วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2566

Review: Pepe Jeans for Her

Pepe Jeans for Her

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่ทำให้ตัดสินใจในการซื้อหาน้ำหอมกลิ่นนี้มาลอง นั่นคือ ขวดทรงรูปแก้วค็อกเทล ที่ทำให้ไม่สนใจเลยว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไร เรียกว่าดาบหน้ากันพอสมควร แต่เพราะว่าเคยผ่านการใช้งานกลิ่นทางฝั่งผู้ชายในรุ่น Celebrate for Him มาแล้ว เลยคิดว่าเนื้อกลิ่นน่าจะมีเสน่ห์แน่นอน เพราะในเรื่องยีนส์ Pepe Jeans เองก็ไม่เป็นสองรองใครและได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานเสมอ

แต่ก่อนที่จะไปเข้าเรื่องกลิ่น มาว่ากันที่เรื่องราวคร่าวๆ กันก่อนว่า Pepe Jeans for Her เป็นน้ำหอมที่ออกมาวางจำหน่ายแบบ Duo คู่กับน้ำหอมฝั่งชายอย่าง Pepe Jeans for Him ที่ถือเป็นการกลับมาสู่ตลาดน้ำหอมอีกครั้งหลังจากหยุดไป 18 ปี ซึ่งกลับมาก็เรียกแขกด้วยทรงขวดแบบแก้วค็อกเทลในฝั่งผู้หญิง และทรงขวดแบบเชคเกอร์ผสมค็อกเทลทางฝั่งชาย และปัจจุบันนี้ก็ต่อยอดออกวางจำหน่ายกลิ่นใหม่มาเรื่อยๆ เช่นนั้น มาว่ากันที่ Pepe Jeans for Her กันว่าจะถ่ายทอดกลิ่นออกมาในลักษณะไหน สิ่งที่ได้รับจากการใช้งานจริงก็คือ

เปิดต้นกลิ่นมาก็ให้ความรู้สึกที่เป็นลักษณะแบบค็อกเทลหวาน + ขนมเลย เพียงแต่จะมีความสดชื่นมาก่อน ซึ่งแกนหลักของกลิ่นจะจับต้องได้ชัดเจนเลยนั่นคือ Vodka ที่จะเป็นเสมือนหลักในการให้อารมณ์กลิ่นแนวสไตล์เครื่องดื่มค็อกเทล โดยความสดชื่นที่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำส้มที่เสริมเข้ามาแบบเรียกความหวานอมเปรี้ยว แกมกลิ่นออกทางกึ่งไซรัปวานิลลากึ่งอัลมอนด์หน่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนคือ กลิ่นออกทางแป้งติดหวานที่มีความเป็นวานิลลากึ่งนมอ่อนๆ ของมาร์ชเมลโล่ นี่แหละ ที่ค่อนข้างชัดเจนตีคู่ผสมผสานไปกับกลิ่นโทนค็อกเทล Vodka น้ำส้มติดหวานวานิลลา ทำให้กลิ่นเปิด ชัดเจนมากว่า Fiminine และมีความเป็นโทนกึ่งลั่นล้า กึ่งหวาน แบบเก๋ๆ กำลังดี

การเข้าสู่ช่วงกลางจะมีการเปลี่ยนแปลงตรงที่กลิ่นของน้ำส้มจะหายไป กลายเป็นกลิ่น Vanilla Vodka ที่ให้ความเป็นค็อกเทลแนวหวานหอมแกมอบอุ่น แต่แน่นอนว่ายังมีกลิ่นมาร์ชเมลโล่ที่ยังคลอไปด้วยอยู่เช่นเดิม ซึ่งช่วงนี้ถือว่าเป็นโทนหวานและมีความเป็นโทนขนมของกินติดครีมมี่แกมแป้ง โดยจะชัดเจนทั้งในการเป็นกลิ่นแนวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีความนมๆ กึ่งอัลมอนด์กึ่งวานิลลา กับการเป็นขนมของมาร์ชเมลโล่ แต่ไม่หนักเกินไป เลยให้ความพอดีระหว่างความหวาน ความน่ารัก และความลั่นล้าแบบเหมาะสมแบบที่สร้างความพึงใจได้ไม่ยาก ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อดีจริงๆ ที่ไม่หนักหน่วงหวานเยิ้มเกินไป เลยไม่อึดอัดกับการใช้งานง่ายๆ สำหรับคนชอบกลิ่นแนวหวานและขนม

การเปลี่ยนแปลงในโทนหวานจะเริ่มผ่อนตัวลงตามลำดับในช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเริ่มมีโทนอบอุ่นมากขึ้น และมีความเป็นกลิ่นนวลสะอาดของ Musk เข้ามาเสริม ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีลูกผสมระหว่างความเป็นโทนแบบผิวกายนุ่มสะอาดสไตล์ Musky แกมกลิ่นหวานอ่อนๆ ระเรื่อที่เป็นโทนวานิลลาหน่อยๆ ที่ให้ความเป็นโทนแป้งเข้ามาร่วมด้วย โดยมีออร่าความอบอุ่นประปรายให้จับต้องได้ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ Nice มากในการใช้งาน และให้ความหอมที่พอดีและเหมาะสมแบบที่ทำให้คนใช้พึงใจได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่เรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็ใช้งานกลิ่นนี้ได้สบายมาก เนื้อกลิ่นแม้จะเป็นโทนขนมแกมแป้งที่เสริมความเป็นค็อกเทลลงไปก็จริง แต่ก็ไม่หนักเกินไป ทำให้มีความเป็นโทน Daily Scent สูง โดยสามารถใช้ได้ทั้งยามทั่วไป ทำงาน Office หรือว่าลั่นล้าก็ได้สบายมาก แต่ที่ไม่เหมาะเลยก็คือการใส่แบบทางการจัดๆ หรือว่าใส่ออกกำลังกาย กลิ่นแบบนี้ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนถ้าเป็นยามค่ำคืน ใส่แบบทั่วไปอันนี้ยังไงก็รอด แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรี เพิ่มสเปรย์หน่อยเพื่อไปสู้กับสายหวานเยิ้มจัดหนักก็ผ่านมาตรฐานได้สบายมาก

ความทน - เรื่องนี้ทำได้ลงตัวมากกับพื้นฐานที่ 8 ชม. และไปต่อได้อีก โดยขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในประมาณ 5 - 10 นาทีแรก ก่อนจะผ่อนลงมากระจายดีไปราวๆ 20 นาที ถึงลงมาเป็นปานกลางไปราวๆ 3 ชม. แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเป็น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - ปรามาสไม่ได้ แม้จะเป็นกลิ่นสายหวาน และมีความเป็นขนมแกมแป้ง แต่มีลูกเล่นที่ความเป็น Vodka เข้ามาสร้างกลิ่นแนวลั่นล้า Playful เนียนๆ ได้อย่างเหมาะสมและลงตัว โดยที่ไม่ได้ใช้ยากและสร้างความพึงใจได้ไม่ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชมมากๆ เลยคือ ขวด มีความเก๋และสวยมากจริงๆ ต้องยอมเรื่องนี้เลย   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pepejeans.com/en_nl/pepe-jeans-life-is-now-women-parfum-PLF10003.html?dwvar_PLF10003_color=0AA&cgid=WA10

 

วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2566

Review: Perfume.Sucks - Green

Perfume.Sucks - Green

เพียงแค่ชื่อแบรนด์ก็เรียกว่าเปรี้ยวเยี่ยวราดกันเลยทีเดียว เพราะถึงกับบอกกันโต้งๆ เลยว่าน้ำหอมห่วย แต่เอาจริงๆ การตั้งชื่อเรียกตรีนแบบนี้ เอาจริงๆ น่าจะเป็นการเรียกความสนใจเสียมากกว่าให้มาลองดูว่าห่วยจริงหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ ที่มาที่ไปของแบรนด์นี้ คือ การสร้างสรรค์กลิ่นที่ให้ผู้ใช้เอาไปเบลนด์กับคาแรคเตอร์ของตัวเอง โดยสร้างเรื่องราวทางกลิ่นของตัวเองจากน้ำหอมของแบรนด์ที่เลือกใช้ ไม่ว่าจะออกมาดีหรือ ตั่งโป๊ะ! ผู้ใช้นั่นแหละที่เลือกเองในการสร้างเสน่ห์แบบนั้นๆ ออกมา

และเมื่อได้มาเจอกับแบรนด์นี้ เรียกว่าความน่าสนใจก็มาเต็มไม่น้อย เพราะชื่อแบรนด์เตะเข้าเบ้าตาสุดๆ ไม่พอ เนื้อกลิ่นยังมีความน่าสนใจว่าจะครีเอทเรื่องราวเวลาที่ใช้แล้วออกมาเป็นแบบไหน เมื่อมีโอกาสได้ลองเป็นครั้งแรกกับแบรนด์นี้ในกลิ่น Green ที่เอากัญชามาเป็นตัวแรกแขก ก็ต้องมาเล่าซักหน่อยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

Green เปิดออกมาก็สร้างอารมณ์กลิ่นที่เขียวกึ้ง Smoky ชัดเจนมาก ซึ่งในช่วงเปิดต้องยกให้กลิ่นของกัญชาที่ไม่ได้มาแบบกัญชาพร้อมดูดคมแปร่งขนาดนั้น แต่เป็นอารมณ์ควันกัญชาที่ Smoky ติดขมกึ่งถั่วหน่อยๆ มีความหวานของเม็ดกระวานเข้ามา พร้อมกับกลิ่นโทนผลไม้รองพื้น นี่แหละที่สร้างอารมณ์หวานอมเปรี้ยวในเนื้อกลิ่น ตามด้วยกาแฟมาทำให้กลิ่นมีลูกเอื้อนความขมในความแปร่งเขียว โดยที่จะมีโทนควัน Incense ที่ติดปร่าๆ แกมทึบอวลหน่อยๆ ทำให้กลิ่นเปิดบอกเลยว่า เออ ควันกัญชาที่ผสมกลิ่นผลไม้ที่แปลก เก๋ และมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด ซึ่งบอกเลยว่าช่วงต้นหลายๆ คนที่ไม่ได้คุ้นชินกับกลิ่นแนวๆ นี้ อาจจะแบบว่าแพ้บายไปกันตั้งแต่ตอนนี้เอาได้

