วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfum d’Empire - Wazamba

Parfum d’Empire - Wazamba

Parfum d’Empire เป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche จากฝรั่งเศสที่มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจากจักรวรรดิต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่ในอดีต งานเฉลิมฉลองและวัฒนธรรมในพื้นที่นั้นๆ รวมถึงกษัตริย์ที่เป็นที่รู้จักระดับโลกต่างๆ ซึ่งมีหัวใจหลักคือความดึงดูดและจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นเมื่อเราได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ในอดีตเหล่านี้ เรียกว่าสเกลในการสร้างสรรค์ผลงานมีความยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว แต่เจ้าของแบรนด์และสุคนธกรอย่าง Marc-Antoine Corticchiato ก็สามารถแปลงออกมาเป็นกลิ่นที่งดงามได้และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้

เมื่อได้มีโอกาสมาเจอกันครั้งแรกกับแบรนด์นี้ กับการสื่อสารกลิ่นอายที่ดึงเอาความเป็นดนตรีบรรเลงในงานเฉลิมฉลองสำคัญต่างๆ ทางแอฟริกาตะวันตกมาถ่ายทอดลงสู่ขวด ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีอะไรที่น่าสนใจเพราะดนตรีทางแถบนี้มีความดึงดูดและสามารถทำให้สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของผู้คนในแถบนั้นได้เป็นอย่างดีเสียด้วย เช่นนั้นมาว่ากันในเรื่องกลิ่นเลยแล้วกันว่าจะแปลงสารออกมาให้รับรู้ทางจมูกกันอย่างไรบ้างกับรุ่นนี้ Wazamba

ธูป Incense จะเป็น Center หลักที่อยู่กันยาวๆ ไปเลย เพราะเปิดมากลิ่น Incense ที่มีความเป็นโทนยางไม้ที่มีความปร่านวลพริกไทยปนโทน Smoky ของ Frankincense จะเด่นพุ่งมาก่อนใครเพื่อนเลย ซึ่งจะมีตัวเสริมที่ดีอย่างโทนออกทางกึ่งสบู่คมๆ ฟุ้งๆ มีความสะอาดเสริมอยู่ของสารหอมอย่าง Aldehydes และกลิ่นไม้หอมติดยางสนปร่าๆ มีความแห้งๆ ของสนไซเปรสมาเสริม ทั้งยังมีโทนหวานออกทางผลไม้ติดค่อนไปทางโทนกึ่งชื้นบางๆ ค่อนไปทางแห้งหน่อยๆ ของแอปเปิ้ลแดงแกมกลิ่นหวานเย้าเจือดาร์กของลูกพลัมแทรกอยู่ในทุกอณูกลิ่นในช่วงนี้ให้มีมิติกลิ่นที่น่าสนใจมาก โดยต้องยอมรับเลยว่าแต่ละโทนกลิ่นในช่วงนี้มีอารมณ์และความรู้สึกที่ค่อนข้างชัดในการสื่อสารที่สื่อกับความเป็นจิตวิญญาณจากโทนธูปติด Smoky แต่มีความปร่าของไม้สนติดแห้งๆ ที่ค่อนมาทางสว่าง เสริมด้วยความหวานดึงดูดโปร่งหน่อยๆของโทนผลไม้ ซึ่งแค่ช่วงเปิดก็ชัดเจนมากเลยว่าตรงกับหัวใจหลักของการทำน้ำหอมแบรนด์นี้ชัดเจน

และแน่นอน Frankincense ไม่ไปไหน ยังคงมีความสตรองต่อเนื่องมาในช่วงกลางที่กลิ่นจะมีเริ่มโทนติดออกทางคล้ายยาที่มาจากเนื้อไม้หรือยางไม้ที่ให้ความเย็นๆ หน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วยจาก Myrrh สร้างโทนกลิ่นที่มีความเป็นโทนออกทางสายยางไม้มาสนับสนุนความเป็นโทน Aromatic Incense มากขึ้น และัไม่พอกลิ่นจะมีความลึกมากขึ้นปนอบอุ่นจที่มาตัดทอนให้ความรู้สึกหยินหยางกลางๆ กำลังดี เพราะกลิ่นสายยางไม้และโทนธูปมาออกทางเย็นๆ แต่จะมีกลิ่นอบอุ่นของโทนแอมเบอร์ที่มีความอวลลึกติดหวานและมีลักษณะกลิ่นติดโทนหนังหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วยแบบสายสนับสนุน เลยทำให้กลิ่นมาเจอกันตรงกลางที่มีความกำลังดี ไม่อบอุ่นเกินไป และไม่เย็นเกินไป โดยที่ยังคงโดดเด่นมากกับความเป็นโทนธูปที่ชัดเจนฟุ้งกระจายออกมา และก็มีกลิ่นโทนแอปเปิ้ลแดงกับพลัมที่ออกทางแห้งๆ โปร่งๆ แทรกตัวอยู่ประปรายตลอด คุมโทนกลิ่นที่ทั้งดึงดูดและมีจิตวิญญาณได้ดีอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน แถมเพราะโทนแบบแอมเบอร์ที่เข้ามาร่วมนี่แหละ ทำให้ได้ความรู้สึกมีจังหวะแบบดนตรีเครื่องเคาะต่างๆ ที่มีความเข้มของกลิ่นที่ชัดเจนขึ้นด้วย

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปเรื่อยๆ และเริ่มสัมผัสได้ว่าเนื้อกลิ่นเริ่มมีลักษณะที่เข้าทางโทนแอมเบอร์มากขึ้น โทนผลไม้เริ่มหายไป และความเป็นธูปเริ่มลดระดับความเข้มข้นลงมาจนกลายเป็นสายสนับสนุนแทน ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายที่กลิ่นก็จะได้อารมณ์แบบโทนอบอุ่นติดหวานลึกที่มาจากยางไม้ที่กลิ่นคล้ายยาแต่มีโทนหวานลึกติดอับหน่อยๆ ของ Oppoponax และมีความเป้นโทนติดเผ็ดปร่าแกมดาร์กนิดๆ จากโทน Smoky ที่แทรกอยู่ประปราย แต่ก็ยังไม่ได้ออกทางดาร์กเกินไป เพราะกลิ่นยังคุมโทนสมดุลย์ได้ดีจากโทนไม้หอมอย่างจันทน์หอมที่มาสร้างความครีมมี่นวลๆ และโทนสว่างให้กับกลิ่น รวมถึงแอบมีกลิ่นเขียวหน่อยๆ ที่ผลุบๆ โผล่ๆ มาสร้างมิติที่ได้อารมณ์น่าค้นหาร่วมด้วย ทุกอย่างในช่วงนี้พื้นฐานกลิ่นจะเป็นโทนอบอุ่นที่เข้าโทนแอมเบอร์แกล้มความเป็นธูป Incense ที่มีลูกเล่นความสว่างเจือความดาร์กในกลิ่นแบบกำลังดีตีคู่กันไปอย่างลงตัวตลอด คุม Concept ได้ครบถ้วนได้ทั้งจิตวิญญาณจากโทนธูป ความดึงดูดของโทนยางไม้ และความมีจังหวะเข้มข้นกำลังดีของสายแอมเบอร์ต่างๆ ครบถ้วนการสื่อสารกลิ่นที่แปลงลงมาสู่ขวดได้อย่างมีชั้นเชิงมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนเพราะเนื้อกลิ่นเป็นแนวสภาพแวดล้อมหรือการแปลงสารจากดนตรี เลยแตะได้หมดทุกเพศ แต่อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมกลิ่นโทนธูปหรือยางไม้มาก่อนจะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ง่ายขึ้นมาก ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์หน่อย เพราะกลิ่นถือว่ามาชัดเลยทีเดียว ซึ่งเข้ากับการใส่แบบทางการได้ หรือทั่วๆ ไปก็ได้อยู่ แต่กลิ่นมันจะออกทางธูปยางไม้ เลยจะไม่ได้เข้ากับการใช้แบบกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานดีกว่า เพราะกลิ่นแนวนี้ใส่ไปท่องราตรีอาจจะไม่ได้เข้ากันเท่าไหร่นัก 

ความทน - ดีงามมาก เพราะสิ่งที่เจอคือ 15 ชม. เลยทีเดียว เช่นนั้นยังไงก็เกิน 8 ชม. แน่นอน แม้ว่าจำนวนสเปรย์จะไม่ได้เยอะมาก กลิ่นก็ยังหายห่วงในเรื่องนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นราวๆ 1 ชม. ที่เหลือจะผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ คงตัวกันยาวถึง 8 ชม. จึงค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ แล้วผ่อนลงเป็นติดผิวเอาช่วงราวๆ 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - หนึ่งในกลิ่นโทนธูป Incense และยางไม้ที่ไม่ธรรมดา เพราะให้อารมณ์ได้ครบถ้วนกับการสื่อสารความเป็นดนตรีแนวแอฟริกันที่มีทั้งจังหวะที่หนักแน่น ความเย้ายวนชวนค้นหา และความเป็นจิตวิญญาณ ผ่านกลิ่นต่างๆ ที่ผสมผสานกันอยู่ในน้ำหอม ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ให้คำว่ายอดเยี่ยมเลยก็ยังได้ 

หมายเหตุ

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://parfumdempire.com/en/parfums/wazamba/

 

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Fresh - Fig Apricot

Fresh - Fig Apricot

เพราะไม่เคยหนีจากกลิ่น Fig (มะเดื่อฝรั่ง) ไปไหนได้ง่ายๆ เวลาเจอน้ำหอมกลิ่นไหนที่มีชื่อว่า Fig อยู่ในนั้นหรือมี Note ของ Fig ไม่ว่าจะมาทั้งลูก กิ่งก้าน ใบ หรือมาแบบเป็นต้นมาเลย ก็เรียกว่าจะโดนตกอยู่ร่ำไป เพราะหลงเสน่ห์กลิ่นเขียวเข้มทึบที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและแน่นอนกลิ่นไม่ค่อยเหมือนใคร ซึ่งก็เรียกว่าเก็บกลิ่น Fig มาเพียบจนเมื่อได้มาเจอกับแบรนด์ Fresh ที่เดิมทีสนใจแต่กลิ่นสาย Sugar หรือว่าตัวเด่นของแบรนด์อย่าง Cannabis Santal แล้วเห็นว่ามีกลิ่น Fig กับเขาด้วย เอาล่ะสิ ดมแว้บเดียวก็โดนตก จัดมาในทันทีแบบที่ BA ถึงกับยิ้มเลยทีเดียวว่าไม่ต้องบิลด์อะไรมาก

เช่นนั้นเมื่อซึบซับกลิ่นนี้จนได้ที่ ก็มาขยายความกันหน่อยว่าความเป็น Fig ของ Fresh จะเป็นลักษณะไหนกันบ้างกับรุ่นนี้ Fig Apricot

เปิดต้นกลิ่นมาแบบที่ทำเอาทึ่งไปเลย เพราะ Fresh นำเสนอกลิ่นอายที่เป็นโทน Fruity ผลไม้ของพีชและแอปริคอตออกมาแบบที่เป็นธรรมชาติเป็นลูกสุกๆ ที่ไม่ได้ปอกเปลือก ทำให้จะได้กลิ่นสุกติดหวานหอมอ่อนๆ เคล้ากลิ่นเปลือกผลที่ฟุ้งออกมาแบบกำลังดี และต้องยกความดีงามให้กลิ่นเขียวใบ Fig ที่เปิดตัวเป็นสายสนับสนุนให้ช่วงต้นของกลิ่นมีความธรรมชาติมาก อารมณ์แบบยืนในดงกลิ่นแอปริคอตและพีชที่สุกคาต้น เคล้ากลิ่นใบไม้เขียวๆ ซึ่งเลเยอร์กลิ่นจะไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ก็แยกได้ชัดเจนเลยว่า นี่คือกลิ่นอมหวานหอมของพีช และนี่คือกลิ่นติดครีมมี่เปรี้ยวอมหวานของแอปริคอต ที่จะมีกลิ่นเขียวขมเข้มใบ Fig เสริมอยู่ แกมมีความเปรี้ยวฉ่ำหน่อยๆ เบาๆ สดชื่นที่น่าจะมาจากลิ้นจี่ปลายกลิ่น เรียกว่าเปิดมาก็สร้างโทนผลไม้ที่เป็นธรรมชาติเกินคาด

