Chloé - Atelier des Fleurs: Lavanda
ในสาย High-end Designer ในฝั่งการสร้างสรรค์น้ำหอมต่างก็มี Exclusive Collection กันไปหมด เช่นนั้นมีหรือที่ Chloe จะไม่รวมวงกับเขาด้วย แต่สิ่งที่แบรนด์นี้นำเสนอนั่นคือความฉีกจากสาย Exclusive ที่ส่วนใหญ่เหมือนๆ กัน กลับมาเป็นการส่งต่อความมินิมอลที่สามารถนำเอาแต่ละกลิ่นที่อยู่ใน Collection มา Combine ร่วมกันได้ (สไตล์แบบ Jo Malone) โดยแต่ละกลิ่นที่นำมาสื่อสารนั่นคือเน้นความเป็นกลิ่นอายของดอกไม้ต่างๆ เป็นแกนหลักในการเป็น Exclusive ที่แตะได้ทั้งความเป็นน้ำหอมผู้หญิงและ Unisex ซึ่งนั่นก็คือ Collection - Atelier des Fleurs
ในปัจจุบัน Collection นี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องกับ 15 กลิ่นที่ประจำการในปัจจุบัน แต่เพราะว่าผู้เขียนเองไม่ได้เน้นในเรื่องของการนำมา Combine เลยจะเน้นเล่าแบบเดี่ยวๆ กับกลิ่นที่มีโอกาสได้มาครอบครองก่อนกับหนึ่งในดอกไม้ที่ให้ความผ่อนคลายและรื่นรมย์อย่างลาเวนเดอร์ โดยมีที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์จากตัวสุคนธกรอย่าง Quentin Bisch ที่ในยามเด็กได้เห็นแม่ของตัวเองเดินกลับมาจากสวนแล้วหอบเอาลาเวนเดอร์มาเต็มอ้อมแขน ซึ่งกลิ่นนั้นสร้างความประทับใจมาเสมอ เลยเอามาต่อยอดกับ Chloe ใน Collection นี้ให้กลิ่นนี้มีชีวิตโลดแล่นในการรับรู้ของผู้คนร่วมด้วย เช่นนั้น กลิ่นจะเป็นอย่างไร ว่ากันได้กับกลิ่นนี้เลย Lavanda
Natural Lavender - นี่คือช่วงเปิดของน้ำหอมกลิ่นนี้ที่จะสื่อสารถึงวูบแรกสุดในการรับรู้กลิ่นลาเวนเดอร์ที่มีความเป็นธรรมชาติอย่างมาก เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนกึ่งสมุนไพรที่มีความตุ่นเขียวแกมเมทัลลิคนิดๆ ที่จะมีในความเป็นลาเวนเดอร์หน่อยๆ แบบดึงเนื้อกลิ่นออกมาจากกิ่งก้านของลาเวนเดอร์ ผสมผสานกับกลิ่นโทนอะโรม่าที่เป็นลาเวนเดอร์ชัดๆ โดยมีความปร่ากึ่งการบูรแกมสมุนไพรที่ติดกึ่งทึบกึ่งโปร่งที่ซ้อนด้วยความสดชื่นแกมสะอาดติดหวานเนียนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเท่าที่จับต้องได้นอกตากความเป็นลาเวนเอร์ที่โดดเด่นยืนหนึ่ง ก็จะมีวูบโทนออกทางสมุนไพรที่ให้ความเขียวตุ่นหน่อยๆ เคล้าโรสแมรี่เล็กๆ ที่ให้โทนออกทางการบูรแฝงอ่อนๆ รวมอยู่บางๆ ด้วย รวมถึงมีโทนแนวอากาศสดชื่นยามสายที่ไม่ได้มาสาย Dewy ตอนเช้าเท่าไหร่นักแนวๆ กลิ่นโปร่งบรรยากาศรวมอยู่ด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะให้ความผ่อนคลายแบบใช่เลยเหมือนเราพึ่งรับช่อลาเวนเดอร์มาแล้วรับกลิ่นครั้งแรกสุดจากดอกไม้เหล่านี้ ต้องยอมเลยว่าถอดกลิ่นออกมาได้ตรงไปตรงมาและชัดเจนมาก
Calming Lavender - ช่วงกลางนี้เอาจริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาจากช่วงต้นมากนัก ยกเว้นแค่การลดทอนความชัดเจนแบบการรับกลิ่นครั้งแรกสุดลงมาเป็นช่วงที่จมูกเราเริ่มชินกับกลิ่นแบบนี้ แต่เป็นในด้านดี เพราะเราจะได้รับกลิ่นลาเวนเดอร์แบบผ่อนคลายกำลังดี มีความรื่นรมย์และปลอดโปร่งแบบอารมณ์ในบ้านมีแจกันลาเวนเดอร์วางเป็นโซนๆ ห่างๆ กันแต่พอลมพัดผ่านเข้ามาก็จะได้กลิ่นแบบกำลังดี Flow อยู่ในบ้านแบบเหมาะสม ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะให้ความผ่อนคลาย รื่นรมย์ มีลูกผสมความโปร่งที่ให้ความเป็นดอกไม้อวลแกมสมุนไพรติดเขียวอ่อนๆ กับกลิ่นที่มีความนวลสะอาด ซึ่งเป็นกึ่งกลางพอดีที่ยังจับต้องความเป็นธรรมชาติของลาเวนเดอร์ได้ และได้ความนุ่มนวลอะโรม่าแบบลาเวนเดอร์โทนผ่อนคลายแกมสะอาด
