วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2565

Review: Montale - Sensual Instinct

Montale - Sensual Instinct

จากปี 2018 ที่ Montale ค่อนข้างมีความท็อปฟอร์มอย่างมากกับการปล่อยน้ำหอมออกวางจำหน่ายแบบมาเต็มถึง 10 รุ่น เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 7 - 9 รุ่น ในแต่ละปี ก็ทำให้คาดการณ์ในเบื้องต้นว่า ปี 2019 น่าจะแผ่วลงมาหน่อยเพราะจัดเต็มไปแล้วเมื่อปีก่อนหน้า และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กับการกลับมาที่ 8 รุ่น ซึ่งแน่นอนว่าครอบคลุมหมดทั้งสาย Oud ที่ต้องมีอยู่แล้ว สายกุหลาบ สายไม้หอม สาย Gourmand สายอบอุ่น และสายหวาน

และหนึ่งในกลิ่นกลิ่นอายสายอบอุ่นที่เรียกว่าสร้างความฮือฮาพอสมควรเลยกับการที่มีมีหลายๆ ผู้ใช้น้ำหอมโหวตโยงเรื่องความใกล้เคียงกับน้ำหอมดังแห่งยุคอย่าง MFK - Baccarat Rouge 540 อย่างรุ่น Sensual Instinct ซึ่งก็ทำให้มีความ เอ๊ะ! อยู่พอสมควร เพราะส่วนใหญ่หลังจากได้ลองหลายๆ รุ่นของแบรนด์นี้ ลามไปถึงแบรนด์พี่แบรนด์น้องอย่าง Mancera ที่มักมีการอ้างถึงความคล้ายกับรุ่นดังที่ว่า มักจะซึมซับได้ว่าเป็นเนื้อกลิ่นที่เอากระแสความนิยมมาต่อยอด ให้มีการฉีกโทนกลิ่นออกมาให้มีความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์แบรนด์เสียมากกว่า แน่นอนว่าความอยากรู้อยากดมก็ต้องมา เพราะไม่คิดว่ามันจะถอดกันมาชัดๆ ขนาดนั้น และเมื่อได้ลองก็เล่าต่อได้แบบนี้เลย

Sensual Instinct เปิดตัวมาก็ใช่มาตามความนิยมชมชอบทางกลิ่นของยุคนี้อย่างชัดเจนกับวูบแรกที่จะมีความหวานอมเปรี้ยวหอมที่มีความใสและให้อารมณ์สีแดงเข้มและมีความลึกในเนื้อกลิ่นที่เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นโทนวิสกี้ กุหลาบเคล้ากาแฟที่เสริมด้วยกลิ่นกระวานหวานเย้า + โทน Citrus ที่มีส่วนประกอบของความเปรี้ยวแกมขมของมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) และความหวานอมเปรี้ยวของส้มจีน ที่ทำให้ได้ความรู้สึกคล้ายกับ Baccarat Rouge 540 ในวูบแรก แต่ชั่วขณะถัดมาตัวเอกหลักก็อย่างหญ้าฝรั่น (Saffron) ที่จะไม่ได้มาแบบหวานลึกสีชาดแบบน้ำหอมรุ่นดังแต่อย่างใด แต่มาแบบความเป็นหญ้าฝรั่นที่มีความเมทัลลิคแกมขมแปร่ง Spicy ที่เป็นเสน่ห์ตามธรรมชาติของหญ้าฝรั่นและให้โทนกึ่งอาระเบียนหน่อยๆ โดยมีวิสกี้เสริมได้อย่างลงตัวในการสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นที่เซ็กซี่ไม่น้อย เรียกว่าเบียดความหวานอมเปรี้ยวหอมช่วงแรกสุดไปเป็นแค่กลิ่นโทนสนับสนุนที่สร้างความหวานเย้ามีเสน่ห์ในโทนสีแดงในเนื้อกลิ่นแทน ถือว่าเป็นการพลิกโทนที่ไม่ได้เป็นการถอดเนื้อกลิ่นมาแบบช็อตต่อช็อต แต่เป็นการนำมาปรับให้เนื้อกลิ่นให้เป็นสไตล์ของแบรนด์โดยที่ไม่หลุดความ Trendy ทางกลิ่นแต่อย่างใด

การปรับเปลี่ยนโทนในการเข้าสู่ช่วงกลางความเป็นหญ้าฝรั่นกับวิสกี้จะยังคงความเด่นอยู่ เพียงแต่เริ่มโดนเกลากลิ่นให้โทนแปร่งเมทัลลิคแกมหวานขมอาระเบียนลดทอนลงมาเป็นกลางๆ มากขึ้น และจะมีกลิ่นโทนหวานแตะโทนของกิน (Gourmand) ที่เป็นลูกผสมระหว่างความเป็นกาแฟ วานิลลา และกุหลาบ แบบที่ทำให้นึกถึงความเป็นรุ่นดังของ Montale ที่มีอยู่เดิมอย่าง Intense Cafe เพียงแต่จะมีความนวลกึ่งขนมแนวคัสตาร์ดที่มีกาแฟ มีชอคโกแลตหน่อยๆ ที่เข้ามาร่วมด้วยแบบไม่ได้มาแบบจัดจ้านจนแน่นเกินไปนัก ทำให้ได้ทั้งความหวานเย้าแกมดึงดูดแบบที่หญ้าฝรั่นและวิสกี้ให้โทนแบบนี้ได้ชัดเจน ตามด้วยความหอมนวลอวลน่ากินแบบกลางๆ ของสายกุหลาบ กาแฟ วานิลลา ที่มีโทนหวานเผ็ดเย้าของกระวานเป็นลูกคู่ เนื้อกลิ่นเลยจะมีความหวานอมเปรี้ยวหอมลึกสู่หวานนวลอวลแบบดมไล่สเต็ปจากกลิ่นที่ฟุ้งสู่ติดผิวที่มีโทนสีในเนื้อกลิ่นออกมาชัดเจนจาก แดง > ม่วง > ชมพู > น้ำตาลทอง > เหลือง > ครีมนวล เรียกว่าช่วงกลางมีมิติไล่โทนกลิ่นที่น่าสนใจมากจริงๆ

ช่วงรอยต่อระหว่างช่วงกลางกับช่วงท้าย ความเป็นกลิ่นอายหวานอมเปรี้ยวหอมลึกๆ ที่ให้อารมณ์สีออกทางแดง ม่วง และชมพู เริ่มจะเบาลงตามลำดับ และเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนไม้หอมเข้ามาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มเปลี่ยนเป็นโทนสีครีมนวลมากขึ้น จนเมื่อเข้าช่วงท้ายเต็มตัว ความเป็นโทนขนมในช่วงกลางจะเหลือเพียงเบาๆ ที่เสริมโทนอบอุ่นน่าซุกในเนื้้อกลิ่น แต่จะเริ่มมีโทนออกทางไม้หอมอย่าง Amberwood ที่ให้ความหอมไม้อวลๆ แกมอบอุ่น แต่ไม่ได้หนัก เพราะ Musk มาตัดทอนให้เนื้อกลิ่นมีความนุ่มนวลมากขึ้น และมี Oak Moss สร้างความดาร์กแกมขมหน่อยๆ ที่สร้างโทนแบบ Earthy ดินๆ มารวมอยู่ด้วย ซึ่งพอเจอ 3 เกลอ (Musk, Amberwood, Oak Moss) จะได้โทน Woody Musky ที่สะอาดนวลกำลังดีมีลูกเอื้อนโทนขนมเย้าหน่อยๆ ตามด้วยพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อเย้าๆ จมูกเข้ามาแท็กทีมประปรายในเนื้อกลิ่นด้วย ยิ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีเสน่ห์ดึงดูดปิดท้ายแบบไม่ต้องเยอะสิ่งก็เอาอยู่ได้สบาย

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะเนื้อกลิ่นมีพื้นฐานความเป็นโทนหวานสีแดงไปสู่ครีมนวลที่เข้าได้หมดทุกเพศ และทันสมัยเลยกับการใช้งาน ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ที่จะทางการก็พอได้ แต่ใส่แบบทั่วๆ ไป หรือทำงาน Office นี่ก็เข้าทีมากมาย รวมถึงยามค่ำคืนที่จัดไป ได้หมดทั้งออกงาน หรือท่องราตรีแบบหรูๆ มีสไตล์ เข้าทางโรแมนติคหน่อย ส่วนการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายนั้น ข้ามไปเถอะ ไม่ใช่ทุกประการ 

ความทน - เรื่องนี้หายห่วง แปะแบรนด์ Montale มีหรือที่จะไม่ทนเกิน 8 ชม. ขึ้นไป เพราะส่วนตัวที่เจอจัดไปที่ 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ให้จับต้องได้ตลอด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แต่ไม่ได้ถึงกับทรงพลังหมื่นลี้รอบทิศขนาดนั้น ออกแนวกระจายดีมากแบบเรียกแขกในช่วงต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีไปซักราวๆ 3 ชม. ถึงผ่อนลงมาเป็นปานกลางที่ใครเดินสวนก็ได้กลิ่น ยาวไปจนถึงราวๆ 6 ชม. ก็เริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ กว่าจะ Skin Scent ก็ชั่วโมงที่ 10 ไปแล้วประมาณนั้น

สรุป - ถ้าว่ากันตรงไปตรงมา ก็คือการเอาลักษณะเนื้อกลิ่นแบบ Baccarat Rouge 540 มาเป็นตัวเรียกแขกให้อารมณ์หวานสีแดงเย้าๆ แต่ปรับโทนให้มีลูกเล่นที่น่าสนใจมากขึ้นแบบที่เป็นลักษณะของ Montale โดยดึงเอาหญ้าฝรั่นในด้านเซ็กซี่มาแบบชัดๆ แล้วปูเข้าสู่ความเป็นกลิ่นอายขนมแกมกุหลาบที่ไม่หนักเกินไปแล้วเป็นมินิมัลสไตล์ที่อบอุ่น เย้ายวน และผ่อนคลายแบบมีเสน่ห์ในช่วงท้าย จะว่าเกาะกระแสก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่เกาะแล้วมีแตกต่างอย่างมีสไตล์ต่างหากที่ทำให้กลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจและมีเสน่ห์โดดเด่นไม่แพ้กัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.instagram.com/p/CRntdODp-pk/?utm_source=ig_web_copy_link

 

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2565

Review: Al Haramain - Portfolio Neroli Canvas

Al Haramain - Portfolio Neroli Canvas

เวลาที่เราเจอแบรนด์น้ำหอมฝั่งทางตะวันออกกลาง เรามักจะคาดเดาเป็นเสมือน Perception กลายๆ ว่า แบรนด์พวกนี้ต้องทำน้ำหอมสายไม้กฤษณาหรือ Oud (ไม่ว่าจะ Oud จริงหรือ Oud Accord ที่ปรุงขึ้นมาให้เหมือน) ออกมาได้ดีและสื่อสารความเป็น Traditional Style แบบสายอาระเบียนได้ชัดเจน แต่พอได้มาลองน้ำหอมที่เน้นกลิ่นอายสายสดชื่นแบบสไตล์มินิมัลหรือว่าจะเป็นกลิ่นโทน Citrus สดชื่นส่วนใหญ่มักจะไม่ได้สุดในเรื่องเนื้อกลิ่นมากนัก เรียกว่าทำได้ตามมาตรฐาน + แอบใส่กลิ่นอายแบบสไตล์อาระเบียนเข้าไปเสียส่วนใหญ่เสมอ

แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี เพราะเมื่อได้มาเจอหนึ่งในเพชรเม็ดงามของแบรนด์ตะวันออกกลางอย่าง Al Haramain ที่เอาดอกส้มมาเป็นตัวชูโรงในการให้ความสดชื่นและรื่นรมย์ ซึ่งพอได้ใช้งานแล้วถึงกับทึ่งที่สร้างสรรค์กลิ่นออกมาได้ไม่น้อยหน้าใครทั้งตลาด Niche และ Mass ในสไตล์มินิมัลกับหนึ่งใน Collection - Portfolio อย่าง Neroli Canvas เช่นนั้น ต้องบอกต่อกันหน่อยว่าความน่าสนใจของกลิ่นเป็นยังไงบ้าง

ช่วงเปิดทำให้นึกถึงน้ำหอมแนวๆ กลิ่น Citrus Neroli ที่เป็นโทนแบบ Cologne กันแบบเต็มๆ แบบที่ให้ความสดชื่นที่มีความใสสดชื่นติดเปรี้ยวแบบสแปลชหน่อยๆ แกมกลิ่นออกทางเขียวแกมปร่าที่มีโทน Herbal สมุนไพรหน่อยๆ โดยมีความเป็นดอกส้มแบบสกัดด้วยไอน้ำของ Neroli เป็นลูกเอื้อนแทรกอยู่ในเนื้อแบบจับต้องได้ ซึ่งเมื่อจำแนกแจกแจงเนื้อกลิ่น ตัวเด่นเลยคือมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ให้ความสดชื่นติดปร่าแกมเขียวนิดๆ สร้างบรรยากาศ โดยมีตัวเสริมอย่างเลมอนที่ให้ความสดชื่นสไตล์ Cologne และได้ความใสให้พอรู้สึกได้ โดยมีกลิ่นเขียวติดเปรี้ยวของกิ่งก้านส้มที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญกับดอกส้มที่เป็นลูกเอื้อนในเนื้อกลิ่น โดยที่จะมีลูกผสมของโทนสมุนไพรอ่อนๆ แกม Soapy สะอาดของลาเวนเดอร์อ่อนๆ รวมอยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงต้นมีความสดชื่นติดเปรี้ยวเขียวสะอาดสไตล์ Cologne ที่มีความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นสูงเลยทีเดียว

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง โทน Citrus ในช่วงต้นจะเริ่มลดทอนลงมาอีกสเต็ปกลายเป็นสายสนับสนุน ที่จะสร้างโทนผสมผสานเลเยอร์ระหว่างโทนเปรี้ยวสดชื่นกับดอกไม้ขาว ที่ค่อนไปทางโทนสบู่ใสๆ ที่มีความนวลรองพื้น ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้ดอกส้มจะมีเลเยอร์ที่น่าสนใจ 2 โทนคือ ความเป็นโทนเปรี้ยวติดเขียวที่มีความขมนิดๆ ติดปร่าหน่อยๆ นำทีมโดยฝั่ง Neroli และมีความเปรี้ยวอมหวานแกมนวลที่ดอกส้มแบบสกัดด้วยตัวทำละลาย Orange Blossom เป็นตัวเสริมพร้อมกับมีโทนดอกมะลิผสมผสานเนียนๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะชัดเจนกับการเป็นดอกส้มแบบแท้ทรูแบบที่เราจะได้อารมณ์ดอกส้มทุกมิติที่ดอกส้มเป็น ได้ทั้งความสดชื่นและความขาวสะอาดรื่นจมูก มินิมัลแบบเต็มๆ โดยที่เนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติมากเสียด้วย

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีความนวลแกมไม้หอมสว่างๆ เข้ามาแทรกตัวเนียนๆ และเริ่มปล่อยของมากขึ้นตามลำดับ แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนความเป็นดอกส้มแต่อย่างใด ยังให้เป็นตัว On Top ทางกลิ่นอยู่ แต่เนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนความเป็น Neroli ไปเกือบหมดแล้วจะมีเหลือเป็นปลายกลิ่นเขียวเบาๆ แต่จะคุมโทนด้วยลักษณะของ Orange Blossom ที่จะให้ความเป็นโทนนวลสะอาดเจือเปรี้ยวอมหวานหอมเป็นหลักแทนแล้ว ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมเต็มตัวที่เป็นกลิ่นโทนสะอาดรองพ้นความนุ่มด้วย Musk และมีความเป็นไม้หอมเบาๆ แกมอบอุ่นหน่อยๆ แบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ฉาบทับด้วยกลิ่นออกทางดอกส้มเปรี้ยวอมหวานสะอาดหอมนวลๆ ให้จับต้องได้ เนื้อกลิ่นยังคุมโทนสว่างและสะอาดอยู่ชัดเจนตลอด โดยปิดท้ายด้วยความมินิมัล เรียบหรู และรื่นรมย์ได้ชัดเจน

เหมาะสำหรับ - Unisex เต็มๆ แบบที่ได้หมดถ้าสดชื่น เป็นกลิ่นโทนสะอาดและสว่างเป็นทุนเดิมเลยแตะได้หมดตั้งแต่น้องๆ วัยอนุบาลเป็นต้นไป (เด็กน้อย ฉีดเสื้อที่สวมเบาๆ ซัก 1 สเปรย์ก็พอ) เลยเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน กวาดหมดเน้นๆ ใส่ไปเถอะยังไงก็รอดสูงมาก แถมกลิ่นเรียบหรูกำลังดีอีกด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปสบายๆ จะดีกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรีก็โดนกลบจากโทนหวานแน่นทั้งหลายแบบแน่ยิ่งกว่าแน่  

ความทน - อันนี้สิที่ต้องยอมให้เขาเพราะกลิ่นแนว Citrus Aromatic ที่ทำเนื้อกลิ่นได้ธรรมชาติแบบนี้ความทนมักจะไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ แต่พอใส่ความเป็น Woody Musk เข้าไปเนียนๆ ให้กลายเป็นกึ่งๆ ลูกครึ่ง 2 โซน รวมถึงให้ความเข้มข้นเป็นระดับ EDP ความทนเลยแจ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งเฉลี่ยก็ 8 ชม. ได้สบายๆ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นประจำในการใช้งานที่ 6-7 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนมาที่ปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 5 ชม. ก็จะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อพ้นชั่วโมงที่ 8 ก็จะติดผิวแล้ว   

สรุป - เอาตรงๆ จับเขาร่วมทีมกับพวก Tom Ford - Neroli Portofino หรือ 4711 Original Cologne เลยก็ย่อมได้ เพราะเนื้อกลิ่นเป็นโทนใกล้เคียงกัน สามารถใช้ทดแทนกันได้อย่างชิลล์ๆ แต่แถมด้วยความทนที่จัดจ้านมากกว่านี่แหละ ที่ข่มรุ่นที่คล้ายได้อยู่หมัดกว่ามากจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เราปรามาสแบรนด์ฝั่งตะวันออกกลางไม่ได้จริงๆ ในเรื่องการทำน้ำหอมนอก Comfort Zone ของตัวเองที่ก็ทำได้ดีไม่ต่างจากแบรนด์ตะวันตกเลย หรือถ้าจะมองในมุม C&D (Copy & Development) ก็ยังนำมาต่อยอดได้ดีเสริมความทนเข้าไปให้กลายเป็นจุดเด่นที่เรียกว่ากลิ่นอื่นๆ ที่ใกล้เคียงสามารถค้อนขวับเข้าให้ได้เลยเช่นกัน (แต่ไม่ได้เนียนซ่อนความ Sexy แบบที่ Tom Ford มีลายเซ็นลงไว้) และสุดท้ายเป็น Neroli ที่ดีมากๆ อีกหนึ่งกลิ่นจริงๆ (อันนี้ไม่รู้ว่า Batch ไหนอะไรอย่างไง แต่อิงตามขวดที่ตัวเองใช้เน้นๆ) 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://alharamainperfumes.co.uk/products/neroli-canvas-75ml-sp

 

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2565

Review: Library of Flowers - Forget Me Not

Library of Flowers - Forget Me Not

จาก TokyoMilk ที่เน้นความเก๋ไก๋ แตกต่าง และความหลากหลายในเนื้อกลิ่น สู่การเป็นกลิ่นอายสายใสๆ Feminine ใน Lollia ที่เป็นแบรนด์ภายใต้การบริหารและสร้างสรรค์โดยสุคนธกรสาย Niche ของ USA อย่าง Margot Elena ที่ต้องบอกว่ามีแบรนด์ภายใต้การดูแลถึง 5 แบรนด์ในปัจจุบัน เรียกว่าตามกันไม่หวัดไม่ไหวในการไปลองน้ำหอมได้เลย แต่เมื่อโอกาสมาถึงก็ได้เจอกับแบรนด์ที่ 3 ของสุคนธกรผู้นี้อย่าง Library of Flowers ซะที

Concept ของแบรนด์ Library of Flowers ค่อนข้างชัดเจนตรงไปตรงมามาก เพราะเป็นการสื่อสารถึงความเป็นดอกไม้ต่างๆ ลงสู่ขวด โดยเน้นการผลิตออกมาแบบ Batch เล็กๆ ไม่ได้กระทำความ Mass อะไรนัก แบบขายหมดก็จบไป Limited Edition อะไรแบบนี้ แต่ถ้ามีความต้องการมากขึ้นก็สามารถนำกลับมาผลิตใหม่อะไรประมาณนี้ ซึ่งเมื่อได้มาเจอกับแบรนด์นี้ทั้งนี้ ความน่าสนใจพุ่งไปก่อนเลยที่รุ่น Forget Me Not เพราะเป็นดอกไม้ที่มีความหมายด้านความรักและความโรแมนติค เช่นนั้น จะสื่อออกมาแบบไหน ลองแล้วเล่าต่อได้แบบนี้

ต้องบอกก่อนเลยว่า ดอก Forget Me Not จริงๆ แทบไม่มีกลิ่นเลย จะมีก็อารมณ์ติดเขียวอ่อนๆ ของก้านดอกเสียมากกว่า แต่สีฟ้าแกมม่วงกระจุ๋มกระจิ๋มสวยงามอันนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ ซึ่งพอได้รับกลิ่นจนแรกฉีด ก็บอกได้เลยว่า เขาไม่ได้ถอดเอาความเป็น Forget Me Not มาจริงๆ แต่สร้างสรรค์ตามความรู้สึกแนวๆ “โรแมนติค” เสียมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีลูกโทนกลิ่นที่ให้ความเป็นดอกไม้เบาๆ ติดเขียวบางๆ ซึ่งก็มีเนียนๆ อยู่ให้ต้องพินิจพิเคราะห์กันนิดนึง เพราะช่วงเปิดคือกลิ่นออกทางกึ่งแอปริคอตปนดอกไม้หวานอมเปรี้ยว ซึ่งค่อนข้างชัดว่าเอาดอกหอมหมื่นลี้มาเป็นตัวเปิดที่ให้อารมณ์ดอกไม้ที่มีลูกผสมของผลไม้ ที่ให้ความเย้าก็ได้ ความครีมมี่แบบกลางๆ ก็ดี ความน่ารักที่อยู่บนพื้นฐานของความอ่อนโยนก็ใช่เลย เรียกว่าเปิดต้นกลิ่นก็ให้ความน่ารักและมีความ Feminine ชัดเจน เพียงแต่ในเนื้อกลิ่นจะมีความเขียวบางๆ ซ้อนอยู่ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเปิดต้นกลิ่นที่สร้างความประทับใจแรกสุดได้ไม่ยากเลย

ความเป็นกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ (ที่น่าจะเป็นการผสมผสานกลิ่นมากกว่าจะใช้หอมหมื่นลี้จริงๆ) ที่จะให้ลูกผสมของความหวานอมเปรี้ยวของแอปริคอตเจือความครีมมี่ติดนมนวลๆ จะยังคงคุมโทนเด่นอยู่จนถึงช่วงกลางเลย แต่เนื้อกลิ่นจะมีความนวลและนุ่มมากขึ้นในลักษณะของโทนแป้งอ่อนๆ อารมณ์แบบแป้งข้าวหอมที่มาทำให้กลายเป็นกลิ่นโทนกึ่งแป้งหอม กึ่งผลไม้ และกึ่งดอกไม้กำลังดี โดยที่ยังมีความหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ ระเรื่อๆ แบบไม่ซับซ้อน ตรงตามสไตล์มินิมัลสูงมาก

เมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นออกทางโทน Musky หน่อยๆ กึ่งโทนแป้งอ่อนๆ ติดจืดหอมที่มีความหวานเล็กๆ ปลายกลิ่นคล้ายกลิ่นของกล้วยไม้ที่ค่อยๆ มาผสมผสานกับกลิ่นแป้งข้าว แล้วก็เปลี่ยนช่วงเข้าสู่ช่วงท้ายในที่สุดกับการเป็นกลิ่นอายแบบ Musky อ่อนๆ ที่ติดหวานแกมแป้งเบาๆ ซึ่งกลิ่นโทนดอกหอมหมื่นลี้จะจางไปแล้วเหลือ Effect หวานปลายกลิ่นบางๆ ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นคุมโทนการเป็นโทนนุ่มสะอาด ที่เด่นกับ Musk เจือแป้งสบายๆ กำลังดี และพอสัมผัสได้นิดหน่อยว่ามีกลิ่นติดไม้หอมอ่อนๆ เสริมอยู่ด้วย เลยได้ความเรียบหรูสบายๆ กำลังดี ไปตลอดแบบที่ปลอดภัยก็ได้ หอมนวลมีความอ่อนโยนก็ดี และคุมโทนสว่างก็เหมาะกันยาวๆ ไปนั่นเอง   

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่ ม. ปลายขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก แต่เอาจริงๆ ตั้งแต่ช่วงกลางมันมีความ Unisex อยู่และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็น Unisex เต็มตัวในช่วงท้าย เช่นนั้นเลยชัดเจนมากว่าผู้ชายก็ใช้ได้ ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังนัก จะมีก็แต่ไม่เข้าทางกับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงาน โรแมนติค หรือทั่วๆ ไปจะเข้าทางที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้ทรงพลังนักกับการใส่ไปปล่อยของแย่งซีนชาวบ้านในยามท่องราตรี และโดนกลบแน่นอน

ความทน - ไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่ากลิ่นจะทนมากเท่าไหร่ แต่เกมพลิกเลยทีเดียว เพราะเป็นกลิ่นที่ไม่หนัก แต่มีความทนเป็นเลิศจริงๆ เพราะใส่กี่ครั้งก็เอาอยู่ถึง 12 ชม. ได้สบายมาก ซึ่งยังไงก็แตะ 8 ชม. ได้สบายๆ ในหลายๆ ประเภทผิวกาย  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นซักราวๆ 10 นาที แล้วจะเริ่มผ่อนลงมาปานกลางราวๆซักพัก ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันตั้งแต่ชั่วโมงที่ 3 เป็นต้นไป แล้วคงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 8 ชม. ถึงค่อยๆ ลงมาเป็น Skin Scent

สรุป - เกินคาดไปมากในเรื่องความทน ซึ่งถือว่าเป็นน้ำหอมกลิ่นอ่อนที่ความทนดีงามมากเลย อันนี้ต้องยอมเขา แต่สิ่งหนึ่งคือ แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ถอดความเป็นดอก Forget Me Not มา เพราะถอดมาก็คงไม่ได้กลิ่นอะไร แต่เป็นการสร้างกลิ่นอายที่สื่อสารถึงคำว่า Forget Me Not/อย่าลืมฉัน ได้อย่างหอมเปรี้ยวอมหวานไปสู่ความนวลละมุนที่ได้ทั้งความน่ารัก ความนุ่มนวล และความอ่อนโยนที่เรียบง่าบและเรียบหรูแบบไม่เยอะสิ่งได้ลงตัว ซึ่งนี่แหละที่ทำให้รู้สึกว่าเราจะไม่ลืมกลิ่นนี้ได้ไม่ยากเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://margotelena.com/products/forget-me-not-perfume

 

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2565

Review: Molinard - Vanille Eau de Parfum

Molinard - Vanille Eau de Parfum

ใน Collection - Les Elements + Les Orientaux ที่เน้นการชูโรง Note กลิ่นเด่นๆ แบบเดี่ยวๆ ตามสไตล์ Niche Perfume โดยมีมาตั้งแต่ช่วงยุค 90 ของแบรนด์เก่าแก่และไม่ไก่กาอย่าง Molinard จนเมื่อถึงเวลาอันสมควรในการต่อยอด จึงได้มีการปรับปรุงใหม่ด้วยการอัพเกรดความเข้มข้นของกลิ่นจาก Eau de Toilette เดิมมาเป็น Eau de Parfum ทั้งไลน์ในปี 2015 

ซึ่งในสาย Les Elements ที่อัพเกรดนี้เอาเข้าจริงก็ผ่านการใช้งานมาอยู่บ้างทั้งตั้งแต่การเป็น EDT จนมาถึง EDP แต่สิ่งที่มองข้ามมาเสมอ คือ กลิ่นอายสายอบอุ่นอย่างโทนวานิลลาเพียวๆ อย่าง Vanille ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสเลยจากแบรนด์นี้ จนเมื่อได้รับคำเล่าว่า แบรนด์นี้ไล่เรียงโทนวานิลลาได้ดีแต่แตกต่างจากการสื่อสารกลิ่นอายวานิลลาจ๋าๆ ไม่น้อยเลย เช่นนั้น สบโอกาสก็จัดให้รู้ ดูและดมให้ชัดซักหน่อยว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไรบ้าง และสิ่งที่ได้จากการรับรู้กลิ่นก็เล่าต่อได้แบบนี้เลย

เรียกได้ว่าวานิลลา คือ ศูนย์กลางของกลิ่นอย่างแท้จริง เพราะจะเป็นตัวหลักในการให้โทนกลิ่นแอบอุ่นและผ่อนคลาย โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงโทนไปตามแต่ละช่วงที่ทำให้เห็นถึงพัฒนาการในการเป็นวานิลลาตั้งแต่ต้นยันจบ โดยจะขอแบ่งออกเป็น 4 ช่วงเด่น แบบนี้เลย

โหมโรง - เปิดตัวกับการปล่อยของกับกลิ่นอายวานิลลาโทนหวานแหลมติดโทนขนมที่มาเต็มมาชัดกันตั้งแต่แรก แบบว่าวูบแรกก็ทำให้รู้เลยว่าวานิลลามาแล้ว และพร้อมจะเอนเตอร์เทนผู้ใช้ ตามสเต็ปขอการเป็นวานิลลา ซึ่งช่วงนี้จะมาแบบ Intro ไม่เกิน 30 วินาที - 1 นาที ก็จะเข้าสู่เนื้อหาจริงๆ ของกลิ่นแล้วเริ่มที่

ช่วงที่ 1 - Soft Vanilla: ซึ่งอยู่ดีๆ จะหักมุมจากการ Intro ที่ตอนแรกคิดว่าจะมาเต็มหอมหวาน แต่อยู่ดีๆ กลิ่นก็แผ่วมาที่การเป็นโทนวานิลลาอ่อนๆ ที่มีลูกผสมของความเป็นดอกไม้เรื่อๆ มีความเขียวหน่อยๆ คาบเกี่ยวระหว่างโทนเขียวสบายๆ กึ่งสมุนไพรเล็กๆ ที่ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ แบบอารมณ์กลิ่นเบาๆ ขึ้นมาซะงั้น แต่ถ้าดูกันที่ Concept การนำเสนอความเป็นวานิลลา ก็เหมือนทำให้ทุกอย่างเหมือนกลับมาที่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่เริ่มจากวานิลลาคาต้นที่มีดอกหอมติดกลิ่นวานิลลาแกมหวานอ่อนๆ บางส่งกลิ่นเรื่อๆ กำลังดีให้ความรื่นรมย์ แบบว่าฉีกความรู้สึกไปจากการเป็นวานิลลาสายฮิตที่ต้องหวานอวล มาเป็นวานิลลาเบาๆ ใสๆ มีความหอมที่มีเสน่ห์แบบไม่ต้องเน้นพลังได้ดีเลยทีเดียว (อารมณ์แบบ Jo Malone - Vanilla & Anise ที่ให้โทนวานิลลาหวานใสอ่อนๆ แต่มีความเบากว่าราวๆ นั้น)

ช่วงที่ 2 - Spicy, Sweet & Gourmand Vanilla: พัฒนาการของวานิลลาจากที่เบาๆ เรื่อๆ เรื่อยๆ จะเริ่มมีความหวานที่แหลมขึ้นตามลำดับ อารมณ์เหมือนค่อยๆ กลับไปเหมือนในช่วง Intro ที่จะมีลักษณะของความหวานแหลมปนหอมหวานอบอุ่น เพียงแต่ความแหลมนั้นจะไม่ได้โดดจนดูไม่สมดุลย์ แต่มีความหวานแหลมที่น่าจะเป็นลักษณะโทนกลิ่นของกำยาน Benzoin ที่เสริมเข้ามาให้ Effect แบบวานิลลาหวานในช่วงนี้ โดยที่ความเป็นวานิลลาจะมีความเป็นโทนติดปร่าหอมหน่อยๆ อารมณ์แบบเครื่องเทศแกมอบอุ่นเข้ามาร่วมด้วย อารมณ์แบบหยอดอบเชยลงมาเสริมให้เนื้อกลิ่นมีความหวานอุ่นชัดขึ้น และมีพื้นฐานกลิ่นที่เป็นวานิลลาแบบขนมเข้ามาร่วมด้วย ก็ชัดเจนมากเลยว่าช่วงนี้นำเสนอความ Oriental ของวานิลลาแบบเต็มตัว มีทุกมุมที่วานิลลาสาย Mass หรือ Niche ต้องมีในการนำเสนอความอบอุ่น หวานหอม ผ่อนคลาย และน่ากินเรียกว่าครบเครื่องต่อเนื่องจากช่วงที่ 1 ชัดเจน

ช่วงที่ 3 - Smoky, Woody & Powdery Vanilla: พัฒนาการในช่วงสุดท้ายของน้ำหอมจะเป็นการส่งต่อจากช่วงที่ 2 ที่จะให้มีความหวานแหลมอบอุ่นติดตามมาอยู่ ซึ่งในช่วงนี้ความเป็นโทนแป้งแบแุ่นของวานิลลาจะเด่นขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นอายแกมไม้หอมอ่อนๆ ที่แฝงอยู่ และมีโทน Smoky ติดควันเสริมอยู่ในกลิ่นประปราย ซึ่งพอจับต้องได้ว่ามีแอมเบอร์กึ่ง Incense มาเสริมทัพแบบเนียนๆ โดยที่ปลายกลิ่นยังมีความหวานแหลมหน่อยๆ อยู่ เลยจะจับต้องความอบอุ่นนุ่มลึกกับเนื้อกลิ่นวานิลลาได้มากขึ้น สร้างความหรูหราแกมอบอุ่นได้กำลังดีพอเหมาะพอเจาะและสมดุลย์มากในการเป็นช่วงปิดท้ายของ Molinard - Vanille EDP

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดไม่ว่าจะเพศไหน ยิ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นโทนวานิลลาอยู่เป็นทุนเดิม คือ ฟินได้ไม่ยากเลย ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบถ้าเหลือบดูอากาศหลักของบ้านเรา ก็จำนวนสเปรย์เหมาะสมหน่อยจะลงตัวสุด เพราะจะเข้าได้กับทั้งทางการ (เลือกนิดนึงว่าจะใส่วานิลลาได้ไหม) และทั่วๆ ไปแบบสบายๆ เน้นกลิ่นอายอบอุ่นหอมอวลหวาน รวมถึงยามค่ำคืนที่สามารถใส่ได้ทั้งออกงาน โรแมนติค รวมถึงท่องราตรีก็ได้อยู่เพราะเรียกร้องความสนใจได้ดีตั้งแต่ช่วงกลางเป็นต้นไป แต่ที่ควรตัดไปได้เลยคือ การใส่เพื่อออกกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกาย จุกแน่เวลากลิ่นตีขึ้นน่ะ

