วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Review: ScentStory - 24 Elixir Neroli

ScentStory - 24 Elixir Neroli

เคยได้ยินชื่อเสียงแบรนด์นี้จากกลิ่น 24 Gold ที่สร้างสรรค์ความหวานผ่านกลิ่นจับคู่ระหว่างความหวานแนวน้ำอมฤตที่หวานลึกกับ Oud ได้อย่างลงตัวจนนึกว่าเป็นน้ำหอมที่มาจากแดนตะวันออกกลาง ซึ่งพอมาหาข้อมูลก็ถึงบางอ้อ ว่า ScentStory เป็นแบรนด์ Niche ของฝรั่งเศส ที่มีน้ำหอมภายใต้อาณัติในการดูแลคือ 24 และ Plume Impression ซึ่งก็ส่งความหอมออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องมาตลอด จนถึงตอนนี้ และได้รับการยอมรับในการถ่ายทอดกลิ่นสู่ผู้ใช้งานได้อย่างดีมาเสมอ 

ซึ่งการได้มาเจอแบรนด์นี้ เลยขอมาว่ากันที่สาย 24 กันก่อน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่กลิ่นดังอย่าง 24 Gold (เพราะตอนที่ดมเป็นการดมผ่านๆ ไม่ได้ใช้กับผิวอย่างจริงจัง) แต่จะมาว่ากันที่ Collection - 24 Elixir กันก่อน เพราะมีโอกาสได้จัดมาตามโอกาสอำนวยกับการอยากลองกลิ่นอาย Neroli หรือดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำที่แบรนด์นี้สร้างสรรค์ออกมา และผลที่ได้จากการใช้งาน คือ

24 Elixir Neroli ไม่ใช่ Neroli ในแบบที่เคยได้กลิ่นจากหลายๆ แบรนด์ทั้ง Niche และ Designer มาก่อนหน้านี้ เพราะจะมาแบบ Spicy Neroli ที่จะให้ความเป็นดอกส้มติดเขียวก็จริง แต่จะมีโทนค็อกเทลกับกลิ่นสายเครื่องเทศเผ็ดปร่าโปร่งต่างๆ เป็นตัวเสริมแบบชัดมาก ซึ่งช่วงต้นสิ่งที่เด่นจะเป็นกลิ่นมินต์โทนิคที่มีกลิ่นเปรี้ยวแกมขมปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เป็นตัวเสริมให้กลิ่นดอกส้ม Neroli มีความเขียวปร่าซ่าและมีความสดชื่นที่คมอยู่พอสมควร ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นชาอ่อนๆ เสริมอยู่แบบปลายกลิ่นให้รู้สึกเลยไม่ได้ถึงกับบาดจมูก แต่มีความติดนวลปลายกลิ่นที่แกมเขียวออกทางโทนสว่างมาให้จับต้องได้ โดยในภาพรวมไม่ได้เป็นกลิ่นที่มีความใสขนาดนั้น เพราะความรู้สึกปร่าอวลๆ คล้ายขิงที่เนียนอยู่ในเนื้อกลิ่น เลยทำให้กลิ่นค่อนไปทางสบู่ปร่าๆ พอสมควร

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางนั่นต้องยกให้ขิงเลย ที่จะเป็นตัวคุมโทนโดยที่ยังมีดอกส้มเป็นตัว On Top ให้ได้กลิ่นอยู่เพียงแต่ว่าเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนแป้งให้สัมผัสได้มากขึ้นตามลำดับ กลิ่นจะลดความคมๆ ปร่าๆ ในช่วงแรกลงไปเยอะเลย โทนมินต์กับโทนิคต่างๆ เหลือเพียงปลายกลิ่น แต่ให้ความเป็นลูกผสมระหว่างความเป็นปร่าขิงแกมดอกส้มรองพื้นด้วยกลิ่นนวลๆ แป้งที่นำทีมด้วยดอกไวโอเล็ตที่ให้ความโปร่งแกมกลิ่นดอกไม้ขาวนวลครีมมี่หน่อยๆ ทำให้ช่วงนี้จะเป็นลูกผสมที่น่าสนใจมากระหว่างการเป็นโทนปร่าสดชื่นแกมแป้งซ้อนกัน และมีความลงตัวสมดุลย์ในการให้ความสบายๆ แกมปร่าอ่อนๆ ที่ยังคุมโทนให้ได้กลิ่นดอกส้มได้ดีอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน

ช่วงท้าย จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากโทนแป้งเป็นโทนไม้หอมแทน ซึ่งกลิ่นออกทางไม้ซีดาร์และน่าจะมีไม้หอมหรือสารหอมอื่นๆ ที่ให้ความอวลๆ ร่วมด้วย รวมถึงมีกลิ่นออกทางนวลๆ ปนขมอวลของถั่วตองก้าที่มีความครีมมี่กำลังดีให้รู้สึกได้ เนื้อกลิ่นจะมีความนุ่มนวลและมีโทนสะอาดเข้ามาจาก Musk ทำให้กลิ่นมีโทนสว่างนวลเป็นพื้นฐานของกลิ่น สร้างเลเยอร์การได้รับกลิ่นไล่เรียงจากความอวบไม้หอมติดปร่าๆ ที่น่าจะมาจากขิงในช่วงกลาง ซึ่งพอมาสอดรับกับไม้หอมเลยได้ Spicy Woody ที่กำลังพอเหมาะ ให้ความอวลๆ แบบสไตล์น้ำหอมแนว Modern ได้ชัดเจน

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะกลิ่นมีความกลางๆ ไม่ได้ไพล่ไปทิศทางเฉพาะเพศใด ซึ่งเข้ากับการใส่ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน เพราะเข้าทางการเป็น Daily Scent ขั้นสุดมาก ซึ่งได้หมดทั้งทางการและทั่วๆ ไปแบบครอบจักรวาลได้เลย ซึ่งกลิ่นไม่เหมือนใครด้วย แต่ถ้าเป็นยามค่ำคืนจะเข้ากับสถานการณ์ทั่วๆ ไปมากกว่า ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแต่อย่างใด

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. มีบวกลบบ้างขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใหญ่ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวก็เจอราวๆ 8 ชั่วโมง มีนานสุดที่เจอก็ 10 ชม. ไม่เกินนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ให้ความสดชื่นติดปร่าที่คมพอตัว แล้วจะลดลงมาปานกลางไปราวๆ 3 ชม. แล้วจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป จนเมื่อถึงประมาณชั่วโมงที่ 6 ก็เริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - เป็น Neroli ที่ไม่เหมือนใครดี เพราะไม่ได้มาในแนวแบบสไตล์ Neroli แบบสะอาดๆ กระจ่างใส แต่มาแบบปร่าๆ คมๆ มีความ Spicy ต่อด้วยความเป็นแป้งและไม้หอมอวลๆ ที่มีความน่าสนใจและไม่ได้ใช้งานยาก ส่วนตัวประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.eg/-/en/24-Fragrance-Elixir-Neroli-Toilette/dp/B096R2BMH7

 

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Review: Tocca - Emelia

Tocca - Emelia

เมื่อน้ำหอมต่างๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น Tocca จึงได้เปิดตัวน้ำหอมต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดร่วมอย่างหนึ่งนั่นคือ การตั้งชื่อกลิ่นจะอิงตามชื่อของผู้หญิงและคาแรคเตอร์ของผู้หญิงที่กำหนดขึ้นมาเป็น Story หลักในการสร้างสรรค์โทนกลิ่น ซึ่งเป็นข้อดีอย่างมากในการสร้างคาแรคเตอร์กลิ่นให้ผู้ใช้สามารถมาจับ Match กับตัวเอง และสื่อสารออกไปตามคาแรคเตอร์ที่ตนเองต้องการ

และ Emelia ก็เป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์กลิ่นอายสายลุยในสไตล์ Bohemian ที่ให้ความ Cool ก็ได้ เก๋ก็ดี เรียบง่ายก็เหมาะ แต่แน่นอนว่าอิงที่ความสดชื่นเป็นสำคัญ อารมณ์สาวติสต์ฮิปปี้สบายๆ อะไรประมาณนั้น เช่นนั้นกลิ่นจะสื่อคาแรคเตอร์ออกมาอย่างไร ต้องพิสูจน์

เปิดตัวมากับการเป็นกลิ่นของใบมะเดื่อฝรั่ง (Fig) ที่ให้ความเขียวขมทึบๆ มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ชัดเจนขึ้นมาเลย เพียงแต่ว่าเนื้อกลิ่นไม่ได้เอาความเขียวนำเด่นเพียงอย่างเดียว เพราะว่ามีความเป็นโทน Citrus ของส้มกึ่งผลไม้ที่มีความหวานอ่อนๆ ปร่าการบูรเล็กๆ ที่ให้ความสดชื่นรายล้อมอยู่ ทำให้กลิ่นจะมีแบบเขียวทึบที่มีความเปรี้ยวอมหวานสดชื่นและสว่างแบบมีความเป็นบรรยากาศที่ชัดๆ ในความรู้สึกให้รับรู้ เรียกว่าช่วงเปิดมาแบบน่าสนใจมากในการเป็นกลิ่นสาย Fig ที่มีความสดชื่นเป็นตัวแปรในการสร้างความรู้สึกรื่นรมย์ชัดเจน

การเข้าสู่ช่วงกลางเรียกว่ายกแกงค์มาจากช่วงต้นทั้งหมด เพียงแต่จะเพิ่มความเขียวด้วยกลิ่นหญ้าสดเข้าไป + มีกลิ่นของมาเตที่เอามาทำชาดื่มที่ให้ความเขียวนุ่มเข้ามาร่วมด้วย และไม่พอจะมีกลิ่นออกทางเขียวปร่ากึ่งนมๆ แกมหวานหอมของลูกมะเดื่อ (Fig) ที่ทำให้กลิ่นมีความครีมมี่อ่อนๆ เป็นศูนย์กลางของกลิ่นท่ามกลางความปร่าเขียวแกมเปรี้ยวอมหวานสดชื่น และที่สำคัญจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางดอกไม้แกมกุหลาบกึ่งแป่งฝุ่นอ่อนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งถือว่าให้มิติของการเป็นโทนเขียวและสภาพบรรยากาศได้กำลังดีเลยทีเดียว