Clean & Mild Lavender - การเข้าสู่ช่วงท้ายความเป็นโทนธรรมชาติของลาเวนเดอร์เหลือเพียงปลายกลิ่นเท่านั้นแบบต้องดมติดผิวถึงจะพอรู้สึกบางๆ แต่จะมาเน้นที่ความเป็นโทนสะอาดกึ่งผ่อนคลายที่จะมาเป็นแกนหลักในการอยู่กับผิวไปยาวๆ ซึ่งในช่วงนี้จะได้กลิ่นแนวเครื่องเทศติดหวานคล้ายชะเอมเข้ามารวมอยู่เนียนๆ อยู่ ซึ่งกลิ่นของลาเวนเดอร์เองก็มีลักษณะโทนแบบชะเอมอ่อนๆ รวมอยู่แล้ว เลยทำให้ได้ความรู้สึกแบบนวลละมุนแกมหวานเบาๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ แกมโทนติดแป้งลาเวนเดอร์เล็กๆ แกมอบอุ่นอ่อนๆ ซึ่งมี Musk แฝงให้อารมณ์แบบผิวกายนุ่มนวลสะอาดติดกลิ่นไม้หอมบางๆ เนียนๆ อยู่ด้วย ซึ่งช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะเริ่มเป็นอีกสเต็ปหลังจากได้กลิ่นลาเวนเดอร์จากจุดเริ่มต้นมา Flow ในอากาศ ก็จะเป็นช่วงที่ลาเวนเดอร์คลอฉาบผิวกายแล้ว เรียกว่าเป็นการสื่อสารการรับรู้ทางกลิ่นที่ถอดออกมาจนกลายเป็นสเต็ปได้อย่างน่าทึ่งและแถมยังให้ความเป็นธรรมชาติแบบตรงไปตรงมาไม่ต้องเยอะสิ่งแต่มีความเรียบหรูได้ครบถ้วน
เหมาะสำหรับ - Unisex แบบที่ไม่ว่าจะเพศไหนก็เถอะ ถ้าชอบลาเวนเดอร์มันคือตรงไปตรงมาและชัดเจนมากในการนำเสนอตัวเองในรูปแบบที่รื่นรมย์และผ่อนคลาย ซึ่งเนื้อกลิ่นเข้าได้กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ข้ามไปน่าจะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายไปตะลุยเหงื่อเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนสิ่งที่เหมาะที่สุดคือใส่นอน เพราะจะทำให้นอนหลับสบายเลย หรือถ้าจะใส่ทั่วๆ ไปหรือออกงานก็ย่อมได้ แต่ตัดทิ้งการใส่ไปท่องราตรีได้เลย กลิ่นมาสายเรียบหรูเรื่อยๆ มาเรียงๆ โดนสายหวานแน่นกลบมิดแน่นอน
ความทน - อันนี้ต้องยกให้เพราะตอนแรกได้กลิ่นที่มีความเป็นธรรมชาติขนาดนี้ก็คิดว่าไม่น่าจะทนมาก แต่กลับกลายเป็นไม่ใช่ เพราะกลิ่นทนได้ดีเลยทีเดียวแตะที่ 8 ชั่วโมงเป็นค่าเฉลี่ยเลย และที่สำคัญไปต่อได้อีกเพราะสูงสุดที่เคยเจอกับกลิ่นที่ติดเสื้อนั่นคือผ่านไปแล้ว 15 ชม.
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น อารมณ์แบบเราได้กลิ่นแบบชัดๆ ครั้งแรก ก่อนที่จะผ่อนตัวลงมาที่ปานกลางซักราวๆ 2 ชม. ถึงกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป พอพ้นซัก 8 ชม. ก็เริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ
สรุป - ลาเวนเดอร์เน้นๆ ไม่มีโทนอื่นมาแย่งซีนแต่อย่างใด ตรงไปตรงมาและไล่สเต็ปได้อย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติในการถ่ายทอดกลิ่นที่ถอดเอาพฤติกรรมการรับกลิ่นของมนุษย์จากแรกสุดที่รับของใหม่เต็มๆ สู่การปรับตัวรับความดีงามเรื่อยๆ ทางกลิ่นที่ตีขึ้นมากระทบจมูก และที่สำคัญคนที่ชอบลาเวนเดอร์บอกเลยว่าโดนตกเอาได้ง่ายๆ เลยล่ะกับกลิ่นนี้
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน
เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://www.chloe.com/nl/fragrance_cod51126080xx.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น