ความทน - อยู่ที่ประมาณ 8 ชม. เป็นหลักและสามารถไปต่อได้อีกตามสภาพผิวแายและจำนวนสเปรย์ ซึ่งน้ำหอมจะทนมากขึ้นบนเสื้อที่สวม (แต่ไม่ควรฉีดที่เสื้อโดยตรง เพราะมีสิทธิ์ทำให้เสื้อด่าง แต่ให้ฉีดที่ผิวกายแล้วสวมเสื้อทับ กลิ่นจะติดเสื้อดีเกินคาดมาก) ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. ในการใช้งาน เรียกว่าไม่ธรรมดาในเรื่องความทนกับการใช้งานที่ 5 สเปรย์  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีพุ่งมาก่อนราว 1 นาที ก่อนจะวูบลงไปที่ออร่ารอบๆ ตัว แล้วจึงจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาที่กระจายดีคงที่ไปราว 4 ชม. แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางซักพักแล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวอีกที 

สรุป - ถือว่าเป็นการบอกเล่าและสื่อสารความเป็นวานิลลาได้หลากมุมกลิ่นได้ดีและมีคุณภาพในเนื้อกลิ่นมาก เรียกว่าสร้างการเรียนรู้กลิ่นเป็นขั้นเป็นตอนให้จับต้องได้ ซึ่งถ้าใครชอบวานิลลาอยู่เป็นทุนเดิมอันนี้โดนตกได้ไม่ยาก แต่ถ้าใครต้องการเรียนรู้กลิ่นวานิลลาที่มีเสต็ปในการสื่อสารกลิ่นแบบคิดมาแล้วอย่างดี Molinard - Vanille EDP เป็นอีกหนึ่งตัวที่ชูโรงกลิ่น Note นี้ได้น่าสนใจควรค่าแก่การเรียนรู้เลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sephora.fr/p/vanille---eau-de-parfum-P3322006.html

 

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2565

My Favorite Newcomer Fragrances of 2021

My Favorite Newcomer Fragrances of 2021

เรียกว่าเป็นปีที่ค่อนข้างยากมากในการได้น้ำหอมใหม่ๆ มาเข้าตู้ที่บ้าน เพราะทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่ทำให้ไม่ได้เดินทางไปไหนเท่าไหร่ และทุกอย่างค่อนข้างยากในการได้มาซึ่งน้ำหอมไม่น้อย และพอเปิดประเทศทีก็เรียกว่ามาเต็มเหนี่ยว เพราะอั้นมานาน เช่นนั้น ปีนี้เลยถือว่าน้ำหอมที่ได้มามีความคุ้มค่าพอสมควรเพราะเราเลือกมาจริงๆ แบบที่เราสามารถสอยได้ในข้อจำกัดของสถานการณ์ที่มีอยู่ เลยทำให้การคัดเลือกตัดตัวเลือกที่เล็งๆ ไปแต่ไม่มีโอกาสไปได้มากอยู่

และเมื่อได้เวลาของการเลือกน้ำหอม 10 ตัวแบบที่ได้มาใหม่ในปี 2021 ที่สร้างความประทับใจทางกลิ่น แม้จะยากอยู่เพราะรักพี่เสียดายน้อง แต่ก็ดีที่ตัวเลือกเราลดลงกว่าปีก่อนไปเยอะ โดยที่เสียเงินมาไม่กรีดร้องเพราะวงเงินเต็มมากเท่าไหร่ เช่นนั้นก่อนที่จะเข้าเรื่อง Top 10 ที่กว่าจะเลือกได้ก็จำใจต้องเทียบกลิ่นและยอมที่จะเอาออกจาก List ไปหลายตัวมาก ซึ่งก็ขอให้เครดิตโดยการระบุชื่อไว้ที่นี้เลย

Strangers Parfumerie - Lights upon the Orange Tree, Parfums Dusita - Moonlight in Chiangmai, Floral Street - Ylang Ylang Espresso, Kate Spade - TRULYgracious, Molton Brown - Milk Musk, Frapin - L'Humaniste, Areej Le Doré - Manly, Moschino - Toy Boy, Imaginary Authors - A Whiff of Waffle Cone และ Acqua di Parma - Blu Mediterraneo: Cipresso Di Toscana เป็นต้น

เช่นนั้นก็เข้าสู่ 10 รุ่น/กลิ่น ที่เป็นน้ำหอมที่ได้มาแล้วประทับใจ โดยไม่ได้เรียงลำดับตามความชอบและไม่ได้สนใจว่าจะผลิตหรือวางจำหน่ายปีไหนเน้นเฉพาะที่ได้มาในปี 2021 เพียงอย่างเดียว เริ่มที่

Amouage - Jubilation XXV

ไม่แปลกใจเลยที่หลายๆ คนยกกลิ่นนี้ให้เป็นราชาของแบรนด์ Amouage เพราะเนื้อกลิ่นสร้างความหรูหราและสูงศักดิ์แบบออร่าออกมาเลย ซึ่งเข้าใจไล่เรียงโทนสีม่วงของแบล็คเบอร์รี่เข้ามาเจอกับโทนเหลืองอมส้มของเครื่องเทศที่ได้ความหวานเย้าแกมหวานลุ่มลึก สู่ความเป็นสีส้มอมทองที่สง่างามและลุ่มลึกของเครื่องเทศและยางไม้ รวมถึงปิดท้ายด้วยโทนกลิ่นที่ให้ความเป็นสีทองที่ได้ทั้งความหรูหราและสูงศักดิ์ ซ้อนความนุ่มนวลเนียนๆ โดยทุกอย่างจับต้องได้อย่างสมดุลย์ แบบที่ใส่แล้วขับบุคลิกให้มีระดับและชั้นเชิงออกมาได้ชัดเจนและสร้างความประทับใจสุดๆ ไปเลย

Avon - LYRD Artisan: Cherry Vetiver

ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เจอ Avon ในมุมของการสร้างสรรค์แบบฉีกแนวมาแตะการเป็น Niche Perfume ที่ใช้ง่ายและมีเสน่ห์มาก ซึ่งเนื้อกลิ่นสร้างเลเยอร์ของ Cherry ไล่เรียงจากเปรี้ยวปร่าสู่การเป็นแยมกึ่งไซรัปที่หอมหวานเย้าเข้าคู่กับกลิ่นไม้หอมติดดาร์กแกมไม้แห้งที่มีโทนติดถั่ว Nutty ของหญ้าแฝก ซ้อนและแฝงกลิ่นโทนหนังแบบมินิมัลเบาๆ ที่ให้โทนน่าค้นหา เรียกว่าสร้างความทึ่งในการใช้งานที่ให้เสน่ห์ดึงดูดในโทนสีแดงเชอร์รี่ได้อย่างสวยงามและปิดท้ายได้มีเสน่ห์มาก ซึ่งเหนือความคาดหมายเลยว่า Avon ชื่อนี้ไม่ธรรมดา

Xerjoff - Cruz del Sur II 

ได้มาครั้งแรกเป็นแบบ Sample เมื่อแต้มเท่านั้นแหละ ตูม! ระเบิดเป็นโกโก้ครันช์ด้วยความฟิน เพราะกลิ่นหอมมากกกกกก จนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอามาครอบครองจนได้ กับการนำเสนอกลิ่นมะม่วงสุกที่ชัดเจนที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นมะม่วงสุกหอมหวานเนื้อสีเหลืองนวลที่ติดอมเปรี้ยวนิดๆ ซึ่งใช่ยิ่งกว่าใช่สื่อสารกลิ่นได้เป๊ะมาก ต่อด้วยการเป็นครีมมี่มิลค์กี้มะม่วงที่ให้ความหอมหวานแกมนุ่มได้ความเป็นโทนกึ่งสมูธตี้มะม่วงกับนม และปิดท้ายด้วยมะม่วงสุกแกมไม้หอมหรูหรา แบบที่ใช้แล้วมีแต่ความฟินแล้วฟินเล่า มันหอมและโดนมากในทุกสโตรกจริงๆ ยอม 

Floraiku - AO 

เพราะรัก Fig เลยไม่พลาดที่จะขอลองซักหน่อยว่าแบรนด์ Luxury อย่าง Floraiku ที่เอาความเป็นญี่ปุ่นผ่านวัฒนธรรม ธรรมเนียม ประเพณี และกลอนไฮกุมาต่อยอดสร้างสรรค์เป็นกลิ่นลงขวด และ AO (สีฟ้า/สีเขียว) ก็เอาความเป็น Fig มาทำให้จับต้องได้ถึงความเป็นกลิ่นเขียวขมธรรมชาติมีความเป็นเขียวสมุนไพรกึ่งหญ้าเนียนๆ ก่อนจะกลายเป็นกลิ่นเขียวแกมแป้งโปร่งหวานดอกไม้ที่มีความเรียบหรูและหรูหราในที และปิดท้ายด้วยครีมมี่ไม้หอมแกมกลิ่นเขียวอมหวาน Fig เนียนๆ โดนตกแบบถอนตัวไม่ขึ้นเต็มๆ และขวดนี้ก็เป็นหนึ่งในการ Blind Buy ที่ประสบความสำเร็จมาก ปลื้มปริ่ม  

Nez - 1+1 Folia

1+1 Folia เป็นหนึ่งในน้ำหอมเฉพาะกิจประจำปี 2020 ของนิตยสารทางด้านน้ำหอมชื่อดังระดับโลกอย่าง Nez Editons - The Olfactory Magazine ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเป็น Exclusive ขวดขนาด 15 ml ซึ่งกลิ่นนี้เป็นการ Tribute ให้กับผืนแผ่นดินชัดเจน เพราะมาหมดทั้งกลิ่นดิน กลิ่นหิน กลิ่นใบไม้ทับถมกัน กลิ่นไม้หอม กลิ่นเห็ด และกลิ่นน้ำชื้นๆ แกมเขียว แบบว่าใส่แล้ว คือ “ตูเดินป่าอยู่หรือเปล่า” อารมณ์อยู่ในป่ากึ่งโปร่งกึ่งทึบที่ชื้นเปียก จนแบบว่า เออ ยกนิ้วให้สุคนธกรเลยว่าเจ๋งมาก สร้างอารมณ์ร่วมในการใช้งานได้สุดในความเป็นธรรมชาติของกลิ่นได้สุดยอดจริงๆ 

Rania J. - Ambre Loup  

ขอยกให้เป็น Masterpiece ในโทนแอมเบอร์เลย เพราะให้ความสมดุลย์ในการเป็นโทนยางไม้อบอุ่นที่มีทุกอารมณ์ของแอมเบอร์ที่ควรจะเป็น เพราะให้ความเป็นโทนเครื่องเทศติดยางไม้ที่ปร่าหวานเย้าความเร้าใจมีเสน่ห์กึ่งโทน Animalic ที่ไม่สาบจัดจ้านก็ได้ ให้ความหวานลุ่มลึกยางไม้กึ่งวานิลลาเคล้าความอบอุ่นก็ดี ให้ความนัวดาร์กกึ่ง Smoky ที่ดึงดูดก็ด้วย ที่สำคัญให้ความโปร่งในเนื้อกลิ่นมากกว่าจะไปอุ่นอวลนวลข้นหนัก ซึ่งถือว่ามีการวางสมดุลย์ในการผสมผสานที่ชูโรงแอมเบอร์สไตล์หวานลุ่มลึกที่ไม่ธรรมดา จนทำให้ต้องดมตัวเองตลอดในการใช้งานแต่ละครั้ง ก็มันฟินอ่ะ