เมื่อกลิ่นเดินทางเข้าสู่ช่วงกลาง ตอนนี้เรียกว่ามหกรรมความนัวอย่างแท้ทรู เพราะจะเป็นลูกผสมที่เอาโทนช่วงต้นมาทั้งหมด แต่เพิ่มความนัวของกลิ่นโทนผลไม้ + ดอกไม้เข้าไป ซึ่งตัวเด่นเลยต้องให้ยกให้ Davana ที่เป็น Artemisia ประเภทหนึ่งที่จะให้ความหวานออกทางฟรุตตี้กึ่งดอกไม้ โดยมีความเขียวขมแทรกอยู่ตลอดสร้างความนัวๆ หวานเย้าลึกในเนื้อกลิ่น ตามด้วยกลิ่นของมะม่วงสุกที่ให้ความหวานลึกเสริมเข้าไปอีก กลิ่นเลยนัวฟรุ๊ตตี้เขียวขมไหม้ติดควัน Smoky เต็มๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะยังมีความปร่าหวานโปร่งๆ ของขิงที่ทำให้กลิ่นไม่ได้ข้นจัด และมีกลิ่นหวานอมเปรี้ยวโปร่งๆ ของแมกโนเลียที่ทำให้กลิ่นยังมีความสว่างอยู่บ้าง ไม่ได้ลึกดาร์กเกินไป แต่ยังไงภาพรวมต้องบอกเลยว่า มีความนัว อวล ที่ให้ความเขียวเข้ม ขม หวาน เปรี้ยว ไหม้ ควัน ปร่า โดยทั้งหมดมีมิติจากโปร่งสู่ลึกได้อย่างไม่ธรรมดาและทรงพลังมากเลยทีเดียว

นี่ว่าช่วงกลางอวลแล้ว ช่วงท้ายก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะการปรับเนื้อกลิ่นเข้าสู่ช่วงท้ายจะสัมผัสถึงกลิ่นอวลอุ่นแกมไม้หอมที่มีความหนาติดเค็มหน่อยๆ เสริมเข้ามาเรื่อยๆ แล้วก็จะชัดเจนเลยในการเป็น Ambroxan ที่ให้อารมณ์กลิ่นแบบอำพันปลาวาฬที่ติดเค็มผสมไม้หอมแห้งอวลอุ่นๆ ซึ่งยิ่งมีกลิ่นออกทางแอมเบอร์ลึกๆ ของยางไม้อย่าง Labdanum มาเสริมอีกกลิ่นนยิ่งชัดเจนในการเป็นโทน Amber ในภาพรวม แถมยังเทคโอเวอร์กลิ่นในช่วงต้นกับกลางไปแบบเกือบทั้งหมดอีกด้วย ซึ่งจะเหลือกลิ่นออกทางเขียวติดไหม้ Smoky หน่อยๆ แกมหวานลึกที่เนียนไปกับกลิ่นอวลอุ่นนี้อยู่ นอกจากนี้เนื้อกลิ่นไม่ได้มีแค่ความเป็น Ambroxan แต่มีกลิ่นออกทางกึ่งแป้งอัลมอนด์กึ่งวานิลลาที่เข้ามาผสมผสานอยู่ด้วยที่ทำให้กลิ่นมีตวามหนาอวลขึ้นมาอีกหนึ่งเสต็ป ซึ่งมิติกลิ่นจะไล่โทนจากอวลไม้ติดเค็มที่แฝงความเขียวขมแกมหวานไหม้ ก่อนที่จะจับต้องถึงความเป็มโทนแอมเบอร์กึ่งแป้งอวลที่รองพื้น ซึ่งเรียกว่าไม่มีคำว่ายอมใครจริงๆ กลิ่นให้ความเป็นโทนทันสมัยและปล่อยของแบบที่ไม่ได้เน้นความแผ่ไพศาล แต่เดินไปไหนกลิ่นก็ส่งต่อให้ผู้คนรับรู้ได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่กลิ่นเรียกว่าอยู่เหนือเพศในการใช้งานชัดเจน อารมณ์คาแรคเตอร์กลิ่นเด่นกว่าเพศประมาณนั้น ทำให้ไม่ว่าเพศไหนอยากใช้ก็จัดไป มีความแตกต่างมากจริงจัง ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป หรือว่าใส่ทำงาน Office ก็ได้อยู่ เพียงแต่จำนวนสเปรย์เหมาะสมนิดนึง เพราะว่ากลิ่นมีความสตรองในตัวเองสูง แม้ว่าจะไม่ได้มาสายปล่อยพลังรอบทิศ แต่อวลแน่นกับผู้ใช้จัดจ้านไม่น้อย เดี๋ยวตึ้บเอาเสียก่อน ยามถึงยามค่ำคืนที่ถ้าจะใส่เรียกร้องความสนใจ บอกเลยว่าจัดไป กลิ่นมีดีที่ความปล่อยของนี่แหละ แต่สิ่งที่ให้ยกเว้นไปได้เลยคือการใส่ยามทางการและใส่เพื่อออกกำลังกาย มันไม่ได้จริงๆ เพราะจะโดนหาว่าปุ๊นมาก็ได้ หรืออาจจะตีขึ้นจนเป็นลมไปก่อนได้

ความทน - จัดจ้านจริงๆ เพราะ 15 ชม. แล้วกลิ่นก็ยังตีขึ้นชัดอยู่เลย และอาบน้ำไปแล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอ่อนๆ อยู่ เช่นนั้น เรื่องนี้หายห่วง ทนจริงอะไรจริง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นยาวไปราวๆ 1 ชม. ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีต่อเนื่องไปอีก 4 ชม. แล้วถึงลดลงมาเป็นปานกลางไปจนราวๆ ชั่วโมงที่ 8 จึงค่อยๆ ลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวอวลๆ ไปเรื่อยๆ 

สรุป - ความเก๋แปลกไม่เหมือนใคร อันนี้มาชัดมาเต็ม แต่ความ Nice อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ทุกคน เพราะเนื้อกลิ่นอวลจริงอะไรจริง และมีคาแรคเตอร์ในตัวเองสูงแบบที่คนใช้อาจจะต้องปรับคาแรคเตอร์ตัวเองไปด้วย หรือไม่ก็ต้องสตรองระดับหนึ่งที่จะให้กลิ่นนี้เป็นตัวเสริมเรื่องราวของผู้ใช้ผ่านกลิ่นนี้ส่งต่อให้คนอื่นรับรู้ ซึ่งบอกเลยว่า กลิ่นไม่ได้ห่วย แต่มันไม่เหมือนใครอย่างมีเสน่ห์ที่แตกต่างต่างหากที่แบรนด์จากสวิตเซอร์แลนด์แบรนด์นี้สร้างสรรค์ออกมาได้ไม่ธรรมดา 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://perfumeart.ru/product/perfume-sucks-green/

 

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2566

Review: Maison Matine - Avant l’Orage

Maison Matine - Avant l’Orage

Maison Matine ถือเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการน้ำหอม Niche ของฝรั่งเศสที่เปิดตัวออกมาอย่างมี Concept และสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ Cover ทั้งหมดทั้งในเรื่องกลิ่นและ Packaging ที่จะมี Graphic อยู่บนขวดให้เห็นถึงเรื่องราวและสื่อสารถึงความเป็นน้ำหอมออกมาให้เห็นถึงความหลากหลายที่นอกจากจะเป็นในเรื่องกลิ่นแล้ว ยังตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้ใช้งานในทัศนคติที่แตกต่างกันอีกด้วย

เช่นนั้น สารภาพก่อนเลยว่าสิ่งที่ดึงดูดให้มาสนใจแบรนด์นี้นั่นคือการสื่อความผ่าน Graphic ที่อยู่บนขวดนี่แหละที่ทำให้เห็นว่าเรื่องราวในกลิ่นที่แบรนด์นี้สร้างสรรค์ขึ้นมามีความน่าสนใจขึ้นมาแบบเต็มๆ เช่นนั้น เลยต้องเสาะหามาให้รู้ว่าเนื้อกลิ่นจะออกมามีทิศทางเป็นอย่างไร และกลิ่นแรกที่ได้เจอกับแบรนด์นี้ก็คือ Avant l’Orage

Concept ของกลิ่นที่เรียนรู้ก่อนใช้งานคือ การเอาความรู้สึกนิ่งสงบในช่วงเวลาก่อนเกิดพายุ (ซึ่งเป็นได้ไม่ว่าจะเกิดแบบพายุฝนจริงๆ หรือพายุอารมณ์บางอย่าง เพราะ Graphic มันคือการไขว้นิ้วที่ถ้าทำต่อหน้าก็คือเคล็ดที่ทำให้เกิดเรื่องดีๆ ตามมา แต่ถ้าเอาไปแอบข้างหลังนี่แหละ “โกหก” เต็มๆ) กับการนำเสนอด้วยแกนหลักของกลิ่นกับโทน Milky ที่จะคุมภาพรวมของกลิ่นทั้งหมด ซึ่งเมื่อได้มาใช้งาน สิ่งที่จับต้องได้นั่นก็คือ

โทนกลิ่นออกทางกึ่งนมกึ่งวานิลลาโปร่งๆ ไม่ได้ข้นหนักจะเป็นศูนย์กลางของกลิ่นทั้งหมด ที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจย โดยในช่วงต้นจะเป็นช่วงที่ให้ความเป็นกึ่งสมุนไพรกึ่งปร่าฝาดหน่อยๆ เจือกุหลาบบางๆ ที่เป็นลักษณะของพริกไทยสีชมพูเคล้ากับกลิ่นออกทาง Citrus อ่อนๆ ที่ให้ความสดชื่นแกมเขียวกึ่งสารหอมแนว Coumarin ที่ให้ความหวานกึ่งหญ้ากึ่งสมุนไพรเขียว โดยที่พื้นกลิ่นจะจับต้องได้ถึงความหวานกึ่งวานิลลาติดนมอ่อนๆ ได้ชัดเจน หลังจากนั้นเพียงชั่วขณะผู้สนับสนุนหลักของกลิ่นอย่างมะลิก็จะเสริมเข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีตวามหวานโปร่งๆ ติดโทนออกทาง Feminine พอสมควร และปูทางเข้าสู่ช่วงกลางค่อนข้างเร็วพอตัว

ในช่วงกลางกลิ่นโทนนมวานิลลาจะเป็นฉากหลังที่ให้ความครีมมี่นวลๆ เบาๆ แต่สิ่งที่เด่นเลยต้องยกให้มิติที่จับคู่มาเจอกับโทนยางไม้อย่างกำยาน Benzoin ที่ไม่ได้มาแบบหวานแหลม แต่จะให้ความหวานติดวานิลลาที่สอดรับพอดีกับมะลิที่ให้ความหวานโปร่งนวลๆ ซึ่งช่วงนี้เรียกว่ามินิมัลเลยก็ว่าได้ เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้ซับซ้อน แต่ให้ความเป็นลูกครึ่งระหว่างโทนหวานที่เป็นลูกผสมระหว่างมะลิกับกำยาน Benzoin และพื้นกลิ่นคือกลิ่นครีมมี่มิลค์กี้แบบเบาๆ ให้ความเรื่อยๆ อวลๆ ที่ถ้าดมใกล้ๆ ถือเป็นโทนผ่อนคลายและชวนให้รู้สึกน่ากอดแบบกำลังดีเลย

