วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfums Dusita - Le Pavillon D’Or

Parfums Dusita - Le Pavillon D’Or

เมื่อได้อ่านที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์น้ำหอมรุ่น Le Pavillon D’Or ที่ไม่ว่าจะมาจากความรู้สึกประทับใจและความสุขที่เกี่ยวข้องกับ 3 ทะเลสาบที่ได้ไปท่องเที่ยวอย่าง

  • ทะเลสาบสุริยันจันทรา ที่คุณพ่อของสุคนธกรได้ซึมซับเขาความงดงามของสภาพแวดล้อมและแต่งบทกวีขึ้นมาที่ชื่อว่า “A Wish”
  • ทะเลสาบ Guerledan ที่แคว้น Brittany ของฝรั่งเศส ที่มีความเงียบสงบ และ
  • ปิดท้ายกับกึ่งๆ ทะเลสาบ ณ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ที่เป็นพระที่นั่งโถงปราสาทกลางน้ำ ที่พระราชวังบางปะอิน

ซึ่งทุกอย่างได้ขมวดรวมกัน จนตกผลึกเป็นเป็นคำจำกัดความย่อๆ ได้ว่า “ความสุขและความสงบ” จนเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมของแบรนด์ Parfums Dusita ที่เปิดตัวมาในปี 2019 และคว้ารางวัลทางด้านน้ำหอมอย่าง FIFI Awards - Niche Customer Choice ในปีเดียวกันกับที่วางจำหน่ายเสียด้วย

เช่นนั้น เกริ่นครบ ก็มาจบที่การเล่ากลิ่นกันหน่อยว่า เนื้อกลิ่นในการสื่อสารความรู้สึกที่ปิติสุขและสงบจากภายในกับการซึมซับความงดงามต่างๆ มาสู่ขวดในรุ่นนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

Le Pavillon D’Or เปิดตัวมากับความเขียวที่มีความเย็นๆ ในเนื้อกลิ่น อารมณ์กึ่งมินต์ปร่าเขียวแต่มีความขมติด Citrus ที่ไม่ได้เปรี้ยวแต่ให้ความสดชื่นคลอเบาๆ แต่นอนว่าในความขมแกมเขียวของเนื้อกลิ่นสัมผัสได้เต็มๆ เลยคือ ใบมะเดื่อฝรั่ง (Fig) ที่จะเป็นตัวสร้างความเขียวขมทึบแกมมิลค์กี้เนียนๆ อยู่ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นกึ่งคล้ายจะแป้งติดหวานคล้ายน้ำผึ้งบางๆ ปลายกลิ่นที่เป็นลักษณะของโทนดอกไม้มาเสริม รวมถึงมีโทนออกทางคล้ายเนื้อหัวเหง้าติดทึบๆ คล้ายแป้งกึ่งเนื้อเนยเบาๆ ที่เดาได้ไม่ยากว่าเป็นหัวเหง้าออริส แกมกลิ่นคล้ายวานิลลาเนียนๆ แต่มาแบบเป็นตัวรองพื้นเสียมากกว่า ทำให้ภาพรวมของกลิ่นจะเกลาให้ความเขียวของกลิ่นแกมมินต์กึ่ง Citrus และใบ Fig ที่รับลูกกันได้ดีมากๆ นั้น ไม่ได้คมเกินไป อยู่กึ่งกลางที่ได้ทั้งความเขียวที่ชัด ความสดชื่นเย็นๆ และความรื่นรมย์แบบกลิ่นอายธรรมชาติ เรียกว่าเปิดมาก็สร้างความสมดุลย์ทางกลิ่นที่ลงตัวมาก สามารถตกเอาคนที่ชอบกลิ่นโทนเขียวแบบทันทีเลยก็ว่าได้

เมื่อโทนเขียวเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง จากการมีโทนติดปร่าซ่าระเรื่อจมูกแทรกตัวเข้ามาผสมผสานเรื่อยๆ จนเริ่มสัมผัสได้ถึงความซับซ้อนในเนื้อกลิ่นที่มีความเนียนสูงมาก ไม่ว่าจะมีโทนออกทางดอกไม้ติดผลไม้หวานเบาๆ กลิ่นออกทางสมุนไพรของใบไทม์ที่ให้ความหอมสมุนไพรติดปร่าแบบคล้ายพิมเสนน้ำแบบหรูหรา และมีโทนยางไม้ของ Frankincense ที่ให้ความ Smoky ติดปร่าสดชื่น โดยมีความครีมมี่ติดแป้งกึ่งอัลมอนด์กึ่งวานิลลาซ้อนเข้ามาด้วย ก็กลายเป็นเข้าสู่ช่วงกลางที่ให้กลิ่นแนวแป้งที่มีความปร่า Spicy หอมแบบอะโรม่า ไล่เลเยอร์จากความปร่าระเรื่อจมูก ตามด้วยความเขียวที่ตามมาจากตอนต้นผสมความเป็นสมุนไพรเข้าไปแบบสมดุลย์เหมาะเจาะ และมีโทนหวานประปรายจากดอกไม้แกมกลิ่นออกทาง Smoky เบาๆ + ความเป็นแป้งหอมครีมมี่อ่อนๆ ที่ติดทึบเล็กๆ ซึ่งทุกอย่างพอผสมผสานกันเข้ามาแล้ว กลายเป็นอะโรม่าที่ไล่โทนจากเขียวไปสู่โทนสว่างสีครีมกึ่งสีทองอ่อนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก

ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนจากช่วงกลางสู่ช่วงท้าย จะเริ่มจับได้ว่าเนื้อกลิ่นมีโทนไม้หอมที่มีเลเยอร์ออกทางครีมมี่ติดจืดหอมนวลๆ และหรูหราแบบนิ่งๆ ของไม้จันทน์หอมเข้ามาพร้อมกับกลิ่นออกทางไม้หอมติดดินหน่อยๆ ที่เป็นลักษณะแบบไม้โอ๊ค ทำให้โทนแป้งติดเขียวที่จับต้องได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง จนลดทอนความเขียวลงเหลือเพียงปลายกลิ่น โดยที่ยังมีความปร่าระเรื่อเจือหวานโปร่งจมูกอยู่ให้รู้สึกได้ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าการเอาโทนไม้จันทน์หอมมาเจอกับโทนกึ่งแป้งครีมมี่หน่อยๆ ที่คล้ายแป้งอัลมอนด์ติดดอกไม้เจือวานิลลาแบบ Lite Version ทำให้กลิ่นมีความเป็นเฉดออกทางโทนสีทองอ่อนติดสีครีมที่มีระดับและมีความเป็น Rich Tone สูงมาก แต่เพราะมีกลิ่นไม้โอ๊คที่มีโทนออกทางกลิ่นไม้ที่ติดโทนอะโรม่าแกมติด Earthy ดินๆ เลยทำให้กลิ่นมีความ Mix & Match ให้มีความเรียบหรูแบบที่ยังเข้าถึงได้ง่าย ยิ่งมาเติมเต็มเชื่อมโทนด้วยโทนแป้งที่รองพื้นและมีความปร่าระเรื่อให้ความรู้สึกสะอาดรวมอยู่ด้วย ยิ่งทำให้ช่วงท้ายคือความผ่อนคลายก็ได้ นุ่มนวลก็ดี เรียบหรูมีระดับก็เหมาะ คุมสมดุลย์ในโทนสว่างได้ครบถ้วนจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ใช้ได้หมดทุกเพศ ถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นโทนเขียวที่เป็นธรรมชาติ และโทนนวลมีระดับสไตล์มินิมัลที่ซ่อนความซับซ้อนเนียนๆ ไว้แบบมีเสน่ห์ บอกเลยว่าอินและฟินได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับหลาย สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ แบบกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ได้อยู่ (ถ้าไม่กลัวเปลืองน้ำหอมที่จะละลายไปกับเหงื่อ) ซึ่งถือว่าครอบคลุมมากเลยทีเดียวในการใช้งานและยกระดับผู้ใส่ให้มีออร่าผู้ดีเรียบหรูชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงาน ทั่วไป หรือโรแมนติคจะดีกว่า เพราะกลิ่นจะให้ความรู้สึกดีๆ ที่มีเสน่ห์ มากกว่าเย้ายวนหรือเซ็กซี่เลยไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปปล่อยของยามค่ำคืนตามสถานบันเทิงเท่าไหร่

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้างว่ากันตามสภาพอากาศ สภาพผิว และจำนวนสเปรย์ โดยส่วนตัวจัดไปที่ 6 สเปรย์ แตะ 8 - 10 ชม. ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในสภาพอากาศเมืองไทยร้อนปกติทั่วไป หรือว่าอยู่ในห้องแอร์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น คือความเขียวชัดมาเลย แต่ไม่คมจนทำให้เรารู้สึกฉุนแต่อย่างใด แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 5 ชม. ถึงค่อยลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อพ้น 8 ชม. ไปแล้วถึงเป็น Skin Scent

สรุป - ต้องชื่นชมเลยว่าในการ Mix ที่มาของกลิ่นอย่าง 3 ทะเลสาบ สู่การเล่ากลิ่นที่ไล่เรียงกันตั้งแต่ช่วงต้นสู่ปลายชัดจริงๆ ตามการเรียงลำดับจากทะเลสาบสุริยันจันทรา ทะเลสาบ Guerledan และพระราชวังไอศวรรย์ทิพยอาสน์ จากเขียวสู่ทองนวลสว่าง (ที่ดีใจมากว่าไม่มีโทน Aquatic มากวนใจ) ซึ่งทำให้สัมผัสกลิ่นอายที่บอกถึงความสุขเวลาเราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ได้ความสงบที่สร้างความปิติสุขในจิตใจ และปิดท้ายด้วยได้ความเพลิดเพลินจากการตามติดกลิ่นในแต่ละช่วงอีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumsdusita.com/product-page/le-pavillon-d-or

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น