วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Zara - Vibrant Leather Warm

Zara - Vibrant Leather Warm

ก็เพราะว่าเมื่อเอา Vibrant Leather กลับมาทำใหม่อัพเกรดเป็น EDP ในปี 2018 ดันมีความนิยมถล่มทลายเป็นตัว Top ฝั่งน้ำหอมชายของ Zara ไปเลย ซึ่งแน่นอนเพราะ Zara ออกน้ำหอมใหม่เก่ง ออกบ่อยมากจนแทบตามไม่ทัน การต่อยอดสร้าง Flanker ก็ไม่ได้มาแค่ 1 แต่มาอีกเพียบกันเลยทีเดียว

และแน่นอนว่าในแต่ละปี Zara เองก็ไม่เคยว่างเว้นในการสร้างลูกหลานเหลนโหลนมากันอย่างต่อเนื่องในความเป็น Vibrant Leather เลย เอาตรงๆ ตอนนี้ซื้อตามไม่ทันว่างั้น เพราะออกมาเยอะมาก ก็เลยคิดว่าเจอตัวไหนที่น่าสนใจก็จัดมาซักหน่อยเพราะเรียนรู้การต่อยอดทางกลิ่นกันหน่อยดีกว่า และตัวที่จะมาถ่ายทอดกลิ่นผ่านตัวอักษรในครั้งนี้ก็คือ Vibrant Leather Warm ที่ออกมาวางจำหน่ายในปี 2020 นั่นเอง

โดยทั่วไปในความเป็น Vibrant Leather จะมีความเป็นโทนสดชื่นที่เป็นลูกผสมของโทน Citrus ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เจือความเป็นแบล็คเคอแรนท์ แกมสับปะรดอ่อนๆ ที่จับเข้าทีม Creed - Aventus แบบที่ตัดโทน Smoky ออก แต่สิ่งที่แตกต่างในรุ่นนี้ นั่นคือ ไม่ได้มีลายเซ็นในลักษณะแบบเดียวกับต้นตระกูลเลย แต่มาในโทนกลิ่นที่มาสายแป้งแกมไม้หอมแบบสไตล์มินิมัลเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวกันที่ความเป็นโทน Musk กึ่งติดเขียวเบาๆ ที่มีอารมณ์กึ่งโทนแป้งและไม้หอมติดจืดครีมมี่หน่อยๆ ชัดเจน เรียกว่าช่วงต้นก็บอกได้แล้วว่ากลิ่นมีความมินิมัลมากๆ และ Notes เด่นตามที่แบรนด์บอกมาโผล่มาครบกันตั้งแต่แรกสุดเลย

ซึ่งความเรียบง่ายที่หนึ่งมาจากความเป็น Musk กึ่งติดดอกไม้อ่อนๆ กึ่งเขียวแกมชาบางๆ ที่ไม่ได้ไปทางข้นนวลมาก ซึ่งเป็นสไตล์ของกลิ่น Musk ที่มาจากพืชหรือ Ambrette เสริมด้วยความเรียบง่ายที่ 2 ที่มีกลิ่นออกทางโทนแป้งเบาๆ คล้ายไอริส ทำให้ได้ลักษณะกลิ่นแบบแป้งสะอาดๆ และมีลูกเอื้อนของพื้นกลิ่นที่ชัดมากว่าไม้จันทน์หอมแหงๆ ที่เป็นกลิ่นไม้จืดหอมแกมนวลสว่างๆ ที่มีซีนให้สัมผัสได้ตลอด นี่แค่ช่วงต้นก็เรียกว่ามาครบถ้วนกระบวนความมากๆ เพียงแต่ความเป็นโทน Musky เรื่อๆ จะเด่นกว่าใครเพื่อนนั่นเอง

ในช่วงกลาง การสลับตำแหน่งเพื่อกระชับพื้นที่ในการเป็นโทนเด่นจะเปลี่ยนมาเป็นโทนแป้งที่ตอนนี้ไม่ได้สัมผัสได้ว่ามีแค่ไอริสแล้ว แต่จะมีความทึบมากขึ้นในเนื้อกลิ่นขึ้นมาหน่อยก็บอกได้เลยว่ามีลูกผสมของความเป็นหัวเหง้าออริสเข้ามาร่วมด้วยแน่นอน เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความกลางๆ เสริมด้วยความเป็นโทน Musky สะอาดๆ กึ่งนวลกึ่งใสติดหวานบางๆ ที่แน่ๆ รู้สึกได้ว่าเหมือนมีโทนดอกไวโอเล็ตและมีโทนไม้หอมติดโปร่งๆ คล้ายสารหอมแนวไม้ซีดาร์ใสๆ สว่างๆ อย่าง ISO E Super เข้ามารวมอยู่ด้วย กลิ่นเลยไม่ได้หนักหน่วงมาก ให้ความเป็นโทนแป้งเด่นมาเลย แต่ก็จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยที่ไม้จันทน์หอมจะเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นตามลำดับจนกลายเป็นตัวเด่นและนำโทนกลิ่นเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นกลิ่นไม้จันทน์หอมแกมหวานติดแป้งนวล กลิ่นจะไม่ได้ซับซ้อนมีความเป็นไม้หอมที่ตรงไปตรงมาแกมโทนอบอุ่นที่ไม่ได้หนักหน่วง ซึ่งจับได้ว่าน่าจะมีกลิ่นแนว Ambroxan เบาๆ แกม Musk อ่อนๆ คลอในนั้นให้ลูกเล่นอบอุ่นเสริมให้เป็นสีครีมสว่างและมินิมัลชัดเจนในการคลอผิวยาวๆ ไป ซึ่งแน่นอกลิ่นไม้จันทน์หอมแบบนี้มีความเรียบหรูแบบไม่หวือหวา ก็ถือว่าเป็นการปิดท้ายได้เรียบง่ายกำลังดีนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศ วัยเรียน ม.ต้น ขึ้นไปเพราะเนื้อกลิ่นมาสายแป้งแกมสะอาดที่อบอุ่นหน่อยๆ แบบที่ลงตัวกับการใช้งานในทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ลามไปยังกิจกรรมกลางแจ้งก็ยังได้ แม้ว่ากลิ่นจะมาสายนิ่งๆ ก็ตาม ซึ่งยังไงก็รอดสูง แต่ถ้าจะใส่ยามค่ำคืน เหมาะกับใส่ทั่วๆ ไปมากกว่า ที่จะใส่ไปปล่อยพลัง เพราะยังไงก็โดนชาวบ้านกลบแน่นอน

ความทน - ค่อนข้างแกว่งมาก บางทีแค่ 3 ชม. กลิ่นก็จมไปแล้วบางครั้งลามไปที่ 6 ชม. ก็ได้อยู่เพราะกลิ่นตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว เช่นนั้นเรื่องนี้ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ เน้นพกไปเติมระหว่างวันจะดีที่สุด

การกระจาย - มาสาย Safe Scent สุดๆ เพราะเปิดต้นกลิ่นมาการกระจายจะกลางๆ ซัก 5 - 10 นาที แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปจนถึงราวๆ ชั่งโมงที่ 3 แล้วก็จะเริ่มเป็น Skin Scent เช่นนั้นใครไม่ชอบน้ำหอมกระจายมากๆ หรือไม่ชอบน้ำหอมที่กลิ่นแรงๆ หรืออยากจะลองใช้น้ำหอ แต่อยากจะเสริมแค่ความหอมอ่อนๆ ก็พอ อันนี้เข้าทาง

สรุป - ส่วนตัวเคยดมรุ่น White Soho ของ Zara ที่ตอนนี้เลิกผลิตไปแล้วมาก่อน ซึ่งใช่เลย Vibrant Leather Warm คือการถอดกลิ่นกันมาแบบชัดเจนมาก เพียงแต่กลิ่นจะ Lite Version มากกว่า ก็สุคนธกรคนเดียวกันนี่เนาะ ซึ่งแน่นอนปลอดภัยไร้กังวลการรบกวนใครแน่นอน แต่ติดอยู่อย่าง นั่นคือ กลิ่นตรงกับชื่อรุ่นเพียงแต่ Vibrant กับ Warm ไม่มี Leather นะจ้ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.zara.com/uk/en/vibrant-leather-warm-100-ml---3-38%C2%A0oz-p20220092.html

 

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2564

MiniReview : Tada Parfumeur - Pillow Talk & Oceanic Mojito


MiniReview: 
Tada Parfumeur - Pillow Talk & Oceanic Mojito

เมื่อได้เห็นแบรนด์ Tada Parfumeur ครั้งแรก ก็มีความแปลกใจนิดๆ เพราะเราเหมือนรู้จักคนทำน้ำหอมแบรนด์นี้มาก่อน และก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเป็นเจ้าของแบรนด์เดียวกับ Natural Teller ที่เป็นอีกหนึ่งแบรนด์น้ำหอมที่เป็นสายบุกเบิกยุคต้นๆ Niche Perfume ในไทย  

ซึ่งปัจจุบันการกลับมาสู่วงการความหอมอีกครั้งกับการเป็น Tada Parfumeur กับการเปิดตัว 2 รุ่นแรกของแบรนด์ใหม่ สิ่งที่อยากรู้คือ คราวนี้จะกลับมากับการเป็น Concept แบบใด เช่นนั้นเห็น Discovery Set ก็จัดมาซะเลย (มาแบบยากลำบากซักหน่อย กับช่วง Covid แบบนี้) และหลังจากเรียนรู้กลิ่นจนเต็มที่ก็เป็นที่มาของ Mini Review ในครั้งนี้นั่นเอง

--------------------------------------------------------

Pillow Talk - ตอนแรกพอเห็นชื่อรุ่น ความคิดและการคาดการณ์กลิ่นแบบเดาทางก็ดันนึกไปถึงอารมณ์การคุยกันหลัง Sex Activities ของคู่รัก แต่พอได้ใช้จริง กลิ่นนี้ไม่ได้ Erotic อย่างที่คิดเลยซักนิด แต่ Romantic เสียมากกว่า เพราะเป็นการกระหนุงกระหนิงของคู่รักหยอกเอินหวานๆ อะไรกันประมาณนั้น โดยไม่ได้มีความรู้สึกเย้ายวนเซ็กซี่อะไรมาขัดจังหวะเท่าไหร่

เนื้อกลิ่นจะเปิดด้วยความน่ารักของโทนผลไม้แนวฉ่ำกำลังดีของลูกแพร์และลิ้นจี่ แถมส้มนิดหน่อย ก่อนจะเป็นโทนสีชมพูอ่อนของกลิ่นแนวกุหลาบหรือโบตั๋นที่เสริมด้วยราสเบอร์รี่ให้มีความเป็นกลิ่นอายสีชมพูหวานกำลังดี เสริมด้วยความลึกของโทนไม้หอมอ่อนๆ อวลๆ แกมแป้งเบาๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยกลิ่นโทนอวลอบอุ่นที่มีไม้หอมแกมแอมเบอร์แกมชอคโกแลตหน่อยๆ เน้นที่ความอบอุ่นเสียมากกว่า ซึ่งบอกเลยกลิ่นโรแมนติคและทันสมัยเชียว เป็นหนึ่งใน Daily Scent ได้สบายมากในหลายๆ สถานการณ์ ตอบโจทย์การใช้งานของผู้หญิงแบบเต็มๆ

