Mugler - A*Men Ultimate
หลังจากที่ Mugler ได้ปล่อย A*Men Kryptomint ออกมาในปี 2017 พอเข้าสู่ปีถัดไปในฐานะคนรักดาวก็ลุ้นกันน่าดูว่าจะออก Flanker ตัวไหนมาอีก แต่แล้วก็หายต๋อม เพราะว่าแบรนด์ไปดันเอาความเป็น Alien ที่เปิดตัวน้ำหอมผู้ชายกลิ่นแรกใน Collection ออกมาแทน ซึ่งก็แอบเห็นสัญญาณว่าความเป็น A*Men อาจจะไม่ได้ไปต่อแล้ว อารมณ์เหมือนเริ่มหมดมุก เพราะยังไงตัวหลักต้นตระกูลก็ยังเป็นที่นิยมในฐานะการเป็นน้ำหอมผู้ชายยั่วขั้นสุดตลอดกาล ก็แอบทำใจไว้รอ ซึ่งก็ลุ้นว่าถ้าทำต่อก็ขอให้ออกมาซักหน่อยเถอะ เราอยากเห็นความเป็น Mugler ที่มีเสน่ห์ในสายดาวฝ่ายชายต่ออยู่นะ
และในปี 2019 สัญญาณชีพของ A*Men ก็ได้พุ่งขึ้นมาอีกครั้งกับการที่ Mugler ได้เปิดตัวน้ำหอมรุ่นใหม่อย่าง A*Men Ultimate ประเดิมการย้ายบ้านจากเดิมอยู่กับ Clarins มาอยู่กับ L’Oreal ซึ่งในท่ามกลางกระแสของน้ำหอมสมัยใหม่ที่จะเน้นโทนไม้อวลๆ สไตล์ Ambroxan จาก Dior Sauvage เข้าครอบครองพื้นที่ขนาดนี้ ความเป็น A*Men จะเป็นใบเบิกทางในการเป็นทิศทางใหม่ๆ ของ A*Men ที่คงความ Unique ที่ไม่ธรรมดาเช่นเดิมหรือว่าจะเริ่มเข้าสู่ตลาดที่จับผู้ใช้งานมากขึ้น เช่นนั้น รักดาวก็เอาดาวฟ้าขวดนี้มาครอบครอง จนตกผลึกในเนื้อกลิ่นได้ที่ ก็เล่าต่อออกมาได้แบบนี้เลย
เปิดตัวด้วยกลิ่นอายโทนผสมผสานระหว่างความเป็นโทนอวลไม้หอมที่ติดกลิ่นเปรี้ยวแกมขมสดชื่นของ Citrus โดยมีกลิ่นออกทางกึ่งผลไม้กึ่งแยม Fruity เคล้าความเขียวเล็กๆ ที่เป็นสไตล์ของกลิ่นแนวสน Fir แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะเนื้อกลิ่นมีความอวลไม้หอมที่มีโทนอบอุ่นเข้ามาให้รับรู้ได้ และมีพิมเสนอ่อนๆ มันเลยได้อารมณ์เนื้อกลิ่นที่มีความ Mass Market สูงมากกับโทนกลิ่นยอดฮิตที่จะต้องสดชื่นก็ได้ อวลอุ่นเย้าก็ได้ร่วมด้วยในสไตล์น้ำหอมชายยอดฮิตในช่วงตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา เพียงแต่เนื้อกลิ่นไม่ได้มีความสากเย้าปล่อยของแบบสไตล์ต้นตระกูล เรียกว่าพิมเสนเป็นแค่ Background เบาๆ อารมณ์ดึงลายเซ็นมาสแตมป์หน่อย แต่เปลี่ยนทิศทางของน้ำหอมเป็นโทนทันสมัยเข้าใจตลาดกันตั้งแต่ปฐมทัศน์เปิดตัวทางกลิ่นให้รับรู้ แต่ก็ปรามาสไม่ได้ เพราะว่าเนื้อกลิ่นสไตล์อวลเย้าไม้กึ่งอบอุ่นที่มีโทนผลไม้ติดเปรี้ยวแกมขมกึ่งเขียวแบบนี้ที่ค่อนข้างจะเจอในน้ำหอม Designer หลายๆ แบรนด์ กับ Ultimate ถือว่ามีคุณภาพกลิ่นที่ลงตัว และไม่ได้มีความจงใจที่จะอัดแหลกในการปล่อยเสน่ห์จัดจ้าน แต่ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์แทน นี่แหละที่เปลี่ยนไปจาก A*Men ของเดิมชัดเจน
ในการเข้าสู่ช่วงกลาง โทนอบอุ่นอวลๆ ที่จริงๆ แทรกซึมมาตั้งแต่ช่วงแรก ก็เริ่มจะเปิดตัวมากขึ้น สิ่งที่จับได้ก่อนเลยคือวานิลลา ที่จะมีความอบอุ่นกำลังดี มีความค่อนไปทางขนมหน่อยๆ เพราะเริ่มจับต้องกลิ่นออกทางกาแฟติดครีมมี่กึ่งชอคโกแลตเข้ามาร่วมด้วย เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หนักอารมณ์ให้ความอบอุ่นอวลๆ มีความหวานอวลแบบกำลังดี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะยังมีโทนไม้หอมที่ติดสุขุมแกมโปร่งของไม้ซีดาร์ที่เข้ามาเสริมและมีโทนกลิ่นที่ตามมาจากช่วงต้นของสน Fir ที่ยังเสริมกลิ่นโทนติดเขียวกึ่งผลไม้อ่อนๆ แอบมีลูกผสมของโทนแนว Coumarin ที่ให้อารมณ์หญ้าแห้งเขียวแกมอวลหน่อยๆ คล้ายกับจะมีถั่วตองก้าเนียนๆ มารวมอยู่ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคือการชูโรงโทนกลิ่นอบอุ่นของวานิลลาที่หอมอวลๆ แกมไม้หอมที่มีความอุ่นๆ ออกทางติดกาแฟครีมมี่ที่เข้าทางโทนกลิ่นสไตล์ผู้ชายอบอุ่นนุ่มลึกมากขึ้น