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงกลางจะสลับโทนกันแล้ว เพราะคราวนี้จะเป็นความเขียวขมเข้มทึบของใบ Fig ที่จะเป็นตัวเด่น ความเขียวเข้มนี่แหละมาชัดมาเต็มเลย แต่ไม่ได้ถึงกับหนักหน่วงเน่นเกินไปนัก เพราะกลิ่นโทนออกทาง Milky หรือ Lactonic ที่มาจากพื้นเพของ Fig เองและมาจากแอปริคอตจะมาตัดทอนให้กลิ่นมีความนวลๆ ครีมมี่เคล้าคลอความเขียวได้อย่างลงตัว ไม่ใช่แค่นั้น กลิ่นยังมีกลิ่นโทนเขียวติดเปรี้ยวหอมที่มีลูกผสมของ Citrus และกลิ่นเขียวๆ ของกิ่งก้านส้มที่มาเสริททำให้มิติของกลิ่นไม่ได้เขียวเข้ม Fig จัดจ้านเกินไป รวมถึงกลิ่นโทนผลไม้ในช่วงต้นที่ลดระดับตัวเองมาสร้างอารมณ์สดใสเบาๆ เสริมอยู่ด้วย กลิ่นเลยอะโรม่ากันเต็มๆ แบบที่ได้ทั้งเขียวทึบเข้ม แต่มีความครีมมี่ Milky เจือหวานอ่อนๆ ของผลไม้ โดยในช่วงนี้ชัดเจนมากเพราะว่าทั้ง Fig และแอปริคอตต่างๆก็เป็นตัวเล่นหลักที่ส่งเสริมกันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรแก่เวลา การเข้าสู่ช่วงท้ายโทนผลไม้จะหายไปหมดแล้วเหลือเพียงโทนเขียวใบ Fig และกิ่งก้านส้มหน่อยๆ ที่ยังอยู่ แต่จะเบาลงมาพอสมควร แต่มีความเขียวที่เป็นมิติอะโรม่ารื่นรมย์จมูกใสๆ เข้ามาเพิ่มอย่างชาเขียว ที่มาลดทอนความขมเข้มลงให้รื่นจมูกมากขึ้น รวมถึงมีกลิ่นออกทางลมทะเลติดเค็มอ่อนๆ อารมณ์ Sea Breeze นะแต่มีความเค็มอ่อนๆ ที่สร้างความเป็นธรรมชาติอยู่ด้วยอารมณ์แบบมาเบาๆ ทำให้ได้มิติเขียวที่เป็นสภาพบรรยากาศอารมณ์แบบสวนมะเดื่อไม่ไกลจากทะเลมากนัก และพอดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับได้เพิ่มอีกถึงโทนนุ่มๆ สะอาดของ Musk ที่เป็นตัวรองพื้นปลายกลิ่นแกมกลิ่นออกทางไม้หอมโปร่งๆ ซึ่งน่าจะมาจากสารหอมอย่าง ISO E Super ที่ให้โทนกึ่งไม้ซีดาร์โปร่งๆ เนียนๆ ในกลิ่นอยู่ด้วย กลิ่นจะสร้างอารมณ์แบบเขียวอะโรม่าหลากมิติแต่นำทีมโดยใบ Fig ที่มาแบบสบายๆ คลอผิวกายสร้างออร่ากลิ่นเป็นธรรมชาติและรื่นรมย์ได้ลงตัวและพอเหมาะ แล้วจะค่อยๆ จางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ได้หมดทุกเพศถ้าต้องการความเขียวและความสดชื่นในลักษณะที่เอาเขียวเข้าสู้และไม่เหมือนใครนักในท้องตลาด ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไปและกิจกรรมกลางแจ้งสบายๆ แต่ถ้าเอาไปใส่ทางการอาจจะแปลกๆ หน่อยๆ เพราะกลิ่นมันเขียวมาเลยอาจจะไม่เข้ากับลุคทางการที่จะสื่อ (แต่ถ้าใส่ไปทำงาน Office อันนี้ได้อยู่) และแม้ว่ากลิ่นจะเข้ากับกลิ่นเหงื่อ ที่ตอบโจทย์การออกกำลังกายอยู่บ้าง แต่มันเขียวน่ะ เกรงว่าพอมาเจอเหงื่อแล้วฟุ้งกระจายออกมาคนจะทักเอาว่าเหม็นเขียวเอาแทนจะหอม เลยให้ข้ามไปน่าจะดีว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นชิลล์ๆ เถอะลงตัวที่สุดแล้ว   

ความทน - ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะไปต่อได้อีกก็ว่ากันตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. พอดีๆ ไม่ว่าจะสภาพอากาศแบบไหนก็ตาม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซักพักราวๆ 4 ชม. ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เอาตอนราวๆ 6 - 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ต้องยกให้เลยว่ากลิ่นนี้นำเสนอความเป็น Fig และแอปริคอตได้แบบชัดเจนและเป็นธรรมชาติมาก โดยที่ไม่ได้พยายามน้ำเสนอกลิ่นสาย Fruity แบบเค้นเอาความเป็นไซรัปผลไม้หวาน แต่เอาความเป็นธรรมชาติแบบผลสุกที่เราได้กลิ่นอ่อนๆ ทะลุเปลือกออกมาเคล้ากับกลิ่นเขียวใบ Fig ที่ตรงไปตรงมาและชัดเจน เสียดายมากจริงๆ ที่ทุกวันนี้กลิ่นนี้เลิกผลิตไปแล้ว เก็บที่มีไว้แน่นเลยงานนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pinterest.co.uk/pin/442760207108462394/

 

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfum Prissana - Mandarava

Parfum Prissana - Mandarava

ดอกมณฑาทิพย์” ตามพระไตรปิฎกได้ระบุเอาไว้ว่าเป็นดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งไม่ว่าจะเบ่งบานบนฟ้าหรือบนดินต่างก็ให้ความสวยงามและมีความหอมชื่นใจที่ช่วยจรุงจิตให้รื่นรมย์เป็นพิเศษ ซึ่งสืบเนื่องเชื่อมโยงกับเรื่องในพระพุทธศานาในช่วงสำคัญต่างๆ ทั้งประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมครั้งแรก จาตุรงคสันนิบาต (มาฆบูชา) และเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งในอย่างหลังก็ปรากฎว่ามีดอกมณฑาทิพย์ร่วงหล่นลงมาบูชาและแสดงความอาลัยต่อพระพุทธเจ้าจากสรวงสวรรค์

แน่นอนว่าเรามาในเรื่องกลิ่น เช่นนั้นเรื่องราวเกี่ยวศาสนาถือว่าจบที่ย่อหน้าแรก แต่มาว่ากันต่อที่กลิ่นดอกมณฑาทิพย์ ซึ่งถ้าได้กลิ่นฟุ้งลอยมาตามลมเย็นๆ ก็จะมีความหอมชื่นใจที่เยือกเย็นแบบสไตล์ดอกไม้เหลือง ที่ไม่ได้ถึงกับไปสายเย้ายวนแบบกระดังงา แต่ให้ความหอมติดโปร่งกึ่งจำปาที่มีความอวลเย็นชื่นใจ ซึ่งแน่นอนกลิ่นแบบนี้ไม่ง่ายกับการสื่อสารออกมาเป็นน้ำหอมเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถที่จะได้ลอง เพราะว่าแบรนด์ Parfum Prissana ได้จับเอาความเป็นดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์นี้มาถ่ายทอดกับการเป็นหนึ่งใน Collection - Gods & Monsters เช่นนั้นผ่านกลิ่นอายสาย Demon ที่เป็นปีศาจในสไตล์อาหรับกับรุ่น Nesnas Qareen ตามด้วยการเล่าเรื่องราวคัมภีร์ไบเบิ้ลผ่านเพลงกล่อมเด็กแบบยิวในวิถีของความเป็นมนุษย์กับ Ma Nishtana คราวนี้ก็มารุ่นสุดท้ายกับกลิ่นอายสรวงสวรรค์ในแบบศาสนาพุทธที่เอาดอกมณฑาทิพย์เป็นตัวชูโรงใน Mandarava ซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไรนั้น ตกผลึกกันได้ที่แล้วก็ว่ากันได้ตามนี้

เปิดกลิ่นออกมาความเป็นโทน Aldehydes จะสร้างความฟุ้งออกทางติดคมๆ พร้อมกับกลิ่นที่เป็นโทน Incense ที่มีความเป็นยางไม้ติดปร่าเผ็ดโปร่งและมีความซ่าหน่อยๆ ของ Frankincense และเม็ดผักชีที่จะโดดเด่นพุ่งมาก่อนเลย อารมณ์กลิ่นเปิดมาในลักษณะที่ค่อนไปทางคลาสสิคชัดเจน แต่วูบถัดมาจะได้อารมณ์กลิ่นดอกไม้หวานโปร่งเจือนวลหอมและมีความหวานในเนื้อกลิ่นที่มีความกำลังดีและมีความชื่นใจพอเหมาะวูบขึ้นมาตีคู่ไปพร้อมกับกลิ่นสบู่คมๆ ของ Aldehydes และโทนปร่า Incense ซึ่งบางวูบจะได้อารมณ์แบบกลิ่นสบู่โปร่งๆ ติดดอกไม้ไทยๆ แนวคล้ายจำปาเจือกระดังงา บางวูบจะได้อารมณ์แบบธูปหอมกลิ่นดอกไม้ที่ค่อนไปทางสว่างสดชื่นมากกว่าที่จะอึน ซึ่งแน่นอนว่าที่ได้วูบกลิ่นแบบดอกมณฑาทิพย์เข้ามาร่วมด้วย เพราะจะมีความสมดุลย์มากพอทั้งความหวานโปร่งหอมชื่นใจแบบจำปากำลังดี มีกลิ่นติดสดชื่นเจือหวานชื้นจืดอ่อนๆ ของดอกบัว แกมกลิ่นเย้าบางๆ ที่ดึงเอาความดีงามของกระดังงามาหน่อยเสริมให้กลิ่นครบถ้วนในการเป็นกลิ่นโทนคล้ายดอกมณฑาทิพย์ และตามด้วยความครีมมี่เบาๆ นวลๆ ของซ่อนกลิ่น เคล้าความตุ่นเบาๆ กึ่งเห็ดนวลของดอกพุดที่เป็นสายดอกไม้ขาวมาสนับสนุนให้กลิ่นมีมิตินวลมากขึ้น และยังไม่พอยังมีเนื้อกลิ่นโทนติด Herbal สมุนไพรหน่อยๆ เข้ามาเสริมเด่นที่เม็ดผักชีที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นที่มีลูกเล่นความฟุ้งปร่าแบบโทนธูปดอกไม้ และกลิ่นที่เป็นความหอมชื่นใจจรุงจิตของดอกไม้สีเหลืองนวล ซึ่งถือว่าครบถ้วนไม่น้อยเลยกับการสื่อสารถึงกลิ่นอายแบบศาสนาพุทธตั้งแต่เริ่มแรก อารมณ์ยามเช้าอากาศสดชื่นคมๆ เค้ากลิ่นธูปยางไม้และดอกไม้หอมรวยรินระเรื่อเย็นๆ ตามลม แบบที่ตรึงความเข้มข้นของกลิ่นได้อย่างพอเหมาะและสมดุลย์แบบมีความคลาสสิคในเนื้อกลิ่นชัดเจน