--------------------------------------------------------

Oceanic Mojito - ถ้าให้เห็นภาพน้ำหอมนี้จะได้อารมณ์แบบชิลล์ๆ ค็อกเทลริมหาด + โรแมนติค เพราะมีความหวานเป็นแกนกลางของกลิ่น อารมณ์แบบหนุ่มสาวใส่เสื้อเชิ้ตแบบคู่หรือเชิ้ตขาวทั้งคู่ นั่งชิลล์มีความสุขกอดกันหวานๆ ริมหาด แบบที่ไม่ได้ถึงกับปานจะกลืนกิน แต่ก็ทำให้คนโสดอย่างเราเบ้ปาก พลางบอกในใจว่า "อย่าให้มีมั่งนะว้อย" ประมาณนั้น

เนื้อกลิ่นจะเป็นโทนกลิ่นแบบมินต์เจือรัมใสกึ่งวอดก้าที่มีความเปรี้ยวหอมสแปลชของเลมอนวูบขึ้นมาพร้อมกับมีกลิ่นน้ำตาลไหม้ที่ให้โทนหวานตามติดให้จับต้องได้ขึ้นมาด้วย ซึ่งเป็นกลิ่นอายของเครื่องดื่ม Mojito เลย แต่จะหวานตีคู่ค็อกเทลพอสมควร และเนื้อกลิ่นจะมีลูกผสมติดโทนกึ่ง Sea Breeze ให้รู้สึกได้ ก่อนที่จะค่อยๆ มีกลิ่นแนวเย้าๆ น่ารักของดอกแมกโนเลียที่ให้โทนแว็กซี่ติดเปรี้ยวอ่อนๆ เคล้ากับวอดก้าให้มีอารมณ์เป็นโทนค็อกเทลที่ส่งต่อเนื่องกัน โดยที่ความเป็นน้ำตาลไหม้ยังคงเด่นอยู่ให้ความหวานแกมปร่าแกมนุ่มกำลังดี ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเป็นโทนไม้หอมเจืออบอุ่นอวลๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นกันยาวๆ ไป ซึ่งกลิ่นนี้บอกเลย Unisex จัดได้ทุกเพศชัดเจน 

--------------------------------------------------------

หลังจากลองมาทั้งหมดก็มีความ "อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม" อยู่ว่า

"สุคนธกรมีความรักโรแมนติคอยู่แน่ๆ เลย" เพราะแต่ละกลิ่นมีความหวานที่สื่อถึงความโรแมนติคเป็นเมนหลักจริงๆ 

หมายเหตุ - แต่ละคนการรับกลิ่นและความชอบแตกต่างกันไป เช่นนั้น Mini Review นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่บอกเล่ากลิ่นอายรุ่นต่างๆ จากที่ได้ลองแล้วนำมาร้อยเรียงเป็นบทความ โดยมาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ครับ

Photo Credit: Facebook Page - Tada Parfumeur

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: PK Perfumes - Maderas de Oriente Oscuro

Photo Credit - https://pkperfumes.com/shop/maderas-de-oriente-oscuro/

PK Perfumes - Maderas de Oriente Oscuro

ในรางวัลทางด้านน้ำหอมสาย Niche Perfume อย่าง The Art and Olfaction Awards นอกจากรางวัลสาย Independent หรือ Artisan Category รวมถึงรางวัลสายศิลปะเพียวๆ อย่าง Sadakichi Awards ที่เป็นหลักใหญ่มาเสมอในการพิจารณาและให้รางวัล ในปี 2018 ก็มีรางวัลต่อยอดอีกขึ้นมาอีกหนึ่งแขนงจากกลุ่ม Artisan Category นั่นคือ Aftel Award for Handmade Perfume ที่เจาะจงไปที่น้ำหอมที่สร้างขึ้นมาแบบ Handmade ตรงๆ จากสุคนธกรเลย ไม่มีการจัดจ้างให้ใครผลิตให้ ทุกอย่างลงมือเองหมด ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่เป็นการให้เกียรติทั้งตัวน้ำหอมเองและสุคนธกรแบบเต็มๆ และใน 3 ปีที่ผ่านมาในการมีรางวัลย่อยนี้เกิดขึ้น หนึ่งในแบรนด์ที่ได้รางวัลก็มีชื่อ PK Perfumes อยู่ด้วยกับรุ่น Maderas de Oriente Oscuro (พร้อมกับการขึ้นรับรางวัลด้วยเสื้อหนังมีริ้วห้อยๆ เต็มตัวแบบแนวมากของสุคนธกร)

PK Perfumes ถือเป็นแบรนด์ Niche Perfume ที่อินดี้มากๆ จาก USA กับการเป็นทั้งเจ้าของแบรนด์ สุคนธกร และจำหน่ายเองของ Paul Kiler ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2012 กับการนำเสนอความเป็น Real Perfymery แบบที่ใช้ส่วนผสมทางกลิ่นที่มีคุณภาพเป็นของจริงและมาจากธรรมชาติ เน้นความเข้มข้นทางกลิ่นที่ชัดเจน จนมาแจ้งเกิดจากการทำน้ำหอมให้กับแบรนด์ Zoologist (รุ่น Panda กับ Rhinoceros ยุคแรกก่อนปรับสูตรและเปลี่ยนสุคนธกร) ทำให้ต่อยอดแบรนด์ได้มากขึ้นและมีชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับในแวดวงน้ำหอมจนถึงทุกวันนี้ (ในหลายๆ ด้าน ^^”)

และเมื่อปี 2019 กับการเอาน้ำหอมรุ่น Maderas de Oriente Oscuro เข้าสู่การพิจารณารางวัล The Art and Olfaction Awards ในฝั่ง Artisan Category จนได้รับเลือกออกมาให้พิจารณาในส่วนของ Aftel Award ซึ่งนั่นก็ทำให้ได้รางวัลนี้ไปในที่สุด ซึ่งกลิ่นนี้มีคาแรคเตอร์อย่างไง มาว่ากัน  

Maderas de Oriente Oscuro (Dark Oriental Wood) เปิดตัวมาก็เรียกว่าอึ้งไปเลย นั่นคือ การถอดเอากลิ่นอายแบบพื้นดินที่กึ่งแห้งกึ่งชื้น ปนกับกลิ่นแบบเห็ดที่จากประสบการณ์ได้รับกลิ่นประมวลผลออกมาเป็นกลิ่นคล้ายเห็ดหอมตุ่ยหน่อยๆ และมีกลิ่นออกทางคล้ายใบยาสูบกึ่งชื้นกึ่งแห้งที่มีความเป็นยาสูบแบบกึ่งยาเส้น ปนกับกลิ่นเครื่องเทศแกมปร่าแห้งค่อนไปทางโทนสมุนไพรที่มีความแปร่งเผ็ดตามธรรมชาติ ก่อนที่ปลายกลิ่นจะจับได้ถึงกลิ่นไม้แห้งๆ ที่เข้ามาผสมผสานด้วย แต่ทั้งหมดที่สัมผัสได้ ยังไงก็ยกให้กลิ่นพื้นดินกับกลิ่นเห็ดเป็นโทนกลิ่นที่โดดเด่นมากจริงๆ ในการรับกลิ่นช่วงต้น ก่อนจะมีลูกสนับสนุนแบบสมุนไพรคล้ายไปทางยาจีนก็ได้ หรือเป็นกลิ่นแนวสมุนไพรแห้งที่มียาเส้นกับไม้แห้งมาผสมผสาน ภาพในหัวมาแบบ 2 ส่วนเลย คือ กลิ่นเหมือนร้านขายยาสมุนไพรขลังๆ ที่อยู่บนพื้นดินธรรมชาติและมีเห็ดตากแดดแบบกึ่งชื้นกึ่งแห้ง หรือจะเป็นป่าแบบกึ่งชื้นกึ่งแห้งที่มีใบไม้ทับถมแบบกำลังแห้งหรือย่อยสลายหน่อยๆ แล้วมีเห็ดผุดขึ้นมาประปรายทั้งบนขอนไม้และพื้นดิน คือ อันนี้สร้างมิติประมวลผลจากประสบการณ์ได้แบบน่าสนใจมากจริงๆ

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีอารมณ์ความชื้นระเหยมาเป็นโทนกลิ่นที่แห้งมากขึ้น ความเป็นโทนออกทางยาเส้นกึ่งยาสูบแห้งแปร่งหวานมีเอกลักษณ์เริ่มเด่นขึ้นมาสูสีกับกลิ่นอายโทนดินและเห็ดที่ก็เริ่มเข้าโทนแห้งมากขึ้น แถมยังเสริมด้วยกลิ่นเครื่องเทศปร่าแห้งต่างๆ ที่ชัดเจนคือกานพลู และมีพิมเสนเข้ามาร่วมแจมด้วยแบบติดดิบแกมแห้งสมุนไพร จนได้อารมณ์กึ่งป่าที่แห้งกึ่งร้านสมุนไพรแห้งๆ ที่ชัดมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นแค่เลเยอร์แรกเท่านั้น เพราะเลเยอร์ที่ 2 คือ โทนไม้หอมแกม Smoky กึ่งเรซิ่นแอมเบอร์ ที่ค่อนข้างมีอิทธิพลสูงพอตัวเลยที่ทำห้กลิ่นมีโทนไม้แห้งแกมแปร่งยางไม้เรซิ่นที่มีโทนควันๆ และสร้างความดาร์กในเนื้อกลิ่นชัดเจนมาก และเลเยอร์หลักที่ 3 คือ โทนหวานจากน้ำผึ้งที่มีความเป็นกลิ่นกึ่ง Animalic แกมหวานลึก เคล้าคาราเมลและมีลูกเอื้อนของกลิ่นน้ำตาลหน่อยๆ แกมกลิ่นเชอร์รี่เนียนๆ แต่ไม่ได้เด่นมาก เป็นลูกผสมที่ซ่อนอยู่ให้มีมิติความหวานหน่อยๆ ที่ควรจะต้องมีเพื่อให้กลิ่นมีความสมดุลย์และเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้ทื่อๆ เกินไป เลยทำให้มิติในช่วงกลางคือจะผสมผสานกันให้ความหลากหลายทั้งกลิ่นสาย Earthy จากพื้นดิน เห็ดหอมแห้ง และพิมเสนหน่อยๆ เชื่อมกับกลิ่นเครื่องเทศเข้ากลิ่นไม้หอมสายดาร์กแกม Smoky และเจือความหวานแบบเนียนๆ ให้มีมิติแบบบรรยากาศที่ควรจะเป็นแบบตีความสภาพแวดล้อมโดยละเอียดไม่ว่าจะเป็นป่าหรือร้านสมุนไพรก็ตาม ซึ่งถือว่าช่วงนี้เนื้อกลิ่นตรงตามชื่อรุ่นมากที่สุด