เมื่อการเปลี่ยนแปลงของเนื้อกลิ่นเริ่มจะมีความเป็นโทนออกทางกึ่งเขียวผักกึ่ง Musk ที่เป็นลักษณะของโทน Musk ที่มาจากพืชอย่าง Ambrette เข้ามาทำให้กลิ่นยังคุมโทนความเขียวแต่มีความนุ่มอ่อนๆ อยู่มากขึ้น ก็จะนำไปสู่การเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่มีความเป็นลูกผสมในการเป็นโทนเขียวสดชื่นที่ยังมีกลิ่นหญ้าขึ้นมาแทนที่ Fig แต่ก็จะยังมีกลิ่นโทนครีมมี่มิลค์กี้ของ Fig อยู่ให้จับต้องได้เพราะลดทอนลงไปเป็นสายสนับสนุน และที่สำคัญมีกลิ่นน้ำมะพร้าวมาเป็นตัวหลักตีคู่กับโทนเขียวด้วย อารมณ์มาทำให้มีความสดชื่นแบบกลิ่นน้ำมะพร้าวที่มีความเปรี้ยวเขียวเนียนๆ อยู่ในนั้น โดยที่พื้นกลิ่นจะมีกลิ่นกึ่ง Musk กึ่งผัก และมีความเป็นโทนออกชอคโกแลตเนียนๆ รวมอยู่ด้วยหน่อยๆ สร้างออร่ากลิ่นสดชื่นมีเสน่ห์เล่นโทนระหว่างความเขียว ความเป็นน้ำมะพร้าว และความสดชื่นที่มีตั้งแต่ต้นยันจบได้อย่างพอเหมาะมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่จริงๆ Unisex อยู่พอสมควรที่ผู้ชายก็สามารถใช้งานได้อย่างไม่เคอะเขินและเผลอๆ หอมมากๆ อีกด้วย โดยเฉพาะคนที่ชอบโทนเขียวหญ้าและเขียว Fig เป็นทุนเดิมอาจจะฟินได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป กลางแจ้ง ชิลล์ๆ พักผ่อน หรือใส่ทำงาน Office เอาจริงๆ ก็ใส่กับงานทางการจัดๆ ได้ เพียงแต่อาจจะดูชิลล์ไปไม่เหมาะกับลุคก็เท่านั้นเอง ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายพลังร้อยแรงม้าปล่อยเสน่ห์จัดจ้านอบอวลขนาดนั้น ก็ Concept มาสายฮิปปี้สบายๆ นี่นา

ความทน - ลงตัวกับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ในการใช้งาน ถือว่าไม่ธรรมดา

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและค่อนข้างคงตัวยาวไปราว 2 ชม. ก่อนจะลงมาที่ปานกลางจนถึงชั่วโมงที่ 5 ก็ค่อยๆ ลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป แล้วเป็น Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม.  

สรุป - กลิ่นเขียวที่ลงตัวมีความสบายๆ ผ่อนคลาย ซึ่งจับเข้าทีมเดียวกับกลิ่นอายสาย Fig สดชื่นต่างๆ ได้ไม่ยาก เพียงแต่กลิ่นนี้จะเด่นที่อารมณ์กลิ่นเขียวหญ้าและมีความ Fruity ติดเปรี้ยวที่ชัดเจนกว่าซึ่งทำให้มีความแตกต่างในการใช้งานและอารมณ์ชิลล์ๆ เก๋ๆ ได้ดีมากเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.tocca.com/products/eau-de-parfum-bianca-100ml

 

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Perfume Made in Japan - ตะลุยความหอม ณ โตเกียว

 

สำหรับคนที่ใช้น้ำหอมไม่ว่าจะทั้งใช้โดยทั่วไป หรือว่าใช้เพื่ออาบ หรือสะสมกันอย่างหนำ แน่นอนว่าจะรู้จักน้ำหอมแบรนด์ที่มาจากญี่ปุ่นกันเป็นแน่แท้ โดยเฉพาะน้ำหอมฟากฝั่ง Designer Brands ที่เรียกว่าไม่เป็นสองรองใครในตลาดน้ำหอมโลกมาอย่างยาวนาน อาทิเช่น Shisedo, Issey Miyake, Kenzo, Annayake, Masaki Matsushima และ Yohji Yamamoto เป็นต้น

สำหรับกลุ่มสาย Designer Brands เหล่านี้โดยส่วนใหญ่ก็เรียกว่าติดลมบนกันไปแล้ว และเนื้อกลิ่นมีความเป็น International ที่ใส่ความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นเข้าไปให้มีความกลมกลืน ซึ่งหลายๆ แบรนด์นั้นก็มีแหล่งผลิตน้ำหอมที่อยู่ในแถบยุโรปหรือฝรั่งเศสกันเสียส่วนใหญ่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งคือนอกจากแบรนด์สาย Designer แบบนี้ แล้วกลุ่มแบรนด์น้ำหอมที่ Made in Japan อื่นๆ อาจจะทั้ง Designer Brands และ Niche Brand ล่ะ มีอะไรน่าสนใจบ้าง เช่นนั้น มาแจกแจงกันหน่อยว่าถ้าไปเยือนญี่ปุ่น โดยเน้นที่ "โตเกียว" มีอะไรที่คนชอบน้ำหอมควรไปตะลุยดมบ้าง

------------------------------------------

Parfum Satori 

ด้วยฝีมือระดับปรมาจารย์กับน้ำหอมสไตล์ญี่ปุ่นที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งในถ่ายทอดเนื้อกลิ่นที่บ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่นอย่างมีเสน่ห์ในสไตล์มินิมัลและวาบิซาบิ จนทำให้แบรนด์นี้ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche Perfume สายศิลปะที่ส่งตรงจากญี่ปุ่นสู่ระดับโลกที่ผู้ใช้น้ำหอมสาย Niche ต่างๆ ให้การยอมรับ นี่คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่ไม่ธรรมดาและควรค่าแก่การได้ลองและครอบครองซักกลิ่น

แนะนำให้ลอง: Satori, Hyouge, Sakura, Iris Homme และ Koke Shimizu

Place: บูติคของแบรนด์โดยตรงที่ “รปปงหงิ” ปัจจุบันอาจจะต้องติดต่อเพื่อจองในการเข้าไปเยี่ยมที่บูติคก่อน 

------------------------------------------

DI SER

ต้องบอกเลยว่าแบรนด์นี้คือการสร้างสรรค์น้ำหอมสาย Natural Perfume อย่างแท้จริง และใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิมที่จะดึงเอาความเป็นธรรมชาติของกลิ่นลงสู่ขวด (สกัดกลิ่นโดยตรงจากพืชหรือดอกไม้เองเลย) ซึ่งเพราะความเป็นธรรมชาติที่มีความวาบิซาบิในตัวสูงขนาดนี้ ทำให้แบรนด์นี้ได้รับการยอมรับอย่างมากในสายน้ำหอม Niche ระดับโลก และที่สำคัญเข้าเป็นหนึ่งใน Finalist รางวัล Art & Olfaction Awards มาแล้ว

แนะนำให้ลอง: Keman, Kaze Hikaru, Amedeku, Shiragoromo และ Akanesasu

Place: อยู่ "ฮอกไกโด" ก็ไปที่บูติคของแบรนด์ได้เลย คือ "Essentia" แต่ถ้าอยู่โตเกียวก็ไปที่ร้าน "Amritara House" ที่อยู่ใน "ชิบูยะ (ลงสถานีฮาราจูกุจะเดินใกล้กว่า)" 

------------------------------------------

Shiro Fragrances

มาจากฮอกไกโดเหมือน DI SER แต่เริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์ Skin Care ก่อนที่จะเริ่มทำน้ำหอมออกมา ซึ่งเป็นน้ำหอมที่ให้ความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นความทันสมัยเสียมาก โดยมีแบ่งออกเป็น Collection - Classic กับ Exclusive ซึ่งปัจจุบันแบรนด์นี้ไปไกลในระดับโลกเรียบร้อย เพราะตีตลาด UK และ US ได้ด้วย โดยมี Online Shop รองรับพร้อม

แนะนำให้ลอง: ฝั่ง Classic > Savon, White Lily และ Earl Grey ส่วนฝั่ง Exclusive > Smoked Leather, Freesia Mist และ Spice for Life

Place: โอ้โห เพียบเลยในโตเกียว ถ้ายึดชินจูกุเป็นหลักก็ห้าง NEWoMan (ตรงข้ามสถานีชินจูกุ) หรือห้าง Isetan และห้าง Lumine

------------------------------------------

J-Scent

อีกหนึ่งแบรนด์สาย Niche Perfume ที่ใช้ง่าย และนำเสนอกลิ่นอายร่วมสมัยในความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นได้หลากหลายและมีเสน่ห์ในตัวสูงมาก และได้รับความนิยมส่งไปยังผู้เล่นน้ำหอมต่างๆ ในทุกมุมโลก กับราคาที่น่าคบหาและเข้าถึงได้ง่าย ถือเป็นอีกแบรนด์ที่เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้เล่นน้ำหอมเมืองไทยอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

แนะนำให้ลอง: Roasted Green Tea, Ramune, Paper Soap, Sumo Wrestler และ Honey & Lemon

Place: ส่วนใหญ่จะกระจายตัวอยู่ตามร้านหนังสือ Tsutaya และ Hands หรือถ้าได้ไปตึก Shibuya Sky ข้างบนก็มีขาย ส่วนร้านที่ได้ไปเจอคือ Hands ที่ชินจูกุ และอีกที่คือตึก Tokyu Kabukicho Tower ที่ร้านขายของที่ระลึกชั้น 9

------------------------------------------

Liberta Perfume

เป็นแบรนด์ที่เกิดขึ้นมาไม่นานแต่ฝีไม้ลายมือนั้นไม่ธรรมดา และสร้างสรรคกลิ่นออกมาได้ครบเครื่องในการเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ที่สำคัญแบรนด์มี Cologne Concentree ที่สร้างสรรค์กลิ่นจากการ Upcycle โดยเอา Waste ที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมชาหรือสาเก มาสร้างสรรค์น้ำหอมที่ทำให้ได้กลิ่นอายชาและสาเกที่ยอดเยี่ยมและให้กลิ่นที่ธรรมชาติที่สุดมากๆ อีกด้วย 

แนะนำให้ลอง: สาย Cologne Concentree > Gin-Jo และ Cha-ba ส่วนสาย Liberation > Solterra, Fractus และ Nivalis