Carthusia - Terra Mia  

เวลาเราเจอน้ำหอมกลิ่นโทนกาแฟ วานิลลา กุหลาบ เรามักจะได้ความทรงพลังเสียส่วนใหญ่ แต่กับ Carthusia - Terra Mia ไม่ใช่เลย เพราะเนื้อกลิ่นจะให้ความกลมกล่อมที่เกลามาเป็นอย่างดี มีความหวานหอมของกุหลาบแกมแยมเคล้าวานิลลาที่ไม่ข้นจัดจ้านเกินไป เสริมด้วยความอะโรม่าของกาแฟดำกึ่งไซรัปฮาเซลนัทหน่อยๆ ให้เป็นกรุ่นกริ่น Nutty แกมอวลไม้หอมกำลังดี ตัดเลี่ยนด้วยกลิ่นปร่าพริกไทยกลั้วดอกส้มเล็กๆ ทำให้เนื้อกลิ่นให้ความหวานแหลมสู่ปลายหอมอวลแบบกลางๆ เหมือนนั่งจิบกาแฟดำในร้านของหวานสไตล์อิตาเลี่ยนที่ตกแต่งด้วยกุหลาบเยอะๆ มันใช่เลย

Marc-Antoine Barrois - B683

ครั้งแรกที่ได้ลองเทสกลิ่นนี้จากกัลยาณมิตรทางด้านน้ำหอมถึงกับทึ่งไปเลยว่า นี่มันเป็น Smooth Saffron + มีลูกเอื้อนโทนหนังที่สมาร์ทมาก จนทดไว้ในใจว่าของมันต้องมีและก็สมตามความประสงค์ได้มาจัดจนเต็มที่กับการเป็นกลิ่นอายที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษแบบใส่สูทสไตล์นักธุรกิจที่มีความสุขุมนุ่มลึกและมีบุคลิกที่นุ่มนวลปนน่าค้นหาแบบที่ทะลุเสื้อผ้าออกมาเลยในการส่งเสริมผู้ใช้ให้มีบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือและมีเสน่ห์ โดยให้ความกลมกล่อมในเนื้อกลิ่นที่มีรสนิยมและการวางตัวที่มีระดับโดยที่ไม่ทิ้งความ Nice ที่สร้างเสน่ห์ให้เข้าถึงได้ไม่ยาก เช่นนั้นลอยมาใน Top 10 ทันที

Sonoma Scent Studio - Bee’s Bliss

เห็นชื่อรุ่นครั้งแรกเรียกว่ามีความน่ารักแบบให้เราจินตนาการต่อได้เลยว่า ถ้าเราเป็นผึ้ง อะไรที่ทำให้เรามีความสุข ซึ่งแน่นอนนั่นก็คือความหอมหวานของดอกไม้ต่างๆ รังผึ้ง น้ำผึ้ง และสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเนื้อกลิ่นก็สื่อสารออกมาได้อย่างหมดจด ในการเป็นกลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งที่เป็นศูนย์กลาง ผสมผสานโทนดอกกระถินเทศ พีช น้ำผึ้ง ดอกไลแลค ดอกส้ม และมีกลิ่นอายอบอุ่นแกมไม้หอมอ่อนๆ ที่ไล่โทนจากหอมใสๆ สู่กลิ่นอายหวานหอมกลางๆ ที่เป็นธรรมชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นน้ำผึ้งที่ใช้แล้วไม่มีกลิ่น ยูรีน Animalic มารบกวนใจแต่อย่างใด ประทับใจมากจริงๆ  

J-Scent - Yuzu

เอาจริงๆ แอบอยากเปลี่ยนชื่อรุ่นน้ำหอมอยู่ไม่น้อยว่าน่าจะเป็น Yuzu & Thyme เสียมากกว่า แต่เป็น Yuzu ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะช่วงเปิดคือการให้อารมณ์กลิ่นอายแบบส้ม Yuzu ที่มีลูกเอื้อนแบบเลมอนแกมความซ่าปร่ากึ่งโซดาอ่อนๆ ได้สดชื่นมาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกลิ่นสมุนไพรของ Thyme ที่โดนเกลากลิ่นฉุนออกไป จนเหลือโทนปลอดโปร่งจมูกที่ให้อารมณ์แบบพิมเสนน้ำที่มีกลิ่น Yuzu ประปราย ก่อนจะผ่อนคลายปิดท้ายด้วยความเป็นกลิ่น Musky อ่อนๆ ที่มีความปร่าระเรื่อหอมกึ่งสดชื่นกำลังดี ซึ่งทุกช่วงคือ Happiness Scent ที่สร้างรอยยิ้มตลอดการใช้งานได้ดีมาก  

ทั้งหมด ถือเป็นสมาชิกใหม่ของเข็มขัดสั้นในปี 2021 ที่สร้างความประทับใจในเนื้อกลิ่นอย่างมากที่ได้มาครอบครองและสร้างความสุขให้มีพลังในการเรียนรู้กลิ่นน้ำหอมต่างๆ แล้วเอามาทำเป็นสารบัญทางกลิ่นต่อไป 


 

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2565

Review: Kate Spade - TRULYgracious

Kate Spade - TRULYgracious

ส่วนใหญ่ถ้าคนไทยคิดถึงกระเป๋าถือของผู้หญิงที่ราคาเข้าถึงได้มีความหรูหราในราคากลางๆ ไม่ได้ราคาสูงแบบ Louis Vuitton ส่วนใหญ่เราจะนึกถึง Coach กันเพราะถือว่าเป็นแบรนด์ยอดนิยมของคนไทยเลยก็ว่าได้ในการซื้อหากระเป๋ามาใช้งาน + เสริมความมีคลาสอะไรก็ว่าไปตามแต่ละบุคคล แต่ถ้ามองไปทางฝั่งอเมริกากลับมีอีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่าไม่เป็นสองรองใครเลยในเรื่องของกระเป๋าถือและ Assesories อื่นๆ ที่จะเน้น Concept ทันสมัย สวย เก๋ และเรียบหรูก็ได้ แบบที่ราคาไม่ได้แพงมาก และเป็นที่นิยมของสาวๆ อเมริกันในการใช้งานแบบเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่จะไปจับต้องกระเป๋าแบรนด์ High-End ต่างๆ หรือใช้กันยาวๆ แบบที่ไม่น้อยหน้าใครในเรื่องความสวยและคุณภาพที่ยอดเยี่ยม นั่นก็คือ Kate Spade

แม้ว่าปัจจุบัน Kate Spade ได้มารวมเป็นหนึ่งกับ Coach ในการเป็นเครือ Tapestry แล้ว แต่แน่นอนว่าจับกันคนละตลาด แต่เชื่อมโยงกันแบบจากวัยรุ่นสู่วัยทำงานได้แบบอารมณ์เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน แบบเก็บในแต่ละตลาดกันได้อย่างต่อเนื่อง เช่นนั้นเลยต่างทำการตลาดในทางของตัวเองกันได้เต็มที่ ซึ่ง Kate Spade เองก็ไม่ได้มีแค่กระเป๋า เพราะมีทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ รองเท้า และสิ่งที่กำลังจะมาถ่ายทอดกลิ่นอย่างน้ำหอม ที่เห็นว่ามีแต่น้ำหอมผู้หญิง แต่เพราะความน่าสนใจบางอย่างที่ดึงดูดกับการสื่อสารกลิ่นอายโทนเขียวที่เสียงเล่าอ้างบอกว่าไม่ธรรมดากับหนึ่งใน Collection: TRULY เช่นนั้นมาเจอกัน เราต้องรู้ว่ากลิ่นเป็นอย่างไร

TRULYgracious เปิดตัวออกมาก็สร้างความประทับใจกันได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนเขียวที่มินิมัลและเป็นธรรมชาติมากจนร้องออกมาว่า “ว้าว” เลย ซึ่งช่วงเปิดลูกผสมกลิ่นโทนใบไม้สีเขียวต่างๆ จะซ้อนกันอยู่อย่างมีมิติ โดยจะเป็นโทนเขียวฟุ้งแบบเราขยี้ใบไผ่ที่จะได้ความเขียววูบขึ้นมาก่อน ตามด้วยความเป็นกลิ่นอายคล้าเมือกเขียว Stem ที่อยู่ในใบไม้กึ่งๆ จะค่อนไปทางไฮยาซินท์อ่อนๆ แล้วตามด้วยกลิ่นหญ้าที่ติดหวานปลายกลิ่นแกมโทนออกทาง Watery ใสๆ ซึ่งทุกอย่างได้อารมณ์กลิ่นเขียวใบไม้ได้อย่างเป็นธรรมชาติเกินคาดจนแบบว่าต้องหันไปมองขวดอีกทีว่านี่แบรนด์ Designer จริงๆ เหรอ เนื้อกลิ่นทำได้ดีมากจนแตะคำว่า Niche Perfume ใช้ง่ายได้เลย

การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยในการเข้าสู่ช่วงกลาง เพราะกลิ่นยังคงเป็นแบบเดียวกับช่วงต้นที่เป็นโทนเขียวใบไม้ใบหญ้าเจือหวานปลายกลิ่นผ่อนคลาย แต่เนื้อกลิ่นจะมีลูกผสมของโทนดอกไม้อ่อนๆ ที่ให้ความหวานแบบใสๆ อารมณ์กลิ่นคล้ายมะลิหรือดอกกระกิ่งที่มีความใสๆ แบบน้ำลอยดอกไม้ประมาณนั้น ทำให้เนื้อกลิ่นเป็นโทนเขียวโปร่งปนหวานระเรื่อกำลังดีอยู่ตลอด ซึ่งแอบจับต้องได้ว่าเป็นการผสมผสานกลิ่นได้ดีมากกับการเอาโทนกลิ่นสารหอมที่เนียนๆ เข้ามาเสริมให้กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นอย่าง Hedione ที่ให้อารมณ์แบบกึ่งมะลิและโทนเขียวเบาๆ และ Helional ที่ให้ความเป็นโทนเขียวกึ่งหญ้าติดหวานที่เป็น Effect แบบสร้างบรรยากาศ โดยมีกลิ่นออกทางไม้หอมเบาๆ เสริมอยู่แบบไม่ได้เด่นออกมามากนัก ให้อารมณ์แบบมีมิติอื่นๆ ที่รวมตัวกันเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งสดชื่นก็ได้ รื่นรมย์ก็ดี ผ่อนคลายสบายๆ และเป็นธรรมชาติแบบเรียบง่ายก็ชัดเจน

เมื่อเริ่มจับต้องได้ว่าเนื้อกลิ่นเริ่มมีความนุ่มแกมโทนแป้งอ่อนๆ เข้ามาแบบเป็นฉากหลัง ก็ได้เวลาเปลี่ยนช่วงเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมเต็มตัว โดยแน่นอนคือกลิ่นจะมีความสะอาดแกมนวลกึ่งแป้งอ่อนๆ ที่น่าจะมาจากโทน White Musk และมีอนุพันธ์ของ Musk อย่าง Galaxolide ที่เสริมให้โทน Musk มีความคงตัวคลอผิวร่วมด้วย โดยความเขียวใบไม้กึ่งดอกไม้ในช่วงกลางก็ยังตามมาทั้งหมด เพียงแต่จะลดลงมาเหลือเพียงอ่อนๆ เบาๆ สบายๆ มีความเรียบง่าย ซึ่งทุกอย่างคุมโทนมินิมัลชัดเจน แบบไล่เรียงมาตั้งแต่ความเขียวใบไม้ชัดเจนช่วงต้น สู่เขียวแกมดอกไม้ แล้วปิดท้ายด้วยความนุ่มนวลสะอาดคลอผิวกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางตามเวลา

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่าผู้หญิง แต่เนื้อกลิ่นมีความ Unisex แบบสูงมาก ผู้ชายใช้ได้สบายๆ เลย อาจจะมีความเขียวแกมหวานโปร่งบ้างที่อาจจะรู้สึกว่ามัน Feminine แต่มีแค่นิดเดียวเท่านั้น เน้นความรื่นรมย์ในโทนเขียวธรรมชาติที่กลิ่นนี้จะมีให้ดีกว่า ซึ่งกลิ่นเข้ากับกับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยทั้งทางการและทั่วๆ ไป ครอบจักรวาลการใช้งานมาก แต่จะมีนิดนึงคือการใส่เพื่อออกกำลังกาย ถ้ารอช่วงกลางค่อนท้ายจะลงตัวกว่า เพราะกลิ่นช่วงแรกมันได้ความชิลล์มากกว่าจะเป็นโทน Activities ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายปล่อยของหรือเรียกแขกยามค่ำคืนแต่อย่างใด

ความทน - กลิ่นนี้พึ่งเคมีของผิวชัดเจน เพราะจากที่เทสเองกับคนที่ผิวแห้งต่างกันอย่างมาก เลยสรุปง่ายๆ ว่าความทนแปรผันและแกว่งตามสภาพผิว ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. สบายๆ ในการใช้งาน แต่คนผิวแห้งที่ขอให้ร่วมเทสเจอไปที่ 2 ชม. ก็หายเกลี้ยงไปเรียบร้อย เช่นนั้น พกไว้เติมระหว่างวันไม่เสียหาย

การกระจาย - นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พึ่งเคมีของสภาพผิวผู้ใช้ที่จะเสริมในเรื่องการกระจาย แต่จุดหนึ่งที่จะเหมือนกันไม่ว่าจะสภาพผิวไหนก็ตาม ช่วงต้นจะกระจายดีให้ความเสียหอมสดชื่นเป็นธรรมชาติให้ประทับใจแรกพบกันได้เลย ส่วนที่เหลือจะลดลงมาเป็นปานกลางซักราวๆ ไม่เกิน 1 ชม. แลเวก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้มุ้งมิ้งกับตัวเอง ก่อนจะจางไปตามเวลาที่สภาพผิวนั้นๆ พอจะเก็บกักน้ำหอมได้

สรุป - เกินคาดไปมากจริงๆ กับเนื้อกลิ่นที่ให้ความเขียวสดชื่นรื่นรมย์ที่เป็นธรรมชาติสูงมากไม่พอ ยังมีความเรียบง่ายที่รื่นรมย์ในความเป็นโทนเขียวที่พลิ้วไหวได้อย่างลงตัวในทุกๆ ช่วงของน้ำหอมจริงๆ อันนี้ต้องยอมเลยว่าทำกลิ่นออกมาได้น่าประทับใจมาก และที่สำคัญใครชอบกลิ่นหญ้าที่เน้นความรื่นรมย์บอกเลยถ้าได้ลองกลิ่นนี้มีสิทธิ์โดนตกสูงมากถึงมากที่สุดได้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - http://kskstudios.com/blog/motion-graphics-for-kate-spade-fragrance/

 

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2565

My Top 25 Signature Scents of 2021

My Top 25 Signature Scents of 2021

ได้เวลาของการอัพเดทน้ำหอมที่เป็นลูกรักประจำปี 2021 แล้ว กับ 25 กลิ่นที่เป็น Signature บ่งบอกถึงความเป็นตัวของเข็มขัดสั้นเองในแง่มุมต่างๆ ซึ่งแต่ละตัวจะเป็น Partner ชั้นดีงามทางกลิ่นที่เสริมคาแรคเตอร์ของผมในด้านนั้นๆ ออกมา ซึงในปีนี้แทบไม่ได้มีตัวใหม่ๆ เบียดขึ้นมาได้เท่าไหร่ เหมือนของปี 2020 เกือบหมด จะมีตัวใหม่ที่ขึ้นมาอยู่บนทำเนียบรุ่นนี้ได้เบ็ดเสร็จที่ 1 กลิ่น

เช่นนั้นไม่อารัมภบทเยอะ ก็มาว่ากันกับ 25 Signature Scents ของเข็มขัดสั้น ที่ไม่ได้เรียงตามลำดับความชอบแต่ประการใดเลยแล้วกัน เริ่มที่

  • โรแมนติค: Jul et Mad - Terrasse a St-Germain
  • หรูหรา: Creed - Sublime Vanille
  • สดชื่น: Xerjoff - XJ 1861 Renaissance
  • อำนาจ: Zoologist - Rhinoceros
  • เจ้าเสน่ห์: Bond No.9 - New Haarlem
  • หนักแน่น: Amouage - Honour Man
  • ดาร์ก: Lalique - Encre Noire
  • มาร: Strangers Parfumerie - Burning Ben
  • อบอุ่น: by Kilian - Amber Oud
  • ปลง: L'Artisan Parfumeur - Passage d'Enfer
  • อ่อนโยน: Parfums Dusita - Issara
  • สันโดษ: Parfum Satori - Oribe/Hyouge
  • มั่นใจ: 4160 Tuesdays - The Sexiest Scent on the Planet. Ever. (IMHO)
  • ซับซ้อน: Parfum Prissana - Nimitr
  • คิดไม่ออกบอกกลิ่นนี้: Molyneux - Quartz pour Homme
  • ดึงดูด: Strangers Parfumerie - Oliver 
  • ผ่อนคลาย: PRYN PARFUM - Jardin d'Iris
  • สว่างไสว: Penhaligon's - Ostara 
  • สุภาพบุรุษ: Adolfo Dominguez - Vetiver Hombre
  • รื่นรมย์: Frederic Malle - Eau de Magnolia
  • ยั่วสวาท: Thierry Mugler - A*Men
  • สปอร์ตไลท์: Maison Francis Kurkdjian - Grand Soir
  • เมโทร: Paco Rabanne - Ultraviolet
  • เช็กซี่: Lush - Dirty
  • ลั่นล้า: Thierry Mugler - A*Men Ultra Zest

เรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งทั้ง 25 ตัวนี้เปรียบเสมือนเป็น Signature ของผมในแต่ละอารมณ์ เห็นแล้วสนใจตัวไหน อยากสอยตามก็จัดไป หรือถ้าอยากจะแชร์ลูกรักของแต่ละคนเองก็ยินดีเลยครับ

Happy New Year 2022 ทุกคนเลยนะครับ

 

Review: Diptyque - Orpheon

Diptyque - Orpheon

จุดเริ่มต้นของการกำเนิดแบรนด์ Diptyque เกิดที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Orpheon ซึ่งเป็นจุดนัดพบปะสังสรรค์กันระหว่างคน 3 คน คือ Yves Coueslant, Desmond Knox-Leet และ Christiane Gautrot ที่ทั้งหมดก็คือผู้ก่อตั้งแบรนด์ Diptyque

เมื่อจุดตั้งต้นมาจากการพูดคุยและสังสรรค์ในไนท์คลับถึงการสร้างสรรค์น้ำหอม รวมถึงการได้ไอเดียใหม่ๆ เวลามาเยือนที่ Orpheon แห่งนี้ เช่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเหมาะกับช่วงเวลาแห่งการ Tribute ที่จะพาเรากลับไปที่จุดเริ่มต้นในกาเป็นแบรนด์ การสร้างสรรค์กลิ่น และไอเดียที่จะถ่ายทอดกลิ่นต่างๆ เช่นนั้น ในปี 2021 กับการครบรอบ 60 ปีของแบรนด์ Diptyque จึงได้เปิดตัวการถอดกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่เป็นเสมือนสถานที่จุดประกายความหอมของแบรนด์นี้ออกมาผ่านรุ่นที่ชื่อเดียวกับไนท์คลับอย่าง Orpheon และกลิ่นที่ออกมานั้นเป็นอย่างไร ก็ว่ากันได้ตามนี้เลย

ช่วงเปิด - กลิ่นจูนิเปอร์เบอร์รี่จะเป็นตัวหลักที่ให้อารมณ์แบบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง Gin โดยกลิ่นมีความปร่าเขียวฟุ้งเสริมด้วยกลิ่นติดคมแกมเขียวนิดๆ ของยางไม้ที่เสริมเข้ามาแบบสมดุลย์ไม่แย่งซีนและไม่คมเกินไป อารมณ์จะแอบมีโทนกึ่งสบู่ปร่าซ่าสมุนไพรนิดๆ ให้พอจับต้องได้ด้วยหน่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นเหล้า Gin ที่มีความเป็นธรรมชาติมากจริงๆ ได้อารมณ์เหมือน Gin Tonic หรือจะค่อนไปทาง Martini เบาๆ มาเสิร์ฟตรงหน้า แล้วเรายกแก้วดื่มพร้อมสูดกลิ่น Gin ที่ได้รับรู้ นี่แหละ ช่วงนี้ให้ความรู้สึกแบบนี้ชัดเจนมาก

ช่วงกลาง - คือการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโทนกลิ่นกันเลยแบบค่อนข้างชัดมาก ซึ่งตั้งแต่ช่วงรอยต่อระหว่างต้นกับกลาง ก็จะเริ่มสัมผัสได้ว่า กลิ่น Gin เริ่มเบาลงๆ แล้วกลายเป็นกลิ่นออกทางกึ่งหญ้าแฝกที่มีความเป็นโทนออกทาง Smoky หน่อยๆ กึ่งควัน และมีลักษณะเนื้อกลิ่นเป็นโทนยาสูบผสมผสานอยู่ในความเป็นกลิ่นกึ่งควันไอนั้น ซึ่งก็ชัดเจนกลิ่นบุหรี่ที่เป็นโทนติดควันแบบบรรยากาศในสถานที่ที่มีคนสูบบุหรี่แบบไม่ได้หนักนัก แต่จะมีความซับซ้อนเข้ามาหน่อยนั่นคือ การเป็นโทนกึ่งไม้หอมที่ทั้งเป็น Effect ของหญ้าแฝกเองที่มีโทนไม้หอมแห้งๆ อยู่แล้ว รวมถึงมีโทนออกทางไม้ซีดาร์ที่ให้ความขรึมๆ กำลังดี ซ้อนด้วยความละมุนของดอกไม้ขาวที่จับต้องได้เต็มๆ คือ มะลิ และแอบมีกระดังงาด้วยหน่อยๆ แกมกลิ่นออกทางโทนแป้งที่ให้อารมณ์แบบแป้งหอมดอกไม้คลาสสิดกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์ ซึ่งทั้งไม้หอมและดอกไม้แกมแป้งนี้ต่างก็เป็นสายสนับสนุนที่มีน้ำหนักพอสมควรและเกลาให้กลิ่นที่ออกทางควันบุหรี่นั้นนุ่มขึ้นด้วย ทำให้ช่วงนี้มีความหลากหลายในเนื้อกลิ่นมากเลยทีเดียว และสื่อสารถึงความเป็นสภาพแวดล้อมแบบไนท์คลับแบบ Retro ได้ชัดมากอีกด้วย