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงท้ายความเป็นโทนนมอ่อนๆ แกมวานิลลาก็ยังอยู่แต่จะเบาลงไปเพราะมีความสะอาดนวลอ่อนๆ ของ Musk มาเกลาให้เกิดความนุ่มนวล ซึ่งช่วงนี้จะจับได้ถึงถั่วตองก้าที่มาเบาๆ ให้ความครีมมี่อ่อนๆ กึ่งหญ้าแห้งเล็กๆ เนียนอยู่กับกลิ่นนมอยู่ด้วย และสิ่งที่เด่นขึ้นมาแบบมาตอนท้ายและเอาอยู่เลยก็คือไม้จันทน์หอม ที่มาทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นโทน Woody ได้ชัดมากขึ้น และเนียนไปกับกลิ่นนมวานิลลาเบาๆ ด้วยเพราะว่าพื้นฐานของจันทน์หอมมีความมิลค์กี้แฝงอยู่แล้ว ถือเป็นการปิดท้ายกลิ่นที่ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ สบายๆ ผ่อนคลายและลงตัว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่ในช่วงต้นและกลางค่อนข้างมีความเป็น Feminine สูง กว่าจะ Unisex กันจริงๆ ก็ช่วงท้าย เพียงแต่กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงกระจายจัดจ้าน เลยก็พออ้อมแอ้มเป็น Unisex ได้ทั้งหมดในการใช้งาน ซึ่งเข้ากับกลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายรบกวนใคร ให้ความนุ่มนวลอบอุ่น หวานโปร่งกำลังดี แถมใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็ไม่ได้ทำให้อึดอัด มีเพียงออกกำลังกายที่ให้รอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนตัดการใส่ท่องราตรีปล่อยเสน่ห์ไปได้เลย แต่ที่เหลือจัดไป หรือจะใส่ยามโรแมนติคกลิ่นยามเข้าใกล้ก็น่ากอดไม่น้อย

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ เพราะกลิ่นแม้จะมีความ Oriental ของวานิลลาและกลิ่นครีมมี่อ่อนๆ ของนมก็จริง แต่ก็ไม่หนักมากออกทางเบาๆ ความทนเลยถือว่าอยู่ในระดับที่กำลังดีเสียมากกว่า แต่เพิ่มสเปรย์ก็ยืดเวลาไปต่อได้อยู่ ซึ่งส่วนตัวจัดไป 7 สเปรย์ ลากยาวไปได้ถึง 10 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนที่จะลงมาปานกลางไปราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วจะลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป ก่อนติดผิวเมื่อผ่านไปแล้วราวๆ 5 ชม. เรียกว่าเป็น Safe Scent ก็ยังได้

สรุป - ส่วนตัวอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ความนิ่งสงบก่อนเกิดพายุ แบบครีมมี่นมๆ เท่าไหร่ เลยเชื่อมโยงภาพกับกลิ่นยังไม่เคลียร์นัก แต่ถ้าบอกว่ากลิ่นนี้เป็นหนึ่งในกลิ่นผ่อนคลายที่มีความโรแมนติคเย้ายวนชวนเข้าใกล้แล้วกอดให้อบอุ่นนั้น อันนี้มีดี และมีเสน่ห์กำลังลงตัวเลย โดยที่ไม่รบกวนใครมากอีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://strutdenver.com/products/avant-lorage-perfume

 

วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2566

Review: Chanel - Les Exclusifs de Chanel: Boy

Chanel - Les Exclusifs de Chanel: Boy

ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนยกเครื่องใหม่ของ Le Exclusifs de Chanel ที่ปรับจากการเป็น Eau de Toilette มาเป็น Eau de Parfum ทั้งหมดในปี 2016 กลิ่นล่าสุดใน Collection นี้ในช่วงเวลานั้นก็ได้เปิดตัวออกมาในการเป็น EDP ก่อนเลยโดยไม่ต้องรอมาปรับเปลี่ยนภายหลัง ซึ่งนั่นก็คือ Boy ที่ออกมาสนับสนุน Collection กระเป๋า Boy Bag ที่ออกมาในปี 2011 ร่วมด้วย และนั่นก็กลายเป็นอีกหนึ่ง Moment ที่ทำให้กลิ่นอายสาย High-end Exclusive ของแบรนด์กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นด้วยนั่นเอง

ที่มาที่ไปของการเป็น Boy กับกลิ่นอายน้ำหอม มาจากการนำเอา Moment ในการได้พบกันระหว่างตัว Chanel กับ Boy Capel ที่เป็นทั้งนายทุนผู้สนับสนุนให้ Chanel ในการเข้าสู่วงการแฟชั่น และรวมถึงการเป็นรักแท้และรักเดียวของ Chanel ซึ่งการถอดความการเป็น Boy ออกมาสู่น้ำหอม จะเป็นการ Twist ในการ Mix & Match ที่เอากลิ่นอายสไตล์สุภาพบุรุษ มาปรับเป็น Unisex ที่ให้ผู้หญิงเองสามารถใช้งานได้อย่างไม่เคอะเขิน รวมถึงสร้างลุค Boy ให้กับผู้หญิงได้อย่างเท่ห์ๆ แกมเก๋อย่างมีระดับได้อีกด้วย ในเมื่อน่าสนใจขนาดนี้ ต้องมาพิสูจน์กันหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาเป็นเช่นไร

สิ่งแรกที่มาทักทายก่อนเลยนั่นคือโทนสดชื่นที่แฝงความเป็นเอกลักษณ์ของ Chanel มากมาย นั่นคือ โทนแป้งที่มีลูกเอื้อนสไตล์ Classic แฝง แบบที่คนที่ผ่านการใช้ Chanel มาพอสมควร ดมแล้วจะบอกได้เลยว่า เออ นี่แหละ Chanel แต่สิ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ การสร้างโทนกลิ่นแบบ Modern Barbershop (ที่ไม่ใช่ในไทย) โดยจะเอาลักษณะกลิ่นอายสไตล์ผู้ชายสะอาดสะอ้านแบบสุภาพบุรุษในสาย Classic มาปรับใหม่กลายเป็นกลิ่นอายที่ไม่ต้องคม ไม่ต้องฟุ้ง แต่ให้ความเรียบหรูดูสุภาพ และมีความเป็น Nice Guy ที่มีระดับชัดเจน ซึ่งต้องยกให้ลาเวนเดอร์ที่มาแบบกลางๆ พอดีอย่างสมดุลย์ ให้ทั้งความเป็นโทน Herbal ที่มีเสน่ห์แบบ Classic ก็ได้ และให้ความเป็นโทนสะอาดนวลกึ่งแป้งลาเวนเดอร์ที่มีความสะอาดแบบ Modern ในเวลาเดียวกัน โดยจะมีกลิ่นโทนสดชื่นของสาย Citrus ที่ให้ความสดชื่นแบบนิ่งๆ ไม่ได้เปรี้ยวปริ๊ดโฉ่งฉ่าง ส่งเสริมให้เนื้อกลิ่นมีความเรียบหรูดูสุภาพบุรุษร่วมสมัยแบบครบถ้วน

เพราะช่วงเปิดอาจจะทำให้ดู เอ๊ะ! นี่มัน Unisex ตรงไหน ออกจะน้ำหอมผู้ชาย แต่ในช่วงกลางนี่แหละที่จะมีความ Unisex ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับและจะโชว์ความเป็น Signature Style ของ Chanel ชัดเจนเลยนั่นคือโทนแป้ง ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีลักษณะที่เป็นกลิ่นแป้งลาเวนเดอร์ที่ชัดเจนกึ่งอบอุ่นอ่อนๆ ซึ่งมาจากดอกเฮลิโอโทรเป้ที่เข้ามาเสริม เคล้าด้วยกลิ่นออกทางติดเขียวแบบกลิ่นน้ำในแจกันกุหลาบของเจอราเนียม และมีความเป็นกุหลาบเบาๆ สร้างอารมณ์ที่เป็น Unisex มากขึ้น โดยที่ฐานของกลิ่นจะชัดเจนว่าเป็น Musk แกมกลิ่นดอกส้มที่เป็น Orange Blossom ที่ให้ความสะอาดในเนื้อกลิ่นและเสริมโทนแป้งได้เป็นอย่างดี ทำให้ช่วงนี้ความเป็น Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงหน่อยๆ เลยเป็นตัว Twist ในเนื้อกลิ่น รวมถึงให้อารมณ์ผู้หญิงแบบติดลุคเท่ห์ๆ บอยๆ แต่มีความ Classic เข้ามาร่วมด้วย และภาพในหัวออกมาชัดเจนเหมือนเห็นผู้หญิงใส่ทักซิโด้แบบผู้ชายเท่ห์ๆ ที่มีความ Classic ก็ได้ ร่วมสมัยก็ดี มากันในทรงนี้เลย

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะมาสาย Timeless กันแบบชัดเจนมาก เพราะลาเวนเดอร์จะเริ่มเบาลง ปล่อยให้ Musk เป็นตัวเด่นขึ้นมาก็จริง แต่จะเป็นพื้นกลิ่นมากกว่าที่เมื่อดมใกล้ๆ ผิวก็จะจับได้ แต่เพราะความเป็น Musk เลยทำให้เป็นตัวตรึงกลิ่นโทนแป้งที่เริ่มมีความอบอุ่นชัดขึ้นจากวานิลลาที่มาในสายแป้ง เสริมด้วยโทนไม้หอมอย่างไม้จันทน์หอมที่มาให้ความหรูหราแกมละเอียดในความเป็นโทนจิดหอมกึ่งนวลแกมหวาน กับ Oak Moss ที่มาให้โทนเขียวเข้มมีความกรุยกรายและน่าค้นหาในโทน Classic แต่ไม่ได้หนักหน่วงเกินไปจนดูย้อนยุคมากนัก ทำให้ช่วงท้ายยังคุมโทนการเป็น Unisex ?ี่ให้ความสง่าและ Classic ในเนื้อกลิ่นอย่างมีชั้นเชิง สร้างอารมณ์ร่วมสมัยที่แตะได้ทั้งความ Timeless และความเก๋ๆ ที่ให้ลุคแนวเท่ห์ๆ สมาร์ทและมีเสน่ห์แบบเหมาะสมกำลังดี ปิดท้ายการเป็น Boy ที่ไม่ธรรมดาและน่าสนใจในการใช้งานสูงมาก  

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ซึ่งใช้งานได้หมดไม่ว่าจะเพศไหนก็ตามในวัยทำงานถึงไป เพราะเนื้อกลิ่นค่อนข้างมีความร่วมสมัยที่แตะแบบ Classic ก็ได้ หรือ Modern ก็ดี เลยจะสร้างภาพลักษณ์ทางกลิ่นที่ดูน่าเชื่อถือและมีความเป็น Gentleman/Gentlewoman เป็นสำคัญ ซึ่งใช้งานได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย แต่ถ้าจะเอาไปใช้งานเพื่อออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเข้าทางการใส่ออกงานชัดเจนมาก นอกนั้นก็ใส่แบบทั่วๆ ไป หรือโรแมนติคก็ลงตัวอยู่ไม่น้อย