Place: แบรนด์มีสตูดิโออยู่ที่ "รปปงหงิ" แต่ต้องนัดก่อนทุกครั้งผ่าน IG หรือเว็บของแบรนด์ (เจ้าของแบรนด์พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก) หรือถ้าไม่อยากไปตัวต่อตัวขนาดนั้น อาจจะต้องติดตามดูผ่าน IG ของแบรนด์ว่ามี Pop-up Store ที่ไหนบ้างในเขตโตเกียวช่วงเวลานั้น แล้วก็บึ่งไปได้เลย 

------------------------------------------

AUX PARADIS

เป็นแบรนด์ Skin Care ที่ค่อนข้างมีความเก๋ เพราะนอกจากน้ำหอมกลิ่น Signature หลักจะอยู่ให้ซื้อหาได้เรื่อยๆ แล้ว ยังมีความพิเศษคือ บางกลิ่นจะซื้อหาได้เฉพาะฤดูกาลเท่านั้น (Limited Edition by Season) ซึ่งเป็นสายกลิ่นสบายๆ มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก มินิมัล และ Eco-Friendly ที่ขวดจะเป็นสีชาเรียบๆ 

แนะนำให้ลอง: Savon, Fleur, Homme, Fraise และ Grapefruit

Place: ส่วนใหญ่จะอยู่ในห้าง Lumine ในหลายๆ สาขาที่โตเกียว ไม่ว่าจะเป็นชินจูกุ, ยูราคูโช หรืออิเคะบุคุโระ

------------------------------------------

retaW

เป็นแบรนด์ Body Care ที่มีความเก๋ในตัวเองสูงมาก โดยเฉพาะ Shop ของร้านที่แบบว่า โห นึกว่าโซนเครื่องดื่มเก๋ๆ ซะอีก ซึ่งแบรนด์นี้จะมีน้ำหอมด้วยทั้ง Liquid และ Solid Perfume หรือน้ำหอมแห้ง ซึ่งกลิ่นจะสบายๆ เรียบง่าย และไม่เน้นรบกวนใคร แต่มีสไตล์เนียนๆ กำลังดี ส่วนถ้าเป็นพวกสเปรย์จะเป็น Fabric Spray ที่กลิ่นน่าสนใจติดเสื้อผ้าทนในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และแต่ละสาขาจะมีน้ำหอมเฉพาะสาขาด้วย

แนะนำให้ลอง: Allen, Everyn และ Burney

Place: บูติคที่ฮาราจูกุ หรือที่กินซ่า่ ที่น่าจะไปได้ไม่ยาก จริงๆ มีอีก 2 ที่ จะไม่เคยแว้บไปเลยขอข้าม 

------------------------------------------

OSAJI

เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่นพอสมควรกับการเป็น Skin Care และที่สำคัญมีน้ำหอมที่น่าสนใจอยู่เยอะเสียด้วยทั้ง EDT ที่เอาสีต่างๆ มาแทนความรู้สึกแล้วแปลงออกมาเป็นกลิ่นอายที่มีดอกไม้เป็นองค์ประกอบสำคัญและให้อารมณ์สไตล์ญี่ปุ่นใช้ง่ายเข้าถึงง่าย ส่วน EDP ก็จะเน้นความเป็นกุหลาบในรูปแบบต่างๆ ที่ให้อารมณ์ญี่ปุ่นลึกซึ้งและละเมียดได้ดีเลยทีเดียว

แนะนำให้ลอง: กับ EDP แต่ถ้าคนที่ชอบกุหลาบน่าจะชอบทุกกลิ่น แต่ฝั่ง EDT > Fuji, Suisen และ Kuromoji

Place: Shop ของ OSAJI เลยที่ชิบูยะ ใกล้กับสถานี Otome-Sando หรือฮาราจูกุก็ได้ แต่จุดอื่นก็จะมีห้าง Isetan และ Lumine ที่ชินจูกุ 

------------------------------------------

เรียบร้อยแล้วสำหรับการไปตะลุยซึมซับกลิ่นอายน้ำหอมที่ Made in Japan ณ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

แต่สิ่งหนึ่งต้องเข้าใจกันก่อนว่า "น้ำหอมที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นจะไม่ได้เป็นสายปล่อยพลังซูเปอร์ไซย่าหรือว่าเล่นใหญ่ไฟกระพริบ" ซึ่งถ้าคาดหวังว่าจะไปแล้วเจอกลิ่นหนักๆ ตูมๆ ปังๆ ทนจัดจ้าน บอกเลยว่าอาจจะผิดหวัง เพราะสไตล์ผู้คนบ้านเมืองเขาคือไม่เน้นรบกวนผู้อื่น เช่นนั้น คนที่ชอบน้ำหอมเบาๆ หรือสบายๆ มีความเป็นธรรมชาติ รวมถึงให้ความรู้สึกแบบว่าญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นนี่สิ บอกเลยโดยตกได้สบายมาก

Credit ภาพ: ทั้ง Logo และภาพน้ำหอมค้นหาจากเว็บไซต์ของแบรนด์หรือฐานข้อมูลน้ำหอม แล้วนำมาจัดวางรวมกัน


 

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Review: Parfums Dusita - Anamcara

Parfums Dusita - Anamcara

ในทุกๆ ครั้งที่มีโอกาสได้ลองน้ำหอมของ Parfums Dusita สิ่งแรกที่จะปิ๊งแว้บเข้ามาในใจเสมอนั่นก็คือ “กลิ่นสวย” อารมณ์เหมือนความประทับใจแรกพบที่เวลาเราเจอคนหน้าตาหล่อสวยมากๆ แล้ววางตัวดีมีระดับแบบที่เราเองก็เข้าถึงเขาได้ไม่ยากอะไรประมาณนั้น ซึ่งไม่ว่ากลิ่นที่คิดว่าใช้ยากมากที่สุดอย่าง Oudh Infini ก็ยังมีรากฐานกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสวยงามและลุ่มลึกให้จับต้องได้อยู่เสมอ

และในปี 2021 ที่แบรนด์ได้ปล่อยน้ำหอมกลิ่นใหม่อย่าง Anamcara ที่ชื่อกลิ่นมาจากการโหวตของสมาชิกกลุ่มน้ำหอมอย่าง Eau my Soul ที่มี Concept ในการสร้างสรรค์จากคำว่า “Soul Friend” หรือเพื่อนแท้ ที่แม้อาจจะรู้จักกันมาไม่นาน แต่มีความเข้าใจและปรารถนาดีต่อกัน และคราวนี้กลิ่นจะมาในความสวยรูปแบบไหนว่ากันได้ตามนี้

สิ่งแรกที่รู้สึกได้ก่อนเลยคือความเป็นโทน Citrus ที่ให้ความเปรี้ยวติดหวานแต่ไม่ได้ถึงกับฉ่ำมากของส้มสีเลือดที่วูบขึ้นมา แต่จะมีความเป็นโทนเปรี้ยวอมหวานนวลๆ ของดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) เสริมเข้ามาและเชื่อมต่อไปกับโทนผลไม้อย่างพีชที่จะให้ความหวานนวลหอม ทำให้ได้ความเป็นโทน Fruity กึ่ง Citrus ที่เสริมด้วยดอกไม้ขาวกำลังดีให้ความสวยแบบสดใสแต่ไม่ได้ออกแนว Bubble Gum เพราะทีเด็ดที่สำคัญมากนั่นคือ โทน Smoky ที่ออกทางติดควันๆ คล้ายควันบุหรี่กึ่งควันเผาใบชาที่แทรกตัวเข้ามาเร็วมาก ทำให้ช่วงต้นมีความซับซ้อนแบบ Fruity Citrus Smoky ที่เกินคาดกับการ Twist ทางกลิ่นที่ให้อารมณ์เท่ห์ๆ แกมสว่างสวยๆ ในเนื้อกลิ่นได้ลงตัวและสมดุลย์มาก

การเข้าสู่ช่วงกลางยิ่งมีความชัดเจนมากกับการเป็นโทน Fruity Aromatic Smoky โดยจะยืนพื้นที่การเป็น Fruity Tea หรือชาพีชที่มีความสดชื่นของกลิ่นส้มเจืออยู่ประปราย แต่ความเป็นโทน Smoky คล้ายควันบุหรี่กึ่งควันใบชาดำจะตีคู่ไปกันแบบเท่าเทียม แต่ในมิติของกลิ่นจะไม่ได้มีแค่นี้ เพราะจะมีลูกผสมที่ให้ความอวลหน่อยๆ รองพื้นอยู่จากการเป็นลูกครึ่งระหว่างวานิลลาแกมครีมมี่ติดเขียวนิดๆ ของดอกไม้ขาวที่จะเด่นกับการเป็นซ่อนกลิ่น ที่มีปลายกลิ่นนวลแบบมะลิที่แอบมีลูกโทน Indolic เย้ามีเสน่ห์เล็กๆ แฝง และใสแบบกุหลาบเบาๆ ทำให้มิติกลิ่นช่วงนี้จะไล่เรียงจากความเป็นชาพีชที่มีความ Smoky ซ้อนด้วยการเป็นดอกไม้ขาวนวลครีมมี่ติดเขียวบางๆ และมีความนวลวานิลลา เรียกว่าเป็นช่วงกลิ่นที่ปล่อยของเลยก็ว่าได้ เพราะมีทุกโทนให้สนุกในการจับกลิ่นมากๆ และมีเสน่ห์ในตัวเองสูงในความแตกต่าง ซึ่งต้องยกให้โทน Smoky เลยที่แต่งเติมให้กลิ่นนี้มีความน่าค้นหา โดยยังคงความสวยของกลิ่นต่างๆ ได้อยู่ครบถ้วน