ช่วงท้าย - ก่อนที่จะเข้าช่วงท้าย การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นก็จะเริ่มพลิกเกมกันอีกครั้ง โดยที่ยังมีความเชื่อมโยงแบบเนียนๆ จากช่วงกลางอยู่จากกลิ่นที่เป็นโทนบุหรี่ แต่จะเบาลงจนเหลือเพียงปลายกลิ่น ซึ่งตัวหลักในช่วงนี้จะกลายเป็นโทนแป้งแนวคลาสสิคเด่นมาเลย ซึ่งจะได้ความรู้สึกแบบแป้งหอมดอกไม้ที่เป็นแป้งเครื่องสำอางค์สไตล์ Retro โดยมีกลิ่นออกทางคล้ายน้ำผึ้งที่จะมีลูกโทนเอียนเล็กๆ ผสมผสานอยู่ ซ้อนด้วยโทนไม้หอมที่จับต้องได้ชัดเจนเลยถึงกลิ่นที่มีความเป็นไม้ซีดาร์แกมหญ้าแฝกที่ให้ลักษณะอารมณ์กลิ่นแบบไม้หอมติดขรึมๆ ดาร์กนิดๆ น่าค้นหา + ความเป็น Ambroxan ที่ก็จับได้ด้วยว่าใส่เข้ามาเพื่อตรึงให้กลิ่นมีความอวลแกมไม้หอมกำลังดีร่วมด้วย ซึ่งกลิ่นจะไล่เรียงจากแป้งหอมดอกไม้ติดหวานที่มีความอบอุ่นแกมไม้หอมขรึมๆ ที่ยังมีความอ้อยิ่งของกลิ่นแบบควันยาสูบอยู่ปลายกลิ่น ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะเนื้อกลิ่นที่สร้างโทนแบบมีความเป็นไนท์คลับที่มีผู้คนอยู่ในนั้นชัดเจนมากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปจากช่วงกลาง เรียกว่าปิดท้ายได้อย่างครบถ้วนในการ Tribute กลิ่นอายสถานที่ได้ครบมาก  

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน และครอบคลุมการใช้งานทั้งแบบจะเป็นสไตล์ Modern ก็ได้หรือ Classic ก็ดี ซึ่งเนื้อกลิ่นอาจจะต้องผ่านโทนแป้งหอมดอกไม้แบบย้อนยุคบ้าง จะเข้าถึงได้เร็วและง่ายขึ้น ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ซึ่งเข้ากับทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนถือเป็นกลิ่นที่ออกงานหรือท่องราตรีแบบชิลล์ๆไนท์คลับหรือบาร์ได้อยู่ แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายปล่อยพลังสร้างความเย้ายวนจมูกชาวบ้านเท่าไหร่ เพราะว่าเนื้อกลิ่นให้อารมณ์สถานที่เสียมากกว่าประมาณนั้น 

ความทน - กลิ่นทนดีงามเลยทีเดียวกับราวๆ  8 ชม. ขึ้นไป ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่บนผิว เรียกว่าไม่ผิดหวังในเรื่องนี้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ได้อารมณ์กลิ่น Gin เต็มๆ ก่อนที่จะคงความเสถียรที่กระขายปานกลางคนรอบข้างได้กลิ่นจากเราแบบกำลังดีไม่หนักเกินไปยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 ก่อนที่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายและคงตัวยาวๆ ไปต่อจนเป็น Skin Scent เต็มตัวเอาเมื่อผ่านชั่วโมงที่ 12 ไปแล้ว

สรุป - ต้องบอกเลยว่า 1 รุ่น เหมือนได้น้ำหอม 3 กลิ่น ที่แต่ละช่วงจะมีความเป็นเอกเทศในการสร้างกลิ่นอายที่ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะมีลูกเอื้อนทางกลิ่นที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่แบบเนียนๆ แต่อารมณ์กลิ่นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตาม Stage นั้นๆ ของน้ำหอมแบบที่มีความน่าสนใจมากในการถ่ายทอดความเป็นสภาพแวดล้อมไล่จากกลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต่อด้วยความเป็นไม้หอมแกมควันบุหรี่กึ่ง Smoky และปิดท้ายด้วยกลิ่นออกทางแป้งหอมคลาสสิค ซึ่งไม่ธรรมดาเลยทีเดียวกับความหลากหลายทางกลิ่นของน้ำหอมรุ่นนี้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.diptyqueparis.com/en_us/p/orpheon-eau-de-parfum-75ml.html

 

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Jo Malone - Peony & Blush Suede

Jo Malone - Peony & Blush Suede

นั่งย้อนถามตัวเองว่าจากการใช้น้ำหอมของ Jo Malone ที่ผ่านมา เคยผ่านกลิ่นอายที่สร้างโทนสีชมพูหวานนวลในความรู้สึกมาบ้างหรือยังของแบรนด์นี้ ซึ่งเมื่อทบทวนแล้วจะมีก็แค่แตะๆ แต่ค่อนไปทางใสเสียมาก แล้วถ้าเราอยากจะเพิ่มกลิ่นอายแบบที่เราต้องการล่ะ จะพอมีรุ่นไหนบ้าง

และก็ได้มาเจอกับหนึ่งในรุ่นที่เรียกว่าเป็นระดับตัว Top ได้รับความนิยมสูงของแบรนด์กับการเป็นโทนกลิ่นที่มีความหอมแบบตอบโจทย์การใช้งานในการสร้างความหวานนวลในโทนสีชมพูแบบที่จับต้องได้แบบมีเสน่ห์และมีระดับแบบไม่ต้องเยอะสิ่ง เช่นนั้น มาลองกันหน่อยว่ากลิ่นนี่จะไล่เรียงสเต็ปอย่างไร ซึ่งนั่นก็คือ Peony & Blush Suede

เปิดต้นกลิ่นมาก็แบบว่า หืมมมม! แอปเปิ้ลแดงแบบฉ่ำๆ อารมณ์แบบแอปเปิ้ลแดงเนื้อแกนกลางเป็นน้ำผึ้งเลย กลิ่นมีความเป็นแอปเปิ้ลแดงหวานที่หอมเป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์มาก แบบที่ใครได้กลิ่นก็แบบว่า เออ แอปเปิ้ลชัดๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีโทนที่ติดฝาดปร่าอ่อนๆ เสริมอยู่ ที่คิดว่าน่าจะมาจากการผสมผสานกลิ่นพริกไทยสีชมพูเข้าไปเนียนๆ แบบให้อารมณ์ปลายกลิ่นแบบเปลือกแอปเปิ้ลแดงหน่อยๆ ราวๆ นั้น ถือว่าเนื้อกลิ่นแม้จะมีความมินิมัลในการปล่อยของการเป็นกลิ่นแอปเปิ้ลตรงไปตรงมาในสไตล์ Cologne ที่เป็นธรรมชาติก็จริง แต่ก็ซ่อนความละเอียดในเนื้อกลิ่นเอาไว้ให้สนุกในการรับรู้แบบลงดีเทลอีกด้วย

เมื่อผ่านไปไม่นานจะเริ่มจับต้องได้ว่าเนื้อกลิ่นไม่ได้มีแค่แอปเปิ้ลแล้ว เพราะกลิ่นจะเริ่มมีออร่าสีชมพูออกมาจากความเป็น Peony หรือโบตั๋น ที่จะให้ความเป็นกลิ่นอายดอกกุหลาบสีชมพูสดชื่น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ โบตั๋นในรุ่นนี้ไม่ได้พกเอาความเป็น Citrus มาด้วย หรือเพราะว่าความเป็นแอปเปิ้ลแดงฉ่ำหวานตัดทอนเอาความเป็น Citrus ออกไป เลยทำให้เหลือเพียงกลิ่นอายสีชมพูอ่อนละมุนๆ กำลังดี มีโดยมีโทนกุหลาบแบบที่มาแบบสมดุลย์เบาๆ ไม่ได้จัดจ้านจนเป็นกุหลาบแดงจัด แต่ให้อารมณ์โรแมนติคนวลๆ มาคอยรับช่วงให้มีความเป็นสีชมพูเฉดกลางๆ สีออกทางนวลๆ ได้ดีขึ้น + ลูกผสมของกลิ่นมะลิติดโทนใสๆ ที่เสริมเข้ามาเบาๆ ให้มีความหวานใสปลายกลิ่นให้รับรู้ได้ด้วย โดยที่พื้นกลิ่นจะจับได้ถึงโทนติดปร่าอ่อนๆ ที่ตามมาจากช่วงต้น + ความเขียวเล็กๆ ที่ทำให้นึกถึงคาร์เนชั่น เลยทำให้ภาพจำกลิ่นในช่วงนี้เหมือนช่อดอกไม้ที่มีโบตั๋นเป็นหลักใหญ่ แซมด้วยกุหลาบ ตามด้วยมะลิ และมีคาร์เนชั่นเสริมประปราย โดยที่ให้ความหวานน่ารักของแอปเปิ้ลแดงเสริมอยู่ในช่วงช่วงกลิ่น เรียกว่าได้ทั้งความอ่อนโยน ความหวานโรแมนติคแบบไม่โฉ่งฉ่าง และความน่ารักสดใสที่มีความ Feminine เต็มขั้นจริงๆ

การเข้าสู่ช่วงท้าย จะเริ่มจับจ้องได้ถึงกลิ่นโทน Musky ที่เข้ามาเกลาให้กลิ่นมีความนวลละมุนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้กลบหรือแย่งซีนความเป็นโบตั๋นแต่อย่างใด และเมื่อเริ่มปรับเข้ากันอย่างสมดุลย์ ก็จะจับต้องได้ว่านี่คือกลิ่นหนังกลับหรือ Suede ที่ไม่ได้มาแบบแน่นๆ อวลนวลนุ่มและเซ็กซี่จัดจ้าน แต่มาแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ให้ความนุ่มละมุนแบบอ่อนๆ กำลังดี เข้าทางโทน Musky แบบกลางๆ ที่เมื่อเจอกับความเป็นดอกไม้จากช่วงกลาง ก็ทำให้เนื้อกลิ่นมีเลเยอร์ที่หวานหอมดอกไม้ปลายสดชื่นสู่นุ่มนวลกำลังดี คุมโทนสีชมพูนวลอ่อนได้ชัดเจน และที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลก็ยังมีอยู่แบบปลายกลิ่นหน่อยๆ ด้วย เลยยังคงครบถ้วนความอ่อนโยน ความหวานโรแมนติค และความน่ารักสดใส + เพิ่มความละมุนและความเรียบหรูเข้าไปเพิ่มเติม ถือเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่ลงตัวมากๆ แตะได้ทั้งความเป็น Niche Perfume แบบใช้ง่ายก็ได้ และเป็น Designer Perfume แบบ High-End ขึ้นมาก็สามารถ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงเน้นๆ ทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้แล้ว กลิ่นจะให้ความน่ารักสดใสแกมอ่อนโยนและมีโทนสีชมพูที่สร้างความหวานน่ารักสดใสก็ได้ ให้ความอ่อนโยนก็ดี ซึ่งเนื้อกลิ่นตอบโจทย์การใช้งานในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งแบบชิลล์ๆ ก็ได้ แต่ไม่เข้าทางกับการใส่เพื่อออกกำลังกายเท่าไหร่ ข้ามไปจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนก็เน้นโรแมนติคได้เลย กลิ่นมาสายนี้โดยแท้ หรือจะใส่ออกงานก็เข้าทีไม่น้อย แต่ถ้าจะเอาไปท่องราตรีปล่อยความเซ็กซี่ล่ะก็ ไม่มีในรุ่นนี้ และน่าจะโดยชาวบ้านที่ใช้น้ำหอมแบบ “คนนี้มาแรงสัญชาตญาณบอก” กลบหมดแน่นอน