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. ซึ่งช่วงตัวก็เจอที่ 8 - 10 ชม. อยู่เสมอในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปราวๆ 2 ชม. ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป ซึ่งต้องบอกเลยว่ากลิ่นนี้ไม่ได้มาสายปล่อยพลัง และต้องเข้าใจนิดนึงด้วยว่า Chanel ที่เป็นน้ำหอมสาย Exclusive เองก็ไม่ได้ เอะอะก็ทรงพลัง ออกแนวเรียบหรูอย่างมีระดับและไฮคลาสมากกว่าประมาณนั้นเลย

สรุป - ถ้าผู้ชายใส่กลิ่นนี้ก็ให้ความเป็นสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์และ Nice น่าเข้าหาในสไตล์ร่วมสมัย แต่ถ้าเป็นผู้หญิงใส่จะได้ความเท่ห์ลุคบอยๆ เข้ามาชัดเจนมากขึ้น เรียกว่าประยุกต์กลิ่นมาได้อย่างลงตัวมากๆ จากเรื่องราวของเจ้าของแบรนด์อย่าง Chanel 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.chanel.com/us/fragrance/p/122350/boy-chanel-les-exclusifs-de-chanel-eau-de-parfum/

 

วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2566

Review: Jacques Fath - Tempête d'Automne

Jacques Fath - Tempête d'Automne

ในช่วงยุค 40 - 50 ที่ Jacques Fath ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์แฟชั่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่นอกจากด้านแฟชั่นแล้วยังมีอีกอย่างที่ถือเป็นหนึ่งในการจุดประกายในเรื่องของทรงผมผู้หญิงอยู่ด้วยเช่นกัน กับการสร้างผมทรงที่ชื่อว่า Autumn Storm กับทรงผมสั้นที่คล้ายเด็กผู้ชาย (ให้นึกภาพทรงผมสั้นๆ แบบเจี๊ยบ โสภิตนภา ช่วงที่แสดงภาพยนต์เรื่องกุมภาพันธ์ แต่มีความเรียบหรู ไม่ได้แฟชั่นสมัยใหม่จ๋ามาก) ซึ่งส่วนใหญ่ในยุคนั้นมักจะเป็นทรงผมแบบแม่บ้านเจ้าเสน่ห์แบบที่ให้นึกถึงมาริลิน มอนโร แนวๆ นั้นเลย แต่พอทรงผมนี้มาเบรก ก็เริ่มเปลี่ยนโทนให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยให้ความเป็นธรรมชาติ สดชื่น และมีเสน่ห์ดึงดูด

แล้วที่เกริ่นมาในย่อหน้าแรกเกี่ยวอะไรกับน้ำหอม? เกี่ยวเต็มๆ เพราะว่าทรงผมนี้กลายมาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมของแบรนด์ Jacques Fath ในการยกระดับแบรนด์น้ำหอมจาก Designer Brand มาเป็น Niche Brand ที่จะเอาความเก๋แกมมีเสน่ห์มาตีความทางกลิ่นโดยเอาการเป็นไม้จันทน์หอมเป็นแกนหลักในการนำเสนอ เช่นนั้นเมื่อได้ลองและซึมซับจนได้ที ก็ได้เวลาของการถ่ายทอดต่อแล้วว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาเป็นเช่นไร

Tempête d'Automne เริ่มด้วยการเป็นโทน Citrus ที่ติดออกทางเปลือกผล แนวๆ เปลือกส้มหรือเปลือกมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เพราะจะไม่ได้มีอารมณ์กลิ่นแบบใสๆ มาให้จับต้องได้เท่าไหร่ แต่ว่าจะมีตัวแปรสำคัญมากๆ คือ กลิ่นโทนเครื่องเทศที่เสริมเข้ามาทำให้จับต้องได้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่าเป็นโทนอบอุ่นเสียมากกว่า ซึ่งจะจับได้ไม่ยากเลยว่าจะมีความปร่าเผ็ดคมอวลๆ ของเม็ดผักชี และมีความเผ็ดอุ่นของอบเชย เพียงแต่มีความเป็นโทนสดชื่นปร่าๆ มาตัดทอนเลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนสว่าง ทำให้ภาพรวมของกลิ่นจะเป็นเฉดสีออกทางส้มนวลๆ แกมสีน้ำตาลที่มีความปร่าเผ็ดและสดชื่นในเวลาเดียวกัน ถือเป็นการเปิดตัวที่น่าสนใจและที่สำคัญมีความ Classic ในเนื้อกลิ่นให้รับรู้ได้ด้วย

ช่วงกลางจะชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมว่าเนื้อกลิ่นมาสายเย้ายวนแบบมีระดับ ซึ่งช่วงนี้จะเริ่มจับต้องได้ว่าเนื้อกลิ่นมีความซับซ้อนในระดับที่ไม่ธรรมดา เพราะแม้ว่ากลิ่นหลักที่จับต้องได้จะเป็นเครื่องเทศอย่างอบอชยที่ให้ความหวานเผ็ดอุ่นกับความปร่าเผ็ดคมๆ ของเม็ดผักชี แต่จะมีมิติกลิ่นโทนดอกไม้กึ่งไม้หอมครีมมี่เข้ามาเสริมให้มีความน่าสนใจมากในการจับต้องกลิ่น ซึ่งความครีมมี่แกมไม้หอมนี่ชัดเจนว่าเป็นไม้จันทน์หอม แต่จะไม่ได้ครีมมี่มากขนาดนั้น ค่อนข้างรักษาสมดุลย์ได้ดีมาก และจะมีมิติกลิ่นโทนดอกไม้ที่มาแชร์เพิ่มเติมด้วยจากลาเวนเดอร์ ที่มาแบบนวลๆ ละมุนๆ ติดออกไปทางแป้งที่มีกลิ่นดอกไม้อย่างกระดังงาที่ให้ความหวานเย้าๆ และมีพวกแนวๆ มะลิมาทำให้กลิ่นมีความนวล เลยทำให้ช่วงกลางจะได้มิติกลิ่นที่หลากหลาย โดยยังยืยพื้นที่กลิ่นออกทางอบอุ่นแบบกำลังดีมีเสน่ห์และมีระดับในเนื้อกลิ่น โดยไม่ทิ้ลูกเอื้อน Classic แต่อย่างใด

ในช่วงท้ายตอนนี้จะกลายเป็นโทนไม้หอมติดอบอุ่นแกมแป้งที่ชัดเจนมาก โทนเครื่องเทศอย่างอบเชยจะเริ่มเป็นตัวเสริมให้ความหวานอุ่นในเนื้อกลิ่นแทน ซึ่งตัวหลักคือไม้จันทน์หอมที่ให้ความจืดหอมมีเสน่ห์กึ่งครีมมี่ และมีโทนออกทางนมๆ หน่อยเข้ามาเพราะมีกลิ่นติดนมอุ่นให้รู้สึกได้ เสริมกลิ่นไม้จันทน์หอมได้ลงตัวไปอีก ตามด้วยกลิ่นออกทางแป้งวานิลลาที่ไม่ได้หนักข้น แต่ให้ความหวานอบอุ่นกึ่งแป้งฝุ่นกลิ่นวานิลลาแกมนมๆ ซึ่งนี่แค่มิติแรก แต่ตัวรองพื้นที่ดมใกล้ๆ จะรู้สึกได้นั่นคืกลิ่นหนังที่มาแบบกำลังดี มีความเย้ายวน Sexy เนียนๆ เพราะมีความเป็น Musk มาตัดทอนให้กลิ่นมีความนุ่มนวลร่วมด้วย แน่นอนว่าความ Classic ก็ยังมีเนียนๆ อยู่ เลยทำให้เนื้อกลิ่นลักษณะนี้กลายเป็นโทนร่วมสมัยที่สามารถเป็นกลิ่นอายสไตล์ Timeless ได้ไม่ยาก และที่สำคัญเนื้อกลิ่นอบอุ่นได้อย่างมีคลาสและให้ความพอดีไม่หนักไปปิดท้ายได้สวยและลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex เนื้อกลิ่นมีความกลางๆ เน้นให้โทนอบอุ่นที่มีระดับ สร้างออร่าให้ผู้ใช้งานมีเสน่ห์และดึงดูดแบบร่วสมัยได้ดี ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วไป เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้เหมาะกับกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่ ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ อันนี้ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือว่าใส่แบบโรแมนติค ถือว่าลงตัวมากและสร้างออร่าดึงดูดได้ดีแบบมีระดับ แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีอาจจะต้องเพิ่มสเปรย์หน่อยก็พอได้ เพียงแต่อาจจะสู่กลิ่นหวานแน่นๆ ขนมๆ จัดจ้านไม่ได้ได้มากเท่าไหร่ แต่มีดีที่มีระดับแน่นอน

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และไปต่อได้อีกจนถึงชั่วโมงที่ 15 ก็เจอมาแล้ว เช่นนั้นเรื่องความทนไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางแบบยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม. ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent  

สรุป - เป็นกลิ่นร่วมสมัยที่ให้อารมณ์กลิ่นมีเสน่ห์และมีระดับในการเป็นโทนอบอุ่นที่ไม่หนักหน่วง สร้างความมีคลาสให้ผู้ใช้งานได้เหมาะสมและลงตัวมากอีกหนึ่งกลิ่น ยิ่งถ้าพื้นฐานใครชอบกลิ่นไม้จันทน์หอม + อบเชย ที่มีอารมณ์ครีมมี่หน่อยๆ บอกเลยว่าโดนตกได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นนี้ทำให้นึกถึงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีไม่ใช่น้อยเลย เพราะโทนสีในเนื้อกลิ่นได้อารมณ์สมชื่อว่า Autumn ครบถ้วนได้เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.jacques-fath-parfums.com/?lang=fr

 

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

Review: Nishane - B-612

Nishane - B-612

จากจุดเริ่มต้นของวรรณกรรมอมตะที่สร้างความประทับใจระดับโลกอย่างเจ้าชายน้อย (Little Prince) ของอองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี ที่อย่างน้อยควรได้สัมผัสและอ่านเพื่อได้ความลึกซึ้งและการหาความหมายของชีวิต ซึ่งไม่ว่าใครก็ต่างมีความเป็นเจ้าชายน้อยในตัวเองเสมอ สู่การสร้างสรรค์น้ำหอมของแบรนด์ตุรเคียอย่าง Nishane ที่เอาสิ่งที่น่าสนใจในการเป็นจุดเริ่มต้นของเจ้าชายน้อยทั้งในวรรณกรรมและความเป็นจริงมาบรรจบกันได้อย่างสวยงามใน Concept ไม่น้อยนั่นคือ ดาวเคราะห์น้อย B-612 ที่เป็นดาวของเจ้าชายน้อย และการค้นพบด้วยนักดาราศาสตร์ชาวตุรเคียถึงดาวเคราะห์น้อย B-612 ที่มีจริงๆ บนท้องฟ้าและอวกาศอันกว้างใหญ่นี้