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มผันตัวเองเป็นโทน Woody มากขึ้น ซึ่งจะมีมิติที่น่าสนใจมากคือความครีมมี่ที่มาแบบพอเหมาะกำลังดีของไม่จันทน์หอม แกมความโปร่งติดปร่าขรึมหน่อยๆ ของซีดาร์ และมีความ Earthy ลูกผสมที่มาจากกลิ่นออกทางหญ้าแห้งแกมดินนิดๆ ของหญ้าแฝก และที่สำคัญความปร่าระเรื่อหวานแกมดินอ่อนๆ จากพิมเสนที่ให้ความปร่ารื่นจมูกมากเวลากลิ่นตีขึ้น ซึ่งโทน Smoky จะเหลือเพียงประปราย แต่ยังมีกลิ่นออกทางผลไม้ที่ค่อนไปทางไซรัปพีชกึ่งแอปริคอตฉาบหน้าดอกไม้ขาวที่มีความ Indolic หน่อยๆ แฝง สร้างโทน Animalic เนียนๆ อย่างมีเสน่ห์ในเนื้อกลิ่น ทำให้กลิ่นจะให้ความรื่นรมย์ที่หลากมิติในการใช้งานไม่ว่าจะได้ทั้งความเป็นไม้หอมครีมมี่อ่อนๆ แกมปร่า ติดกลิ่นพีชที่หวานลึกๆ แกมดอกไม้ขาวตุ่นอ่อนๆ โดยทั้งหมดจะมีความปร่าระเรื่อหวานเย้าของพิมเสนแทรกอย่างมีชั้นเชิงอยู่ตลอด เป็นการปิดท้ายกันยาวๆ ได้อย่างสมดุลย์ รื่นรมย์ และลงตัว 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน แม้ว่าจะมีกลิ่นโทนออกหวาน แต่เพราะความ Smoky นี่แหละที่มาทำให้กลิ่นเป็นโทนที่เข้าได้กับทุกเพศอย่างไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใด ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่จะมีแค่การใส่ออกกำลังกายที่ไม่ได้ Match เท่าไหร่ แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่ออกงานหรือท่องกลางคืนแบบหรูๆ ก็ลงตัว แต่ถ้าต้องการใส่ไปประชันเสน่ห์เย้ายวนเกินห้ามใจกับสายอัดแน่นอวลจัดจ้าน อันนี้แนะนำให้ข้ามไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้มาสายทรงพลังมากขนาดนั้น เน้นมีระดับและมีเสน่ห์แบบวางตัวดีเสียมากกว่า

ความทน - อันนี้ต้องยอมให้ความจัดจ้านเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่เจอในการใช้งานคือ 15 ชม. ไม่พออาบน้ำล้างตัวแล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่เลย ซึ่งเท่าที่ทราบความเข้มข้นของน้ำหอมค่อนข้างสูงราว 29% เลยทีเดียว เรื่องนี้เลยถือว่าหายห่วง

การกระจาย - ต้องเรียกว่าเป็นความเสถียรที่ดีมากในการกระจายดีตั้งแต่ต้นยันช่วงกลางซึ่งตีไปราวๆ 4 ชม. ได้เลยที่สัมผัสได้ว่าคงที่สม่ำเสมอ ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 6 - 7 ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงประมาณชั่วโมงที่ 12 ก็จะค่อยๆ ลดลงมาเป็น Skin Scent

สรุป - สัมผัสได้อย่างคือการเอาสิ่งละอันพันละน้อยที่เป็นข้อดีของกลิ่นก่อนหน้าที่ออกมาวางจำหน่ายมาประกบเข้าด้วยกัน ทั้งความหวานในลักษณะที่คล้าย Moonlight in Chiang Mai เอาความเป็นดอกไม้ขาวรื่นจมูกสวยๆ แกมเขียวมีโทน Animalic เนียนๆ ของ Melodies de L’Amour เป็นต้น มาเจอกันแล้วพัฒนาต่อเป็น Anamcara ที่มีลูกเล่นที่แตกต่าง และต้องยอมรับในความยอดเยี่ยมที่เอาโทน Smoky มาสร้างความแตกต่างได้อย่างมีเสน่ห์มากจนเกินความคาดหวังไปมาก จนต้องยอมรับเลยว่าไม่ธรรมดา มีเสน่ห์ มีระดับ และที่สำคัญ “กลิ่นสวย” จริงๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumsdusita.com/anamcara-campaign



 

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Review: Nemat Perfumes - Lotus (Oil Perfume)

Nemat Perfumes - Lotus (Oil Perfume)

จากจุดเริ่มต้นของการทำเครื่องหอมและน้ำมันหอมจากดอกกุหลาบ ที่มาจากการทำสวนกุหลาบในประเทศอินเดีย สู่การต่อยอดมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันที่คลุกคลีกับวงการความหอมกันมาอย่างยาวนาน และเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในตลาดความหอมของอินเดียมาอย่างยาวนาน และเป็นหนึ่งใน Supplier ที่จัดส่ง Product ทั้ง Attar (Oil) และสารหอม + น้ำหอมต่างๆ ไปยังฝั่งตะวันออกกลางเสียด้วย จนปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจน้ำหอมอย่างชัดเจนในระดับโลกแล้วกับการเป็น Nemat International ที่จัดจำหน่ายน้ำหอมแบรนด์ Nemat ไปทั่วโลกโดย Set up ธุรกิจที่ USA เรียบร้อย

และแบรนด์นี้ก็กลายเป็นที่กล่าวขานขึ้นมาในกลุ่ม Community ของน้ำหอมต่างๆ ขึ้นมาทันที เพราะแต่ละกลิ่นมีความไม่ธรรมดาไม่ว่าจะทั้งฝั่ง Oil Perfume ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่อยู่ที่อินเดียแล้ว และฝั่ง Eau de Parfum ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ เพราะเนื้อกลิ่นมีความน่าสนใจในลักษณะกลิ่นที่อาจจะไม่ได้หวือหวาหรือ Unique จ๋า แต่มีคุณภาพในเนื้อกลิ่นแบบที่สร้างความประทับใจในสไตล์ Niche Brand ได้สูงมาก เช่นนั้น เมื่อได้มีโอกาสมาเจอกับแบรนด์นี้ ก็ขอสัมผัสกับสิ่งที่คิดว่าน่าจะท้าทายที่สุดกับการเอากลิ่นอายโทน Floral Aquatic มาสร้างสรรค์เป็น Oil Perfume ซักหน่อย ซึ่งกลิ่นนั้นนั่นก็คือ Lotus

ช่วงเปิด - เนื้อกลิ่นจะมีน้ำหนักพอสมควรตามประสาการเป็น Oil Perfume เนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นโทนดอกไม้ที่หวานและมีความใสก็จริง แต่ก็มาแบบสไตล์แนวน้ำมันที่กลิ่นเข้มชัดเสียมากกว่า ซึ่งถ้าคาดหวังความใสๆ หอมเบาๆ สบายๆ แบบกลิ่นดอกไม้หวานอ่อนๆ สดชื่นสไตล์น้ำหอมแอลกอฮอล์บอกเลยว่าไม่มี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเป็นมีโทนออกทางดอกบัวให้จับต้องได้เพราะมีกลิ่นหวานใสให้รู้สึกได้อยู่ เพียงแต่ว่าจะมีความเป็นดอกไม้รวมๆ เพราะว่าจะจับต้องได้ทั้งความเป็นโทนดอกไม้ขาวอย่างมะลิ และโทนดอกไม้สีชมพูแนวๆ โบตั๋นและมีความเป็นกุหลาบเบาๆ อารมณ์ช่อดอกไม้ที่ออกทางสีขาวแกมชมพูที่ให้ความหอมหวานนวล ผนวกกับกลิ่นออกทางผลไม้หวานใส ซึ่งเดาว่าลูกแพร์กับโทน Citrus Oil หน่อยๆ ที่เป็นเสมือนแกนหลักเสียมากกว่า 

ช่วง Dry Down - การเปลี่ยนถ่ายระหว่างการเป็นช่วงต้นมาเป็นช่วงท้ายจะมีลักษณะที่เป็นดอกบัวชัดเจนมากขึ้น เพราะว่า เนื้อกลิ่นหนักๆ แบบ Oil จะลดลงไปเหลือเพียงกลิ่นหวานใสอ่อนๆ ที่ให้ความเป็นดอกบัวเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่ามีความเป็นดอกไม้รวมๆ คลออยู่ตามปกติ เพียงแต่เบาลงไปมาก แต่สิ่งที่เข้ามาเสริมเต็มตัวมากขึ้นและเป็นฐานกลิ่นที่จะอยู่ยืนยาวไปจนกว่าจะสิ้นสุดหายไปจากผิวนั่นก็คือ White Musk ซึ่งจะให้ความหอมนุ่มนวลๆ เสริมกับโทนดอกไม้ได้ดีมาก ซึ่งเมื่อกลิ่นผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัวก็จะเป็น Floral Musk ที่โปร่งๆ กำลังดี มีกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ หน่อยๆ เสริมให้กลิ่นยังมีมิติให้ครบถ้วยซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นจันทน์หอมอ่อนๆ ทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นโทนมินิมัลที่เรียกว่ายังไงก็รอดในการเป็นกลิ่นดอกไม้หวานโปร่งๆ แกมนวลกึ่งนุ่มหอมระเรื่อๆ ได้ลงตัวและยาวนาน

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงถึง 80% เลยก็ว่าได้ เพราะช่วงต้นกลิ่นดอกไม้มาเต็มจริงๆ จนเรียกว่า Feminine เต็มขั้นก็ไปแปลก แต่เมื่อเข้าช่วง Dry Down ถึงเป็น Unisex มากขึ้นแตะที่กลางๆ ไม่ฝักใฝ่เพศใดได้กำลังดี ซึ่งเข้ากับหลายๆท สถานการณ์ยามกลางวัน (แบบไม่หนักหน่วงในการแต้มมากเกินไป) ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ไม่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายเท่าไหร่ ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ กลิ่นจางลงไปพอสมควรแล้วจะลุยออกเหงื่อก็ไม่เสียหาย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปจะดีที่สุด 

ความทน - อันนี้ต้องยกให้เลย เพราะความเป็น Oil Perfume เลยแกะผิวหนับมากๆ ทำให้ความทนยาวนานจริงๆ ถึง 15 ชม. แถมเมื่ออาบน้ำแล้วกลิ่นยังเกาะผิวระเรื่ออ่อนๆ อยู่ตลอดเสียด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะดรอปลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวที่มีน้ำหนักในเนื้อกลิ่นอยู่ราวๆ 2 ชม. ถึงจะผ่อนความหนาของกลิ่นลงไปเรื่อยๆ โดยยังคุมโทนการกระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวอยู่ จนเมื่อผ่านไป 10 ชม. แล้วถึงค่อยๆ ลงมาติดผิว

สรุป - อาจจะไม่ใช่ Lotus หรือดอกบัวจ๋าๆ แบบสื่อชัดเจนตั้งแต่ต้น ซึ่งค่อนไปทางดอกไม้รวมเสียมากกว่า แต่ก็ยังมีให้รู้สึกได้อยู่ตลอด จึงไม่น่าเขินที่จะให้ชื่อว่า Lotus แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยกให้เลยคือความมินิมัลในเนื้อกลิ่นที่ไม่ซับซ้อน แต่ให้ความหอมแกมหวานระเรื่อได้อย่างต่อเนื่องและเรียบหรู นี่สิที่ถือว่าทำได้ดีมากๆ และเป็นอีกหนึ่ง #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ที่ใช้ง่ายและเสริมเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายาม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://nematperfumes.com/products/lotus

