Parfums Dusita - Splendiris
ถ้าพูดถึง Note กลิ่นที่ให้ความเป็นโทนแป้งแบบเบาๆ แบบแป้งฝุ่นที่มีติดติดหวานจืดแกมดอกไม้อ่อนๆ หรือค่อนไปทางแป้งเครื่องสำอางค์ คงหนีไม่พ้น Iris ที่เป็นพืชดอกที่มีหัวเหง้าใต้ดินหรือรู้จักกันว่า Orris (ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่ง Note กลิ่นที่มีความสำคัญในการสร้างโทนแป้งติดทึบอับ Earthy แกม Buttery ที่อยู่คู่น้ำหอมมาอย่างยาวนานเช่นกัน) โดยในความเป็น Iris เราก็เจอมามากมายในน้ำหอมแต่ละแบรนด์ไม่ว่าจะทั้งสาย Designer และ Niche Perfume มาตลอดขึ้นอยู่กับว่าใครจะดันให้กลิ่น Iris ออกมาในรูปแบบไหน
และในปี 2019 ฝั่ง Niche Luxury Brand อย่าง Parfums Dusita ก็ได้เปิดตัวน้ำหอมที่ชูโรงการเป็นกลิ่นอาย Iris ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการตั้งชื่อรุ่นด้วยอย่าง Splendiris ที่ทำให้หลายๆ สำนักทางด้านฐานข้อมูลน้ำหอมต่างๆ ก็ยกย่องกลิ่นนี้ว่าเป็นการสร้างสรรค์กลิ่นที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เช่นนั้น มีหรือที่จะยอมพลาดกับการเรียนรู้กลิ่น และสิ่งที่ได้รับก็คือ
ต้องบอกกันก่อนเลยว่าเป็นการวาง Position ของกลิ่น Iris ที่เป็นศูนย์กลางของน้ำหอมเชื่อมโยงกับโทนกลิ่นต่างๆ ที่มาชูโรงความเป็นโอริสในรูปแบบที่สามารถสื่อสารได้หลากอารมณ์กลิ่นแต่เชื่อมโยงกันต่อแบบต่อเนื่องผืนเดียวกัน โดยเริ่มที่ การเป็น Iris ที่เสริมด้วยความสดชื่นกันก่อนจาก 3 โทนหลักคือ Aquatic, Citrus และ Green ซึ่งกลิ่นออกทางกึ่งแตงกวากึ่งเขียวชื้นๆ แกมน้ำของใบไวโอเล็ตที่ฟุ้งออกมาพร้อมกับกลิ่นใบมะเดื่อเขียวขมอ่อนๆ เจือด้วยกลิ่นหวานอมเปรี้ยวที่มีความฉ่ำหน่อยๆ แกมขมปร่านิดๆ ซึ่งเป็นลูกผสมของโทนส้มที่ค่อนไปทางโทนหวานเด่นกว่าเปรี้ยวและมีมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เป็นตัวเสริมให้อารมณ์แบบบรรยากาศสดชื่น แต่ถ้ามีเพียง 3 โทนหลักนี้แล้วมาเจอกับ Iris คาดว่าตัวหลักน่าจะโดนกลบ เลยมีตัวช่วยชั้นดีในการให้โทนแป้งกึ่งสมุนไพรที่ใกล้ความเป็น Iris กับ Orris มากอย่างเมล็ดแครอทเข้ามาช่วย เนื้อกลิ่นเลยเชื่อมโยงกันอย่างลงตัวโดยให้โทนแป้งติดหวานที่มีเสน่ห์ของไอริมให้จับต้องได้ตามด้วยความสดชื่นต่างโทนที่รายล้อมโดยไม่ได้แย่งซีนกันและกัน เรียกว่าเป็นช่วงเปิดที่สร้างความรื่นรมย์ชัดเจน และสามารถตกเอาคนที่ชอบโทนแป้งให้อินได้ตั้งแต่เริ่มเลยทีเดียว
การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มจับต้องได้เมื่อโทนสดชื่นต่างๆ เริ่มเบาลง แต่เปิดทางให้เนื้อกลิ่นโทนแป้งกลายเป็นหลักเด่นมากขึ้น โดยที่ความเป็น Iris ยังเด่นอยู่ให้ความระเรื่อเบาๆ แป้งกึ่งดอกไม้จืดหอมระเรื่อ ซึ่งแน่นอนว่าความเป็นเมล็ดแครอทที่ให้โทนแป้งติดทึบแกมหวานหอมสมุนไพรอ่อนๆ ยังคงอยู่และมีตัวเสริมชั้นดีอย่างโทนเหง้า Orris มาเสริมโทนให้ออกทางแป้งทึบกึ่งเนื้อเนยร่วมด้วย และยังมีกลิ่นดอกไวโอเล็ตที่ให้ความเป็นแป้งติดหวานโปร่งเสริมเข้ามาอีก พร้อมกับกลิ่นดอกไม้ติดหวานแกมนวลประปรายที่เสริมให้มีโทนแบบแป้งดอกไม้แกม Classic อ่อนๆ ของกุหลาบและมีความนวลระเรื่อของมะลิให้รู้สึกได้ + มีโทนกลิ่นคล้ายแนวช่อดอกไม้ที่มีกุหลาบกับมะลิรวมๆ กันอยู่แบบแยกออกมาจากโทนแป้งและให้ความโรแมนติคกำลังดี เลยทำให้ช่วงนี้เป็นหัวใจหลักเลยที่จะสื่อสารถึงโทนแป้งที่มีมิติและเลเยอร์ส่งเสริมกัน ไม่ว่าจะเป็นโทนแป้งโปร่งหวานติดเขียวหน่อยๆ มีความชื้นเล็กๆ ที่ตามมาจากช่วงต้น ซ้อนด้วยโทนแป้งติดระเรื่อจืดหอม ที่มีลูกผสมของโทนดอกไม้หอมนุ่มนวลและหรูหรา แกมความร่วมสมัยที่มีทั้งความ Classic และ Modern กันอยู่ในตัวแบบที่ชูโรงความเป็น Iris แบบแป้งเจือดอกไม้ชัดเจน