เนื้อกลิ่นในการเป็นช่วงกลางของน้ำหอมจะเริ่มมีการแบ่งภาคมิติการผสมผสานทางกลิ่นที่มีความซับซ้อนมากเลยทีเดียว เพราะเหมือนดึงเอาภาพเวลาเราเข้าไปในวิหารทางพุทธที่มีกลิ่นอายที่มีความขรึมขลัง และมีกลิ่นธูปปร่านวลแบบไม่ได้ควันธูปที่อึดอัด แต่เป็นความปร่า Spicy กึ่งพริกไทยอวลๆ ของ Frankincense และยางไม้ต่างๆ ที่เสริมเข้ามาสร้างให้กลิ่นมีโทน Incense ที่มีหลากมิติมากขึ้น เช่น โทนติดหวานหน่อยๆ โทนติดออกทางยาที่เป็นยางไม้เจือขม รวมถึงกลิ่นโทนไม้หอมต่างๆ ที่ได้อารมณ์แบบผงไม้หอมอัดจนเป็นธูปที่ส่งกลิ่นอายเป็นควันออกมา และมีโทนติดไม้หอมได้ความรู้สึกขลังๆ กึ่งไม้เก่าๆ ปนไม้สว่างนวลของไม้จันทน์หอมที่สร้างความรู้สึกแบบเป็นสถานที่สำหรับสักการะหรือวิหารที่สร้างขึ้นจากไม้ทาด้วยสีเหลืองทองเพราะมีเนื้อกลิ่นที่สร้างโทนเหลืองทองเข้ามาร่วมด้วยจากกลิ่นโทนไม้หอมและกลิ่นสายยางไม้ค่อนไปทางแอมเบอร์ และเนื้อกลิ่นจะมีโทนติด Animalic กึ่งเครื่องเทศหน่อยๆ ที่มีความหวานอุ่นเจือกลิ่นออกเข้ามาร่วมด้วย และแน่นอนกลิ่นดอกไม้ก็ยังมีอยู่เป็นตัวแทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นต่างๆ ทำให้ยังคงได้อารมณ์ธูปกับดอกไม้ แต่เพิ่มเติมความเป็นสถานที่ที่เป็นภายในแบบวิหารสักการะเข้ามาร่วมด้วย

จนเมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนออกทางไม้หอมติดฝาดปร่าและมีความหวานปลายๆ เสริมเข้ามาในช่วงระหว่างรอยต่อของช่วงกลางกับช่วงท้ายที่ผสมผสานกันจนเรียกประสบการณ์รับรู้ทางกลิ่นเด้งขึ้นมาเลยว่า นี่มันกลิ่นคล้ายจีวรย้อมแก่นขนุนที่จะให้กลิ่นออกทางแก่นไม้สีเหลืองมีความหอมเจือหวานปนฝาดเนื้อไม้แห้ง ที่เป็นการย้อมแบบไม่ได้มีสารเคมีมาเป็นองค์ประกอบในการย้อมผ้า อารมณ์แบบพระป่าย้อมจีวรเองจากแก่นขนุนจนได้จีวรหรือเครื่องนุ่มห่มทางสงฆ์เกิดขึ้นมา ซึ่งจะมีความหวานไม้เนียนๆ ได้อารมณ์สีเหลืองกรักแก่นขนุนออกมา ยิ่งมาเคล้ากับกลิ่นเจือดอกไม้สีเหลืองอ่อนๆ ที่เหลือเพียงประปราย และกลิ่นออกทางไม้หอมกับธูป Incense แล้ว จะได้อารมณ์ที่ครบถ้วนการเป็นพุทธศาสนาในเนื้อกลิ่นชัดเจน ส่งต่อเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะมีกลิ่นออกทางไม้ที่มีลูกผสมติดเผ็ดแบบกลิ่นไม้เก่าๆ เคล้ากลิ่นไม้กฤษณาที่มาแบบไม่จัดจ้านมีความ Smoky หน่อยๆ จากโทนธูปที่ตามมาจากช่วงกลางสร้างความรู้สึกลุ่มลึกในเนื้อกลิ่นที่มีความขลัง ตามด้วยโทนติดเขียวเข้มที่ไม่ถึงกับดาร์กแต่ให้ความเป็นกลิ่นแนวเขียวกึ่งหมึกกึ่ง Earthy ที่เป็นลักษณะของ Oak Moss ที่สร้างกลิ่นออกมาให้มีลักษณะแบบสไตล์ Earthy Vintage เคล้าอบอุ่นจากกลิ่นแนวกำยานหน่อยๆ เข้ามาเสริมสร้างความรู้สึกเป็นสีโทนเหลือเจือส้มอบอุ่นร่วมด้วย ซึ่งทำให้ทุกโทนผสมผสานรวมกันออกมาเสมือนเป็นการรับช่วงต่อจากช่วงกลางที่อยู่ในวิหารทางพุทธที่เป็นสถาปัตยกรรมไม้ รวมถึงสักการะด้วยธูปและดอกไม้เช่นเดิม เพิ่มเติมคือมีกลิ่นเถ้าของธูปกับโทน Smooth Animalic เคล้าโทนคล้ายกลิ่นจีวรพระติดอบอุ่นเบาๆ สงบ ขรึม และคลาสสิค ซึ่งทั้งหมดเนื้อกลิ่นไม่ได้โฉ่งฉ่างเลย ให้ความเรียบง่าย แต่มีมิติที่ซับซ้อนในสถานการณ์ เหมือนเราเข้าไหว้พระในวิหารมีกลิ่นจีวรพระและกลิ่นต่างๆ ที่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาแบบนิ่งๆ ซึมซับความรู้สึกนิ่งสงบทางพุทธกับกลิ่นอายที่ควรจะเป็นและควรจะมีรอบกายได้อย่างครบถ้วน

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมากเพราะเป็นกลิ่นอายที่มีความกลางๆ เพราะทุกอย่างมีความสมดุลย์มากพอที่จะเป็นหนึ่งในองค์ประกอบทางกลิ่นที่อยู่บนตัวผู้ใช้ไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม ก็จะสร้างความมีระดับในสไตล์คลาสสิคและมีความสูงศักดิ์ในเนื้อกลิ่นสูงมาก ซึ่งเข้ากับกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบสร้างออร่าความขรึมขลัง หรือใส่ไปด้านพุทธศาสนาก็ได้ เพราะเข้ากันได้ดีมาก แต่ให้ตัดการใส่ไปกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้ากันทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน เน้นการใส่ออกงานหรือสร้างความสงบจะดีที่สุด และมองข้ามเรื่องการใส่กลิ่นนี้เพื่อท่องราตรีไปได้เลย ไม่เข้าทางและอาจจะเจอถามว่าไปไหว้พระมาเหรอเอาได้  

ความทน - มากที่สุด เพราะ 15 ชม. แล้ว กลิ่นยังอยู่สมกับการเป็น Pure Perfume ที่เข้มข้นสูงมาก และไม่พอไปต่อได้อีกแม้ว่าจะอาบน้ำไปแล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอยู่ ซึ่งส่วนตัวใช้ไป 3 สเปรย์ ความทนก็ยังชัดเจนยาวนานจนถึง 15 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปราวๆ 1 ชม. ก่อนจะลงมาที่ปานกลางและคงตัวการไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 6 ชม. จะค่อยๆ ลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป

สรุป - ต้องบอกเลยว่า กลิ่นมีความซับซ้อนสูงมาก แต่ทุกอย่างผสมผสานกันออกมาจนได้ลักษณะกลิ่นทางพุทธได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีชั้นเชิงจริงๆ ซึ่งสิ่งที่เขียนข้างต้นจะมาจากประสบการณ์ทางกลิ่นที่เชื่อมโยงกับความเป็นศาสนาที่ได้คลุกคลีมาเป็นสำคัญ เลยบรรยายลงลึกและเยอะพอสมควร แต่ถ้าใครที่คิดว่ามันจะขลังไปไหม และอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ในเรื่องทางศาสนามากนัก เอาจริงๆ กลิ่นนี้ถือเป็น “โทนดอกไม้สีเหลืองที่มีความสูงศักดิ์ มีระดับ ขรึมขลัง มีเสน่ห์ในสไตล์คลาสสิคที่เป็นสไตล์ไทยร่วมสมัยได้งดงามมากอีกหนึ่งกลิ่น” ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการบรรรยายเข้าทางศาสนา หรือว่ากลิ่นที่เป็นสาย Amber Floral ที่มีระดับ สิ่งหนึ่งที่บอกได้ชัดเจนมากจริงๆ นั่นคือ กลิ่นนี้มีความเป็น Masterpiece ที่ชัดเจนมาก ยกนิ้วให้สุคนธกรเลยว่ายอดเยี่ยมจริงๆ    

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.prinlomros.com/products/mandarava

 

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Rogue Perfumery - Derviche

Rogue Perfumery - Derviche

ต้องยอมรับเลยว่า Rogue Perfumery ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์สายอินดี้ที่มีการเติบโตขึ้นมาสู่การเป็นแบรนด์ Niche Perfumery ที่มีสไตล์เป็นของตัวเองและในแวดวงน้ำหอมต่างก็ยอมรับในฝีมือเป็นอย่างมาก โดยมี Concept หลักในการถ่ายทอดกลิ่นอย่างการ Tribute กลิ่นอายสาย Vintage งามๆ ต่างในอดีต และมาปรับให้เป็นสไตล์กลิ่นที่มีความร่วมสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายที่มีความดีงามในสไตล์เดิมอยู่ด้วย รวมถึงการดึงเอาจุดเด่นของน้ำหอมที่งดงามในอดีตอย่าง Note กลิ่นหรือสไตล์กลิ่นนั้นๆ นั้นมาต่อยอดเป็นกลิ่นที่มีความเฉพาะตัว โดยยังคงให้เครดิตของเดิมไว้เสมอ ซึ่งเป็นหนึ่งในการเป็น R&D (วิจัยและพัฒนาต่อ) ที่สร้างสรรค์งานศิลปะใหม่ออกมาได้อย่างงดงามมาก

ที่สำคัญแบรนด์มาในแนวสร้างสรรค์กลิ่นด้วยความเป็นศิลปะ โดยยังสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย รวมถึงไร้ซึ่งข้อจำกัดต่างๆ เช่นนั้นเลยโนสนโนแคร์เงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ที่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับน้ำหอมได้ตั้งเงื่อนไขไว้ เพราะนี่คือความอินดี้แบบที่จะให้สัมผัสความงามทางกลิ่นจริงๆ ที่ควรจะเป็น เช่นนั้นเรามาเจอกับความหอมของแบรนด์นี้กันหน่อยว่าจะเป็นอย่างไรบ้างกับกลิ่นแรกทีนำมาบอกต่อนั่นคือ Derviche

