Diptyque - Orpheon
จุดเริ่มต้นของการกำเนิดแบรนด์ Diptyque เกิดที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Orpheon ซึ่งเป็นจุดนัดพบปะสังสรรค์กันระหว่างคน 3 คน คือ Yves Coueslant, Desmond Knox-Leet และ Christiane Gautrot ที่ทั้งหมดก็คือผู้ก่อตั้งแบรนด์ Diptyque
เมื่อจุดตั้งต้นมาจากการพูดคุยและสังสรรค์ในไนท์คลับถึงการสร้างสรรค์น้ำหอม รวมถึงการได้ไอเดียใหม่ๆ เวลามาเยือนที่ Orpheon แห่งนี้ เช่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเหมาะกับช่วงเวลาแห่งการ Tribute ที่จะพาเรากลับไปที่จุดเริ่มต้นในกาเป็นแบรนด์ การสร้างสรรค์กลิ่น และไอเดียที่จะถ่ายทอดกลิ่นต่างๆ เช่นนั้น ในปี 2021 กับการครบรอบ 60 ปีของแบรนด์ Diptyque จึงได้เปิดตัวการถอดกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่เป็นเสมือนสถานที่จุดประกายความหอมของแบรนด์นี้ออกมาผ่านรุ่นที่ชื่อเดียวกับไนท์คลับอย่าง Orpheon และกลิ่นที่ออกมานั้นเป็นอย่างไร ก็ว่ากันได้ตามนี้เลย
ช่วงเปิด - กลิ่นจูนิเปอร์เบอร์รี่จะเป็นตัวหลักที่ให้อารมณ์แบบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง Gin โดยกลิ่นมีความปร่าเขียวฟุ้งเสริมด้วยกลิ่นติดคมแกมเขียวนิดๆ ของยางไม้ที่เสริมเข้ามาแบบสมดุลย์ไม่แย่งซีนและไม่คมเกินไป อารมณ์จะแอบมีโทนกึ่งสบู่ปร่าซ่าสมุนไพรนิดๆ ให้พอจับต้องได้ด้วยหน่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นเหล้า Gin ที่มีความเป็นธรรมชาติมากจริงๆ ได้อารมณ์เหมือน Gin Tonic หรือจะค่อนไปทาง Martini เบาๆ มาเสิร์ฟตรงหน้า แล้วเรายกแก้วดื่มพร้อมสูดกลิ่น Gin ที่ได้รับรู้ นี่แหละ ช่วงนี้ให้ความรู้สึกแบบนี้ชัดเจนมาก
ช่วงกลาง - คือการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโทนกลิ่นกันเลยแบบค่อนข้างชัดมาก ซึ่งตั้งแต่ช่วงรอยต่อระหว่างต้นกับกลาง ก็จะเริ่มสัมผัสได้ว่า กลิ่น Gin เริ่มเบาลงๆ แล้วกลายเป็นกลิ่นออกทางกึ่งหญ้าแฝกที่มีความเป็นโทนออกทาง Smoky หน่อยๆ กึ่งควัน และมีลักษณะเนื้อกลิ่นเป็นโทนยาสูบผสมผสานอยู่ในความเป็นกลิ่นกึ่งควันไอนั้น ซึ่งก็ชัดเจนกลิ่นบุหรี่ที่เป็นโทนติดควันแบบบรรยากาศในสถานที่ที่มีคนสูบบุหรี่แบบไม่ได้หนักนัก แต่จะมีความซับซ้อนเข้ามาหน่อยนั่นคือ การเป็นโทนกึ่งไม้หอมที่ทั้งเป็น Effect ของหญ้าแฝกเองที่มีโทนไม้หอมแห้งๆ อยู่แล้ว รวมถึงมีโทนออกทางไม้ซีดาร์ที่ให้ความขรึมๆ กำลังดี ซ้อนด้วยความละมุนของดอกไม้ขาวที่จับต้องได้เต็มๆ คือ มะลิ และแอบมีกระดังงาด้วยหน่อยๆ แกมกลิ่นออกทางโทนแป้งที่ให้อารมณ์แบบแป้งหอมดอกไม้คลาสสิดกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์ ซึ่งทั้งไม้หอมและดอกไม้แกมแป้งนี้ต่างก็เป็นสายสนับสนุนที่มีน้ำหนักพอสมควรและเกลาให้กลิ่นที่ออกทางควันบุหรี่นั้นนุ่มขึ้นด้วย ทำให้ช่วงนี้มีความหลากหลายในเนื้อกลิ่นมากเลยทีเดียว และสื่อสารถึงความเป็นสภาพแวดล้อมแบบไนท์คลับแบบ Retro ได้ชัดมากอีกด้วย
ช่วงท้าย - ก่อนที่จะเข้าช่วงท้าย การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นก็จะเริ่มพลิกเกมกันอีกครั้ง โดยที่ยังมีความเชื่อมโยงแบบเนียนๆ จากช่วงกลางอยู่จากกลิ่นที่เป็นโทนบุหรี่ แต่จะเบาลงจนเหลือเพียงปลายกลิ่น ซึ่งตัวหลักในช่วงนี้จะกลายเป็นโทนแป้งแนวคลาสสิคเด่นมาเลย ซึ่งจะได้ความรู้สึกแบบแป้งหอมดอกไม้ที่เป็นแป้งเครื่องสำอางค์สไตล์ Retro โดยมีกลิ่นออกทางคล้ายน้ำผึ้งที่จะมีลูกโทนเอียนเล็กๆ ผสมผสานอยู่ ซ้อนด้วยโทนไม้หอมที่จับต้องได้ชัดเจนเลยถึงกลิ่นที่มีความเป็นไม้ซีดาร์แกมหญ้าแฝกที่ให้ลักษณะอารมณ์กลิ่นแบบไม้หอมติดขรึมๆ ดาร์กนิดๆ น่าค้นหา + ความเป็น Ambroxan ที่ก็จับได้ด้วยว่าใส่เข้ามาเพื่อตรึงให้กลิ่นมีความอวลแกมไม้หอมกำลังดีร่วมด้วย ซึ่งกลิ่นจะไล่เรียงจากแป้งหอมดอกไม้ติดหวานที่มีความอบอุ่นแกมไม้หอมขรึมๆ ที่ยังมีความอ้อยิ่งของกลิ่นแบบควันยาสูบอยู่ปลายกลิ่น ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะเนื้อกลิ่นที่สร้างโทนแบบมีความเป็นไนท์คลับที่มีผู้คนอยู่ในนั้นชัดเจนมากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปจากช่วงกลาง เรียกว่าปิดท้ายได้อย่างครบถ้วนในการ Tribute กลิ่นอายสถานที่ได้ครบมาก
เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน และครอบคลุมการใช้งานทั้งแบบจะเป็นสไตล์ Modern ก็ได้หรือ Classic ก็ดี ซึ่งเนื้อกลิ่นอาจจะต้องผ่านโทนแป้งหอมดอกไม้แบบย้อนยุคบ้าง จะเข้าถึงได้เร็วและง่ายขึ้น ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ซึ่งเข้ากับทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนถือเป็นกลิ่นที่ออกงานหรือท่องราตรีแบบชิลล์ๆไนท์คลับหรือบาร์ได้อยู่ แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายปล่อยพลังสร้างความเย้ายวนจมูกชาวบ้านเท่าไหร่ เพราะว่าเนื้อกลิ่นให้อารมณ์สถานที่เสียมากกว่าประมาณนั้น
ความทน - กลิ่นทนดีงามเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. ขึ้นไป ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่บนผิว เรียกว่าไม่ผิดหวังในเรื่องนี้
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ได้อารมณ์กลิ่น Gin เต็มๆ ก่อนที่จะคงความเสถียรที่กระขายปานกลางคนรอบข้างได้กลิ่นจากเราแบบกำลังดีไม่หนักเกินไปยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 ก่อนที่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายและคงตัวยาวๆ ไปต่อจนเป็น Skin Scent เต็มตัวเอาเมื่อผ่านชั่วโมงที่ 12 ไปแล้ว
สรุป - ต้องบอกเลยว่า 1 รุ่น เหมือนได้น้ำหอม 3 กลิ่น ที่แต่ละช่วงจะมีความเป็นเอกเทศในการสร้างกลิ่นอายที่ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะมีลูกเอื้อนทางกลิ่นที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่แบบเนียนๆ แต่อารมณ์กลิ่นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตาม Stage นั้นๆ ของน้ำหอมแบบที่มีความน่าสนใจมากในการถ่ายทอดความเป็นสภาพแวดล้อมไล่จากกลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต่อด้วยความเป็นไม้หอมแกมควันบุหรี่กึ่ง Smoky และปิดท้ายด้วยกลิ่นออกทางแป้งหอมคลาสสิค ซึ่งไม่ธรรมดาเลยทีเดียวกับความหลากหลายทางกลิ่นของน้ำหอมรุ่นนี้
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://www.diptyqueparis.com/en_us/p/orpheon-eau-de-parfum-75ml.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น