เมื่อเริ่มมีความเป็นแป้งอีกมิติเสริมขึ้นมาทีละหน่อยแบบโทนแป้งกึ่งครีมมี่และมีความนวลอบอุ่นกำลังดีเสริมขึ้นมาพร้อมกับความหวานนวลอ่อนๆ ที่คลอเคลียกลิ่นไปด้วย ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงโทนอบอุ่นนุ่มนวล ที่ยังมีความเป็นไอริสประปรายแบบปลายกลิ่นให้รู้สึกได้ แต่จะได้ความนุ่มนวลกำลังดีที่มีลูกผสมของความเป็นโทนแป้งวานิลลาที่มีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นกำลังดี + กับการมีโทนไม้หอมที่ติดแห้งๆ สะอาดๆ และมีโทนสว่างเป็นพื้นฐานที่เป็นอีกมิติที่สมดุลย์กับเนื้อกลิ่น เลยทำให้ภาพรวมเป็นโทนกึ่งผิวกายนวลที่ผสมกับโทนแป้งครีมมี่กำลังดีจนหอมนุ่มๆ แกมหวานแบบมีระดับและมีเสน่ห์แบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่งก็ให้ความเรียบหรูได้ไม่ยาก ปิดท้ายการเป็น Splendiris ได้อย่างสมดุลย์และลงตัวมาก
เหมาะสำหรับ - เนื้อกลิ่นมีความ Unisex อยู่ราวๆ 70% ซึ่งจะเป็นช่วงท้ายที่ Cover การใช้งานแบบครอบคลุมทุกเพศ เลยทำให้ตอบโจทย์ผู้หญิงมากกว่าพอสมควรในการใช้งาน แต่ถ้าพื้นฐานผู้ชายที่จะใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ ชอบกลิ่นอายโทนแป้งบอกเลยว่าฟินแน่ๆ เพราะตอบโจทย์โทนแป้งที่หลากมิติในการรับกลิ่นไม่น้อยเลย ซึ่งเนื้อกลิ่นเข้ากับหลายๆท สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่จะไม่เข้าทางเท่าไหร่ถ้าใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกาย อันนี้หลุดความเรียบหรูไปหน่อยกับการใช้งาน ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อออกงาน โรแมนติค หรือว่าทั่วๆ ไปแบบวางตัวดีๆ จะเข้าทางที่สุด
ความทน - กลิ่นทนที่ราวๆ 8 ชม. กำลังดี อาจจะมีการบวกลบซักราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวก็แตะที่ราวๆ 8 ชม. กำลังดีเสมอ อาจจะมีไปต่อบ้างในหลายๆ ครั้งที่ฉีดเสื้อที่สวมด้วยได้ยาวสุดที่เจอคือ 12 ชม.
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนที่จะค่อยๆ ลดระดับลงมาปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เต็มตัวเอาราวๆ ชั่วโมงที่ 8 เป็นต้นไป
สรุป - ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเนื้อกลิ่นมีโทนพื้นฐานที่ใกล้เคียงความเป็น Guerlain - Insolence EDP อยู่บ้าง เลยทำให้มีลูกกลิ่นที่มีความเป็นโทนแป้งกึ่ง Classic อยู่ให้รับรู้ แต่สิ่งที่มีมากกว่านั่นคือ การใส่ความซ้บซ้อนที่เอาความเป็น Iris เป็นศูนย์กลางของกลิ่นในการเชื่อมโยงความเป็นโทนแป้งที่หลากหลายมิติให้สัมผัสอย่างสมดุลย์และค่อยไปค่อยไป และดึง Rich Tone ของเนื้อกลิ่นออกมาได้อย่างหมดจด เลยทำให้กลิ่นมีความ Luxury ในแนวเรียบหรูได้อย่างมีชั้นเชิงครอบคลุมความ Modern ของกลิ่นได้อีกขั้นนึงนั่นเอง
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://www.facebook.com/dusitathailand
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น