ก่อนจะเข้าเรื่องกลิ่นที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์ของกลิ่นนี้ คือ น้ำหอมรุ่น Emeraude ของแบรนด์เก่าแก่อย่าง Coty ที่ทุกวันนี้ยังมีวางจำหน่ายอยู่ แต่สุคนธกรอย่าง Manuel Cross เองได้ดึงเอาไอเดียของความเป็นกลิ่น Base ที่เป็น Oriental Amber มาเป็นตัวตั้งและมีตัวเปิดที่ดีอย่าง Bergamot มาต่อยอดในการสร้างสรรค์ เช่นนั้นต้องบอกเลยว่า ช่วงเปิดมันคือกลิ่นอายของการเป็นสาย Niche ที่ไม่ได้เน้นการตีหัวเข้าบ้านนัก ซึ่งจะให้อารมณ์กลิ่นติดโทน Indolic กึ่ง Animalic โดยมี Amber เป็นพื้นฐานเสมือน Center ของกลิ่นที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ แต่ Amber ที่จับต้องได้จะไม่ใช่ลักษณะแบบโทน Amber แบบที่เจอๆ มาในน้ำหอมหลายๆ ตัวที่ชูโรงความเป็น Note กลิ่นนี้ แต่จะให้โทนกลิ่นที่ลึกมากขึ้น มีมิติกึ่งโทนหนังนิดๆ เข้ามาซึ่งเป็นลักษณะกลิ่นของ Labdanum ที่เป็นลูกผสมกลิ่นแอมเบอร์ลึกๆ และมีความอวลที่มีพลัง แต่มาแค่ฉากหลังที่จับต้องได้เฉยๆ นะ เพราะโทน Indolic ติดกลิ่นตุ่ยๆ อารมณ์กลิ่นแบบ Dirty ที่จะมีในดอกไม้ขาวแนวมะลิ (แบบว่าเวลาที่เราเอามะลิมาแล้วเอาฝาแก้วครอบปิดจนมันเริ่มเหี่ยวเป็นสีน้ำตาล มันจะมีกลิ่นตุ่ยๆ ออกมาที่ไม่พึงประสงค์ซักเท่าไหร่) ซึ่งนี่แหละตัวดึงดูดสะกิดจมูกให้เกิดความสนใจแหละว่ามันกลิ่นอะไร จากใคร ที่ไหน อย่างไร นอกจากนี้จะมีกลิ่นออกทางซ่าๆ ปร่าๆ ของกลิ่นแนวมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เคล้าไปกับกลิ่นออกทางปร่าอวลๆ ติดพริกไทยของ Frankincense เข้ามาผสมผสานเข้าด้วยกัน เลยทำให้อารมณ์กลิ่นจะได้ความตุ่ยๆ แบบที่มีความสดชื่นเย็นๆ ปร่าซ่าๆ เจอกับความครีมมี่กึ่งหวานที่ไม่ข้นจัดมากของโทน Amber ที่มาจาก Labdanum เจือดอกไม้ขาว เรียกว่ามะรุมมะตุ้มกันพอสมควร และบางคนอาจจะผงะเอาได้เลยเพราะโทน Indolic มันชัดจริงๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเรียกให้เกิดความสนใจ และน้ำหอม Niche ไม่จำเป็นต้องเปิดต้นมาก็เอาใจคนดม แต่ลองรอซักครู่สิ ก็จะเริ่มเห็นความงามของกลิ่นที่กำลังจะตามมา

การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางความตุ่ยๆ Indolic ในตอนแรกจะเริ่มเพลาลงไปตามลำดับ โดยที่ยังคงความดีงามของโทนแอมเบอร์หอมหวานลึกเจือหนังอยู่เป็นฐานกลิ่นที่สัมผัสได้ชัดเจน แต่สิ่งที่เริ่มเข้ามาสร้งความรื่นรมย์และเปลี่ยนความตุ่ยให้เป็นความหวานโปร่งงามๆ เลยต้องยกให้ใบยาสูบที่เข้ามาเสริมกลิ่นตรงนี้ให้มีความรู้สึกหวานหอมมีลูกลิ่นคล้ายโทน Fruity หน่อยๆ เพราะจับกลิ่นเชอร์รี่ได้ และมีกลิ่นคล้ายโทนน้ำผึ้งหน่อยๆ ที่เสริมกลิ่นยาสูบให้มีความหอมหวานโปร่งมีเสน่ห์ชัดเจนมาก และไม่พอวานิลลาก็ปรากฎตัวมาร่วมกับเขาด้วยแบบที่เป็นสาย Support ที่ทำให้กลิ่นมีโทนเล่นของการเป็นโทนออกทางแป้งอบอุ่น กึ่งวานิลลาไซรัปใสๆ ที่ให้ความหวานผ่อนคลายมีเสน่ห์เข้ามาร่วมด้วย รวมสายสนับสนุนตัวอื่นๆ อย่างมะลิที่ลดความตุ่ยลงเหลือเพียงความหอมหวานนวลแทคทีมกับไม้จันทน์หอมที่ให้ความจืดหอมมีเสน่ห์ โดยที่ยังมี่ความปร่าซ่าๆ ของมะกรูดฝรั่งกับโทนยางไม้ติดพริกไทยอย่าง Frankincense อยู่ปลายๆ กลิ่น ซึ่งกลิ่นกลางเรียกว่าครบรสในการรับรู้ทางกลิ่นมาก เพราะได้หมดทั้งกลิ่นอายปร่าซ่าเย็นๆ กลิ่นหวานโปร่งๆ เจือไซรัปกึ่งน้ำผึ้งวานิลลาที่ไม่คมหนัก ตัดนวลด้วยมะลิอ่อนๆ และปิดท้ายด้วยกึ่งแป้งกึ่งแอมเบอร์ลึกๆ ที่มีกลิ่นไม้หอมนวลแห้งๆเคล้ากลิ่นโทน Animalic ที่สร้างความน่าค้นหาในเนื้อกลิ่น สร้างความรื่นรมย์ทางกลิ่นได้แบบแตกต่างจากช่วงต้นจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลย

และช่วงท้ายจะเริ่มปรากฎออกมาเมื่อเริ่มจับต้องกลิ่นหวานลึกเจือขมของหญ้าฝรั่นที่ค่อยๆ แทรกตัวขึ้นมา พร้อมกับเอากลับติดอวล Musky ปนโทนสาบ Animalic ของชะมดเช็ดเคล้ากลิ่นหนังเสริมเข้ามา แต่ต้องบอกว่ากลิ่นไม่ได้สาบชะมดเช็ดตุ่ยๆ อะไรแบบนั้น เพราะว่ากลิ่นโทน Amber ลึกๆ ปนหวานหอมโปร่งที่เป็นข้อดีทั้งหมดของช่วงกลางจะยังตามมาจนถึงช่วงนี้ด้วยมาตัดทอนและผสมผสานอย่างสมดุลย์ เลยทำให้อารมณ์กลิ่นจะได้ความ Vintage แต่มีระดับและร่วมสมัย กลิ่นไม่ดิบเกินไป แต่ให้ความรุ่มรวยปนอบอุ่นเนียนๆ ที่มีเสน่ห์เพราะใบยาสูบก็ยังชัด วานิลลาก็เสริมได้ดี Labdanum ก็ยังให้ความเป็นแอมเบอร์อวลลึกที่เสริมด้วยหญ้าฝรั่งสร้างความหวานเจือขมลึกเคล้าสายสาบปลุกเร้าอวลรองพื้น แถมมีกลิ่นคล้ายผิวกายติดเค็มหน่อยๆ ที่สร้างมิติเย้ายวนตามธรรมชาติเข้าไปอีกแบบกลิ่นเป็นฐานล่างสุด เรียกว่ากลิ่นให้เสน่ห์ของความหรูหราปนอบอุ่น หวานลึกเย้ายวนแบบมีเสน่ห์ออกมาครบถ้วนที่ให้ความ Vintage ก็ได้ร่วมสมัยก็ดี ปิดท้ายกลิ่นกันได้อย่างงดงาม

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เข้าได้หมดทุกเพศ ที่อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอม Vintage มาบ้าง ผ่านน้ำหอมสาย Niche มาซักหน่อย จะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ง่ายขึ้นและมีความสุขกับเนื้อกลิ่นที่สร้างออร่าทั้งภูมิฐานอบอุ่นก็ได้ มีเสน่ห์เย้ายวนน่าค้นหาก็ดี และมีคลาสมีระดับในเนื้อกลิ่นสูงก็สามารถ ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ข้ามการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ได้หมดเลยทั้งออกงาน โรแมนติค และท่องราตรีแบบสายนั่งชิลล์ (ที่ไม่ได้เน้นไปเต้นรากแตกจากไหน)  

ความทน - ดีงามที่ราวๆ 8 ชม. ขึ้นไป แต่จะไปต่อได้ถึงได้บ้างขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. ได้สบายมาก กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - ช่วงแรกกระจายดีเลยทีเดียว และก็ทำให้ผงะไปพอสมควรกับกลิ่นโทน Indolic ตุ่ยๆ แต่พอเข้าช่วงกลาง จะลดลงมาปานกลางที่หอมมีเสน่ห์มาก แล้วปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อผ่านไปซัก 8 - 10 ชม. ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ฝีมือไม่ธรรมดา และต่อยอดแรงบันดาลใจของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมมากจนสร้างสรรค์กลิ่นที่มี Amber เป็นฐาน และมีผู้เล่นสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นอย่างยาสูบและวานิลลา แถมด้วยสายส่งเสริมที่สร้างความงามทางกลิ่นในโทนหวานอบอุ่นลึกและไม่ข้นหนักได้อย่างลงตัวโดยแตะได้ทั้งความ Vintage และร่วมสมัย ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีความงามจากการสร้างสรรค์กันเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ

Photo Credit - https://ecuacionnatural.com/en/producto/dervivche-rogue/

 

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Lollia - Always in Rose

Lollia - Always in Rose

ผ่านการลองน้ำหอมจากสุคนธกรจาก USA ในสาย Niche ใช้ง่ายอย่าง Margot Elena มาบ้างในแบรนด์ TokyoMilk แต่เมื่อเห็นว่าสุคนธกรผู้นี้ไม่ได้มีแบรนด์น้ำหอมแค่แบรนด์เดียว ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่แยกกันไปตามแต่ละ Concept ในการนำเสนอเสียด้วย ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องควานหามาลองกันหน่อย เพราะเราก็อยากเห็นมุมอื่นๆ ในน้ำหอมที่ผู้ปรุงกลิ่นคนนี้สร้างสรรค์ไม่ใช่น้อย เพราะว่างานใน TokyoMilk เองก็ไม่ธรรมดาเชียว

เช่นนั้นการมาเจอกับอีกแบรนด์อย่าง Lollia ที่สุคนธกรผู้นี้ได้สร้างสรรค์ขึ้น โดยเน้นความโรแมนติคเป็น Concept ในการสร้างสรรค์กลิ่นจะออกมาแบบไหน ว่ากันที่รุ่นที่มีโอกาสได้ลองเป็นตัวแรกของแบรนด์นี้กันเลยดีกว่านั่นคือ Always in Rose

กลิ่นเปิดมันคือการนำเสนอความเป็นโทนดอกไม้แกมบรรยากาศสดชื่นชัดเจน มีลักษณะที่มีความเปรี้ยวสดชื่นติดแปร่งของเกรปฟรุต และมีความหอมติดกลิ่นส้มเข้ามาร่วมด้วยแบบอารมณ์เปลือกส้มที่มีความสะอาด ทำให้กลิ่นจะมีความสดชื่นติดสว่างกำลังดี เสริมด้วยกลิ่นออกทางดอกไม้อ่อนๆ ติดเขียวบางๆ กึ่งผักมีโทน Musky หน่อยๆ ซึ่งอารมณ์ตามกลิ่นแนวๆ ดอกชบาเบาๆ ที่เนียนรวมอยู่ในกลิ่น แต่ในวูบถัดมาสิ่งที่เด่นขึ้นมาเลย คือ กุหลาบ ที่มาจะแบบใสๆ มีความหวานอ่อนๆ แอบมีกลิ่นติดผลไม้คล้ายลิ้นจี่มาเจือบางในบางวูบที่เสริมกุหลาบได้น่าสนใจ และยังตีคู่เข้ากับกลิ่นสาย Citrus กำลังดีไม่ได้หวานหยดย้อยมาจากอารมณ์กุหลาบจ๋า แต่ให้ความเป็นกุหลาบติดสดชื่นเปรี้ยวหอมและมีความสะอาด + สว่างกำลังดี เปิดขึ้นมาอย่างน่าสนใจมาก