และ Nishane เองก็ไม่ธรรมดาสร้างสรรค์น้ำหอมที่สื่อสารออกมาถึงเรื่องเจ้าชายน้อย ออกมาถึง 2 กลิ่น โดยจับรวมกันเป็น Imaginative Collection - Le Petit Prince ซึ่งแน่นอนว่า B-612 เป็นหนึ่งใน Collection นี้ ที่จะสื่อสารถึงดาวเคราะห์น้อยของเจ้าชายน้อยที่เติบโตมาผ่านจินตนาการทางด้านกลิ่นในการจับลงสู่ขวด ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเป็นอย่างไรให้ความรู้สึกแบบไหนนั้น มาว่ากันดีกว่า ส่วนอีกกลิ่นที่เป็นการเล่าถึงดอกกุหลาบอันเป็นที่รักอย่าง Vain & Naive ค่อยมาว่ากันทีหลัง

B-612 เปิดต้นกลิ่นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นแบบอ่อนๆ แต่มีความอบอุ่นนุ่มนวลแฝงในเนื้อกลิ่นที่ค่อนข้างชัดเจนมาก โดยแกนหลักของกลิ่นแทบไม่ต้องเดาอะไรให้มากความเลยนั่นคือ โทนไม้หอม จะเป็นแกนหลักของกลิ่นแน่นอนและมั่นใจได้ ซึ่งกลิ่นเปิดค่อนข้างมีความเฉพาะตัวพอสมควรเพราะจะเป็นโทนลาเวนเดอร์ที่มีความเขียวกึ่งน้ำในแจกันดอกกุหลาบ แต่จะมีกลิ่นออกทางไม้แห้งๆ แกมกลิ่นปร่าออกทางยางสนที่เป็นสไตล์กลิ่นของสนไซเปรสที่จะได้ความรู่สึกสว่างๆ เข้ามา ทำให้กลิ่นเปิดอารมณ์กลิ่นอยู่ตรงกลางพอดีระหว่างความนุ่มนวลละมุนๆ ที่มีความเป็นไม้หอมปร่าสะอาดๆ แกมกลิ่นสดชิ่นติดเขียวกึ่งกุหลาบบางๆ ซึ่งถือว่าเนื้อกลิ่นให้อารมณ์ที่มีความ Classic เนียนๆ เข้ามาร่วมด้วยให้จับต้องได้

การเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดเจนมากขึ้นโดยที่ความเป็นลาเวนเดอร์กับโทนไม้สนไซเปรสยังคงอยู่ แต่ลดทอนความสดชื่นลงไปกลายเป็นกลิ่นโทนที่มีความอบอุ่นมากขึ้น โดยความเป็นไม้หอมที่เด่นชัดมาก แล้วยังมีความเป็นลูกผสมของกลิ่น Musky เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งจะเป็นกลิ่นของสารหอมติดอวลที่ให้อารมณ์เหมือนกลิ่นออกทางเสื้อผ้าทอที่อบอุ่นแกมกลิ่นไม้หน่อยๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะของ Cashmeran ที่มาผนวกกับกลิ่นไม้ซีดาร์ที่ให้ความปร่าขรึม เสริมด้วยความไม้หอมมิลค์กี้โทนสว่างครีมของไม้จันทน์หอมแกมกลิ่นพิมเสนปร่าระเรื่อ ซ่งเมื่อมาผนวกกับโทนลาเวนเดอร์จะได้อารมณ์ 3 โทนประสานหลักๆ อย่างไม้หอมอวลๆ แกมกลิ่น Musky Amber อบอุ่น และมีความเป็นแป้งลาเวนเดอร์เสริมให้กลิ่นมีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้กลิ่นมีความสว่างแกมนุ่มนวลและอบอุ่นอวลๆ ที่ชัดเจน ซึ่งแม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ถึงกับซับซ้อนมาก แต่มีความลุ่มลึกที่ให้ความอบอุ่นสว่างนวลกำลังดีที่สร้างความประทับใจได้ไม่ยากเช่นกัน

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีความอวลไม้หอมแกมกลิ่นที่น่าค้นหาและเริ่มแตะในเรื่องความผ่อนคลายที่เข้ามาให้รู้สึกได้ แต่ก็ยังคงมีน้ำหนักในเนื้อกลิ่นในด้านความอบอุ่นอยู่ เนื้อกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้ถึงความเป็น Woody Musky ที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่ Cashmeran กับไม้ซีดาร์และพิมเสนที่ยังคงอยู่เท่านั้น แต่จะมีตัวเสริมชั้นดีอย่าง Ambroxan ที่เข้ามาให้ความอบอุ่นในเนื้อกลิ่น สร้างน้ำหนักในกลิ่นและให้พลังแบบไม่โจ่งแจ้งแบบเนียนๆ ซึ่งจะมีกลิ่นออกทางนุ่มๆ ของ Musk มารองรับในแง่ของกลิ่นโทนสว่าง และมี Oak Moss มาตัดทอนให้กลิ่นออกทางเขียวเข้มแกม Classic ให้มีความน่าค้นหาและแอบมีกลิ่นออกทางติดหวานแกมถั่วที่จะกึ่งวานิลลาก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นของถั่วตองก้าทำให้กลิ่นมีความอบอุ่นแกมหวานแบบกำลังดีมีเสน่ห์แบบที่ได้ความร่วมสมัยในการใช้งาน เป็นการปิดท้ายกลิ่นที่คุมโทนความอบอุ่นนุ่มนวลและมีเสน่ห์ได้อย่างลงตัวตั้งแต่ต้นยันปลายจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดทุกเพศ เพียงแต่เนื้อกลิ่นไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นตัวเจ้าชายน้อย แต่บอกถึงสภาพแวดล้อมบนดารเคราะห์ กลิ่นเลยจะไม่ได้เหมาะกับเด็ก แต่จะแตะตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นค่อนข้างครอบคลุมการใช้งานทั้งกลางวันและกลางคืนได้เลยไม่ว่าจะใส่แบบทางการหรือทั่วไป แต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายนักเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายสดชื่นเท่าไหร่ ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ อันนี้ได้อยู่ รวมถึงใส่ท่องราตรีถ้าอัดสเปรย์ก็ไม่ติด เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายปล่อยพลังรอบทิศหรือเรียกร้องความสนใจก็เท่านั้น

ความทน - เรียกว่าดีงาม เพราะว่าขั้นต่ๆที่เจอก็ 8 - 10 ชม. และยาวนานที่สุดก็ติดผิวจนข้ามไปอีก 1 วัน แม้ว่าจะอาบน้ำล้างตัวจนนอนไปจนถึงเช้าแล้วก็ตาม เรียกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วไม่เกิน 15 นาทีก็จะลดลงมาที่ปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 ก่อนที่จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วคงความเสถียรต่อไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 8 - 10 แล้วแต่บุคคล ถึงลงมาติดผิว

สรุป - ภาพรวมทั้งหมดในเนื้อกลิ่นตั้งแต่ต้นยันจบ สิ่งที่ได้ในความรู้สึกเลยนั่นถือ เหมือนสถานที่อบอุ่นที่มีความนุ่มนวล และโทนสีสว่างในโทนแบบสีเอิร์ธโทนตั้งแต่เฉดขาวครีมยันน้ำตาลอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าจะอบอวลแต่ก็ไม่โฉ่งฉ่างจัดจ้าน ทุกอย่างให้ความสมดุลย์ทางกลิ่นที่พอเหมาะ และถ้าจะต้องนึกถึงสถานที่อย่างดาวเคราะห์ B-612 ที่เจ้าชายน้อยเกิดและเติบโตขึ้นมา ก็เข้าทางที่จะต้องเป็นสถานที่ที่มีความอบอุ่นแบบนี้ได้ไม่ยาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://nishane.com/product/b-612/

 

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

Review: Clean - Classic: Pure Soap

Clean - Classic: Pure Soap

เมื่อ Clean ในสาย Classic เดิมที่เป็น EDT อยู่มาเป็นระยะเวลาพอสมควร การปรับปรุงใหม่ในการเพิ่มทางเลือกในการใช้งานจึงได้เกิดขึ้น โดยอุดช่องโหว่หลายๆ อย่างจากการของเดิม เช่น ความทนและการกระจายที่ผู้ใช้อยากให้มีมากขึ้นมาอีกซักหน่อย เป็นต้น จึงปรับใหม่ในการยกความเป็นกลิ่นอาย Classic แบบเดิมเพิ่มความเข้มข้นสู่ความเป็น EDP จึงได้เกิดขึ้น และแน่นอนมีความน่าสนใจในการมาสัมผัสกลิ่นโทนสะอาดต่างๆ ในความเข้มข้นที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

เช่นนั้นเมื่อเห็นกลิ่นเก่าๆ ได้ปรับปรุงมาสู่การเป็น EDP ความน่าสนใจก็มาแล้วหนึ่ง แต่สิ่งที่ดึงสายตาและความสนใจไปมากกว่านั่นก็คือ มีกลิ่นใหม่ๆ ที่อาจจะเป็นการต่อยอดจากของเดิมเกิดขึ้นมาด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกลิ่น Pure Soap ที่พอเห็นเท่านั้นแหละ เกิดความอยากใช้งาน เพราะอากาศเมืองสารขัณฑ์ทั้งร้อนทั้งฝน ถ้ามีกลิ่นที่สร้างความรู้สึกสบายๆ และให้ความรู้สึกกลิ่นสบู่หลังอาบน้ำเสร็จเติมพลังทางกลิ่นตลอดวันได้ก็คงเป็นเรื่องที่ดีมาก เช่นนั้นจัดไป และสิ่งที่ได้จากการใช้งาน คือ