 

วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Review: Goutal - Bois d’Hadrien

Goutal - Bois d’Hadrien

เมื่อ Annick Goutal ได้มีการ Re-Branding ใหม่ เปลี่ยนชื่อแบรนด์มาเป็น Goutal เพียงอย่างเดียวพร้อมเปลี่ยนรูปลักษณ์ขวดแบบเดิมๆ เป็น Luxury มากขึ้น โดยที่กลิ่นต่างๆ ก็ยังคงเดิม แถมหลายๆ กลิ่นที่เหมือนจะเริ่มเลิกผลิตก็ได้กลับมาประจำการเช่นเดิมด้วยเช่นกัน

แต่รอบนี้จะไม่ได้พูดถึงกลิ่นเดิม แต่จะมาว่ากันในกลิ่นที่เกิดขึ้นหลังมีการ Re-Branding ใหม่แทน ซึ่งนั่นก็คือ Bois d’Hadrien ที่จะเป็นการต่อยอดจากน้ำหอมชายที่เหนือกาลเวลาของแบรนด์อย่าง Eau d’Hadrien มาสู่การเป็นโทนสดชื่นในรูปแบบใหม่กับการจับคู่ระหว่างกลิ่นอายสายไม้สนต่างๆ กับโทน Citrus เช่นนั้น ขอพิสูจน์กันหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหน

Bois d’Hadrien เปิดตัวได้สดชื่นกับการเป็นกลิ่นมะนาวที่ติดเขียวเคล้ากับกลิ่นสนไพน์ที่ให้ความเขียวแกมออกทางยางไม้สนที่มีเขียวปร่าอะโรม่า + กับกลิ่นออกทางเขียวชะอุ่มหน่อยๆ ของใบสนของแนวสนคริสต์มาส เสริมด้วยกลิ่นออกทางอากาศเย็นๆ มีประปรายอยู่ในเนื้อกลิ่น ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ทำให้เราเหมือนไปอยู่ในป่าสนท่ามกลางอากาศเย็นๆ ได้ทั้งความสดชื่นแกมเขียวของกลิ่นชะอุ่มๆ ได้แล้ว เพียงแต่สิ่งที่เด่นจริงๆ ต้องยกให้มะนาวที่ให้ความเปรี้ยววูบสดชื่นได้ดีและเข้ากับกลิ่นสนได้อย่างน่าสนใจมาก ที่สำคัญทำให้รู้สึกได้เลยว่านี่จะเป็นกลิ่น Citrus Woody ที่สบายๆ เรียบหรูแน่นอน แต่

เมื่อเนื้อกลิ่นช่วงกลางเสริมขึ้นมา เนื้อกลิ่นลดบทบาทความเป็นมะนาวออกเป็นเหลือเพียงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ให้ความสดชื่นอยู่ แต่จะดันความเป็นกลิ่นสนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสนไพน์ที่ให้ความเป็นกลิ่นแนวยางสนที่ปร่าแกมติดหวานอะโรม่า ผสานกับสน Fir ที่ให้ความเป็นไม้สนกลิ่นปร่าระเรื่อกึ่งการบูรหน่อยๆ และมีกลิ่นของสนไซเปรสที่ให้ความเป็นกลิ่นไม้สนแห้งๆ แกมเขียวชะอุ่มมาเป็นตัวเด่นในการเดินกลิ่น เสริมด้วยความเขียวเจือหวานของใบไอวี่หรือตำลึงฝรั่งอยู่ประปราย แต่ที่ต้องกล่าวถึงให้ได้ คือกลิ่นโทนเครื่องเทศที่ทำให้เนื้อกลิ่นในช่วงนี้เปลี่ยนจากสดชื่นสบายๆ ในช่วงต้น มาเป็นกลิ่นที่มีน้ำหนักให้จับต้องและมีความเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งเท่าที่สัมผัสได้เลยคือกลิ่นเปลือกอบเชยที่ให้ความหวานเย้าและกลิ่นของพริกไทยที่ให้กลิ่นมีความเผ็ดนวลแฝง ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาขึ้นจากช่วงต้นมาเยอะกว่าที่คิด แต่ก็ให้ความเป็นกลิ่นอายแบบป่าสนในบรรยากาศช่วงกลางวันที่มีไอแดดแกมสดชื่นได้ชัดเจนมากเช่นกัน เรียกว่าจัดเต็มความเป็นสนจริงๆ

เมื่อไอความเย็นๆ และความเป็นมะนาวหายไปหมดแล้ว และเนื้อกลิ่นก็แห้งขึ้นตามลำดับ ก็จะเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวที่ตอนนี้จะเป็นโทนไม้สนแห้งๆ ที่มีความเขียวปร่าประปรายแกมกลิ่นติดเค็มๆ นิดๆ อารมณ์แบบป่าสนติดทะเลในระดับหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ความเป็นสนไซเปรสจะเด่นชัดที่สุดเคล้ากับกลิ่นแนวไม้แห้งๆ ที่ไม่ได้สว่างไปหรือดาร์กไปที่จะเป็นตัวเมนกันยาวๆ แบบไม่ได้ซับซ้อน แต่มีความเข้มข้นและชัดเจนในความหนาของกลิ่นที่มีพลังอยู่พอตัว แต่ไม่ได้หนักหน่วงมาก ซึ่งมาจากกลิ่นเครื่องเทศที่ยังตามมาในช่วงนี้ ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นไม้สนแห้งๆ ที่มีความปร่าติดเค็มๆ ประปรายคลอผิวที่มีความแปร่งเครื่องเทศแบบติดดิบหน่อยๆ สร้างออร่าแบบธรรมชาติที่ควรจะเป็นแบบไม่ต้องดูประดิษฐ์หรือพยายามทำให้สวยทางกลิ่น ถือเป็นการปิดท้ายกลิ่นได้คุมโทนการเป็น Bois หรือ Wood ได้ครบถ้วน

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น เพียงแต่อย่างน้อยพื้นฐานต้องชอบกลิ่นโทนไม้สนอยู่เป็นทุนเดิมจะอินกับกลิ่นนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่น่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบที่มาสายกลิ่นสนที่มีความเป็นไม้หอมแบบที่อาจจะไม่ได้ถึงกับ Nice แต่มีความห่ามกำลังดีแทน ส่วนยามค่ำคืนใส่แบบทั่วไปหรือออกงานได้สบายมาก

ความทน - กลิ่นทนแตะที่ 8 ชม. ได้สบายๆ และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวก็เจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และค่อนข้างคงตัวการกระจายดีกันไปยาวๆ จนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 3 จึงลดลงมาเป็นปานกลางแล้วคงที่ต่อเนื่องไปถึงชั่วโมงที่ 6 ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ แล้ว Skin Scent ชัดเจนหลัง 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - บางคนอาจจะรู้สึกคุณหลอกดาวกับกลิ่นนี้ เพราะเปิดมากลิ่นสดชื่นหอม Nice มากกับการเล่นโทนกลิ่นมะนาวกับกลิ่นสนต่างๆ แต่พอเปลี่ยนช่วงที่เหลือคือความเป็นป่าสนที่มาทั้งความชัดเจนและความห่ามที่ควรจะเป็น ซึ่งเรียกว่าให้ปูมาให้เรียนรู้กลิ่นชัดๆ กับการเป็นกลิ่นสนหอมต่างๆ ที่ขมวดมารวมกันเหมือนท่องป่าสนที่มีความห่ามๆ ไล่โทนจากเช้าสู่ยามแดดอบอุ่น ถือเป็นอีกมุมหนึ่งของกลิ่นโทนสนที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://hk.goutalparis.com/product/bois-d-hadrien-eau-de-perfum-1

 

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Review: M. Micallef - Note Vanillee

M. Micallef - Note Vanillee

ส่วนใหญ่เวลาที่เราเจอ Note วานิลลาในน้ำหอม มักจะมาแบบขนม ครีมข้น แน่น หวาน อบอุ่น หรือผ่อนคลาย ซึ่งก็แล้วแต่การตีความในการสร้างสรรค์กลิ่นในแต่ละแบรนด์ แต่ถ้าเอาความเป็นโทนวานิลลามานำเสนอแบบกลิ่นอายสายยั่วและโปรยเสน่ห์ โดยที่ไม่ได้พยายามทำให้เป็นกลิ่นขนมหวานแน่นๆ ล่ะ เรียกว่ามีบ้างแต่ก็ไม่ได้มากเท่ากับการที่ส่วนใหญ่มักตีความเรื่องเซ็กซี่ของวานิลลาผ่านกลิ่นแนวขนม

และแบรนด์ M. Micallef ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เอาวานิลลามานำเสนอในการเป็นโทนเย้ายวนโดยไม่อิงขนบความเป็นขนม มาสร้างสรรค์ให้เป็นกลิ่นอายสาย Girl Gone Bad ที่เซ็กซี่แบบตรงไปตรงมา โดยที่ยังคุมโทนความมีระดับและเป็นตัวแม่ได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือกลิ่น Note Vanillee

การเปิดตัวของกลิ่นจะจับต้องได้ตั้งแต่เริ่มต้นเลยนั่นคือ วานิลลาจะเป็นศูนย์กลางของกลิ่นที่แทบไม่ต้องเดาเลยว่าอยู่กันยาวๆ ตั้งแต่ต้นยันจบ ตามด้วยกลิ่นแนวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างรัมและคอนยัคที่จะเป็นสายสนับสนุนตลอดด้วยเช่นกัน โดยที่ให้ความหวานเย้ามีความลึกค่อนทางไซรัปแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากการเอาความ Juicy หรือฉ่ำๆ หวานอมเปรี้ยวของส้มจีนที่มีความปร่าหน่อยๆ แกมเปรี้ยวของสาย Citrus ต่างๆ คิดว่าน่าจะมีมะกรูดฝรั่งรวมอยู่ด้วยในนี้เพราะมีความปร่าติดขมเนียนๆ ให้รู้สึกได้ มาเจอกับโทนวานิลลากึ่งเหล้ารัมที่ให้ความหวานเย้า + คอนยัคที่ให้ความเป็นกึ่งไม้โอ๊คปร่าๆ ทำให้เปิดตัวแบบเชื้อเชิญกันตั้งแต่เริ่ม อารมณ์เซ็กซี่กระแทกใจยั่วเย้าเร้าอารมณ์ที่มีความนิ่งวางตัว ไม่ได้ออกแนว “มาค่ะ มาเสยกันให้จบ” ให้นึกภาพได้เลยเหมือนเห็นผู้หญิงนอนเซ็กซี่ในชุดวับๆ แวมๆ หรือชุดนอนพลิ้วๆ แล้วมองมาที่คนดูพลางยิ้มมุมปากแบบไม่ทันตั้งตัวและสตันไปเลย ประมาณนั้น

