Parfum Prissana - Mandarava
“ดอกมณฑาทิพย์” ตามพระไตรปิฎกได้ระบุเอาไว้ว่าเป็นดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งไม่ว่าจะเบ่งบานบนฟ้าหรือบนดินต่างก็ให้ความสวยงามและมีความหอมชื่นใจที่ช่วยจรุงจิตให้รื่นรมย์เป็นพิเศษ ซึ่งสืบเนื่องเชื่อมโยงกับเรื่องในพระพุทธศานาในช่วงสำคัญต่างๆ ทั้งประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมครั้งแรก จาตุรงคสันนิบาต (มาฆบูชา) และเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งในอย่างหลังก็ปรากฎว่ามีดอกมณฑาทิพย์ร่วงหล่นลงมาบูชาและแสดงความอาลัยต่อพระพุทธเจ้าจากสรวงสวรรค์
แน่นอนว่าเรามาในเรื่องกลิ่น เช่นนั้นเรื่องราวเกี่ยวศาสนาถือว่าจบที่ย่อหน้าแรก แต่มาว่ากันต่อที่กลิ่นดอกมณฑาทิพย์ ซึ่งถ้าได้กลิ่นฟุ้งลอยมาตามลมเย็นๆ ก็จะมีความหอมชื่นใจที่เยือกเย็นแบบสไตล์ดอกไม้เหลือง ที่ไม่ได้ถึงกับไปสายเย้ายวนแบบกระดังงา แต่ให้ความหอมติดโปร่งกึ่งจำปาที่มีความอวลเย็นชื่นใจ ซึ่งแน่นอนกลิ่นแบบนี้ไม่ง่ายกับการสื่อสารออกมาเป็นน้ำหอมเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถที่จะได้ลอง เพราะว่าแบรนด์ Parfum Prissana ได้จับเอาความเป็นดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์นี้มาถ่ายทอดกับการเป็นหนึ่งใน Collection - Gods & Monsters เช่นนั้นผ่านกลิ่นอายสาย Demon ที่เป็นปีศาจในสไตล์อาหรับกับรุ่น Nesnas Qareen ตามด้วยการเล่าเรื่องราวคัมภีร์ไบเบิ้ลผ่านเพลงกล่อมเด็กแบบยิวในวิถีของความเป็นมนุษย์กับ Ma Nishtana คราวนี้ก็มารุ่นสุดท้ายกับกลิ่นอายสรวงสวรรค์ในแบบศาสนาพุทธที่เอาดอกมณฑาทิพย์เป็นตัวชูโรงใน Mandarava ซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไรนั้น ตกผลึกกันได้ที่แล้วก็ว่ากันได้ตามนี้
เปิดกลิ่นออกมาความเป็นโทน Aldehydes จะสร้างความฟุ้งออกทางติดคมๆ พร้อมกับกลิ่นที่เป็นโทน Incense ที่มีความเป็นยางไม้ติดปร่าเผ็ดโปร่งและมีความซ่าหน่อยๆ ของ Frankincense และเม็ดผักชีที่จะโดดเด่นพุ่งมาก่อนเลย อารมณ์กลิ่นเปิดมาในลักษณะที่ค่อนไปทางคลาสสิคชัดเจน แต่วูบถัดมาจะได้อารมณ์กลิ่นดอกไม้หวานโปร่งเจือนวลหอมและมีความหวานในเนื้อกลิ่นที่มีความกำลังดีและมีความชื่นใจพอเหมาะวูบขึ้นมาตีคู่ไปพร้อมกับกลิ่นสบู่คมๆ ของ Aldehydes และโทนปร่า Incense ซึ่งบางวูบจะได้อารมณ์แบบกลิ่นสบู่โปร่งๆ ติดดอกไม้ไทยๆ แนวคล้ายจำปาเจือกระดังงา บางวูบจะได้อารมณ์แบบธูปหอมกลิ่นดอกไม้ที่ค่อนไปทางสว่างสดชื่นมากกว่าที่จะอึน ซึ่งแน่นอนว่าที่ได้วูบกลิ่นแบบดอกมณฑาทิพย์เข้ามาร่วมด้วย เพราะจะมีความสมดุลย์มากพอทั้งความหวานโปร่งหอมชื่นใจแบบจำปากำลังดี มีกลิ่นติดสดชื่นเจือหวานชื้นจืดอ่อนๆ ของดอกบัว แกมกลิ่นเย้าบางๆ ที่ดึงเอาความดีงามของกระดังงามาหน่อยเสริมให้กลิ่นครบถ้วนในการเป็นกลิ่นโทนคล้ายดอกมณฑาทิพย์ และตามด้วยความครีมมี่เบาๆ นวลๆ ของซ่อนกลิ่น เคล้าความตุ่นเบาๆ กึ่งเห็ดนวลของดอกพุดที่เป็นสายดอกไม้ขาวมาสนับสนุนให้กลิ่นมีมิตินวลมากขึ้น และยังไม่พอยังมีเนื้อกลิ่นโทนติด Herbal สมุนไพรหน่อยๆ เข้ามาเสริมเด่นที่เม็ดผักชีที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นที่มีลูกเล่นความฟุ้งปร่าแบบโทนธูปดอกไม้ และกลิ่นที่เป็นความหอมชื่นใจจรุงจิตของดอกไม้สีเหลืองนวล ซึ่งถือว่าครบถ้วนไม่น้อยเลยกับการสื่อสารถึงกลิ่นอายแบบศาสนาพุทธตั้งแต่เริ่มแรก อารมณ์ยามเช้าอากาศสดชื่นคมๆ เค้ากลิ่นธูปยางไม้และดอกไม้หอมรวยรินระเรื่อเย็นๆ ตามลม แบบที่ตรึงความเข้มข้นของกลิ่นได้อย่างพอเหมาะและสมดุลย์แบบมีความคลาสสิคในเนื้อกลิ่นชัดเจน
เนื้อกลิ่นในการเป็นช่วงกลางของน้ำหอมจะเริ่มมีการแบ่งภาคมิติการผสมผสานทางกลิ่นที่มีความซับซ้อนมากเลยทีเดียว เพราะเหมือนดึงเอาภาพเวลาเราเข้าไปในวิหารทางพุทธที่มีกลิ่นอายที่มีความขรึมขลัง และมีกลิ่นธูปปร่านวลแบบไม่ได้ควันธูปที่อึดอัด แต่เป็นความปร่า Spicy กึ่งพริกไทยอวลๆ ของ Frankincense และยางไม้ต่างๆ ที่เสริมเข้ามาสร้างให้กลิ่นมีโทน Incense ที่มีหลากมิติมากขึ้น เช่น โทนติดหวานหน่อยๆ โทนติดออกทางยาที่เป็นยางไม้เจือขม รวมถึงกลิ่นโทนไม้หอมต่างๆ ที่ได้อารมณ์แบบผงไม้หอมอัดจนเป็นธูปที่ส่งกลิ่นอายเป็นควันออกมา และมีโทนติดไม้หอมได้ความรู้สึกขลังๆ กึ่งไม้เก่าๆ ปนไม้สว่างนวลของไม้จันทน์หอมที่สร้างความรู้สึกแบบเป็นสถานที่สำหรับสักการะหรือวิหารที่สร้างขึ้นจากไม้ทาด้วยสีเหลืองทองเพราะมีเนื้อกลิ่นที่สร้างโทนเหลืองทองเข้ามาร่วมด้วยจากกลิ่นโทนไม้หอมและกลิ่นสายยางไม้ค่อนไปทางแอมเบอร์ และเนื้อกลิ่นจะมีโทนติด Animalic กึ่งเครื่องเทศหน่อยๆ ที่มีความหวานอุ่นเจือกลิ่นออกเข้ามาร่วมด้วย และแน่นอนกลิ่นดอกไม้ก็ยังมีอยู่เป็นตัวแทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นต่างๆ ทำให้ยังคงได้อารมณ์ธูปกับดอกไม้ แต่เพิ่มเติมความเป็นสถานที่ที่เป็นภายในแบบวิหารสักการะเข้ามาร่วมด้วย
จนเมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนออกทางไม้หอมติดฝาดปร่าและมีความหวานปลายๆ เสริมเข้ามาในช่วงระหว่างรอยต่อของช่วงกลางกับช่วงท้ายที่ผสมผสานกันจนเรียกประสบการณ์รับรู้ทางกลิ่นเด้งขึ้นมาเลยว่า นี่มันกลิ่นคล้ายจีวรย้อมแก่นขนุนที่จะให้กลิ่นออกทางแก่นไม้สีเหลืองมีความหอมเจือหวานปนฝาดเนื้อไม้แห้ง ที่เป็นการย้อมแบบไม่ได้มีสารเคมีมาเป็นองค์ประกอบในการย้อมผ้า อารมณ์แบบพระป่าย้อมจีวรเองจากแก่นขนุนจนได้จีวรหรือเครื่องนุ่มห่มทางสงฆ์เกิดขึ้นมา ซึ่งจะมีความหวานไม้เนียนๆ ได้อารมณ์สีเหลืองกรักแก่นขนุนออกมา ยิ่งมาเคล้ากับกลิ่นเจือดอกไม้สีเหลืองอ่อนๆ ที่เหลือเพียงประปราย และกลิ่นออกทางไม้หอมกับธูป Incense แล้ว จะได้อารมณ์ที่ครบถ้วนการเป็นพุทธศาสนาในเนื้อกลิ่นชัดเจน ส่งต่อเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะมีกลิ่นออกทางไม้ที่มีลูกผสมติดเผ็ดแบบกลิ่นไม้เก่าๆ เคล้ากลิ่นไม้กฤษณาที่มาแบบไม่จัดจ้านมีความ Smoky หน่อยๆ จากโทนธูปที่ตามมาจากช่วงกลางสร้างความรู้สึกลุ่มลึกในเนื้อกลิ่นที่มีความขลัง ตามด้วยโทนติดเขียวเข้มที่ไม่ถึงกับดาร์กแต่ให้ความเป็นกลิ่นแนวเขียวกึ่งหมึกกึ่ง Earthy ที่เป็นลักษณะของ Oak Moss ที่สร้างกลิ่นออกมาให้มีลักษณะแบบสไตล์ Earthy Vintage เคล้าอบอุ่นจากกลิ่นแนวกำยานหน่อยๆ เข้ามาเสริมสร้างความรู้สึกเป็นสีโทนเหลือเจือส้มอบอุ่นร่วมด้วย