เนื้อกลิ่นในช่วงกลางแรกว่าแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงต้นเท่าไหร่ จะเด่นที่การเป็นกุหลาบติดเปรี้ยวหอมสว่างๆ สดชื่นเหมือนเดิม เพียงแต่กลิ่นจะมีโทนดอกไม้ที่ชัดขึ้น และแอบทำให้นึกถึงกลิ่นโทนแนวๆ ที่เป็นสายกลิ่นกุหลาบทันสมัยอย่าง Stella McCartney for Women อยู่พอสมควร เพียงแต่กลิ่นนี้จะให้โทนกุหลาบ Citrus ที่ใสและติดชบาอ่อนๆ ท่ามกลางความเป็น Citrus ติดสว่างและสะอาด เลยได้ความโรแมนติคโทนสว่างมากกว่า ไม่ได้ไปสายกุหลาบมั่นใจมากเท่า เนื้อกลิ่นจะไม่ได้ซับซ้อนนักแบ่งโทนหวานกุหลาบอ่อนๆ กับเปรี้ยวสดชื่นสะอาดได้ดีและมีความมินิมัลที่ชัดเจนพอสมควร จนเมื่อเข้าช่วงท้าย ความเปรี้ยวหอมสว่างๆ ของสาย Citrus จะเริ่มเหลือเพียงปลายกลิ่นให้กุหลาบเหลือความนวลหวานอ่อนๆ เคล้ากับกลิ่นไม้หอมและมีโทนอบอุ่นสบายๆ เบาๆ และมีความสะอาดของโทน Musk เข้ามาเป็นพื้นหลังเสริม จะได้อารมณ์แบบกลิ่นกุหลาบติดหวานอ่อนสะอาดเคล้าผิวกายอบอุ่นติดปลายกลิ่นสว่างๆ กำลังดี ตรงไปตรงมาไม่ได้หวือหวามากหรือซับซ้อน แต่ให้ความเรียบง่ายที่มีความหอมเจือโรแมนติคแบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่งได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงเน้นๆ กลิ่นไม่ได้ใสไป หรือไม่ได้หนักหน่วงไป ให้ความเป็นกุหลาบเจือบรรยากาศสดชื่นสว่างๆ แต่กลิ่นไม่ได้เด็กสาวนัก เพราะมีความ Modern อยู่ในตัวสูง เลยเข้าได้กับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานได้สบายมาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่น่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย เพราะมันมีความสดชื่นเป็นแกนหลักตีคู่กับกุหลาบอยู่แล้ว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไป สบายๆ หรือออกงานน่าจะดีกว่า เพราะว่ากลิ่นเบาไปในการใส่ไปท่องราตรี

ความทน - เรียกว่าเกินคาด เพราะว่ากลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังหรือหนักหน่วง มาสายสดชื่นแกมโรแมนติคเนียนๆ เสียมาก ก็คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะไม่ได้ทนมากนัก แต่พลิกเกมลากยาวไปที่ 8 ชม. ได้เลย และยังไปต่อได้อีกด้วยถึง 12 ชม. อันนี้ชื่นชมในเรื่งนี้เลยว่าเป็นกลิ่นเบาๆ ที่ทนเกินคาดมาก

การกระจาย - เปิดตัวกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเรื่อยๆ จนราวๆ 3 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบที่คงที่ยาวไปจนถึงราวๆ 8 - 10 ชม. แล้วจึงค่อยๆ ติดผิวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตอนราวๆ 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - กลิ่นไม่ซับซ้อนเลย เป็นอารมณ์แบบ Stella McCartney ที่มีความสดชื่นมากกว่า โดยที่มีกุหลาบเป็นตัวเดินกลิ่นหลักแบบที่ให้ความพอดีๆ เป็นโทนสว่างของบรรยากาศแกมโรแมนติคที่ไม่ได้พยายามยัดเยียดให้เป็นสีชมพูจ๋าๆ เกินไปนัก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เป็นสาย Niche แนวกุหลาบที่ใช้ง่ายไม่ซับซ้อนแต่ให้ความเพลินและหอมลงตัวเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ

Photo Credit - https://margotelena.com/products/always-in-rose-eau-de-parfum-1

 

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Guerlain - Samsara Eau de Toilette (Vintage)

Guerlain - Samsara Eau de Toilette (Vintage)

ผ่าน EDP มาแล้วทั้งรุ่น Vintage และรุ่นขวดแดง แน่นอนว่าจะพลาดรุ่น EDT ได้อย่างไร เพราะนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในการเติมเต็มความเป็น Samsara ของ Guerlain ให้ครบถ้วนที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกในการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเลือกใช้แบบกลางวัน/กลางคืน หรือใช้แบบเน้นอวลกับเน้นเรื่อยๆ แต่มีสไตล์ และที่สำคัญรุ่น EDT เองก็ไม่เป็น 2 รองใครเสียด้วยในเรื่องความนิยมและคำชมที่มากมายมาอยู่เสมอ รวมถึงเป็นอีกหนึ่งที่รวมอยู่ในโซนกลิ่นอายเหนือกาลเวลาของแบรนด์อีกด้วย

เช่นนั้น ได้เวลามาจับต้องกลิ่นกันหน่อยว่าความเป็น Samsara EDT ที่เป็นรุ่น Vintage กลิ่นอายจะถ่ายทอดออกมาอย่างไร ซึ่งก็ว่ากันได้ตามนี้เลย

เปิดตัวมาด้วยกลิ่นอายที่มีความเป็นกระดังงาวูบขึ้นมาพร้อมกับโทนกลิ่นเขียวๆ ติดสดชื่นหน่อยๆ ซึ่งจะมีโทน Citrus ติดขมปร่าหน่อยๆ เสริมอยู่ประปราย ซึ่งแน่นอนว่าจะมีโทนออกทางดอกไม้ขาวที่มีความตุ่ยๆ Indolic ซึ่งน่าจะมาจากมะลิ แล้วจะตามด้วยโทนกลิ่นพีชที่ไม่ได้หวานนวลเกินไป มาทางหอมเนียนๆ เสริมเข้ามาให้จับต้องได้ เลยทำให้รู้สึกได้ชัดเจนว่าเนื้อกลิ่นมีความเขียวเจือความสดชื่นเคล้าผลไม้ที่ชัดเจนกว่ารุ่นอื่น เพียงแต่เพราะว่าในความเป็น Vintage เนื้อกลิ่นช่วงกลางจะเสริมและแทรกตัวมาไว จนทำให้โทน Indolic ของดอกไม้ขาวแกล้มกระดังงาเลยจะชัดเจนควบคู่ไปด้วย ซึ่งนี่แหละให้ความเป็น Floral Classic ที่ชัดเจนสมกับการเป็น Vintage ที่ตีคู่ไปกับโทนเขียวเคล้าความสดชื่นที่แตกต่างจากความเป็น EDP

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง ความเป็นโทนแป้งจะให้ความกลางๆ กำลังดี ไม่ได้เป็นแป้งหอมนวลจ๋าๆ อวลๆ แบบจัดเต็มนัก แต่จะให้ความสมดุลย์กำลังดีที่ให้ความเป็นโทนแป้งหอมดอกไม้ที่ตามมาจากช่วงต้นอย่างกระดังงาและมะลิ แอบมีความกุหลาบชัดขึ้นมาให้รู้สึกได้ร่วมด้วย โดยจะมีมิติความอวลที่กลางๆ มีกลิ่นออกทางติดคล้ายแป้งฝุ่นเบาๆ ของไอริสที่วูบขึ้นมาให้รู้สึกได้ แต่แฝงเนียนด้วยความเป็นแป้งโปร่งหวานของไวโอเล็ตอยู่ด้วย แต่พอดมลงเข้าไปใกล้ผิวจะได้โทนแป้งติดอับทึบหน่อยๆ ของหัวเหง้าออริสที่แอบมีโทนกลิ่นไม้หอมติดครีมมี่จืดๆ ของไม้จันทน์หอมเนียนๆ คลออยู่ โดยจะมีตัวล้อมกลิ่นประปรายอย่างโทนสดชื่นติดเขียวปนโทนปร่าเล็กๆ ที่ตามมาจากช่วงต้นอยู่ ซึ่งถือว่ายังคุมโทนความเข้มข้นที่กำลังดีให้ความเป็นลักษณะ EDT ได้ชัดอยู่เช่นเดิม

เมื่อโทนไม้จันทน์หอมค่อยๆ ชัดเจนขึ้นและบทบาทของโทนแป้งในช่วงกลางเริ่มลดลง จนกลายเป็นโทนไม้หอมที่มาแบบกำลังดีกลางๆ มีให้ความเป็นกลิ่นไม้ติดจืดหอมมีโทนหวานอ่อนๆ ของวานิลลาและมีกลิ่นออกทางคล้ายอัลมอนด์เจือนมๆ ที่เป็นลักษณะของถั่วตองก้า สร้างลายเซ็นแบบวานิลลาสไตล์ Guerlain ที่เข้ามาเสริมได้อย่างลงตัวแบบไม่หนักหน่วงมากนัก โดยมีกลิ่นแป้งหอมดอกไม้อ่อนๆ จากช่วงกลางเข้ามาผสมผสานประปรายให้จับต้องได้ เนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นแบบพอประมาณ ให้ความพอดีๆ ที่คุมโทนความหรูหราและมั่นใจในการเป็นกลิ่นหอมที่สร้างอัตลักษณ์ที่มีความร่วมสมัยชัดเจนมากกว่ารุ่นอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องมีความ Classic สไตล์แบบฟุ้งๆ คมๆ พุ่งๆ ในแบบ Retro Style แต่ให้ความ Classic สู่ Modern ได้ลงตัวและคงที่ รวมถึงตั้งแต่ช่วงต้นสู่ปลายมีความ Unisex แบบเต็มตัวมาก เลยไม่แปลกใจว่าทำไมความนิยมของรุ่น EDT ถึงได้ตีคู่กับรุ่น EDP มาตลอดจนถึงปัจจุบัน

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป ซึ่งมาแนวเดียวกับโทน EDP ที่เน้นกลิ่นอายที่ร่วมสมัยแต่มีความมั่นใจและเย้ายวนเป็นสำคัญ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายหนักหน่วงมากนักเพราะว่ากันตามความเข้มข้น จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีอย่างเดียวที่อาจจะไม่ Match เท่าไหร่ก็คือการใส่ไปออกกำลังกาย ให้ตัดออกไปจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือว่าออกงาน หรือลามไปโรแมนติคก็ได้ ถือว่ามีความรอดสูง แต่ถ้าเป็นได้อยากเน้นเด่นขึ้นมาหน่อยไปจัด EDP ในการใช้ยามค่ำคืนจะประทับตราความหอมกับผู้อื่นได้ดีกว่า 

ความทน - อยู่ที่ประมาณ 6 - 8 ชม. อิงตามสภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. พอดีๆ ในทุกครั้งที่ใช้ราวๆ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางซักพัก ตีไปราวๆ 2 ชม. ที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป 

สรุป - EDP จะมีความอวลแป้งเย้ายวนและร่วมสมัยที่โดดเด่น แต่ EDT จะมีความเขียวและความสดชื่นประกบโทนแป้งได้อย่างลงตัวและมีความเป็น Lite Version มากกว่า ซึ่งถ้าจะมองความต่อเนื่อง EDT ใช้กลางวัน และ EDP ใช้กลางคืน หรือใช้ชอบกลิ่นชัดก็ไป EDP ถ้าใครชอบกลิ่นเรื่อยๆ ก็ไป EDT เรียกว่าเลือกใช้ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องหนีไปจาก Samsara เลยก็ยังได้ เพราะตอบโจทย์การใช้งานได้ครบถ้วนจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pinterest.com.mx/pin/605523112373131106/

 

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Guerlain - Samsara Eau de Parfum (Red Bottle)

Guerlain - Samsara Eau de Parfum (Red Bottle)