ความดาร์กของเนื้อกลิ่นยังคงคุมโทน แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงท้าย แต่จะเริ่มมีโทนออกทางเรซิ่นแอมเบอร์มากขึ้นและโทน Earthy ดินๆ เริ่มจะกลายเป็นตัวเสริมแล้ว แต่ส่งที่ได้คือ อารมณ์กลิ่นแปร่งกึ่งยูรีนหน่อยๆ ที่เป็น Effect ของน้ำผึ้งจะยังให้โทนแกม Animalic อยู่ และเข้ากันได้ดีกับกลิ่นแปร่งยางไม้ที่มีความเอียนเล็กๆ โดยยังมีความหวานแกมแห้งจากยาเส้นอยู่บ้าง ทำให้อารมณ์กลิ่นจะเป็น Ambery Earthy Woody ที่มีความดาร์กคุมโทนแบบกำลังดี ไม่ได้ดิ่งมากเพราะมีความหวานแทรกประปราย ซึ่งถือว่าคุณภาพกลิ่นยังคงเส้นคงวาได้ดีในการสื่อสารความเป็นโทนที่มาตามธรรมชาติจริงๆ เพราะมีความดิบห่ามตามที่ควรจะเป็น โดยเอาแต่ละโทนมาปรุงแต่งกันออกมาจนกลายเป็นเสมือนเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อาจจะได้ทั้งความเป็นร้านยาสมุนไพรแบบโบราณที่มีไม้หอมกับยางไม้เจือหวานก็ได้ หรือจะเป็นป่าที่มีกลิ่นอายทับถมกันของพื้นดิน เห็ด ยางไม้ ไม้หอม ที่มีความมืดดาร์กน่าค้นหา ที่มีโทนหวานตามกลิ่นธรรมชาติมาผสมผสานก็สามารถเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะเนื้อกลิ่นเป็นโทนแบบสภาพแวดล้อมที่ Raw มาเลย เช่นนั้นไม่ว่าเพศไหนก็สัมผัสกับกลิ่นนี้ได้ แต่ต้องผ่านน้ำหอม Niche Perfume หรือน้ำหอมสายอินดี้มาพอสมควร เพราะกลิ่นไม่ได้ง่ายนัก จะเริ่มเรียนรู้และเข้าถึงกลิ่นนี้ได้มากขึ้น ซึ่งกลิ่นไม่ได้สนว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน แต่ไม่เข้ากับยามทางการ รวมถึงออกกำลังกายแน่นอน แต่เหมาะกับการใส่ชิลล์ๆ กับตัวเอง หรือไม่ก็ไปท่องป่าปลีกวิเวกอะไรแบบนี้ แต่ถ้ามั่นพอจะใส่ออก Activities ก็ได้ แต่ต้องมั่นใจไว้ เพราะกลิ่นมันมีคาแรคเตอร์เฉพาะมากจริงๆ

ความทน - มากกกกกกก 15 ชม. กลิ่นยังคงทำหน้าที่ได้ดีอยู่ อาบน้ำล้างตัวออกแล้วก็ยังมีติดผิวจางๆ อยู่ เช่นนั้นสบายใจหายห่วง ความเข้มข้นไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น คืออารมณ์แบบเจอกลิ่นนี้ระยะประชิดที่มาเต็มเลย แต่ก็ไม่ได้แน่นจัดจ้านนัก เพียงแต่มัน Raw & Real มาก แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นกระจายดีซักราวๆ 1 ชม. ก่อนจะผ่อนลงเป็นปานกลางซึ่งคราวนี้จะเสถียรยาวไปจนถึงประมาณชั่วโมงที่ 8 เลย แล้วถึงจะลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - ต้องบอกเลยว่ากลิ่นไม่ได้ประนีประนอมนักในแง่ของการทำให้เป็นกลิ่นที่สากลนิยม ไม่ได้ Nice ไม่กระทำความ Mass เน้นความแตกต่าง สร้างศิลปะทางกลิ่น และ Unique แบบจัดเต็ม ค่อนไปทางโชว์พาวเลยก็ว่าได้ในการปรุงน้ำหอม แต่ไม่ใช่ว่ากลิ่นโหดร้ายมาจากไหน เพราะคุณภาพมีความเป็นธรรมชาติที่ควรจะเป็น มีความดิบแบบที่เราไม่จำเป็นต้องควบคุมได้ มีหน้าที่สังเกตุการณ์ก็พอ และสร้างให้เราอยู่ในสภาพแวดล้อมได้อย่างชัดเจนตามที่สุคนธกรวางหมากในการส่งต่อกลิ่นเอาไว้ นี่แหละงานศิลปะล่ะ        

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

 

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfums de Nicolai - L’Eau Chic

Parfums de Nicolai - L’Eau Chic

พื้นฐานกลิ่นอายสายมินิมัล มีความสว่าง สดชื่น แบบมีระดับ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสไตล์ที่มักจะพบหาได้ง่ายเลยในน้ำหอมแบรนด์ Niche Perfume อย่าง Parfums de Nicolai ซึ่งต้องยอมรับจริงๆ ว่าแบรนด์ทำกลิ่นสไตล์นี้ได้ดีเป็นระดับต้นๆ มาเสมอ

ซึ่งในความสดชื่นต่างๆ ก็มีอยู่โทนหนึ่งที่อยากลองมากจริงๆ นั่นคือ กลิ่นมินต์ของแบรนด์นี้ ที่เคยได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่ากลิ่นน่ารักและลงตัวมากในการใช้งานวันอากาศร้อนๆ เพื่อให้จมูกปลอดโปร่ง แถมเนื้อกลิ่นเองก็ทันสมัยเรียบหรูเชียวอย่าง L’Eau Chic เช่นนั้น รักมินต์ ชอบมินต์ ก็จัดไปอย่าได้เสีย และเมื่อลองใช้จนฉ่ำไปแล้ว ก็ได้เวลามาถ่ายทอดต่อกันหน่อยว่ากลิ่นจะมาในลักษณะไหน

ต้องเรียกว่ากลิ่นเปิดบอกทิศทางของน้ำหอมได้ชัดเจนถึงการเป็นกลิ่นอายของเจอราเนียม + มินต์ ซึ่ง 2 โทนนี้จะโดดเด่นมากแบบผสมผสานกัน โดยไม่ได้มีการแย่งซีนกันแต่อย่างใด ซึ่งวูบที่กลิ่นฟุ้งออกมาจะจับได้ถึงความเขียวแบบน้ำในแจกันกุหลาบแบบใหม่ๆ ที่ยังมีความเขียวชัดเจนซ้อนด้วยโทนกุหลาบอ่อนๆ ซึ่งนี่แหละเจอราเนียมล่ะ แต่จะมีตัวซ้อนที่ให้ความอะโรม่าแบบติดสมุนไพรกึ่งนวลสะอาดหน่อยๆ ของลาเวนเดอร์ ทำให้ได้อารมณ์แบบสบู่เขียวอะโรม่าเจือลาเวนเดอร์กุหลาบอ่อนๆ ที่ค่อนข้างชัดเจนพอสมควร แต่ไม่ใช่แค่นั้นผู้เล่นหลักอย่างมินต์เองก็ให้อารมณ์แบบกลิ่นเขียวปร่าระเรื่อได้ทั้งวูบกึ่งปร่าของเพพเพอร์มินต์ และมีความระเรื่อโปร่งจมูกของสเปียร์มินต์เข้ามาร่วมด้วย ทำให้บางวูบจะนึกถึงกลิ่นยาสีฟันมินต์ที่ให้ความปลอดโปร่งและสดชื่น แกมกลิ่นออกทางขยี้ใบสเปียร์มินต์ปร่าอ่อนๆ ที่เป็นธรรมชาติ เลยถือว่าเป็นการผสมผสานกันได้อารมณ์กึ่งสบู่หรูๆ + ยาสีฟันกลิ่นมินต์ปร่าสดชื่นเย็นๆ ก็ได้ หรือจะเป็นกลิ่นสบู่หรูหราสดชื่นที่ยืนพื้นกับการเป็นกลิ่นโทนเขียวอะโรม่าเป็นสำคัญ

เมื่อสัมผัสได้ถึงโทนสดชื่นเต็มๆ ในช่วงแรกแบบยาสีฟันมินต์ธรรมชาติเริ่มลดทอนบทบาทลงมาเป็นโทนออกทางสบู่ติดเขียวอะโรม่าแกมกุหลาบอ่อนๆ ที่มีความนวลรองพื้นมากขึ้น ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่คุมโทนการเป็นกลิ่นอายแบบสบู่เต็มตัวเพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางกึ่งแป้งกึ่งทึบของการผสมผสานระหว่างไอริสและหัวเหง้าออริสที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นสบู่ที่ชัดเจนขึ้นกว่าช่วงต้น แม้จะมีไพล่รไปทางโทนแป้งเล็กๆ บางๆ แต่ก็ไม่ได้เด่นจนเป็นนัยยะสำคัญอะไรนัก สิ่งที่เด่นขึ้นมาในช่วงนี้ที่เป็นตัวสมทบความเป็นเจอราเนียมกับมินต์นั่นคือ คาโมมายล์กับกานพลู ที่จะมาทำให้กลิ่นมีความสมุนไพรติดปร่าเผ็ดกำลังดี ทำให้ช่วงกลางนี้เลยเป็นลักษณะสบู่สมุนไพรที่มีความเขียวแกมน้ำในแจกันกุหลาบที่มีความปร่าสดชื่นที่อวลขึ้นแกมกลิ่นอะโรม่าสมุนไพรที่มีพื้นกลิ่นสะอาดให้รู้สึกหอมเป็นธรรมชาติและสดชื่นผ่อนคลาย

ในรอยต่อระหว่างช่วงกลางกับช่วงท้ายจะเริ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ว่ามีโทนไม้หอมติดครีมมี่มิลค์กี้ที่ให้โทนจืดหอมปนสีนวลสว่างเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้ไม้จันทน์หอมชัดเจน พร้อมกับเนื้อกลิ่นที่มีความนุ่มสะอาดมากขึ้น ก่อนที่จะผสมผสานกันในการเป็นช่วงท้ายกับการเป็นโทน Soapy Musky Woody ที่ฉาบหน้าด้วยกลิ่นสมุนไพรแบบกำลังดีซึ่งแน่นอนว่าความเป็นมินต์ยังมีอยู่ปลายกลิ่นให้รับรู้ รวมถึงเจอราเนียมที่ก็ยังจับต้องได้ชัดเจนอยู่ เพียงแต่กลิ่นจะมีนุ่มขึ้นมีความเป็นโทนไม้หอมโปร่งๆ แกม Musk สะอาด เคล้ากับกลิ่นที่ตามมาจากช่วงกลางแบบกำลังดี อารมณ์แบ่งภาคสนับสนุนกันแบบคนละครึ่งได้ลงตัว ปิดท้ายกลิ่นได้สบายๆ และมินิมัลเรียบหรูแบบไม่โฉ่งฉ่างได้สวยเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะมีกลิ่นไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย แต่ไม่ต้องมายด์ ยังไงผู้ชายก็ใช้ได้สบายมาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบกวาดหมด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบผ่อนคลายสบายๆ หรือจะใส่ออกงานก็ลงตัว แต่ถ้าจะเน้นเซ็กซี่เย้ายวน ข้ามไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้มาสายนี้