เมื่อโทน Citrus ต่างๆ ลดลงไป เปิดทางให้กลิ่นดอกไม้เสริมเข้ามาผสมผสานกับโทนวานิลลาแอนด์เดอะแกงค์เหล้า เนื้อกลิ่นเริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นโทนแป้งมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งจะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นแป้งหอมดอกไม้ที่มีมะลิเป็นแกนนำ กับกลิ่นโทนวานิลลาที่ผันตัวเองเป็นแป้งด้วยโดยยังมีความหวานอบอุ่นอยู่ ซึ่งกลิ่นแกงค์เหล้ารัมแอนด์คอนยัค จะเบาลงไปเนียนอยู่กับโทนแป้งที่ให้ความเย้าเรื่อๆ เซ็กซี่สไตล์หวานกึ่งเย้ากลิ่นเหล้าหน่อยๆ ชวนชิมสไตล์คลุกวงใน ซึ่งช่วงนี้จะเรียกได้ว่าเป็นโทนเย้าเซ็กซี่แบบไม่ต้องเยอะสิ่งชัดเจน ให้ความเป็นแป้งที่นวลอวลชวนซุก โดยมีความหวานเย้าแกมปร่าที่พอเหมาะพอเจาะมาก ซึ่งกลิ่นมาสไตล์หรูหราก็ได้ และมีความเป็นสไตล์ทรงเสน่ห์แบบนางพญาก็ชัดเจนด้วยเช่นกัน

เมื่อกลิ่นโทนแป้งเริ่มผ่อนตัวลง และเริ่มมีความอบอุ่นเสริมเข้ามาแบบกำลังดี ในลักษณะที่ไม่หนักเกินไป อารมณ์มีความอวลๆ มากกว่าที่จะฟุ้งพุ่งกระจาย ให้ลักษณะกลิ่นแบบลูกผสมระหว่างวานิลลากึ่งแอมเบอร์ที่จะมีความหนักในเนื้อกลิ่นมากขึ้นและมีกลิ่นค่อนไปทางยางไม้ที่มีความหวานแกม Smoky เนียนๆ รวมถึงมีกลิ่นออกทางโปร่งหวานคล้ายยาสูบหน่อยๆ และมีความครีมมี่อ่อนๆ จากไม้จันทน์หอมที่สร้างให้เนื้อกลิ่นมีความนวลๆ ค่อนไปทางไม้หอมมากขึ้นและยังเชื่อมโยงไปกับโทนแป้งกึ่งปร่าคอนยัคแกมกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ที่ตามจากช่วงกลางด้วย ทำให้ช่วงท้ายออกจะเป็นกลิ่นที่น่ากินน่าซุกมากขึ้นและมีความเย้ายวนชัดเจนโดยที่ยังคงเป็นลักษณะคลุกวงในอยู่เช่นเดิม ปิดท้ายลักษณะเนื้อกลิ่นที่ให้ความเซ็กซี่ เย้ายวน และมีความเป็นตัวแม่งามเมืองที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป แต่ถ้าเป็นน้องๆ มหาลัยใช้งานก็ได้อยู่แต่กลิ่นจะออกแนวทรงเสน่ห์เย้ายวนมากหน่อย ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่ว่าจะทั่วไป ใส่ทำงาน Office หรือว่าใส่ออกงาน แต่ถ้างานทางการจัดๆ หรือออกกำลัง แนะนำให้ข้ามไปจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนเหมาะมากกับการใส่ไปท่องราตรีแบบมีระดับ เน้นแบบจิบหรูๆ เพราะกลิ่นมีโทนที่ปล่อย Sex Appeal อวลออกมาสูงมากก็จริง แต่ไม่ได้แผ่ไพศาลรอบทิศขนาดนั้น ถ้าเจอโทนหวานเยิ้มแวลแน่นจัดจ้านมากๆ ก็สู้ยากอยู่ไม่น้อย หรือถ้าจะใส่แบบโรแมนติคก็ได้ มีแนวโน้มเกิดการคลอเคลียได้สูงแบบไม่ต้องพยายามอะไรมาก นอกจากนี้กลิ่นนี้มีโทนที่ Unisex อยู่เกือบครึ่งๆ ได้เลย เช่นนั้นผู้ชายก็ใส่ได้ เพียงแต่ความเย้ายวนจะไม่ได้ชัดเท่าผู้หญิงก็เท่านั้นเอง แต่ได้ความอบอุ่นแกมหวานเย้าๆ มีเสน่ห์มาแทนที่แนวๆ นั้น

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 1 - 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. อยู่เสมอในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าอารมณ์เหมือนมาปะทะแรกพบที่มาเต็มก่อนเลย แต่ไม่เกิน 5 นาที กลิ่นจะเริ่มลงมาที่กระจายดี ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับโทนมาเป็นกระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ราวๆ 3 ชม. ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 ก็ค่อยๆ ลงมาเป็น Skin Scent  

สรุป - กลิ่นยั่วยวนแบบมีชั้นเชิงมาก อารมณ์เหมือนเราเห็นสาวบอนด์ฝั่งร้ายที่มาแบบเซ็กซี่มาเลย อารมณ์ Sophie Marceau ประมาณนั้น เพราะกลิ่นไม่ได้แค่เซ็กซี่ยั่วยวน แต่มีความเป็นนางพญาสวยร้ายที่มีชั้นเชิงแบบไม่โจ่งแจ้งร่วมด้วยประมาณนั้น ถือว่าเป็นการสื่อสารความเป็น Girl Gone Bad ออกมาด้วยโทนวานิลลาได้อย่างลงตัวและไม่ธรรมดา

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumsmicallef.com/fr/jewel-collection/156-note-vanillee-3760231011950.html

 

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Review: Parfum Fuji

Parfum Fuji

Fuji-san หรือภูเขาไฟฟูจิ หนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นที่ตั้งตระหง่านอย่างเข้มแข็งและสวยงาม ซึ่งไม่ว่าจะมุมไหนก็มีความสวยงามอย่างมากในการได้สัมผัสไม่ว่าจะทั้งเห็นภาพถ่ายหรือดีที่สุดนั่นก็คือ การได้เห็นในสถานที่จริง และได้สัมผัสบรรยากาศต่างๆ ในทุกๆ สัมผัสของเรา ณ จุดนั้น และหนึ่งในสัมผัสที่มากกว่าการมองเห็นอย่างกลิ่น ที่เคยแอบคาดหวังอยู่ไม่น้อยว่าถ้ามีน้ำหอมที่ถอดเอากลิ่นบรรยากาศของความเป็น Fuji-san ออกมาได้ จะดีใจมากและคงไม่พลาดที่จะหามาครอบครองให้ได้

และเมื่อได้พบ Parfum Fuji กับการได้ไปเยือนที่ญี่ปุ่น พร้อมกับการดูข้อมูลน้ำหอมที่บอกเล่าการถอดเอากลิ่นอายความเป็นบรรยากาศรายรอบไม่ว่าจะเป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติ อากาศที่เยือกเย็น กลิ่นอายป่าต่างๆ ที่รายล้อมรอบ Fuji-san โดยการไล่เรียงโทนกลิ่นจากยอดเขาไล่เรียงลงมาสู่เชิงเขา ที่จะทำให้เราเสมือนเป็นภาพพีระมิดของกลิ่นเสมือนเป็นภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งแน่นอนจัดไปอย่าได้เสียโอกาส เพราะถ้าเนื้อกลิ่นทำออกมาได้ยอดเยี่ยมจริงๆ นั่นคือ ความทรงจำที่เราเคยสัมผัสไม่ว่าจะผ่านประสาทสัมผัสส่วนใดก็ตามจะกลับมาสร้างความประทับใจเสมอแน่นอน และผลที่ได้จากการใช้งานคือ 

เนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก และให้โทนกลิ่นที่ไล่เรียวตามสเต็ปการมองภูเขาไฟฟูจิได้อย่างครบถ้วนจริงๆ โดยเริ่มจากยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมซึ่งจะให้กลิ่นอายเย็นๆ ในโทนสว่างขาววูบมาก่อนเลยกับการกลิ่นโทนอากาศเย็นๆ ที่เป็นการผสมผสานโทน Ozonic กับกลิ่นออกทางเย็น Icy หน่อยๆ และมีความเป็น Citrus ที่น่าจะเป็นแนวๆ มะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่มีความสมดุลย์มากโดยไม่มีกลิ่นแบบแนว Ozone สังเคราะห์ที่ให้อารมณ์แบบน้ำกลั่นติดเอียนเล็กๆ มาให้รำคาญใจเลย เนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นอากาศเย็นโทนสว่างขาวแบบธรรมชาติวูบขึ้นมาสร้างความสดชื่นกันเต็มๆ ซึ่งได้อารมณ์ทางกลิ่นที่ผนวกกับความประทับใจแรกพบก่อนในการมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ นั่นก็คือยอดเขาที่เป็นหมวกหิมะสีขาว เรียกว่าเปิดมาก็ตีหัวเข้าบ้านกันได้เลย แม้ว่ากลิ่นช่วงนี้จะอยู่เพียงราวๆ 2 นาทีก็ตาม