สบู่สุดๆ ไปเลย แบบที่ให้อารมณ์แบบสบู่ Dove ก้อนสีขาวที่ให้ความครีมมี่แบบกำลังดี (ไม่ได้กลิ่นพุ่งๆ จัดๆ แบบสบู่เหลวหรือครีมอาบน้ำ) ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับตัวสร้างเนื้อกลิ่นโทนสบู่อย่าง Aldehydes ที่ไม่ได้มาแบบคมฟุ้งเลย ซึ่งน่าจะโดนตัดทอนความคมฟุ้งลงไปจากกลิ่นโทนนวลๆ ที่มีความเป็นสมุนไพรหน่อยๆ แกมกลิ่นปร่านวล รวมถึงกลิ่นลาเวนเดอร์ที่มาทำให้เนื้อกลิ่นมีความสะอาดแบบนุ่มนวลเข้ามาร่วมด้วย โดยที่มี Musk อยู่แน่นอนเป็นฉากหลังในเนื้อกลิ่นชัดเจน ผสมผสานจนได้กลิ่นสบู่นวลๆ ในโทนสีขาวตั้งแต่แรกเริ่มได้กลิ่น แต่ไม่ได้จบแค่นี้ เพราะว่าเนื้อกลิ่นมีความสดชื่นประปรายแบบติดหวานอมเปรี้ยวหอมของส้มหน่อยๆ แทรกอยู่ในมิติกลิ่นอีกด้วย เลยทำให้มีความชัดเจนถึงการเป็นสบู่นุ่มนวลก็จริง แต่มีความสดชื่นเหมือนอารมณ์แรกเริ่มฟอกสบู่ที่กลิ่นจะฟุ้งชัดในความรู้สึกนั่นเลย

พอเริ่มเข้าช่วงกลาง ก็ยิ่งชัดเจนถึงศูนย์กลางของกลิ่นเลยว่าจะมี Aldehydes ลาเวนเดอร์ และ Musk เป็นพื้นฐานของกลิ่นในการสร้างโทนสบู่สะอาดๆ ที่มีความอวลๆ เป็นสำคัญ ซึ่งพอเข้าช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะยังมีความสดชื่นประปรายที่ตามมาจากช่วงต้นอยู่ แต่เนื้อกลิ่นจะมีความนวลสะอาดที่มีความหวานอมเปรี้ยวแบบดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) เข้ามาสร้างเนื้อกลิ่นแบบดอกไม้ขาวร่วมด้วย ซึ่งจะมีกลิ่นหวานอ่อนๆ ของมะลิรวมเข้ามาอยู่หน่อยๆ ท่ามกลางการเป็นกลิ่นสบู่ครีมมี่สะอาดๆ นวลๆ ที่เนื้อกลิ่นมีความแห้งมากขึ้นถ้าเทียบกับช่วงต้น

สามเกลอทั้ง Aldehydes ลาเวนเดอร์ และ Musk จะยกพวกมาในช่วงท้ายทั้งหมด เพียงแต่ลาเวนเดอร์จะเบาลงไปให้ความรู้สึกแบบแป้งโทนสะอาดประปราย แต่ Musk เด่นขึ้นมาเสริมด้วยอัตลักษณ์โทนสบู่จาก Aldehydes อยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมที่ดอกส้มกับการขึ้นมาเป็นตัวหลักให้ความหวามแกมเปรี้ยวอ่อนๆ สะอาดๆ สดชื่น โดยที่จะมีกลิ่นไม้หอมนวลๆ ครีมมี่หน่อยๆ เสริมเข้ามาให้เนื้อกลิ่นมีความนวลขาวกึ่งครีมนวลจากไม้จันทน์หอมแบบกำลังดี ทำให้ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะยังคงให้โทนสบู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมความเป็นโทนแป้งความดอกไม้ขาวสดชื่นนวลๆ เข้ามาร่วมด้วย ให้ความรู้สึกแบบกลิ่นสบู่ติดตัวกันยาวๆ ไป แบบที่ยังไงก็สมกับชื่อว่า Clean เต็มๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะพื้นฐานกลิ่นคือโทนสบู่ที่เข้าทางกับทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กน้อยอยู่แล้ว อาจจะมีลูกเอื้อนของกลิ่นที่มีความเป็นโทนแบบผู้หญิงนิดหน่อยก็เพราะว่ามีดอกไม้ขาว แต่ก็ไม่ได้ถึงกับสาวแตกขนาดนั้นเพราะยังไงผู้ชายทุกคนก็ผ่านการใช้สบู่กลิ่นอวลหรือดอกไม้กันมาบ้างแหละ และแน่นอนกลิ่น Cover การใช้งานแบบครอบจักรวาลในยามกลางวัน กวาดหมดยังไงก็รอด รวมถึงถ้าใส่ยามค่ำคืนแบบทั่วๆ ไปหรือว่าออกงานก็สบายมาก แต่ข้ามการใส่ไปปล่อยเสน่ห์ร้อยแรงม้ายามค่ำคืนได้เลย กลิ่นเบาไปสู้เขาไม่ได้แน่ๆ และกลิ่นไม่ใช่ Concept ด้านเย้ายวนอีกด้วย

ความทน - พอเป็น EDP ความทนเลยอัพเกรดขึ้นมาชัดเจนมาก กับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ กลิ่นอาจจะมีบวกลบบ้างขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวจัดไป 6 สเปรย์ (ฉีดทั้งผิวกายและเสื้อที่สวม) กลิ่นทนยาวไปจนถึง 12 ชม. ได้เลย โดยเฉพาะเสื้อที่ติดทนนานมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และคงตัวพอสมควรกับราวๆ 30 นาที ก่อนที่จะลดลวมาปานกลางกันราวๆ 2 ชม. แล้วจะลงมาคงตัวที่การเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบเรื่อๆ อวลๆ ยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 8 แล้วจะติดผิวคงตัวไปจนกว่าจะจางในตามแต่ละผู้ใช้

สรุป - ตรงตัวตามชื่อกลิ่น Pure Soap มากมาย ซึ่งจะได้อารมณ์แบบสบู่ Dove ตัว Original ในระดับที่พอสมควรเลย เพียงแต่จะมีมิติและเลเยอร์กลิ่นที่ให้ความผ่อน ความอวล ความนวลแบบที่มีเสน่ห์แบบในการเป็นน้ำหอมมากกว่าจะตรงๆ แบบสบู่ก้อน และแน่นอนกลิ่นนี้จะให้ความเป็นกลิ่นสบู่ติดผิวกายกันยาวๆ แบบที่ได้ Feel หลังอาบน้ำตลอดวันจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.cleanbeauty.com/products/pure-Seasonal Soap

 

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2566

Review: Amouage - Memoir Man

Amouage - Memoir Man

จากปรัชญาที่เกิดจากการตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของชีวิตและความเป็นปัจเจกของแต่ละตัวบุคคล ที่เรียกกันเป็นศัพท์ยากๆ ว่า “อัตถิภาวนิยม” ที่ไม่ใช่แค่มีด้านดีในแง่การทำอะไรอย่างมีเสรีภาพ แต่มันก็มีด้านมืดด้วยเช่นกัน เพราะถ้าใครเป็นนักอุดมคติที่ตั้งคำถามถึงการมีชีวิตอยู่ตลอดว่าฉันมีชีวิตเพื่ออะไร แล้วรู้สึกถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่าไหร่ วนอยู่ในภาวะ Existential Crisis อาจทำให้เกิดภาวะวิตกกังวล หดหู่ซ้ำซาก จนอาจจะถึงขั้นปิดจ็อบชีวิตตัวเองได้อยู่วนเวียนอยู่ในภาวะแบบนี้นานๆ เข้า

ซึ่งด้านมืดของ “อัตถิภาวนิยม” นี่แหละ ที่ Amouage เห็นถึงเสน่ห์บางอย่างทั้งในแง่ปรัชญาและความน่าค้นหาดึงดูด เลยเป็นที่มาในการสร้างสรรค์กลิ่นที่จะสื่อถึงภาวะสายดาร์กกับการเป็น Memoir ที่ออกมาแบบแพ็คคู่ทั้งฝ่ายชายและหญิง แต่ของผู้หญิงไว้ว่ากันทีหลัง ขอมาเล่ากลิ่นทางฝั่งผู้ชายดีกว่า ว่าจะออกมาเป็นอย่างไรในการสื่อสารตาม Concept ที่วางเอาไว้

กลิ่นเปิดความรู้สึกเป็นโทนสมุนไพรเขียวติดดาร์กจะฟุ้งออกมาชัดเจนมาก ซึ่งจะมีลูกเล่นหลักๆ ที่จับต้องได้คือกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่าง Absinthe ที่จะมีความเขียวขมเข้มๆ ของ Wormwood หรือแนวๆ โกฐจุฬาลัมพา ที่มีความหวานกึ่งเม็ดเทียนสัตตบุษย์แฝง ซึ่งจะมีความปร่าฟุ้งพุ่งออกมาแบบคล้ายเครื่องดื่มที่มีความแรงในฤทธิ์การหมักและแอลกอฮอล์ แต่เนื้อกลิ่นจะแฝงความปร่ามินท์ที่ทำให้กลิ่นมีความเข้าถึงในความอะโรม่ามากขึ้น ซึ่งในความเขียวที่จับต้องได้ มันมีโทนออกทางปร่าสมุนไพรและเครื่องเทศให้รู้สึกอยู่ตลอด จนเมื่อเข้าช่วงรอยต่อก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงกลิ่นถัดไป ก็จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนธูปไม้ที่ทำให้เกิดอารมณ์แบบควันกึ่งไอกลิ่นไม้อวลๆ สร้างอารมณ์แบบห้วงคำนึงที่มีความหนาในเนื้อกลิ่นขึ้นมาทีละหน่อย ทำให้มิติกลิ่นเริ่มมีความซับซ้อนและดึงดูดมากตั้งแต่ต้นแบบที่ไม่เหมือนใครและมีความ Unique เลยทีเดียว

ช่วงกลางความชัดเจนในการเป็นโทน Incense หรือธูปไม้ปร่า ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็น Frankincense ที่จะมีลูกผสมความเป็นโทนไอไม้อวลๆ แกมกลิ่นควันอ้อยอิ่งจะเริ่มชัดเจนจนกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น แต่กลิ่นจะเสริมด้วย 2 ฝั่งหลักๆ ซึ่งฝั่งแรก คือ โทนเขียวแกมอะโรม่าของ Absinthe + สมุนไพรเขียวเข้มดาร์กต่างๆ ที่มีความเขียวกึ่งหวานของลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาแบบสายนุ่มค่อนไปทางกึ่งแป้ง Floral จ๋าๆ แต่เป็นกึ่งกลางที่มีลูกผสมความเขียวกึ่งปร่าหวานผ่อนคลายเข้ามา และมีโทนดอกไม้แนวกุหลาบบางๆ ให้จับต้องได้ + ฝั่งที่ 2 คือ กลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ อวลๆ ครีมมี่เล็กๆ แต่มีความ Smoky แกมไม้แห้งๆ เคล้ากลิ่นหนังที่ไม่ได้ดิบห่ามมาก แต่มีลูกเอื้อนเสริมโทนดาร์กในเนื้อกลิ่นได้เหมาะสม ทำให้ภาพรวมของเนื้อกลิ่นในช่วงกลางอารมณ์แบบอวลเข้มที่ไม่หนักหน่วงข้นคลั่ก แต่ให้อารมณ์แบบความรู้สึกอวลชัดๆ ที่มีความดาร์ก ความเข้มในความรู้สึกให้จับต้องได้ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของกลิ่นเลยที่สื่อสารความรู้สึกออกมาแบบห้วงคำนึงที่ไม่หนักเกินไปได้ลงตัวมากจริงๆ 