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 - 12 ชม. ก็บ่อยครั้งกับการใช้ที่ 6 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวมด้วย แต่ถ้าวันไหนเหงื่อโทรมมาก ก็ยันกันได้ที่ 6 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้ความสดชื่นชัดเจน แล้วจะลดลงมาปานกลาง ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย จนเมื่อผ่านไปซัก 6 - 8 ชม. ก็จะเริ่มติดผิวแล้ว

สรุป - อาจจะไม่ได้แทงตัวเด่นที่มินต์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเอาเจอราเนียมมาดันให้เด่นเคียงคู่เสียมากกว่า เลยทำให้ความเขียวอะโรม่ามีความชัดเจนจริงๆ เสริมด้วยความเป็นสบู่ที่เป็นแกนหลักของน้ำหอมเลยก็ว่าได้ เลยได้ความเป็นกลิ่นอายสบู่สมุนไพรติดเขียวที่เรียบหรูและดูแพงคลอผิวเราได้อย่างงามๆ และลงตัว ซึ่งแม้ว่าจะมีคนเอากลิ่นนี้ไปเทียบกับ You or Someone Like You ของ Etat Libre d’Orange แต่กลิ่น L’Eau Chic เกิดมาก่อนนะจ้ะ และก็ไม่ได้คมเปรี้ยวแบบ Cassis เท่า เรียกว่ามีดีกันคนละแบบในการปูพื้นฐานกลิ่นมินต์แบบนี้น่าจะเข้าทีกว่าเยอะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pnicolai.com/en/boutique/eau-chic/

 

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Jo Loves - Jo by Jo Loves

Jo Loves - Jo by Jo Loves

ทำน้ำหอมมาก็มากมายเต็มไปหมดกับการเป็น Jo Malone ทั้งมีที่มาที่ไป มีแรงบันดาลใจต่างๆ หรือว่ากันตาม Collection ประจำปีที่ต้องออกมาตามสเต็ป แถมกระตุ้นกิเลสในการนำมา Combine กลิ่นไปอีก ภายใต้การดูแแบรนด์ของเครือใหญ่อย่าง Estee Lauder จนเมื่อหมดสัญญาก็หันมาทำแบรนด์ของตัวเองอย่าง Jo Loves ต่างก็ Create กลิ่นต่างๆ มากมายจากสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผู้คน และ Notes กลิ่นต่างๆ จนกระทั่งมาถึงรุ่นหนึ่งเดียวกับการนำเสนอความเป็นขวดสีแดงแรงฤทธิ์แตกต่างจากชาวบ้านเขาเลย ซึ่งนั่นก็คือ Jo by Jo Loves

นอกจากขวด ความพิเศษของ Jo by Jo Loves ก็มีที่มาที่ไปที่น่าสนใจคือ การกลับมามองที่ตัวเอง การทำอะไรเพื่อตัวเอง เลยสร้างกลิ่นอายที่เป็นกลิ่นที่แสดงถึงตัวตนของความเป็น Jo Malone จริงๆ จากความชอบส่วนตัวในกลิ่นอายสาย Citrus โดยเฉพาะกลิ่นเกรปฟรุต ที่ถือว่าเป็น Note กลิ่นสุดโปรดของ Jo อีกด้วย รวมถึงเอาความรู้สึกในการท่องเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนและครอบครัวในวันหยุดที่ต่างประเทศ (อารมณ์เที่ยวยาม Summer ไรงี้) เข้ามาผนวกรวมด้วย เช่นนั้น จัดมาแล้ว ก็ลองให้สุดซักหน่อยว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไร 

เชื่อมือได้ไม่พอ ยังต้องซูฮกจริงๆ ว่าช่วงเปิดจากฝีมือของ Jo Malone นั้น เรื่อง Citrus ไม่มีพลาด และที่สำคัญยังสร้างสรรค์กลิ่นอายเกรปฟรุตที่เป็น Note กลิ่นโปรดของตัวสุคนธกรได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ จนแบบว่า Grapefruit Is All Around กันอย่างชัดเจน ซึ่งในความเป็นเกรปฟรุตที่เปิดตัวนี้แน่นอนว่าตรงไปตรงมาและมินิมัล แต่มีความซับซ้อนเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นเนียนๆ ได้อย่างลงตัวและน่าสนใจกับการผสมผสานกลิ่นโทน Citrus อื่นๆ เข้ามาเสริมให้ความเป็นเกรปฟรุตนั้นมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยจะมีมะนาวเสริมความคมของกลิ่นแบบวูบต้นๆ แกมติดขมหน่อยๆ เติมความ Juicy เบาๆ แบบกลิ่นน้ำส้มใสๆ เข้าไปของส้มขม เลยทำให้เกรปฟรุตที่ได้ในช่วงนี้คือ ผ่าเกรปฟรุต คั้นเกรปฟรุต ทุกอย่างคือ เกรปฟรุต แบบเต็มๆ และไม่พอยังแฝงความเป็นโทนสว่างและสะอาดปลอดโปร่งเข้ามาอีกด้วย เลยทำให้ช่วงเปิดคือสวรรค์ของคนรักกลิ่นเกรปฟรุตมาก และสร้างความสดชื่นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบที่มีระดับไม่ตะบี้ตะบันยัดเยียดให้ดูเว่อร์วังแต่อย่างใด

เมื่อความเป็นเกรปฟรุตเริ่มผ่อนตัวเองลงมาอีกหนึ่งสเต็ป ก็เป็นการผันตัวเข้าสู่ช่วงกลาง โดยจะมีกลิ่นปร่านวลสะอาดของพริกไทยที่ไม่หนักเกินไปเข้ามา เสริมด้วยความปร่าเขียวอ่อนๆ แนวสมุนไพรบางๆ คล้ายมีมินต์รวมอยู่ด้วยที่สร้างความระเรื่อเย้าจมูกให้โปร่งๆ สบายๆ เบาๆ แต่ในเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ถึงกลิ่นที่ออกทางดอกไม้ใสๆ คล้ายน้ำลอยดอกมะลิอ่อนๆ ที่มีความเขียวประปรายเข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้เริ่มจะเข้าสู่การเป็นโทนสะอาดที่มีความปร่านวลแกมปร่าเขียวธรรมชาติอ่อนๆ เคล้าปลายกลิ่นเป็นโทน Citrus สว่างผ่อนคลาย ซึ่งพอรวมกันทั้งหมดกลิ่นไม่ได้ซับซ้อนในการสื่อสารเลยว่าเป็นโทนที่สร้างความชิลล์ๆ และสะอาดสดชื่นแบบเรียบหรู ได้ความรู้สึกกึ่งสีขาวกึ่งสีครามอ่อนๆ และโทนสีแสงแดดยามเช้ากึ่งสายแนวๆ นี้เข้ามารวมกัน ชัดเจนว่าความสดชื่นรื่นรมย์นี่แหละเป็นตัวตั้งของเขาล่ะ

พอผ่านไปพอสมควร ก็จะเริ่มสัมผัสถึงกลิ่นไม้หอมที่มีความ Smoky บางๆ แกมไม้แห้งโปร่งๆ แนวสว่างๆ เข้ามาเสริมทีละหน่อย และโทนเกรปฟรุตเริ่มเบาลงไปจนเหลือแค่ Effect ปลายกลิ่นบางๆ ที่สร้างโทนสว่างอยู่ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เป็นโทนไม้หอมเต็มตัว ซึ่งจะยืนพื้นที่โทนไม้โปร่งๆ สะอาดๆ มีโทนอารมณ์แนวสารหอมแบบ ISO E Super ค่อนไปทางไม้ซีดาร์ที่มีความเป็นไม้โปร่งๆ สบายๆ เคล้ากลิ่นไม้แห้งกึ่ง Earthy ที่เป็นโทนหญ้าแฝกที่มีความติด Smoky เล็กๆ ของไม้กึ่งควันบางๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่า เกลากลิ่นตัดโทนไม่พึงประสงค์ แต่เหลือเสน่ห์ที่ควรจะเป็นของโทนไม้หอมแห้งโปร่งสะอาดและสว่างได้ดี โดยซ่อนความ Smoky บางมากๆ ที่มีเสน่ห์ เรียบหรู นิ่งแต่ Nice ปิดท้ายการเป็นกลิ่นสบายๆ ผ่อนคลายที่ไม่เยอะสิ่ง แต่มีเสน่ห์เรียบง่ายและเรียบหรูได้ครบถ้วน

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ได้หมดถ้าสดชื่น ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมด ไม่ต้องคิดเยอะ เพราะยังไงก็รอดและเป็นธรรมชาติสูงมาก แบบใส่น้ำหอมสายสดชื่นเรียบหรู ส่วนกลางคืนเน้นใส่แบบอากาศร้อนๆ สบายๆ จะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนเลยแม้แต่นิดเดียว

ความทน - ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. ก็เรียกว่าสุดแล้วกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ แต่ถ้าวันไหนร้อนๆ เหงื่อออกซึมเยอะหน่อย ก็ 6 ชม. ได้อยู่ แต่ไม่ว่ากันเพราะว่าโทน Citrus Aromatic ที่กลิ่นธรรมชาติมากขนาดนี้ ได้ขนาดนี้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางราวๆ 1 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในชั่วโมงที่ 2 - 3  พอพ้นซัก 4 ชม. ก็เป็น Skin Scent ซึ่งมาสไตล์ Whispering Scent พื้นฐานของ Jo Malone เลย

สรุป - หนึ่งในน้ำหอมกลิ่นเกรปฟรุตที่ให้กลิ่นเป็นธรรมชาติมากที่สุดและชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยลองมาเลย และแม้ว่าจะหา Jo Loves มาไม่ได้ง่ายเท่าไหร่ในเมืองสารขัณฑ์บ้านเรา แต่พอมีตัวที่กลิ่นจะเข้มกว่าและมีความเป็นหญ้าแฝกชัดเจนมากกว่าในพื้นฐานกลิ่นที่ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ความเป็นธรรมชาติของเนื้อกลิ่นอาจจะไม่เด็ดดวงเท่าความเป็น Jo Loves นั่นก็คือฝีมือของ Jo Malone CBE (Jo Loves)  x Zara ใน Collection: Zara Emotions กับรุ่น Vetiver Pamplemousse นั่นเอง พอกล้อมแกล้มได้อยู่ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.joloves.com/jo-by-jo-loves.html

 

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: Avon - LYRD Artisan: Santal Musk

Avon - LYRD Artisan: Santal Musk

เพราะความน่าสนใจอย่างมากที่ได้เห็น Avon มาสร้างกลิ่นอายสไตล์มินิมัล + กับเมื่อได้ลองหนึ่งใน Collection - LYRD ในสายลูกย่อยอย่าง Artisan ในรุ่น Cherry Vetiver มาในก่อนหน้านี้ตนประทับใจอย่างมากในการสร้างสรรค์กลิ่นที่แตะความเป็น Niche Perfume ที่ใช้ง่ายและมีเสน่ห์น่าค้นหา แน่นอนว่าต้องรีบเอาอีกรุ่นที่ออกมาคู่กันมาสัมผัสเนื้อกลิ่นกันบ้างแล้วเพราะก็อยากรู้ว่าแบรนด์จะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไง

และนั่นก็คือรุ่น Santal Musk ที่เห็นชื่อรุ่นก็สัมผัุสได้ถึงความมินิมัลขึ้นมาทันที เพราะเนื้อกลิ่น 2 โทนที่เป็นชื่อรุ่นนี้ค่อนข้างส่งเสริมกันในการเป็นโทนนวลสว่างตรงไปตรงมามาก และเมื่อลองจนฉ่ำปอดไปแล้ว ผลที่ออกมาก็คือ 

สปอยกันก่อนเลยว่า “มินิมัลชัดเจนมากตั้งแต่ต้นยันจบจริงๆ” เพียงแต่จะไม่ได้สื่อสารถึงกลิ่นอายนวลๆ ของ Musk และไม้หอมครีมมี่ของจันทน์หอมแบบทื่อๆ เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนสดชื่นเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญให้รู้สึกเข้าถึงง่ายนี่แหละ ซึ่งช่วงเปิดกลิ่นของลูกแพร์ติดหวานมีความฉ่ำกำลังดีที่ฟุ้งขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นออกทางแนว Aquatic เล็กๆ กึ่งแตงกวานิดๆ และมีกลิ่นออกทางติดแป้งโปร่งๆ แกมเขียวที่เป็นโทนแนวดอกไวโอเล็ตหน่อยๆ เสริมอยู่ ซึ่งมันดูขัดแย้งกันก็จริง แต่มันดันตัดทอนกันแล้วมาเจอกันตรงกลางอย่างลงตัว เพราะกลิ่นที่ฉ่ำก็จะไม่มากเกินไปจนใสโหวง แต่ให้ความชื้นๆ หอมแกมหวานระเรื่อกำลังดี ซ้อนกับโทนแป้งโปร่งหวานแกมเขียว เลยทำให้กลิ่นมีความสดชื่นก็ได้ หวานหอมระเรื่อสบายๆ ก็ดี โดยที่มีลูกเอื้อนทางกลิ่นที่ชัดเจนพอสมควรแบบเนียนๆ ของไม้จันทน์หอมและ Musk ที่แฝงตัวมาเสริมแบบเป็นพื้นกลิ่นที่ให้ Effect แฝงในความเป็นโทนผลไม้สดชื่นแกมแป้งหอมโปร่งๆ

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นในการเข้าช่วงกลางจะมาแบบค่อยเป็นค่อยไปและเนียนๆ รวมถึงไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก เพราะจะแค่ลดทอนความสดชื่นในช่วงต้นลงให้กลายเป็นโทนแป้งที่เต็มตัวมากขึ้น ซึ่งในช่วงนี้จะจับต้องได้ชัดเจนว่าตัวเด่นคือกุหลาบ ที่มาแบบระเรื่อๆ ให้ความหวานนวลอ่อนๆ เสริมด้วยคู่บุญอย่างดอกไวโอเล็ตที่ให้ความเป็นแป้งโปร่งหวานแกมเขียวเลยทำให้ได้อารมณ์แบบโปร่งหอมกุกลาบติดหวานนวลๆ โปร่งระเรื่อ ที่มีลูกผสมของกลิ่นลูกแพร์หวานอ่อนๆ ที่เข้าโทนกลิ่นผลไม้หวานเบาๆ ที่ความฉ่ำหายไปหมดแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้ความเป็นไม้จันทน์หอมจะให้ความเป็นโทนไม้หอมติดครีมนวลจืดหอมแกมอบอุ่นโทนสว่างที่ชัดขึ้นด้วย เลยได้อารมณ์แบบแป้งละมุนแกมไม้หอมอบอุ่นหน่อยๆ ที่เป็นโทนสว่างนวลๆ กำลังดี โดยที่มีความเป็นโทน Musky รองพื้นให้รู้สึกได้

และ Musk นี่แหละที่จะค่อยๆ เปิดตัวมาเป็นตัวเด่นทีละหน่อยๆ จนเปลี่ยนเข้าช่วงท้ายที่ความเป็น Musk จะมีลูกผสมของโทนไม้จันทน์หอมและกลิ่นโทนแป้งอ่อนๆ ที่ตามมาจากช่วงกลาง แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเอ๊ะ! อยู่หน่อยๆ ตลอดเมื่อเริ่มเป็นช่วงท้ายคือ เหมือนได้กลิ่นโทนหนังอ่อนๆ ที่สะอาดๆ ไม่ได้ดิบไม่ได้ห่าม กลิ่นอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นหนังกับหนังกลับแบบเบาๆ แฝงรวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ทำให้เนื้อกลิ่นแนว Musky มีอะไรที่น่าสนใจมากขึ้นแบบโฆษณาแฝง แต่ยังไงก็ตามก็ยังเป็นโทน Musk ที่ให้ความนวลสะอาดแกมไม้จันทน์ฆอมครีมมี่อ่อนๆ สว่างๆ นวลๆ ติดแป้งซ่อนหนังบางๆ ที่ลงตัวและไม่ซับซ้อน ปิดท้ายแบบที่ยังไงก็รอดสูงมากจริงๆ ในการใช้งาน 

เหมาะสำหรับ - Unisex แบบที่อาจจะมีเอนไปทางผู้หญิงบ้าง เพราะกลิ่นลูกแพร์และดอกไม้ แต่กลิ่นมันไม่ได้ปล่อยพลังมากนัก เลยทำให้ผู้ชายใช้ได้สบายมาก และกลิ่นมาสาย Musk แกมไม้หอมที่ยังไงก็รอดสูงจริงๆ แบบที่มหาชนได้กลิ่นไม่มีทางยี้แน่นอน ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมไปถึงใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ยังได้ แต่ยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป หรือใส่ก่อนนอนให้รู้สึกหอมหวานนวลนุ่มๆ โรแมนติคเย้าๆ เบาๆ จะลงตัวมาก สุดท้ายตัดทิ้งการใส่เพื่อไปท่องราตรีได้เลย โดนกลบแน่นอน

ความทน - เป็นกลิ่นอ่อนที่ทนเกินคาด ตอนแรกนึกว่าคงจะกลางๆ ไม่ได้ทนจัดจ้าน แต่กลับกลายเป็น 12 ชม. แล้วกลิ่นยังอยู่ ซึ่งยังไงก็แตะการใช้งานในหลายๆ สภาพผิวได้ถึง 8 ชม. ได้ไม่ยาก  

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้ายหลังผ่านไปซัก 5 - 6 ชม. ที่เหลือก็จะ Skin Scent ที่ให้ความมุ้งมิ้งกัยตัวคนใส่เป็นสำคัญ แต่ถ้าใครเดินผ่านก็จะได้กลิ่นนุ่มๆ เบาๆ จากเราได้อยู่ Safe Scent กันชัดๆ

สรุป - กลิ่นนี้อาจจะไม่ได้ถึงกับมีความเป็นกลิ่นอายแตะความเป็น Niche Perfume ใช้ง่ายแต่มีเสน่ห์แบบ Cherry Vetiver แต่มาใส่สายมินิมัล น้อยๆ แต่ให้ความเรียบหรูและเรียบง่ายปลอดภัยในการใช้งานสูงมาก โดยแฝงเสน่ห์ความมีระดับจากไม้จันทน์หอมที่ให้โทนอบอุ่นแกมนวลสว่างได้ดี และเนื้อกลิ่นยกระดับจากน้ำหอม Avon กลุ่มปกติมาเป็นอีกระดับในการสื่อสารกลิ่นได้อย่างดีและลงตัวอีกด้วย 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.avon.com/product/lyrd-artisan-santal-musk-eau-de-parfum-74252

 

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: Avon - LYRD Artisan: Cherry Vetiver

Avon - LYRD Artisan: Cherry Vetiver

หลังจากที่เปิดตัว Collection - Flourish ในปี 2019 กับการเน้นที่กลิ่นอายสายมินิมัลและชูโรงที่ความเป็นกลิ่นอายดอกไม้ที่ปล่อยรุ่นแรกออกมาอย่าง Honey Blossom ก่อนจะตามมาด้วย Peony Rose ในปีต่อมา แต่เพราะว่าเนื้อกลิ่นและ Concept ค่อนข้างที่จะมีความเป็นเอกเทศและเป็นการชูโรง Notes กลิ่นในลักษณะแนวเดียวกับพวกสาย Exclusive หรือมินิมัล แบรนด์เลยปรับเปลี่ยนใหม่แล้วเอา 2 รุ่นที่เคยอยู่ใน Flourish มารวมกับ Collection ใหม่อย่าง Layers Redefined หรือเรียกเป็นตัวย่อได้ว่า LYRD

ใน LYRD ที่นอกจากสาย Flourish จะมาประจำการแล้ว ก็ยังมีน้ำหอมอื่นๆ ในนี้ที่เปิดตัวตามๆ กันมาอยู่ตั้งแต่ปี 2020 แต่มีความพิเศษเกิดขึ้นอีกอย่างนั่นคือ มี Collection ย่อยๆ รวมอยู่ในนี้ด้วยอย่าง Artisan ที่จะเป็นการชูโรงผสมผสาน Notes กลิ่นเข้าด้วยกัน มาแบบสไตล์สาย Niche Perfume อะไรแนวๆ นั้น เช่นนั้น อยากรู้ อยากลอง ก็ต้องดมเพื่อรู้ จัดไปกับรุ่นแรกของไลน์ย่อยนี้ซักหน่อย นั่นก็คือ Cherry Vetiver

เปิดต้นกลิ่นมาเรียกว่า ทึ่งไปเลย! เพราะว่ากลิ่นเปิดคือ Sweet Cherry ที่จะมีความเป็นกลิ่นอายที่เปรี้ยวแกมปร่า ที่มีความเฉพาะตัว ซึ่งแน่นอน Effect กลิ่นแบบยาแก้ไอที่เป็นสไตล์ของ Cherry น่ะจับต้องได้ เพียงแต่ว่าไม่ได้เด่นกว่าความหอมเปรี้ยวอมหวานปร่าที่ได้ความเป็นเชอร์รี่กึ่งธรรมชาติกึ่งไซรัปได้อย่างน่าสนใจมาก เนื้อกลิ่นสร้างโทนสีแดงออกมาแบบเต็มตัวแต่เป็นสีแดงแบบเปลือกเชอร์รี่สดมากกว่าจะเป็นเชอร์รี่เชื่อม โดยที่มีความโปร่งปร่าหวานเย้ากำลังดี เรียกว่าเปิดมาก็สร้างความประทับใจเลย เพราะเนื้อกลิ่นมีความเกินคำว่า Mass ไปมากจริงๆ และแตะความเป็น Niche ได้แบบสไตล์ใช้ง่ายในสาย Fruity สีแดงอีกด้วย