ความทน - อันนี้ทึ่งเป็นการส่วนตัวมาก เพราะจากที่ลองคือความทนไม่ลดราวาศอกเลย เจอไปถึง 12 ชม. กลิ่นยังชัดเจนอยู่ เรียกว่าเป็นหนึ่งในรุ่นของ Jo Malone ที่ความทนดีงามเลยอีกหนึ่งกลิ่น ซึ่งถ้าตีค่าเฉลี่ยแต่ละประเภทผิวก็อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ได้อยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้ความหวานสดใสแอปเปิ้ลแดงฉ่ำชัดเจน แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางแบบคงตัวยาวไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายแล้ว ถึงลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปยาวๆ จนถึงราวๆ 8 ชม. ก็จะลงเป็น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - ต้องบอกว่าเป็นการจับคู่ที่ลงตัวมากในการสื่อสารความเป็น Peony ในสไตล์หวานนวลแบบไม่ได้ใสโหวงและไม่ได้ข้นจัดเพราะมีการสอดรับที่ดีของ Suede แถมผู้สนับสนุนทุกช่วงกลิ่นอย่างแอปเปิ้ลแดง โดยที่ทุกอย่างปรับโทนอย่างสมดุลย์และมีสไตล์ Cologne แบบที่มีความนุ่มนวลเป็นที่ตั้ง โดยยังคุมโทนในการเป็นกลิ่นอายสีชมพูนวลล้อมกาย + มีความหวานอ่อนโยนได้อย่างน่าสนใจมาก ไม่แปลกใจเลยที่รุ่นนี้เป็นหนึ่งในตัว Top ของแบรนด์ที่ถ้าเทียบความหวือวาทางกลิ่นอาจจะไม่ได้มากขนาดนั้น ก็เพราะสไตล์ของแบรนด์ไม่ได้มาสายปล่อยพลัง แต่ยังไงก็ตอบโจทย์การใช้งานของสาวๆ แบบที่ไม่ตกยุคง่ายๆ แน่นอน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.instagram.com/p/CD6Q2VwiBub/

 

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - Magenta Pop

Strangers Parfumerie - Magenta Pop

หลายๆ คนคงน่าจะเคยได้เห็นภาพยนตร์หรือซีรีย์รักวัยรุ่น ที่สไตล์ครอบครัวกีดกันในความรัก หรืออาจจะเป็นสไตล์ Coming of Age ที่เริ่มต้นจากชีวิตวัยรุ่น ความรัก และปิดท้ายด้วยความผิดหวัง ทำให้ชีวิตได้เรียนรู้เพื่อที่จะผ่านมันไปให้ได้และเดินหน้าต่อไป ซึ่งเยอะเลย ซึ่งหลายๆ เรื่องจะเริ่มต้นด้วยลักษณะของการเป็นแนวความรักใสๆ ของวัยทีน ตามด้วยความรักและแรงปรารถนา ก่อนที่จะต้องมีเหตุการณ์อะไรก็ตามที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตและจบลงอย่างที่เป็นโศกนาฏกรรม แล้วเปิดทางสู่อีกทิศทางของชีวิต โดยเก็บสิ่งที่ผ่านเข้ามาเป็นความทรงจำ

ซึ่ง Concept แบบนี้ เราเห็นการเล่าเรื่องราวในภาพยนตร์หรือซีรีย์มากันบ่อยก็จริง แต่เคยเห็นการเล่าเรื่องแบบนี้ผ่านกลิ่นบ้างหรือเปล่าล่ะ?

ถ้าไม่เคยไม่เป็นไร เพราะแบรนด์ Strangers Parfumerie ได้ถอดกลิ่นอายแบบนี้ออกมาสู่ขวด ที่จะบอกเล่าเรื่องราวความหลังในฤดูร้อนที่เกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้น และต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงตอนจบที่มาในแนว Bittersweet ซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไรมาว่ากันได้เลยที่รุ่นนี้ Magenta Pop

Puppy Love - คือช่วงต้นที่จะเปิดมาด้วยความหวานและมีความเป็นแนววัยรุ่นแกม High School Love โดยจะยืนพื้นที่โทนสีม่วงที่มีความสว่างดึงดูดกำลังดี ซึ่งกลิ่นหลักเลยต้องยกให้องุ่นที่มีโทนกลิ่นแนวน้ำองุ่น + บลูเบอร์รี่ที่ให้อาสรรมณ์กลิ่นเปรี้ยวอมหวานฟุ้งออกมา แต่กลิ่นจะมีโทนออกทางน้ำผึ้งหอมหวานลึกที่มีความหวานฉ่ำเต็มเสริมขึ้นมาด้วยแบบชัดเจนมาก เรียกว่าในช่วง 30 วินาทีแรกจะได้ความรู้สึกแบบหวาน เย้า แต่ไม่ได้ไปทาง Sexy แต่เป็นความหวานที่มีความดึงดูดแบบน่ารักๆ แล้วไม่นานก็จะมีกลิ่นแนวคล้ายๆ ลูกอมเสริมเข้ามา อารมณ์แบบลูกอมหรือลูกอมเป๊าะแป๊ะใสๆ กลิ่นองุ่นที่มี่ความหวานหอมน่ารักแบบกำลังดี และมีคาราเมลหน่อยๆ ให้พอรู้สึกได้ อารมณ์เนื้อกลิ่นเหมือนผสมผสานความเป็น Bubblegum แบบที่ให้ความวัยรุ่นในเนื้อกลิ่น แต่ความรู้สึกมันบอกชัดเจนว่าฉากหลังมีกลิ่นออกทางคล้ายๆ โทนควันๆ กึ่งยาสูบกึ่ง Incense เนียนอยู่ ซึ่งมันเลยได้อารมณ์แบบห้วงคำนึงเข้ามาเป็นอารมณ์กลิ่นร่วมอยู่ด้วย เรียกว่ามีกิมมิคซ่อนอยู่ ไม่ได้แค่มีความเป็นโทน Candy Fruity หวานรักวัยกระเต๊าะเพียงอย่างเดียว ถ้าเทียบเป็นเพลง ก็ You Are the Music in Me ของ Series - High School Musical 2 ที่เป็นช่วง Puppy Love ที่สุดของแจ้และเข้ากับกลิ่นช่วงนี้จริงๆ

วัยรุ่นวุ่นรัก - เป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากช่วงต้นที่เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีโทนเย้ายวนและเซ็กซี่แบบค่อยเป็นค่อยไปมาเสริม เริ่มจากกลิ่นไวน์แดงที่เข้ามาเสริมกับโทนองุ่นและบลูเบอร์รี่ ความหวานน้ำผึ้งเริ่มเป็นเนื้อเดียวกับกลิ่นโทนสมุนไพรแนวหวานที่มาลดทอนความหวานกึ่งเอียนลงไปได้มากของชะเอมและอบเชย แต่เสริมความเร่าร้อนและเย้าจากกลิ่นของขนมปังขิงที่มีความอวลเนียนๆในเนื้อกลิ่นเพิ่มขึ้น ซ้อนด้วยสายสนับสนุนที่ให้ความเต็มแน่นแต่ไม่หนักในเนื้อกลิ่นแบบกำลังดีของพริกไทย มีความคมๆ ของเม็ดผักชีที่ให้ความเผ็ดฟุ้ง แกมกลิ่นออกทางกุหลาบเบาๆ เคล้ากลิ่นหนังและแป้งทึบหน่อยๆ ทำให้กลิ่นมีโทนดึงดูดและสื่อสารถึงแรงปรารถนาทางกายเข้ามาร่วมด้วย อารมณ์ทั้งหมดเลยสื่อสารถึงคำว่าเย้ายวน เซ็กซี่ หวานแกมดาร์ก และแรงขับ ง่ายๆ คือ โตขึ้นจากช่วงต้นมาอีกสเต็ป แบบรักในแบบวัยรุ่นที่ลงลึกทางด้านกายภาพมากกว่าคำว่า Puppy Love แล้ว และที่แน่ๆ มีอารมณ์ควันๆ กึ่งยาสูบกึ่ง Incense หน่อยๆ ก็ยังมีให้จับต้องได้ตลอดคุมโทนอารมณ์ห้วงคำนึงได้เป๊ะอยู่ ซึ่งถ้าเทียบเป็นเพลงก็ Teenage Dream ของ Katy Perry ถือว่าตอบโจทย์ได้ตรงกับเนื้อกลิ่นในช่วงนี้

การเปลี่ยนแปลง จุดสิ้นสุด และความทรงจำ - ถือเป็นการปิดท้ายของกลิ่นที่จะเป็น Stage สุดท้ายบนผิว กับเนื้อกลิ่นที่การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปจากช่วงกลางที่ทำให้จับต้องได้ถึงความจริงจังของกลิ่นที่มันเพิ่มขึ้นมามากขึ้น ซึ่งความเป็นโทนสีม่วงที่มีลูกเอื้อนของกลิ่นองุ่นยังมีอยู่ แต่โทนสีมันจะเข้มมากขึ้นจนกลายเป็นม่วงอมดำที่ดาร์กมากขึ้น และมีความนิ่งงันในเนื้อกลิ่นชัดเจนมากขึ้น กลิ่นที่เป็นแกนนำหลักเลยต้องยกให้กลิ่นหนังที่มีโทนติดทึบแป้งเคล้ากับความ Animalic ที่น่าจะมาจากชะมดเช็ดแบบที่ไม่ดิบห่ามจัดจ้านเกินไป เสริมด้วยโทนไม้หอมแกมพริกไทยที่มาแบบนิ่งๆ ลดทอนความหวานลงไปจนเหลือเพียงปลายกลิ่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ เข้าทางการเป็นช่วงหมดโปรโมชั่นหรือจบสิ้นไปแล้วก็ว่าได้ เพราะเนื้อกลิ่นมันดาร์กขึ้นมันไม่ได้ดูโลกสวยแล้ว แถมยังมีกลิ่นอายติดอ้อยอิ่งหน่อยๆ ของควันยาสูบกึ่ง Incense ที่ยังประปรายให้รู้สึกถึงห้วงคำนึงอยู่เช่นเดิมอีก เลยตอกย้ำอารมณ์ว่า นี่ไม่ใช่ Happy Ending แต่เป็นจุดสิ้นสุดที่กลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่มีความเป็น Bittersweet อารมณ์ Link เข้ากับเพลงได้หลายเพลงมากไม่ว่าจะ James Morrison - Broken Strings, Taylor Swift - All Too Well หรือ Katy Perry - The One That Got Away (อันนี้ดู MV ประกอบได้เลยอารมณ์ใช่มาก)

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะเนื้อกลิ่นมีความกลางๆ มากพอที่จะใช้งานได้ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป เนื้อกลิ่นจะไล่สเต็ปในความน่ารัก เร้าเย้ายวน และจริงจัง ที่อาจจะไม่ได้เข้ากับการใช้ยามทางการหรือออกกำลังกายเท่าไหร่ แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไป ให้มีคาแรคเตอร์ทางกลิ่นที่หลายมิติและมีความเก๋ อันนี้จัดไปกลิ่นมีเสน่ห์และให้อารมณ์แบบสีม่วงองุ่นได้แบบชัดเจน ส่วนยามค่ำคืน พอใส่ออกงานหรือท่องราตรีได้อยู่ แต่ถ้าใส่แบบทั่วไปที่เน้นความมีเสน่ห์เฉพาะตัวอันนี้จะเข้าทางมาก

ความทน - พื้นฐานคือ 8 ชม. ได้สบายมาก แม้วันอากาศร้อนๆ และสามารถไปต่อได้อีกจนแต 12 - 15 ชม. เลยก็ยังได้อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางที่ค่อนข้างเสถียรกันยาวๆ ไปจนถึงราว 5 ชม. ได้ แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันสักพัก และเปลี่ยนเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปราว 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ทึ่งมากกับการเล่าเรื่องราวผ่านกลิ่นที่ส่งต่อช่วงรักต่างๆ ในแบบวัยรุ่นที่มันคือหนึ่งใน Coming of Age ที่จะต้องผ่านช่วงเวลาแบบนี้ นี่แหละงานศิลปะทางกลิ่นที่ไม่ธรรมดาเลย แต่ถ้าไม่ได้สนใจว่าเนื้อกลิ่นจะสื่อถึงช่วงรักอะไรอย่างไร กลิ่นนี้ก็ถือว่าเป็นโทนกลิ่นที่มีเอกลักษณ์มากในการนำเสนอความ Unique ที่เน้นกลิ่นอายโทนองุ่น ไปสู่ความเย้ายวน และปิดท้ายด้วยความดาร์กได้น่าสนใจมากจริงๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie