุ่นอวลอย่างเป็นธรรมชาติของเปลือกอบเชยที่เสริมด้วยกำยาน Benzoin  ตามด้วยกลิ่นยางไม้อุ่นเจือหนังแกมวานิลลาที่เสริมเข้ามาแกมความดาร์กเล็กๆ ของโกโก้ รองพื้นด้วยกลิ่นโทนยางไม้เจือไม้หอมกึ่งธูปนิดๆ ที่ยังมาแบบเนียนๆ อยู่ แล้วพอถอนจมูกออกมาห่างๆ จะได้ความปร่าซ่าเผ็ดอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นปิดท้าย นี่แค่ช่วงต้นเองนะที่ทุกอย่างรวมกันอย่างมีชั้นเชิงมากและไม่ธรรมดากับการเล่นกลิ่นที่ผสมผสานเป็นแอมเบอร์ที่มีความซับซ้อนได้ลงตัวจริงๆ

ในช่วงกลางจะเสมือนเป็นช่วงที่เรียกว่า “ตัวเชื่อมโทนและส่งต่อ” เสียมากกว่า เพราะความเป็นแอมเบอร์ที่ผสมผสานในตอนต้นจะลดทอนตัวเองลงมาหน่อย โดยที่โทนผลไม้หวานเย้าสีเข้มจะเริ่มจางไป เหลือยางไม้ วานิลลาติดไม้หอมกึ่งธูป โกโก้ กำยาน Benzoin และอบเชยที่คุมความเป็นแอมเบอร์ให้จับต้องได้ชัดเจนอยู่ แต่จะเริ่มมีโทนแนวยางไม้ Incense ที่ค่อยๆ ตีคู่ขึ้นมาอย่าง Myrrh ที่เชื่อมโทนหวานอบอุ่นเจือไม้หอมที่สอดรับได้ดีกับแอมเบอร์ กลิ่นโทนยางไม้ติดกลิ่นออกทางไม้สนไพน์แต่มีความเปรี้ยวอ่อนๆ แนวเลมอนของ Elemi และกลิ่น Frankincense ที่ให้โทนยางไม้ติดเปรี้ยวเจือพริกไทยแกมกลิ่นไม้หอมสดชื่นที่ได้อารมณ์แบบกลิ่นไอควันที่ติดเปรี้ยวเจือเผ็ดนวลปนไม้หอมอ่อนๆ แกมกลิ่นกานพลูเผ็ดซ่าสดชื่นเบาๆ ที่จะเริ่มเข้ามาเชื่อมโทนกับแอมเบอร์แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่โทนกลิ่นไม่มันไม่โต้งๆ ส่งต่อเหมือนวิ่งผลัดแบบนั้น จะมีโทนมากล่อมให้กลิ่นมีมิติกึ่งโทนแป้ง กึ่งโทนสร้างเสน่ห์หน่อยๆ ของสายดอกไม้ต่างๆ อย่างโทนติดแป้งกึ่งอัลมอนด์เบาๆ ของเฮลิโอโทรเป้และกลิ่นกุหลาบที่มาสร้างความนวลหอมโรแมนติคที่สร้างมิติความหวานที่รุ่มรวยห้อมล้อมกลิ่นแบบกำลังดี ไม่หนัก ไม่แย่งซีน แต่ให้ความรื่นรมย์ที่เข้ากันได้กับทั้งสายอบอุ่นแอมเบอร์และขรึมขลังแกมน่าค้นหาของสาย Incense แบบล้อมกลิ่นเลยได้มิติการส่งต่อกลิ่นกันที่มีตัวเชื่อมโทนสร้างความรื่นรมย์เข้ามาด้วยโดยที่จับต้องพื้นฐานโทนกลิ่นหลักทั้งคู่ได้อยู่อย่างชัดเจน

จนเมื่อโทนธูป Incense เริ่มกลายเป็นแกนนำหลัก ลดทอนความเป็นโทนอบอุ่นของแอมเบอร์ทั้งหมดไปเป็น Background ของกลิ่น ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะจับต้องกลิ่นอายไม้หอมเข้ามาร่วมด้วยอย่างไม้จันทน์หอมและไม้ซีดาร์ที่เป็นตัว Base รองพื้นแบบติดโทนแอมเบอร์อบอุ่นหน่อยๆ ให้ความผ่อนคลายในโทนไม้หอมแบบเป็นสายสนับสนุนที่ดี แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะมีกลิ่นโทนติดเขียวเข้มกึ่งหมึกอ่อนๆ ของ Oak Moss เข้ามารองรับด้วย เลยทำให้กลิ่นมีความน่าค้นหาเจอ Earthy เนียนๆ ร่วมด้วย ซ้อนกับกลิ่นโทนยางไม้ของ Myrrh ที่ติดกึ่งสนไพน์กึ่งหวาน เป็นตัวกลางโดยมีตัวเด่นอย่าง Elemi และ Frankincense ที่ติดควันหน่อยๆ กำลังดี เป็นตัวเด่นที่เรียกว่าดมแล้วนี่แหละใช่เลยโทน Incense ที่ไม่ใช่เป็นแค่กลิ่นธูป แต่เป็นกลิ่นออกทางธูปยางไม้ที่ปร่าสว่างเจือความลุ่มลึก ให้ความขรึมขลังเจืออ้อยอิ่งก็ได้ ให้เสน่ห์ที่น่าค้นหาและความดึงดูดแบบที่ไม่เหมือนใคร มิติกลิ่นจะรับรู้ได้แบบไล่จากธูปยางไม้ปร่าเจือควัน ตามด้วยโทนหวานเจือไม้หอม และไม้หอมเจือแอมเบอร์เบาๆ ต่อเนื่องตามกันอย่างสมดุลย์ปิดท้ายการอยู่บนผิวกันกันไปเรื่อยๆ สร้างความรื่นรมย์เฉพาะในโทนอบอุ่นและขรึมขลังได้อย่างงามมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะเป็นกลิ่นที่ชูโรง Note หลักที่มีความกลางๆ จับต้องได้ทุกเพศที่จะเอาไปเสริมคาแรคเตอร์ที่เป็นสไตล์อบอุ่น เย้ายวน และน่าค้นหาแบบมีชั้นเชิงและมีระดับ ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะว่ากลิ่นไม่ได้เข้ากับอากาศร้อนๆ มากนัก มากไปเดี๋ยวจะอึดอัด ซึ่งเข้าได้กับยามทางการและทั่วๆ ไป แต่การใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกาย ควรพักไว้ก่อน เปลืองน้ำหอมเปล่าๆ และจะตึ้บเอาได้ถ้ากลิ่นตีขึ้นหนักๆ เวลาร่างการทำความร้อน ส่วนยามค่ำคืนทั้งออกงาน ทั้งใส่แบบกึ่งโรแมนติค หรือสร้างความน่าค้นหาแบบมีสไตล์บอกเลยว่าได้หมด แต่ไม่เข้าทางกับการใส่ไปท่องราตรีเต้นรากแตกเท่าไหร่ เพราะกลิ่นมันมีมาดและความขรึมขลังของมัน เลือกให้เหมาะสร้างเสน่ห์ได้มาก บอกกันเลยตรงนี้ 

ความทน - ทุกอย่างที่ส่งต่อกลิ่นออกมามีความเป็นธรรมชาติตามที่แบรนด์เคลมไว้ชัดเจนมาก ซึ่งตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะทน แต่เปล่าเลย เราดูถูกกลิ่นอายสายโมเลกุลใหญ่แบบนี้และคุณภาพกลิ่นไม่ได้นะ เพราะว่าก็ทำเรื่องนี้ได้ดีเช่นกัน กับ 15 ชม. ที่กลิ่นยังติดผิวอยู่และส่งกลิ่นเรื่อๆ อย่างมีเสน่ห์มาก ก็ Pure Parfum นี่นา ความเข้มข้นก็ต้องมาเต็มแบบนี้แหละ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น มาชัดเจน อบอวลแต่กลมกล่อม ก่อนที่จะลดลงมาเป็นปานกลางกันราวๆ 3 ชม. แล้วจะลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ คงที่ยาวไปถึงราวๆ 10 ชม. ที่เหลือจะเป็นการติดผิวที่ขยับแล้วกลิ่นจะตีขึ้นเป็นโทน Incense อ่อนๆ มีเสน่ห์และงามเลยล่ะ

สรุป - ตรงตามชื่อรุ่นเป๊ะ ไม่มีผิดเพี้ยน เพราะเริ่มจาก Amber สู่การปิดท้ายด้วย Incense ได้อย่างงดงามมาก ทุกอย่างมีการผสมผสานกันได้อย่างมีชั้นเชิงและไม่ธรรมดา สร้างออร่าความเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติของกลิ่นที่มีมิติทั้งโทนอบอุ่นปนหวานเจือยางไม้ที่เป็นเสน่ห์ของแอมเบอร์ โทนเครื่องเทศหวานเย้าอบอวล และโทนไม้หอมกับกลิ่นยางไม้สายธูปต่างๆ เด่นที่ Frankincense เรียกว่าทุกอย่างงดงามตามที่ควรจะเป็น และคุ้มค่ามากจริงๆ กับการได้สัมผัสกับกลิ่นนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ 

Photo Credit - https://sonomascentstudio.com/scent/amber-incense/

 

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Shay & Blue - Salt Caramel

Shay & Blue - Salt Caramel

กลิ่นหอมหวานของคาราเมลที่มีเกลือลงไปตัดทอนให้มีรสชาติที่มีมิติหวานเจือเค็มปลายลิ้นที่รู้จักกันในนามของ Salted Caramel แล้วราดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันกับขนมต่างๆ อาจจะเป็นทั้ง Popcorn เคลือบผลไม้เป็นลูกๆ ราดลงบนเค้ก หรือผสมลงไปในชอคโกแลต ไม่ว่าอะไรก็ตามมันจะให้ความหอมหวานอบอวลที่ติดกึ่งน้ำตาลไหม้สร้างความน่ากินสุดๆ ไปเลยเอาได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบของหวานนี่อาจจะหยุดไม่ได้เอาเลยทีเดียว

ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นแบบนี้ถ้ามาเป็นน้ำหอมมันสามารถทำให้คนใส่มีความหวานน่ากินเอาได้ แต่ถ้ามากไปก็อาจจะหวานเลี่ยนก็ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อเห็นว่ามีแบรนด์ Niche Perfume จากเมืองผู้ดีอย่าง Shay & Blue ที่เอาความเป็น Salted Caramel มาสร้างสรรค์น้ำหอมโดยมีแรงบันดาลใจมาจากขนมที่เป็นชอคโกแลตนุ่มก้อนกลมๆ (Chocolate Truffles) ที่มีชั้นเลเยอร์ เป็นชอคโกแลตและตรงกลางเป็นไส้คาราเมลรสเค็มอย่าง Sea Salt Caramel Chocolate Truffles โดยเน้นที่ความเป็นคาราเมลมาส่งต่อความหอมผ่านขวด จนกลายเป็นตัว Top ของแบรนด์ในทุกวันนี้ แน่นอนว่าต้องมาลิ้มลองและดมดมกันหน่อยว่าจะทำออกมาอย่างไร และสิ่งที่ได้จากการใช้งานก็เป็นเช่นนี้

Salt Caramel เปิดตัวกันด้วยความเป็นซอสราคาเมลชัดเจนมาก เนื้อกลิ่นจะมีความหวานน้ำตาลไหม้อ่อนๆ มีความ Smoky ซ่อนเนียนๆ เคล้ากับกลิ่นเนยและเกลือ แต้มความหวานอุ่นลงไปด้วยโทนวานิลลาหน่อยๆ ให้พอรู้สึกได้ และในวูบต่อมาจะได้อารมณ์กลิ่นแนว Popcorn ที่เสริมขึ้นมากำลังดี ทำให้ความรู้สึกในเนื้อกลิ่นจะคล้ายแนวเวลาเราได้กลิ่น Garrett Popcorn รสคาราเมลที่ติดเค็มๆ หอมชวนกิน แต่สิ่งที่สร้างความรื่นรมย์ให้กลิ่นได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยคือ กลิ่นจะไม่ได้หนักหน่วงแบบเอาเราไปตกถังคาราเมลที่ไหน แต่จะให้อารมณ์กลิ่นอวลหวานปนโปร่งลอยเข้าจมูกเสียมากกว่า (ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม) ซึ่งตรงนี้แหละที่สร้างความดีงามในการปล่อยกลิ่นที่เย้าจมูกได้ดีนักโดนไม่ถึงกับทำให้อึดอัดแต่อย่างใด

การเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ช่วงกลางจะค่อยเป็นค่อยไปและมีความโปร่งเบามากขึ้น แต่ก็ยังมีความอวลหน่อยๆ อยู่ซึ่งจะได้อารมณ์กลิ่นแนว Creme Brulee ที่หน้าเป็นคาราเมลกำลังดีเข้ามาร่วมด้วย แน่นอนว่าความหวานโปร่งยังมีอยู่โดยปลายเนื้อกลิ่นยังมีความเค็มหน่อยๆ แบบสไตล์ Salted Caramel เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมความนุ่มนวลในเนื้อกลิ่นแบบครีมคัสตาร์ดให้รู้สึกนวลละมุนแบบเบาๆ เข้ามา ซึ่งถ้าพินิจพิเคราะห์จริงๆ เนื้อกลิ่นจะแบ่งออกเป็น 2 เลเยอร์ให้จับต้อง คือ กลิ่นที่ลอยออกมาจากผิวจะให้ความโปร่งหวานติดปลายเค็มเจือนวลหน่อยๆ มีความ Smoky เล็กๆ ตามสไตล์คาราเมลเบิร์นหน้า Crere Brulee แต่เมื่อดมเข้าไปใกล้ๆ จะมีโทนกลิ่นนวลๆ คล้ายครีมคัสตาร์ดวานิลลาเจือนม ที่บางวูบมีโทนโกโก้เล็กๆ เลยทำให้เข้าทางที่มาของการสร้างสรรค์น้ำหอมรุ่นนี้ขึ้นมาหน่อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลกลิ่นจะไม่หนักหน่วงมากจนกลายเป็นขนมเดินได้แต่อย่างใด จนเมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่ากลิ่นมีความอบอุ่นมากขึ้นตามลำดับแต่ยังไม่หนักอวลแน่น ก็ตจะเริ่มเปลี่ยนโทนเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่ที่ให้อารมณ์แบบครีมคัสตาร์ดวานิลลาเต็มๆ แล้ว เพราะจะจับต้องได้เต็มๆ ถึงโทนวานิลลาที่ให้ความนวลละมุน เจือกลิ่นนมหน่อยๆ ที่คลอผิวให้รู้สึกหวานนวลเจือความสะอาดและสว่าง ซึ่งแน่นอนว่าเนื้อกลิ่นจะเชื่อมโยงกับผิวจะมี Musk และกลิ่นโทนไม้หอมที่ให้ความครีมมี่นวลๆ อย่างจันทน์หอมเสริมอยู่ ทำให้ได้ความนวลนุ่มสว่างและหวานอวลแบบเบาๆ กำลังดีในเวลาเดียว ซึ่งเมื่อดมถอยออกมาจะจับต้องได้ว่ากลิ่นคาราเมลจะเหลือเพียงประปรายและไม่ได้โทนเค็มปลายกลิ่นอีกแล้ว เป็นโทนหวานระเรื่อแทนเสริมความเป็นคัสตาร์ดได้อย่างลงตัวมาก ปิดท้ายความหวานหอมที่เกลี่ยโทนได้สมดุลย์ คุมโทนความโปร่งและนวลของกลิ่นได้ดีเสมอต้นเสมอปลายมาก

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศที่ชอบกลิ่นหวานหอมขนมเป็นทุนเดิม ถือว่าใช้งานได้หมด โดยที่มีข้อดีคือไม่แน่นและหนักเกินไป อาจจะมีหวานคมๆ บ้างแต่ก็มาแค่ไม่นานนัก ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ไม่ใช่ทางการ เพราะกลิ่นแบบนี้มันไม่เข้ากับการเสริมบุคลิกที่ทางการนัก รวมถึงไม่เหมาะกับการใส่ไปออกกำลังกายแน่นอน หิวตายกันพอดี แต่ถ้าใช้แบบทั่วๆ ไป ใส่ไปทำงาน Office หรือว่าชิลล์ๆ จัดไปได้ รวมถึงสามารถใส่ไปท่องราตรี หรือโรแมนติคได้ด้วย แต่อาจจะไม่ได้สู้ความอวลแน่นจัดๆ หวานเยิ้มเรียกร้องความสนใจเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเข้ามาใกล้ๆ ขวนคลุกวงในอันนี้รับรู้กลิ่นแน่นอน

ความทน - ลงตัวที่ราว 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. ตามสภาพผิวผู้ใช้ โดยส่วนตัวเจือสูงสุดที่ 12 ชม. ได้อยู่กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นสไต็ปๆ ที่ดูเร็วพอสมควร เพราะจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวเอาเมื่อผ่านไปราวๆ 2 - 3 ชม. แล้ว ซึ่งนี่แหละที่เป็นข้อดีทำให้กลิ่นไม่ทำให้คนฉีดเป็นขนมเดินได้ แต่ให้ความระเรื่อกำลังดีเย้าๆ เร้าๆ และดูไม่พยายามให้น้ำหอมมาเรียกร้อความสนใจนัก ซึ่งจะเสถียรและคงตัวการเป็นออร่ารอบๆตัวไปจนถึงช่วงท้ายที่จะค่อยๆ ลงมาเป็น Skin Scent ก่อนจะจางไปตามเวลา