ในการเข้าสู่ช่วงกลางจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นโทนไม้หอมติดแห้งแกมถั่วหน่อยๆ ที่เป็นลักษณะของหญ้าแฝกที่ค่อยๆ เนียนเปิดตัวมาแบบเป็นสายรองพื้นที่เสริมโทนให้กลิ่นเชอร์รี่มีความ Earthy แบบติดดินๆ เข้ามาหน่อย แต่ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นเชอร์รี่ยังคงเด่นเป็นสง่า และเริ่มมีความหวานลึกขึ้นในลักษณะหวานเปรี้ยวคล้ายแยมแกมกลิ่นไม้แห้งๆ กึ่งถั่วหน่อยๆ แน่นอนว่ามีความปร่าหอมอยู่เช่นเดิม แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในเนื้อกลิ่นมีโทนออกทาง Oak Moss เนียนๆ รวมอยู่ด้วย แต่ไม่ได้หนักหน่วง ออกแนวมาสร้างความดึงดูดแกมดาร์กลึกเนียนๆ เสียมากกว่า ทำให้กลิ่นมีความสมดุลย์กำลังดี ได้ทั้งความโปร่งในโทนสีแดงแบบเชอร์รี่ สู่ความอวลปร่าแกมไม้แห้งกำลังดีแทน ซึ่งนี่ก็เกินคาดไม่อีก เพราะไม่มีโทน Floral ใดๆ มาทำให้เนื้อกลิ่นเข้าโทนลักษณะแบบ Avon’s Style แบบที่เราเจอในน้ำหอม Avon โดยเฉพาะน้ำหอมผู้หญิงแล้ว เลยทำให้กลิ่นมีเสน่ห์แบบที่แตกต่างไปจากที่เคยเจอมาไม่พอ ยังมีอารมณ์สไตล์ Niche Perfume ใช้ง่ายแต่มีเสน่ห์ชัดเจนไม่มีตกหล่น

เมื่อกลิ่นเชอร์รี่เริ่มเบาลง แต่ยังคงให้โทนสีแดงอยู่ ความนุ่มนวลแกมไม้หอมก็จะเข้ามาผสมผสานมากขึ้น ในการเข้าสู่ช่วงท้าย ซึ่งแน่นอนว่ามี Musk เบา มาเกลาให้กลิ่นนุ่มลง แต่สิ่งที่เซอร์ไพร์สนี่สิ นั่นคือ กลิ่นหนัง ที่อยู่ดีๆ ก็มาจากไหนไม่รู้ เสริมเข้ามาแบบค่อยเป็นค่อยไปเนียนๆ มารู้ตัวอีกทีกลายได้กลิ่นโทนหนังเบาๆ ที่ไม่ได้ Dirty หรือติดดิบๆ แต่ให้ความหรูหราแบบกลิ่นหนังดีๆ ที่มีโทนไม้หอมแกมถั่วเบาๆ เสริม แล้วฉาบหน้าด้วยกลิ่นโทนเชอร์รี่แกมแป้งหน่อยๆ ที่กึ่งกลางระหว่างโทนแป้งกับโทนขนมนิดๆ ซึ่งเรียกว่าเกินคาดไปเลย เพราะตอนแรกนึกว่าจะจบแต่กลิ่นไม้หอม แต่มีโทนหนังสะอาดๆ มีเสน่ห์เสริมขึ้นมาเลยทำให้กลิ่นมีมิติที่เย้ายวนมีระดับและมีเสน่ห์ขึ้นมาอีกสเต็ป และเข้าทางการเป็นน้ำหอม Unisex ที่พอเหมาะพอเจาะ ปิดท้ายกันอีกทีแบบทีแบบในช่วงแรกได้เลยว่า ทึ่งไปเลย!

เหมาะสำหรับ - Unisex แบบที่ได้หมดทุกเพศ ซึ่งแม้เนื้อกลิ่นจะมีโทนหวานค่อนทางสีแดงเชอร์รี่อยู่บ้าง จนทำให้รู้สึกว่าน่าจะเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่จริงๆ กลิ่นอยู่กึ่งกลางพอดี และผู้ชายใช้งานได้แบบที่สามารถฟินกับกลิ่นได้เลย โดยเฉพาะคนที่ชอบกลิ่นโทนหวานหรือกลิ่นเชอร์รี่เป็นทุนเดิม ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ไม่ได้ทางการเกินไป จริงๆ ก็ใส่ได้ แต่มันจะเซ็กซี่นิดนึง เน้นใส่ทำงาน Office หรือใส่ทั่วๆ ไปจะเข้าทาง แต่ให้ตัดการใช้งานเพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืน ได้หมดทั้งออกงาน ใส่ไปดินเนอร์หรูๆ หรือว่าใส่ท่องราตรีแบบวางตัวหน่อยเรียกว่าสร้างออร่าสีแดงดึงดูดมีระดับได้ดีมาก แต่อย่าคาดหวังว่าใส่ไปแล้วจะปล่อยของหมื่นลี้รอบทิศ กลิ่นนี้ไม่ได้ทรงพลังแบบนั้น

ความทน - อยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่ไปต่อได้อีก ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 12 ชม. ในแทบทุกครั้งที่ใช้งานราว 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นราวๆ 5 - 10 นาที แล้วจะลดลงมาปานกลางคงตัวไปประมาณ 2 ชม. ก่อนจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัว ที่เดินสวนระยะใกล้หรือยืนใกล้ๆ จะได้กลิ่นแดงเย้าอ่อนๆ กันยาวไป จนราว 6 ชม. ไปแล้วก็จะติดผิว

สรุป - เนื้อกลิ่นฉีกออกมาจากการเป็นสไตล์ Avon ออกมาพอสมควรเลยทีเดียว โดยที่สร้างสรรค์และสื่อสารกลิ่นได้ชัดเจนมากกับความเป็นเชอร์รี่เปรี้ยวปร่าที่มีความใกล้เคียงธรรมชาติ แล้วให้อารมณ์ไซรัปแกมแยมเชอร์รี่ที่มีความเป็นไม้หอมแกมดาร์กหน่อยๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยไม้หอมแห้งๆ แกมถั่วสไตล์หญ้าแฝกที่ลงตัวและมีระดับเกินคาดมากในการสร้างโทนสีแดงล้อมกาย และเข้าทางกับเสื้อผ้าสีแดงม๊ากมาก แตะความเป็นโทน Niche Perfume ที่ใช้ง่ายได้อย่างเหนือความคาดหมายมากจนต้องยกนิ้วให้เลยว่า Avon ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ กับกลิ่นนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ” 

Photo Credit - https://www.avon.com/product/lyrd-artisan-cherry-vetiver-eau-de-parfum-74244?rep=bethbailey

 

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: Clean - Clean Reserve: Sweetbriar & Moss

 

Clean - Clean Reserve: Sweetbriar & Moss

ครั้งแรกเมื่อเห็นคำว่า Sweetbriar ความน่าสนใจก็เกิดขึ้นมาทันทีว่านี่คืออะไร? เพราะยังไม่มีประสบการณ์ในการรับกลิ่นนี้มาก่อน การค้นคว้าข้อมูลก็เลยเกิดขึ้นทำให้รู้ว่า Sweetbriar เป็นกุหลาบป่าขนาดเล็กประเภทหนึ่งที่ไม่ได้มีกลีบซ้อนกันเยอะๆ แบบกุหลาบปกติ แต่จะมีกลีบดอกสีชมพูจะเข้มหรืออ่อนก็ว่ากันไปราวๆ 5 กลีบ ซึ่งเกสรจะเป็นแบบเดียวกับกุหลาบเลย ก็เลยได้ความรู้ไปแล้ว 1

และพอมาเห็นว่ากลิ่นนี้เป็นหนึ่งในไลน์ Avant Garden ของ Clean Reserve ที่เป็น Exclusive Collection ที่ทำน้ำหอมกลิ่นอายสะอาดสุภาพแต่มีความแตกต่างจากกลิ่นโซน Classic ปกติ มาแตะความเป็น Niche Perfume ใช้งานง่าย ซึ่ง Sweetbriar ก็ได้มาถูกจับคู่กับ Moss เช่นนั้น จัดมาเน้นๆ ได้มาอีกขวดแลวอีก 1 เพราะอยากรู้ว่ากลิ่นกุหลาบป่าชนิดนี้จะเป็นอย่างไร และแบรนด์จะสร้างสรรค์ออกมาแนวไหน ใช้แล้วบอกต่อได้แบบนี้เลยว่า

Sweetbriar & Moss เปิดตัวด้วยความเป็นโทนเผ็ดปร่าที่มีความสดชื่นแกมเขียว และมีโทน Citrus มาตัดทอนให้มีมิติที่เป็นธรรมชาติแบบกำลังดี ซึ่งจะมาจากการผสมผสานกลิ่นพริกไทยหมาล่าที่ไม่ได้ออกทางเผ็ดแปร่งแต่เป็นปร่าเผ็ดเจือฝาดติดเขียวและมีโทน Citrus ที่มีความหวานแกมฉ่ำของส้มจีนที่ให้ความหวานเจือน้ำผึ้งหน่อยๆ มาตัดทอน และที่แน่ๆ จับได้ถึงกลิ่นเปรี้ยวหอมเฉพาะแกมฉ่ำของลิ้นจี่ที่แอบมีลูกเอื้อนทางกลิ่นของกุหลาบมาผสานด้วยหน่อยๆ เลยทำให้กลิ่นมีความเป็นโทน Spicy Green ติดฉ่ำสดชื่นโดยมีความหวานของโทนส้มกับลิ้นจี่เจือกุหลาบบางๆ ตัดทอนได้อย่างสมดุลย์มาก จนแบบว่า เออ! กลิ่นสดชื่นก็ได้ หอมรื่นรมย์ก็ได้ ได้อารมณ์ดอกไม้ติดเขียวๆ ก็ด้วย ไม่ธรรมดานะนั่น

แต่พอเริ่มจับต้องได้มากขึ้นว่าเริ่มมีกลิ่นกุหลาบที่มีความติดฝาดหน่อยๆ หอมติดหวานระเรื่อนวลๆ ที่เริ่มเข้ามาเสริมทีละนิดๆ จนเปลี่ยนช่วงอย่างเต็มตัวเป็นช่วงกลางของน้ำหอม ก็จะจับได้ชัดเจนเลยว่าเป็นการเอาโทน Spicy เครื่องเทศที่ติดเผ็ดโปร่งแกมเขียวเคล้าความสดชื่นมาเจอกับโทนดอกไม้อย่างกุหลาบได้อย่างพอเหมาะพอเจาะมาก เพราะกลิ่นพริกไทยหมาล่าที่โดนเกลากลิ่นให้มีความติดฉ่ำตอนต้นจะเด่นและผสมผสานกับความเป็นกุหลาบอ่อนๆ ที่ให้ความระเรื่อสะอาดติดเขียว แต่ไม่เข้มข้นจัดจ้านแบบสายกุหลาบแดงกำมะหยี่ที่จะมีความเขียวแห้งแกมเอียนเฉพาะทิ้งท้ายปลายกลิ่นแต่อย่างใด เลยทำให้ได้ทั้งความเป็นโทนกุหลาบติดสดชื่นแกมฝาดติดหวานนวลก็ด้วย และได้ความเป็นโทนเผ็ดปร่าติดเขียวฝาดสบายๆ ก็สามารถ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่น Moss ติดเขียวจะเข้ามามีบทบาทในช่วงนี้ด้วย เพราะเป็นตัวสร้างอารมณ์กลิ่นออกทางเขียวอ่อนๆ อารมณ์แบบกลิ่นป่าธรรมชาติที่มีหญ้า Moss เจืออยู่ในบรรยากาศเบาๆ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของรุ่นชัดเจนที่บอกถึงความเป็น Sweetbriar & Moss ชัดเจนและครบถ้วนมาก  