จากรุ่น EDP Vintage แน่นอนว่าความอยากรู้อยากเห็นก็ต้องต่อเนื่อง เพราะว่า Samsara EDP เองก็มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะ อย่างรุ่น Vintage เองก็เป็นขวดใส ก่อนจะมาเป็นช่วงขวดสีแดงแรงฤทธิ์และงดงาม ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นรุ่น Bee Bottle ในปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่รู้จะมีเวฟไหนอีกไหม แต่ที่แน่ๆ เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ารุ่นขวดแดงเองก็ถือเป็นอีกหนึ่งความงดงามทางกลิ่นที่ Guerlain เองก็คงคุณภาพของตัวเองมาเป็นอย่างดี เช่นนั้นจะไปไหนเสีย ก็ต้องมาลองให้รู้ จะได้เข้าใจได้ว่าทำไม Samsara ถึงได้มีดีอย่างต่อเนื่องมากขนาดนี้

กลิ่นเปิดค่อนข้างมีความชัดเจนมากถึงโทนที่สมดุลย์กันพอดีระหว่างความเป็น Citrus ติดเขียวปร่า Spicy หน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และความเป็นพีชที่ไม่ได้หวานมากแต่ให้ความหวานนวลกึ่งแห้งที่ค่อนไปทางหวานเจือจืดติดเขียวชื้นเล็กๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีกลิ่นของกระดังงาผสมผสานอยู่ด้วยเพียงแต่จะไม่ได้เด่นนำออกมานัก แบบที่ไม่ได้มีโทน Indolic ออกมาชัดมาก แต่ให้ความสดชื่นเป็นการเปิดตัวในการเป็นลักษณะกลิ่นแบบ Fruity Yellow Floral เสียมากกว่า เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ใสนัก เพราะมีความหนาอวลประมาณหนึ่งเพราะผ่านไปซักวูบนึงจะรู้สึกได้ว่ามีโทนแป้งรองพื้นอยู่ด้านหลัง ซึ่งทุกอย่างมีความพอดีเป็นลูกผสมโทนที่ลงตัวจับต้องได้หมดทุกโทน และกลิ่นชัดเจนได้อย่างน่าสนใจมาก

การเข้าสู่ช่วงกลางจะมีโทนแป้งสอดรับขึ้นมาแทนที่โทนสดชื่นที่ลดทอนลงไปเหลือเพียงประปรายซึ่งเนื้อกลิ่นจะค่อนข้างมีควาามสมดุลย์พอสมควรเพราะโทนแป้งที่มีมิติทั้งได้ความโปร่งเจือหวานติดปลายเขียวของไวโอเล็ต ความเป็นแป้งฝุ่นเบาๆ แบบไอริสเคล้ากับความหอมดอกไม้ของกระดังงาที่ยังตาามาในช่วงนี้และมีดอกมะลิที่ให้ความนวลติดตุ่ยๆ Indolic เบาๆ ไม่ได้หนักหน่วงมากนัก แต่ที่สำคัญคือ เนื้อกลิ่นติดโทนแป้งกึ่งอับเจือเนื้อ Buttery แบบหัวเหง้าใต้ดินของเหง้าออริสที่จะสร้างอารมณ์กลิ่นที่จับต้องได้ชัดพอสมควร แถมกลิ่นไม้จันทน์หอมยังเปิดตัวออกมาเป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความจิดนวลหอมซ้อนลงมาอีก เลยทำให้กลิ่นในช่วงกลางจะมีความน่าค้นหากึ่งมั่นใจและมีความทันสมัยมากขึ้น เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนสไตล์ Floral Classic อยู่ก็จริง แต่เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สร้างความเชื่อมโยงสู่โทนที่ร่วมสมัยแบบมีมิติเป็นสายสนับสนุนกลิ่นโทนแป้งที่มีความเย้ายวนและดึงดูดแบบที่ให้ความมีระดับ รวมถึงจับต้องผู้ใช้งานได้ในหลายๆ ช่วงวัยเสียมากกว่า เลยทำให้ช่วงกลางเด่นที่โทนแป้งเจือดอกไม้และไม้หอมที่มีเสน่ห์แบบสมดุลย์กำลังดี

เมื่อไม้จันทน์หอมค่อยๆ เทคโอเวอร์กลิ่นมาขึ้นตามลำดับ จนโทนสดชื่นในตอนแรกไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะให้โทนลักษณะที่มีความ Unisex มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าความร่วมสมัยมาเต็ม โดดเด่นที่โทนไม้หอมอย่างจันทน์หอมที่เป็นตัวเดินกลิ่นสำคัญ ซึ่งจะมีโทนวานิลลาแบบไลท์เวอร์ชั่นไม่ได้ข้นไป ขนมไป แต่ให้ลักษณะที่เป็นแป้งหอมติดหวานอบอุ่นอ่อนๆ และมีความครีมมี่นวลๆ นุ่มนมเล็กๆ ของถั่วตองก้ามาสนับสนุน ได้อารมณ์กลิ่นอายสไตล์วานิลลาที่เป็น Signature ของแบรนด์อยู่ครบถ้วน แถมสอดรับพอดีกับโทน Soft Musk ที่ให้ความนวลสะอาดอ่อนๆ ซึ่งกลิ่นช่วงนี้นอกจากที่จะเป็นโทน Unisex แล้ว ยังมีลักษณะที่เข้าถึงได้ง่ายมีโทนสว่างนวลละมุนมากขึ้น โดยยังคุมโทนการเป็นกลิ่นโทนร่วมสมัยที่กำลังดีและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น โดยยังคงความมีคลาสมีระดับไว้ได้ดีเหมือนเดิม

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ตัว EDP ขวดแดงนี่ค่อนข้างที่จะเป็นกลิ่นที่มีความทันสมัยและร่วมสมัย โดยเข้าถึงการใช้งานที่ตอบโจทย์ช่วงวัยสาวๆ มากขึ้นเสียด้วย แถมเสริมความมีเสน่ห์ มีลูกเล่นเย้ายวน มีระดับและมีคลาสในเนื้อกลิ่นที่ไม่ธรรมดา ไม่ได้กิงก่องแก้วหรือเอะอะก็ดูอ่อนหวานจากไหน ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่แค่นั้นเอง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าใส่แนวโรแมนติคจะดีกว่า เพราะกลิ่นสไตล์นี้ไปสู้กับการแน่นอวลแข่งกันแย่งซีนในการท่องราตรีไม่น่าไหว ส่วนผู้ชายถ้าจะใช้รุ่นขวดแดงขวดนี้ บอกเลยใช้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นมีความ Unisex เป็นพื้นฐานจากโทนไม้หอมสูงเลยทีเดียว และกลิ่นไม่ได้สาวจ๋าจนดู Grand Opening แต่อย่างใดด้วย

ความทน - กลิ่นทนดีงามที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกราวๆ 2 ชม. ถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัวและเหมาะสม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางไปราวๆ 2 - 3 ชม. ที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 6 - 7 ชม. ถึงเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - จากที่ผ่านการใช้รุ่น Vintage มาถึง EDP ขวดแดง ต้องบอกว่ามีดีคนละอย่าง ซึ่งนอกจากจะมาต่างช่วงเวลากันแล้ว ความเป็น Vintage จะมีความ Classic ที่ค่อนข้างชัดสู่โทน Modern ที่เนียนๆ จนเป็นลักษณะกลิ่น Timeless ที่มีเสน่ห์ แต่ EDP ขวดแดงจะเป็นการบาลานซ์กลิ่นที่ดีผสมผสานกันได้อย่างลงตัว จั่วหัวที่มีความร่วมสมัยที่ชัดเจนและมีโทน Classic หน่อยๆ เป็นตัวเสริมให้กลิ่นคงสไตล์ Timeless ได้ดีอยู่ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นต่างมีความดีงามในตัวเองสูงมากในพื้นฐานกลิ่นเดียวกัน ซึ่งก็เข้าใจเลยว่าทำไมรุ่นขวดแดงก็เป็นตัวพีคของการเป็น Samsara มาอย่างยาวนาน สุดท้ายเหลือรุ่นขวด Bee Bottle ที่เป็นโซนปัจจุบัน (ปรับสูตรแน่นอน) ที่ยังไม่ได้ลอง ถ้ามีโอกาสค่อยมาว่ากันภายหลัง 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://fehilys.ie/product/guerlain-samsara-edp-30ml/

 

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Guerlain - Samsara Eau de Parfum (Vintage)

Guerlain - Samsara Eau de Parfum (Vintage)

ถ้ามองกลุ่มกลิ่นอายสาย Classic ของ Guerlain ไม่ว่าจะ Collection ไหน ต่างก็เป็นหนึ่งในตำนานกันแทบจะทั้งหมด ทุกตัวเรียกว่าครองใจคนใช้น้ำหอมมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน แม้ว่าโทนกลิ่นจะไม่ใช่เทรนด์หลักไปแล้ว แต่ความดีงามยังอยู่มาเสมอและไม่ว่าใครในแวดวงน้ำหอมถ้ามีโอกาสควรจะได้ลองเพื่อเห็นความงามทางกลิ่นที่ Guerlain ได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ซึ่งหนึ่งในใต้หล้าที่จะมาว่ากันในคราวนี้ นั้นก็คือขวดแดงแรงฤทธิ์ที่สร้างออร่าผู้หญิงที่มั่นใจและมีเสน่ห์เย้ายวนที่เหนือกาลเวลาอย่าง Samsara

ซึ่งแม้ว่า Samsara เองจะไม่ได้มีการแตกหน่อออกผลเยอะถ้าเทียบกับสายอื่นๆ ของแบรนด์ แต่ก็ถือว่ามีครบถ้วนทั้งการเป็น EDP, EDT และ Extrait ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1989 รวมถึงรุ่นแตกแขนงออกไปอีก 2 รุ่นที่ตามมาหลังๆ ห่างมากๆ แน่นอนว่าการจะคงสูตรตามเดิมมันทำได้ยาก เพราะข้อห้ามต่างๆ ก็มีมากขึ้น ปัจุบันมันเลยมีการปรับสูตรไปเป็นที่เรียบร้อย เช่นนั้นถ้าต้องการจะซึมซับความงามทางกลิ่นในอดีต เราก็ต้องมาที่รุ่น Vintage นี่แหละที่จะบอกได้ว่าหนึ่งในความงามทางกลิ่นของแบรนด์นี้ที่เคยสร้างความประทับใจจนถึงทุกวันนี้จะเป็นอย่างไร เช่นนั้น ก็มาว่ากันที่ Samsara EDP รุ่น Vintage ซักหน่อยแล้วกัน

อย่างแรกที่เป็นกลิ่นเปิด ต้องยอมรับเลยว่าความเป็นกระดังงาจะชัดเจนมาก และมีกลิ่นดอกไม้ขาวที่ให้โทนตุ่ยๆ Indolic แบบกำลังดี ไม่ได้ตุ่ยเกินไปกว่าเหตุมาดึงดูดความสนใจกันตั้งแต่แรก ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีลักษณะโทนติดหวานแห้งหอมของพีชเสริมอยู่เลยได้ความเป็นดอกไม้ที่มีความหอมของผลไม้หวานเจืออยู่ด้วย แต่ไม่ได้มาแบบใสๆ เพราะเนื้อกลิ่นแม้ว่าจะมีโทนสดชื่นของ Citrus ติดขมปนเขียวสดชื่นบางๆ ที่น่าจะเป็นกลิ่นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) มาแบบประปราย ซึ่งอาจจะเพราะเป็น Vintage แล้วกลิ่นโซน Citrus เลยจะจมลงไปตามกาลเวลา แต่ยังพอมีอยู่ให้จับต้องได้ แต่เพราะพื้นกลิ่นค่อนข้างชัดเจนมากว่ามีโทนแป้งรองพื้นอยู่ เลยจะเป็นโทนที่มีความหนาในเนื้อกลิ่นพอประมาณ สร้างความเย้ายวนอวลมีเสน่ห์ เพิ่มเติมด้วยกลิ่นที่มีความ Feminine แบบมั่นใจ ไม่ได้เป็น Classic จ๋าๆ ฟุ้งๆ แต่มีความทันสมัยและร่วมสมัยได้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว

เมื่อเข้าสู่รอยต่อของกลิ่นที่โทนแป้งจะเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นตามลำดับจนกลายเป็นเมนหลักในการเดินกลิ่นกันยาวๆ หลังจากนี้ไปจนถึงช่วงท้ายเลย ซึ่งในช่วงกลางจะเป็นการรวมเอาความเป็นดอกไม้ขาวของมะลิที่มีความตุ่ยๆ Indolic หน่อยๆ กับกระดังงาที่ให้ความอวลเย้ามาผสมผสานกับกลิ่นโทนแป้งที่จะมีมิติกลิ่น 3 มิติ คือ กลิ่นแป้งโปร่งหวานของไวโอเล็ต เคล้ามิติของกลิ่นแป้งติดอับบางๆ ของไอริส ที่มีความนวลข้นทึบของหัวเหง้าออริสรองพื้นที่ให้โทนกึ่งแป้งข้นเจือ Earthy หน่อยๆ ซึ่งจะรวมตัวกันสร้างมิติกลิ่นที่ให้ความเป็นแป้งหอมดอกไม้ที่มีทั้งความหวานเย้าของกระดังงา หวานนวลชองมะลิ หวานเจือเขียวโปร่งของไวโอเล็ตเอง หวานอ่อนๆ เจือเขียวกึ่งหญ้าแห้งหน่อยๆ ของดอกดารารัตน์ และหวานโรแมนติคนวลของกุหลาบ เลยทำให้ช่วงนี้จะมีความเป็นโทนแป้งหอมดอกไม้ที่ชัดเจน เพียงแต่จะไม่ใช่แค่แป้งหอมดอกไม้ทั่วไป เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนไม้หอมที่ค่อยๆ เนียนแทรกขึ้นมา พร้อมกับวานิลลาเลยทำให้ได้อารมณ์แป้งหอมอบอุ่นเจือดอกไม้และมีความนวลครีมมี่ติดไม้หอม ที่มีลูกผสมของความอ่อนโยนก็ได้ ความโรแมนติคก็ดี ความเย้ายวนเซ็กซี่ก็มีให้จับต้อง และความอวลอุ่นกรุ่นกำลังดีมีระดับก็ชัด ได้ความเป็นโทนแป้งสไตล์ผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ก่อนจะเริ่มลดทอนความเป็นแป้งอวลลงไปเรื่อยๆ ส่งต่อให้ช่วงท้ายที่ความเป็นโทนแป้งหอมจะผ่อนลงมาพอสมควรเหลือเพียงโทนแป้งออกทางเบาๆ และมีความสว่างในเนื้อกลิ่นที่มาสายนวลมากขึ้นเพราะไม้หอมที่เข้ามาเนียนแทรกในช่วงกลางเริ่มชัดเจนมากขึ้นถึงการเป็นไม้จันทน์หอมที่มีความนวลจิดหอมกำลังดี สอดรับกับวานิลลาที่มีความครีมมี่นุ่มหอมให้ความเป็นแป้งนวลหอมหวานอ่อนๆ เข้ามาเสริมที่เป็นดั่ง Signature โทนวานิลลาสไตล์นี้ของแบรนด์ ทำให้ความเป็นโทนแป้งยังมีความชัดเจน แถมยังมีโทน Musk ปนกับแอมเบอร์ที่เสริมให้ความอบอุ่นปนนวลได้ลงตัวเข้าไปอีก เลยได้ความรู้สึกว่ามีความเป็นโทน Unisex ขึ้นมาพอสมควรเลย ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นไม่ได้ไปสายอบอุ่นอ่อนโยนอ่อนหวานอะไรนัก แต่ได้ความมั่นใจขึ้นมาแทนเสียมากกว่าแบบขยับจากผู้หญิงสู่ Unisex ที่มีความทันสมัยมากขึ้น ไม่ได้ Classic จัดจ้านแบบสไตล์น้ำหอมกรุยกรายย้อนยุคแต่อย่างใด ซึ่งถ้าย้อนกับไปมองปีที่วางจำหน่ายน้ำหอมรุ่นนี้อย่างปี 1989 บอกเลยว่ากลิ่นนี้ล้ำสมัยและได้ความเป็นผู้หญิงในสไตล์มั่นใจแต่ยังคง Sex Appeal ของตัวเองได้ดี ซึ่งก็เป็นไฮไลท์ที่ตอบได้อย่างชัดเจนจริงๆ ว่าทำไมกลิ่นนี้มีความ Timeless เหนือกาลเวลาจนถึงทุกวันนี้

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เข้ากับยุคและมีความทันสมัยที่รู้จักเสน่ห์ของตัวเอง ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนรุ่นนี้เป็น EDP ที่มีพลังพอสมควร เอาจริงๆ ใส่ท่องราตรีได้ไหม ก็ใส่ได้ เพียงแต่ถ้าเจอกับน้ำหอมยุคนี้ที่อัดความแน่นอวลหวานปล่อยเสน่ห์กันแบบไม่ลดราวาศอก เอาตัวนี้ไว้ใส่ออกงานหรือยามโรแมนติคแทนดีกว่า ส่งเสริมให้มีออร่าทางกลิ่นที่มีระดับและมีคลาสมากกว่าเยอะ

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถึง 12 ชม. ได้เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าอาจจะอึนๆ กันหน่อย เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนแนว Indolic เจือให้รู้สึกแบบน้ำหอมสาย Floral Classic อยู่บ้าง แต่พอเข้าช่วงกลางมันคือความงดงามของโทนแป้งทางกลิ่นที่กระจายปานกลางอย่างมีเสน่ห์ แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวตอนเข้าช่วงท้าย พอพ้นไปซัก 8 ชม. ก็จะเริ่มติดผิวตามลำดับ

สรุป - รุ่น EDP Vintage ขวดใส ขวดนี้บอกเลยว่าไม่ธรรมดาและมีความดีงามในการบอกเล่ากลิ่นในอดีตที่ผู้ปรุงมีความล้ำสมัยมาก สามารถสื่อสารการเดินทางของกลิ่นที่จับเอาความเป็นสไตล์โทนแบบ Classic เดินมาสู่ความ Modern แบบที่ไม่มีคำว่าตกยุคได้เลย ไม่แปลกใจที่ไลน์นี้ถือเป็นหนึ่งในน้ำหอมในตำนานของ Guerlain อีกหนึ่งไลน์ที่ไม่ควรมองข้ามไปจริงๆ ส่วนในอนาคตถ้าได้มีโอกาสลองรุ่น EDP แบบขวดแดง (ที่ไม่ใช่ EDP ปัจจุบันที่เป็นขวด Bee Bottle) และรุ่น EDT ค่อยมาดูกันว่าจะเปลี่ยนไปหรือว่าตีความทางกลิ่นแบบไหนอีกที 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/388787380309874451/

 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Christian Dior - La Collection Privee: Mitzah

Christian Dior - La Collection Privee: Mitzah

ใน Collection - La Collection Privee ของ Dior ส่วนใหญ่จะได้รับการเปลี่ยนสถานะเป็น Collection - Maison Christian Dior กันก็พอสมควร แต่ก็มีหลายๆ รุ่นที่แบบว่าไม่ได้ไปต่อทั้งๆ ที่กลิ่นมีความงดงามและเทียบชั้นการเป็น Niche Perfume ที่ยอดเยี่ยมก็มาก แต่ก็นะ เมื่อแบรนด์ตัดสินใจแล้ว และขยับเป็นอีกหนึ่งสเต็ปในการนำเสนอกลิ่นอายสาย Exclusive ที่ตอบโจทย์ตลาดมากขึ้น รุ่นที่เลิกผลิตก็กลายเป็น Rare Items ไปในที่สุด และหนึ่งในนั้นก็มีรุ่นนี้ด้วย Mitzah

ซึ่งที่มาที่ไปของการเป็น Mitzah นั่นก็คือหนึ่งในสุภาพสตรีที่เป็นเพื่อนของ Christian Dior อย่าง Mitzah Bricard ที่เป็นสาวสังคมชั้นสูงที่มีสไตล์และมีความลึกลับกับการสวมใส่แฟชั่นลายเสือดาวที่มีเสน่ห์มาก และเธอก็เป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์แฟชั่นให้ Dior ในตำแหน่ง Chief Stylist & Advisor เสียด้วย และกลิ่นนี้คืการ Tribute ต่อคนสำคัญอีกคนหนึ่งของเจ้าของแบรนด์นั่นเอง  

Mitzah เปิดตัวออกมาพร้อมกับการเป็นกลิ่นอายโทนอบอุ่นที่ชัดเจนมาก และเด่นนำมาเลยกับการเป็นโทน Warm Spicy ที่เด่นกับการเป็นโทนเครื่องเทศเผ็ดอุ่นหวานเย้ายวนรองพื้นให้จับต้องได้อย่างชัดเจนมาก ซึ่งจะจับต้องได้เต็มก่อนเลยว่าโทนเครื่องเทศติดปร่าเผ็ดคมวูบขึ้นมาของเม็ดผักชีที่อาจจะทำให้สตันกันนิดนึง แล้วจะจับต้องได้ถึงกลิ่นหวานอายเย้าเผ็ดแบบกลางๆ ไม่โปร่งไปและอวลทึบไปของเม็ดกระวานที่มาเสริมสร้างอารมณ์แบบเรียกร้องความสนใจเนียนๆ ที่ชัดเจนไม่น้อย แต่วูบถัดไปจะมีแอมเบอร์เป็นฉากหลังที่ชัดเจนและมีกลิ่นโทนหวานเผ็ดเย้าของอบเชยที่วูบขึ้นมาแบบสวยๆ และดึงดูดชัดเจนมาก เพียงแต่จะยังเป็นเหมือนพื้นกลิ่นหรือตัวสนับสนุนที่ออกแนวท่ามกลางผู้คนแล้วจะเห็น 2 โทนนี้เด่นประมาณนั้น