สรุป - สมแล้วที่เป็นตัว Top ของแบรนด์ เพราะสร้างออร่ากลิ่นที่ให้ความเป็นสไตล์อังกฤษที่ไม่โฉ่งฉ่าง ให้ความหวานขนมแบบเรื่อยๆ เร้าๆ มีเสน่ห์โปร่งเจืออวลแบบสมดุลย์มาก (แอบรู้สึกได้ถึงสไตล์ Jo Malone ในกลิ่นนี้ เพราะสุคนธกรแบรนด์นี้เคยทำงานกับ Jo Malone มาก่อนด้วย ซึ่งนี่แหละเป็นเรื่องดีในการสร้างสมดุลย์กลิ่น) แม้ว่าเนื้อกลิ่นจะมีแรงบันดาลใจมาจาก Sea Salt Caramel Chocolate Truffles ที่แทบจะจับต้องได้น้อยมากในโทนชอคโกแลตหรืออาจจะจับไม่ได้เลย แต่ถ้าเรื่องคาราเมลบอกเลยว่าทำได้ครบและดีมากจริงๆ   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/555913147747113382/

 

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Agonist - White Lies

Agonist - White Lies

Agonist เป็นหนึ่งแบรนด์ Niche Perfume จากสวีเดน ที่มีเอกลักษณ์ในการสร้างสรรค์กลิ่นอายน้ำหอมโดยเอาการเป็นรากเหง้าวัฒนธรรมเป็นแถบเชื้อชาติ Nordic Region (สแกนดิเนวียทั้งหมด เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์ และหมู่เกาะต่างๆ ที่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ) โดยเอาเข้ามาผนวกกับความงดงามและโศกนาฏกรรมต่างๆ ของภาพยนตร์ บทกวี และนิยายต่างๆ ที่มาจากการสร้างสรรค์โดยบุคคลสำคัญที่เป็น Icon ของวัฒนธรรมแบบสวีเดน

เมื่อได้มีโอกาสมาเจอกับแบรนด์นี้ สิ่งที่ดึงดูดและอยากจับต้องอย่างมากเลย คือ การสร้างสรรค์กลิ่นแบบสไตล์ Nordic Fragrance โดยเราต้องนึกภาพกันก่อนว่า ดินแดนในแถบนั้นมันมีความขาวโพลนและหนาวเย็น ซึ่งมันมีอะไรที่ไม่หวือหวาแสงสีจัดจ้าน เช่นนั้น สิ่งที่น่าจะชัดในการนำเสนอ นั่นก็คือ ความเป็นสไตล์น้อยแต่มากหรือมินิมัลที่จะชัดเจนพอสมควร ทั้งมีความซับซ้อนและเรียบง่ายทั่วไป และที่สำคัญแบรนด์นี้ถือว่าเป็นแบรนด์ที่สร้างสรรค์ขวดแบบ Exclusive ออกมาได้งามงดมากซึ่งก็ราคาสูงที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน เช่นนั้น มาว่ากันในเรื่องกลิ่นที่ได้มีโอกาสสัมผัสจนมาบอกต่อดีกว่าว่าจะออกมาเป็นอย่างไรบ้างกับกลิ่นนี้ White Lies

เปิดต้นมาความเป็นโทนกึ่งผลไม้หวานแต่เจือความฉ่ำหน่อยๆ ติดเปรี้ยวหอมซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเป็นลิ้นจี่ที่มีความฉ่ำเปรี้ยวหอมกับราสเบอร์รี่ที่ให้ความหวานหอม ที่ปลายกลิ่นมีลักษณะติดโทน Citrus หน่อยๆ ให้ความรู้สึกเย็นๆ แต่กลิ่นเหล่านี้จะมาแค่วูบแรกจริงๆ เพราะดอกไม้ขาวอย่างมะลิกับซ่อนกลิ่นจะแทคทีมขึ้นมาไวมาก แย่งซีนกลิ่นโทนผลไม้และ Citrus ไปเลย และดันให้ 2 โทนนี้เป็นกลิ่นสายสนับสนุนแทน ซึ่งช่วงต้นจะอยู่กับเราไม่นานเท่าไหร่ เพราะดอกไม้ขาวแพ็คคู่นี่แหละที่จะนำเข้าสู่ช่วงกลาง โดยที่กลิ่นจะเริ่มลดทอนความฉ่ำของช่วงต้นลง แต่เหลือความรู้สึกหวานหอมอ่อนๆ ปลายกลิ่นของผลไม้ที่มีอยู่ประปราย แต่ตัวเด่นเต็มๆ เลยคือ ดอกไม้ขาวที่จะมีโทนออกทางแป้งหอมคลออยู่ ไล่เลเยอร์ความเด่นกันได้โดยเริ่มจากมะลิก่อนเพิ่นเลย เพราะกลิ่นดอกไม้ขาวที่มีลูกโทนใสๆ กึ่งนวลหน่อยๆ แอบมีโทน Indolic ตุ่ยๆ อ่อนๆ ตามธรรมชาติที่วูบขึ้นมา ตามติดด้วยซ่อนกลิ่นที่มห้ความครีมมี่ข้นในระดับกำลังดี มีความหวานเย้าแบบไม่ได้ถึงกับจัดจ้าน แต่ให้ความนวลละมุนปนเย้าลึกเนียนๆ ปิดท้ายด้วยโทนแป้งกึ่งอัลมอนด์หน่อย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนเย็นๆ อ่อนๆ ไม่ได้ค่อนไปทางอบอุ่น แต่ให้อารมณ์แบบแป้งหอมดอกไม้ขาวในอากาศเย็นๆ ที่ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ได้ข้นอวลจนหนักและตึ้บ รวมถึงไม่ได้เบาจนใสโหวง เรียกว่าให้ความสว่างขาวนวลปนเย้ายวนเนียนๆ ที่มีความเรียบง่าย แต่ไม่ธรรมดาได้เลย

การพัฒนาเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมจะเริ่มอย่างค่อยไปค่อยไป โดยที่กลิ่นโทนดอกไม้ขาวจะแผ่วลงมาตามลำดับแต่กไม่ได้หายไป ผิดกับโซนกลิ่นผลไม้ตอนต้นที่ตอนนี้จางไปหมดแล้ว แล้วจะมีกลิ่นออกทางอบอุ่นเพิ่มขึ้นมาทีละนิดๆ มาแบบเนียนๆ เพราะเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ถึงโทนวานิลลาอ่อนๆ มาแบบไลท์เวอร์ชั่น เคล้ากับกลิ่นออกทางไม้หอมติดอวลเบาๆ และมีกลิ่นปร่าอ่อนๆ ของพิมเสน ซึ่งบางวูบแอบจับได้ถึงกลิ่นสารหอมแนวๆ Ambroxan ที่จะได้อารมณ์แบบผิวกายติดเค็มเคล้ากลิ่นไม้อวลบางๆ เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวตรึงให้กลิ่นไม่ได้วูบหายไปไหนนัก แต่จะให้อารมณ์ผิวกายติดเค็มตามธรรมชาติที่มีความอบอุ่นนวลๆ ปนกลิ่นดอกไม้ขาวอ่อนๆ เจือพิมเสนปลายกลิ่นหน่อยๆ ซึ่งกลิ่นจะค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ จนจางไปจากผิวไปตามเวลาและสภาพผิว ซึ่งถ้าเอาตามชื่อรุ่น ก็ถือว่าเล่นโทนแนว White Lies ได้ดี เพราะกลิ่นเหมือนจะอ่อนโยนให้รู้สึกสบายใจ แต่จริงๆ ซ่อนความเย้ายวนไว้ไม่น้อยเลยล่ะ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นไม่ได้ซับซ้อน ให้ความอ่อนโยนแต่แฝงความเย้ายวนเนียนๆ ให้รู้สึกถึง Sex Appeal ตามธรรมชาติที่มาในโทนขาวนวลอะไรประมาณนั้น ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ไม่ได้ใส่ไปลุยกิจกรรมเหงื่อซ่กที่ไหน แต่เน้นใส่แบบทางการหรือทั่วๆ ไปที่ให้ความเรียบหรูอะไรประมาณนี้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าโรแมนติคจะดีกว่า เพราะใส่ไปท่องราตรีอาจจะไม่ได้กลิ่นน้ำหอมตัวเองนอกจากน้ำหอมชาวบ้านกลบหมดแน่ๆ ที่สำคัญกลิ่นนี้ผู้ชายใช้ได้อยู่ เพราะไม่ได้เป็นสายปล่อยพลัง อาจจะมีความหวานนวลเย้าหน่อย แต่กลิ่นแบบนี้อยู่บนตัวผู้ชายก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ประมาณนี้ อาจจะมีไปต่อได้อีกก็ว่ากันที่จำหนวนสเปรย์และสภาพผิวเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. ในหลายๆ ครั้งที่ใช้งาน แต่บางครั้ง 6 ชม. ก็หายแซ่บหายสอย เลยถือว่ากลางๆ ไม่ได้เด่น และไม่ได้ด้อยนักในเรื่องนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 2 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป ซึ่งมาสายไม่เน้นการกระจาย แต่เน้นเข้ามาใกล้ๆ ได้กลิ่นเสียมาก ซึ่งตัวผู้ใช้เองก็จะมุ้งมิ้งกับกลิ่นที่ตัวเองฉีดไป แต่คนอื่นอาจจะได้กลิ่นเบาๆ ยามเดินสวนอะไรประมาณนี้ 

สรุป - กลิ่นไม่ได้หวือหวา แต่มีความมินิมัลให้ความสว่างขาวปนหวานนวลในสไตล์ดอกไม้ขาวที่มีความเย็นคลอๆ ได้อย่างตรงไปตรงมาและมีความเป็นธรรมชาติ ซึ่งแน่นอน Nordics ก็ควรที่จะเป็นลักษณะกลิ่นแนวๆ นี้ ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ทั้ง Concept แบรนด์ และมีความงามในความเรียบง่ายได้ดีมากอีกหนึ่งกลิ่น ซึ่งตรงๆ คือ เสียดายมากที่ตอนนี้แบรนด์นี้ปิดตัวลงไปแล้ว อนาคตจะกลับมาอีกไหม คงต้องรอลุ้นกัน  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Agonist-Exclusive-100-ml-Sizes-11709.html

 

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Roja Parfums - Elysium Parfum Cologne

Roja Parfums - Elysium Parfum Cologne

ความดังของ Elysium ที่ทะลุแป้งอย่างมาก พร้อมกับคุณภาพกลิ่นและส่วนผสมที่มาสาย Top ตามด้วยราคาที่เรียกว่ามาสาย Luxury กันแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย (เห็นแล้วอาจจะขนลุกเอาได้) รวมถึงการเอาไปเปรียบเทียบกับกลิ่นอื่นๆ ที่อยู่ในเทรนด์กลิ่นเดียวกันอีกมากมายแบบกวาดมาหมดทั้ง Team Aventus เลย ยังลามไปถึงสาย Designer อย่าง Dior Sauvage หรือ Bleu de Chanel เสียด้วย

แต่สำหรับ Roja Parfums ส่วนตัวเชื่อว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เพราะไม่งั้นรุ่นนี้คงไม่ได้ดังมาก และเป็นอีกตัวที่ได้รับความนิยมสูงมากของแบรนด์ เช่นนั้นขอมาพินิจพิเคราะห์กันหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะเป็นยังไง

ต้องยอมรับเลยว่ากลิ่นเปิดทำกลิ่นสาย Citrus ฉาบไม้หอมเจือผลไม้เปรี้ยวหน่อยๆ ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากเกินคาด ซึ่งเรียกว่าสนุกมากในการแยกกลิ่นเด่นกลิ่นรอง ซึ่งแน่นอนสิ่งที่จับต้องได้เป็นตัวรองพื้นกันให้รู้สึกได้ตลอดและยาวไปจนถึงช่วยท้ายของน้ำหอมเลยนั่นคือ โทนไม้หอม ที่เป็นลูกผสมระหว่างหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์ที่แท็คทีมกันได้อย่างสมูธและลงตัว เสริมให้กลิ่นเด่นของ Citrus ที่เด่นชัดกับความเปรี้ยวหอมของมะนาวที่วูบขึ้นมาทักจมูก ให้รู้สึกสดชื่นก่อนจะซ้อนต่อเนื่องด้วยเกรปฟรุตที่ให้ความเปรี้ยวติดแปร่งสว่าง โดยมีมิติติดเปรี้ยวเจือหวานปลายกลิ่นค่อนไปทางสไตล์ Cologne ของเลมอน ปิดท้ายด้วยกลิ่นติดเปรี้ยวขมสร้างบรรยากาศติดเขียวปร่าหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เรียกว่ากลิ่นเปิดขนเอาสาย Citrus มาครบไม่พอ ยังเสริมมิติกันได้ดี โดนดันให้เกรปฟรุตเป็นหลักในการสร้างโทนสดชื่นสว่างและรื่นรมย์เรียกแขก ซึ่งมิติของกลิ่นจะมีโทนผลไม้ที่ติดเปรี้ยวสดชื่นของแอปเปิ้ลเขียวและมีกลิ่นติดเปรี้ยวหอมติดเบอร์รี่สีเข้มอย่างแบล็คเคอแรนท์เคล้าเขียวๆ ติดขมๆ อยู่ด้วยประปราย แต่เป็นตัวเสริมที่ดีที่ทำให้กลิ่นเป็นธรรมชาติมากขึ้นและมีลูกผสมต่างๆ ที่ทำให้กลิ่นมีมิติในโทนสดชื่นสว่างได้พอเหมาะมาก

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีตัวแชร์อย่างโทนเขียวติดปร่าของจูนิเปอร์เบอร์รี่ ที่ให้อารมณ์กึ่งเหล้าจินหน่อยๆ เสริมเข้ามาและโทนไม้หอมต่างๆ เริ่มเทคโอเวอร์ตามลำดับ ก็เป็นการปรับตัวเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะเป็นการตีคู่ที่ลงตัวมาก จากการเป็น Citrus ฉาบฉากหลังที่เป็นไม้หอม ก็จะเป็นไม้หอม + Citrus ที่ตีคู่ขนานคลอเคลียเสมอไปด้วยกันสร้างโทนสดชื่นที่จับมิติไม้หอมสว่างๆ ที่เป็นการผสมผสาน Rich Tone ของหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์ กับโทนเปรี้ยวสดชื่นได้ดี แน่นอนว่าโทนผลไม้สายเปรี้ยวจะยังไม่หนีไปไหน ยังคงจับแอปเปิ้ลเขียวและแบล็คเคอแรนท์ได้ชัดมาก ซึ่งไม่มีโทนหวานมาให้รู้สึกได้เลย แต่เป็นโทนรื่นรมย์ที่มาสร้างความอะโรม่าปรับให้โทนสดชื่นมีความสมดุลย์ไม่โดดที่เกรปฟรุตจ๋าเกินไป แต่จะมีกลิ่นโทนเขียวปร่าจูนิเปอร์ที่ให้ความเขียว มีความติดฝาดกึ่งปร่านวลของพริกไทยสีชมพูที่มาสร้างความ Aromatic เกลาให้กลิ่นมีความสดชื่นติดโทนสมุนไพรเข้ามาร่วมด้วย โดยมีกลิ่นออกทางดอกไม้อ่อนๆ ประปราย ซึ่งแน่นอนเมื่อดมเข้าใกล้ผิวกายก็ยังจะได้กลิ่นติดเค็มอ่อนๆ แบบผิวกายตามธรรมชาติอยู่ และจะเริ่มจับต้องถึงกลิ่นออกทางหนังที่ค่อยๆ เนียนแทรกตัวขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นติดนวลๆ ปนอบอุ่นอ่อนๆ ที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาทีละหน่อยๆ ให้จับต้องได้ยาวพอสมควร ก็จะเริ่มเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ช่วงต่อไปในที่สุด

ช่วงท้ายของน้ำหอมจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโทนสดชื่นมาเป็นตัวสนับสนุนที่ยังจับต้องได้อยู่ แต่เป็นการให้ Effect ความสดชื่นสว่างๆ อยู่เช่นเดิม แบบเป็นความรู้สึกแรกที่เราจะจับรู้ตอนจับต้องกลิ่น แล้วจะเป็นกลิ่นไม้หอมของหญ้าแฝกที่มาสายไม้แห้งแต่ไม่อวลหนักกับไม้ซีดาร์ที่ให้ความโปร่งของกลิ่นกำลังดีเป็นตัวหลักที่จับต้องได้ชัดเจน รองพื้นด้วยกลิ่นออกทางเค็มนวลอ่อนๆ ที่ให้ความ Animalic ที่ไม่ได้ถึงกับสาบปลุกเร้า แต่ให้อารมณ์ผิวกายนวลเค็มซึ่งลักษณะนี้ชัดเจนที่เป็นกลิ่นสาย Rich Tone ของ Ambergris แถมยังเสริมด้วยวานิลลาอ่อนๆ ที่สร้างความหรูหรานุ่มนวลให้กลิ่นได้ดีมาก ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นหนังที่เสริมสร้างความเท่ห์ร่วมด้วยอยู่ประปรายให้รู้สึกได้ โดยที่กลิ่นจะมีความอบอุ่นกำลังดี โดยที่ต้องชมเลยว่าไม่มีลูกกลิ่นที่มีโทนหวานมาแย่งซีนแต่อย่างใด แต่ให้ความเป็นกลิ่นอายนวลๆ เจือไม้หอมแห้งๆ กึ่งสมุนไพร ปะหน้าด้วยกลิ่นสดชื่นที่เหลือเบาๆ ให้โทนสว่างได้ดีอยู่ ปิดท้ายการเป็น Elysium ยาวๆ ไปได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปใช้งานได้สบายมาก เพราะเนื้อกลิ่นมีความ Trendy ที่ความนิยมไม่ตกง่ายๆ และเอาความดีงามของฝั่งหรูหรา สมาร์ท มีระดับ มาเจอกับสายเท่ห์ เย้ายวน เรียกร้องความสนใจได้ตรงกลางพอดี เลยเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย แต่ถ้าใส่ออกกำลังกายแอบเปลืองไปหน่อยนะ ส่วนยามค่ำคืนเอาจริงๆ ก็ครอบจักรวาลอยู่ แต่ถ้าไปเจอกับพวกสายแน่นอวลยามท่องราตรี ก็โดนกลบได้ เช่นนั้นไว้ใส่แบบโรแมนติค ทั่วๆ ออกงาน หรือแบบไปจิบชิลล์ๆ จะดีกว่า 