สิ่งที่จับต้องได้แบบเรื่อยๆ และจะมากขึ้นตามลำดับเปรียบเสมือนรอยต่อของช่วงกลางกับช่วงท้าย ก็คือ กลิ่นกึ่ง Woody กึ่งยางไม้ที่เป็นพื้นกลิ่น ซึ่งมีตัวเชื่อมชั้นดีที่จับได้เลยคือ Frankincense ที่จะให้ความยางไม้กึ่งพริกไทยกึ่งเลมอนสดชื่นมากกว่าจะเป็นยางไม้ธูป ไปเชื่อมกับกลิ่นโทนไม้ซีดาร์โปร่งๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นสารหอมอย่าง ISO E Super และกลิ่นออกทาง Earthy ของหญ้าแฝกที่ได้ทั้งความเป็นไม้แห้งและความสดชื่นติดฉ่ำดินอ่อนๆ ด้วย ซึ่งเมื่อความเป็นไม้หอมเริ่มกลายเป็นตัวเด่น ก็เข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว โดยที่จะได้กลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่มีความเขียวติดเข้มบางๆ แกมกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ นวลๆ สบายๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความรู้สึกกึ่งโทนไม้หอมกึ่งโทน Musky ซึ่งน่าจะมาจากสารหอมอย่าง Cashmeran ที่สร้างอารมณ์เชื่อมโทนไม้หอมกับกับกลิ่นอายคล้ายผิวกายอบอุ่นเบาๆ และเสื้อผ้าสะอาดที่สวมใส่ มีเลเยอร์กลิ่นที่สร้างให้รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมแบบธรรมชาติที่มีอสงค์ประกอบทั้งคนยืนเดี่ยว บรรยากาศชื้นๆ สดชื่นยามเช้าที่มีทั้งกลิ่นไม้แห้ง กลิ่น Moss กลิ่นกุหลาบระเรื่อ โดยที่ความเป็น Clean ตาม Concept ของแบรนด์ยังมีครบถ้วนเช่นเดิม 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย แต่อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อย แต่อย่าได้มายด์ไป กลิ่นมาสายสุภาพสะอาด ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้ เผลอๆ มีเสน่ห์มากอีกด้วย ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดเกือบหมดเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่เผื่อออกกำลังกายที่อาจจะไม่เข้าทางมากนัก ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ เสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่สบายๆ หรือโรแมนติคแบบมีเสน่ห์เรียบหรูและเป็นธรรมชาติจะลงตัวที่สุด 

ความทน - อยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. เป็นค่าเฉลี่ย แต่ถ้าสภาพผิวเอื้อมากพอ และจำนวนสเปรย์ลงตัวด้วย ก็จะไปต่อได้ถึง 12 ชม. ก็ยังได้ เพราะส่วนตัวก็เจอที่ 12 ชม. อยู่บ่อยครั้ง กับการใช้ที่ 6 - 7 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางตั้งแต่ต้นเลย แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบเสถียรมากและยาวไป จนเมื่อพ้นไปซัก 5 ชม. ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent ชัดเจน ซึ่งแน่นอนคนฉีดมุ้งมิ้งกับตัวเองได้เต็มที่ โดยที่ยังคุมโทนกลิ่นไม่รบกวนใครและมีความสะอาดสุภาพสไตล์ Clean

สรุป - ส่วนตัวมองกลิ่นนี้เป็นเสมือน Le Labo - Rose 31 ที่เติมคำว่า L’Eau เข้าไปเยอะหน่อย ทำให้ได้ความเป็นกลิ่นสดชื่นฉ่ำน้ำแกมเขียวเข้ามาแทนที่ เสริมด้วยโทนไม้หอมโปร่งๆ สะอาดๆ ซึ่งไม่ธรรมดาและกลิ่นมีพื้นฐานที่ให้ความเรียบหรูเป็นธรรมชาติได้ดีเกินคาดจนแตะความเป็น Niche Perfume ใช้ง่ายแบบชัดเจนมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Clean/Clean_Reserve_Avant_Garden__Sweetbriar__Moss


วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: Clean - Clean Reserve: Saguaro Blossom & Sand

Clean - Clean Reserve: Saguaro Blossom & Sand

เมื่อเริ่มลองกลิ่นอายใน Collection - Avant Garden ของแบรนด์ Clean ในโซน Clean Reserve ที่มาจับตลาด Exclusive หรือ Niche Perfume ก็เริ่มเห็นอะไรที่มีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แบบที่เราได้เห็นการตีความโทนกลิ่นสุภาพและสะอาดในรูปแบบที่แตกต่างไปจากการเป็น Collection ปกติของแบรนด์อีกด้วย ถือเป็นอีกทิศทางหนึ่งของแบรนด์ที่คุม Concept ของตัวเองได้โดยที่สร้างสรรค์และต่อยอดกลิ่นไปในทิศทางอื่นๆ ได้อย่างน่าทึ่งอีกด้วย

ซึ่งใน Collection - Avant Garden แม้จะเป็นการจับคู่กลิ่นที่สื่อสารกลิ่นออกมากลิ่นอายสไตล์สวนที่เซอร์ไพร์สในการรับรู้กลิ่นที่แตกต่างไปจากสายปกติ ซึ่งก็เซอร์ไพร์สจริงเพราะกลิ่นก่อนหน้าในไลน์นี้ที่เคยเล่าอย่าง Muguet & Skin ก็สร้างความประทับใจมาแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลามาจับต้องตัวอื่นๆ บ้าง และก็เห็นความน่าสนใจที่ควรเอามาถ่ายทอดกลิ่นอยู่ไม่น้อยกับรุ่น Saguaro Blossom & Sand เพราะเอาความเป็นกลิ่นดอกแคคตัสที่เบ่งบานบนผืนทรายมานำเสนอ เมื่อลองจนรู้ก็บอกต่อกันได้แบบนี้เลย

กลิ่นเปิดเรียกว่าจับต้องได้ 2 โทนเด่นๆ เลยคือ Citrus ที่มีลูกเล่น 2 โทน คือ เปรี้ยวสะอาดของใบเวอร์บีน่า และมีความเป็นโทนติดหวานอมเปรี้ยวติดปร่าของเปลือกเลมอน และมีโทนออกทาง Fruity แนวลูกแพร์ติดฉ่ำๆ หน่อยกับกลิ่นคล้ายซูกัสแอปเปิ้ลเขียว ที่มีพื้นฐานกลิ่นเป็นโทนออกทางปร่าเขียวแกมสะอาดแอบมีความหวานโปร่งหน่อยๆ ซึ่งถือว่าช่วงนี้จะเป็นการสร้างความประทับใจโดยแท้เพราะกลิ่นมีความสดชื่นติดหวานอมเปรี้ยวที่มีพื้นฐานตาม Concept ของ Clean เลยคือ ความสะอาด ถือว่าผสมผสานและไล่เลเยอร์กลิ่นได้น่ารักมากจากหวานโปร่งผลไม้ติดเปรี้ยวหอม Citrus และรองพื้นด้วยปร่าแกมเขียวกำลังดี เรียกว่าตกคนชอบกลิ่นฟรุตตี้หวานแกมเปรี้ยวหอมโปร่งแกมเขียวอ่อนๆ ได้เลยในครั้งแรกที่ได้รับกลิ่น

เมื่อเริ่มมีโทนกลิ่นออกทางกึ่งเขียวแกมหวานใสที่มีมิติ 2 อย่างให้จับต้องจากโทนดอกไม้คือกลิ่นออกทางมะลิใสๆ ติดเขียวของดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) กลิ่นหวานเขียวติดน้ำผึ้งใสๆ ของดอกกระถินเทศ (Mimosa) ที่เสริมความนวลสะอาดแกมหวานระเรื่อของกุหลาบอ่อนๆ เข้าไป ก็เปิดตัวเข้าสู่ช่วงกลางที่จะให้ความเป็นโทน Floral Green แบบเต็มตัว โดยจะมีลูกผสมสร้างความหยินหยางคือ กลิ่นดอกไม้ใสๆ แกมเขียวที่มีความชื้นๆ แกมฉ่ำหน่อยๆ เป็นเลเยอร์กลิ่นบนสุด ตามด้วยกลิ่นที่ตามมาจากช่วงต้นทั้งความเป็นโทนหวานอมเปรี้ยวหอมติดปร่าของเปลือกเลมอนและมีกลิ่นผลไม้หน่อยๆ สร้างความสดใส และปิดท้ายที่โทนคล้ายแป้งอ่อนๆ เคล้าความสะอาดคลอผิว ซึ่งความน่ารักของกลิ่นยังมีอยู่ แต่เพิ่มเติมความรื่นรมย์เข้ามาร่วมด้วย เลยถือว่าเป็นช่วงที่ให้ความหอมหวานโปร่งที่สดชื่นก็ได้ เรียบหรูก็ดี ปลอดภัยแบบใครได้กลิ่นก็ชอบไม่ยากเลย

ในรอยต่อของช่วงกลางสู่ช่วงท้าย จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางแร่ธาตุสะอาดๆ หน่อยๆ แกมกลิ่นไม้แห้งๆ ที่สะอาดๆ ซึ่งเริ่มมีวูบที่ทำให้นึกถึงกลิ่นทรายสะอาดๆ เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งก็ตอบโจทย์ตามชื่อรุ่น และเมื่อเข้าช่วงท้ายเต็มตัว เนื้อกลิ่นเริ่มจะมีโทน Musk มาเสริมแบบกำลังดี สร้างความนวลสะอาดแกมแป้งอ่อนๆ แบบที่เป็นกลิ่นยังไงก็รอดที่สูงมาก รวมถึงมีมิติกลิ่นไม้แห้งๆ แกมทรายเสริมแบบประปราย เคล้ากับกลิ่นหวานโปร่งๆ ของดอกไม้ในช่วงกลางที่ยังตามมาในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นดอกกระดิ่ง กุหลาบ และกระถินเทศ ที่ยังให้ความหวานระเรื่อคลอร่วมด้วย เรียกว่าเป็นกลิ่นผ่อนคลายก็ใช่ รื่นรมย์ก็ดี ปลอดภัยยังไงก็รอดก็ด้วย และที่สำคัญไม่ทิ้ง Concept การเป็น Clean ที่มีเนื้อกลิ่นแบบสะอาดสุภาพแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ก็จริง แต่เนื้อกลิ่นไพล่ไปทางผู้หญิงเสียมาก เพราะมาสาย Floral Green แต่เอาจริงๆ ถ้าผู้ชายไม่มายด์ก็ใส่ได้ เพราะพื้นฐานกลิ่นเป็นโทนสะอาดเป็นหลักตามลายเซ็นของแบรนด์อยู่แล้ว ซึ่งเข้าได้กับน้องๆ วัยเรียน ม.ต้น เป็นต้นไปได้เลย ครอบคลุมหมดทั้งใส่แบบทางการและทั่วๆ ไป รวมถึงกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ กวาดไปรัวๆ รวมถึงยามค่ำคืนที่ใส่แบบทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะเอาไปใส่เพื่อเย้ายวนปล่อยพลังทางเพศแบบสายท่องราตรีบอกเลยว่ากริบ เนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายยั่วเลยแม้แต่นิดเดียว

