Issey Miyake - Nuit d’Issey Noir Argent
เพราะแบรนด์ต่างๆ มีตัวเอกเรียกแขกตามเทรนด์กลิ่นที่มีมาในช่วงปี 2015 ถึงช่วงปี 2020 ที่ต้องมีกลิ่นอายสายเย้าที่มี Ambroxan ที่เป็นสารหอมตัวเก่ง ซึ่งทำให้น้ำหอมรุ่นนั้นกลายเป็นตัวยอดฮิตที่ต้องมี ใช้แล้วจะฟินไปสามบ้านแปดบ้านสำหรับคนได้กลิ่นอะไรก็ว่าไปตามการบอกเล่าบอกต่อหรือลามไปอวยจนสุดๆ ก็ว่ากันไป ซึ่งในนั้นตัวนำเทรนด์ต้องยกให้ Dior Sauvage และ Bleu de Chanel ที่เปิดกระแสอย่างเต็มๆ จนทำให้แบรนด์อื่นต้องมีกลิ่นอายลักษณะคล้ายคลึงมาแชร์ส่วนแบ่งการตลาด โดยมี Concept ที่แตกต่างกันไปในการนำเสนอ และหนึ่งในนั้นก็มี Issey Miyake รวมอยู่ด้วยในการเอากลิ่นโทนสายเจ้าเสน่ห์ที่มีอยู่เดิมอย่างไลน์ Nuit d’Issey มาต่อยอดจนเป็น Nuit d’Issey Noir Argent ในปี 2018 นั่นเอง
แต่เพราะความเป็นแบรนด์นี้จะต้องมีอะไรที่ลงลายเซ็นกลิ่นอายของตัวเองเสมอ เลยต้องมาลุ้นกันหน่อยว่ากลิ่นตามเทรนด์ที่มีการต่อยอดในการเป็ย Noir Argent จะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ว่ากันได้ตามนี้เลย
เปิดต้นกลิ่นได้ชัดเจนมากขึ้นกลิ่นอายสไตล์ Citrus ที่มีเกรปฟรุตผสมผสานอยู่ในเนื้อกลิ่นชัดเจนอยู่ตลอด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งลายเซ็นที่น้ำหอมแบรนด์นี้จะต้องนำเสนอเนียนๆ ในกลิ่นเสมอ โดยคลอไปกลับโทนกลิ่นสายเครื่องเทศเผ็ดโปร่งอย่างพริกไทยที่ให้ความเผ็ดนวลอวล และมีกลิ่นเย้าๆ ติดฝากหอมกึ่งกุหลาบบางๆ ของพริกไทยสีชมพูร่วมด้วย แต่กลิ่นจะไม่ได้เผ็ดพุ่งนัก เพราะมีตัวกล่อมเกลากลิ่นที่ดที่ให้ลูกผสมโทนไม้หอมกับปร่านวลเครื่องเทศอย่างเม็ดจันทน์หอมที่เป็นตัวสร้างความเผ็ดนุ่มในเนื้อกลิ่น แต่ไม่ใช่แค่นั้นจะจับต้องได้อีกหนึ่งโทนที่เป็นสายยางไม้ปนธูป Incense ที่มีโทนกึ่งพริกไทยกึ่ง Citrus หน่อยๆ อย่าง Franincense เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งรวมๆ กันแล้วกลิ่นมีเสน่ห์เข้าทางสายเมโทรและมีพื้นฐานกลิ่นที่อารมณ์ใกล้เคียงความเป็นรุ่นดังๆ ในสายนี้ไม่น้อยเลย แต่
การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้นเมื่อเริ่มมีกลิ่นหนังเสริมเข้ามาทีละหน่อยๆ จนปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่จะเริ่มเป็นการเบลนด์เอาความเย้ายวนของกลิ่นหนังที่มีความอบอุ่นอวลกำลังดีเคล้ากับกลิ่นโทน Incense ที่เริ่มชัดขึ้น ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นทั้งหมดจะตามมายังช่วงกลางเป็นสายสนับสนุนด้วยโดยเฉพาะสาย Spicy ทั้งหลาย มีเพียงเกรปฟรุตที่จะคงเหลือบบปลายกลิ่นให้มิติสดชื่นเนียนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งกลิ่นหนังที่โดดเด่นในช่วงนี้จะไม่ได้เป็นกลิ่นหนังโทนติดสาบ Animalic แต่อย่างใด ให้อารมณ์แบบผืนหนังสีดำที่กลิ่นกลิ่นติดอวลทึบสะอาดแต่มีความดาร์กที่ชัดเจนพอสมควร และมีกลิ่นติดขมปนหวานลึกของหญ้าฝรั่นที่มาสร้างโทนเย้าๆ ดึงดูดในความเป็นโทนดาร์กนิ่งอวลได้ดี โดนที่จะมีออร่ากลิ่นของสาย Incense ของ Frankincense โลดแล่นเป็นฉากหน้าที่ให้ความมีเสน่ห์อวลติดปร่าเย้าแบบกำลังดีปลายกลิ่นเปรี้ยวบางๆ แล้วมิติต่อมาคือหนังที่อวลติดอุ่นดาร์กนิ่ง แล้วจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นยางไม้อีกประเภทที่เสริมเนียนเข้ามาทีละหน่อยๆ อย่าง Myrrh ที่มาเสริมความขมปนหวานลึกกึ่งโทนแอมเบอร์ในเนื้อกลิ่นเพิ่มความอบอุ่นเจือหวานลึกอวลทีละหน่อยๆ และเด่นขึ้นมาพร้อมกับพากลิ่นเข้าสู่ช่วงท้าย ที่คล้ายนี้จะได้อารมณ์เดียวกับต้นตระกูลของไลน์นี้อย่าง Nuit d’Issey เลย เพราะจะมีลูกผสมกึ่งโทนไม้หอมแห้งๆ อบอวลปนความหนาอุ่นของกลิ่นที่เพิ่มมากขึ้นที่ชัดเจนว่าเป็นสไตล์กลิ่นสารหอมอย่าง Ambroxan ยอดฮิตที่เป็นอีกหนึ่งในผู้เล่นหลักที่สร้างความอวลอุ่นเย้ามีเสน่ห์แบบกำลังดีและสมดุลย์มากโดยไม่ทำให้กลิ่นนี้โดดออกมาจนกลายเป็นลบลายเซ็นของไลน์นี้ออกไปแต่อย่างใด ซึ่งโทนกลิ่นจะมีเลเยอร์ชัดเจนมากโดยจะจับต้องได้ถึงกลิ่นหนังปนยางไม้อวลดารก์แต่ไม่ได้ทึบแน่นจัดจ้านเพราะ Frankincense ยังคุมโทนอยู่ และมีกลิ่นไม้หอมแห่งๆ คล้ายหญ้าแฝกให้รับรู้เนียนๆ คลอไปกับ Ambroxan ได้อย่างลงตัว รวมถึงจะมีกลิ่นพิมเสนคลอเนียนๆ ให้ความระเรื่อเย้าเนียนๆ แบบสร้างบรรยากาศรวมอยู่ด้วย รวมกันสร้างอารมณ์ทางกลิ่นแบบอวลกำลังดี มีเสน่ห์และความน่าค้นหาในโทนดาร์กแต่ไม่ทึบหนักข้น มีความกลางๆ โดยมีความนิ่งที่มีระดับของกลิ่นให้จับต้องได้ตลอด ถือว่าปิดท้ายการคลอรอบกายกันยาวๆ ไปอย่างงามๆ เลยทีเดียว
เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้สบายมาก กลิ่นสร้างออร่าดาร์กน่าค้นหาและทันสมัยเลยทีเดียว โดยมีตัวเรียกแขกด้วยโทนยอดฮิตมาปูทางสร้างเสน่ห์ประมาณนั้น ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม แต่ถ้าใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งแนะนำให้ข้ามไปดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน บอกเลยจัดไป ได้หมดและมีเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายามพรีเซนต์ตัวเองแถมน่าค้นหาในความดาร์กได้ดีอีกด้วย
ความทน - มากกกกก เรียกว่าประทับใจเลยกับ 15 ชม. ที่เจอกับตัว เพราะเป็น EDP ด้วยส่วนหนึ่ง โดยถ้าตีค่าเฉลี่ย ยังไงก็เกิน 8 ชม. สบายมาก
การกระจาย - กระจายดีในตอนต้นและคงตัวยาวๆ เลยไปจนถึงราว 3 ชม. แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายๆ หรือผ่านไป 6 - 8 ชม. ตามแต่ละประเภทผิวผู้ใช้แล้ว ถึงจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ
สรุป - ถ้าเอาไปเทียบกับตัวดังๆ ก็พอบอกได้ว่ามีความเป็น Dior Sauvage กับ Bleu de Chanel อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวเด่นนักเพราะเป็นแค่ช่วงเปิดที่เรียกแขก แต่ที่เหลือคือกลิ่นที่บ่งบอกถึงสุภาพบุรุษสไตล์ผู้ชายตะวันออกที่นิ่งขรึมดาร์กน่าค้นหา แกมมีเสน่ห์สไตล์นิ่งๆ เท่ห์ๆ คูลๆ ในชุดโทนเข้ม ซึ่งถือว่าดึงเอกลักษณ์สไตล์ Nuit d’Issey ออกมาได้ดีเสริมราศีความดาร์กเข้าไปได้น่าสนใจมากจริงๆ
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://www.isseymiyake.com/en/news/2455
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น