เนื้อกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงท้ายที่เป็นแกนหลักเลยคือ ฝั่งที่ 2 จากช่วงกลางที่เป็นไม้หอมแกมหนัง แต่ยังมีลักษณะที่มีความเป็น Incense ที่ชัดเจนมากขึ้นจนจับต้องได้ว่า Frankincense นี่แหละที่ตามมาในช่วงนี้ร่วมด้วย ซึ่งคราวนี้ความเป็นไม้หอมจะชัดเจนมาซึ่งจะจับต้องได้ทั้งความเป็นไม้แห้งอวลๆ แกม Smoky ที่เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นหญ้าแฝกและไม้ Guaiac ที่สร้างความอวลไม้ออกมา และยังมีความเป็นหนังที่สอดรับเข้ามาเชื่อมต่อทอเต็มผืนได้พอเหมาะ แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะจะมีกลิ่นเสริมความอวลอย่างสายอบอุ่นที่จะมีแอมเบอร์กึ่งวานิลลาเคล้าความนุ่ม Musk เนียนอยู่แบบเบาๆ มาทำให้กลิ่นไม้แห้งอวลแกม Smoky เคล้าหนังติดดาร์กมีความหนาและมีความอวลที่มีเสน่ห์อย่างเหมาะสมที่ให้ออร่าความกึ่งดาร์กกึ่งอบอุ่นกึ่งมีพลังแบบที่ไม่จัดหนักแต่ให้ความฟุ้งอวลในการรับกลิ่นที่วางตำแหน่งความกลางได้อย่างดีเลยทีเดียว แถมยังปิดท้ายแบบคุมโทนความรู้สึกทางกลิ่นแบบห้วงคำนึงได้ครบถ้วนไม่หลุดไปไหนแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - ใช่ตามที่กลิ่นลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้ชาย ซึ่งเป็นกลิ่นสายดาร์กติดเขียวแกมอวลที่ลงตัวและไม่เหมือนใคร เข้ากับวัยทำงานขึ้นไปและผ่านอาจจะผ่านน้ำหอมสายอวลไม้และ Incense มาบ้างจะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แบบวางตัวหน่อย เพราะกลิ่นมาสายดาร์กที่มีความขรึมและขลังสุขุมแกมอวลแบบที่ไม่ได้เข้าถึงง่ายแม้กลิ่นจะไม่เหมือนใคร แต่มู้ดของกลิ่นไม่ได้เข้ากับสาย Activity ลุยๆ แน่ๆ เช่นนั้นตัดการใส่สำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเหมาะกับการใส่ออกงานเสียมากกว่า แต่ถ้าไม่มายด์จะใส่ไปท่องราตรีก็ได้ เพียงแต่จะไม่ได้เป็นสายปล่อยพลังเรียกแขกแบบสายอวลหวานต่างๆ ก็เท่านั้นเอง

ความทน - อันนี้สิที่จัดจ้าน เพราะพื้นฐานยังไงก็ 8 ชม. แต่ไปต่อไปอีกจนถึง 15 ชม. ก็เรียกว่าเข้าข่ายการเป็นเรื่องปกติ ก็ Amouage นี่เนาะ เรื่องนี้เขาไม่พลาดอยู่แล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นราวๆ 10 นาที ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีต่อราวๆ 1 ชม. ถึงเป็นปานกลางแบบอวลๆ ไปเรื่อยๆ จนแตะชั่วโมงที่ 6 แล้วจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ก่อนจะเป็น Skin Scent อีกทีก็ราวๆ 10 - 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ไม่ธรรมดา กลิ่นไม่ได้เป็นสายหนักหรือเข้มข้นจัดจ้านแบบกลุ่มโทนมีพลัง แต่เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกอวลอ้อยอิ่งแบบมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ถ่ายทอดความดาร์กออกมาได้กลางๆ ที่มีเสน่ห์ในความน่าค้นหาได้ดีมาก และที่สำคัญการสร้างเนื้อกลิ่นที่ให้ความเป็นโทนติดควันๆ มันทำให้เกิดความรู้สึกแบบห้วงคำนึงเสริมความน่าค้นหาของกลิ่นได้ดีมากๆ ด้วยเช่นกัน เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นของ Amouage ที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างเยี่ยมยอดมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://escentials.com/products/amouage-memoir-man

 

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2566

Review: Strangers Parfumerie - Chokedee (โชคดี)

Strangers Parfumerie - Chokedee (โชคดี)

สำหรับกลิ่นนี้ของ Strangers Parfumerie ถือเป็นหนึ่งใน Exclusive Scent ที่วางจำหน่ายเฉพาะที่เว็บไซต์ Luckyscent ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่นำเสนอความไม่ธรรมดาของการเอาความเป็นกลิ่นอายแบบขนมหรืออาหารไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอม และเป็นการนำเสนอสู่ระดับ International ที่ทำให้ผู้เล่นน้ำหอมสาย Niche ต่างๆ จะได้รับรู้ถึงความแตกต่างทางกลิ่นและซึมซับความหอมได้มากขึ้น รวมถึงการ Exclusive เฉพาะเว็บไซต์หรือร้านน้ำหอมนั้นๆ ยิ่งเป็นการเกื้อกูลกันได้เป็นอย่างดีเพราะจะได้ทั้งการซื้อที่ต้องมาซื้อผ่านร้านนั้นๆ เท่านั้น และเป็นจุดขายที่ดีให้กับร้านน้ำหอมนั้นๆ ในการทำการตลาดด้วยเช่นกัน

สำหรับ Chokedee หรือ “โชคดี” ในภาษาไทย จะมีจุดตั้งต้นของกลิ่นที่นำมาสร้างสรรค์น้ำหอมอย่าง “ข้าวเหนียวมูน” ซึ่งคนไทยๆ อย่างเรารู้จักกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจากข้าวเหนียวมะม่วงหรือว่ากลุ่มแนวข้าวเหนียวสังขยาต่างๆ ซึ่งมีกลิ่นที่หอมเฉพาะตัว และให้ความหวานหนึบเวลาเคี้ยวแล้วกลิ่นข้าวเหนียวกับกะทิและน้ำตาลที่มูนข้าวนั่นฟุ้งหอมขึ้นมาให้รู้สึกฟิน อร่อย หรือพึงใจ ซึ่งนี่แหละที่จะกลายมาเป็นกลิ่นหอมที่จะทำให้เราพึงใจและโชคดีตามมา โดยกลิ่นจะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไร ก็ขอเล่าออกมาได้ตามนี้

กลิ่นเปิดให้อารมณ์กลิ่นอายดอกไม้ขาวที่ไม่หนักไปและก็ไม่เบาไปมาทักทายก่อนใครเพื่อนเลย และในเนื้อกลิ่นจะมีลูกผสมของกลิ่นเขียวอะโรม่าติดหวานโปร่งของใบเตยรวมอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณากลิ่นลึกลงไปจะจับต้องได้ถึงกลิ่นดอกชมนาดที่ให้อารมณ์กึ่งข้าวหอมหุงสุก เคล้ากับกลิ่นหอมเย็นๆ ปร่าหวานหน่อยๆ ของลีลาวดี แกมกลิ่นดอกมะลิใสๆ ที่ทำให้เนื้อกลิ่นในช่วงนี้ได้ความหวานโปร่งเย็นๆ กำลังดี และมีลูกเอื้อนกลิ่นข้าวสุกกึ่งใบเตยที่ให้ความอะโรม่าผ่อนคลาย ซึ่งถือว่าช่วงเปิดให้อารมณ์แบบไทยๆ ในช่วงเช้าๆ ที่ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมและเป็นจุดเริ่มต้นของกลิ่นที่ประกอบเข้าด้วยกันจนเป็นการทำข้าวเหนียวมูนใบเตยที่พอเหมาะ และไม่ได้จงใจเกินไปเสียด้วยซ้ำ อารมณ์บรรยากาศประมาณนั้นเลย

การเข้าสู่ช่วงกลางยิ่งชัดเจนเข้าไปอีกกับการเป็นโทนกลิ่นข้าวเหนียวที่หุงสุกที่เป็น Effect จากดอกชมนาดร่วมด้วย แต่จะมีมิติอื่นๆ เข้ามาเสริมนั่นคือ กลิ่นกะทิที่ไม่ได้มาแบบข้นในลักษณะแบบซันแทนโลชั่น แต่จะมาแบบกลิ่นน้ำกะทิที่สมดุลย์ให้อารมณ์แบบมะพร้าวกะทิที่มีกลิ่นมะลิและใบเตยรวมอยู่ในนั้น และมีความอะโรม่าของชาให้จับต้องได้ร่วมด้วย ตามด้วยกลิ่นออกทางถั่วหน่อยๆ + ไม้จันทร์หอมที่ให้ความครีมมี่มิลค์กี้ที่ได้อารมณ์กลิ่นไม้ครีมมี่นวลๆ สว่างๆ ที่ชัดเจนพอสมควรและเดาไม่ยากว่าจะเป็นแกนหลักของกลิ่นในช่วงถัดไปแน่นอน รวมถึงบางวูบให้อารมณ์กลิ่นแบบหวดนึ่งข้าวที่ซึมเข้าไปในข้าวที่มีเสน่ห์เฉพาะร่วมด้วย ซึ่งทำให้ภาพรวมของกลิ่นกลายเป็นกลิ่นอายคล้ายข้าวเหนียวมูนที่กำลังดี ไม่ได้หวานเกินไปจนกลายเป็นข้าวเหนียวแก้ว โดยที่จะมีไม้จันทน์หอมสร้างความเป็นโทนสีครีมไม่นวลๆ ตลอดเวลา ทำให้มิติกลิ่นช่วงนี้มีความเป็นโทน Gourmand ที่มีความเป็นไทยแต่ไม่ได้ยัดเยียด เน้นให้ความเป็นบรรยากาศทั้งกลิ่นและภาพที่เราจินตนาการตามได้จากการได้รับกลิ่น แน่นอนว่ามีความ Tropical ในเนื้อกลิ่นในสไตล์เอเซียชัดเจน