ความทน - ลงตัวที่ราว 8 ชม. แต่มีบวกลบราวๆ 2 ชม. แล้วแต่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ ส่วนตัวเจอประมาณ 8 ชม. ทุกครั้ง กับการใช้ที่ 6 - 7 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นราว 5 - 10 นาที แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซักประมาณ 1 ชม. ที่เหลือจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้ความรื่นรมย์ทางกลิ่นกับตัวคนใส่เอง แล้วเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 5 - 6 ชม. แล้ว ถ้าขยับเนื้อตัว กลิ่นที่ตีขึ้นเบาๆ จะออกสะอาดติดหวานแกมกลิ่นทรายอ่อนๆ ที่ให้ความผ่อนคลาย

สรุป - กลิ่นน่ารักและสดใสเชียว แม้ว่าจะมีความเป็นโทนดอกไม้หวานโปร่งแกมเขียวค่อนข้างเด่น แต่ก็เป็นโทนที่มีพื้นฐานความสะอาดที่เรียบหรูและมีความสดชื่นแกมหอมระเรื่อได้ดีมาก ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ให้ Concept การเป็น Clean ในรูปแบบที่สดชื่น สุภาพ ยังไงก็รอด โดยแตะการแปรสารการเป็นสวนที่สื่อสารถึงดอกไม้หอมระเรื่อโปร่งแกมกลิ่นทรายอ่อนๆ สู่การเป็นกลิ่นที่มีระดับแบบเรียบหรูในตัวเองได้อย่างลงตัว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfum-outlet.ch/Clean-Reserve-Avant-Garden-Saguaro-Blossom-Sand-100-ml-Eau-de-Parfum

 

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: Mugler - A*Men Ultimate

Mugler - A*Men Ultimate

หลังจากที่ Mugler ได้ปล่อย A*Men Kryptomint ออกมาในปี 2017 พอเข้าสู่ปีถัดไปในฐานะคนรักดาวก็ลุ้นกันน่าดูว่าจะออก Flanker ตัวไหนมาอีก แต่แล้วก็หายต๋อม เพราะว่าแบรนด์ไปดันเอาความเป็น Alien ที่เปิดตัวน้ำหอมผู้ชายกลิ่นแรกใน Collection ออกมาแทน ซึ่งก็แอบเห็นสัญญาณว่าความเป็น A*Men อาจจะไม่ได้ไปต่อแล้ว อารมณ์เหมือนเริ่มหมดมุก เพราะยังไงตัวหลักต้นตระกูลก็ยังเป็นที่นิยมในฐานะการเป็นน้ำหอมผู้ชายยั่วขั้นสุดตลอดกาล ก็แอบทำใจไว้รอ ซึ่งก็ลุ้นว่าถ้าทำต่อก็ขอให้ออกมาซักหน่อยเถอะ เราอยากเห็นความเป็น Mugler ที่มีเสน่ห์ในสายดาวฝ่ายชายต่ออยู่นะ

และในปี 2019 สัญญาณชีพของ A*Men ก็ได้พุ่งขึ้นมาอีกครั้งกับการที่ Mugler ได้เปิดตัวน้ำหอมรุ่นใหม่อย่าง A*Men Ultimate ประเดิมการย้ายบ้านจากเดิมอยู่กับ Clarins มาอยู่กับ L’Oreal ซึ่งในท่ามกลางกระแสของน้ำหอมสมัยใหม่ที่จะเน้นโทนไม้อวลๆ สไตล์ Ambroxan จาก Dior Sauvage เข้าครอบครองพื้นที่ขนาดนี้ ความเป็น A*Men จะเป็นใบเบิกทางในการเป็นทิศทางใหม่ๆ ของ A*Men ที่คงความ Unique ที่ไม่ธรรมดาเช่นเดิมหรือว่าจะเริ่มเข้าสู่ตลาดที่จับผู้ใช้งานมากขึ้น เช่นนั้น รักดาวก็เอาดาวฟ้าขวดนี้มาครอบครอง จนตกผลึกในเนื้อกลิ่นได้ที่ ก็เล่าต่อออกมาได้แบบนี้เลย

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายโทนผสมผสานระหว่างความเป็นโทนอวลไม้หอมที่ติดกลิ่นเปรี้ยวแกมขมสดชื่นของ Citrus โดยมีกลิ่นออกทางกึ่งผลไม้กึ่งแยม Fruity เคล้าความเขียวเล็กๆ ที่เป็นสไตล์ของกลิ่นแนวสน Fir แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะเนื้อกลิ่นมีความอวลไม้หอมที่มีโทนอบอุ่นเข้ามาให้รับรู้ได้ และมีพิมเสนอ่อนๆ มันเลยได้อารมณ์เนื้อกลิ่นที่มีความ Mass Market สูงมากกับโทนกลิ่นยอดฮิตที่จะต้องสดชื่นก็ได้ อวลอุ่นเย้าก็ได้ร่วมด้วยในสไตล์น้ำหอมชายยอดฮิตในช่วงตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา เพียงแต่เนื้อกลิ่นไม่ได้มีความสากเย้าปล่อยของแบบสไตล์ต้นตระกูล เรียกว่าพิมเสนเป็นแค่ Background เบาๆ อารมณ์ดึงลายเซ็นมาสแตมป์หน่อย แต่เปลี่ยนทิศทางของน้ำหอมเป็นโทนทันสมัยเข้าใจตลาดกันตั้งแต่ปฐมทัศน์เปิดตัวทางกลิ่นให้รับรู้ แต่ก็ปรามาสไม่ได้ เพราะว่าเนื้อกลิ่นสไตล์อวลเย้าไม้กึ่งอบอุ่นที่มีโทนผลไม้ติดเปรี้ยวแกมขมกึ่งเขียวแบบนี้ที่ค่อนข้างจะเจอในน้ำหอม Designer หลายๆ แบรนด์ กับ Ultimate ถือว่ามีคุณภาพกลิ่นที่ลงตัว และไม่ได้มีความจงใจที่จะอัดแหลกในการปล่อยเสน่ห์จัดจ้าน แต่ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์แทน นี่แหละที่เปลี่ยนไปจาก A*Men ของเดิมชัดเจน

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง โทนอบอุ่นอวลๆ ที่จริงๆ แทรกซึมมาตั้งแต่ช่วงแรก ก็เริ่มจะเปิดตัวมากขึ้น สิ่งที่จับได้ก่อนเลยคือวานิลลา ที่จะมีความอบอุ่นกำลังดี มีความค่อนไปทางขนมหน่อยๆ เพราะเริ่มจับต้องกลิ่นออกทางกาแฟติดครีมมี่กึ่งชอคโกแลตเข้ามาร่วมด้วย เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หนักอารมณ์ให้ความอบอุ่นอวลๆ มีความหวานอวลแบบกำลังดี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะยังมีโทนไม้หอมที่ติดสุขุมแกมโปร่งของไม้ซีดาร์ที่เข้ามาเสริมและมีโทนกลิ่นที่ตามมาจากช่วงต้นของสน Fir ที่ยังเสริมกลิ่นโทนติดเขียวกึ่งผลไม้อ่อนๆ แอบมีลูกผสมของโทนแนว Coumarin ที่ให้อารมณ์หญ้าแห้งเขียวแกมอวลหน่อยๆ คล้ายกับจะมีถั่วตองก้าเนียนๆ มารวมอยู่ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคือการชูโรงโทนกลิ่นอบอุ่นของวานิลลาที่หอมอวลๆ แกมไม้หอมที่มีความอุ่นๆ ออกทางติดกาแฟครีมมี่ที่เข้าทางโทนกลิ่นสไตล์ผู้ชายอบอุ่นนุ่มลึกมากขึ้น

และเมื่อเริ่มสัมผัสได้ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับว่าวานิลลาเริ่มกลายเป็นหนึ่งในลูกผสมแล้วเปลี่ยนตัวเอกหลักของกลิ่นมาเป็นกาแฟที่ให้อารมณ์แนวมอคค่าเข้ามา สถานะของช่วงกลิ่นจึงเดินทางมาสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นโทนอบอุ่นแกมดึงดูดแบบที่ให้ความระเรื่ออวลรุมๆ ของความเป็นกาแฟมอคค่าเด่น ซึ่งแน่นอนมีความครีมมี่ของวานิลลา มีความเป็นโทนออกทางกึ่งครีมมี่กึ่งหญ้าแห้งที่เป็นโทนแนวถั่วตองก้าให้ความแมนๆ ในเนื้อกลิ่น มีความหวานเนียนๆ ที่ไม่จงใจ โดยมีสายสนับสนุนของโทนไม้หอมรองพื้น ภาพรวมของกลิ่นเลยได้ความมีเสน่ห์ดึงดูดที่กำลังดี มีความอบอุ่นก็ได้ ความสุขุมก็สามารถ อารมณ์แบบผู้ชายที่มีความอบอุ่นและพึ่งพาได้ โดยที่ไม่ทิ้งความเย้าชวนคลุกวงในเนียนๆ อารมณ์แบบผู้ชายสมาร์ทน่าสัมผัสความอบอุ่นแนวๆ นั้นเลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หวือหวาเท่ากับรุ่นอื่นๆ ใน Collection นี้เท่าไหร่ เน้นให้ความหอมอวลที่ดึงดูดก็ได้ อบอุ่นแกมสุขุมมีเสน่ห์ก็ดีแทน เลยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่อาจจะไม่ได้ Match กับการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่ แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงาน โรแมนติค น่าจะเข้าทีกว่า แต่ก็ใส่ออกท่องราตรีได้อยู่ เพียงแต่จะไม่ได้โดดเด่นนักก็เท่านั้นเอง

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างก็ว่ากันไปตามจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. สบายๆ กับ 6 สเปรย์ในการใช้งาน  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แต่เพียงไม่นานก็จะลดลงมากระจายดีไปซักราวๆ 1 - 2 ชม. ก่อนจะค่อยๆ ลดเลงมาตามลำดับ จนเมื่อผ่านไปราว 5 - 6 ชม. ก็เริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกึ่งติดผิวแล้ว

สรุป - จากเดิมความเป็น A*Men มักเน้นการนำเสนอโทนฮีโร่แนวหวือหวา ผสมผสานกับความ Unique ในความเฉพาะที่เน้นการขับเสน่ห์ แต่พอมา A*Men Ultimate ต้องบอกว่าเป็นการนำเสนอสไตล์ A*Men ฮีโร่ยุคใหม่ที่เน้นสุขุม อบอุ่นแบบพึ่งพาได้และจับต้องได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้แตะคำว่า Wow Factor ในการเป็นน้ำหอมที่มาสายล้ำสมัยหรือฉีกอย่างมีสไตล์ แต่ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์ความมีเสน่ห์ที่ไม่ต้องหวือหวาเยอะสิ่งที่เอาอยู่ในความดึงดูดแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ให้เสน่ห์ทางกลิ่นที่ลงตัว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Mugler-A-Men-Ultimate-12682.html