รอยต่อในการเข้าสู่ช่วงกลางต้องยกให้ 3 โทนกลิ่นที่ให้ความเป็นธรรมชาติมากเลยนั่นคือ โทนใบไม้เขียว โทนไม้สน และกลิ่นสดชื่นของช่วงต้นที่ตามมาในช่วงนี้ ที่จะเป็นแกนหลักของกลิ่นเลย โดยพื้นกลิ่นจะมีความเป็นกลิ่นอายไม้สนแนวสนไซเปรสที่จะมีความเป็นกลิ่นไม้ชื้นๆ ติดเขียวชะอุ่ม ที่มีความปร่ายางสนให้จับต้องได้ ฉาบทับผสมผสานด้วยกลิ่นใบไม้เย็นๆ ที่ให้ความเขียวแกมเปรี้ยวอ่อนๆ ของโทน Citrus อยู่ แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะจะพ่วงกลิ่นออกทางติดนวลหน่อยๆ มีความหวานอ่อนๆ ของดอกไม้ขาวซึ่งน่าจะเป็นสายน้ำผึ้งมาทำให้กลิ่นไม่ได้มีแค่มิติเขียวเพียงอย่างเดียว ทำให้เนื้อกลิ่นช่วงนี้คือกลิ่นอายเย็นๆ แกมเขียวสดชื่นที่ให้อารมณ์ของความเป็นป่าเย็นๆ อารมณ์แบบป่าบนภูเขาที่มีทั้งต้นสนและต้นไม้ที่มีกลิ่นอายสดชื่นคลออากาศเย็นๆ เพียงแต่กลิ่นเขียวใบไม้อาจจะชัดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศของเนื้อกลิ่นเสียไปแต่อย่างใด แต่ให้ความเป็นธรรมชาติแบบสวยๆ ที่ชัดเจนขึ้นมาแทน

ช่วงท้ายของน้ำหอมจะเป็นกลิ่นโทนสะอาดติดสดชื่นแบบ Watery แกมกลิ่นสะอาดๆ ของ Musk และโทนไม้หอมอ่อนๆ อารมณ์กลิ่นในช่วงกลางก็ยังตามมาอยู่แบบระเรื่อๆ ซึ่งทำได้การผสมผสานจะออกแนวแบบกลิ่นธรรมชาติแบบน้ำใสไหลเย็นกับกลิ่นสะอาดจากผิวกายและธรรมชาติรอบๆ ที่มีกลิ่นเขียวแกมไม้เบาๆ ซึ่งภาพในหัวออกมาเลยว่า อารมณ์นั่งเล่นริมลำธารในพื้นที่สีเขียวธรรมชาตินั่นเลย ถือเป็นการปิดท้ายที่ได้อารมณ์แบบเชิงเขามีลำธารเย็นๆ ไหลท่ามกลางกลิ่นโปร่งๆ รอบกายที่สบายๆ สร้างความรื่นรมย์และพึงใจแบบที่ไม่ต้องพยายามอะไรมาก และที่สำคัญครบถ้วนจริงๆ กับการเป็นกลิ่นอายที่ไล่เรียงความเป็นภูเขาไฟฟูจิตั้งแต่ยอดที่มีเป็นหมวกหิมะสู่เชิงเขาที่เป็นพื้นที่สีเขียวและลำธารน้ำแร่ธรรมชาติอันรื่นรมย์

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมาก เพราะเป็นกลิ่นอายแนวธรรมชาติที่ไม่ว่าเพศไหนก็เข้าถึงได้ง่ายสุดๆ และที่สำคัญเป็นกลิ่นที่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูงมาก เข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงจะใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ไม่ติด (แต่จะติดที่ว่ามีจำหน่ายขนาดเดียวคือ 8 ml ซึ่งจะเปลืองเอาเปล่าๆ) รวมถึงจะใส่ยามค่ำคืนแบบทั่วๆ ไปก็สามารถ เพราะยังไงก็สะอาด สดชื่น และรอดสูง เพียงแต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแน่นอน เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายล่าเหยื่อเช็คเรตติ้งน่ะ

ความทน - อยู่ระหว่าง 6 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งถือว่าความทนดีเกินคาดกับน้ำหอมกลิ่นอายธรรมชาติมากๆ ขนาดนี้

การกระจาย - กลิ่นดูจะเบาๆ ไม่ได้กระจายจัดจ้านเท่าไหร่ในช่วงต้น แต่ว่าจะได้อารมณ์กลิ่นแบบเย็นๆ สีขาวมากกว่าในช่วง 2 นาทีแรก ก่อนที่จะวูบขึ้นมากระจายดีในตอนเข้าข่วงกลางราวๆ 30 นาที ถึงผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ และเป็นออร่ารอบๆ ตัวจนถึงชั่วโมงที่ 5 ถึงลงมาเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว แล้วค่อยๆ จางไปตามเวลา  

สรุป - สมชื่อ Parfum Fuji เล่ากลิ่นอายจากยอดภูเขาสู่เชิงเขาได้ลงตัวมากๆ โดยที่คุมโทนกลิ่นแบบธรรมชาติได้ดีและมีความสะอาดสะอ้านใช้งานได้ง่าย แต่มีข้อเสียอย่างเดียวเลยนั่นคือ มีจำหน่ายแค่ 8 ml เท่านั้น ซึ่งขวดเล็กเกินไป และใช้งานไม่ได้นาน พอขนาดไม่ได้เข้าทาง ก็เหลือแค่การซื้อเป็นของสะสมหรือเป็นของฝากเพื่อให้ซึมซับโทนกลิ่นแทน มันจี๊ดตรงนี้แหล่ะ ทำไมไม่มีขวดใหญ่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://mtfuji.gift/products/detail/8

 

วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Review: BeauFort London - Terror & Magnificence

BeauFort London - Terror & Magnificence

ลองนึกถึงโบสถ์คาทอลิกเก่าๆที่เป็นสไตล์กึ่ง Baroque กึ่ง Gothic มีความขลัง ขรึม ดาร์ก แบบอารมณ์กึ่งปราสาทโบราณใหญ่ๆ หน่อยท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืนที่มีแสงไฟน้อยๆ รู้สึกถึงความดาร์กกันแบบทั้งน่ากลัวและน่าค้นหาในเวลาเดียวกันไหม? ถ้าใช่ เรียกมาปูทางความรู้สึกกันก่อนเลยว่ามีแบรนด์น้ำหอมจากอังกฤษอย่าง BeauFort London ได้สร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่มาในสไตล์กอธิคแบบนี้ออกมาให้สัมผัสความดาร์กกันเต็มๆ กับกลิ่นที่ชื่อว่า Terror & Magnificence

ที่มาที่ไปมาจาก Concept ของแบรนด์ที่มักเอา Element ด้านความดาร์กมาสร้างสรรค์และสื่อสารในการเป็นน้ำหอม และเมื่อ Creative Director ของแบรนด์อย่าง Leo Crabtree ได้แรงบันดาลใจจากงานสถาปัตยกรรมแบบโบสถ์คริสต์ที่มีความเก่าและมืด ที่มีกลิ่นอายเฉพาะตัวและสร้างความรู้สึกในหลากหลายรูปแบบในความรู้สึกดาร์กๆ ได้เป็นอย่างดี เช่นนั้นจึงได้เป็นการสร้างสรรค์ร่วมกับสุคนธกรออกมาในการเป็น Terror & Magnificence นั่นเอง

การเปิดตัวของ Terror & Magnificence เรียกว่าถ้าไม่คุ้นชินกับกลิ่นแนว Smoky ดารก์เข้มๆ อาจจะตึ่งโป๊ะ! กันได้ เพราะจะมากับกลิ่นออกทางเขม่าของ Birch Tar ที่ชัดเจนมาก มีทั้งกลิ่นแบบ Smoky อวลๆ ที่ไม่ได้ควันจ๋า แต่มีอารมณ์กลิ่นสีดำเข้มๆ แบบถ่านที่มีความเป็น Incense หรือโทนธูปติดปร่าๆ ของ Frankincense เข้ามาผสมผสาน เลยจะได้ความเป็นโทนดาร์กเข้มปร่าๆ ที่วูบขึ้นมาพร้อมกับลูกเอื้อนที่ให้ความหนาในเนื้อกลิ่นชัดเจนมากขึ้น + ให้ความเผ็ดนวลอย่างพริกไทย และมีความหวานแปร่งเย้าหน่อยๆ ของหญ้าฝรั่นที่มาทำให้กลิ่นมีลักษณะดึงดูดแกมหวานกึ่งขมเนียนๆ แฝง แต่ไม่ได้มีแค่นี้ เพราะเนื่้อกลิ่นทำให้นึกถึงกลิ่นหินหรือก้อนอิฐเย็นๆ แนวแร่ธาตุหน่อยๆ อีกด้วย ซึ่งทุกอย่างพอผสมผสานเข้าด้วยกัน เนื้อกลิ่นให้ความดาร์กทะมึนมาเลย และมีความชัดเจนในความมืดของกลิ่นสมกับ Concept ของแบรนด์ได้ชัดเจนมาก

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะจับต้องได้ถึงความเป็นยางไม้กึ่งยาสูบที่ค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละหน่อยๆ โดยที่ไม่ละทิ้งความดาร์กของกลิ่นโทนเขม่าสีดำแกมธูปย่างไม้ติดปร่า ซึ่งกลิ่นจะมีความหวานลึกและหวานโปร่งผสมผสานกันเข้ามาอย่างพอเหมาะ ทำให้กลิ่นดาร์กเข้มที่แอบดูมืดไปหมดในช่วงต้น มีมิติความหวานที่ดึงดูดมากขึ้น และที่สำคัญอารมณ์กลิ่นโทนธูปยางไม้กึ่งไม้หอมในช่วงนี้ ให้อารมณ์แบบติดควันอ้อยอิ่งหน่อยๆ ที่ทำให้นึกถึงกลิ่นธูปในโบสถ์คริสต์ขึ้นมาทันที ซึ่งทำให้กลิ่นมีทั้งความลึกลับและน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน ซึ่งเรียกว่าตรงกับ Concept ที่ควรจะเป็นกับการเย้าความรู้สึกในการได้รับกลิ่นที่ได้ทั้งความดาร์ก ลึกลับ และน่าค้นหา แบบให้เรานึกถึงเวลาเราเข้าโบสถ์คริสต์เก่าๆ มืดๆ ทั้งน่ากลัวและอยากรู้อยากเห็นต่อว่ามีอะไรแนวๆ นั้นเลย