ช่วงท้ายของน้ำหอมแกนหลักจะกลายเป็นไม้จันทน์หอมเต็มตัว ที่มีความแห้งและมีลักษณะโทนไม้หอมกึ่งวานิลลาอ่อนๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนไล่เฉดที่มีสีครีมนวลเป็นพื้นฐาน โดยจะมีกลิ่นออกทางจืดหอมแกมครีมมี่มิลค์กี้กึ่งกะทิเบาๆ ให้จับต้องได้ แต่ในเนื้อกลิ่นจะแฝงความโปร่งไม้แกม Earthy กึ่งถั่วติดมันหน่อยๆ ที่เป็นเสน่ห์ของการผสมผสานระหว่างหญ้าแฝก ไม้ซีดาร์ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์  รวมถึงมีความเป็นโทน Musk ติดเขียวเบาๆ ที่ทำให้กลิ่นมีโทนสะอาดๆ สบายๆ ติดเขียวเป็นมิติที่ซ้อนเนียนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นข่วงที่ให้ความผ่อนคลาย สบายๆ ที่ให้ความรื่นรมย์ทางกลิ่นอย่างสมดุลย์ในการเป็นโทนสว่างครีมนวลกึ่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวเหนียวมูนที่เรียกรอยยิ้มในการใช้งานที่สร้างความโชคดีตามชื่อกลิ่นได้แบบไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะกลิ่นข้าวเหนียวมูนไม่ว่าจะเพศไหนก็เข้าถึงได้ไม่ยากอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนไทย ซึ่งกลิ่นไม่ได้หนักไป หรือเบาไป มีความสมดุลย์แบบที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญแต่ให้ความเป็นบรรยากาศ หรืออารมณ์เห็นภาพเหี่ยวกับข้าวเหนียวมูนเสียมากกว่า ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่จะมีการใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ข้ามไปจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปก็พอ เพราะกลิ่นไม่ได้ทรงพลังมากขนาดที่จะเอาไปประชันกับโทนหวานแน่นเท่าไหร่

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และสามารถไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายเอื้อมากพอในการต่ออายุน้ำหอมให้ยาวๆ ไปบนผิวกาย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปราวๆ 2 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป แล้ว Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม. แล้ว

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นที่สื่อสารออกมาแบบที่เรียกว่า Modern Thai Twist เลยก็ย่อมได้ เพราะว่าไม่ได้จงใจเอาความเป็นข้าวเหนียวมูนแบบฉ่ำๆ เต็มเหนี่ยวมาป้อนให้ถึงจมูกขนาดนั้น แต่เอาบรรยากาศ กลิ่นอายที่ลอยมาให้รู้สึกได้ หรืออารมณ์แบบที่เราเห็นภาพข้าวเหนียวมูน แล้วเรานึกถึงกลิ่นมันในความรู้สึกอะไรประมาณนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นการวางสมดุลย์ทางกลิ่นที่ดี เอาทั้งความเป็นข้าวเหนียวมูนมาเจอกับไม้จันทน์หอมที่เป็นพื้นกลิ่นสร้างความครีมมี่มิลค์กี้หอมมีระดับได้อย่างลงตัวและงดงามโดยที่ไม่หนักไป เน้นความผ่อนคลายโทนสว่างและสร้างรอยยิ้มที่ก่อให้เกิดเรื่องดีๆ ที่จะตามมาได้ไม่ยาก สมกับชื่อกลิ่นว่า “โชคดี”

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2566

Review: Kenzo - Flower by Kenzo Poppy Bouquet (EDP)

Kenzo - Flower by Kenzo Poppy Bouquet (EDP)

สำหรับ Kenzo Flower ส่วนตัวถือเป็นหนึ่งในน้ำหอมผู้หญิงที่ยอดฮิตตลอดกาล และมั่นใจว่าจะเป็นหนึ่งใน Timeless Scent หรือเป็นน้ำหอมเหนือกาลเวลาของแบรนด์ Kenzo อย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่ปี 2000 ที่เปิดตัวออกมาก็ยังเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ตอบโจทย์การใช้งานของฝั่งผู้หญิงมาเสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องสารภาพต่อนั่นคือ ไม่เคยได้มีโอกาสได้ใช้งานเต็มๆ เลยไม่ว่าจะกลิ่นไหนก็ตามของการเป็น Kenzo Flower เพราะว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง เลยทำให้ผ่านมาก็ผ่านไป ไว้ถ้าได้ใช้ก็ค่อยว่ากัน 

จนวันหนึ่งได้อุดหนุนน้ำหอมของ Kenzo แล้วพอเปิดออกมาก็ได้เห็น Kenzo Flower by Kenzo Poppy Bouquet ขนาดพกพาเล็กๆ แถมมาให้ด้วย จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจในการเรียนรู้กลิ่นแบบเต็มๆ ซักที แม้ว่าจะไม่ได้เป็นตัว Flower ต้นตระกูล แต่เป็นเหมือนไลน์ย่อยทีเป็นรุ่นลูกอย่าง Poppy Bouquet (EDP) แทน เช่นนั้นได้เวลามาเรียนรู้กลิ่นกันหน่อยแล้วว่าจะออกมาเป็นรูปแบบไหน

บอกก่อน - จะไม่ได้บอกถึงความเชื่อมโยงของกลิ่นกับความเป็นต้นตระกูลอย่าง Kenzo Flower เนื่องจากยังไม่ได้ใช้รุ่นแรกนั้นเต็มๆ ซึ่งจะขอเล่ากลิ่นที่ความเป็น EDP ของ Poppy Bouquet เป็นสำคัญ

กลิ่นเปิดมีความสดใส แต่ไม่ได้กิงก่องแก้ววัยรุ่นจ๋าเกินไป เพราะเนื้อกลิ่นยังให้อารมณ์แบบผู้หญิงที่มีความอ่อนโยนแฝงอยู่ให้จับต้องได้ตลอด ซึ่งช่วงเปิดคือความเป็นโทน Fruity ของลูกแพร์ที่ให้ความฉ่ำแกมสดใสหอมหวานกำลังดี โดยมีตัวสร้างความสดชื่นอย่างสาย Citrus เข้ามาร่วมด้วยซึ่งจับเนื้อกลิ่นแล้วน่าจะเป็นส้มที่เป็นตัวเชื่อมโทนได้ทั้งความสดใสและความหวานในเวลาเดียวกัน แต่กลิ่นสาย Citrus ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงหรือชัดเจนมากนัก เพราะเปิดทางให้กลิ่นลูกแพร์ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการสร้างโทนกลิ่นหวานใสอย่างพอเหมาะและลงตัว รวมถึงจะเริ่มจับต้องถึงกลิ่นอายดอกไม้สีชมพูแกมขาวที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาทีละหน่อยๆ รวมอยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงต้นคือการเป็นโทน Fruity Floral ที่ชัดเจนและมีความสมดุลย์กำลังดีแบบ Feminine Daily Scent เต็มๆ

การเข้าสู่ช่วงกลางจะชัดเจนมากขึ้นนั่นคือ โทนดอกไม้แบบใสๆ จะเสริมเข้ามาตีคู่กับกลิ่นลูกแพร์แบบคนละครึ่ง แต่สนับสนุนซึ่งกันและกันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งนั่นก็คือกุหลาบ ที่จะมาแบบใสๆ ให้ความโรแมนติคแบบกำลังดี แต่มีความนวลละมุนที่เชื่อมโยงกับโทนดอกไม้ขาวที่ให้ความนุ่มนวลอย่างดอกพุดที่เป็นโทนหวานหอมนวลสร้างความอ่อนโยนแบบกำลังดี ซึ่งช่วงนี้เอาจริงๆ แทบไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก เพราะเนื้อกลิ่นเป็นโทนที่เข้าถึงง่ายและมีความหวานหอมแบบน้ำหอมผู้หญิงที่กึ่งสดใสกึ่งนุ่มนวลอ่อนโยนไปพอเหมาะ แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือ เนื้อกลิ่นมีลักษณะแบบอวลๆ กึ่งอบอุ่นกึ่งไม้หอมแฝงอยู่ เลยทำให้กลิ่นมีความหนาอวลแบบเนียนๆ แต่ยังไงก็ยังให้ความพอเหมาะและเข้าถึงง่ายมากเช่นเดิม และมีความ Feminine ชัดเจนแบบไม่ต้องเสาะหาเลยแม้แต้นิดเดียว

ช่วงท้ายคือไม้หอมติดอบอุ่นที่จับต้องได้เลยว่ามี Ambroxan หรืออาจจะเป็น Cetalox สารหอมที่ให้ความอบอุ่นแกมไม้หอมกึ่งผิวกายติดเค็มหน่อยๆ แบบ Ambergris เป็นแกนหลักในการสร้างความอบอุ่นติดอวลๆ เพียงแต่มีการเกลากลิ่นมาอย่างดีทำให้โทน Animalic ติดเค็มๆ มาให้รู้สึกเท่าไหร่ แต่จะเป็นกลิ่นไม้หอมติดอบอุ่นกำลังดี ที่มีความหวานหอมของดอกพุดมาทำให้กลิ่นมีความหวานแกมอ่อนโยนแบบสบายๆ ไม่ได้หนักหน่วงเกินไป ซึ่งทำให้ช่วงท้ายจะมีความดึงดูดแบบเข้าถึงได้ง่ายและยังไงก็รอดในการใช้งานสูงมาก เป็นการปิดท้ายแบบไม่ต้องเล่นใหญ่เล่นเยอะแต่ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็สามารถใช้งานกลิ่นนี้ได้แล้ว ซึ่งกลิ่นเข้าถึงง่าย มีความหอมหวานสดใสและอ่อนโยนที่เข้าทางการเป็น Daily Scent แบบชัดเจนและเต็มตัว ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่ถ้ารจะใส่ออกกำลังกาย แนะนำรอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือชิลล์ๆ ทั่วไปจะดีกว่า เพราะถ้าจะใส่ไปแข่งกับชาวบ้านแบบโปรยเสน่ห์ยามท่องราตรี โดนกลบเอาง่ายๆ เลยล่ะ

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นค่าเฉลี่ยของกลิ่นนี้เลย และสามารถไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมและสภาพผิวเอื้อมากพอ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และจะลงมาที่ปานกลางไปราวๆ 2 - 3 ชม. ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป จนเมื่อแตะราวๆ 6 - 7 ชั่วโมงแล้วจะค่อยๆ ลงมาเป็น Skin Scent   

สรุป - #ของดีเทคนิคไม่ต้อง กลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นที่ยังไงก็หอม ยังไงก็รอด ได้ใจการใช้งานแบบไม่ต้องพยายามอะไรมากในการแสดงความแตกต่าง เน้นการใช้งานที่วันนั้นยังไงเราก็หอมได้สบายมาก ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีในการใช้งานแบบไม่จำเป็นต้องซับซ้อนแต่อย่างใด แต่ก็ให้ความหวานโปร่งและอ่อนโยนได้กำลังดี และที่สำคัญกลิ่นลูกแพร์ พันธุ์นาชิ ในน้ำหอมกลิ่นนี้หอมจริงอะไรจริง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.kenzoparfums.com/fr/en/fragrance/femme/flower-by-kenzo-femme/flower-by-kenzo-poppy-bouquet/K10100134.html