ความทน - อยู่ที่ 8 - 10 ชม. เป็นสำคัญ เรียกว่าเรื่องนี้มีความดีงามครบถ้วน โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. เลยทีเดียวกับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และคงตัวเรื่องการกระจายที่ดีกันยาวๆ ไปซัก 3 ชม. ได้เลย ถึงค่อยลดลงมาปานกลางไปพอสมควร พอราวๆ ซัก 8 ชม. แล้ว ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วผ่อนลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับตามแต่ละสภาพผิว

สรุป - แน่นอนมันหนีไม่พ้นการเอาไปเปรียบเทียบ เพราะกลิ่นนี้มีลักษณะโทนกลิ่นที่เป้นแนวเดียวกับโทนฮิตอย่าง Aventus ซึ่งจะมีคนจับไปเทียบก็ไม่แปลก (ซึ่งถ้ามีกลิ่นสับปะรดมาด้วยก็ใช่ Aventus เลยล่ะ) แต่ถ้ามองลักษณะเนื้อกลิ่นแล้ว โทนจะมีความกึ่งกลางระหว่างการเป็น Aventus กับ Dior Sauvage เสียมากกว่า เหมือนเอาความดีงามของ 2 รุ่นนี้ มาสร้างเป็นกลิ่นอายที่เฉพาะขึ้นมา แนว R&D แบบที่แม้จะอยู่ใน Mainstream แต่ก็พัฒนาเป็นโทนของตัวเองที่แน่นอนว่ามีความหรูหรา มีระดับ และมีความเท่ห์ Cool มาครบเลย แถมจะบอกว่าก็อบปี้มาก็ไม่ได้ด้วยเพราะมันไม่ได้เหมือนทั้งหมด แถมด้วยผลพลอยได้อย่างคุณภาพกลิ่นที่มาจากส่วนผสมคุณภาพสูงทั้งหมด เรียกว่าต้องยอมให้เขาเลยล่ะว่าทำกลิ่นออกมาได้ดีจริงๆ

หมายเหตุ

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://rojaparfums.com/fragrance/elysium-pour-homme-parfum-cologne

 

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Laboratorio Olfattivo - Alambar

Laboratorio Olfattivo - Alambar

จากความหลงใหลในน้ำหอมสาย Niche Perfume สู่การได้เป็นเจ้าของแบรนด์ด้วยตนเองของ Daniela Caon และ Roberto Drago สู่การสร้าง Project พัฒนาน้ำหอมขึ้นมา โดยได้ร่วมงานกับ Perfumer ระดับเซียนต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นสุคนธกรชาวอิตาเลี่ยนเอง รวมถึงมี Jean-Claude Ellena และ Dominique Ropion เข้ามาร่วมด้วย (คงไม่ต้องบอกว่าฐานะเจ้าของแบรนด์ขนาดไหน) และเพราะ Concept ที่ดีในการสร้างสรรค์น้ำหอมรวมถึงมีเหล่าหัวกะทิมาสมทบด้วย เลยทำให้แบรนด์ Laboratorio Olfattivo ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องในทุกวันนี้ 

จากที่เคยได้ผ่านการเล่ากลิ่นมาก่อนหน้านี้ในรุ่น Decou-Vert ที่เป็นไลแลคกับแมคโนเลียที่งามงดอีกหนึ่งกลิ่น เมื่อได้โอกาสเลยได้กลับมาเจอกับแบรนด์นี้อีกครั้ง กับรุ่นที่ Tribute ยกย่องกลิ่นอายแอมเบอร์หนึ่งใน Note กลิ่นสายอบอุ่นที่มีความสำคัญกับวงการน้ำหอมมาเป็นเวลายาวนาน เช่นนั้นขอสัมผัสซักหน่อยว่าแบรนด์นี้จะสื่อสารความเป็นแอมเบอร์อย่างไรกับรุ่นนี้เลย Alambar 

เปิดตัวก็ชัดเจนเลยว่าแอมเบอร์นี่แหละ จะเป้นแกนนำหลักของกลิ่นกันยาวๆ ไป และเป็น Center Note ที่จะอยู่ยั้งยืนยงไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอม ที่น่าจะงดงามได้เลยทีเดียว ซึ่งในช่วงต้นกลิ่นที่โดดมาแตะจมูกก่อนเลยคือโทนสดชื่น เรียกว่าไม่คาดฝันเท่าไหร่ว่าจะมีความสดชื่นมาจับต้องให้รับรู้และโทนดังกล่าวก็ไม่ได้เดายากเกินคาด เพราะเนื้อกลิ่นจะมีความเปรี้ยมเจือขมและมีความชื้นๆ หน่อยของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ตามด้วยกลิ่นออกทางโกโก้ที่ให้ความรู้สึกหอมติดดาร์กมีความขมติด Spicy เชื่อมโยงกับมะกรูดแต่สร้างความอวลดาร์กขึ้นมาอีกสเต็ปแต่ไม่ได้หนักหน่วงมากนัก แต่ก็พอรู้สึกได้ว่ามีความอบอุ่นคล้ายโกโก้อุ่นกำลังดีที่มาตัดทอนให้กลิ่นสาย Citrus ไม่ได้เทคโอเวอร์เกินไปหนัก และแน่นอนปิดท้ายด้วยกลิ่นแอมเบอร์ที่ติดโทนสมุนไพรเล็กๆ มีความหวานลึกอ่อนๆ อบอุ่นแน่นอน แต่ก็มาแบบเบาๆ เลยทำให้ภาพรวมในช่วงต้น ได้ความรู้สึกแบบ Fresh Amber ที่มีมิติ 3 โทนไล่เรียงกันได้อย่างน่าสนใจไม่น้อยเลย

และเมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนการเป็นโทนสดชื่นของมะกรูดฝรั่งลงไปตามลำดับ และเริ่มมีโทนอบอุ่นขึ้นมาเทคโอเวอร์มากขึ้น รวมถึงเริ่มมีกลิ่นออกทางเผ็ดหวานอวลที่เป็นเอกลักษณ์ของอบเชยค่อยๆ เปิดตัวออกมา จนเมื่อกลิ่นสาย Citrus จางไปหมด ก็เป็นการเข้าช่วงกลางเต็มตัว แบบที่จะได้อารมณ์แบบ Gourmand x Oriental Amber เพราะว่าไม่ใช่มีแค่อบเชยแล้ว เพราะจะมีวานิลลาเข้ามาเสริมด้วย โดยสอดรับพอดีกับโกโก้ที่ตามมาจากช่วงต้น ทำให้ได้อารมณ์ออกทางขนมวานิลลาที่มีโกโก้ประปรายก็ได้ เป็นสายเครื่องเทศหวานอุ่นอบเชยกรุ่นอวลก็ได้ ซึ่งจะมาฉาบความเป็นแอมเบอร์เอาไว้ได้อย่างลงตัวมากสร้างกลิ่นที่เป็นโทนหวานหอมหวานที่อบอุ่นเสริมความแอมเบอร์ที่ได้อารมณ์ยางไม้หวานลึกๆ สีเหลืองอมส้มได้อย่างลงตัวและไปด้วยกันได้ดี มิติกลิ่นจะเป็นแอมเบอร์ที่ติดขนมติดเครื่องเทศบาลานซ์กันได้พอเหมาะมาก ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปยาวพอสมควรจนเมื่อโทนกลิ่นขนมและอบเชยเริ่มลดทอนลงไปเรื่อยๆ มีอบเชยเหลือเพียงประปราย แต่วานิลลายังคงอยู่หน่อยๆ ก็จะเป็นการเข้าช่วงท้ายที่ชัดเจนมากว่านี่คือ Real Amber ซึ่งจะเป็นกลิ่นแอมเบอร์แบบเต็มๆ ไม่มีเม้ม มีลูกกลิ่นแบบยางไม้ลึกๆ ที่เจือสมุนไพรปร่ากึ่งโก้โก้ปนยาเล็กๆ อย่างพิมเสน เจือวานิลลาที่ต้องมีอยู่ในความเป็นแอมเบอร์อยู่แล้ว รวมถึงมีกลิ่นไม้หอมหน่อยๆ เสริม รวมและผสมผสานกันจนทำให้ช่วงท้ายส่งกลิ่นหอมอบอุ่นสไตล์แอมเบอร์แบบชัดเจนและตรงไปตรงมา ให้โทนกลิ่นและสีในความรู้สึกแบบโทนอบอุ่นเหลือทองแกมส้ม และมีสีน้ำตาลแบบเนื้อไม้ประปรายหน่อยๆ ที่ทำให้มีมิติแบบแอมเบอร์ที่ควรจะเป็น แน่นอนว่ากลิ่นแบบนี้นอกจากจะให้ความอบอุ่นแล้ว ยังมีโทนที่เป็นสาย Minimal Amber ชัดเจน ที่มีอารมณ์กลิ่นหอมอวลหวานกำลังดี มีความกรุยกรายนิดๆ และมีความหรูหรามีระดับแบบไม่ต้องเค้นแต่อย่างใด ปิดท้ายการ Tribute ในการเป็นแอมเบอร์ได้ครบถ้วน

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ได้หมดทุกเพศ เพราะเนื้อกลิ่นเจาะจงที่ตัวแอมเบอร์เป็นหลัก และ Note กลิ่นนี้มีความกลางๆ ที่เข้าได้กับทุกเพศอยู่แล้ว อยู่ที่การนำไปใช้เพื่อสร้างเสน่ห์ในแต่ละคนล้วนๆ เป็นสำคัญ ซึ่งกลิ่นนี้ใช้ได้ในสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไป แถมเจออากาศร้อนๆ แบบว่าตึ้บเอาได้ แต่ถ้าใส่แต่พอดี ก็ใช้ยามทางการได้ หรือใส่แบบทั่วๆ ไปทำงานอยู่ในห้องแอร์ก็สร้างเสน่ห์ได้ดี แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าท่าทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนออกงานทั้งหลายจัดไป กลิ่นสร้างความมีระดับและมีเสน่ห์ดึงดูดได้ดีมาในโทนอบอุ่นจริงๆ หรือถ้าจะใส่ไปท่องราตรีก็ทำได้ เผลอๆ แตกต่างจากคนอื่นเสียด้วย

ความทน - ดีงามมาก ส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นยังคงตีขึ้นให้รับรู้อยู่ เช่นนั้นเรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้แน่ๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะพีคขึ้นมากระจายดีมากซักราวๆ 1 - 2 ชม. ก่อนรจะผ่อนลงไปกระจายดีและปานกลางตามลำดับ พอเข้าสู่ราวๆ 8 ชม. แล้วก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว ไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - จับรุ่นนี้มาเป็นหนึ่งในน้ำหอมสร้างเสน่ห์สายแอมเบอร์แนวเดียวกับ MFK - Grand Soir หรือ Dior - Mitzah ได้เลย เพียงแต่กลิ่นนี้จะมีความต่างจาก 2 ตัวนี้คือ การสร้างโทน Gourmand x Oriental Amber นี่แหละที่โดดเด่นกว่า แถมปิดท้ายเป็นแอมเบอร์ในจินตนาการตามธรรมชาติได้ดีมาก ซึ่งต้องยอมเขาเลยว่าสร้างสรรค์กลิ่นออกมาได้ยอดเยี่ยมและ Tribute กลิ่นแอมเบอร์ได้งดงามจริงๆ    

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.laboratorioolfattivo.com/en/product/alambar/