ช่วงท้ายของน้ำหอมแกนหลักของกลิ่นจะเปลี่ยนเป็นกลิ่น Incense ที่ชัดเจนมาก ซึ่งแน่นอนว่ายังเป็น Frankincense ที่จะให้ความเป็นยางไม้ติดปร่าแกม Smoky แบบกำลังดี แต่สิ่งที่มาเสริมชัดเจนมากขึ้นคือ โทนอบอุ่นของแนวแอมเบอร์แต่มีความลึกกว่าซึ่งน่าจะเป็น Labdanum รวมถึงมีกลิ่นกำยานที่ค่อนไปทางวานิลลาแบบ Benzoin เข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้กลิ่นมีวูบความหวานอุ่นให้รู้สึกได้ และไม่พอความรู้สึกของโทนออกทางแร่ธาตุแบบหินเย็นๆ ติดชื้นๆ แบบ Earthy ดินๆ ที่น่าจะมาจากหญ้าแฝกก็มาให้จับต้องได้ด้วยเช่นกัน โดยมีเคล้ากับกลิ่นติดเขียวเข้มๆ คล้าย Oak Moss อยู่ประปราย ที่ซ้อนอยู่ในกลิ่นติดหวานแกมอบอุ่นในโทนแอมเบอร์กำลังดี อารมณ์เลยได้แบบความเป็นกลิ่นอายแบบโบสถ์ลึกลับมืดๆ กับกลิ่นธูปติดควันในโบสถ์ที่อวลแกมอุ่นเนียนท่ามกลางความเป็นโทนดาร์กมืดได้อย่างพอเหมาะเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมาแนวสภาพแวดล้อมเลยไม่ว่าจะเพศไหนก็ใช้งานได้ แต่อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมสาย Incense หรือสายดาร์กที่กลิ่นจะให้ความรู้สึกลึกลับมืดๆ มาบ้างจะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบใส่ทั่วๆ ไป ที่สร้างความแนวและขรึมขลังในตัวเอง และพอไปได้กับการใส่ยามทางการ แต่ก็จะดูดาร์กไปหน่อย ต้องเบามือนิดนึง แต่จะไม่เข้ากับการใส่กิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายเลย ส่วนยามค่ำคืน มาสายเก๋ไม่เหมือนใครก็จัดไป กลิ่นให้ความรู้สึกลึกลับได้ดีมาก และมีความดาร์กเป็นออร่ารอบๆ ตัวได้ด้วยเช่นกัน

ความทน - 8 ชม. คือพื้นฐานของกลิ่นนี้และไปต่อได้อีกจนถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าห่วง

การกระจาย - ช่วงต้นเป็นการกระจายที่ดีมาก เรียกว่าถึงกับอึ้งในความดาร์กและมืดของกลิ่นที่ชัดเจนมาก เพียงแต่กลิ่นไม่ได้ทึบจนทำให้อึดอัด แล้วถึงจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นกระจายดีไปราวๆ 1 ชม. แล้วลดลงมาเป็นปานกลางต่อไปอีกถึง ชั่วโมงที่ 4 จึงค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว และค่อนข้างคงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 10 ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงเป็นติดผิว

สรุป - กลิ่นดาร์กจริงอะไรจริง อะไรแบบเอา Birch Tar มาจัดให้เต็มๆ เพียงแต่เพราะว่าการมี Frankincense เลยทำให้กลิ่นมีความโปร่งและเป็นสภาพบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งเวลาใช้กลิ่นนี้ทีไร โดนถามทุกทีว่ากลิ่นดูมืดๆ ดำๆ ชอบกล และมีอารมณ์เหมือนถ่านดำๆ ที่มีความอวลมาเลย ซึ่งอันนี้ ถือว่าน้ำหอมทำหน้าที่ในการสื่อความตามที่สร้างสรรค์กลิ่นได้อย่างครบถ้วนและชัดเจนมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sensuniqueparis.com/en/beaufort-london/11-terror-magnificence-beaufort-london.html

 

วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2566

Review: Pepe Jeans for Her

Pepe Jeans for Her

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่ทำให้ตัดสินใจในการซื้อหาน้ำหอมกลิ่นนี้มาลอง นั่นคือ ขวดทรงรูปแก้วค็อกเทล ที่ทำให้ไม่สนใจเลยว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไร เรียกว่าดาบหน้ากันพอสมควร แต่เพราะว่าเคยผ่านการใช้งานกลิ่นทางฝั่งผู้ชายในรุ่น Celebrate for Him มาแล้ว เลยคิดว่าเนื้อกลิ่นน่าจะมีเสน่ห์แน่นอน เพราะในเรื่องยีนส์ Pepe Jeans เองก็ไม่เป็นสองรองใครและได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานเสมอ

แต่ก่อนที่จะไปเข้าเรื่องกลิ่น มาว่ากันที่เรื่องราวคร่าวๆ กันก่อนว่า Pepe Jeans for Her เป็นน้ำหอมที่ออกมาวางจำหน่ายแบบ Duo คู่กับน้ำหอมฝั่งชายอย่าง Pepe Jeans for Him ที่ถือเป็นการกลับมาสู่ตลาดน้ำหอมอีกครั้งหลังจากหยุดไป 18 ปี ซึ่งกลับมาก็เรียกแขกด้วยทรงขวดแบบแก้วค็อกเทลในฝั่งผู้หญิง และทรงขวดแบบเชคเกอร์ผสมค็อกเทลทางฝั่งชาย และปัจจุบันนี้ก็ต่อยอดออกวางจำหน่ายกลิ่นใหม่มาเรื่อยๆ เช่นนั้น มาว่ากันที่ Pepe Jeans for Her กันว่าจะถ่ายทอดกลิ่นออกมาในลักษณะไหน สิ่งที่ได้รับจากการใช้งานจริงก็คือ

เปิดต้นกลิ่นมาก็ให้ความรู้สึกที่เป็นลักษณะแบบค็อกเทลหวาน + ขนมเลย เพียงแต่จะมีความสดชื่นมาก่อน ซึ่งแกนหลักของกลิ่นจะจับต้องได้ชัดเจนเลยนั่นคือ Vodka ที่จะเป็นเสมือนหลักในการให้อารมณ์กลิ่นแนวสไตล์เครื่องดื่มค็อกเทล โดยความสดชื่นที่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำส้มที่เสริมเข้ามาแบบเรียกความหวานอมเปรี้ยว แกมกลิ่นออกทางกึ่งไซรัปวานิลลากึ่งอัลมอนด์หน่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนคือ กลิ่นออกทางแป้งติดหวานที่มีความเป็นวานิลลากึ่งนมอ่อนๆ ของมาร์ชเมลโล่ นี่แหละ ที่ค่อนข้างชัดเจนตีคู่ผสมผสานไปกับกลิ่นโทนค็อกเทล Vodka น้ำส้มติดหวานวานิลลา ทำให้กลิ่นเปิด ชัดเจนมากว่า Fiminine และมีความเป็นโทนกึ่งลั่นล้า กึ่งหวาน แบบเก๋ๆ กำลังดี

การเข้าสู่ช่วงกลางจะมีการเปลี่ยนแปลงตรงที่กลิ่นของน้ำส้มจะหายไป กลายเป็นกลิ่น Vanilla Vodka ที่ให้ความเป็นค็อกเทลแนวหวานหอมแกมอบอุ่น แต่แน่นอนว่ายังมีกลิ่นมาร์ชเมลโล่ที่ยังคลอไปด้วยอยู่เช่นเดิม ซึ่งช่วงนี้ถือว่าเป็นโทนหวานและมีความเป็นโทนขนมของกินติดครีมมี่แกมแป้ง โดยจะชัดเจนทั้งในการเป็นกลิ่นแนวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีความนมๆ กึ่งอัลมอนด์กึ่งวานิลลา กับการเป็นขนมของมาร์ชเมลโล่ แต่ไม่หนักเกินไป เลยให้ความพอดีระหว่างความหวาน ความน่ารัก และความลั่นล้าแบบเหมาะสมแบบที่สร้างความพึงใจได้ไม่ยาก ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อดีจริงๆ ที่ไม่หนักหน่วงหวานเยิ้มเกินไป เลยไม่อึดอัดกับการใช้งานง่ายๆ สำหรับคนชอบกลิ่นแนวหวานและขนม

การเปลี่ยนแปลงในโทนหวานจะเริ่มผ่อนตัวลงตามลำดับในช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเริ่มมีโทนอบอุ่นมากขึ้น และมีความเป็นกลิ่นนวลสะอาดของ Musk เข้ามาเสริม ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีลูกผสมระหว่างความเป็นโทนแบบผิวกายนุ่มสะอาดสไตล์ Musky แกมกลิ่นหวานอ่อนๆ ระเรื่อที่เป็นโทนวานิลลาหน่อยๆ ที่ให้ความเป็นโทนแป้งเข้ามาร่วมด้วย โดยมีออร่าความอบอุ่นประปรายให้จับต้องได้ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ Nice มากในการใช้งาน และให้ความหอมที่พอดีและเหมาะสมแบบที่ทำให้คนใช้พึงใจได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่เรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็ใช้งานกลิ่นนี้ได้สบายมาก เนื้อกลิ่นแม้จะเป็นโทนขนมแกมแป้งที่เสริมความเป็นค็อกเทลลงไปก็จริง แต่ก็ไม่หนักเกินไป ทำให้มีความเป็นโทน Daily Scent สูง โดยสามารถใช้ได้ทั้งยามทั่วไป ทำงาน Office หรือว่าลั่นล้าก็ได้สบายมาก แต่ที่ไม่เหมาะเลยก็คือการใส่แบบทางการจัดๆ หรือว่าใส่ออกกำลังกาย กลิ่นแบบนี้ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนถ้าเป็นยามค่ำคืน ใส่แบบทั่วไปอันนี้ยังไงก็รอด แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรี เพิ่มสเปรย์หน่อยเพื่อไปสู้กับสายหวานเยิ้มจัดหนักก็ผ่านมาตรฐานได้สบายมาก

ความทน - เรื่องนี้ทำได้ลงตัวมากกับพื้นฐานที่ 8 ชม. และไปต่อได้อีก โดยขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในประมาณ 5 - 10 นาทีแรก ก่อนจะผ่อนลงมากระจายดีไปราวๆ 20 นาที ถึงลงมาเป็นปานกลางไปราวๆ 3 ชม. แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเป็น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - ปรามาสไม่ได้ แม้จะเป็นกลิ่นสายหวาน และมีความเป็นขนมแกมแป้ง แต่มีลูกเล่นที่ความเป็น Vodka เข้ามาสร้างกลิ่นแนวลั่นล้า Playful เนียนๆ ได้อย่างเหมาะสมและลงตัว โดยที่ไม่ได้ใช้ยากและสร้างความพึงใจได้ไม่ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชมมากๆ เลยคือ ขวด มีความเก๋และสวยมากจริงๆ ต้องยอมเรื่องนี้เลย   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pepejeans.com/en_nl/pepe-jeans-life-is-now-women-parfum-PLF10003.html?dwvar_PLF10003_color=0AA&cgid=WA10