และเมื่อเริ่มสัมผัสได้ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับว่าวานิลลาเริ่มกลายเป็นหนึ่งในลูกผสมแล้วเปลี่ยนตัวเอกหลักของกลิ่นมาเป็นกาแฟที่ให้อารมณ์แนวมอคค่าเข้ามา สถานะของช่วงกลิ่นจึงเดินทางมาสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นโทนอบอุ่นแกมดึงดูดแบบที่ให้ความระเรื่ออวลรุมๆ ของความเป็นกาแฟมอคค่าเด่น ซึ่งแน่นอนมีความครีมมี่ของวานิลลา มีความเป็นโทนออกทางกึ่งครีมมี่กึ่งหญ้าแห้งที่เป็นโทนแนวถั่วตองก้าให้ความแมนๆ ในเนื้อกลิ่น มีความหวานเนียนๆ ที่ไม่จงใจ โดยมีสายสนับสนุนของโทนไม้หอมรองพื้น ภาพรวมของกลิ่นเลยได้ความมีเสน่ห์ดึงดูดที่กำลังดี มีความอบอุ่นก็ได้ ความสุขุมก็สามารถ อารมณ์แบบผู้ชายที่มีความอบอุ่นและพึ่งพาได้ โดยที่ไม่ทิ้งความเย้าชวนคลุกวงในเนียนๆ อารมณ์แบบผู้ชายสมาร์ทน่าสัมผัสความอบอุ่นแนวๆ นั้นเลย
เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หวือหวาเท่ากับรุ่นอื่นๆ ใน Collection นี้เท่าไหร่ เน้นให้ความหอมอวลที่ดึงดูดก็ได้ อบอุ่นแกมสุขุมมีเสน่ห์ก็ดีแทน เลยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่อาจจะไม่ได้ Match กับการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่ แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงาน โรแมนติค น่าจะเข้าทีกว่า แต่ก็ใส่ออกท่องราตรีได้อยู่ เพียงแต่จะไม่ได้โดดเด่นนักก็เท่านั้นเอง
ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างก็ว่ากันไปตามจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. สบายๆ กับ 6 สเปรย์ในการใช้งาน
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แต่เพียงไม่นานก็จะลดลงมากระจายดีไปซักราวๆ 1 - 2 ชม. ก่อนจะค่อยๆ ลดเลงมาตามลำดับ จนเมื่อผ่านไปราว 5 - 6 ชม. ก็เริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกึ่งติดผิวแล้ว
สรุป - จากเดิมความเป็น A*Men มักเน้นการนำเสนอโทนฮีโร่แนวหวือหวา ผสมผสานกับความ Unique ในความเฉพาะที่เน้นการขับเสน่ห์ แต่พอมา A*Men Ultimate ต้องบอกว่าเป็นการนำเสนอสไตล์ A*Men ฮีโร่ยุคใหม่ที่เน้นสุขุม อบอุ่นแบบพึ่งพาได้และจับต้องได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้แตะคำว่า Wow Factor ในการเป็นน้ำหอมที่มาสายล้ำสมัยหรือฉีกอย่างมีสไตล์ แต่ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์ความมีเสน่ห์ที่ไม่ต้องหวือหวาเยอะสิ่งที่เอาอยู่ในความดึงดูดแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ให้เสน่ห์ทางกลิ่นที่ลงตัว
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://www.fragrantica.com/news/Mugler-A-Men-Ultimate-12682.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น