ซึ่งทำให้ทุกโทนผสมผสานรวมกันออกมาเสมือนเป็นการรับช่วงต่อจากช่วงกลางที่อยู่ในวิหารทางพุทธที่เป็นสถาปัตยกรรมไม้ รวมถึงสักการะด้วยธูปและดอกไม้เช่นเดิม เพิ่มเติมคือมีกลิ่นเถ้าของธูปกับโทน Smooth Animalic เคล้าโทนคล้ายกลิ่นจีวรพระติดอบอุ่นเบาๆ สงบ ขรึม และคลาสสิค ซึ่งทั้งหมดเนื้อกลิ่นไม่ได้โฉ่งฉ่างเลย ให้ความเรียบง่าย แต่มีมิติที่ซับซ้อนในสถานการณ์ เหมือนเราเข้าไหว้พระในวิหารมีกลิ่นจีวรพระและกลิ่นต่างๆ ที่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาแบบนิ่งๆ ซึมซับความรู้สึกนิ่งสงบทางพุทธกับกลิ่นอายที่ควรจะเป็นและควรจะมีรอบกายได้อย่างครบถ้วน
เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมากเพราะเป็นกลิ่นอายที่มีความกลางๆ เพราะทุกอย่างมีความสมดุลย์มากพอที่จะเป็นหนึ่งในองค์ประกอบทางกลิ่นที่อยู่บนตัวผู้ใช้ไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม ก็จะสร้างความมีระดับในสไตล์คลาสสิคและมีความสูงศักดิ์ในเนื้อกลิ่นสูงมาก ซึ่งเข้ากับกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบสร้างออร่าความขรึมขลัง หรือใส่ไปด้านพุทธศาสนาก็ได้ เพราะเข้ากันได้ดีมาก แต่ให้ตัดการใส่ไปกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้ากันทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน เน้นการใส่ออกงานหรือสร้างความสงบจะดีที่สุด และมองข้ามเรื่องการใส่กลิ่นนี้เพื่อท่องราตรีไปได้เลย ไม่เข้าทางและอาจจะเจอถามว่าไปไหว้พระมาเหรอเอาได้
ความทน - มากที่สุด เพราะ 15 ชม. แล้ว กลิ่นยังอยู่สมกับการเป็น Pure Perfume ที่เข้มข้นสูงมาก และไม่พอไปต่อได้อีกแม้ว่าจะอาบน้ำไปแล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอยู่ ซึ่งส่วนตัวใช้ไป 3 สเปรย์ ความทนก็ยังชัดเจนยาวนานจนถึง 15 ชม. ได้สบายมาก
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปราวๆ 1 ชม. ก่อนจะลงมาที่ปานกลางและคงตัวการไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 6 ชม. จะค่อยๆ ลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป
สรุป - ต้องบอกเลยว่า กลิ่นมีความซับซ้อนสูงมาก แต่ทุกอย่างผสมผสานกันออกมาจนได้ลักษณะกลิ่นทางพุทธได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีชั้นเชิงจริงๆ ซึ่งสิ่งที่เขียนข้างต้นจะมาจากประสบการณ์ทางกลิ่นที่เชื่อมโยงกับความเป็นศาสนาที่ได้คลุกคลีมาเป็นสำคัญ เลยบรรยายลงลึกและเยอะพอสมควร แต่ถ้าใครที่คิดว่ามันจะขลังไปไหม และอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ในเรื่องทางศาสนามากนัก เอาจริงๆ กลิ่นนี้ถือเป็น “โทนดอกไม้สีเหลืองที่มีความสูงศักดิ์ มีระดับ ขรึมขลัง มีเสน่ห์ในสไตล์คลาสสิคที่เป็นสไตล์ไทยร่วมสมัยได้งดงามมากอีกหนึ่งกลิ่น” ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการบรรรยายเข้าทางศาสนา หรือว่ากลิ่นที่เป็นสาย Amber Floral ที่มีระดับ สิ่งหนึ่งที่บอกได้ชัดเจนมากจริงๆ นั่นคือ กลิ่นนี้มีความเป็น Masterpiece ที่ชัดเจนมาก ยกนิ้วให้สุคนธกรเลยว่ายอดเยี่ยมจริงๆ
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://www.prinlomros.com/products/mandarava
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น