และเมื่อกลิ่นเข้าสู่ช่วงกลางความชัดเจนของอบเชยจะกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักเลย กลิ่นจะให้ความเป็นโทนสีน้ำหอมหวานเผ็ดปนเย้ายวนที่ชัดเจนมาก ซึ่งโืนกลิ่นแอมเบอร์ที่จับต้องได้ในช่วงต้นกลิ่นจะเบลนด์เป็นเนื้อเดียวกับอบเชยไปด้วย ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นเย้ายววนและมีความร้อนแรงเนียนๆ แฝงอยู่ตลอด โดยจะมีกลิ่นปร่าเผ็ดในช่วงต้นของเม็ดผักชีที่ตามมาเป็นตัวสร้างความปร่าฟุ้งออกมาแบบพอเหมาะ กลิ่นเลยจะมาแนวแบบอารมณ์เห็นสาวงามที่มีความร้อนแรงเย้ายวนอวลๆ โดดเด่นแบบละสายตาไม่ได้แนวๆ นั้น ซึ่งเนื้อกลิ่นจะไม่ได้มีเท่านี้เพราะมีโทนออกทางกุหลาบที่มีสร้างลักษณะกลิ่นอายแบบผู้หญิงเข้ามาในเนื้อกลิ่นด้วย เลยมีเสน่ห์เข้าไปอีกสเต็ป ซ่งไม่นานจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายติด Smoky ควันๆ ออกทางธูป Incense ที่เริ่มเข้ามากล่อมให้กลิ่นไม่ได้มีแต่ความหวานเย้ายวนแล้ว แต่จะมีความน่าค้นหาและความลึกลับที่เข้ามาร่วมด้วย และจะเริ่มปูทางไปสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่แน่นอนอบเชยยังคงอยู่ให้ความหวานเย้าเผ็ดอวลอุ่น แต่โทนแอมเบอร์จะมีความชัดเจนมากขึ้นแบบอวลลึก และที่สำคัญจะจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางน้ำผึ้งที่ไม่ได้ถึงกับหวานเอียน แต่จะได้โทนหวานที่ติด Animalic ที่เป็นสาบเร้าร่วมด้วย รวมถึงจะมีกลิ่นโทนควัน Smoky คลออย่างมีชั้นเชิงโดยมีกลิ่นพิมเสนติด Earthy ปนกรุยกรายเนียนๆ สร้างออร่าความน่าค้นหาและลึกลับอยู่ตลอด เนื้อกลิ่นจะสื่อสารถึงโทนสีออกทางส้มปนน้ำตาลสลับดำลึกลับได้อย่างลงตัวมีความโดดเด่นและอบอวลเย้าดึงดูด แกมมีความกรุยกรายได้ชัดเจนและยังคงตัวกันยาวๆ แบบที่ไม่ลดราวาศอกในการสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นอบอุ่นร้อนแรงแบบมีระดับแต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมาสายร้อนแรงแบบมีชั้นเชิงและไม่ได้ดูพยายาม สร้าง Sex Appeal ออกมาแบบที่น่าค้นหาก็ได้ด้วย ซึ่งเข้ากับบางสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไปอาจจะทำให้อึดอัดเอาได้ เพราะกลิ่นมีความแผ่รังสีนางพญากันพอตัวเลย แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย จุกและขาดอากาศหายใจแน่ถ้าใส่ไปวิ่งสี่คูณร้อย แต่ยามค่ำคืนบอกเลยสร้างออร่านางพญาที่มีจริตและมีความเย้ายวนได้ดีมาก อารมณ์แบบมีเสน่ห์สะดุดตามาเต็มกันเลยทีเดียว จึงเข้าทางกับการใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบมีระดับเลยล่ะ

ความทน - มากกกกก 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ กับการใช้ที่ 4 สเปรย์ ความทนก็ยังลากยาวไปที่ 15 ชม. ทุกครั้งได้เลย เช่นนั้นยังไงก็ 8 ชม. สบายๆ ถ้าอิงกับสภาพผิวอื่นๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น และจะลดลงมากระจายดีกันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้ายเลย ก่อนที่จะผ่อนลงมาปานกลาง แล้วพอพ้นซัก 8 ชม. ไปแล้วถึงเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป

สรุป - กลิ่นให้ความรู้สึกเหมือนเห็นผู้หญิงที่มีมาดนางพญาคนหนึ่งที่ใส่สุดลายเสื้อดาวแบบมีระดับ มีจริต และมีความกรุยกรายแบบมีชั้นเชิงที่ไม่ธรรมดาและมีพลังดึงดูดเสียมากกว่า ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าสามารถสร้างสรรค์และดึงเอาความเป็น Mitzah Bricard ออกมาผ่านกลิ่นได้อย่างหมดจดไม่พอ ยังสามารถสร้างออร่าที่มีพลังได้ชัดเจนมากอีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://joeychong.com/2012/12/28/introducing-dior-la-collection-privee/

 

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Juliette Has a Gun - Sunny Side Up

Juliette Has a Gun - Sunny Side Up

เจอคำว่า Sunny Side Up ในการเป็นชื่อรุ่นน้ำหอมแล้วถึงกับงงๆ ในตอนแรก “อะไรหว่า Juliette Has a Gun ทำน้ำหอมกลิ่นไข่ดาวเหรอ จะหิวไหมเวลาใช้ หรือจะเหม็นคาวไข่หรือเปล่าวะนั่น” เพราะคำว่า Sunny Side up เป็นการเรียกประเภทไข่ดาวที่ทอดเพียงด้านเดียว แล้วไข่แดงยังเงาวับเหมือนพระอาทิตย์ และเมื่อเจาะไข่แดงโจ๊ะเข้าไปแล้ว ยังเยิ้มเป็นลาวาทะลักออกมา ซึ่งไข่ขาวจะมีขอบกรอบๆ หรือเป็นขอบขาวนุ่มก็ได้ตามแต่ความชอบ เลยทำให้มีความก่งก๊งกันไปเลยว่าตกลงแบรนด์นี้จะสื่อสารกลิ่นออกมาอย่างไร หรือจริงๆ เป็นการเล่นคำที่เป็น Idioms เฉพาะ หรือว่าเปรียบเปรยอารมณ์เปรมปรีเวลาเห็นอาหารเช้าที่มีไข่ดาวสไตล์ Sunny Side up กันแน่

แต่เอาจริงๆ น่าจะลงเอยที่การเล่นคำและอารมณ์มีความสุขและความร่าเริงตามความหมายของ Idioms เสียมากกว่า โดยที่เอาความเป็นสีขวดขาวและฝาสีเหลืองไข่แดงมาเป็นตัวเรียกความสนใจแบบเดียวกับเวลาเราเห็นไข่ดาว เช่นนั้นเนื้อกลิ่นจะมีไข่ด้วยหรือไม่ หรือเป็นอย่างไรมาตามกันต่อได้เลย

Sunny Side Up เรียกว่ามาสายครีมมี่แบบเบาๆ กำลังดีที่ยืนพื้นกลิ่นชัดเจนด้วยโทนไม้จันทน์หอมและ Musk ที่จะเป็นตัวหลักแบบ Center Note ที่อยู่ยั้งยืนยงยาวไปจนกว่าน้ำหอมจะโบกมือลาผิวกายเลย ซึ่งในช่วงต้นความเป็นไม้จันทน์หอมจะเป็นฉากหลังที่ให้ความเป็นกลิ่นไม้จืดครีมมี่หอมอ่อนๆ รองพื้นให้จับต้องได้ เคล้ากับกลิ่นโทนอบอุ่นของวานิลลาที่มาแบบไลท์เวอร์ชั่นมากๆ แต่ให้ความนวลๆ ออกทางแป้งหอมอบอุ่นอ่อนๆ คลอผิวกายนวลละมุน โดยที่เนื้อกลิ่นมีความหวานนวลหน่อยๆ ของดอกไม้ขาวบางๆ ซึ่งกลิ่นเปิดเรียกว่ามีความมินิมัลสูงมาก กลิ่นไม่เยอะสิ่งให้ความนวลครีมมี่ลูกคู่ผสมผสาน 3 โทนระหว่างไม้หอม ผิวกายนวล และแป้งอบอุ่นอ่อนๆ แบบที่เรียบง่ายไม่เยอะสิ่ง คุมโทนกลิ่นที่เป็นนวลสว่างได้ชัดเจน

และเมื่อความเป็นไม้จันทน์หอมเริ่มจะเป็นตัวเด่นที่ขยับขึ้นมาเป็นตัวนำโทนกลิ่นมากขึ้นจนเปลี่ยนสถานะในการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม ช่วงนี้เรียกว่าคนที่ชอบกลิ่นอายสายครีมมี่ติดไม้จิดหอมที่มีเสน่ห์ของตัวไม้จันทน์หอมโทนสว่างจะฟินไปได้เลย เพราะจะได้ความเป็นไม้จันทน์หอมเต็มๆ ที่ให้อารมณ์ครีมมี่ติดจืดหอมเฉพาะตัว โดยจะมีลูกสนับสนุนอย่างโทนออกทางติดแป้งของหัวเหง้าออริส ที่ให้โทนแป้งติดจืดทึบหน่อยๆ แกม Earthy เหงาใต้ดินเล็กๆ แต่ไม่ได้ทึบดาร์กแม้แต่น้อย เพราะมีโทนวานิลลากับมะพร้าวที่เป็นลักษณะแบบกึ่งกะทิอ่อนๆ ที่ไม่ข้นมากมาสนับสนุน เสริมด้วยโทนหวานนวลๆ ของมะลิที่เริ่มจับต้องได้ประปราย ซึ่งช่วงนี้จะได้ความรู้สึกเย็นๆ หน่อยๆ อารมณ์ใกล้ๆ กลิ่นไอติมะพร้าววานิลาที่ไม่ได้ข้นคลั่ก โดยเนื้อกลิ่นจะมีความหยินหยางอยู่ให้พอรู้เพราะเมื่อดมใกล้ผิวโทน Musky แบบผิวกายอวลอบอุ่นอ่อนๆ ก็ยังมีอยู่ให้รู้สึกได้ ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นอีกโทนที่ไม่ได้เยอะสิ่งแต่ให้อารมณ์โทนครีมมี่สีนวลๆ ตาสว่างๆ มีทั้งความอบอุ่นติดหวานนวลและความเย็นเนียนๆ ตีคู่กันไปได้น่าสนใจในความเรียบง่ายมาก

เมื่อกลิ่นเริ่มมีการปรับเปลี่ยนให้โทน Musky เป็นตัวนำทีมแทนแต่ไม่ได้เป็น Musk ที่ข้นนัก อารมณ์มีความติดกึ่งดอกไม้แกมผลไม้ติดหวานเจือเขียวนิดๆ ซึ่งน่าจะชัดเจนว่าเป็นกลิ่นอาย Musky ที่มาจากพืชหรือ Ambrette ที่จะให้โทน Musky นุ่มโปร่งที่มีลูกโทนหวานบางๆ ไม่มีความเป็น Animalic มาเจือปน ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่แน่นอนว่ายังมีโทนไม้จันทน์หอมอยู่แต่จะเป็นตัวสนับสนุนให้มิติความครีมมี่ไม้ไม้หอมนวลปนจืดหอมมีเสน่ห์ แถมเสริมด้วยกลิ่นสารหอมยอดฮิตที่ให้โทนไม้หอมโปร่งๆ สว่างๆ อย่าง ISO E Super มาเสริมให้มีมิติไม้หอมสว่างๆ สอดรับไปกับกลิ่นนวลๆ ของกลิ่นอายสาย Musky ที่ยังมีโทนแป้งวานิลลาบางๆ ฉาบอยู่อ่อนๆ ร่วมด้วย ซึ่งทุกอย่างมีความมินิมัลที่ชัดเจน เรียบง่าย  แต่ก็เรียบหรูในการเป็นโทนนวลสว่างที่ลงตัวแบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่งได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่าสำหรับผู้หญิง แต่จริงๆ มีความ Unisex พอสมควรเลยทีเดียว เลยทำให้ผู้ชายเองก็ใช้ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการก็ได้ (เพราะไม้จันทน์หอม) และทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ ก็สามารถ จะมีก็แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการใส่ออกกำลังกายเท่าไหร่นัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป ผ่อนคลาย หรือโรแมนติคจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เข้ากับการใช้เพื่อปล่อยเสน่ห์ยามท่องราตรีเท่าไหร่นัก

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นหลักและก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้น้ำหอมไปต่อได้ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้นก่อน แล้วจะพีคขึ้นมากระจายดีราวๆ 3 ชม. ที่เหลือจะแผ่วลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไป 6 - 8 ชม. ก็จะเริ่มติดผิวแล้ว

สรุป - ส่วนตัวมองว่ากลิ่นนี้มีความคล้าย Le Labo - Santal 33 พอสมควร เพียงแต่ว่ากลิ่นมีความ Sheer และเบานวลสว่างมากกว่าประมาณนั้น ซึ่งเข้าทางโทนเรียบง่ายมาสายไม่ต้องลีลาเยอะ แต่ก็ทำให้เธอ Happy ได้ อะไรประมาณนี้ ซึ่งถ้าใครที่ชอบความซับซ้อนอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้หวือหวานัก แต่ถ้าไม่ได้มองที่ความซับซ้อนอะไรมาก กลิ่นแบบนี้เรียกว่าสร้างเสน่ห์สไตล์มินิมัลนวลสว่างเบาๆ ได้ลงตัวเลยล่ะ     

หมายเหตุ

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.com/Juliette-Has-Gun-Sunny-Parfum/dp/B074JZYYK6